บทที่ 3 ความรู้เบือ้ งต้นเกีย่ วกับสารสนเทศ ระบบสารสนเทศในห้องสมุดและวธิ กี ารค้นหา1. ความหมายของสารสนเทศ คำว่ำ “สารสนเทศ” ในภำษำไทยใช้กันหลำยคำ เช่น ข้อมูลข่ำวสำร สำรสนเทศ และสำรนิเทศซึ่งเป็นคำที่มีควำมหมำยเดียวกัน คือ ตรงกับคำว่ำ อินฟอร์เมช่ัน (Information) ในภำษำอังกฤษ(ครรชิต มำลัยวงศ์, 2535, หน้ำ 11) แต่คำที่พบว่ำมีกำรใช้บ่อย คือ คำว่ำ สำรนิเทศ และสำรสนเทศซ่ึงรำชบัณฑติ ยสถำนกำหนดใหใ้ ชไ้ ด้ทัง้ 2 คำ ชุติมำ สัจจำนันท์ (2530, หน้ำ 17) ให้ควำมหมำยของสำรสนเทศไว้ว่ำ คือ ข้อมูล ข่ำวสำรควำมรู้ ข้อสนเทศ สำรสนเทศ ทั้งในรูปแบบส่ิงพิมพ์ โสตทัศนวัสดุ และวัสดุย่อส่วน เพื่อใช้ประโยชน์ทำงกำรส่อื สำรและกำรพฒั นำดำ้ นต่ำง ๆ ทง้ั ส่วนบคุ คลและสังคม ประภำวดี สืบสนธ์ิ (2543, หน้ำ 6) ได้กล่ำวถึงสำรสนเทศไว้ว่ำ หมำยถึง ข้อเท็จจริงเหตุกำรณ์ท่ีผ่ำนกระบวนกำร ประมวลผล มีกำรถ่ำยทอด และกำรบันทึกไว้ในรูปแบบต่ำงๆ เช่น หนังสือ วำรสำรหนังสือพิมพ์ รำยงำน โสตทัศนวัสดุ เทปคอมพิวเตอร์ ตลอดจนกำรถ่ำยทอดในรูปแบบอ่ืนๆ เช่น คำพูดโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ให้ผู้รับสำรได้ทรำบ ฉะน้ันเม่ือพิจำรณำถึงสำรสนเทศ จึงอำจพิจำรณำได้2 ประเด็น คือ เน้ือหำ และกำรประมวลผล เพ่ือเผยแพร่หรือถ่ำยทอดเนื้อหำของสำรสนเทศนั้นด้ำนเน้ือหำ สำรสนเทศถือได้ว่ำเป็นผลผลิตทำงปัญญำของมนุษย์สำขำวิชำใด เร่ืองใด ปรำกฏในรูปแบบใดภำษำใดก็ได้ ส่วนกำรประมวลผล หมำยถึง วิธีที่ใชใ้ นกำรผลิต กำรส่ง กำรจดั เก็บ กำรถำ่ ยทอดหรือเผยแพร่เนือ้ หำ ของสำรสนเทศเพื่อนำไปใชใ้ ห้บรรลวุ ัตถปุ ระสงคอ์ ยำ่ งใดอยำ่ งหนงึ่ สรุป สารสนเทศ คือ ข้อมูล ข่ำวสำร ข้อเท็จจริง ควำมรู้ต่ำงๆ ท่ีผ่ำนกำรประมวลผลแล้วสำมำรถนำไปใช้ประโยชน์ได้ โดยสำรสนเทศน้ันบันทึกไว้ในรูแบบวัสดุตีพิมพ์ ได้แก่ หนังสือ วำรสำรนิตยสำร หนังสือพิมพ์ แผนท่ี แผ่นพับ จุลสำรฯลฯ และวสั ดุไม่ตีพิมพ์ ได้แก่ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่ำงๆ เช่นภำพยนตร์ วีดที ศั น์ แผ่นเสียง เทป โทรทศั น์ ข้อมลู จำกฐำนข้อมลู และจำกเครือขำ่ ยอนิ เทอร์เน็ต เป็นตน้2. ความสาคัญของสารสนเทศ สำรสนเทศแท้จริงแล้วย่อมมีควำมสำคัญต่อทุกสิ่งที่เกี่ยวข้อง เช่น ด้ำนกำรเมือง กำรปกครองด้ำนกำรศึกษำ ดำ้ นเศรษฐกจิ ดำ้ นสังคม ฯลฯ ในลกั ษณะดังต่อไปน้ี 2.1 ทำให้ผู้บริโภคสำรสนเทศเกิดควำมรู้ (Knowledge) และควำมเข้ำใจ (Understanding) ในเรื่องดงั กลำ่ วข้ำงต้น 2.2 เมื่อเรำรู้และเข้ำใจในเรื่องท่ีเก่ียวข้องแล้ว สำรสนเทศจะช่วยให้เรำสำมำรถตัดสินใจ (DecisionMaking) ในเรอื่ งต่ำงๆ ไดอ้ ยำ่ งเหมำะสม 2.3 นอกจำกนั้นสำรสนเทศ ยังสำมำรถทำให้เรำสำมำรถแก้ไขปัญหำ (Solving Problem) ทเี่ กดิ ขึ้นได้อย่ำงถกู ตอ้ ง แม่นยำ และรวดเรว็ ทนั เวลำกับสถำนกำรณ์ต่ำงๆ ที่เกดิ ขึ้น3. ประเภทของสารสนเทศ เนื้อหำในบทเรียนนี้ ครอบคลุมถึงควำมหมำย ประเภท และลักษณะสำรสนเทศท่ีมีในทรัพยำกรแต่ละประเภท รวมท้ังหลักเกณฑ์ในกำรพิจำรณำเลือกใช้ทรัพยำกรสำรสนเทศ เพ่ือให้ผู้เรียนได้ทรำบถึง
2ลักษณะเฉพำะของทรัพยำกรสำรสนเทศแต่ละประเภทเป็นเบื้องต้น ซ่ึงจะช่วยให้สำมำรถค้นคืนสำรสนเทศท่ีตรงกับควำมต้องกำรไดอ้ ย่ำงมีประสทิ ธิภำพ4. ความหมายและประเภทของทรพั ยากรสารสนเทศ ทรพั ยำกรสำรสนเทศ หมำยถงึ ส่ือหรอื วสั ดทุ ใ่ี ช้เกบ็ บันทึกสำรสนเทศ เรำใชว้ สั ดหุ ลำยรปู แบบในกำรบันทึก ทั้งนี้เนอื่ งจำกสำรสนเทศมที ้งั ตวั อักษร ขอ้ ควำม รปู ภำพ และเสยี ง ซึ่งอำจจดั กลุ่มทรัพยำกรสำรสนเทศไดเ้ ปน็ 3 ประเภทคอื (มหำวทิ ยำลัยมหำสำรคำม, 2549) 1. ประเภทสำรสนเทศตีพิมพ์ (Printed Materials) 2. ประเภทสำรสนเทศไมต่ ีพมิ พ์ (Non-Printed Material) 3. ประเภทสำรสนเทศอเิ ล็กทรอนิกส์ (Electronic Material) 4.1 ประเภทสารสนเทศตีพมิ พ์ (Printed Materials) สำรสนเทศตีพิมพ์ หมำยถึง วัสดุท่ีบันทึกสำรสนเทศในรูปแบบของตัวอักษร ภำพ และสัญลักษณ์อ่ืนๆ โดยผ่ำนกระบวนกำรตีพิมพ์ เช่น หนังสือ วำรสำร หนังสือพิมพ์ กฤตภำค เป็นต้น วัสดุตีพิมพ์จัดแยกประเภทตำมลกั ษณะรูปเลม่ และวัตถปุ ระสงค์ในกำรจัดทำไดด้ งั นี้ 4.1.1 หนังสอื (Books) หนังสอื เปน็ สิ่งพิมพ์ทร่ี วบรวมสำรสนเทศทงั้ ทำงด้ำนวชิ ำกำร สำรคดแี ละบนั เทิงคดี ให้เนอื้ หำที่จบบรบิ ูรณ์ในเล่มเดียวหรอื หลำยเล่มทเ่ี รียกวำ่ หนงั สอื ชุด ประเภทของหนังสอื จดั แยกตำมลกั ษณะเนือ้ หำได้ดังนี้ 1) หนังสอื วิชาการหรือหนงั สือตารา (Text Book) หมำยถงึ หนังสอื ท่ใี ห้ควำมรใู้ นสำขำวิชำใดวชิ ำหน่ึง โดยผู้แต่งท่ีมคี วำมรู้ควำมเชี่ยวชำญเฉพำะสำขำวิชำ กำรนำเสนอเน้ือหำมักใช้คำศัพท์เฉพำะทำงวิชำกำรทเ่ี กยี่ วข้อง มีภำพประกอบ ตำรำง แผนภมู ิ แผนที่ แผนผงั เพื่อกำรอธิบำยเรอื่ งรำวให้ละเอียดชดั เจน 2) หนังสือสารคดี หมำยถึง หนังสือที่นำเสนอเร่ืองรำวกึ่งวิชำกำรเพื่อควำมเพลิดเพลินในกำรอ่ำน และหลีกเลี่ยงกำรใช้คำศัพท์เฉพำะทำงวิชำกำรเพื่อให้เข้ำใจเน้ือหำสำระได้โดยง่ำย เช่น หนังสือนำเที่ยว หนังสือสรรพสำระ (Reader Dijet) เป็นต้น 3) หนังสือแบบเรียน (Textbooks) หมำยถึง หนังสือที่จัดทำข้ึนตำมหลักสูตรรำยวิชำเพื่อใช้ประกอบกำรเรียนกำรสอนของนักเรียนนักศึกษำในระดับต่ำงๆ นำเสนอเน้ือหำตำมข้อกำหนดในหลักสูตร ต่ำงจำกหนังสือตำรำท่ัวไปที่มีคำถำมท้ำยบทเพื่อให้ผู้เรียนได้ประเมินผลกำรเรียนและทบทวนบทเรยี น 4) หนังสืออ้างอิง (Reference Books) หมำยถึง หนังสือท่ีรวบรวมเรื่องรำวข้อเท็จจริงในสำขำวิชำต่ำง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อกำรศึกษำค้นคว้ำ เช่น หนังสือสำรำนุกรม พจนำนุกรม นำมำนุกรมหนังสืออ้ำงอิงชีวประวัติ หนังสืออ้ำงอิงภูมิศำสตร์ หนังสือรำยปี หนังสือบรรณำนุกรม หนังสือดัชนีและสำระสังเขป และหนังสือคู่มือ เป็นต้น โดยทั่วไปทำงห้องสมุดจะจัดแยกหนังสืออ้ำงอิงออกจำกหนังสือทั่วไปเพ่ือควำมสะดวกในกำรเข้ำถึงสำรสนเทศที่ต้องกำรได้อย่ำงรวดเร็ว และมักจะไม่ให้ยืมออกจำกห้องสมุด ทั้งน้ีเพรำะผู้ค้นคว้ำต้องกำรคำตอบในปัญหำเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยไม่จำเป็นต้องอ่ำนตลอดเล่ม และเพ่ือให้สำมำรถเรยี กใชไ้ ด้ตลอดเวลำ 5) วิทยานิพนธ์หรือปริญญานิพนธ์ (Thesis or Dissertation) เป็นรำยงำนผลกำรค้นคว้ำวิจัยเพ่ือขอรับปริญญำตำมหลักสูตรในระดับปริญญำโท (Thesis) และปริญญำเอก(Dissertation) เนื่องจำกเป็นรำยงำนผลกำรค้นพบสำระควำมรู้ในสำขำวิชำตำ่ งๆ ท่ีได้จำกกำรสำรวจ ทดลอง วิเครำะห์และสังเครำะห์อย่ำงเปน็ ระบบภำยใต้กำรให้คำปรึกษำจำกอำจำรย์ที่ปรึกษำและผู้เช่ียวชำญในสำขำวิชำต่ำงๆ จึงเหมำะสำหรับกำรใช้เป็นขอ้ มลู ประกอบกำรเขียนเอกสำรตำรำวชิ ำกำร หรือรำยงำนภำคนพิ นธ์
3 6) รายงานการวิจัย (Research Report) เสนอสำรสนเทศที่เป็นผลผลิตจำกกำรศึกษำค้นคว้ำวิจัย-เนื้อหำมักประกอบด้วย ชื่อเร่ือง ข้อควำมเกี่ยวกับผู้เขียน สำระสังเขป บทนำ วัตถุประสงค์ขอบเขต และวธิ ดี ำเนนิ กำรวิจยั ผลกำรวจิ ัย บทสรุป และรำยกำรอ้ำงองิ 7) รายงานการประชุมทางวิชาการ (Proceedings) ให้สำรสนเทศที่ได้จำกกำรแลกเปลี่ยนประสบกำรณ์ของนักวิชำกำรท่ีเก่ียวข้อง ซึ่งอำจเป็นข้อสรุปในกำรแก้ปัญหำ ข้อเท็จจริงเก่ียวกับควำมรู้ใหม่ทคี่ ้นพบ หรอื ขอ้ ตกลงในแผนงำนหรอื นโยบำยใหม่ ท่ีนกั วิชำกำรนำเสนอในกำรประชมุ ทำงวิชำกำรหรอื วชิ ำชีพ 8) นวนิยายและเรอ่ื งสั้น (Short Story Collection) เป็นหนังสอื ทแ่ี ต่งขน้ึ ตำมจินตนำกำรเน้นควำมสนุกควำมเพลิดเพลิน และควำมซำบซ้ึงในอรรถรส วรรณกรรม สำรสนเทศจำกนวนิยำยนำมำใช้เป็นหลักฐำนอำ้ งอิงขอ้ เท็จจรงิ ไมไ่ ด้ 4.1.2วารสารและนติ ยสาร วำรสำรและนติ ยสำรมำจำกคำในภำษำองั กฤษ 3 คำ คือ Magazine, Journal และPeriodical มีควำมหมำยแตกต่ำงกันตำมลักษณะเน้ือหำที่นำเสนอ Magazine หรือเรียกว่ำ “นิตยสำร”มักจะเน้นเน้ือหำทำงด้ำนบันเทิงคดี Journal หรือเรียกว่ำ “วำรสำร” จะเน้นเน้ือหำทำงวิชำกำร ส่วนคำว่ำPeriodical หมำยถงึ ส่ิงพิมพท์ ่อี อกเป็นวำระ มีควำมหมำยรวมท้ัง Magazine และ Journal เช่นเดียวกบั คำว่ำ“วำรสำร” ในภำษำไทยที่มีควำมหมำยรวมถึงส่ิงพิมพ์ท่ีออกเป็นวำระ มีควำมหมำยรวมทั้งนิตยสำรและวำรสำร วำรสำรเป็นสิ่งพิมพ์ที่ออกตำมกำหนดระยะเวลำอย่ำงสม่ำเสมอ เช่น รำยสัปดำห์ รำยปักษ์ (สองสัปดำห์) หรือ รำยเดือน ให้สำรสนเทศในรูปแบบ “บทควำม” จำกผู้แต่งหลำยคน เน้ือหำสำระอำจเป็นเรอ่ื งในสำขำวิชำเดยี วกนั หรือรวมเรื่อง ซึง่ อำจแบ่งประเภทวำรสำรตำมลกั ษณะเน้อื หำเป็น 3 ประเภท คือ 1) วารสารวิชาการ (Journals or Periodicals) เช่น วำสำรกำรพยำบำล/ วำรสำรจุฬำลงกรณ์เวชสำร/พยำบำลกระทรวงสำธำรณสุข/ วำรสำรสำธำรณสุขศำสตร์/ โภชนำกำร/ วำรสำรโร ง พ ย ำ บ ำ ล ชุ ม ช น / Nursing Older People/Obstetrics&Gynecology/ Educational Research/Journal of Psychosocial Nursing เปน็ ต้น 2) วารสารทัว่ ไปหรอื นติ ยสาร (Magazine) เชน่ เท่ยี วรอบโลก/ สำรคดี/ สมนุ ไพร/รักลูก/ สกุลไทย/หญิงไทย/ ขวัญเรือน/ ซีเคร็ต/ ชีวจิต/ หมอชำวบ้ำน/ National Geographic/ Computertoday/ Reader’s Digest เปน็ ตน้ 3) วารสารขา่ วหรือวิจารณ์ขา่ ว (News Magazine) เช่น มติชนสดุ สปั ดำห์/ สยำมรฐัสปั ดำหว์ ิจำรณ/์ เอกสำรข่ำวรฐั สภำ/ Time/ Newsweek/ Asia News 4.1.3 หนังสอื พมิ พ์ หนังสือพิมพ์ (Newspaper) เป็นสง่ิ พิมพท์ อี่ อกตำมระยะเวลำทก่ี ำหนด อำจเป็นรำยวัน รำยสัปดำห์หรอื รำยปกั ษ์ แตส่ ่วนใหญ่จะพิมพเ์ ผยแพร่เปน็ รำยวัน ประเภทของหนังสือพิมพ์อำจจัดแยกตำมลกั ษณะกำรนำเสนอเนื้อหำออกเป็น 2 ประเภท คือหนงั สอื พิมพป์ ริมำณ และหนังสอื พิมพค์ ุณภำพ หนังสือพิมพ์ปริมำณจะเน้นกำรเสนอเนื้อหำและวิธีกำรเขียนที่เร้ำอำรมณ์ ชวนอ่ำน ข่ำวส่วนใหญ่จะเปน็ “ขำ่ วอ่อน” (Soft News) เชน่ ขำ่ วอบุ ัติเหตุ ขำ่ วสังคม ข่ำวอำชญำกรรม ขำ่ วบนั เทิง ข่ำวกีฬำ เปน็ ต้น หนังสือพิมพ์คุณภำพจะเน้นเสนอเน้ือหำท่ีให้รำยละเอียดตำมข้อเท็จจริง วิธีกำรเขียนจะไม่เร้ำอำรมณ์เหมือนหนังสือพมิ พป์ ริมำณ ขำ่ วสว่ นใหญจ่ ะเป็น “ข่ำวแข็ง” (Hard News) เช่น ข่ำวเศรษฐกิจข่ำวกำรเมือง ข่ำวตำ่ งประเทศ ข่ำวกำรศกึ ษำ ขำ่ วศลิ ปะวฒั นธรรม เป็นต้น
4 4.1.4 จลุ สาร จุลสำร (Pamphlets) คอื สงิ่ พิมพ์ท่มี ีขนำดเลก็ ปกออ่ น ควำมหนำอย่รู ะหวำ่ ง 2-60 หนำ้เปน็ สิ่งพมิ พ์ท่หี นว่ ยงำนรำชกำร องคก์ ำร บรษิ ทั หำ้ งร้ำน สถำบัน สมำคมและหนว่ ยงำนตำ่ งๆ จัดพมิ พ์เผยแพรเ่ รอื่ งรำว ควำมรสู้ ัน้ ๆ เนื้อหำทนั สมัย อ่ำนเขำ้ ใจงำ่ ย แมจ้ ะใหร้ ำยละเอียดไมม่ ำกนกั แต่ใชส้ ำหรับคน้ ควำ้ เพิ่มเติมและอ้ำงอิงได้ 4.1.5 กฤตภาค กฤตภำค (Clipping) เปน็ วัสดุตีพมิ พ์ทีเ่ กิดจำกกำรเลอื กและจดั เก็บ บทควำมท่นี ่ำสนใจจำกหนังสือพมิ พ์หรือวำรสำรฉบับลว่ งเวลำ ซง่ึ อำจเป็นขำ่ ว บทควำมวชิ ำกำรหรือรปู ภำพ เรื่องใดเรอ่ื งหน่งึ เฉพำะเรอ่ื งท่ีเป็นประโยชนต์ อ่ กำรศึกษำหำควำมรู้ 4.1.6 สง่ิ พมิ พ์ลกั ษณะพิเศษ ส่ิงพมิ พ์ลกั ษณะพเิ ศษ หมำยถึง สิ่งพิมพท์ ม่ี คี วำมพิเศษที่แตกต่ำงจำกส่ิงพมิ พท์ ั่วไปทำงดำ้ นลักษณะรปู ทรง วสั ดทุ ใ่ี ช้ในกำรบนั ทกึ และกำรนำเสนอเนื้อหำสำรสนเทศในลักษณะพเิ ศษเฉพำะเจำะจง ส่งิ พิมพล์ กั ษณะพิเศษทจ่ี ัดให้บรกิ ำรในห้องสมดุ และสถำบนั บรกิ ำรสำรสนเทศ ไดแ้ ก่ 1) เอกสารสทิ ธบิ ัตร (Patents) ให้สำรสนเทศเก่ยี วกบั เทคโนโลยดี ้ำนกำรประดษิ ฐ์และกำรออกแบบผลติ ภณั ฑต์ ำ่ ง ๆ 2) เอกสารมาตรฐาน (Standards) เป็นเอกสำรที่ระบขุ อ้ กำหนดหรอื เกณฑ์ทีใ่ ชเ้ ปน็เครือ่ งบ่งชี้ถงึ คุณภำพ ควำมเหมำะสม ควำมปลอดภัย หรือคุณคำ่ ของสิ่งของ เครอ่ื งมือ และวธิ ีกำรปฏิบัติทเี่ ปน็ มำตรฐำน 3) แผนภมู ิ (Charts) ใหส้ ำรสนเทศทแี่ สดงควำมสมั พนั ธข์ องเรื่องรำวหรอื แนวคิด โดยใชภ้ ำพสัญลักษณ์ ตัวเลข และตวั หนงั สือ ประกอบกัน 4) แผนภาพ (Diagrams) ใหส้ ำรสนเทศทแี่ สดงโครงสรำ้ ง และควำมสัมพนั ธ์ภำยในโครงสร้ำงของวตั ถหุ รอื กระบวนกำร โดยใชล้ ำยเส้นและสญั ลักษณแ์ สดง มคี ำบรรยำยประกอบ 5) แผนท่ี (Maps) ใหส้ ำรสนเทศเกีย่ วกบั ลกั ษณะของพื้นผวิ โลก และสภำพภูมิอำกำศ โดยใชภ้ ำพเส้น สี และสัญลกั ษณ์แสดง มที ้งั ท่ีเป็นแผ่น และเย็บเลม่ (Atlases) 4.2 ประเภทสารสนเทศไมต่ พี มิ พ์ (Non-Printed Material) สำรสนเทศไมต่ พี มิ พ์ หมำยถงึ ทรัพยำกรสำรสนเทศทบี่ นั ทกึ ไว้ในสอ่ื ทไ่ี ม่ได้ผ่ำนกระบวนกำรตีพมิ พ์ มหี ลำยประเภทดงั น้ี (ศรีสุภำ นำคธน, 2548) 4.2.1 ตน้ ฉบบั ตัวเขยี น ต้นฉบับตวั เขียน (Manuscript) คอื ทรัพยำกรสำรสนเทศทีจ่ ัดทำข้นึ โดยใช้ลำยมือเขยี น ได้แก่หนังสอื ท่จี ดั ทำในสมยั โบรำณกอ่ นทจี่ ะมีกำรพิมพ์ โดยกำรใช้จำร หรอื สลักลงบนวสั ดตุ ำ่ ง ๆ เช่น สมุดขอ่ ย ใบลำน แผน่ ปำปิรสั (Papyrus) แผ่นดนิ เหนยี ว แผ่นหนงั สัตว์ ศลิ ำจำรึก เป็นต้น 4.2.2 โสตวสั ดุ โสตวัสดุ (Audio Materials) คือ วสั ดสุ ำรสนเทศทใี่ ช้เสียงเป็นสอ่ื ในกำรถ่ำยทอดสำรสนเทศ เชน่ - แผ่นเสยี ง (Phonodiscs) วัสดุทำด้วยคร่งั หรือพลำสตกิ ทรงกลม ใช้เทคนคิ ทีท่ ำให้เกดิร่องเลก็ ๆ บนพ้นื ผวิ อยำ่ งตอ่ เนือ่ งเป็นวงกลม มีควำมตืน้ ลกึ ไมเ่ ท่ำกัน กำรทำให้เกดิ เสียงต้องใช้กับเคร่ืองเล่นแผน่ เสยี งโดยเฉพำะ ซึ่งจะมเี ขม็ แหลมอยู่ทปี่ ลำยของเครอ่ื งเลน่ - แถบบันทกึ เสียงหรอื เทปบันทึกเสียง (Phonotape) มีลักษณะเปน็ แถบแมเ่ หล็กบันทกึ เสียง มี 2 แบบ คอื แบบมว้ น (Reel Tape) และแบบตลับ (Cassette Tape)
5 - แผ่นซีดี (Compact Discs) ทำด้วยโลหะ มีรูปทรงคลำ้ ยแผ่นเสยี ง กำรบันทึกใชร้ ะบบแสงเลเซอรฉ์ ำยบนพ้นื ผิวทำให้เกดิ เปน็ รอ่ งเลก็ ๆ บนพื้นผิวอยำ่ งต่อเนอื่ งเป็นวงกลม มีควำมตืน้ ลกึ ไมเ่ ทำ่ กันเวลำเลน่ จะตอ้ งมเี ครอ่ื งเล่นโดยเฉพำะ มีหวั อำ่ นซึ่งจะฉำยแสงเลเซอรล์ งไปบนรอ่ งลำแสงสะทอ้ นออกมำจะเป็นจังหวะตำมควำมขรุขระของรอ่ งเสียง และมหี นว่ ยแปลงสญั ญำณแสงเป็นสัญญำณเสยี ง ปจั จุบัน มกี ำรพฒั นำเทคโนโลยสี งู ขนึ้ ทำใหค้ ณุ ภำพของเสยี งทีด่ ีกวำ่ เสียงจำกแผ่นเสยี ง หรอื แถบบันทกึ เสียง 4.2.3 ทัศนวสั ดุ ทัศนวสั ดุ (Visual Materials) คือ วัสดุสำรสนเทศทต่ี ้องใช้สำยตำเป็นส่ือในกำรรบั รูส้ ำรสนเทศโดยกำรมองดู อำจดูโดยตำเปลำ่ หรือใชเ้ ครื่องมอื หรืออปุ กรณส์ ำหรับฉำยประกอบ เชน่ - รูปภาพ (Picture) อำจเปน็ ภำพเขยี น ภำพถำ่ ย หรือภำพพิมพ์ ซ่งึ จะแสดงเนอ้ื หำให้เข้ำใจเร่ืองรำวจำกภำพ - ลูกโลก (Globe) เปน็ วัสดุท่ใี ช้แสดงลักษณะของพืน้ ผวิ โลก และสภำพภมู ิอำกำศเชน่ เดยี วกบั แผนที่ ต่ำงกันตรงท่ีลกู โลกมีลักษณะเปน็ ทรงกลม - ภาพเลือ่ น หรอื ฟิลม์ สตรปิ (Filmstrips) ส่วนใหญใ่ ชฟ้ ลิ ์มขนำด 35 มม. ใชเ้ ทคนคิกำรถ่ำยภำพทีละภำพลงบนฟิลม์ ม้วน มคี วำมยำวประมำณ 30-60 ภำพ เวลำฉำยจะเลอื่ นไปทลี ะภำพ - ภาพน่งิ หรอื สไลด์ (Slides) สว่ นใหญ่มีขนำด 2 น้ิว x 2 นวิ้ ใช้ฟลิ ์มขนำด 35 มม.มลี ักษณะกำรฉำยภำพเช่นเดียวกับฟิลม์ สตริป ตำ่ งกันตรงทภี่ ำพแต่ละภำพของสไลด์จะอยู่บนฟิลม์ แต่ละแผน่ ซง่ึจะนำมำทำกรอบอีกครัง้ หนึ่ง - แผน่ ภาพโปรง่ ใส (Transparencies) เปน็ แผ่นพลำสตกิ หรือำซีเตท (Acetate) ใชก้ บัเครื่องฉำยภำพข้ำมศีรษะ (Overhead Projector) ขนำดท่ีนยิ มใช้มี 2 ขนำด คือ 7 นวิ้ x 7 น้วิ และ 10 น้ิว x 10นว้ิ - หุ่นจาลอง (Model) แสดงวสั ดุในลกั ษณะ 3 มติ ิ ทำเลยี นแบบของจรงิ คล้ำยกบั ของจรงิยอ่ ส่วนให้เล็กลง อำจตดั ทอนรำยละเอียดทย่ี ุ่งยำกซบั ซ้อนออก คงไวแ้ ต่ลักษณะสำคญั - ของจรงิ (Realia) เปน็ ของจริงท่นี ำมำแสดงใหเ้ หน็ 4.2.4 โสตทศั นวัสดุ โสตทัศนวสั ดุ (Audiovisual Materials) เป็นวสั ดสุ ำรสนเทศท่ถี ่ำยทอดโดยกำรใชท้ ัง้ ภำพและเสยี งประกอบกัน เช่น - ภาพยนตร์ (Motion Pictures) เปน็ วสั ดุสำรสนเทศท่ีใชเ้ ทคนิคกำรบนั ทกึ ภำพและเสยี งลงบนฟลิ ม์ ขนำดตำ่ ง ๆ กัน เชน่ 8 มม. 16 มม. 35 มม. 70 มม. เป็นต้น - สไลด์ประกอบเสียง (Slide Multivisions) เป็นกำรฉำยภำพน่ิงลักษณะเดยี วกบั สไลด์แตแ่ ตกต่ำงตรงทีม่ ีเสยี งประกอบ - วีดทิ ัศนห์ รอื เทปบนั ทึกภาพ (Videotapes) เปน็ เทปแม่เหล็กทีใ่ ชบ้ นั ทกึ ภำพและเสยี ง ในรูปของคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟำ้ สำมำรถลบและบันทกึ ใหมไ่ ดเ้ ชน่ เดยี วกบั เทปบนั ทกึ เสียง กำรใชต้ อ้ งใช้รว่ มกับเคร่ืองบนั ทกึ ภำพ เคร่อื งเล่นวีดทิ ศั นแ์ ละเครอื่ งรับโทรทัศน์ 4.2.5 วสั ดยุ อ่ ส่วน วสั ดุย่อส่วน (Microforms) เปน็ วสั ดุสำรสนเทศทใ่ี ชเ้ ทคนคิ กำรถำ่ ยภำพย่อส่วนจำกของจริง ลงบนแผ่นฟลิ ์มหรือวสั ดทุ ใ่ี ชบ้ ันทึกภำพ ประโยชน์ที่ไดค้ ือ เพือ่ ประหยดั เน้อื ทใ่ี นกำรจัดเก็บ เมื่อต้องกำรใช้สำรสนเทศจะตอ้ งนำฟิล์มยอ่ สว่ นน้ันมำเขำ้ เครือ่ งอ่ำน จึงจะสำมำรถอำ่ นได้
64.3 สารสนเทศอิเลก็ ทรอนกิ ส์ (Electronic Materials) สำรสนเทศอเิ ล็กทรอนิกส์ หมำยถึง ข้อมลู ขำ่ วสำรและควำมรู้เร่ืองรำวซง่ึ มีประโยชน์ มีกำรรวบรวมและจัดเก็บไว้ในรูปแบบท่ีอ่ำนหรือค้นคืนได้ด้วยเคร่ืองคอมพิวเตอร์ (ศรีสุภำ นำคธน, 2548, น.35) กำรบันทึกและจัดเก็บสำรสนเทศด้วยวิธีกำรทำงอิเล็กทรอนิกส์สำมำรถบันทึกข้อมูลได้เป็นจำนวนมำก ตลอดจนสำมำรถแสดงสำรสนเทศได้ ในรูปแบบของตัวอักษร ภำพ เสียง ภำพเคล่ือนไหว แบ่งออกเป็น 6 ประเภทได้แก่ ซีดีรอม แผ่นวิดีทัศน์ระบบดิจิทัล หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ วำรสำรอิเล็กทรอนิกส์ หนังสือพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ และฐำนขอ้ มูล โดยมีรำยละเอยี ด ดงั นี้ 1. ซดี รี อม (Compact disc Read only Memory ; CD-ROM) เป็นสือ่ ทใี่ ช้บันทกึ สำรสนเทศมีลักษณะเป็นจำนวงกลมเคลือบเงำ มีเส้นผ่ำนศูนย์กลำงขนำด 4.75 นิ้ว หรือ 12 เซนติเมตร มีควำมหนำประมำณ 1.2 มิลลิเมตร สำมำรถจุข้อมูลได้ประมำณ 250,000 หน้ำ หรือ 600 ล้ำนตัวอักษร และสำมำรถบันทึกข้อมูลได้ท้ังตัวอักษร ภำพ เสียง ภำพเคล่ือนไหว รวมทั้งส่ือประสม (Multimedia) ต่ำงๆ เป็นส่ือที่สำมำรถอำ่ นไดอ้ ย่ำงเดียว ไม่สำมำรถแก้ไขปรบั ปรุงข้อมูลได้ ใช้กับเครอื่ งอ่ำนดว้ ยแสดงเลเซอร์ 2. แผน่ วดิ ีทศั นร์ ะบบดจิ ทิ ลั และแผ่นดิจทิ ลั เอนกประสงค์ (Digital Versatile Disc-DVD)เป็นสื่อชนิดใหม่ที่ได้รับกำรพัฒนำมำจำกซีดีรอม รูปลักษณ์ภำยนอกคล้ำยคลึงกับแผ่นที่ก้ำวเข้ำมำทดแทนวิดที ศั นแ์ บบเดมิ นยิ มใช้บันทึกสำรสนเทศสือ่ ประสม เช่น ภำพยนตร์ ขำ่ ว เหตกุ ำรณส์ ำคัญๆ สำรคดี 3. หนังสอื อเิ ล็กทรอนกิ ส์ (Electronic Books) หรอื e-Books เปน็ หนงั สือทผี่ ลิตออกมำในรปู แบบของดจิ ิทัลจัดเก็บและบันทึกข้อมูลด้วยระบบคอมพวิ เตอร์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่ใชเ้ ก็บรวบรวมและบันทึกข้อมูลได้แก่ แผน่ ซีดรี อม แผ่นดวี ีดรี อม เครอ่ื งคอมพวิ เตอร์แม่ข่ำย (Sever) กำรใช้หนังสอื อิเล็กทรอนิกสจ์ ำเป็นต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์และซอฟแวร์สำหรับกำรเปดิ และอ่ำนข้อมูล บำงคร้ังมีกำรจัดทำไฮเปอร์มีเดีย (Hypermedia)หรือไฮเปอร์ลิงก์ (Hyperlink) เพื่อกำรเช่ือมโยงไปยังแหล่งข้อมูลอื่นๆ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์แบ่งออกเป็นหนงั สืออิเล็กทรอนกิ สแ์ บบฐำนขอ้ มลู และแบบแต่ละช่ือเรอ่ื งดังน้ี 1. หนงั สืออเิ ลก็ ทรอนิกสแ์ บบฐำนข้อมลู คอื ฐำนขอ้ มลู หนงั สอื อิเล็กทรอนิกสท์ หี่ ้องสมุดบอกรับเพื่อให้ผู้ใช้บริกำรได้เข้ำถึงเน้ือหำที่อยู่ในฐำนข้อมูลน้ันภำยในระยะเวลำท่ีกำหนด ตัวแทนจำหน่ำยดำเนนิ กำรเพ่ิมรำยกำรหนงั สืออิเลก็ ทรอนกิ ส์อยำ่ งต่อเนอื่ งโดยทห่ี อ้ งสมดุ มติ ้องจำ่ ยเงินเพม่ิ เติม 2. หนังสืออเิ ล็กทรอนิกสแ์ บบแตล่ ะชื่อเรื่อง คอื หนังสืออิเลก็ ทรอนกิ สท์ หี่ อ้ งสมุดจดั ซ้ือเหมือนหนังสือฉบับพิมพ์ท่ัวไป เป็นกำรซ้ือขำดหรือห้องสมุดมีสิทธิ์ขำดในหนังสืออิเล็กทรอนิกส์รำยชื่อนั้นแตห่ ำกมกี ำรปรับปรุงแก้ไขเพ่ิมเติมเนอื้ หำ ห้องสมดุ อำจจัดซื้อใหม่ตำมควำมสมัครใจ นอกจำกนี้ หอ้ งสมดุ ยงัสำมำรถจัดซือ้ แบบรำยปี ซงึ่ ทำให้ไดข้ อ้ มลู ใหม่ๆ แต่มีขอ้ จำกัดด้ำนระยะเวลำในกำรใชแ้ ละรำคำแพง 4. วารสารอเิ ลก็ ทรอนิกส์ (Electronic Journals) หรือ e-Journals เป็นวำรสำรในรปู แบบดิจิทลัเผยแพร่ผ่ำนสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และแสดงผลทำงหน้ำจอคอมพิวเตอร์ จัดทำโดยนกั วชิ ำกำรและผู้เชย่ี วชำญในแตล่ ะสำขำวิชำ ให้บรกิ ำรบทควำมวำรสำรในรูปแบบบทคัดย่อและเอกสำรฉบับเต็ม (รวษิ ฎำ หงสก์ ำญจนกลุ ,2551, น.18) ไดร้ ับควำมนยิ มมำกในปจั จุบันนท้ี ้ังทำงฝ่ำยของผู้ผลิตและผู้ใช้ ฝ่ำยผลิตสำมำรถผลติ ไดโ้ ดยไมจ่ ำกัดจำนวนและไม่ต้องมีค่ำใชจ้ ่ำยในเร่ืองของกระดำษ กระบวนกำรเย็บเล่ม และกระบวนกำรขนส่งจำกผู้ผลิตไปยังผู้ใช้ ส่วนผู้ใช้สำมำรถอ่ำนวำรสำรได้ทันท่ีท่ีผู้ผลิตอัปโหลดข้อมูลลงบนเครือข่ำยคอมพิวเตอร์ บำงสำนักพิมพ์ผลิตวำรสำรออกมำทั้งในรูปแบบเล่มและรูปแบบอเิ ล็กทรอนิกส์ ซ่ึงรูปลักษณ์ของทั้ง 2 แบบ มีลักษณะคล้ำยคลึงกันแตม่ ีควำมต่ำงตรงวธิ ีกำรอ่ำน โดยวธิ ีกำรอำ่ นด้วยตำเปลำ่ หรือกำรอ่ำนจำกหนำ้ จอคอมพวิ เตอร์
7 วำรสำรอิเล็กทรอนกิ ส์มีทงั้ ใหอ้ ำ่ นฟรีได้ท้ังเล่ม ใหอ้ ่ำนฟรีเฉพำะฉบบั ย้อนหลัง (Back Issue) ให้อ่ำนเฉพำะหน้ำสำรบัญ ตลอดจนต้องบอกรบั เปน็ สมำชิกจงึ สำมำรถอ่ำนได้ วำรสำรวิชำกำรภำษำต่ำงประเทศจำนวนมำกท่ีตีพิมพ์ในรูปแบบดิจิทัลมีกำรทำสัญญำซื้อขำยกับบริษัทจำหน่ำยฐำนข้อมูลเพ่ือเป็นผู้จำหน่ำยดังนั้น ห้องสมุดไม่จำเป็นต้องติดต่อไปยังผู้ผลิตวำรสำรแต่ละรำยกำร ซึ่งเป็นกำรส้ินเปลืองเวลำ พลังงำนและงบประมำณ แตใ่ ช้วธิ กี ำรติดตอ่ ไปยงั บริษทั ตวั แทนจำหน่ำยฐำนข้อมลู แทน รปู แบบกำรใหบ้ ริกำรวำรสำรอิเล็กทรอนกิ สท์ ีไ่ ดร้ บั ควำมนิยมในปัจจุบนั มี 2 รูปแบบ คอื วำรสำรที่ให้บริกำรในฐำนขอ้ มูลออนไลน์ และวำรสำรที่ได้ให้บริกำรในลักษณะเว็บไซต์ของวำรสำรโดยตรง (รัถพร ซังธำดำและคณะ, 2550 อำ้ งอิงใน เดชดนัย จ้ยุ ชมุ , 2554, น.119) 1. วำรสำรทใ่ี หบ้ รกิ ำรในฐำนข้อมลู ออนไลน์ หอ้ งสมดุ ทบ่ี อกรับวำรสำรอิเล็กทรอนิกสท์ มี่ ีฐำนข้อมูลออนไลน์ ผู้ใช้บริกำรสำมำรถอ่ำนบทควำมได้ท้ังฉบับปัจจุบัน (Current Issue) และฉบับย้อนหลัง(Back Issues) กำรเข้ำวำรสำรออนไลน์อำจมีข้อจำกัดในดำ้ นกำรดำวนโ์ หลดข้อมูล และส่งิ ที่สำคัญคือ ตอ้ งใช้เคร่ืองคอมพวิ เตอร์ท่ีอยู่ในเครอื ข่ำยภำยในหน่วยงำนเท่ำนั้น เพรำะบริษัทจำหน่ำยฐำนข้อมูลอนุญำตให้ค้นค้นได้เฉพำะเคร่ืองคอมพิวเตอร์ที่มีหมำยเลขไอพีแอดเดรส (IP Address) ของหน่วยงำนเท่ำน้ัน ผู้ใช้บริกำรที่อยู่นอกเครือข่ำยของหน่วยงำน หำกต้องกำรใช้ต้องทำกำร VPN (Virtual Private Network) เพ่ือล็อกอินเข้ำใช้ฐำนข้อมูล นอกจำกนี้ บำงฐำนข้อมูลอำจอนุญำตให้เข้ำใช้จำกนอกเครือข่ำยได้ โดยผู้ใช้บริกำรสำมำรถกำหนด User Name และ Password ของตนเอง ทั้งนี้ข้ึนอยู่กับขอ้ ตกลงในสัญญำกำรซอื้ ขำย 2. วำรสำรทใ่ี หบ้ รกิ ำรเปน็ เว็บไซตโ์ ดยตรง เป็นวำรสำรท่เี ผยแพรฟ่ รไี ม่เรียกเก็บค่ำใช้จ่ำยจำกผู้ใช้บริกำร แต่มีขอบเขตจำกัดกว่ำวำรสำรท่ีให้บริกำรในฐำนข้อมูลออนไลน์ เช่น ให้บริกำรย้อนหลังไม่ครบทุกฉบบั และไมใ่ หบ้ รกิ ำรเล่มของปปี ัจจบุ นั หรือในวำรสำรบำงฉบบั อำจให้บรกิ ำรครบทกุ ฉบบั 5. หนังสอื พิมพอ์ เิ ล็กทรอนกิ ส์ (Electronic Newspapers หรอื e-Newspapers) เปน็ หนังสอื พิมพท์ ี่ผลิตออกมำในรูปแบบของดิจิทัล มีกำรเชื่อมโยงข้อมูลบำงส่วนกับแหล่งข้อมูลอื่นๆ เนื้อหำสำระเหมือนกับหนังสือพิมพ์ในรูปเล่ม และวิธีกำรนำเสนอสำรสนเทศมีควำมคล้ำยคลึงกัน โดยจัดแบ่งเน้ือหำออกเป็นหมวดหมู่เช่น กำรเมือง กำรศึกษำ เศรษฐกิจ สังคม ศิลปวัฒนธรรม บันทึก และกีฬำ นำเสนอสำรสนเทศทั้งในรปู แบบของไฟล์ HTML และ ไฟล์ PDF และผอู้ ำ่ นสำมำรถย้อนกลับไปดูหนงั สือพมิ พฉ์ บบั เก่ำๆ ได้ เนื่องจำกใช้ระบบคอมพวิ เตอร์ ซึ่งมเี น้ือทใี่ นกำรจัดเก็บขอ้ มลู มำกวำ่ รปู เล่ม หนังสือพิมพอ์ ิเลก็ ทรอนกิ สบ์ ำงช่อื เชน่ ผู้จดั กำรออนไลน์ นำเสนอขำ่ วสำรขอ้ มลู ได้รวดเร็วกวำ่หนังสือพิมพ์รูปเล่ม เนื่องจำกไม่ต้องรอให้ครบวันแล้วจึงเสนอข้อมูล นอกจำกนี้ ยังจัดทำดัชนีช่วยค้นหำข้อมูลตำมควำมต้องกำร โดยกำรพิมพ์คำสำคัญ (Keywords) ซ่ึงหมำยถึง คำ กลุ่มคำหรือวลี ซ่ึงใช้แทนเนื้อหำเพื่อใช้ค้นหำสำรสนเทศ กำรอ่ำนข้อมูลจำกหนังสือพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ ไม่จำเป็นต้องเสียค่ำใช้จ่ำยในเร่ืองกำรบอกรับเป็นสมำชิก เพรำะบริกำรฟรี แต่หนังสือพิมพ์มีรำยได้จำกกำรโฆษณำหรือกำรขำยข่ำวยอ้ นหลงั หรอื กำรผลติ กฤตภำคออนไลน์ (Online Clippings) จำหน่ำยแกส่ มำชิก ลักษณะกำรนำเสนอเน้ือหำจำกหนังสอื พิมพอ์ อนไลนม์ ี 2 รูปแบบคอื ใช้เนอื้ หำข่ำวเดิมจำกส่ือส่ิงพิมพ์ขึ้นบนสื่อออนไลน์ และกำรเรียบเรียงข่ำวใหม่บำงส่วน ดว้ ยกำรปรับเปลี่ยน เพิ่มหรือตัดคำ/ประโยคและตัดเนื้อหำข่ำวท้ิงบำงส่วน เพ่ือประหยัดเวลำของผู้อำ่ นให้ได้เฉพำะสำระท่ีสำคัญ ส่วนรำยละเอียดให้อ่ำนจำกตวั เล่มฉบบั พมิ พ์
8 6. ฐานข้อมลู (Database) หมำยถงึ ระบบกำรจัดเกบ็ ข้อมูลสำรสนเทศทมี่ คี วำมสมั พันธ์กันโดยอำศัยคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือหลักในกำรจัดเก็บและค้นคืน ทำให้สำมำรถปรับปรุงเปล่ียนแปลง แก้ไขข้อมูลไดโ้ ดยง่ำย และสำมำรถใช้งำนไดพ้ ร้อมๆ กันหลำยคน องคป์ ระกอบสำคัญของฐำนข้อมูล ได้แก่ ข้อมูลฮำรด์ แวร์ ซอฟตแ์ วร์ และผู้ใชฐ้ ำนข้อมลู ฐำนข้อมลู สำมำรถจำแนกออกไดเ้ ป็น 4 ประเภท ได้แก่ ฐำนข้อมูลทรัพยำกรสำรสนเทศหรือ OPAC ฐำนข้อมูลซดี ีรอม ฐำนขอ้ มูลออนไลน์ และเครือข่ำยอินเทอร์เน็ต 1. ฐำนขอ้ มลู ทรัพยำกรสำรสนเทศ (OPAC) เปน็ ฐำนขอ้ มูลทส่ี ถำบันบริกำรสำรสนเทศได้จัดทำเพื่อให้ผใู้ ช้บรกิ ำรสำมำรถคน้ หำสำรสนเทศได้ตำมควำมต้องกำร ท้งั ฐำนขอ้ มูลหนังสอื ฐำนข้อมลู ดัชนีวำรสำรฐำนข้อมูลสื่อโสตทัศนวัสดุ ฐำนข้อมูลหน้ำสำรบญั วำรสำรภำษำตำ่ งประเทศ ฐำนขอ้ มลู ทรัพยำกรสำรสนเทศมักรจู้ ักในนำมของฐำนขอ้ มูล OPAC หรือ WebPac OPAC (Online Public Access Catalogues) หมำยถงึ กำรค้นคนื รำยกำรทรัพยำกรสำรสนเทศโดยทำงออนไลน์ ส่วนใหญ่ให้รำยละเอียดทำงบรรณำนุกรม เช่น ช่ือผู้แต่ง ช่ือเรื่อง ปีที่พิมพ์สถำนที่พิมพ์ ช่วยทำให้ผู้ใช้ทรำบว่ำต้องกำรค้นหำรำยละเอียดของสำรสนเทศได้จำกท่ีใด ห้องสมุดสถำบันกำรศึกำระดับอุดมศึกษำทุกแห่งในประเทศไทยมีกำรใช้ฐำนข้อมูล OPAC ทดแทนกำรค้นคืนรำยกำรสำรสนเทศจำกบัตรรำยกำร (Catalog Card) ผู้ใช้สำมำรถโต้ตอบกับระบบฐำนข้อมูลได้ (Interactive)รูปแบบหน้ำจอ OPAC ของห้องสมุดแต่ละแห่งไม่เหมือนกันท้ังน้ีขึ้นอยู่กับระบบห้องสมุดอัตโนมัติที่ห้องสมุดเลือกใช้ ระบบที่นิยมใช้ในห้องสมุดในประเทศไทย เช่น ระบบ INNOPAC, ระบบ ALIST, ระบบ MagicLibrary, ระบบ WALAI AutoLib ฯลฯ ดงั ตวั อย่ำงตอ่ ไปนี้ 2. ฐำนข้อมลู ซีดีรอม (CD-ROM Database) หรอื ฐำนขอ้ มูลแบบไม่เชือ่ มตรง (Off-Line)เป็นฐำนข้อมูลท่ีสถำบันบริกำรสำรสนเทศจัดซื้อจัดหำข้อมูลที่บันทึกลงบนแผ่นซีดีรอม หรือเป็นสมำชิกกับบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ำยซีดีรอม ซ่ึงดำเนินกำรจัดส่งข้อมูลท่ีทันสมัยให้กับสถำบันบริกำรสำรสนเทศอย่ำงสม่ำเสมอ หรือภำยหลงั จำกกำรมีปรับปรุงเปล่ียนแปลงฐำนข้อมูล เพื่อให้บริกำร เป็นฐำนข้อมูลที่ไดร้ ับควำมนิยมแพร่หลำย โดยเข้ำมำแทนที่ทรัพยำกรสำรสนเทศตีพิมพ์ และทรัพยำกรสำรสนเทศไม่ตีพิมพ์ เนื่องจำกสำมำรถเก็บข้อมูลได้มำกกว่ำ เก็บข้อมูลได้ท้ังภำพ เสียง รวมถึงภำพเคลื่อนไหว และยังประหยัดเนื้อที่ในกำรจัดเกบ็ ตลอดจนถงึ ควำมสะดวกสบำยในกำรสืบคน้ (ปรำณี ซื่ออุทิศกลุ , 2547, น.91) ฐำนข้อมลู ซีดรี อมท่จี ดั ไวบ้ ริกำรมำกทส่ี ุดในหอ้ งสมุดสถำบนั อดุ มศึกษำของไทย คือฐำนข้อมูลรำยกำรอ้ำงอิงหรือบรรณำนุกรม ผู้ใช้ได้รับข้อมูลเพียงรำยกำรทำงบรรณำนุกรมและบทคัดย่อของเร่ือง ส่วนรำยละเอียดเนื้อหำท่ีครบถ้วนสมบรู ณ์ต้องไปค้นหำจำกหนังสือและวำรสำรท่ีเป็นฉบบั จริง (อำภำกรธำตโุ ลหะ, 2547, น.87) 3. ฐำนขอ้ มูลออนไลน์ (Online Database) เปน็ ฐำนข้อมลู ท่ใี ห้บริกำรผำ่ นเครือขำ่ ยอินเทอร์เน็ตหรืออินทรำเน็ต เน้ือหำสำระของสำรสนเทศมีควำมทันสมัยมำกว่ำฐำนข้อมูลซีดีรอม เพรำะผู้จัดทำข้ึนเพ่ือดสำมำรถปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันได้อย่ำงสะดวกรวดเร็ว โดยไม่ต้องรอระบบขนส่งทำงไปรษณีย์ จึงได้รับควำมนิยมมำกในยุคปัจจุบัน บำงฐำนข้อมูลเสนอสำรสนเทศเต็มรูปแบบ (Full Text) บำงฐำนข้อมูลเสนอสำรสนเทศเฉพำะรำยละเอียดทำงบรรณำนกุ รมและสำระสำคัญเท่ำนัน้ ฐำนข้อมูลออนไลนไ์ ดร้ วบรวม จดั เก็บ และบรกิ ำรสำรสนเทศทุกสำขำวิชำจำกสิ่งพมิ พท์ ี่หลำกหลำย เช่น หนังสือ วำรสำร เอกสำรกำรประชุม เอกสำรประกอบกำรสัมมนำ นอกจำกน้ีครอบคลุมของปีปัจจุบันแล้ว ฐำนข้อมูลออนไลน์ยังครอบคลุมสำรสนเทศย้อนหลัง บริษัทจัดทำได้ออกแบบและพัฒนำไปรแกรมในกำรสืบคน้ สำรสนเทศไดม้ คี วำมสะดวกและเป็นมติ รต่อผ้ใู ช้ (User Friendly) นอกจำกนย้ี ังสำมำรถสืบคน้ ขอ้ มูลได้ก่อนกำรพิมพ์เอกสำรฉบบั เตม็
9 4. เครือข่ำยอินเทอรเ์ นต็ (Internet) เป็นแหล่งรวบรวมสำรสนเทศแหล่งใหญท่ ี่สุดในโลกเสนอเนื้อหำสำระครอบคลุมทุกสำขำวชิ ำ หลำกหลำยภำษำ สำมำรถสบื ค้นข้อมูลไดจ้ ำกทุกหนทุกแห่งทว่ั โลกที่เครือข่ำยเข้ำไปถึง แต่เนื่องจำกสำรสนเทศบนเครือข่ำยอินเทอร์เน็ตมีจำนวนมำกมำยมหำศำล มีทั้งข้อมูลที่แจง้ ควำมรับผดิ ชอบและขอ้ มูลทไ่ี มเ่ ปดิ เผยแหลง่ ขอ้ มูลอำ้ งองิ ดงั นน้ั กำรใชส้ ำรสนเทศเครอื ข่ำยอนิ เตอร์เนต็ ควรตอ้ งมีกำรพิจำรณำอย่ำงรอบคอบ ฐำนขอ้ มูลบนเครอื ข่ำยอินเทอรเ์ น็ตมลี กั ษณะคล้ำยกบั รำยกำรบรรณำนุกรม ที่แสดงรำยชื่อหนังสือและบทควำมในวำรสำร แต่มีกำรรวบรวมกำรเช่ือมโยงไปยังเวบ็ เพจต่ำงๆ หำกมีกำรสรุปสำระสำคัญของเว็บเพจและมีกำรจัดแบ่งเนื้อหำสำระตำมสำขำวิชำ เรียกวำ่ บรรณำนุกรมของเว็บไซต์ (Web Bibliographies)รำยกำรแหล่งสำรสนเทศ (Resource Lists0 คู่มือหัวเรื่อง (Subject Guides) ศูนย์แจกจ่ำยสำรสนเทศ(Clearing House) และห้องสมุดเสมือนจริง (Virtual Libraries) โดยให้ประโยชน์ต่อกำรค้นหำสำรสนเทศในแตล่ ะสำขำวิชำอยำ่ กวำ้ งๆ (เยำวลักษณ์ สวุ รรณแข, 2547, น.24)5. แหล่งสารสนเทศ (Information Resources) ความหมายของแหลง่ สารสนเทศ (Information Resources) แหล่งสำรสนเทศ หรือ Information Resources หมำยถึง แหล่งทีเ่ กิด แหลง่ ผลติ หรอื แหล่งทเี่ ปน็ ศูนยร์ วมทรัพยำกรสำรสนเทศ ในรูปแบบทห่ี ลำกหลำยไว้ให้บรกิ ำรค้นคว้ำสำหรบั ผ้ตู ้องกำรสำรสนเทศอำจกลำ่ วสรปุ ได้ว่ำ แหลง่ สำรสนเทศ หมำยถงึ แหลง่ ควำมรู้ตำ่ ง ๆ ทผ่ี ู้ใช้สำมำรถศกึ ษำคน้ ควำ้ เรือ่ งใดเรื่องหนง่ึ ซึ่งมีทั้งแหล่งสำรสนเทศที่จดั ใหบ้ รกิ ำรสำรสนเทศแกผ่ ู้ใชโ้ ดยตรง และแหลง่ สำรสนเทศทเ่ี ปน็ สถำนที่หรอื แหลง่ สำรสนเทศท่ีเป็นบคุ คลสำหรับแหลง่ สำรสนเทศที่จดั ให้บริกำรสำรสนเทศแกผ่ ูใ้ ชโ้ ดยตรงน้ันจะมีกำรบริหำรและดำเนนิ กำรจดั หำ จัดเกบ็ และใหบ้ ริกำรสำรสนเทศ ซ่งึ มบี ทบำทต่อสงั คมในกำรให้บรกิ ำรควำมรู้ขำ่ วสำร และสง่ เสรมิ กำรศกึ ษำคน้ ควำ้ แกผ่ ้ใู ช้ ประเภทของแหล่งสารสนเทศ แบ่งได้ 4 กลมุ่ ใหญ่ ๆ ดงั น้ี 1. แหลง่ สำรสนเทศบุคคล (Resource Person) 2. แหลง่ สำรสนเทศสถำบัน/ สถำนที่ (Resource Places and Information Center) 3. แหลง่ สำรสนเทศสื่อมวลชน (Resource Media) 4. แหลง่ สำรสนเทศอนิ เทอร์เนต็ (Resource Internet) 1. แหล่งสารสนเทศบคุ คล เปน็ แหล่งสำรสนเทศทม่ี อี ยู่ในตวั บคุ คลท่ีเป็นผรู้ ู้สำรสนเทศโดยเกิดจำกกำรประมวลควำมคดิ ควำมร้แู ละประสบกำรณ์ของแตล่ ะบคุ คล เชน่ ผู้เชย่ี วชำญ นกั วิชำกำรนกั วชิ ำชพี ในสำขำวชิ ำต่ำง ๆ และปรำชญ์ชำวบ้ำน เปน็ ต้น วธิ ีกำรไดส้ ำรสนเทศจำกแหล่งสำรสนเทศบคุ คล - ผู้ใชต้ อ้ งทรำบว่ำบคุ คลใดมคี วำมรู้ ควำมเชี่ยวชำญในเรือ่ งทตี่ นสนใจ - ใชว้ ิธีกำรสอบถำม สัมภำษณ์ หรอื พดู คยุ โดยตรง หรือผำ่ นทำงโทรศัพท์อีเมล์(Electronic Mail) หรือทำงไปรษณยี ์ ตวั อยา่ งของแหลง่ สารสนเทศบคุ คล - พระบำทสมเด็จพระเจำ้ อยู่หัว รัชกำลท่ี 9 ด้ำนกำรเกษตรทฤษฎีใหม่ ปรัชญำเศรษฐกจิ พอเพียง - นำงขวญั จิต ศรปี ระจันต์ ปรำชญช์ ำวบ้ำน ดำ้ นเพลงพน้ื บ้ำน จังหวดั สุพรรณบรุ ี - นำยวิบูลย์ เขม็ เฉลมิ อำชีพเกษตรกรในจงั หวดั ฉะเชงิ เทรำ ปรำชญ์ชำวบำ้ นในด้ำนกำรเกษตรผสมผสำน
10 - ศำสตรำจำรยน์ ธิ ิ เอ่ียวศรวี งศ์ นกั วชิ ำกำรดำ้ นประวตั ิศำสตร์ - ศำสตรำจำรย์นำยแพทยป์ ระเวศ วะสี นกั วิชำกำรดำ้ นภูมิปัญญำชำวบ้ำน และวถิ ีชำวบำ้ น - แพทยห์ ญงิ คณุ หญงิ พรทพิ ย์ โรจนสุนันทน์ นกั วิชำกำรดำ้ นนิตเิ วชวิทยำ 2. แหลง่ สารสนเทศสถาบนั / สถานที่ แหลง่ สำรสนเทศสถำบนั หรอื สถำบันบริกำรสำรสนเทศเป็นแหลง่ สำรสนเทศที่จัดตัง้ อยู่ในองคก์ ำรต่ำง ๆ อำจเปน็ หน่วยงำนรฐั บำล รฐั วิสำหกจิ เอกชน สมำคมหรอื องคก์ ำรระหว่ำงประเทศ โดยทำหนำ้ ท่ีใหบ้ รกิ ำรสำรสนเทศแก่ผ้ใู ช้สำรสนเทศในองค์กำร ได้แก่ - หอ้ งสมดุ เป็นสถำบนั บรกิ ำรสำรสนเทศทท่ี ำหนำ้ ทีเ่ ปน็ แหลง่ ศึกษำคน้ คว้ำหำควำมรู้ โดยมีบรรณำรกั ษ์ทำหน้ำที่ในกำรจดั กำรและให้บริกำรสำรสนเทศ หอ้ งสมดุ มหี ลำยประเภท เชน่ หอสมุดแหง่ ชำติหอ้ งสมดุ ประชำชน ห้องสมุดโรงเรยี น ห้องสมดุ เฉพำะ หอ้ งสมดุ สถำบนั อุดมศึกษำ - หอจดหมายเหตุ (Archives) เป็นหนว่ ยงำนทจ่ี ัดเก็บเอกสำรเชงิ ประวตั ศิ ำสตร์ทีเ่ กยี่ วข้องกบักำรดำเนนิ งำนท่ผี ่ำนมำของหนว่ ยงำนตำ่ ง ๆ - หอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ จัดเกบ็ เอกสำรเชงิ ประวัติศำสตรข์ องประเทศ เชน่ เอกสำรรชั กำลที่ 5 - หอจดหมายเหตุธนาคารแหง่ ประเทศไทย จดั เกบ็ เอกสำรเกี่ยวกบั เศรษฐกิจ กำรเงิน กำรคลงัของประเทศไทย ทห่ี มดอำยุกำรใชง้ ำน แตย่ ังมคี ณุ คำ่ เชงิ ประวตั ิศำสตร์ - ศูนยส์ ารสนเทศ (Information Centers) เป็นสถำบนั บริกำรสำรสนเทศเฉพำะสำขำวชิ ำ ทำหน้ำท่คี ล้ำยหอ้ งสมุด แต่เนน้ ใหบ้ รกิ ำรสำรสนเทศเจำะลกึ เฉพำะเร่อื งที่ผู้ใชต้ อ้ งกำร ผูท้ ำหน้ำทีใ่ ห้บริกำรมักเปน็ นกั เอกสำรสำรสนเทศ หรอื นักสำรสนเทศท่มี คี วำมรู้เฉพำะสำขำวิชำ เช่น เศรษฐศำสตร์ และกฎหมำย ตัวอย่างของศูนย์สารสนเทศ - ศูนยส์ ำรสนเทศ สำนักงำนปลัดกระทรวงศึกษำธิกำร (EMISC : Education ManagementInformation System Center) - ศูนยบ์ รกิ ำรสำรสนเทศทำงเทคโนโลยี (TIAC : Technical Information Access Center) 3. แหลง่ สารสนเทศสอ่ื มวลชน เป็นแหลง่ สำรสนเทศท่มี ุ่งเผยแพรส่ ำรสนเทศ ข่ำวสำรเหตุกำรณ์ ตอ่ ประชำชน โดยเน้นข่ำวสำรเหตุกำรณ์ที่เกดิ ขึ้นใหม่ ๆ รวมทงั้ สำระควำมรใู้ นเร่อื งตำ่ ง ๆท่เี ป็นประโยชน์ โดยวธิ ีกำรแพรก่ ระจำยเสียง ภำพ และตัวอกั ษร ผำ่ นสื่อประเภทโทรทัศน์ วทิ ยุ และหนงั สอื พิมพ์ แหล่งสารสนเทศสือ่ มวลชนมี 3 ประเภท - ส่อื โทรทัศน์ เป็นแหลง่ เผยแพร่สำรสนเทศประเภทขำ่ ว เหตุกำรณส์ ำคญั สำระควำมร้ใู นเร่อื งทป่ี ระชำชนสนใจ ผำ่ นทำงเสยี ง ภำพ และข้อควำม โดยอุปกรณเ์ ครอ่ื งรับโทรทศั น์ - สือ่ วิทยุ เปน็ แหลง่ เผยแพร่สำรสนเทศ ขำ่ วสำร สำระควำมรู้ ผำ่ นทำงเสยี ง โดยผ่ำนอุปกรณ์เครอ่ื งรบั วทิ ยุ - ส่อื หนังสือพิมพ์ เป็นแหลง่ เผยแพร่สำรสนเทศ ขำ่ วสำร เหตกุ ำรณ์ สำระควำมรู้ผ่ำนทำงสิง่ พมิ พ์ทอ่ี อกอยำ่ งต่อเน่ือง สว่ นใหญเ่ ปน็ หนงั สอื พิมพร์ ำยวนั โดยเนน้ กำรนำเสนอข่ำวสำร เหตุกำรณ์บำ้ นเมืองที่เป็นปจั จุบนั และอยู่ในควำมสนใจของประชำชน 4. แหลง่ สารสนเทศอนิ เทอร์เน็ต (Internet) อนิ เทอรเ์ น็ตเปน็ เครอื ขำ่ ยคอมพวิ เตอร์ทเี่ ชอ่ื มโยงเคร่อื งคอมพวิ เตอร์ท่วั โลกใหส้ ำมำรถตดิ ต่อส่อื สำรกนั ได้ แหลง่ ควำมรู้บนอินเทอร์เนต็ ปรำกฏอยใู่ นรปู แบบของเว็บไซต์ เวบ็ ไซต์เปรยี บเสมอื นห้องสมดุ ควำมร้ขู นำดใหญ่ ทร่ี วบรวมควำมรใู้ นทุกเรื่องทุกสำขำวชิ ำ ทั้งคอมพิวเตอร์ ส่ิงแวดล้อม ประเพณี วฒั นธรรมของชนเผำ่ ต่ำง ๆ สถำนท่ีท่องเทย่ี ว ควำมรูใ้ นศำสตรต์ ่ำง ๆ
11เช่น โรคเอดส์ โคลนนิง่ เปน็ ต้น โดยถ่ำยทอดควำมรใู้ นรปู แบบของมลั ติมีเดีย ซึ่งมีท้งั ขอ้ ควำม ภำพ เสียงและรปู แบบเคลอ่ื นไหว ซงึ่ ชว่ ยใหก้ ำรติดตำมควำมรู้นั้นนำ่ สนใจมำกข้ึน ปัจจบุ ันเวบ็ ไซต์มจี ำนวนหลำยลำ้ นเว็บท่เี ผยแพรโ่ ดยบคุ คลหรือองคก์ รต่ำง ๆ ทั่วโลก โดยสว่ นใหญม่ ักเปน็ ขอ้ มูลภำษำองั กฤษ ดงั นนั้ ควำมรู้และทักษะกำรใช้ภำษำอังกฤษ จึงเปน็ สิ่งจำเปน็ สำหรบั ผู้ใชอ้ นิ เทอร์เน็ต6. การจัดระบบหอ้ งสมดุห้องสมุดเปน็ สถำบนั บริกำรสำรสนเทศซง่ึ ต้องมีทรพั ยำกรสำรสนเทศจำนวนมำก และหลำกหลำยรปู แบบ ดังนนั้ จึงต้องมีวิธีกำรจัดเกบ็ ทีเ่ ปน็ มำตรฐำนเพอื่ ใหผ้ ู้ใชเ้ ขำ้ ถึงทรัพยำกรสำรสนเทศ ไดอ้ ยำ่ งสะดวกรวดเรว็ และเข้ำใจไดต้ รงกันระหวำ่ งผ้ใู ห้บริกำรและผใู้ ช้บรกิ ำร หนังสอื เปน็ ทรพั ยำกรสำรสนเทศทส่ี ำคญัและมีมำกท่ีสุดในหอ้ งสมดุ จงึ ตอ้ งมรี ะบบกำรจดั เกบ็ ทด่ี ี โดยทว่ั ไปห้องสมดุ จะจดั เกบ็ หนงั สือไวบ้ นช้นั โดยจดั เรียงตำม เลขเรยี กหนงั สอื (Call Number) หนงั สอื แตล่ ะเล่มในห้องสมุดจะมี เลขเรียกหนังสอื ทีไ่ ม่ซ้ำกนั ดงั นน้ั ในกำรค้นหำหนังสือผู้ใชต้ อ้ งคน้ จำกบัตรรำยกำรหรอื ค้นจำกฐำนข้อมูล OPAC และจดเลขเรยี กหนงั สือ เพื่อนำมำหยบิ ตวั เล่มท่ชี ้ันจัดเกบ็ หนังสือ ซ่งึ วิธกี ำรดังกล่ำวนเี้ รยี กวำ่ ระบบการจดั หมู่หนงั สือ(Classification System) ระบบจัดหมูห่ นงั สือท่ีใชไ้ ดอ้ ย่ำงมีประสทิ ธิภำพ และเป็นท่นี ิยมใช้กนั แพร่หลำยท่ัวโลกมหี ลำยระบบ แตท่ น่ี ยิ มใช้แพรห่ ลำยในประเทศไทย โดยเฉพำะอยำ่ งย่ิงในห้องสมุดประชำชนห้องสมุดโรงเรยี น และห้องสมดุ มหำวทิ ยำลยั และวทิ ยำลยั ไดแ้ ก่ ระบบทศนยิ มของดวิ อี้ (DeweyDecimal Classification) และระบบหอสมุดรฐั สภาอเมรกิ ัน (Library of Congress Classification)นอกจำกนีย้ งั มี ระบบหอสมดุ แพทยแหงชาติอเมรกิ นั (U.S. National Library of MedicineClassification) ซงึ่ เปนระบบที่นยิ มใชในกำรจดั หมวดหมทู รัพยำกรสำรสนเทศสำขำกำรแพทย์1. การจดั หมูห่ นงั สือระบบทศนยิ มของดวิ อ้ี (Dewey Decimal Classification หรือ D.C,D.D.C)ระบบกำรจัดหมู่หนังสือและวัสดสุ ำรสนเทศระบบทศนิยมของดิวอ้ี ได้รับกำรตัง้ ชอื่ ตำมนำยเมลวลิ ดวิ อี้(Meivil Dewey) บรรณำรกั ษ์ชำวอเมริกนั ผู้คดิ ระบบน้ีข้ึนในปี ค.ศ. 1876 เปน็ ระบบท่ีใช้กนั แพรห่ ลำยในห้องสมุดขนำดเลก็ หรือขนำดกลำงท่มี หี นงั สอื ทั่วไปหลำยประเภท ไม่จำกดั เฉพำะสำขำวชิ ำใด เช่น หอ้ งสมุดโรงเรยี น หอ้ งสมุดประชำชน หอ้ งสมดุ วทิ ยำลยั และมหำวทิ ยำลยั เปน็ ต้นลักษณะสำคัญของกำรจัดหมู่ระบบทศนิยมของดิวอ้ี คือ กำรแบ่งเนื้อหำวิชำออกเป็นหมวด 10 ใหญ่ แต่ละ 10 หมวดใหญ่ แบ่งออกเป็น 10 หมวดย่อย แต่ละหมวดย่อยจะแบ่งเป็น 10 หมู่ย่อยในแตล่ ะหมูย่ อ่ ยจะแบง่ เป็นจดุ ทศนิยม โดยมรี ำยละเอยี ดดังน้ี1. การแบ่งครง้ั ที่ 1 แบ่งออกเป็น 10 หมวดใหญ่ ไดแ้ ก่000 เบ็ดเตลด็ หนังสอื ท่ัวไป 500 วทิ ยำศำสตรธ์ รรมชำติและคณติ ศำสตร์100 ปรชั ญำและจติ วิทยำ 600 เทคโนโลยีและวิทยำศำสตร์ประยุกต์200 ศำสนำ 700 ศลิ ปะ300 สังคมศำสตร์ 800 วรรณคดีและวำทศิลป์400 ภำษำ 900 ภูมศิ ำสตร์และประวตั ิศำสตร์2. การจัดหมู่หนงั สือระบบหอสมุดรฐั สภาอเมรกิ า (Library of Congress Classification = LC)กำรจัดหมู่หนงั สอื และวัสดุสำรสนเทศระบบนี้ ดร.เฮอร์เบรต์ิ พทุ นทั(Dr. Herbert Putnam) บรรณำรกั ษ์ หอสมดุ รัฐสภำอเมริกัน ณ กรงุ วอชงิ ตนั ประเทศสหรัฐอเมรกิ ำได้เป็นคนท่ีพฒั นำขึ้นมำเปน็ หลักกำรจำกสงิ่ ทีไ่ ด้จำกกำรปฏิบตั ิงำนกำรจดั หมู่หนังสือแบบนีน้ ยิ มกนั มำกในห้องสมุดมหำวทิ ยำลัย และห้องสมดุ เฉพำะ ซึ่งระบบนเ้ี หมำะกบั กำรจัดเกบ็ หนงั สือของหอ้ งสมดุ ทวั่ ไปขนำดใหญ่ มีหนงั สอื จำนวนมำก ระบบนจี้ ะเปน็ กำรใชส้ ัญลักษณท์ ่เี ป็น
12ตวั อกั ษรและตวั เลขเปน็ สญั ลกั ษณ์แบบผสม ใช้ตัวอกั ษรโรมันตวั ใหญ่ ยกเว้น I O W X Y รวม 21 ตวั และเลขอำรบคิ 1-9999 ผสมกนั ลกั ษณะกำรจัดหมู่จะใช้หลักสะดวกในทำงปฏิบัตเิ ปน็ เกณฑ์ โดยจะเร่มิ จำกสว่ นใหญไ่ ปสว่ นย่อย จงึ ทำใหห้ มวดย่อยต่ำง ๆ ไมเ่ ทำ่ กนั โดยเรม่ิ จำก 1. เรมิ่ หมวดใหญ่ ใชอ้ กั ษร 21 ตวั แบง่ เปน็ หมวดวิชำตำ่ ง ๆ 20 หมวดวิชำ คอื A เกยี่ วกับเร่ืองท่วั ไป B ปรัชญำ จิตวทิ ยำ ศำสนำ C ประวัตศิ ำสตร์และศำสตรต์ ำ่ ง ๆ D ประวตั ิศำสตร์ทั่วไป และประวัตศิ ำสตรโ์ ลกเก่ำ E-F ประวตั ิศำสตร์อเมรกิ ำ G ภมู ิศำสตร์ มำนุษยวิทยำ โบรำณคดี นนั ทนำกำร H สังคมศำสตร์ J รัฐศำสตร์ K กฎหมำย L กำรศกึ ษำ M ดนตรี N ศลิ ปกรรม P ภำษำศำสตร์ และวรรณคดี Q วิทยำศำสตร์ R แพทยศำสตร์ S เกษตรศำสตร์ T เทคโนโลยี U ยุทธศำสตร์ V นำวกิ ศำสตร์ Z บรรณำนุกรม และบรรณำรกั ษศำสตร์ 3. การจัดหมหู่ นงั สือระบบหอสมุดแพทยแ์ ห่งชาติอเมรกิ า (NATIONAL LIBRARY OFMEDICINE = NLM) กำรจัดหมวดหมู่หนังสือระบบหอสมุดแพทย์แห่งชำติอเมริกำ พัฒนำมำจำกระบบหอสมุดรัฐสภำอเมริกัน เพื่อให้กำรจัดหมู่หนังสือทำงกำรแพทย์ที่มีรำยละเอียดลึกซ้ึงมำก สำมำรถจัดทำได้ง่ำยข้ึน จึงมีกำรปรับปรุงหมวดหมู่ด้ำนวิทยำศำสตร์กำรแพทย์พ้ืนฐำนและด้ำนแพทยศำสตร์ขึ้น หลักในกำรจัดหมู่หนังสือระบบหอสมดุ แพทย์แห่งชำติอเมริกำ ใช้สญั ลักษณ์ผสม ประกอบด้วยตัวอักษรโรมัน 1 ตัว ถงึ 2 ตัว และเลขอำรบิค 1-999 โดยเร่ิมแบ่งจำกหมวดใหญ่ ใช้สัญลักษณ์ในหมวด Q เฉพำะ QS-QZ สำหรับหนังสือวิทยำศำสตร์กำรแพทย์พ้ืนฐำน ส่วนกำรแพทย์และสำขำวิชำที่เกี่ยวข้อง แบ่งเป็น 35 หมวดใหญ่ ใช้สญั ลกั ษณ์ W, WA-WZ รวมท้ังหมด 43 หมวดใหญ่ มีรำยละเอยี ด ดังนี้ 3.1 วทิ ยาศาสตร์การแพทยพ์ ้นื ฐาน แบง่ ควำมรเู้ ป็น 8 หมวดใหญ่ ได้แก่ QS กำยวิภำคศำสตรข์ องมนษุ ย์ (Human Anatomy) QT สรรี วิทยำ (Physiology) QU ชวี เคมี (Biochemistry) QV เภสัชวทิ ยำ (Pharmacology)
13 QW วิทยำแบคทีเรยี และภูมคิ ้มุ กนั (Bacteriology and Immunology) QX ปรสติ วิทยำ (Parasitology) QY พยำธวิ ิทยำคลนิ ิค (Clinical Pathology) QZ พยำธวิ ิทยำ (Pathology) 3.2 วิชาการแพทย์และวิชาท่ีเกีย่ วข้องกับการแพทย์ (Medicine and Related Subject)ได้แก่ W แพทย์ (Medical Profession) WA สำธำรณสขุ ศำสตร์ (Public Health) WB อำยรุ ศำสตร์ (Practice of Medicine) WC โรคติดเชื้อต่ำง ๆ (Infections Diseases) WD โรคขำดธำตุอำหำร (Deficiency Diseases) WE ระบบกล้ำมเนอ้ื และโครงกระดูก (Musculoskeletal System) WF ระบบหำยใจ (Respiratory System) WG ระบบหวั ใจและเสน้ เลอื ด (Cardiovascular System) WH ระบบทำงเดนิ ของเลือดและน้ำเหลอื ง (Hemmic and Lymphatic System) WI ระบบกระเพำะอำหำรและลำไส้ (Gastrointestinal System) WJ ระบบปสั สำวะและอวัยวะสืบพันธ์ุ (Urogenital) WK ระบบตอ่ มไมม่ ที ่อ (Endocrine System) WL ระบบประสำท (Nervous System) WM จติ เวชศำสตร์ (Psychiatry) WN รังสีวทิ ยำ (Adiology) WO ศัลยศำสตร์ (Surgery) WP นรเี วชวทิ ยำ (Gynecology) WQ สตู ศิ ำสตร์ (Obstetrics) WR วทิ ยำโรคผิวหนงั (Dermatology) WS กุมำรเวชศำสตร์ (Pediatrics) WT เวชศำสตร์วัยชรำและโรคเรอื้ รัง (Geriatrics, Chronic Diseases) WU ทันตแพทยศำสตร์ ศลั ยกรรมช่องปำก (Dentistry, Oral Surgery) WV โสต ศอ นำสกิ ลำรงิ ซ์วทิ ยำ (Otolaryngology) WW จกั ษวุ ิทยำ (Ophthalmology) WX กจิ กำรโรงพยำบำล (Hospitals) WY กำรพยำบำล (Nursing) WZ ประวัตกิ ำรแพทย์ (History of Medicine)
147. วธิ กี ารค้นหาและการใช้ประโยชน์จากสารสนเทศในห้องสมุด กำรเข้ำถึงสำรสนเทศ (Information Access) หมำยถึง วิธีกำรที่ผู้ใช้สำมำรถค้นและได้รับสำรสนเทศท่ีต้องกำร ทั้งนี้กำรเข้ำถึงสำรสนเทศจะต้องเป็นบริกำรท่ีห้องสมุดได้จัดไว้ให้ผู้ใช้บริกำรเพื่อให้ค้นหำทรัพยำกรสำรสนเทศต่ำง ๆ ได้อย่ำงสะดวก และรวดเร็ว พร้อมกับได้สำรสนเทศที่ต้องกำรได้อย่ำงถูกต้องโดยในกำรสืบค้นสำรสนเทศ จุดมุ่งหมำยสูงสุดคือ สำมำรถสืบค้นสำรสนเทศที่ต้องกำรได้อย่ำงถูกต้องสะดวกรวดเรว็ และทนั ตอ่ เวลำทจี่ ะใช้ เทคนิคทีใ่ ชใ้ นการสบื ค้นสารสนเทศ มีดังน้ี 7.1 การกาหนดคาค้น คำค้น หมำยถึง คำที่ผู้ใช้คิดข้ึนเพื่อใช้แทนเน้ือหำหรือสำระท่ีต้องกำรในกำรค้นหำสำรนเิ ทศ แบง่ เป็น 2 ประเภท คือคำศพั ทแ์ บบไม่ควบคมุ และคำศพั ท์แบบควบคุม 7.1.1 คาศัพท์แบบไม่ควบคุม (Uncontrolled Vocabularies) หรือภำษำธรรมชำติ(Natural Language) ได้แก่ คำ (Words) กลุ่มคำ (Terms) และวลี (Phrases) ที่พบหรือรู้จักกันท่ัวไปและปรำกฏในเน้ือหำของทรัพยำกรสำรนิเทศ กำรกำหนดคำค้นประเภทน้ีได้จำกกำรดึงศัพท์จำกรำยกำรทรัพยำกรสำรนิเทศ เช่น ชื่อผู้แต่ง ช่ือเรื่อง ชื่อบทควำม สำระสังเขป หรือเนื้อหำ เป็นต้น คำศัพท์ประเภทนี้ ไดแ้ ก่ คำสำคัญ (Keyword) คาสาคัญ หมำยถึง คำที่มีควำมหมำยแทนเรื่องที่ต้องกำรค้น โดยปกติคำสำคัญที่สำมำรถค้นได้จำกเคร่ืองมือสืบค้นจะนำมำจำกคำที่ปรำกฏในชื่อเร่ืองและหัวเร่ือง แต่เครื่องมือสืบค้นบำงชนิดอำจจะนำคำค้นมำจำกคำที่ปรำกฏในบทคัดย่อ (Abstracts) หรือตัวเนื้อหำ (Texts) ของทรพั ยำกรสำรนิเทศนั้น ๆกำรสืบค้นจำกคำสำคัญเป็นวิธีท่ีง่ำย เน่ืองจำกผู้สืบค้นจะค้นจำกคำท่ีคิดว่ำตรงกับเร่ืองที่ต้องกำรค้น โดยไม่ต้องคำนึงถึงหลักกำรค้นเหมือนกำรค้นจำกหัวเรื่อง แต่อำจมีข้อเสียคือ เร่ืองที่ค้นได้อำจไม่ตรงกับควำมต้องกำร เพรำะคำต่ำง ๆ ท่ีใช่ค้นน้ันอำจเป็นเพียงคำท่ีปรำกฏในช่อื เร่ืองหรอื ส่วนอ่ืน ๆ ดังกลำ่ วขำ้ งต้น โดยท่ีไม่ใช่เน้ือหำของเร่ืองโดยตรง คำสำคัญท่ีนำมำเป็นคำค้นจะไม่รวมคำนำหน้ำนำม (a , an , the) และคำเช่ือม (with , that , in , etc.) ห้องสมุดท่ัวไปจะกำหนดหัวเรื่องเป็นคำค้นทรัพยำกรสำรนิเทศของห้องสมุด ซึ่งบำงคำอำจไม่ตรงกับคำท่ีผู้ใช้ห้องสมุดคุ้นเคย ทำให้ค้นหำเรื่องท่ีตอ้ งกำรไม่พบ คำสำคัญจึงเป็นโอกำสหรือทำงเลือกหนึ่งของผู้ใช้อีกทำงหน่ึงในกำรค้นหำสำรนิเทศจำกคำค้นที่รู้จักคุ้นเคยหรือปรำกฏในทรัพยำกรสำรนิเทศน้ัน ตัวอยำ่ ง กำรกำหนดคำสำคัญจำกชอื่ เร่อื งของหนังสอื ชอ่ื เรื่อง : กำรเขยี นรำยงำนวจิ ัยและวิทยำนพิ นธ์ คำสำคญั : กำรเขยี นรำยงำน งำนวจิ ัย วิทยำนพิ นธ์ เคร่ืองมือสืบค้นท่ีสำมำรถค้นโดยใช้คำสำคัญมักเป็นเคร่ืองมือที่จัดเก็บในรูปของฐำนข้อมูลคอมพิวเตอร์ ผู้สืบค้นเพียงแต่เติมคำที่ต้องกำรค้น ระบบคอมพิวเตอร์จะค้นหำคำที่ปรำกฏในรูปฐำนข้อมูลคอมพวิ เตอรแ์ ละแสดงผลขอ้ มูลที่ค้นพบใหท้ ันที นอกจำกนี้กำรสืบคน้ สำรนิเทศทำได้โดยใช้คำโดดหรือคำผสมเพียง 1 คำในกำรสืบค้นข้อมูลโดยไม่ต้องสร้ำงประโยคคำค้นท่ียุ่งยำก ซับซ้อน กระบวนกำรค้นหำสำรนิเทศเริ่มต้นจำกผู้สืบค้นมีควำมต้องกำรสำรนิเทศเก่ียวกับเร่ืองใดเรื่องหน่ึง ดังนั้น ผู้สืบค้นจะต้องมีข้อมูลส่วนหน่ึงที่เก่ียวข้องกับเร่ืองท่ีต้องกำรสืบค้น หลกั กำรค้นจะเริม่ ต้นจำกข้อมลู ท่ผี สู้ บื คน้ มอี ยู่ ซง่ึ ทำงเลอื กในกำรสบื ค้นท่ีควรรจู้ กั มดี งั น้ี 1) ช่ือผู้แต่ง (Author) หมำยถึง ชื่อของบุคคล กลุ่มบุคคล หรือหน่วยงำน/องค์กรที่เขยี นหนงั สอื บทควำม หรอื ทรัพยำกรสำรนิเทศน้ัน ๆ ซ่ึงมหี ลกั กำรค้น ดังนี้
15 (1) ผู้แต่งคนไทย ค้นท่ีช่ือของบุคคลน้ัน ๆ หำกเป็นบุคคลที่มีบรรดำศักด์ิหรือฐำนันดรศักดิ์ ให้ค้นจำกช่ือท่ีต่อท้ำยนำมบรรดำศักดิ์หรือฐำนันดรศักด์ิ ส่วนกำรค้นช่ือท่ีเป็นสมณศักด์ิให้ค้นตำมสมณศักด์นิ นั้ ๆ เชน่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปรำโมช ค้นท่ี คึกฤทธิ์ ปรำโมช รศ.ดร.สมคิด พรมจุ้ย ค้นที่ สมคดิ พรมจุ้ย พระธรรมปิฎก คน้ ท่ี พระธรรมปฎิ ก ผูแ้ ตง่ ทเ่ี ปน็ ชำวต่ำงประเทศ ใหค้ น้ ทช่ี ื่อสกุล เชน่ Richard J. Hartley ค้นที่ Hartley , Richard J. (2) ผู้แต่งที่เป็นหน่วยงำน/องค์กร ค้นท่ีชื่อหน่วยงำนนั้น กรณีที่มีท้ังหน่วยงำนใหญ่และหนว่ ยงำนยอ่ ยให้คน้ ท่ชี ่อื หน่วยงำนใหญก่ ่อน กรณีเป็นชื่อยอ่ ให้คน้ ที่ชือ่ เต็ม เชน่ คณะมนุษยศำสตร์และสังคมศำสตร์ มหำวิทยำลัยบูรพำ ค้นที่ มหำวิทยำลัยบูรพำคณะมนษุ ยศ์ ำสตรแ์ ละสังคมศำสตร์ กสทช. ค้นท่ี สำนักงำนคณะกรรมกำรกิจกำรกระจำยเสียง กิจกำรโทรทัศน์และกจิ กำรโทรคมนำคมแห่งชำติ 2) ช่ือเร่อื ง (Title) หมำยถงึ ชอ่ื หนงั สือ ช่ือบทควำม หรือชอื่ ทรัพยำกรสำรนิเทศท่ีต้องกำรคน้ มีหลักกำรคน้ ดังน้ี (1) ชื่อเร่ืองภำษำไทย ค้นที่ชื่อเรื่องนั้น ๆ โดยดูที่อักษรตัวแรกและตัวถัดไปตำมลำดบั เช่น กำรบรหิ ำรธุรกจิ ระหวำ่ งประเทศ คน้ ท่ี กำรบรหิ ำรธรุ กิจระหวำ่ งประเทศ (2) ช่ือเร่อื งภำษำอังกฤษ ใชห้ ลกั กำรเดยี วกนั กับภำษำไทย เช่น Marketing on the Internet คน้ ที่ Marketing on the Internet 7.1.2 คาศพั ท์แบบควบคุม (Controlled Vacabularies) ไดแ้ ก่ คำ กลมุ่ คำ หรือวลีที่ถูกกำหนดขึ้นอย่ำงมีระเบียบ เพื่อใช้เป็นคำท่ีเกี่ยวข้องกับเนื้อหำของทรัพยำกรสำรนิเทศ กำรกำหนดคำศัพท์คำหนึ่งมักจะกำหนดให้ใช้คำนั้นเพียงคำเดยี วแทนคำอื่นที่มีควำมหมำยเดียวกัน เพื่อควำมมีมำตรฐำนและช่วยให้สำมำรถค้นหำสำรนิเทศไดอ้ ย่ำงรวดเร็ว ไดแ้ ก่ หัวเรื่อง (Subject Headings) และอรรถำภิธำน(Thesaurus) 1) หัวเร่ือง (Subject Headings) หมำยถึง กลุ่มคำหรือวลี ช่ือบุคคล หรือช่ือเฉพำะท่ีกำหนดขึน้ ใชต้ ำมควำมหมำยที่แน่นอนเพอ่ื ใช้แทนเนอื้ หำของสำรนิเทศ มักเปน็ คำท่ีส้ัน ชัดเจน และเฉพำะเจำะจง ครอบคลุมเนื้อหำสำรนิเทศนั้นๆ โดยกลุ่มคำดังกล่ำวมักมีลักษณะเป็นคำนำมคำเดียว เช่นกำรพยำบำล เทคโนโลยี สถำปตั ยกรรม เป็นตน้ 2) อรรถาภิธาน (Thesaurus) ได้แก่ ศัพท์ท่ีถูกรวบรวมจำกเอกสำรและศัพท์ที่นักวิชำกำรใช้หรือบัญญัติขึ้น จัดทำเป็นดรรชนีในกำรจัดกลุ่มเนื้อหำสำรนิเทศเพ่ือให้เป็นมำตรฐำนในกำรใช้คำศัพท์คำเดียวกันในเรื่องเดียวกัน และมุ่งให้ค้นหำเร่ืองที่ต้องกำรได้รวดเร็ว มักจะใช้คำนำหน้ำหรือวลีที่แสดงแทนเนื้อหำ ส่วนใหญ่จะใช้คำเต็ม ยกเว้นคำที่เป็นช่ือย่อ ไม่ใช้บุพบท เคร่ืองหมำยวรรคตอน และวงเล็บ จึงสะดวกในกำรใช้เพ่ือจัดเก็บและค้นหำในคอมพวิ เตอร์อรรถำภิธำนไม่ไดใ้ ห้คำอธิบำยหรอื คำแปลของคำศัพท์ท่ีใช้ แต่จะแสดงควำมสัมพันธ์ของคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องในเรื่องใดเรื่องหนึ่งท้ังหมดใน 3 ระดับ คือระดับกว้ำง (Broader Term : BT) ระดับแคบ (Narrower Term : NT) และระดับท่ีเกี่ยวเน่ืองกัน(Related Term : RT) เช่น
16 มลพิษทางอากาศกว้างกวา่ เกยี่ วเนอ่ื ง แคบกวา่มลพษิ บรรยำกำศ ซลั เฟอร์ไดออกไซด์ (Sulfur Dioxide) สภำพเรือนกระจก คำร์บอนมอนอกไซด์ (Carbon Monoxide) กำรเส่อื มสภำพของส่ิงแวดล้อม ไนโตรเจนออกไซด์ (Nitrogen Oxides) ไฮโดรคำรบ์ อน (Hydrocarbon) กำรกำหนดคำค้นที่ดนี ้ัน ผู้คนควรรู้จักปรับเปลี่ยนคำค้นรูปแบบตำ่ ง ๆ เพือ่ ช่วยให้กำรค้นหำนั้นประสบควำมสำเร็จ โดยอำจลองเขียนประโยค 1 – 2 ประโยคท่ีอธิบำยเกี่ยวกับเรื่องหรือสิ่งที่ต้องกำรค้นหำ หรือขีดเส้นใต้คำที่คิดว่ำเป็นคำเฉพำะหรือคำสำคัญซ่ึงอธิบำยเร่ืองท่ีต้องกำรค้นหำหรือจดรำยกำรคำที่เกีย่ วข้อง ซง่ึ อำจทำไดด้ งั น้ี 1. การกาหนดคาค้นที่มคี วามหมายแคบกว่า หรือท่ีมีความหมายกว้างกวา่ เช่นแคบมาก แคบ กว้าง กวา้ งมากกำรรับประกนั ส่ิงกอ่ สร้ำง กฎหมำยประกนั ภยั กฎหมำยพำณชิ ย์ กฎหมำยศนู ย์ทอ่ งเท่ียวเชิงอนุรักษ์ กำรท่องเทีย่ วเชงิ อนุรักษ์ อตุ สำหกรรมท่องเท่ียว กำรทอ่ งเที่ยวป่ำเขำภหู ลวงเส้นใยผ้ำฝำ้ ย ผ้ำฝ้ำยย้อมครำม ผ้ำฝ้ำย ผำ้เว็บเพจ อนิ เทอร์เน็ต เทคโนโลยีสำรนิเทศ เทคโนโลยี 2. การกาหนดคาค้นที่มีความหมายเหมือนกัน ในกรณีที่ใช้คำหนึ่งค้นหำแล้วไม่พบ ควรเปลี่ยนใช้คำอน่ื ท่ีมีควำมหมำยเหมอื นกนั เชน่ ภำพยนตร์ หนงั ผ้หู ญงิ สตรี สุภำพสตรี นำรี อนงค์ 7.2 เทคนิคการสืบค้น เป็นกำรสร้ำงประโยคคำค้นท่ีมีควำมซับซ้อนมำกขึ้น แต่ทำให้เรำได้ข้อมูลท่ีตรงกบั ควำมต้องกำรมำกขนึ้ ได้แก่ 7.2.1 การค้นจากเขตข้อมูลที่กาหนดในฐานข้อมูล (Fields) ใช้เพ่ือจำกัดผลกำรสืบค้นเช่น ค้นจำกเขตข้อมูลคำสำคัญ ช่ือผู้แต่ง ชื่อหนังสือ หัวเร่ือง เลขเรียกหนังสือ เลขมำตรฐำนสำกลประจำหนงั สือ (ISBN) เปน็ ตน้ 7.2.2 การสืบค้นโดยใช้เทคนิคตรรกบูลีน (Boolean Logic) เป็นเทคนิคในกำรสืบค้นสำหรับกำรปรับแต่งกำรสบื ค้น โดยใช้ AND , OR , NOT AND ใช่เช่ือมคำค้นเพ่ือจำกัดขอบเขตกำรค้นให้แคบลง โดยใช้ AND ในกรณีที่ต้องกำรให้ผลกำรสืบค้นท่ไี ด้รับต้องมีทง้ั สองคำน้ี เชน่ กำรสือ่ สำร AND อนิ เทอร์เนต็ กำรสอื่ สำร อนิ เทอร์เน็ต
17รปู แบบกำรใชง้ ำน : กำรสอ่ื สำร AND อินเทอร์เน็ตคำถำม : ต้องกำรค้นหำข้อมูลเกี่ยวกบั กำรส่ือสำรด้วยอนิ เทอรเ์ น็ตอธิบำย : ผลลพั ธจ์ ำกกำรค้นหำจะแสดงเว็บเพจทมี่ คี ำว่ำ อนิ เทอรเ์ นต็ และกำรสอื่ สำรอยู่ภำยในเวบ็ เพจเดียวกันจำนวนผลลพั ธ์ : 3,570,000 รำยกำรOR ใช้เช่ือมคำค้นเพื่อขยำยของเขตกำรค้นให้กว้ำงขึ้น โดยใช้ OR ในกรณีที่ต้องกำรใหไ้ ดผ้ ลกำรสบื ค้นมคี ำใดคำหน่งึ ทีก่ ำหนดในประโยคคำค้น เช่นwoman OR women OR lady OR ladiesเอดส์ OR ภมู คิ ุม้ กนั บกพร่อง กำรสอ่ื สำร อนิ เทอร์เน็ตรูปแบบกำรใชง้ ำน : กำรส่อื สำร OR อินเทอร์เน็ตคำถำม : ตอ้ งกำรคน้ หำขอ้ มูลทเี่ ก่ยี วกบั คำว่ำ กำรส่อื สำรหรืออินเทอร์เนต็อธิบำย : ผลลัพธ์เว็บเพจท่มี คี ำสองคำน้ีปรำกฏอยู่ หรอื คำใดคำหน่งึ กไ็ ด้ และกำรสื่อสำรอยู่ภำยในเวบ็ เพจเดยี วกนัจำนวนผลลพั ธ์ : 32,700,000 รำยกำรNOT ใช้เช่ือมคำค้นเพ่ือจำกัดขอบเขตกำรค้นให้แคบลง โดยใช้ NOT ในกรณีท่ีตอ้ งกำรให้ผลกำรสืบค้นตัดคำทไ่ี ม่ตอ้ งกำรออก เช่นSoftware not illustrator(สตรี OR ผู้หญงิ ) NOT เดก็ หญงิ กำรสือ่ สำร อินเทอรเ์ นต็รปู แบบกำรใชง้ ำน : กำรสอื่ สำร NOT อินเทอรเ์ นต็คำถำม : ต้องกำรค้นหำขอ้ มลู เกีย่ วกบั กำรสอ่ื สำรแต่ไม่เก่ียวกบั อินเทอรเ์ น็ตอธบิ ำย : ผลลพั ธ์จำกกำรค้นหำจะแสดงเว็บเพจทีม่ ีคำวำ่ กำรสือ่ สำร แต่ไมม่ ีคำว่ำ อินเทอร์เนต็ และกำรสือ่ สำรอยู่ภำยในเวบ็ เพจเดยี วกันจำนวนผลลัพธ์ : 3,010,000 รำยกำร7.2.3 เทคนิคการตัดคา (Truncation) เป็นเทคนิคที่ชว่ ยในกำรสืบค้นให้ได้ข้อมูลที่กว้ำงข้ึน เป็นกำรใช้คำค้นคำเดยี วแทนคำอื่นทุกคำที่มีรำกศัพท์เดียวกัน หรือกรณีที่เป็นเอกพจน์และพหูพจน์ กำรแทนคำโดยใช้อักขระตัวแทน ซ่ึงเป็นสัญลักษณ์ เช่น * # ? ! $ เป็นต้น มักใช้ในกำรค้นภำษำอังกฤษ
18เน่ืองจำกกำรเขียนคำศัพท์ท่ีแตกต่ำงกัน เช่น รูปเอกพจน์ รูปพหูพจน์ หรือรูปแบบกำรเขียนแบบภำษำอังกฤษหรืออเมริกัน เป็นต้น สำมำรถตัดคำได้ทั้งกำรตัดท้ำยคำหรือตัดหน้ำคำ เช่น เมื่อพิมพ์คำว่ำColo# ระบบจะทำกำรสืบค้นให้ท้ังคำที่เขียนว่ำ Color และ Colour หรือพิมพ์คำว่ำ Librar# ระบบจะทำกำรสบื ค้นให้ท้ังคำวำ่ Library , Libraries และ Librarian เป็นตน้ 7.2.4 การใช้เคร่ืองหมายวงเล็บ (Nesting) ใช้เพ่ือจับกลุ่มคำในแต่ละส่วน ทำให้ได้ข้อมูลตรงกับควำมต้องกำร หรือเพ่ือครอบคลมุ ในแตล่ ะส่วนคำสั่งข้อมลู ที่ต้องกำรค้น มกั ใช้ร่วมกับตรรกบลู ีนเพ่ือแบ่งคำส่ังบูลีนเป็นส่วน ๆ เช่น (television or mass media) and teenage หมำยถึง ต้องกำรเร่อื งเกยี่ วกับโทรทศั น์หรอื สื่อมวลชน และวยั ร่นุ เปน็ ตน้ 7.2.5 การใช้เครื่องหมาย “.....” ใช้ในกำรค้นวลีท่ีเป็นช่ือเฉพำะ ประกอบด้วยคำหลำยคำและต้องเรียงลำดับตำมนั้น นิยมใช้ในกำรค้นวลีที่ประกอบด้วยคำท่ีไม่ใช้ในกำรค้น (Stop Words ,Common Words) เช่น “The King and I” 7.2.6 ใช้รายการคาค้นท่ีฐานข้อมูลนั้นจัดทาขึ้น (ศัพท์ควบคุม) เพ่ือไล่เรียงดูว่ำเร่ืองที่เรำตอ้ งกำรค้นควนใช้คำค้นใด เช่น หัวเรอ่ื ง ศัพทส์ ัมพันธ์ เป็นตน้8. ดรรชนี เป็นวิธีกำรช่วยค้นสำรนิเทศได้อย่ำงรวดเร็วอีกวิธีกำรหน่ึง เป็นเครื่องชี้แนะซึ่งจัดทำอย่ำงมีระบบต่อเน้อื หำของสำรนิเทศตำ่ ง ๆ หรือแนวควำมคิดจำกส่ือสำรนิเทศ (Rothman, 1974, p. 286) ดรรชนีมำจำกคำว่ำ Index ในภำษำอังกฤษ หมำยถึง ชี้หรือแสดง ดรรชนีเร่ิมมีกำรจัดทำข้ึนในประเทศอังกฤษก่อน แรกเร่ิมปรำกฎในท้ำยเล่มของหนงั สือแต่ละเล่ม โดยเปน็ รำยกำรหรอื รำยช่ือท่จี ัดเรียงไว้ตำมลำดับอักษร (วลัยพรเหมะรชั ตะ, 2531, หนำ้ 64-65) 8.1 ลักษณะของดรรชนี อำจมีรูปแบบต่ำง ๆ กัน เช่น ดรรชนีท้ำยเล่มหนังสือ ดรรชนีบทควำมวำรสำร ดรรชนีของรำยงำน ดรรชนีสำระสังเขป ดรรชนีหนังสือรวมงำน ดรรชนีหนังสือแผนท่ี ตลอดจนดรรชนีเอกสำร สำรสนเทศต่ำง ๆ โดยทั่วไปดรรชนีจะประกอบด้วย คำหรือกลุ่มของคำที่เรียกว่ำ หัวเร่ือง(Headings) และอำจมหี วั เร่ืองรอง (Subheadings) ติดตำมมำด้วยก็ได้ 8.2 ประเภทของดรรชนี วิธีการจดั ทาดรรชนี อำจแบง่ ไดเ้ ปน็ 5 ประเภท (วลัยพร เหมะรชั ตะ, 2531, หน้ำ 63-73) คือ 8.2.1 ดรรชนีแบบหัวเร่อื ง (Controlled Vocabulary Index) เป็นดรรชนีทกี่ ำหนดคำหรือวลใี ช้เป็นหวั เรื่องของกำรจดั ทำดรรชนี โดยใชห้ ัวเรอื่ งจำกหนงั สอื หัวเรื่องท่ีเป็นมำตรฐำนสำกลอยแู่ ล้ว 8.2.2 ดรรชนีประเภทแบบฉบับ (Conventional Index) หมำยถึง กำรใหด้ รรชนีหัวเรือ่ งที่เป็นแบบฉบับ แบง่ เป็น 3 ประเภท คอื - ดรรชนหี วั เร่ืองเรียงตามลาดับอักษร (Alphabetical Subject Index) คือ ดรรชนีหวัเรือ่ งทจี่ ัดเรอ่ื งตำมลำดบั ตวั อกั ษรเปน็ หลกั เป็นกำรจดั ทำดรรชนีทไ่ี ม่มโี ครงสร้ำงตำยตัว สำมำรถยดื หย่นุ ได้ดรรชนปี ระเภทน้ีเทยี บไดก้ ับสมุดโทรศพั ทท์ เ่ี ป็นดรรชนีชื่อ (Name Index) หรอื ดรรชนีที่อยทู่ ้ำยเล่มของหนังสือซง่ึ มักจดั ทำเปน็ ดรรชนีผู้แตง่ ดรรชนีชอ่ื เร่อื ง และดรรชนีเร่ือง - ดรรชนีเรียงตามหมวดหมู่ตามลาดับข้ัน (Hierachically Classified Index) คือ ดรรชนีหัวเร่ืองที่จัดแยกเป็นหมวดหมู่ และจัดเรียงตำมลำดบั ข้ัน ดรรชนีประเภทน้ีสำขำวิชำควำมรู้จะถูกนำมำจัดแยกเป็นหมวดหมู่ - ดรรชนเี รียงตามหมวดหมู่ตามลาดบั ตวั อกั ษร (Alphabetico-Classified Index)เป็นดรรชนที จ่ี ดั หมวดหมแู่ ละเรยี งตำมลำดับ อักษรดรรชนีประเภทน้จี ะจดั เรียงรำยกำรตำมหวั เร่ืองในหมวด
19ใหญ่ และหมวดหมู่ย่อยเฉพำะลงไป และในแต่ละหมวดหมจู่ ะจดั เรียงตำมลำดับตัวอักษรอีกทีหนงึ่ 8.2.3 ดรรชนปี ระเภทผสมคา (Coordinate Index) หมำยถงึ ดรรชนีทีน่ ำเอำคำมำรวมกันเพ่อืใช้เปน็ หวั เร่ืองคำทนี่ ำมำรวมกนั อำจมีคำตง้ั แต่ 2 คำขึ้นไปหรอื มำกกวำ่ นัน้ เพอื่ ให้ไดค้ ำใหมห่ รอื หัวเรอ่ื งใหม่ 8.2.4 ดรรชนชี ื่อเรือ่ ง (Keyword from Title Index) เป็นดรรชนีที่จัดทำขึ้นตำมเทคโนโลยสี ำรนเิ ทศทีเ่ ปลยี่ นไป โดยกำรนำคำสำคญั จำกช่ือเรื่องของเอกสำรมำทำดรรชนีโดยใช้คอมพวิ เตอร์ในกำรจัดทำ 8.2.5 ดรรชนีอ้างอิง (Citation Index) หมำยถึง กำรทำดรรชนีแบบยึดรำยกำรอ้ำงอิงท้ำยเอกสำรเป็นหลัก และเป็นดรรชนีท่ีใช้คอมพิวเตอร์ในกำรจัดทำ เป็นระบบกำรจัดทำดรรชนีแบบใหม่ท่ีมุ่งในกำรปรับปรุงข้อบกพร่องของกำรทำดรรชนแี บบเกำ่ เพรำะไมต่ อ้ งอำศยั นักวชิ ำกำรเฉพำะสำขำวิชำมำชว่ ยในกำรจดั ทำดรรชนีส่งิ พิมพ์ต่อเนอ่ื ง (Serials or Periodicals) สิ่งพิมพ์ต่อเนื่อง เป็นทรัพยำกรสำรนิเทศประเภทหนึ่งของห้องสมุด ท่ีจัดหำ จัดเก็บและให้บริกำรโดยในส่วนกำรบริกำรน้นั จะใหค้ ้นคว้ำภำยในหอ้ งสมดุ เท่ำน้นั สง่ิ พิมพ์ตอ่ เนอื่ งมีหลำยประเภท ดงั นี้ วารสาร นิตยสาร และหนังสือพิมพ์ เป็นสิ่งพิมพ์ต่อเนื่อง ท่ีมีกำหนดออกตำมวำระที่แน่นอนเช่น รำยวัน รำยสัปดำห์ รำยปักษ์ ฯลฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือนำเสนอข่ำวสำร ควำมรู้ท่ีทันสมัย หรือควำมเคล่ือนไหวใหม่ ๆ สิง่ พมิ พ์แต่ละประเภทมรี ำยละเอยี ดดงั น้ี วารสาร (Periodicals) เป็นส่งิ พิมพ์ท่นี ำเสนอสำระควำมรใู้ นรปู ของบทควำมโดยแบง่ ออกเป็นคอลมั นต์ ำ่ ง ๆ ในวำรสำรฉบบั หนึง่ ประกอบด้วยหลำยคอลมั น์ และแต่ละฉบับจะใหร้ ำยละเอียดเกยี่ วกบัชื่อวำรสำร เลม่ ท่ี ฉบับท่ี ปที ่พี ิมพ์วำรสำร และเลขมำตรฐำนสำกลประจำวำรสำร (ISSN) ประเภทของวารสาร วำรสำรจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังน้ี 1. วารสารทั่วไป (Periodicals) เปน็ วำรสำรทมี่ ีเน้อื หำมุ่งเน้นทีจ่ ะใหค้ วำมรู้ท่วั ๆ ไป ไมเ่ นน้ หนกัเน้อื หำเรอื่ งใดเร่อื งหนง่ึ โดยเฉพำะ เชน่ เทคโนโลยีชำวบำ้ น ซีเครต็ ฯลฯ 2. วารสารเฉพาะเรอ่ื ง หรือวารสารวิชาการ (Journal) เป็นวำรสำรท่ีมเี น้อื หำเฉพำะเกี่ยวกับเร่อื งใดเรือ่ งหน่งึ ทีส่ ่งเสริมใหผ้ ู้อ่ำนมคี วำมรูท้ ที่ ันสมยั เชน่ ข่ำวช่ำง เทคโนโลยี คอมพวิ เตอร์ และยำนยนต์ เป็นต้น - นิตยสาร (Magazine) เป็นส่ิงพิมพ์ทมี่ กี ำหนดออกทสี่ ม่ำเสมอ อำจเปน็ รำยสัปดำห์ รำยปักษ์รำยเดอื น ฯลฯ นติ ยสำรจะมุง่ เสนอควำมร้ทู วั่ ไป โดยจะเนน้ กำรใหค้ วำมบนั เทงิ และเกรด็ ควำมรูม้ ำกกว่ำวชิ ำกำร เช่น ขวัญเรือน กลุ สตรี หญงิ ไทย ครัว และดฉิ นั เป็นต้น - หนังสอื พมิ พ์ (Newspeper) เปน็ สงิ่ พิมพ์ที่มุ่งเนน้ นำเสนอข่ำวครำวควำมเคลื่อนไหวทเี่ กดิ ขึน้ ใหม่ทั้งเหตกุ ำรณบ์ ำ้ นเมือง ข่ำวสังคม เศรษฐกจิ บนั เทิง และกำรศกึ ษำ หนงั สอื พมิ พจ์ ะมีกำหนดออกเป็นรำยวนัและบำงฉบับอำจเพ่ิมเปน็ รำยสัปดำห์ หนังสือพมิ พ์จะมีสว่ นประกอบทสี่ ำคัญ ไดแ้ ก่ พำดหัวข่ำว สรปุ ข่ำวรำยละเอยี ดของขำ่ ว บำงข่ำวอำจจะมีภำพประกอบ
20 หนงั สือพมิ พ์แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท คอื 1. หนงั สอื พิมพ์ทวั่ ไป เปน็ หนังสอื พิมพ์ทม่ี งุ่ นำเสนอข่ำวครำว ควำมร้ทู ั่วไป ประกอบดว้ ยสำระข่ำวสำรทุกดำ้ น เชน่ หนังสอื พิมพไ์ ทยรัฐ มติชน ข่ำวสด คมชดั ลกึ บำ้ นเมอื ง และสยำมรัฐ เป็นต้น 2. หนงั สือพมิ พเ์ ฉพาะเรอื่ ง เปน็ หนังสอื พมิ พ์ท่ีมุ่งนำเสนอเร่อื งรำว ขำ่ วครำวเฉพำะด้ำน เชน่หนงั สอื พมิ พ์วฏั จักรหำงำน (เปน็ หนังสอื พิมพท์ เ่ี ก่ียวกบั กำรรับสมัคร) สยำมกีฬำ (เปน็ หนังสอื พิมพ์ท่นี ำเสนอขำ่ วกฬี ำ ฐำนเศรษฐกิจ (เป็นกำรนำเสนอข่ำวเศรษฐกิจ) ฯลฯประโยชน์จากสารสนเทศในหอ้ งสมดุ จำแนกไดห้ ลำยดำ้ น คือ 1. ด้านการเรยี นการสอนและการวิจยั สำรสนเทศชว่ ยให้กำรเรียนกำรสอนและกำรวจิ ยั ประสบควำมสำเร็จได้ เพรำะผ้สู อนหรือผ้วู ิจัยจะตอ้ งใช้สำรสนเทศที่บันทกึ ในรปู แบบตำ่ ง ๆ เพอ่ื ใชอ้ ้ำงองิสร้ำงตวั อย่ำงในงำนกำรเรียนกำรสอนหรืองำนวิจยั น้นั ๆ 2. ดา้ นการศึกษา ในสงั คมปจั จบุ ันเปน็ สงั คมแหง่ กำรเรียนร้ตู ลอดชีวติ จึงต้องแสวงหำควำมรู้เพื่อใช้ในกำรดำรงชีวิต และพฒั นำชีวิต เพือ่ กำรทำงำนและกำรอยรู่ ว่ มกนั กำรเลอื กใช้สำรสนเทศท่ีมีคุณค่ำในดำ้ นต่ำง ๆ จะชว่ ยใหเ้ กิดประโยชนใ์ นกำรดำรงชีวิตประจำวนั ได้อยำ่ งมปี ระสิทธภิ ำพ 3. ด้านการตดั สนิ ใจในการดาเนนิ การตา่ ง ๆ กำรเลอื กใช้สำรสนเทศท่ีมีข้อมลู ตรงกบั ควำมตอ้ งกำร ชว่ ยให้กำรตัดสินใจในกำรบรหิ ำรงำนทกุ สำขำอำชีพ หรือกำรตัดสนิ ใจในชวี ิตประจำวนั ได้อยำ่ งเกิดประโยชน์สูงสดุ 4. ด้านความเข้าใจอนั ดีระหวา่ งกนั ปัจจบุ นั บคุ คลทอ่ี ย่รู ่วมกนั ในสงั คมโลก ซึง่ แตกต่ำงกัน ในดำ้ นเชอ้ื ชำติ ศำสนำ ขนบธรรมเนียม ประเพณแี ละวฒั นธรรม แต่สำมำรถอยูร่ ว่ มกนั ไดโ้ ดยรบั รู้สำรสนเทศที่แตกตำ่ งในด้ำนดงั กลำ่ ว แล้วนำมำปรับตวั เขำ้ หำกนั เกดิ ควำมเข้ำใจกนั และยังช่วยใหม้ ีโลกทศั น์กวำ้ งขวำง 5. ดา้ นวทิ ยาการและเทคโนโลยี ปัจจุบนั สำรสนเทศทำงด้ำนนี้พฒั นำไปรวดเร็วมำกกำรแสวงหำสำรสนเทศอยเู่ ป็นประจำจะชว่ ยใหท้ รำบกำรพัฒนำทำงวิทยำกำรและเทคโนโลยีไดท้ นั ทว่ งทีและเม่อื นำไปใชป้ ระโยชนจ์ ะช่วยให้เกิดเปน็ ผลดตี อ่ กำรพฒั นำประเทศและคณุ ภำพชวี ิตท่ีดีขน้ึ ตอ่ ไป 6. ดา้ นเอกลักษณ์และวิวฒั นาการของชาติ สำรสนเทศท่เี กยี่ วขอ้ งกบั ภมู ปิ ัญญำท้องถ่ินวัฒนธรรมท้องถ่ิน ประวตั ศิ ำสตรอ์ นั ยำวนำนของประเทศชำติ จะกอ่ ใหเ้ กดิ ควำมภำคภมู ใิ จ ควำมรกัควำมสำมัคคี และควำมมั่นคงในชำติ 7. ด้านการสรา้ งค่านิยมและทศั นคตทิ ดี่ ี กำรที่ประชำชนในประเทศไดร้ ับสำรสนเทศโดยไมม่ ีกำรปดิ กั้นในทุกรปู แบบโดยไมม่ ขี ดี จำกัด และทำให้ทรำบข่ำวควำมเคล่ือนไหวและสถำนกำรณต์ ำ่ ง ๆ ทวั่ โลกสำมำรถสร้ำงคำ่ นิยมและทัศนคตทิ ี่ดีใหเ้ กิดขนึ้ ในสงั คมได้ 8. ดา้ นการประหยดั เวลาในการดาเนนิ การ และเสริมคณุ คา่ ของผลงาน กำรได้รบั สำรสนเทศที่มคี ุณคำ่ จะช่วยลดปัญหำกำรเสยี เวลำและกำรลองผิดลองถกู 9. ดา้ นการประหยดั คา่ ใชจ้ า่ ย ควำมร่วมมอื ของสถำบนั บรกิ ำรสำรสนเทศ ชว่ ยให้ผู้ใช้สำมำรถเขำ้ ถงึ และสืบคน้ สำรสนเทศไดอ้ ย่ำงกวำ้ งขวำง และไดข้ อ้ มลู ในเชงิ ลกึ ทำให้ประหยดั ค่ำใช้จำ่ ยในกำรเขำ้ ถึงขอ้ มูลแต่ละเรอื่ ง
21สรปุ สารสนเทศ หมำยถงึ ขำ่ วสำร ขอ้ มลู นำนำประกำร ควำมรู้ ควำมรสู้ กึ นึกคดิ ข้อเทจ็ จริงเรอื่ งรำว ประสบกำรณ์ รวมถึงจินตนำกำรของมนษุ ย์ซึง่ มีกำรจดั กำรแล้วบันทึกลงในส่อื หรือวสั ดุสำรสนเทศรปู แบบใดรปู แบบหน่ึง และมกี ำรถ่ำยทอดเผยแพร่อยำ่ งเป็นทำงกำรหรอื ไม่เปน็ ทำงกำร โดยกำรบนั ทกึ ลงในสื่อต่ำง ๆ มคี วำมสำคญั ตอ่ กำรเมือง กำรปกครอง กำรศกึ ษำ และสงั คม ประเภทของสารสนเทศ แบง่ ออก 3 ประเภท คือ 1) สำรสนเทศตีพิมพ์ หมำยถึง วสั ดทุ ่บี ันทึกสำรสนเทศในรปู แบบตัวอักษร ภำพ และสัญลกั ษณอ์ น่ื ๆ โดยผำ่ นกระบวนกำรพิมพ์ ได้แก่ หนงั สือ วำรสำรและนิตยสำร จลุ สำร กฤตภำค และสง่ิ พมิ พล์ กั ษณะพเิ ศษ 2) สำรสนเทศไมต่ ีพมิ พ์ หมำยถงึ ทรัพยำกรสำรสนเทศท่ีบนั ทกึ ไว้ในส่อื ทไ่ี มไ่ ด้ผำ่ นกระบวนกำรตพี มิ พ์ ไดแ้ ก่ ต้นฉบับตวั เขียน โสตวสั ดุ ทัศนวัสดุโสตทัศนวสั ดุ และวสั ดยุ ่อส่วน3) สำรสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ หมำยถงึ ข้อมูลขำ่ วสำรและควำมร้เู ร่อื งรำวซงึ่ มีประโยชน์ มกี ำรรวบรวมและจดั เก็บไว้ในรูปแบบท่ีอำ่ นหรือค้นคนื ไดด้ ว้ ยเครื่องคอมพิวเตอร์ ในรปู แบบของตวั อักษร ภำพ เสียงภำพเคลือ่ นไหว แบง่ ออกเปน็ 6 ประเภท ไดแ้ ก่ ซีดรี อม แผน่ วิดีทศั นร์ ะบบดิจิทัล หนงั สอื อเิ ล็กทรอนิกส์วำรสำรอิเล็กทรอนกิ ส์ หนงั สอื พิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ และฐำนข้อมูล แหล่งสารสนเทศ แบ่งออกเป็น 4 กลุม่ คอื 1) แหลง่ สำรสนเทศบคุ คล 2) แหลง่ สำรสนเทศสถำบัน4)แหลง่ สำรสนเทศสอ่ื มวล 4) แหลง่ สำรสนเทศอนิ เทอรเ์ นต็ การจัดระบบหอ้ งสมดุ หอ้ งสมดุ โดยทั่วไปนยิ มจัดหมวดหม่หู นงั สอื 3 ระบบ คอื 1)ระบบทศนยิ ม-ดวิ อ้ี 2) ระบบหอสมุดรฐั สภำอเมรกิ ำ 3) ระบบหอสมดุ แพทยแ์ หง่ ชำตอิ เมริกำ การสบื คน้ สารสนเทศ หมำยถงึ กระบวนกำรหรอื วธิ กี ำรในกำรคน้ หำเอกสำรหรอื สำรสนเทศท่ีต้องกำรได้อย่ำงถูกตอ้ ง สะดวกรวดเรว็ และทนั ตอ่ เวลำ โดยใชเ้ คร่อื งมอื ช่วยคน้ สำรสนเทศรูปแบบตำ่ ง ๆ ดรรชนี คือ หนำ้ ท่ีรวบรวมคำสำคัญทีถ่ ูกดงึ มำจำกเนอ้ื หำในแต่ละหน้ำเรียงตำมลำดบั ตัวอกั ษรโดยจะระบุเลขหนำ้ ทส่ี ำมำรถพบคำสำคญั นนั้ ๆ เพอื่ บอกใหท้ รำบวำ่ คำสำคญั น้ันจะปรำกฏในหน้ำใด และในกำรเขยี นกำรอำ้ งอิงและบรรณำนุกรมจะต้องดำเนนิ กำรพร้อมกันทัง้ 2 สว่ น เพื่อเป็นหลักฐำนทแี่ สดงถึงกำรศึกษำค้นควำ้ เปน็ กำรแสดงถงึ คณุ ค่ำของผลงำน ตลอดจนเป็นหลกั ฐำนใหผ้ ู้อำ่ นคน้ ควำ้ เพิ่มเติม กำรเขยี นอำ้ งอิงแบง่ เป็น 2 ประเภท คือ เชงิ อรรถและบรรณำนกุ รม
22บรรณานกุ รมชญำภรณ์ กลุ นิต.ิ (2553). สารสนเทศและการคน้ ควา้ . พิมพ์คร้ังที่ 3. กรงุ เทพฯ : โอเดยี นสโตร.์ธนู บุญญำนุวัตร. (2549). “ทรพั ยำกรสำรสนเทศ” [ออนไลน์] เข้ำถงึ ไดจ้ ำก http://tanoowordpress.com (วนั ท่ีสืบคน้ ขอ้ มลู 25 ตุลำคม 2556).พนดิ ำ สมประจบ. การสบื ค้นสารสนเทศ = Information Retrieval. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2. กรุงเทพฯ : ทริปเพิ้ล เอด็ ดเู คชนั้ .พรพรรณ จนั ทร์แดง. (2557). หอ้ งสมุดยคุ ใหม่ (Modern Library). กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยเู คชน่ั .ลันดำ สิทธิจกั ร. (2557). เอกสารคู่มอื การเขียนอ้างองิ และรายงาน. ชลบรุ ี : วิทยำลัยพยำบำล บรมรำชชนนี ชลบุรี.วัลลภ สวสั ดิวลั ลภ. (2547). เทคนิคการค้นควา้ การเกบ็ การเรียบเรียงขอ้ มูลเพ่ือเขียนรายงาน และ ผลงานทางวิชาการอย่างเปน็ ระบบ และมขี นั้ ตอนทเี่ ป็นรปู ธรรม. พมิ พค์ รง้ั ท่ี 2. กรุงเทพฯ : บรรณกิจ.อำภำกร ธำตุโลหะ. (2555). ทรัพยากรสารสนเทศเพ่ือการคน้ ควา้ . ชลบรุ ี : พี.เค. กรำฟฟคิ พริ้นต์. . (2554). ห้องสมุดและทรพั ยากรสารสนเทศเพื่อการคน้ คว้า. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 3. ชลบุรี : โฮโ่ กะเพรส.อำไพวรรณ. (2553). สารสนเทศเพอื่ การศกึ ษาคน้ ควา้ . กรงุ เทพฯ : โอเดียนสโตร.์
23
Search
Read the Text Version
- 1 - 23
Pages: