แบบรายงาน วิชา นวัตกรรม นาย หัสดิน เพียรทอง รหัสนักศึกษา 64031110108 สาขา เกษตร์ศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎอุตรดิตถ์
บทที่ 2 บบทท 22 แนวคิดทฤษฏีเกี่ยวกับการ พัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา แนวคิดทฤษฏีเกี่ยวกับการ ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่ม พัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา พฤติกรรมนิยม (Behavioral เหรีลยักนจริู้ตนั้วนิทเปย็นากสาิ่รงเทีร่ีเยป ็นนรูพ้หื้นรืฐอาทนฤทษี่สฏีำกคัาญรที่ ควรมีความ เข้าใจที่ลึกซึ้งและตระหนัก Theories) เกี่ยวกับหลักการทฤษฏีที่เป็นพื้นฐาน โดย เฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับครูผู้สอน จำเป็นที่ พฤติกรรมนิยมมีฐาน ความคิด คือ ต้องมีความรู้ ความเข้าใจในพื้นฐานแนวคิด นี้ ทางฟิสิกส์ และเคมี และทางด้านการ 1.พฤติกรรมทุกอย่างเกิดขึ้นโดยการเรียนรู้ แพทย์ที่ ประยุกต์พื้นฐานหลักการเกี่ยวกับ และสามารถสังเกตได้ การเรียนรู้ ดังเช่น ต้องการออกแบบ 2.พฤติกรรมแต่ละชนิดเป็นผลรวมของการ ซอร์ฟแวร์ทางการศึกษาสิ่งที่ ต้องตระหนัก เรียนที่เป็น อิสระหลายอย่าง เกี่ยวกับการเรียนรู้ ตลอดจนการประเมิน 3.การเสริมแรง ช่วยทำให้พฤติกรรมเกิดขึ้น ผล และสะท้อนผลของซอร์ฟแวร์ นักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยมได้ ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ทฤษฏีการ จำแนกออกเป็น 2 ประเภท คือ เรียนรู้ที่ได้รับความ นิยมคือ ทฤษฏี พฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ในช่วง 1.เรสปอนเดนส์ ค.ศ. 1970 เป็นด้นมา ได้มีการเปลี่ยน หมายถึง พฤติกรรมที่เกิดขึ้นโดยสิ่งเร้า กระบวนทัศน์จากพฤติกรรมนิยมสู่พุทธิ เมื่อมีสิงเร้าพฤติกรรมตอบสนองก็จะเกิดขึ้น ปัญญานิยม (Cognitivism) ซึ่งมุ่งเน้นการ ซึ่งสามารถวัดและสิ่งเกิดได้และทฤษฏีที่นำ อธิบายอย่างสมบูรณ์ ลึกซึ้งเกี่ยวกับการ มาใช้ในการอธิบายกระบวนการเรียนรู้ เรียนรู้ของมนุษย์ที่รวมถึงสิ่งที่สร้างจาก ประเภทนี้เรียกว่าทฤษฏีการวางเงื่อนไขแบบ กระบวนการที่ไม่สามารถสังเกตเห็นได้ คลาสสิค ได้แก่ ความจำ แรงจูงใจหลักการพื้นฐาน 2.พฤติกรรมโอเปอร์แรนต์ ทฤษฏีการเรียนรู้ทั้ง 3 กระบวนการทัศน์ หมายถึง พฤติกรรมที่บุคคลหรือสัตว์แสดง ดังที่ กล่าวในเรื่องกลุ่มพฤติกรรมนิยม พฤติกรรมตอบสนองออกมา โดยปราศจาก ทฤษฏีพุทธิปัญญานิยม และทฤษฏีคอน สิ่งเร้าแน่นอนและพฤติกรรมนี้มีผสมีผลต่อ สตร็คดิวิสต์ ซึ่งเป็น รากฐานสำคัญของ สิ่งแวดล้อมทฤษฏีการเรียนรู้ที่ใช้อธิบาย การออกแบบการเรียนการสอน ในการที่ Operant Behavior เรียกว่า ทฤษฏีการวาง นำไปใช้ในการออกแบบเพื่อส่งเริมการ เงื่อนไขแบบลงมือ เรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ นั้นหมายถึง ส่ง ผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน
แนวคิดทบฤบษททฏีเก2ี่2ยวกับการ พัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา ทฤษฏีการเรียนรู้แบบการวาง ก่อนการวางเงื่อนไข ► ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ เงื่อนไขแบบคอนสตรัตติวิสต์ การตอบสนองที่ไม่ต้องวางเงื่อนไข Neutral (เสียงกระดิ่ง) UCR (นํ้าลาย) หมายถึง การเปลี่ยนแปลง สิ่งเร้าที่ไม่ต้องการวางเงื่อนไข พฤติกรรมซึ่งเป็นผลอันเนื่องมาจาก UCS (อาหาร) ประสบการณ์ที่คนเราปฏิสัมพันธ์กับสิ่ง แวดล้อม โดยมีครูทำหน้าที่จัดสิ่ง สรุปแล้ว การตอบสนองที่ต้องวาง แวดล้อมทางการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเกิดการ เงื่อนไขเป็นผลการเรียนรู้แบบวางเงื่อนไข เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ คลาสสิก การ วางเงื่อนไขเป็นการสร้าง สัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้าที่ต้องวางเงื่อนไข พาฟลอฟได้ ทำการทดลองและ กับการตอบสนองที่ต้องการให้ เกิดขึ้น อธิบายได้ดังต่อไปนี้ หลักการวางเงื่อนไข 1. สั่นกระดิ่งก่อนที่จะนำอาหารให้แก่ สุนัข เวลาระหว่างการสั่นกระดิ่ง และให้ สิ่งเร้าที่ไม่ต้องวางเงื่อนไข --- ► การตอบสนองที่ไม่ต้อง แก่เนื้อ สุนัข จะต้องเป็นเวลาที่กระชั้น ชิดมากประมาณ0.25ถึง0.50วินาที วางเงื่อนไข 2. กระทำซํ้าโดยสั่นกระดิ่งก่อน แล้ว จึงให้อาหารแก่สุนัขควบคู่กันหลายๆครั้ง UCS (ผงเนื้อ) UCR (เนื้อลาย) 3. หยุดให้อาหารเพียงแต่สั่นกระดิ่ง อย่างเดียวเท่านั้น ก็ปรากฏว่าสุนัขก็ยัง สิ่งเร้าที่ต้องวางเงื่อนไข การตอบสนองที่ต้อง คงมีนั้าลายไหล ได้ CS (เสียงกระดิ่ง) วางเงื่อนไข CR พาฟลอฟ ได้สรุปปรากฏการณ์ที่ ปรากฏการณ์ที่สุขนัขน้ำลายไหลเพียงแต่ การทดลองที่แสดงให้เห็นว่าการเรียนรู้ ได้ยินเลียงสั่นกระดิ่ง กับการให้อาหาร เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจาก และมีการตอบสนองต่อการได้ยินเลียง เหตุผลที่ว่าครั้งแรกสุนัขไม่มีปฏิกิริยาใดๆ กระดิ่งอย่างเดียวว่าสุนัขเกิดการเรียนรู้ ต่อเลียงกระดิ่งเมื่อเกิดการเรียนรู้ว่า เพราะสามารถเชื่อมโยงระว่างเลียงสั่น ถ้าได้ยินเลียงกระดิ่งจะได้อาหารครั้งต่อๆ กระดิ่ง กับการให้อาหาร และมีการตอบ ไปสุนัขก็จะมีปฏิกิริยาต่อเลียงกระดิ่ง สนองต่อการได้ยินเลียง สั่นกระดิ่ง เช่น คือ นํ้าลายไหล นั่นคือการเปลี่ยนแปลง เดียวกับการเห็นอาหาร พาฟลอฟได้ พฤติกรรมหรือเกิดการเรียนรู้นั่นเอง การ เรียกปรากฏการณ์ดังกล่าวว่า วางเงื่อนไขแบบคลาสสิก มีดังนี้ พฤติกรรมของ สุนัขได้ถูกวางเงื่อนไข 1. ถ้าสั่นกระดิ่งหลายๆครั้ง โดยไม่ให้ แบบคลาสสิก อาหาร ปริมาณนี้าลายก็จะค่อย ๆ ลดลง และ หายไปในที่สุด 2. สุนัขจะมีการตอบสนองต่อทุกเลียงที่ คล้ายคลึงกับเลียงกระดิ่ง เช่น เลียง นกหวีด เรียกว่า เป็นการเกิดการเรียนรู้ แบบ Generalization การทดลองเพื่อให้สุนัขเรียนรู้เฉพาะสิ่งที่ ต้องการตอบสนองเท่านั้น
บท 2 Creativeแนวคิดทฤษฏีเกี่ยวกับการ แพนัฒวคนิดานทวฤัตษกฏรีเรกีม่ยทวากงับกการาศรึกษา proc essพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา . หลักสร้างสรรค์องค์ความรู้ด้วยปัญญา ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Constructivism) (Social learning theory) เป็นแนวคิดที่เน้นการสร้างความ ประกอบด้วย 4 กระบวนการสำคัญ รู้มากกว่าการส่งผ่านข้อมูล หรือการบันทึก ข้อมูลที่ถูกส่งมาโดยบุคคล อื่นๆ ประกอบ 1. กระบวนการความสนใจ ด้วย นักทฤษฏีสำคัญ ๆ เช่น Piaget และ คือ กระบวนการที่บุคคลรู้สึก สนใจในตัวแบบ และสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากผู้เรียน Vygotsky โดย Piaget มีแนวคิดว่า ผู้ เห็นว่าตัวแบบและสถานการณ์ดังกล่าวเป็น เรียนรู้เป็นผู้สร้างความรู้โดยการลงมือ เรื่องสำคัญตลอดจนเห็นว่าตัวแบบนั้นมีความ กระทำหากผู้เรียนรู้ ถูกกระตุ้นด้วยปัญหาที่ เหมือนกับผู้เรียน ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางปัญญาส่งผลให้ 2. กระบวนการความจำ เกิดการเสียสมดุล ซึ่งผู้เรียนรู้ต้องปรับ คือ กระบวนการในการจดจำ พฤติกรรมของ โครงสร้างทางปัญญาให้เข้าสู่ ภาวะสมดุล ตัวแบบได้ดีซึ่งจะทำให้สามารถเลียนแบบและ โดยวิธีการต่าง ๆ ได้แก่ การเชื่อมโยงความ ถ่ายทอดแบบมาได้ง่าย รู้เดิมกับข้อมูลข่าวสารใหม่ จนนำมาสู่การ 3. กระบวนการการแสดงออก สร้างความรู้ใหม่หรือเกิดการเรียนรู้นั่นเอง คือ กระบวนการทำตามพฤติกรรมของตัวแบบ ส่วนVygotsky มีแนวคิดว่า ปัจจัยทาง ซึ่งหมายความว่าภายหลังจากที่ผู้เรียนได้ สังคมเป็นศูนย์กลาง ในการพัฒนาของเด็ก สังเกตพฤติกรรมของตัวแบบแล้วจะแสดง โดยที่ผู้เรียนรู้สามารถสร้างความรู้โดยการมี พฤติกรรมตามอย่างตัวแบบกระบวนการเสริม ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เช่น พ่อ แม่ ครู และ แรง เช่น การให้รางวัลต่อพฤติกรรมหนึ่งๆ จะ เพื่อน เป็นด้น ดังนั้นกระบวนการเรียนรู้จึง ทำให้บุคคลให้ความสนใจในพฤติกรรมแบบนั้น เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในของผู้เรียน เพิ่มขึ้น โดยผู้ เรียนรู้เป็นผู้สร้างความรู้จากความ สัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่พบเห็นกับความรู้เดิม ทฤษฎีการเรียนรู้การวาง ที่มีอยู่เพื่อสร้างเป็น โครงสร้างทางปัญญา เงื่อนไขแบบลงมือกระทำ ซึ่งจะมีการพัฒนาโดยผ่านกระบวนการ ซึมซับเอาความรู้ใหม่จากสภาพแวดล้อม แนวคิดธอร์นไดค์ (Thorndike) ภายนอกเข้ามาเก็บไว้และปรับโครงสร้าง ธอร์นไดศ์ เชื่อว่าการเรียนรู้เกิด ทางปัญญา ให้เข้าสู่สภาพสมดุล หรือการ จากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการ เกิดการเรียนรู้นั่นเอง ตอบสนองโดยมีการลองผิดลองถูกไป เรื่อยๆจนกว่าจะสามารถค้นพบรูปแบบ การตอบสนองที่ให้ผลที่ทำให้เกิดความ พึงพอใจที่สุด
บท 2 Creativeแนวคิดทฤษฏีเกี่ยวกับการ แพนัฒวคนิดานทวฤัตษกฏรีเรกีม่ยทวากงับกการาศรึกษา proc essพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา กฎแห่งการเรียนรู้ มีดังนี้ การเสริมแรงแบ่งออกเป็น 2 ประเภท 1. กฎแห่งผล (Law of Effect) 1) การเสริมแรงทางบวก สิ่งเร้าใดที่มีการกระตุ้นให้มีการตอบ 2) การเสริมแรงทางลบ สนองแล้ว ทำให้ผู้เขียนได้รับผลที่น่าพึง พอใจจากการกระทำนั้น แล้วจะเป็นผลที่ การเสริมแรงทางบวก ทำให้กระทำพฤติกรรมนั้นๆอีก หมายถึง สิ่งของ คำพูด หรือสภาพ 2. กฎแห่งความพร้อม(Law of Readiness) การณ์ที่จะช่วยให้สามารถกระตุ้นให้คน แสดงพฤติกรรมที่พึง ประสงค์ขึ้นการ การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีถ้าผู้เรียนมี เสริมแรงทางบวกแตกต่างจากรางวัล ความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ การเสริมแรงทางบวกอาจเป็นรางวัลก็ได้ เช่น คำชม ขนม 3. กฎแห่งการ'ฟิกหัด(Law of Exercise) การเริมแรงทางลบ การฝึกหัดหรือการกระทำบ่อยๆจะ ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่คงทนถาวร แต่ใน หมายถึง การเปลี่ยนสภาพการณ์ หรือ ทางตรงข้ามล้าไม่ได้กระทำซํ้าๆบ่อยๆ เปลี่ยนสิ่งแวดล้อม บางอย่างที่อาจจะ การเรียนรู้นั้นอาจไม่คงทน ถาวรและใน ทำให้อินทรีย์แสดงพพฤติกรรมโอเปอแร ที่สุดอาจลืมไป นท์ได้ หรือกล่าวได้ว่าสามารถช่วยเพิ่ม ความคงทนของการแสดงพฤติกรรมที่พึง 4. กฎแห่งการใช้ (Law of Use and Disuse) ประสงค์ โดยการงด หรือไม่ให้ หรือดึง การเรียนรู้จะเกิดจากการเชื่อมโยงระหว่าง เอาสิ่งเร้าที่ผู้เรียนพึง พอใจออกไป สิ่งเร้ากับการตอบสนอง ถ้าได้มีการนำไปใช้ บ่อยๆการเรียนรู้นั้นจะมีความคงทนถาวร การให้แรงเสริมแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ หากไม่มีการนำไปใช้บ่อยๆอาจจะเกิดการลืมได้ 1. การให้แรงเสริมทุกครั้ง คือ ให้แรงเสริมแก่อินทรีย์ที่แสดง แนวคิดของสกินเนอร์ (Skinner) พฤติกรรมที่กำหนดไว้ ทุกครั้ง 2. การให้การเสริมแรงเป็นครั้งคราว แนวคิดของสกินเนอร์ยังสอดคล้องกับ คือ ไม่ต้องให้แรงเสริมทุกครั้งแก่อินทรีย์ ธอร์นไดค์ เกี่ยวกับการเสริมแรงเป็นสิ่งที่มีความ แสดง พฤติกรรม สำคัญในการเรียนรู้ แต่จะแตกต่างกันที่ว่า สกินเนอร์คิดว่าการเชื่อมโยงจะเกิดขึ้นระหว่าง รางวัลกับการตอบสนองไม่ใช่สิ่งเร้ากับการตอบ สนองตามแนวคิดของธอร์นไดค์
บท 2 Creativeแนวคิดทฤษฏีเกี่ยวกับการ แพนัฒวคนิดานทวฤัตษกฏรีเรกีม่ยทวากงับกการาศรึกษา proc essพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา หลักการสำคัญที่ใช้ในการแรงเสริมใน ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพุทธิปัญญา การสอน มีดังนี้ 1. ครูจะต้องทราบว่าพฤติกรรมของ เชื่อว่าการเรียนรู้เป็นสิ่งที่มาก นักเรียนที่แสดงว่านักเรียนเรียนรู้แล้วมี กว่าผลของการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้า อะไรบ้างและให้แรงเสริมพฤติกรรมนั้น การ ตอบสนอง โดยให้ความสนใจใน 2. ในช่วงแรก ครูควรจะให้แรงเสริม กระบวนการภายในที่เรียกว่าความรู้ ทุกครั้งที่นักเรียนแสดงพฤติกรรมที่พึง ความเข้าใจ หรือการรู้คิดของ มนุษย์ ปรารถนา แต่ช่วงหลังใช้แรงเสริมเป็น โดยเชื่อว่าการเรียนรู้จะอธิบายได้ดีที่สุด ครั้งคราว (Intermittent) ได้ หากเราสามารถเข้าใจกระบวนการ 3. สำหรับนักเรียนบางคนในการ ภายใน ซึ่งเป็น ตัวกลางระหว่างสิ่งเร้า เปลี่ยนพฤติกรรม ครูอาจจะใช้แรงเสริม และการตอบสนอง ที่เป็นขนมหรือรางวัลสิ่งของหรือสิ่งที่นำ อภิภาปรัชญพฤทธ (2555 : 147) ไปแลกเป็นรางวัลได้ (Token) 4. ครูจะต้องระวังไม่ให้แรงเสริม เมื่อ การกระตุ้นด้วยวิธีของพุทธิปัญญา นักเรียนแสดงพฤติกรรมไม่พึงปรารถนา หมายถึงการนำบทเรียนมาใช้สื่อกระตุ้น 5. สำหรับพฤติกรรมที่ซับซ้อน หรือ หรือเร้าที่ทำให้ผู้เรียนได้ใช้ปัญญาในการ การเรียนรู้ที่ซับซ้อน ครูควรจะใช้หลัก คิด เช่น การบอกใบ้ด้วยภาพ แผนผัง การปรับพฤติกรรม (Shaping) คือให้ ซึ่งทำให้ผู้เรียนจดจำบทเรียนได้แม่นยำ แรงเสริมกับพฤติกรรมที่นักเรียนทำได ขึ้น และยังทำให้ผู้เรียนเกิด จินตนาการ ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ ตาม ที่สร้างความเข้าใจที่ลูกต้อง ลำดับขัน สุปราณี บุระ (2557 : 18-19) 6. ค่อยๆลดสัญญาณการบอก การแนะ หรือการชี้แนะลงเมื่อเริ่มเห็น ทั้งคำว่า “พุทธิปัญญา” “พุทธิ ว่าไม่จำเป็น นิยม” และ “พุทธิปัญญานิยม” ทั้งสาม 7. ค่อยๆลดแรงเสริมแบบให้ทุกครั้งลง คำนี้มีความเกี่ยวข้องและุถูกนำมาใช้ เมื่อเห็นว่าผู้เรียนกระทำได้แล้ว และผู้ อธิบายเกี่ยวกับการเรียนรู้และการเรียน เรียนเริ่มแสดงว่ามีความพึงพอใจซึ่งเป็น การสอนไว้ ดังนี้ พุทธิปัญญา เกี่ยวข้อง แรงเสริมด้วยตนเองจากการทำงานนั้น กับ ความรู้และ ทักษะการเรียนรู้ ความ ได้ เข้าใจ ที่ล่งผลต่อการเรียนรู้ที่สำคัญ พุทธิปัญญา เป็นการเรียนรู้ที่ปรับ โครงสร้างทางความคิด ซึ่งมาจากจิตใจ ของแต่ละบุคคล การที่แต่ละคนมี โครงสร้างทางความคิด ต่างกันมาจาก สังคมที่เป็นปัจจัยภายนอก ทำให้แต่ละ คนต้องมีอำนาจในการปรับโครงสร้าง ความคิด ของตนเอง
บท 2 Creativeแนวคิดทฤษฏีเกี่ยวกับการ แพนัฒวคนิดานทวฤัตษกฏรีเรกีม่ยทวากงับกการาศรึกษา proc essพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา กลุ่มพุทธิปัญญานิยม การปรับตัว (Adaptation) (Cognitivsm) หมายถึง การปรับตัวให้เข้ากับสิ่ง เป็นการให้ความสำคัญในการศึกษา แวดล้อมเพื่อยู่ในสภาพสมดุล เกี่ยวกับ “ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง สิ่งเร้า ►การซึมซาบหรือดูดซึม ภายนอก (ส่งผ่านโดยสื่อต่างๆ) กับสิ่ง (Assimilation)มนุษย์มีปฏิสัมพันธ์กับ เร้าภายใน” คือความรู้ความเข้าใจ หรือ สิ่งแวดล้อมก็จะซึมซาบหรือดูดซึม กระบวนการรู้คิดที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ ประสบการณ์ใหม่ให้รวมเข้าอยู่ใน ขอบเขตที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการรู้คิด โครงสร้างทางปัญญา (Cognitive ได้แก่ Structure) โดยจะเป็นการดีความหรือ 1. ความใส่ใจ การรับรู้ข้อมูลจากสิ่งแวดล้อม 2. การรับรู้ ►การปรับโครงสร้างทางปัญญา 3. การจำได้ (Accommodation) หมายถึงการ 4. การคิดอย่างมีเหตุผล เปลี่ยนแบบโครงสร้างทางปัญญาที่มีอยู่ 5. จินตนาการหรือการวาดภาพในใจ แล้วให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมหรือ 6. การคาดการณ์ล่วงหน้าหรือการมี ประสบการณ์ใหม่หรือเป็นการ แผนการรองรับ เปลี่ยนแปลงความคิดเดิมให้สอดคล้อง 7. การตัดสินใจ กับสิ่งแวดล้อมใหม่ซึ่งเป็นความ 8. การแก้ปัญหา สามารถในการปรับโครงสร้าง ทาง 9. การจัดกลุ่มสิ่งต่างๆ ปัญญา 10. การแปลความหมาย พัฒนาการเชาวน์ปัญญาของมนุษย์ ทฤษฎีพัฒนาการเชาวน์ปัญญาของ มี4 ขั้น ดังนี้ เพียเจต์ ขันที่1 Sensorimotor stage (แรก เกิด-2 ขวบ) เพียเจต์เชื่อว่ามนุษย์เรามีแนวโน้ม ขั้นที่ 2 Preoperational stage (อายุ พื้นฐานที่ดิดตัวมาตั้งแต่กำเนิด 2 ชนิด 18 เดือน- 7 ปี) คือ การจัดและรวบรวม และการปรับตัว ขั้นที่ 3 Concrete Operations stage ซึ่งอธิบายดังต่อไปนี้ (อายุ 7-11 ปี) การจัดและรวบรวม (Organization) ขั้นที่ 4 Formal Operations stage (อายุ 12 ปีขึ้นไป) หมายถึง การจัดและรวบรวม กระบวนการต่างๆ ภายในเข้าเป็นระบบ อย่างต่อเนื่องเป็นระเบียบ และมีการ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่ ตลอดเวลา ตราบที่ยังมีปฏิสัมพันธ์ กับสิ่งแวดล้อม
บท 2 Creativeแนวคิดทฤษฏีเกี่ยวกับการ แพนัฒวคนิดานทวฤัตษกฏรีเรกีม่ยทวากงับกการาศรึกษา proc essพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา ทฤษฎีการเรียนรู้ ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมายของ ออซูเบล (Ausubel) บรูเนอร์ได้เสนอว่า การจัดการ เรียนการสอนควรมีการจัดเนื้อหาวิชาที่มี ออซูเบสได้ให้ความหมายการเรียนรู้ ความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ มี อย่างมีความหมาย ว่าเป็นการเรียนได้รับ ความลึกขึ้งซับซ้อนและกว้างขวางออกไป มาจากการที่ผู้สอนอธิบายสิ่งที่จะต้อง ตามประสบการณ์ของผู้เรียน เนื้อหาใน เรียนรู้ให้ทราบและผู้เรียนรับฟ้งด้วยความ เรื่องเดียวกันอาจสามารถเรียนตั้งแต่ เข้าใจโดยผู้เรียนเห็นความสัมพันธ์ที่เรียนรู้ ระดับประถมจนถึงมหาวิทยาลัย กับโครงสร้างทางปัญญาที่ได้เก็บไว้มนความ ทรงจำ และจะสามารถนำมาใช้ในอนาคต พัฒนาการทางปัญญาหรือความรู้ความ เข้าใจของมนุษย์มี 3 ประเภทคือ เรียนรู้โดยการรับอย่างมีความหมายไว้ 1.Enactive Representation ดังนี้ 1. Subordinate Leaning เด็กจะแสดงพัฒนาการทางสมอง หรือทางปัญญาด้วยการ กระทำ และยัง เป็นการเรียนรู้โดยการรับอย่าง คงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ตลอดชีวิต มีความหมาย 2.Iconic Representation ในชั้น โดยมีวิธีการ 2 ประเภทคือ 1) Derivative Subsumption พัฒนาการทางความคิดจะเกิดจาก เป็นการเชื่อมโยงสิ่งที่ต้องการเรียนรู้เหมือน การมองเห็น และ การใช้ประสาทสัมผัส กับหลักการหรือกฎเกณฑ์ที่เคยเรียนมา แล้ว เด็กสามารถถ่ายทอดประสบการณ์ แล้วโดยการได้รับข้อมูลมาเพิ่ม ต่างๆ เหล่านั้นด้วยการมีภาพในใจแทน 2)Correlative Subsumption พัฒนาการทางด้านการรู้คิดจะเพิ่มตาม เป็นการเรียนรู้ที่มีความหมาย เกิดจากการ อายุ เด็กที่โตขึ้นก็จะสามารถสร้างภาพใน ขยายความ หรือปรับโครงสร้างทางปัญญา ใจได้มากขึ้น ที่มีมาก่อนให้สัมพันธ์กับสิ่งที่จะเรียนรู้ใหม่ 3.Symbolic Representation แนวคิดกลุ่มทฤษฎีประมวลสารสนเทศ ในชั้นพัฒนาการทางความคิดที่ผู้ (Information Processing) เรียนสามารถถ่ายทอด ประสบการณ์ หรือเหตุการณ์ต่างๆ โดยใช้สัญลักษณ์ เป็นทฤษฎีที่พยายามอธิบายให้ หรือภาษา บรูเนอร์เชื่อว่าการพัฒนาใน เข้าใจว่ามนุษย์จะมีวิธีการรับข้อมูล ชั้นนี้ เป็นชั้นสูงสุดของพัฒนาการด้าน ข่าวสาร หรือความรู้ใหม่อย่างไร เมื่อรับมา พุทธิปัญญา แล้วจะมีวิธีการประมวลข้อมูลข่าวสาร และเก็บสะสมไว่ใน ลักษณะใด ตลอดจนจะ สามารถเรียกความรู้มาใช้ได้อย่างไร
Creative processแพนัฒแวคนนิดวาคนทิดวฤัตทษกฤฏรีษเรกฏีมี่ยเทกีว่ายกงัวบกกักาบรากศรึากรษา พัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา ความเป็นมาและแนวคิดของทฤษฎี กล่าวโดยสรุป ทฤษฏีประมวล ประมวลสารสนเทศ สารสนเทศมุ่งเน้นที่จะศึกษากระบวนการ รู้คิดลำดับขั้นของการประมวลข่าวสาร ทฤษฎีนี้ให้ความสนใจกับ และการเรียนรู้ความรู้ต่างๆจากความจำ ธรรมชาติของผู้เรียนซึ่งเป็นผู้ที่ตื่นตัว ระยะยาวมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Active) หรือกล่าวได้ว่า การแสดง ดังภาพ พฤติกรรมหรือการเรียนรู้ จะเกิดจาก ความต้องการของผู้เรียน ซึ่งการเรียนรู้ นั้นเป็นผลเนื่องมาจากปฏิสัมพันธ์สิ่งเร้า ที่มาจากสิ่งแวดล้อม ได้แก่ข้อมูลหรือ การบันทึกผัสสะ ความรู้ที่ด้องการเรียน กับตัวผู้เรียนได้เร็ว (Sensory Register) ขึ้นจำได้มากขึ้น และสามารถปฏิบัติงานที่ ซับซ้อนเพิ่มขึ้นได้ใน ขณะที่เจริญเติบโต นักจิตวิทยาพุทธิปัญญานิยมได้ ขึ้น อธิบายว่าสิ่งเร้าจากสิ่งแวดล้อมนานา นักทฤษฏีประมวลสารสนเทศมุ่งเน้นที่จะ ชนิดได้เข้ามากระทบกับประสาทสัมผัสทั้ง ศึกษาในเรื่องต่อไปนี้ 5 ของมนุษย์ คือ หู ตา จมูก ทางสัมผัส 1) ความใส่ใจ (Attention) ผิวหนัง และ ทางปากหรือสิ้น ข้อมูล 2) กลยุทธ์การเรียนรู้ (Leaning หรือประสบการณ์ที่รับเข้ามาจะบันทึกอยู่ Strategies) ในความจำระบบแรกของข้อมูลสิ่งเร้า 3) ฟืนฐานความรู้ (Knowledge Base) ต่างๆเหล่านี้จะ ผ่านกระบวนการผัสสะ 4) ความรู้เกี่ยวกับการคิดของตนเอง ซึ่งมีหน้าที่เก็บข้อมูลต่างๆ ดังนี้ (Metacognition) 1. การรู้จัก (Recognition) 2. การใส่ใจ (Attention) จากองค์ประกอบข้างด้นจะพบว่า 3. ความจำระยะสัน (Short-Term ความรู้เกี่ยวกับการรู้คิดของตนเอง Memory ) (Metacognition) เป็นส่วนหนึ่งของ 4. ความจำระยะยาว (Long-Term ทฤษฏีนี้ เพราะเหตุผลที่ว่าการ ทำงาน Memory ) ของระบบต่างๆในการประมวลสารสนเทศ เช่น ความใส่ใจ การลงรหัสข้อมูล การ สะสมข้อมูล ตลอดจนการเรียกข้อมูลมา ใช้นั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ กระบวนการรู้คิดของตนเอง (Metacognition) ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญใน การเรียนรู้
บท 2 Creativeแนวคิดทฤษฏีเกี่ยวกับการ แพนัฒวคนิดานทวฤัตษกฏรีเรกีม่ยทวากงับกการาศรึกษา proc essพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา กระบวนการรู้คิดในกระบวนการ Key Words ที่สำคัญในทฤษฏีนี้ สารสนเทศ 1. บันทึกผัสสะ (Sensory Register) 2. ความจำระยะสั้น(รhort-Term ได้อธิบายกระบวนการรู้คิดใน Memory ) กระบวนการ สารสนเทศไว้ ดังต่อไปนี้ 3. ความจำระยะยาว (Long-Term Memory ) 4. การใส่ใจ (Attention) 5. การเข้ารหัส (Encoding) สรุปได้ว่า ทฤษฏีประมวลสารสนเทศ 6. การทบทวน การท0าซํ้าๆ เป็นทฤษฏีการเรียนรู้ที่ใหม่และกำลัง (Rehearsal) กลายเป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับอย่าง 7. การจดจำด้วยความเข้าใจ กว้างขวาง มุ่งเน้นลักษณะของผู้เรียน (Elaborative (Retrieval) กับข้อมูลหรือสิ่งที่ผู้เรียนต้องเรียน ซึ่ง อยู่ในกระบวนการเรียนรู้โดยเน้นที่จะ ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่ม ศึกษากระบวนการรู้คิด และลำดับขั้น ของการประมวลสารสนเทศของผู้เรียน ค(Cอoนnสsตtรrัคuตcิวtิสivต์i st Theories) โดยเฉพาะอย่างยิ่งความจำระยะยาว เป็นทฤษฏีที่ว่าด้วยการสร้างความ และการ เรียกข้อมูลที่ได้เรียนรู้แล้วและ เก็บอยู่ในความจำระยะยาวมาใช้ได้ รู้มีพัฒนาการมาจากปรัชญาปฏิบัตินิยม อย่างมีประสิทธิภาพ ที่นำโดยเจมส์(James) และดิวอี้ (Dewey) ในด้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาใน และการเปลี่ยนกระบวนทัศน์เกี่ยวกับวิธี ทฤษฏีนี้ ได้แก่ การหาความรู้ในปรัชญาวิทยาศาสตร์ ที่ การรับรู้ (Perception) นำโดย ปอปเปอร์ (Popper) และเฟเยอ การใส่ใจ (Attention) ราเบนด์ (Feyerabend) ในครึ่งหลังของ ความจำ (Memory) ศตวรรษที่ 20 จากการบุกเบิกของนัก ความเข้าใจ (Understanding) วิทยาการคนสำคัญๆ เช่น เพียเจต์ (Piajet) ออซูเบส (Ausuble) และเคลลี่ (Kelly) และพัฒนาต่อมาโดยนักการ ศึกษากลุ่มคอนสตรัคดิวิสต์
บท 2 Creativeแนวคิดทฤษฏีเกี่ยวกับการ แพนัฒวคนิดานทวฤัตษกฏรีเรกีม่ยทวากงับกการาศรึกษา proc essพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา แนวคิดเกี่ยวกับคอนสตรัคติวิสต์ กลุ่มแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ เซิงสังคม (Social คอนสตรัคติวิสต์ (Constructivism) constructivism) จะมุ่งเน้น การสร้างความรู้ใหม่อย่าง เหมาะสมของแต่ละบุคคล และสิ่ง เชื่อว่า สังคมและวัฒนธรรมจะเป็น แวดล้อมมีความสำคัญในการสร้าง ความ เครื่องมือทางปัญญาที่จำเป็นสำหรับการ หมายตามความเป็นจริงเป็นวิธีการที่นำ พัฒนารูปแบบและคุณภาพของปัญญา มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนมีหลัก การที่สำคัญว่า ในการเรียนรู้มุ่งเน้นให้ผู้ หลักการ 4 ประการที่สามารถนำไป เรียนลงมือกระทำในการสร้างความรู้ ซึ่ง ประยุกต์ใช้ได้ในชั้นเรียน ปรากฏแนวคิดที่แตกต่างกันเกี่ยวกับ การ 1. เรียนรู้และการพัฒนา สร้างความรู้ หรือการเรียนรู้ ทั้งนี้เนื่องมา 2. โซนพัฒนาการ จากแนวคิดที่เป็นรากฐานสำคัญ 3. การเรียนรู้ในโรงเรียนควรเกิดขึ้นใน บริบทที่มีความหมายและไม่ควรแยก เชกิงลุ่ปมัญแนญวคาิด(คCอoนg สnตitรัiคvดeิวิสต์ จากการเรียนรู้และความรู้ที่ผู้เรียน พัฒนามาจากสภาพชีวิตจริง Constructivism) 4. การเรียนรู้ควรจะมีการเชื่อมโยง ประสบการณ์นอกโรงเรียนมาสู่ เชื่อว่า การเรียนรู้เกิดจากการปรับ ประสบการณ์ ในโรงเรียนของผู้เรียน เข้าสู่สภาวะสมดุลระหว่างอินทรีย์และสิ่ง แวดล้อม โดยมีกระบวนการ ดังนี้ สรุป 1. การดูดซึมเข้าสู่โครงสร้างทาง ปัญญา (Assimilation) เป็นการดีความ หลักจิตวิทยาก ารเรียนรู้หรือทฤษฏี หรือรับข้อมูลจากสิ่งแวดล้อมมาปรับเข้า การเรียนรู้นั้นเป็น สิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญ กับโครงสร้างทางปัญญา ที่ควรมีความเข้าใจที่ลึกขึ้งและตระหนัก 2. การปรับโครงสร้างทางปัญญา เกี่ยวกับหลักการทฤษฏีที่เป็นพื้นฐาน โดย (Accommodation) เป็นความสามารถใน เฉพาะอย่างยิ่งสำหรับครูผู้สอน จำเป็นที่ การ ปรับโครงสร้างทางปัญญาให้เข้ากับ ต้องมีความรู้ ดังนั้นการเรียนรู้เป็นกระบวน สิ่งแวดล้อม โดยการเชื่อมโยงระหว่าง ความรู้เดิมและสิ่งที่ต้องเรียน ใหม่ การสร้างมากกว่าการรับความรู้ ดังนั้น เป้าหมาย ของการสนับสนุนการสร้าง มากกว่าความพยายามในการถ่ายทอด ความรู้ ดังนั้นจะมุ่งเน้นการสร้างความรู้ ใหม่อย่างเหมาะสมของแต่ละบุคคล และ สิ่งแวดล้อมมี ความสำคัญ
Search
Read the Text Version
- 1 - 11
Pages: