Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ธรรมบท ภาคที่ 8 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี)(1)

ธรรมบท ภาคที่ 8 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี)(1)

Published by akenacab3, 2018-07-12 11:14:32

Description: ธรรมบท ภาคที่ 8 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี)(1)

Search

Read the Text Version

ครัง้ นนั้ อ.นาค กลา่ วแล้ว (กะสามเณร) นนั้ วา่ อถ นํ นาโค อาหดูก่อนสามเณร ถา้ ว่า อ.ความเป็นแห่งบรุ ุษผูม้ ีความบากบนั่ “สามเณร สเจ อตฺถิ ตว วิกฺกมโปริสํ,ของทา่ น มีอยู่ ไซร,้ (อ.ขา้ พเจา้ ) ยอ่ มชอบใจยิ่ง ซ่ึงวาจา ของทา่ น, อภินนทฺ ามิ เต วาจํ, หรสฺสุ ปานียํ มมาติ.(อ.ท่าน) จงน�ำไป ซ่ึงน้�ำอนั บคุ คลพึงดืม่ ของขา้ พเจ้า เถิด ดงั นี้ฯ (อ.สามเณร) นนั้ รบั แล้ว ซงึ่ ปฏญิ ญา ของนาคราช ๓ ครงั้ ผ้ยู นื แล้ว โส ตกิ ขฺ ตตฺ ํุ นาคราชสสฺ ปฏญิ ฺญํ คเหตวฺ า อากาเสในอากาศ เทียว เนรมิตแล้ว ซง่ึ อตั ภาพเพียงดงั อตั ภาพแหง่ พรหม ติ โกว ทฺวาทสโยชนิกํ พฺรหฺมตฺตภาวํ มาเปตฺวาอนั ประกอบแล้วด้วยโยชน์ ๑๒ ลงแล้ว จากอากาศ เหยียบแล้ว อากาสโต โอรุยฺห นาคราชสสฺ ผเณ อกฺกมิตฺวาท่ีพังพาน ของนาคราช กดลงแล้ว (ซ่ึงนาคราช นัน้ กระท�ำ) อโธมขุ ํ นิปปฺ ี เฬส.ิให้เป็นผ้มู ีหน้าในเบือ้ งต�่ำ ฯ ครัน้ เม่ือพงั พาน ของนาคราช เป็นอวยั วะสกั วา่ (อนั สามเณร) ตาวเทว พลวตา ปรุ ิเสน อกฺกนฺตอลฺลจมมฺ ํ วิย,เหยียบแล้ว (มีอย)ู่ อ.แผน่ แหง่ พงั พาน ท. หดแล้ว เป็นแผน่ มีทพั พี นาคราชสสฺ ผเณ อกกฺ นตฺ มตเฺ ต, โอภชิ ชฺ ติ วฺ า ทพพฺ มิ ตตฺ าเป็นประมาณ ได้เป็นแล้ว ในขณะนนั้ นน่ั เทียว ราวกะ อ.หนงั อนั สด ผณปฏู กา อเหส.ํุอนั บรุ ุษ ผ้มู ีก�ำลงั เหยียบแล้ว ฯ อ.เกลยี วแหง่ นำ� ้ ท. มลี ำ� ต้นแหง่ ตาลเป็นประมาณ พงุ่ ขนึ ้ ไปแล้ว นาคราชสสฺ ผเณหิ มตุ ตฺ ฏฺฐาเน ตาลกขฺ นธฺ ปปฺ มาณาในท่ี (แหง่ น�ำ้ ) พ้นแล้ว จากพงั พาน ท. ของนาคราช ฯ อทุ กวฏฺฏิโย อคุ ฺคจฺฉึส.ุอ.สามเณร ยังขวดแห่งน�ำ้ อันบุคคลพึงด่ืม ให้เต็มแล้ว สามเณโร อากาเสเยว ปานียวารกํ ปเู รส.ิในอากาศนน่ั เทียว ฯ อ.หมแู่ หง่ เทพ ได้ให้แล้ว ซงึ่ สาธกุ าร ฯ เทวสงฺโฆ สาธกุ ารํ อทาส.ิ นาคราชา ลชฺชิตฺวาอ.นาคราช ละอายแล้ว โกรธแล้ว ตอ่ สามเณร ฯ สามเณรสสฺ กชุ ฺฌิ. อ.นยั น์ตา ท. (ของนาคราช) นนั้ เป็นอวยั วะมีสีเพียงดงั สี ชยกสุ มุ วณฺณานิสสฺ อกฺขีนิ อเหสํ.ุ โส “อยํ มํแหง่ ดอกชบา ได้เป็นแล้ว ฯ (อ.นาคราช) นนั้ (คดิ แล้ว) วา่ (อ.สามเณร) นี ้ เทวสงฺฆํ สนฺนิปาเตตฺวา ปานียํ คเหตฺวา ลชฺชาเปส,ิยงั หมแู่ หง่ เทพ ให้ประชมุ กนั แล้ว ถือเอาแล้ว ซง่ึ น�ำ้ อนั บคุ คลพงึ ดื่ม เอตํ คเหตฺวา มเุ ข หตฺถํ ปกฺขิปิ ตฺวา หทยมํสํ ตสฺสยงั เรา ให้ละอายแล้ว, (อ.เรา) จบั แล้ว (ซง่ึ สามเณร) นน่ั ใสเ่ ข้าแล้ว มทฺทามิ, ปาเท วา นํ คเหตฺวา ปรคงฺคาย ขิปามีติซง่ึ มือ ในปาก จะขย�ำ ซง่ึ เนือ้ แหง่ หวั ใจ (ของสามเณร) นนั้ หรือ, เวเคน อนพุ นฺธิ. อนพุ นฺธนฺโตปิ นํ ปาปณุ ิตํุ นาสกฺขิเยว.หรือวา่ จบั แล้ว (ซง่ึ สามเณร) นนั้ ทเี่ ท้า จะโยนไป ในแมน่ ำ� ้ คงคาข้างอนื่ดงั นี ้ ตดิ ตามแล้ว โดยเร็ว ฯ อ.นาคราช แม้ตดิ ตามอยู่ ไมไ่ ด้อาจแล้วเพ่ืออนั ถงึ (ซงึ่ สามเณร) นนั้ นน่ั เทียว ฯ อ.สามเณร มาแล้ว วางไว้แล้ว ซง่ึ น�ำ้ อนั บคุ คลพงึ ดื่ม ในมือ สามเณโร อาคนฺตฺวา อปุ ชฺฌายสสฺ หตฺเถ ปานียํของพระอปุ ัชฌาย์ กลา่ วแล้ว วา่ ข้าแตท่ า่ นผ้เู จริญ (อ.ทา่ น ท.) ฐเปตฺวา “ปิ วถ ภนฺเตติ อาห. นาคราชาปิ ปจฺฉโตจงด่ืมเถิด ดงั นี ้ ฯ แม้ อ.นาคราช มาแล้ว ข้างหลงั กลา่ วแล้ว วา่ อาคนฺตวา “ภนฺเต อนรุ ุทฺธ สามเณโร มยาข้าแตท่ า่ นอนรุ ุทธ์ ผ้เู จริญ อ.สามเณร ถอื เอา ซง่ึ นำ� ้ อนั บคุ คลพงึ ดมื่ อทินฺนเมว ปานียํ คเหตฺวา อาคโต, มา ปิ วถาติ อาห.อนั อนั กระผม ไมใ่ ห้แล้วนนั่ เทียว มาแล้ว, (อ.ทา่ น ท.) จงอยา่ ด่ืมดงั นี ้ฯ (อ.พระเถระ ถามแล้ว) ว่า ดูก่อนสามเณร ได้ยินว่า “เอวํ กิร สามเณราต.ิ “ปิ วถ ภนฺเต, อิมินา เมอ.อยา่ งนนั้ หรือ ดงั นี ้ฯ (อ.สามเณร กลา่ วแล้ว) วา่ ข้าแตท่ า่ นผ้เู จริญ ทินฺนํ ปานียํ อาหฏนฺต.ิ(อ.ทา่ น ท.) จงด่ืมเถิด, อ.น�ำ้ อนั บคุ คลพงึ ด่ืม อนั (อนั นาคราช) นี ้ให้แล้ว อนั กระผม น�ำมาแล้ว ดงั นี ้ฯ96 ธรรมบทภาคที่ ๘ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

อ.พระเถระ รู้แล้ว วา่ ช่ือ อ.วาจาเป็นเครื่องกลา่ วเทจ็ เถโร “ขีณาสวสามเณรสฺส มสุ ากถํ นาม นตฺถีติของสามเณรผู้ขีณาสพ ย่อมไม่มี ดังนี ้ ด่ืมแล้ว ซึ่งน�ำ้ ญตฺวา ปานียํ ปิ ว.ิ ตํขณญฺเญวสสฺ อาพาโธอนั บคุ คลพงึ ด่ืม ฯ อ.อาพาธ (ของพระเถระ) นนั้ ระงบั เฉพาะแล้ว ปฏิปสสฺ มภฺ ิ.ในขณะนนั้ นนั่ เทียว ฯ อ.นาค กลา่ วแล้ว กะพระเถระ อีก วา่ ข้าแตท่ า่ นผ้เู จริญ ปนุ นาโค เถรํ อาห “ภนฺเต สามเณเรนมหฺ ิ(อ.กระผม) เป็ นผู้ อันสามเณร ยังหมู่เทพแห่งเทพ ทัง้ ปวง สพฺพํ เทวคณํ สนฺนิปาเตตฺวา ลชฺชาปิ โต, อหมสฺสให้ประชมุ แล้ว ให้ละอายแล้ว ยอ่ มเป็น, (อ.กระผม) จกั ผา่ ซงึ่ หทยั หทยํ วา ผาเลสสฺ ามิ, ปาเท วา นํ คเหตฺวา ปรคงฺคายํ(ของสามเณร) นนั้ หรือ หรือวา่ (อ.กระผม) จบั แล้ว (ซง่ึ สามเณร) ขิปิ สฺสามีต.ินนั้ ท่ีเท้า จกั โยนไป ในแมน่ �ำ้ คงคาข้างอ่ืน ดงั นี ้ฯ (อ.พระเถระ กลา่ วแล้ว) วา่ ดกู ่อนมหาบพิตร อ.สามเณร “มหาราช สามเณโร มหานภุ าโว, ตมุ ฺเหเป็นผ้มู ีอานภุ าพมาก (ยอ่ มเป็น), อ.ทา่ น ท. จกั ไมอ่ าจ เพ่ืออนั รบ สามเณเรน สทฺธึ สงฺคาเมตํุ น สกฺขิสฺสถ;กับ ด้วยสามเณร, (อ.ท่าน ท.) (ยังสามเณร) นัน้ ให้อดโทษแล้ว ขมาเปตฺวา นํ คจฺฉถาต.ิจงไปเถิด ดงั นี ้ฯ (อ.นาคราช) นนั้ ยอ่ มรู้ ซง่ึ อานภุ าพ ของสามเณร แม้เอง, โส สยํปิ สามเณรสสฺ อานภุ าวํ ชานาต,ิ ลชฺชายแตว่ า่ (อ.นาคราช นนั้ ) ตดิ ตาม มาแล้ว เพราะความละอาย ฯ ปน อนพุ นฺธิตฺวา อาคโต.ครัง้ นนั้ (อ.นาคราช ยงั สามเณร) นนั้ ให้อดโทษแล้ว ตามค�ำ อถ นํ เถรสฺส วจเนน ขมาเปตฺวา เตน สทฺธึของพระเถระ กระท�ำแล้ว ซง่ึ ความสนิทสนมด้วยความสามารถ มิตฺตสนฺถวํ กตฺวา “อิโต อปาฏคฺฐมายนกอิจโฺจนํ ตตนฺตตทฺถหิ, อทุ มเยกฺหนํแหง่ มติ ร กบั (ด้วยสามเณร) นนั้ กลา่ วแล้ว วา่ ครนั้ เมอ่ื ความต้องการ อตฺเถ สต,ิ ตมุ หฺ ากํด้วยน�ำ้ ในสระอโนดาต มีอยู่ จ�ำเดมิ (แตว่ นั ) นี,้ อ.กิจคืออนั มา ปหเิ ณยยฺ าถ, อหเมว อาหริตวฺ า ทสสฺ ามตี ิ วตวฺ า ปกกฺ าม.ิแหง่ ทา่ น ท. ยอ่ มไมม่ ี, (อ.ทา่ น ท.) พงึ สง่ ไป (ซง่ึ ขา่ วสาส์น)แก่กระผม, อ.กระผมน่ันเทียว น�ำมาแล้ว จักถวาย ดังนี ้หลกี ไปแล้ว ฯแม้ อ.พระเถระ ได้ พาเอา ซง่ึ สามเณร ออกไปแล้ว ฯ เถโรปิ สามเณรํ อาทาย ปายาส.ิ อ.พระศาสดา ทรงทราบแล้ว ซง่ึ ความเป็นคืออนั มา สตถฺ า เถรสสฺ อาคมนภาวํ ญตวฺ า มคิ ารมาตปุ าสาเทแหง่ พระเถระ ประทบั นง่ั ทรงแลดอู ยแู่ ล้ว ซง่ึ อนั มา แหง่ พระเถระ เถรสฺส อาคมนํ โอโลเกนฺโต นิสีทิ.ในปราสาทของมิคารมารดา ฯ แม้ อ.ภิกษุ ท. เหน็ แล้ว ซงึ่ พระเถระ ผ้มู าอยู่ ต้อนรับแล้ว ภิกฺขปู ิ เถรํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสวฺ า ปจฺจคุ ฺคนฺตฺวารับเฉพาะแล้ว ซง่ึ บาตรและจีวร ฯ ครัง้ นนั้ (อ.ภิกษุ ท.) บางพวก ปตฺตจีวรํ ปฏิคฺคเหสํ.ุ อเถกจฺเจ สามเณรํ สีเสปิจบั แล้ว ซง่ึ สามเณร ท่ีศีรษะบ้าง ที่หู ท. บ้าง ท่ีแขนบ้าง ให้ไหว กณฺเณสปุ ิ พาหายปิ คเหตฺวา สญฺจาเลนฺตาด้วยดีอยู่ กลา่ วแล้ว วา่ แนะ่ สามเณร (อ.เธอ) ยอ่ มไมก่ ระสนั ขนึ ้ “กึ สามเณร น อกุ ฺกณฺฐสตี ิ อาหํส.ุหรือ ดงั นี ้ฯอ.พระศาสดา ทรงเหน็ แล้ว ซง่ึ กิริยา (ของภิกษุ ท.) เหลา่ นนั้ สตฺถา เตสํ กิริยํ ทิสฺวา จินฺเตสิ “ภาริยํ วตเิ มสํทรงดำ� ริแล้ว วา่ อ.กรรม ของภกิ ษุ ท. เหลา่ นี ้ หยาบหนอ, (อ.ภกิ ษุ ท. ภิกฺขนู ํ กมมฺ ํ, อาสีวสิ ํ คีวายํ คณฺหนฺตา วิย สามเณรํเหลา่ นี)้ ยอ่ มจบั ซงึ่ สามเณร ราวกะ (อ.ชน ท.) ผ้จู บั อยู่ ซง่ึ อสรพิษ คณฺหนฺต,ิ นาสฺส อานภุ าวํ ชานนฺต;ิ อชฺช มยาทค่ี อ, (อ.ภกิ ษุ ท. เหลา่ น)ี ้ ยอ่ มไมร่ ู้ ซงึ่ อานภุ าพ (ของสามเณร) นนั้ , สมุ นสามเณรสฺส คณุ ํ ปากฏํ กาตํุ วฏฺฏตีต.ิในวนั นี ้ อ.อนั อนั เรา กระท�ำ ซงึ่ คณุ ของสามเณรช่ือวา่ สมุ นะให้เป็นคณุ ปรากฏแล้ว ยอ่ มควร ดงั นี ้ฯแม้ อ.พระเถระ มาแล้ว ถวายบงั คมแล้ว ซง่ึ พระศาสดา นงั่ แล้ว ฯ เถโรปิ อาคนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา นิสที ิ. ผลติ สอ่ื การเรยี นรู้ โดยโรงเรยี นพระปรยิ ัติธรรม วดั พระธรรมกาย 97 www.kalyanamitra.org

อ.พระศาสดา ทรงกระทำ� แล้ว ซงึ่ ปฏสิ นั ถาร กบั (ด้วยพระเถระ) สตฺถา เตน สทฺธึ ปฏิสนฺถารํ กตฺวา อานนฺทตฺเถรํนนั้ ตรัสเรียกมาแล้ว ซงึ่ พระเถระชื่อวา่ อานนท์ วา่ ดกู ่อนอานนท์ อามนฺเตสิ “อานนฺท อโนตตฺตทหอทุ เกนมหฺ ิ ปาเท(อ.เรา) เป็นผ้ใู คร่เพ่ืออนั ล้าง ซงึ่ เท้า ท. ด้วยน�ำ้ ในสระอโนดาต โธวติ กุ าโม, สามเณรานํ ฆฏํ ทตวฺ า ปานยี ํ อาหราเปหตี .ิยอ่ มเป็น, (อ.เธอ) ให้แล้ว ซงึ่ หม้อ แก่สามเณร ท. (ยงั สามเณร ท.เหลา่ นนั้ ) จงให้น�ำมา ซง่ึ น�ำ้ อนั บคุ คลพงึ ดื่ม เถิด ดงั นี ้ฯ อ.พระเถระ ยังร้ อยแห่งสามเณร ท. มีประมาณ ๕ เถโร วหิ าเร ปญฺจมตฺตานิ สามเณรสตานิให้ประชมุ กนั แล้ว ในวิหาร ฯ (แหง่ สามเณร ท.) เหลา่ นนั้ หนา สนฺนิปาเตส.ิ เตสํ สมุ นสามเณโร สพฺพนวโก อโหส.ิอ.สามเณรชอื่ วา่ สมุ นะ เป็นผ้ใู หมก่ วา่ สามเณรทงั้ ปวง ได้เป็นแล้ว ฯ เถโร สพฺพมหลฺลกํ สามเณรํ อาห “สามเณร สตฺถาอ.พระเถระ กลา่ วแล้ว กะสามเณร ผ้แู ก่กวา่ สามเณรทงั้ ปวง วา่ อโนตตฺตทหอทุ เกน ปาเท โธวติ กุ าโม, ฆฏํ อาทายแนะ่ สามเณร อ.พระศาสดา เป็นผ้ทู รงประสงค์เพ่ืออนั ทรงล้าง คนฺตฺวา ปานียํ อาหราต.ิ โส “น สกฺโกมิ ภนฺเตติ น อิจฺฉิ.ซง่ึ พระบาท ท. ด้วยน�ำ้ ในสระอโนดาต (ยอ่ มเป็น), (อ.เธอ) ถือเอา เถโร เสเสปิ ปฏิปาฏิยา ปจุ ฺฉิ. เตปิ ตเถว วตฺวาซงึ่ หม้อ ไปแล้ว จงน�ำมา ซง่ึ น�ำ้ อนั บคุ คลพงึ ด่ืม เถิด ดงั นี ้ ฯ ปฏิกฺขิปึส.ุ(อ.สามเณร)นนั้ (กลา่ วแล้ว)วา่ ข้าแตท่ า่ นผ้เู จรญิ (อ.กระผม)ยอ่ มไมอ่ าจดงั นี ้ ไมป่ รารถนาแล้ว ฯ อ.พระเถระ ถามแล้ว (ซง่ึ สามเณร ท.)แม้ผ้เู หลอื ตามลำ� ดบั ฯ (อ.สามเณร ท.) แม้เหลา่ นนั้ กลา่ วแล้วอยา่ งนนั้ นน่ั เทียว ห้ามแล้ว ฯ (อ.อนั ถาม) วา่ ก็ อ.สามเณรผ้ขู ณี าสพ ท. ยอ่ มไมม่ ี (ในสมาคม) นี ้ “กึ ปเนตฺถ ขีณาสวสามเณรา นตฺถีต.ิ “อตฺถิ,หรือ ดงั นี ้ ฯ (อ.อนั แก้) วา่ (อ.สามเณรผ้ขู ีณาสพ ท.) มีอย,ู่ เต ปน `นายํ อมฺหากํ พทฺโธ, มาลาปูโฏแตว่ า่ (อ.สามเณร ท.) เหลา่ นนั้ ไมป่ รารถนาแล้ว (ด้วยความคดิ ) วา่ สมุ นสามเณรสเฺ สว พทฺโธติ น อิจฺฉึส.ุ ปถุ ชุ ฺชนา ปน(อ.พวงแหง่ ระเบียบ) นี ้ (อนั พระศาสดา) ทรงผกู แล้ว เพ่ือเรา ท. อตฺตโน อสมตฺถตาเยว น อิจฺฉึส.ุหามิได้, อ.พวงแห่งระเบียบ (อันพระศาสดา) ทรงผูกแล้วเพื่อสามเณรช่ือวา่ สมุ นะนน่ั เทียว ดงั นี ้ฯ สว่ นวา่ (อ.สามเณร ท.)ผ้ปู ถุ ชุ น ไมป่ รารถนาแล้ว เพราะความที่ แหง่ ตน เป็นผ้ไู มส่ ามารถนนั่ เทียว (ดงั นี)้ ฯ ก็ ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงรอบ ครัน้ เม่ือวาระ ถงึ พร้อมแล้ว ปริโยสาเน ปน สมุ นสฺส วาเร สมปฺ ตฺเต,แก่สามเณรชื่อวา่ สมุ นะ (อ.พระเถระ) กลา่ วแล้ว วา่ แนะ่ สามเณร “สามเณร สตถฺ า อโนตตตฺ ทหอทุ เกน ปาเท โธวติ กุ าโม,อ.พระศาสดา เป็นผ้ทู รงประสงค์เพื่ออนั ทรงล้าง ซง่ึ พระบาท ท. ฆฏํ คเหตฺวา กิร อทุ กํ อาหราติ อาห.ด้วยน�ำ้ ในสระอโนดาต (ยอ่ มเป็น), ได้ยินวา่ (อ.เธอ) ถือเอาแล้วซงึ่ หม้อ จงน�ำมา ซงึ่ น�ำ้ ดงั นี ้ฯ (อ.สามเณร) นัน้ (กล่าวแล้ว) ว่า ครัน้ เมื่อพระศาสดา โส “สตฺถริ อาหราเปนฺเต, อาหริสฺสามีติ สตฺถารํ(ทรงยงั กระผม) ให้นำ� มาอย,ู่ (อ.กระผม) จกั นำ� มา ดงั นี ้ถวายบงั คมแล้ว วนทฺ ติ วฺ า “ภนเฺ ต อโนตตตฺ โต กริ มํ อทุ กํ อาหราเปถาติซงึ่ พระศาสดา กราบทลู แล้ว วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ ได้ยินวา่ อาห. “อาม สมุ นาต.ิ(อ.พระองค์ ท.) ทรงยังข้าพระองค์ ย่อมให้น�ำมา ซึ่งน�ำ้จากสระอโนดาต หรือ ดงั นี ้ ฯ (อ.พระศาสดา ตรสั แล้ว) วา่ดกู อ่ นสมุ นะ เออ (อ.อยา่ งนนั้ ) ดงั นี ้ ฯ(อ.สามเณร) นนั้ ถือเอาแล้ว ในหม้ออนั ตงั้ อยใู่ นเสนาสนะ ท. โส วสิ าขาย การิเตสุ ฆนสวุ ณฺณโกฏิเมสุอนั บคุ คลพงึ บดุ ้วยทองอนั เป็นแทง่ อนั อนั นางวสิ าขา ให้กระทำ� แล้ว เสนาสนกเุ ฏสุ เอกํ “อสิมฏฺินฐกีาฏุ อเมทุ กคอฺคกุ ณฺขิปฺหิ ตนฺวกาํ มหาฆฏํหนา ซงึ่ หม้อใหญ่ ใบหนง่ึ อนั จซุ ง่ึ น�ำ้ มีหม้อ ๖๐ เป็นประมาณ หตฺเถน คเหตฺวา อํสกเู ฏด้วยมอื (คดิ แล้ว) วา่ อ.ประโยชน์ (ด้วยหม้อ) นี ้อนั อนั เรา ยกขนึ ้ แล้ว ฐปิ เตน อตฺโถ นตฺถีติ โอลมพฺ กํ กตฺวา เวหาสํวางไว้แล้ว บนจะงอยแหง่ บา่ ยอ่ มไมม่ ี ดงั นี ้ กระท�ำแล้ว อพฺภคุ ฺคนฺตฺวา หิมวนฺตาภิมโุ ข ปกฺขนฺทิ.ให้เป็นของห้อยลง เหาะขนึ ้ ไปแล้ว สฟู่ ้ า มหี น้าเฉพาะตอ่ ป่าหมิ พานต์แลน่ ไปแล้ว ฯอ.นาคราช เหน็ แล้ว ซงึ่ สามเณร ผ้มู าอยู่ แตท่ ี่ไกลเทียว นาคราชา สามเณรํ ทรู โตว อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวาต้อนรับแล้ว ถือเอาแล้ว ซง่ึ หม้อ ด้วยจะงอยแหง่ บา่ ปจฺจคุ ฺคนฺตฺวา กฏุ ํ อํสกเู ฏนาทาย98 ธรรมบทภาคท่ี ๘ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

(กลา่ วแล้ว) วา่ ข้าแตท่ า่ นผ้เู จริญ ครนั้ เมอ่ื ทาส ผ้เู ชน่ กระผม “ภนฺเต ตมุ เฺ ห, มาทิเส ทาเส วิชฺชมาเน, กสมฺ า สยํมีอยู่ อ.ทา่ น ท. เป็นผ้มู าแล้ว เอง (ยอ่ มเป็น) เพราะเหตไุ ร, อาคตา; อทุ เกน อตฺเถ สต,ิ กสฺมา สาสนมตฺตํ นครัน้ เมื่อความต้องการ ด้วยน�ำ้ มีอย,ู่ (อ.ทา่ น ท.) ไมส่ ง่ ไปแล้ว ปหิณิตฺถาติ กเุ ฏน อทุ กํ อาทาย สยํ อกุ ฺขิปิ ตฺวา(ซงึ่ วตั ถ)ุ สกั วา่ ขา่ วสาส์น เพราะเหตไุ ร ดงั นี ้ ถือเอาแล้ว ซงึ่ น�ำ้ “ปรุ โต โหถ ภนฺเต, อหเมว อาหริสฺสามีติ อาห.ด้วยหม้อ ยกขึน้ แล้ว เอง กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ(อ.ทา่ น ท.) จงมี ข้างหน้าเถิด, อ.กระผมนนั่ เทียว จกั น�ำมา ดงั นี ้ฯ (อ.สามเณร) ยงั นาคราช ให้กลบั แล้ว (ด้วยคำ� ) วา่ ดกู อ่ นมหาบพติ ร หอาตณฺเถ“ตนตฺโฏิ ตคฺฐตเถหิ ตตนฺวมุ าาเฺคหอราามกชหาาาเนสรํนาชนอ, าิวอคตหญฺเเตมฺฉตวิ.ฺวาสมมฺกาฏุ สมมขุ พฺ วทุฏเฺฺฏธนิยํอ.ทา่ น ท. จงหยดุ , อ.ข้าพเจ้านนั่ เทยี ว เป็นผู้ อนั พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าทรงสงั่ แล้ว (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ จบั แล้ว ที่ขอบแหง่ ปากแหง่ หม้อด้วยมือ มาแล้ว โดยอากาศ ฯครัง้ นนั้ อ.พระศาสดา ทรงแลดแู ล้ว (ซง่ึ สามเณร) นนั้ ผ้มู าอยู่ อถ นํ สตฺถา อาคจฺฉนฺตํ โอโลเกตฺวา ภิกฺขูตรสั เรียกมาแล้ว ซงึ่ ภกิ ษุ ท. ตรสั แล้ว วา่ ดกู อ่ นภกิ ษุ ท. (อ.เธอ ท.) อามนฺเตตฺวา “ปสฺสถ ภิกฺขเว สามเณรสสฺ ลีฬฺหํจงดู ซง่ึ ลีลา ของสามเณร เถิด, (อ.สามเณร) นนั้ ยอ่ มงาม ราวกะ อากาเส หํสราชา วยิ โสภตีติ อาห.อ.หงส์ผ้พู ระราชา (งามอย)ู่ ในอากาศ ดงั นี ้ฯ(อ.สามเณร) แม้นนั้ วางไว้แล้ว ซงึ่ หม้อแหง่ นำ� ้ อนั บคุ คลพงึ ดม่ื โสปิ ปานียฆฏํ ฐเปตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวาถวายบงั คมแล้ว ซงึ่ พระศาสดา ได้ยืนแล้ว ฯ อฏฺ ฐาส.ิครัง้ นัน้ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว (กะสามเณร) นัน้ ว่า อถ นํ สตฺถา อาห “กตวิ สฺโสสิ ตฺวํ สมุ นาต.ิดูก่อนสุมนะ อ.เธอ เป็ นผู้มีกาลฝนเท่าไร ย่อมเป็ น ดังนี ้ ฯ “สตฺตวสฺโสมหฺ ิ ภนฺเตติ.(อ.สามเณร กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ อ.ข้าพระองค์เป็นผ้มู ีกาลฝน ๗ ยอ่ มเป็น ดงั นี ้ฯ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนสุมนะ ถ้าอย่างนัน้ “เตนหิ สมุ น อชฺชโต ปฏฺ ฐาย ภิกฺขุ โหหีติ วตฺวา(อ.เธอ) เป็นภิกษุ จงเป็น จ�ำเดมิ แตว่ นั นี ้ ดงั นี ้ ได้ประทานแล้ว ทายชฺชอปุ สมปฺ ทํ อทาส.ิซงึ่ ทายชั ชอปุ สมบท ฯได้ยินวา่ อ.สามเณร ท. ผ้มู ีกาลฝนเจ็ด ๒ รูปนนั่ เทียว คือ เทวฺ เยว กริ สามเณรา สตตฺ วสสฺ า อปุ สมปฺ ทํ ลภสึ :ุ(อ.สุมนะ) นี ้ ด้วย อ.โสปากะ ด้วย ได้แล้ว ซ่ึงอุปสมบท ฯ “อยญฺจ สมุ โน โสปาโก จาต.ิ (ครัน้ เมื่อสามเณร) นัน้ อุปสมบทแล้ว อย่างนี,้ อ.ภิกษุ ท. เอวํ ตสมฺ ึ อปุ สมปฺ นเฺ น, นธมามมฺ สทภหารยสํ กสฺ ถสํ สามมฏุ เฺณฐารเปสสฺสํุยงั วาจาเป็นเคร่ืองกลา่ ว วา่ ดกู อ่ นทา่ นผ้มู อี ายุ ท. อ.เหตนุ า่ อศั จรรย:์ “อจฺฉริยํ อาวโุ ส: เอวรูโปปิ(อ.อานภุ าพ) ชื่อ แม้มีอยา่ งนีเ้ป็นรูป เป็นอานภุ าพ ของสามเณร อานภุ าโว โหต,ิ น โน อิโต ปพุ ฺเพ เอวรูโป อานภุ าโวผ้เู ป็นเดก็ ยอ่ มเป็น, อ.อานภุ าพ มีอยา่ งนีเ้ป็นรูป เป็นอานภุ าพ ทิฏฺฐปพุ ฺโพต.ิอนั เรา ท. ไมเ่ คยเหน็ แล้ว ในกาลก่อน (แตก่ าล) นี ้(ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ให้ตงั้ ขนึ ้ พร้อมแล้ว ในโรงเป็นที่กลา่ วกบั ด้วยการแสดงซง่ึ ธรรม ฯ อ.พระศาสดา เสดจ็ มาแล้ว ตรัสถามแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. สตฺถา อาคนฺตฺวา “กาย นตุ ฺถ ภิกฺขเว เอตรหิ(อ.เธอ ท.) เป็ นผู้น่ังพร้ อมกันแล้ว ด้วยวาจาเป็ นเครื่องกล่าว กถาย สนฺนิสนิ ฺนาติ ปจุ ฺฉิตฺวา, “อิมาย นามาติ วตุ ฺเต,อะไร หนอ ยอ่ มมี ในกาลนี ้ ดงั น,ี ้ (ครนั้ เมอ่ื คำ� ) วา่ (อ.ข้าพระองค์ ท. “ภิกฺขเว มม สาสเน ทหโรปิ สมมฺ าปฏิปนฺโนเป็นผ้นู งั่ พร้อมกนั แล้ว ด้วยวาจาเป็นเคร่ืองกลา่ ว) ชื่อ นี ้ (ยอ่ มมี เอวรูปํ สมปฺ ตฺตึ ลภตเิ ยวาติ วตฺวา ธมมฺ ํ เทเสนฺโตในกาลนี)้ ดงั นี ้ (อนั ภิกษุ ท. เหลา่ นนั้ ) กราบทลู แล้ว, ตรัสแล้ว วา่ อิมํ คาถมาหดูก่อนภิกษุ ท. อ.บุคคล แม้ผู้เป็ นหนุ่ม ในศาสนา ของเราผ้ปู ฏิบตั แิ ล้วโดยชอบ ยอ่ มได้ ซง่ึ สมบตั ิ มีอยา่ งนีเ้ป็นรูป นนั่ เทียวดงั นี ้ เม่ือทรงแสดง ซงึ่ ธรรม ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา นี ้วา่อ.ภิกษุ ผูเ้ ป็นหน่มุ ใด แล ย่อมพากเพียร ในพระพทุ ธศาสนา, “โย หเว ทหโร ภิกฺขุ ยุญฺชติ พทุ ฺธสาสเน,(อ.ภิกษุ) นน้ั ย่อม ยงั โลก นี้ ใหส้ ว่าง เพียงดงั อ.พระจนั ทร์ โสมํ โลกํ ปภาเสติ อพภฺ า มตุ ฺโตว จนทฺ ิมาติ.อนั พน้ แลว้ จากหมอก (ยงั โอกาสโลก ใหส้ ว่างอยู่) ดงั นี้ ฯ ผลิตสอื่ การเรยี นรู้ โดยโรงเรียนพระปรยิ ัตธิ รรม วดั พระธรรมกาย 99 www.kalyanamitra.org

(อ.อรรถ วา่ ) ยอ่ มพากเพียร คือวา่ ยอ่ มพยายาม (ดงั นี ้ ตตฺถ ยุญชฺ ตตี :ิ ฆฏติ วายมต.ิในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ ยุญชฺ ติ ดงั นี ้ฯ อ.อรรถ วา่ อ.ภิกษุ นนั้ ยงั โลก อนั ตา่ งโดยโลกมีขนั ธ์เป็นต้น ปภาเสตตี :ิ โส ภิกฺขุ อตฺตโน อรหตฺตมคฺคญฺ-ยอ่ มให้สวา่ ง คอื วา่ ยอ่ มกระทำ� ให้เป็นโลกมแี สงสวา่ งอยา่ งเดยี วกนั ญาเณน อพภฺ าทหี ิ มตุ โฺ ต จนทฺ มิ า วยิ [โลก]ํ ขนธฺ าทเิ ภทํด้วยญาณอนั ประกอบพร้อมแล้วด้วยอรหตั ตมรรค ราวกะ อ.พระจนั ทร์ โลกํ โอภาเสติ เอกาโลกํ กโรตีติ อตฺโถ.อนั พ้นแล้ว (จากมลทิน ท.) มีหมอกเป็นต้น (ยงั โลก ให้สวา่ งอย)ู่ดงั นี ้(แหง่ บท) วา่ ปภาเสติ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ สึ ตู .ิ(ซงึ่ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯอ.เร่ืองแห่งสามเณรช่ือว่าสุมนะ (จบแล้ว) ฯ สุมนสามเณรวตถฺ ุ.อ.กอถันาบเปณั ็ นฑเคติ รก่ือำ� งหพนรดรแณลน้วาดซ้ว่งึ ยเนภือกิ้ คษวุ จาบมแแหล้่วงวฯรรค ภกิ ขฺ ุวคคฺ วณฺณนา นิฏฺ ฐิตา. อ.วรรค ท่ี ๒๕ (จบแล้ว) ฯ ปญจฺ วีสตโิ ม วคโฺ ค.100 ธรรมบทภาคที่ ๘ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

๒๖. อ.กอถันาเบป็ณั น(เอฑคันติ รข่กือ้าำ�งพหพเนรจรด้าณแจลนะ้วากดซล้ว่งึ ่าเยวนพ)ือ้ รฯคาวหามมณแ์ห่งวรรค ๒๖. พรฺ าหมฺ ณวคคฺ วณฺณนา.๑. อ.เร่ืองแ(หอ่ันงพข้ราาพหเจม้าณจ์ผะู้มกีคลว่าาวม)เฯล่ือมใสมาก ๑. ปสาทพหลุ พรฺ าหมฺ ณวตถฺ ุ. [๒๖๔] อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “ฉินฺท โสตํ ปรกกฺ มมฺ าติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถาซงึ่ พราหมณ์ ผ้มู ีความเล่อื มใสมาก ตรัสแล้ว ซง่ึ พระธรรมเทศนา เชตวเน วหิ รนโฺ ต ปสาทพหลุ ํ พรฺ าหมฺ ณํ อารพภฺ กเถส.ินี ้วา่ ฉินฺท โสตํ ปรกกฺ มมฺ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯได้ยินว่า อ.พราหมณ์ นัน้ ฟังแล้ว ซ่ึงพระธรรมเทศนา โส กิร พฺราหฺมโณ ภควโต ธมมฺ เทสนํ สตุ ฺวาของพระผ้มู ีพระภาคเจ้า มีจิตเลอื่ มใสแล้ว เริ่มตงั้ แล้ว ซงึ่ นิจภตั ร ปสนฺนจิตฺโต อตฺตโน เคเห โสฬสมตฺตานํ ภิกฺขนู ํแก่ภิกษุ ท. มีประมาณ ๑๖ รูป ในเรือน ของตน รับแล้ว ซงึ่ บาตร “นอจิ าจฺ คภจตฺฉตฺ นํ ปฺตฏุ ฺฐเโปภตนวฺ ฺโาตภกิ อขฺ นรู หํ อนาฺโคตต,เวลนาิสยทีํ ปนตฺตตฺ ุ ํ คเหตวฺ าในเวลา แหง่ ภิกษุ ท. มาแล้ว เม่ือกลา่ ว (ซงึ่ ค�ำ) อยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ โภนฺโตยอ่ มกลา่ ว (ซง่ึ ค�ำ) อนั ประกอบพร้อมเฉพาะแล้วด้วยวาทะวา่ อรหนโฺ ตติ ยงกฺ ญิ จฺ ิ วทนโฺ ต อรหนตฺ วาทปปฺ ฏสิ ยํ ตุ ตฺ เมวพระอรหนั ต์นนั่ เทียว วา่ อ.พระอรหนั ต์ ท. ผ้เู จริญ จงมาเถิด วทต.ิอ.พระอรหนั ต์ ท. ผ้เู จริญ จงนง่ั เถิด ดงั นี ้ฯ (ในภิกษุ ท.) เหลา่ นนั้ หนา (อ.ภิกษุ ท.) ผ้เู ป็นปถุ ชุ น เตสุ ปถุ ชุ ชฺ นา “อยํ อมเฺ หสุ อรหนตฺ สญญฺ ตี ิ จนิ ตฺ ยสึ ,ุคดิ แล้ว วา่ (อ.พราหมณ์) นี ้ เป็นผ้มู ีความส�ำคญั ในเรา ท. ขีณาสวา “อยํ โน ขีณาสวภาวํ ชานาตีติ ฯวา่ เป็นพระอรหนั ต์ (ยอ่ มเป็น) ดงั นี,้ (อ.ภิกษุ ท.) ผ้เู ป็นขีณาสพ(คิดแล้ว) ว่า (อ.พราหมณ์) นี ้ ย่อมรู้ ซ่ึงความท่ี แห่งเรา ท.เป็นพระขีณาสพ ดงั นี ้ฯ (อ.ภกิ ษุ ท.) เหลา่ นนั้ แม้ทงั้ ปวง ประพฤตริ งั เกยี จอยู่ ไมไ่ ปแล้ว เอวํ เต สพฺเพปิ กกุ ฺกจุ ฺจายนฺตา ตสสฺ เคหํ น คมสึ .ุสเู่ รือน (ของพราหมณ์) นนั้ ด้วยประการฉะนี ้ฯ (อ.พราหมณ)์ นนั้ เป็นผ้มู ที กุ ข์ เป็นผ้มู ใี จอนั โทษประทษุ ร้ายแล้ว โส ทกุ ฺขี ทมุ มฺ โน “กึ นุ โข อยฺยา นาคจฺฉนฺตีติ(เป็น) (คดิ แล้ว) วา่ อ.พระผ้เู ป็นเจ้า ท. ยอ่ มไมม่ า เพราะเหตอุ ะไร วิหารํ คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ตมตฺถํ อาโรเจส.ิหนอ แล ดงั นี ้ ไปแล้ว สวู่ ิหาร ถวายบงั คมแล้ว ซงึ่ พระศาสดากราบทลู แล้ว ซงึ่ เนือ้ ความ นนั้ ฯ อ.พระศาสดา ตรัสเรียกมาแล้ว ซง่ึ ภิกษุ ท. ตรัสถามแล้ว วา่ สตฺถา ภิกฺขู อามนฺเตตฺวา “กึ เอตํ ภิกฺขเวติดกู ่อนภิกษุ ท. (อ.เร่ือง) นนั่ อะไร ดงั นี,้ ครัน้ เมื่อเนือ้ ความ นนั้ ปจุ ฉฺ ติ วฺ า, เตหิ ตสมฺ ึ อตเฺ ถ อาโรจเิ ต, “สาทยิ ถ ปนฺ ตมฺ เฺ หอนั ภิกษุ ท. เหลา่ นนั้ กราบทลู แล้ว, ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. ภิกฺขเว อรหนฺตวาทนฺติ อาห. “น สาทิยาม ภนฺเตต.ิก็ อ.เธอ ท. ย่อมยินดี ซึ่งวาทะว่าพระอรหันต์ หรือ ดังนี ้ ฯ “เอวํ สนฺเต, มนสุ สฺ านํ เอตํ ปสาทภญฺญํ, อนาปตฺติ(อ.ภิกษุ ท. เหลา่ นนั้ กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ ภิกฺขเว ปสาทภญฺเญ, อปิ จ โข ปน พฺราหฺมณสสฺ(อ.ข้าพระองค์ ท.) ยอ่ มไมย่ นิ ดี ดงั นี ้ฯ (อ.พระศาสดา ตรสั แล้ว) วา่ อรหนฺเตสุ อธิมตฺตํ เปมํ;(ครัน้ เมื่อความเป็ น) อย่างนัน้ มีอยู่, (อ.การกล่าว) น่ันเป็นการกลา่ วด้วยความเลอื่ มใส แหง่ มนษุ ย์ ท. (ยอ่ มเป็น),ดูก่อนภิกษุ ท. อ.อนาบัติ (ย่อมมี) ในเพราะการกล่าวด้วยความเลอ่ื มใส, ก็ อกี อยา่ งหนง่ึ แล อ.ความรกั ในพระอรหนั ต์ ท.แห่งพราหมณ์ เป็ นธรรมชาตมีประมาณย่ิง (ย่อมเป็ น), ผลิตส่ือการเรยี นรู้ โดยโรงเรียนพระปริยตั ิธรรม วดั พระธรรมกาย 101www.kalyanamitra.org

เพราะเหตนุ นั้ อ.อนั แม้อนั เธอ ท. ตดั แล้ว ซง่ึ กระแสแหง่ ตณั หา ตสมฺ า ตมุ เฺ หหิปิ ตณฺหาโสตํ เฉตฺวา อรหตฺตเมว ปตฺตํุบรรลุ ซง่ึ พระอรหตั นนั่ เทียว ควรแล้ว ดงั นี ้ เมื่อทรงแสดง ซง่ึ ธรรม ยตุ ฺตนฺติ วตฺวา ธมมฺ ํ เทเสนฺโต อิมํ คาถมาหตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา นี ้วา่ดูก่อนพราหมณ์ (อ.ท่าน) พยายามแลว้ จงตดั ซึ่งกระแส “ฉินทฺ โสตํ ปรกฺกมฺม กาเม ปนทู พรฺ าหฺมณ,จงบรรเทา ซ่ึงกาม ท., ดูก่อนพราหมณ์ (อ.ท่าน) รู้แลว้ สงฺขารานํ ขยํ ญตฺวา อกตญฺญูสิ พรฺ าหฺมณาติ.ซึ่งความสิ้นไป แห่งสงั ขาร ท. เป็นผูร้ ู้ซ่ึงพระนิพพานอนั ปัจจยั อะไร ๆ ไม่กระท�ำแลว้ ย่อมเป็น ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถวา่ )ชอื่ อ.กระแสแหง่ ตณั หา(อนั ใครๆ)ไมอ่ าจเพอื่ อนั ตดั ตตถฺ “ปรกกฺ มมฺ าต:ิ ตณหฺ าโสตํ นาม อปปฺ มตตฺ เกนด้วยความพยายาม มีประมาณน้อย, เพราะเหตนุ นั้ (อ.ทา่ น) วายาเมน ฉินฺทิตํุ น สกฺกา; ตสมฺ า ญาณสมปฺ ยตุ ฺเตนพยายามแล้ว ด้วยความบากบน่ั อนั ใหญ่ อนั ประกอบพร้อมแล้ว มหนฺเตน ปรกฺกเมน ปรกฺกมิตฺวา ตํ โสตํ ฉินฺท อโุ ภปิด้วยญาณ จงตดั ซง่ึ กระแส นนั้ จงบรรเทา คอื วา่ จงนำ� ออก ซงึ่ กาม ท. กาเม ปนทุ นีหร.แม้ทงั้ ๒ (ดงั นี ้ ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ ปรกกฺ มมฺดงั นี ้ฯ (อ.คำ� ) วา่ พรฺ าหมฺ ณ ดงั นี ้นน่ั เป็นคำ� ร้องเรยี ก ซง่ึ พระขณี าสพ ท. พรฺ าหมฺ ณาต:ิ ขีณาสวานํ อาลปนเมตํ.(ยอ่ มเป็น) ฯ (อ.อรรถ) วา่ ทราบแล้ว ซง่ึ ความสนิ ้ ไป แหง่ ขนั ธ์ ท. ๕ (ดงั นี ้ สงขฺ ารานนฺต:ิ ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ ขยํ ชานิตฺวา.แหง่ บท) วา่ สงขฺ ารานํ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ วา่ ) (ครัน้ เม่ือความเป็น) อยา่ งนนั้ มีอย,ู่ อ.ทา่ น อกตญญฺ ูต:ิ เอวํ สนฺเต, ตฺวํ สวุ ณฺณาทีสุ เกนจิเป็นผ้ชู ่ือวา่ อกตญั ญู เพราะอนั รู้ ซงึ่ พระนิพพาน อนั (ในปัจจยั ท. อกตสสฺ นิพฺพานสฺส ชานนโต อกตญฺญู นาม โหสีต.ิมีทองเป็นต้น หนา (อนั ปัจจยั ) อะไร ๆ ไมก่ ระท�ำแล้ว ยอ่ มเป็น ดงั นี ้(แหง่ บท) วา่ อกตญญฺ ู ดงั นี ้ฯ ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ ึสตู .ิ(ซง่ึ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯอ.เร่ืองแห่งพราห(จมบณแ์ลผู้้มว)ีคฯวามเล่ือมใสมาก ปสาทพหลุ พรฺ าหมฺ ณวตถฺ ุ.๒(อ. ันอข.เ้าร่ืพองเจแ้าห่งจภะกิกษล่าุผวู้ม)าฯก ๒. สมพฺ หุลภกิ ขฺ ุวตถฺ ุ. (๒๖๕) อ.พระศาสดา เม่ือประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “ยทา ทวฺ เยสุ ธมเฺ มสูติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถาซงึ่ ภิกษุ ท. ผ้มู าก ตรัสแล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา นี ้ วา่ เชตวเน วิหรนฺโต สมพฺ หเุ ล ภิกฺขู อารพฺภ กเถส.ิยทา ทวฺ เยสุ ธมเฺ มสุ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ในวนั หนงึ่ อ.ภิกษุ ท. ผ้มู ีอนั อยใู่ นทิศเป็นปกติ มี ๓๐ รูป เอกทิวสํ ตสึ มตฺตา ทิสาวาสกิ า ภิกฺขู อาคนฺตฺวาเป็นประมาณ มาแล้ว ถวายบงั คมแล้ว ซงึ่ พระศาสดา นงั่ แล้ว ฯ สตฺถารํ วนฺทิตฺวา นิสีทสึ .ุ สารีปตุ ฺตตฺเถโร เตสํอ.พระเถระชื่อวา่ สารีบตุ ร เหน็ แล้ว ซงึ่ อปุ นิสยั แหง่ พระอรหตั อรหตฺตสสฺ อปุ นิสฺสยํ ทิสฺวา(ของภิกษุ ท.) เหลา่ นนั้102 ธรรมบทภาคท่ี ๘ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

เข้าไปเฝ้ าแล้ว ซึ่งพระศาสดา ผู้ยืนแล้วเทียว ทูลถามแล้ว สตฺถารํ อปุ สงฺกมิตฺวา ติ โกว อิมํ ปญฺหํ ปจุ ฺฉิซง่ึ ปัญหา นี ้วา่ ข้าแตพ่ ระองคผ์ ้เู จริญ อ.ธรรม ท. ๒ (อนั พระองค์ ท.) “ภนฺเต เทฺว ธมมฺ า เทฺว ธมมฺ าติ วจุ ฺจนฺตีต:ิ กตเม นุ โขยอ่ มตรัสเรียก วา่ อ.ธรรม ท. ๒ ดงั นี ้ดงั นี,้ อ.ธรรม ท. ๒ เหลา่ ไหน เทฺว ธมมฺ าต.ิหนอ แล ดงั นี ้ฯ ครัง้ นัน้ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว (กะพระเถระ) นัน้ ว่า อถ นํ สตฺถา “เทฺว ธมมฺ าติ โข สารีปตุ ฺตดกู ่อนสารีบตุ ร อ.สมถะและวปิ ัสสนา ท. (อนั เรา) ยอ่ มเรียก วา่ สมถวิปสฺสนา วจุ ฺจนฺตีติ วตฺวา อิมํ คาถมาหอ.ธรรม ท. ๒ ดงั นี ้แล ดงั นี ้ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา นี ้วา่ในกาลใด อ.พราหมณ์ เป็นผูถ้ ึงซึ่งฝั่ง ในธรรม ท. “ยทา ทฺวเยสุ ธมฺเมสุ ปารคู โหติ พรฺ าหฺมโณ,อนั ตง้ั อยู่แล้วโดยหมวด ๒ย่อมเป็ น, ในกาลนนั้ อถสฺส สพเฺ พ สํโยคา อฏฺฐํ คจฺฉนตฺ ิ ชานโตติ.อ.กิเลสเป็นเครือ่ งประกอบพรอ้ ม ท. ทงั้ ปวง (ของพราหมณ์ )นน้ั ผูร้ ู้อยู่ ย่อมถึง ซึ่งอนั ตงั้ อยู่ไม่ได้ ดงั นี้ ฯอ.อรรถ ว่า ในกาล ใด อ.พระขีณาสพ นี ้ เป็ นผู้ถึงซ่ึงฝั่ง ตตฺถ “ยทาต:ิ ยสฺมึ กาเล ทฺวธิ า เิ ตสุในธรรมคือสมถะและวิปัสสนา ท. อนั ตงั้ อยแู่ ล้ว โดยสว่ น ๒ สมถวิปสฺสนาธมฺเมสุ อภิญฺญาปารคาทิวเสนด้วยอ�ำนาจแหง่ อาการมีความเป็นผ้ถู งึ ซง่ึ ฝั่งแหง่ อภิญญาโดยปกติ อยํ ขณี าสโว ปารคู โหต,ิ อถสสํโสฺยควฏาฺฏสเมฺอวึ สํ โํ ยชชานนสนมฺตตสถฺ สฺาเป็นต้น ยอ่ มเป็น, ในกาลนนั้ อ.กิเลสเป็นเคร่ืองประกอบพร้อม ท. สพฺเพ กามสํโยคาทโยมีกิเลสเป็ นเคร่ืองประกอบพร้ อมคือกามเป็ นต้น อันสามารถ อฏฺฐํ ปริกฺขยํ คจฺฉนฺตีติ อตฺโถ.ในอนั ประกอบพร้อม ในวฏั ฏะ ชื่อวา่ ทงั้ ปวง (ของพระขีณาสพ)นนั้ ผ้รู ู้อยู่ อยา่ งนี ้ ยอ่ มถงึ ซงึ่ อนั ตงั้ อยไู่ มไ่ ด้ คอื วา่ ซง่ึ ความสนิ ้ ไปรอบดงั นี ้ (ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ ยทา ดงั นีเ้ป็นต้น ฯในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ เทศนา อ.ภิกษุ ท. เหลา่ นนั้ แม้ทงั้ ปวง เทสนาวสาเน สพฺเพปิ เต ภิกฺขู อรหตฺเตตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว ในพระอรหตั ดงั นีแ้ ล ฯ ปตฏิ ฺฐหสึ ตู .ิอ.เร่ืองแห่งภกิ ษุผู้มาก (จบแล้ว) ฯ สมพฺ หลุ ภกิ ขฺ ุวตถฺ ุ.(อัน๓ข.้าอพ.เเรจ่ือ้างจแะหก่งลม่าาวร) ฯ ๓. มารวตถฺ ุ. (๒๖๖) อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “ยสสฺ ปารํ อปารํ วาติ อิมํ ธมฺมเทสนํ สตฺถาซงึ่ มาร ตรัสแล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา นี ้ วา่ ยสฺส ปารํ อปารํ วา เชตวเน วหิ รนฺโต มารํ อารพฺภ กเถส.ิดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยินว่า ในวัน หน่ึง (อ.มาร) นัน้ เป็ นราวกะว่าบุรุษ โส กิร เอกสมฺ ึ ทิวเส อญฺญตโร ปรุ ิโส วยิ หตุ ฺวาคนใดคนหนง่ึ เป็น เข้าไปเฝ้ าแล้ว ซงึ่ พระศาสดา ทลู ถามแล้ว วา่ สตฺถารํ อปุ สงฺกมิตฺวา ปจุ ฺฉิ “ภนฺเต ปารํ ปารนฺติข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ.ฝั่ง (อันพระองค์ ท.) ย่อมตรัสเรียก ว่า วจุ ฺจต:ิ กินฺนุ โข เอตํ ปารํ นามาต.ิอ.ฝั่ง ดงั นี ้, ช่ือ อ.ฝ่ัง นน่ั อะไร หนอ แล ดงั นี ้ฯ อ.พระศาสดา ทรงทราบแล้ว วา่ (อ.บรุ ุษ) นี ้ เป็นมาร (ยอ่ มเป็น) สตฺถา “มาโร อยนฺติ วิทิตฺวาดงั นี ้ ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยตั ธิ รรม วดั พระธรรมกาย 103 www.kalyanamitra.org

ตรสั แล้ว วา่ ดกู อ่ นมารผ้มู บี าป (อ.ประโยชน)์ อะไร แกท่ า่ น ด้วยฝ่ัง, “ปาปิ ม กึ ตว ปาเรน, ตํ วีตราเคหิ ปตฺตพฺพนฺติ วตฺวา(อ.ฝ่ัง) นนั้ (อนั ชน ท.) ผ้มู ีราคะไปปราศแล้ว พงึ ถงึ ดงั นี ้ ตรัสแล้ว อิมํ คาถมาหซงึ่ พระคาถา นี ้วา่อ.ฝ่ัง หรือ หรือว่า อ.ทีม่ ิใช่ฝั่ง หรือว่า อ.ฝ่ังและทีม่ ิใช่ฝ่ัง “ยสสฺ ปารํ อปารํ วา ปาราปารํ น วิชฺชติ,ย่อมไม่มี (แก่บคุ คล) ใด, อ.เรา ย่อมเรียก (ซ่ึงบคุ คล) นน้ั วีตทฺทรํ วิสํยตุ ฺตํ ตมหํ พรฺ ูมิ พรฺ าหฺมณนตฺ ิผู้มีความกระวนกระวายไปปราศแล้ว ผู้พรากแล้วว่าเป็นพราหมณ์ ดงั นี้ ฯอ.อายตนะ ท. ๖ อันเป็ นไปในภายใน ชื่อว่า ปารํ ตตฺถ “ปารนฺต:ิ อชฺฌตฺตกิ านิ ฉ อายตนานิ.(ในพระคาถา) นนั้ ฯอ.อายตนะ ท. ๖ อนั มีในภายนอก ช่ือวา่ อปารํ ฯ อปารนฺต:ิ พาหิรานิ ฉ อายตนานิ.(อ.อายตนะ) ทงั้ สอง นนั้ ชื่อวา่ ปาราปารํ ฯ ปาราปารนฺต:ิ ตทภุ ยํ.อ.อรรถ วา่ (อ.ฝ่ังและที่มิใชฝ่ ั่ง) ทงั้ ปวง นนั่ ชื่อวา่ ยอ่ มไมม่ ี น วชิ ชฺ ตตี :ิ ยสฺส สพฺพเมตํ `อหนฺติ วา `มมนฺติ วา(แก่บคุ คล) ใด เพราะความไมม่ ีแหง่ ความยดึ ถือ วา่ อ.เรา ดงั นี ้ คหณาภาเวน นตฺถิ, ตํ กิเลสทรานํ วิคเมน วีตทฺทรํหรือ หรือว่า ว่า ของเรา ดังนี,้ (อ.เรา) ย่อมเรียก (ซึ่งบุคคล) นัน้ สพฺพกฺกิเลเสหิ วสิ ํยตุ ฺตํ อหํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อตฺโถ.ชื่อวา่ ผ้มู ีความกระวนกระวายไปปราศแล้ว เพราะความไปปราศแห่งความกระวนกระวายคือกิเลส ท. ผ้พู รากแล้ว จากกิเลสทงั้ ปวง ท. วา่ เป็นพราหมณ์ ดงั นี ้ (แหง่ บท) วา่ น วชิ ชฺ ติดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ ึสตู .ิ(ซงึ่ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งมาร (จบแล้ว) ฯ มารวตถฺ ุ.๔. อ.เร่ืองแห่งพราหมณ์คนใดคนหน่ึง ๔. อญญฺ ตรพรฺ าหมฺ ณวตถฺ ุ. (๒๖๗) (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ.พระศาสดา เม่ือประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “ฌายนิ ฺติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโตซงึ่ พราหมณ์ คนใดคนหนงึ่ ตรัสแล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา นี ้ อญฺญตรํ พฺราหฺมณํ อารพฺภ กเถส.ิวา่ ฌายึ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯได้ยินว่า (อ.พราหมณ์) นัน้ คิดแล้ว ว่า อ.พระศาสดา โส กริ จนิ เฺ ตสิ “สตถฺ า อตตฺ โน สาวเก `พรฺ าหมฺ ณาติยอ่ มตรัสเรียก ซงึ่ สาวก ท. ของพระองค์ วา่ เป็นพราหมณ์ ดงั นี,้ วทต,ิ อหญฺจมหฺ ิ ชาตโิ คตฺเตน พฺราหฺมโณ, มํปิ โข เอวํก็ อ.เรา เป็ นพราหมณ์ โดยชาติและโคตร ย่อมเป็ น, อ.อัน วตฺตํุ วฏฺฏตีต.ิ(อนั พระศาสดา) ตรัสเรียก แม้ซงึ่ เรา แล อยา่ งนนั้ ยอ่ มควร ดงั นี ้ฯ (อ.พราหมณ์) นนั้ เข้าไปเฝ้ าแล้ว ซงึ่ พระศาสดา ทลู ถามแล้ว โส สตฺถารํ อปุ สงฺกมิตฺวา ตมตฺถํ ปจุ ฺฉิ.ซงึ่ เนือ้ ความ นนั้ ฯ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว วา่ อ.เรา ยอ่ มไมเ่ รียก (ซง่ึ บคุ คล) สตฺถา “นาหํ ชาตโิ คตฺตมตฺเตน พฺราหฺมณํ วทามิ,วา่ เป็นพราหมณ์ (ด้วยเหต)ุ สกั วา่ ชาติและโคตร,104 ธรรมบทภาคท่ี ๘ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

แต่ว่า (อ.เรา) ย่อมเรียก (ซ่ึงบุคคล) ผู้บรรลุโดยล�ำดับแล้ว อตุ ฺตมตฺถํ อนปุ ปฺ ตฺตเมว ปเนตํ วทามีติ วตฺวา อิมํซงึ่ ประโยชน์อนั สงู สดุ นน่ั เทยี ว นนั่ (วา่ เป็นพราหมณ์) ดงั นี ้ตรัสแล้ว คาถมาหซง่ึ พระคาถา นี ้วา่อ.เรา ย่อมเรียก (ซ่ึงบุคคล) ผู้มีอนั เพ่งเป็ นปกติ ผู้มีธุลี- “ฌายึ วิรชมาสีนํ กตกิจฺจํ อนาสวํไปปราศแลว้ ผมู้ ีอนั นง่ั คนเดียวเป็นปกติ ผมู้ ีกิจอนั กระท�ำแลว้ อตุ ฺตมตฺถํ อนปุ ปฺ ตฺตํ ตมหํ พรฺ ูมิ พรฺ าหฺมณนตฺ ิ.ผูไ้ ม่มีอาสวะ ผูบ้ รรลโุ ดยล�ำดบั แลว้ ซึ่งประโยชน์อนั สูงสดุ นนั้ว่าเป็นพราหมณ์ ดงั นี้ ฯ อ.อรรถ วา่ อ.เรา ยอ่ มเรียก (ซงึ่ บคุ คล) ผ้เู พง่ อยู่ ด้วยฌาน ตตถฺ “ฌายนิ ตฺ :ิ ทวุ เิ ธน ฌาเนน ฌายนตฺ ํ กามรเชนอนั มอี ยา่ ง ๒ ผ้มู ธี ลุ ไี ปปราศแล้ว ด้วยธลุ คี อื กาม ผ้มู อี นั นง่ั คนเดยี ว วริ ชํ วเน เอกมาสีนํ จตหู ิ มคฺเคหิ โสฬสนฺนํ กิจฺจานํเป็นปกติ ในป่า ชอ่ื วา่ ผ้มู กี จิ อนั กระทำ� แล้ว เพราะความท่ี (แหง่ กจิ ท.) กตตฺตา กตกิจฺจํ อาสวานํ อภาเวน อนาสวํ อตุ ฺตมตฺถํ๑๖ เป็นกิจ (อนั ตน) กระท�ำแล้ว ด้วยมรรค ท. ๔ ช่ือวา่ ผ้ไู มม่ ีอาสวะ อรหตฺตํ อนปุ ปฺ ตฺตํ อหํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อตฺโถ.เพราะความไมม่ ี แหง่ อาสวะ ท. ผ้บู รรลโุ ดยลำ� ดบั แล้ว ซง่ึ ประโยชน์อนั สงู สดุ คือวา่ ซงึ่ พระอรหตั วา่ เป็นพราหมณ์ ดงั นี ้ (ในบท ท.)เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ ฌายึ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯในกาลเป็นทส่ี ดุ ลงแหง่ เทศนา อ.พราหมณ์ นนั้ ตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว เทสนาวสาเน โส พฺราหฺมโณ โสตาปตฺตผิ เลในโสดาปัตตผิ ล ฯ อ.เทศนา เป็นเทศนาเป็นไปกบั ด้วยวาจา ปตฏิ ฺฐหิ, สมฺปตฺตานํปิ สาตฺถิกา เทสนา อโหสตี .ิมีประโยชน์ ได้มีแล้ว (แก่ชน ท.) แม้ผ้ถู งึ พร้อมแล้ว ดงั นีแ้ ล ฯอ.เร่ืองแห่งพราหม์คนใดคนหน่ึง (จบแล้ว) ฯ อญญฺ ตรพรฺ าหมฺ ณวตถฺ ุ.๕. อ.เร่ืองแห่งพระเถระช่ือว่าอานนท์ ๕. อานนฺทตเฺ ถรวตถฺ ุ. (๒๖๘) (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯอ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในปราสาทของมิคารมารดา “ทวิ า ตปติ อาทจิ โฺ จติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถาทรงปรารภ ซง่ึ พระเถระชอ่ื วา่ อานนท์ ตรัสแล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา มิคารมาตปุ าสาเท วิหรนฺโต อานนฺทตฺเถรํ อารพฺภนี ้วา่ ทวิ า ตปติ อาทจิ โฺ จ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ กเถส.ิ ได้ยินวา่ อ.พระเจ้าปเสนทิโกศล ผ้ทู รงประดบั เฉพาะแล้ว ปเสนทิโกสโล กิร มหาปวารณาย สพฺพาภรณ-ด้วยเคร่ืองอาภรณท์ งั้ ปวง ทรงถอื เอา (ซง่ึ วตั ถุ ท.) มขี องหอมเป็นต้น ปฏิมณฺฑิโต คนฺธาทีนิ อาทาย วหิ ารํ อคมาส.ิได้เสดจ็ ไปแล้ว สวู่ หิ าร ในดถิ ีเป็นท่ีปวารณาใหญ่ ฯในขณะ นนั้ อ.พระเถระชื่อว่ากาฬทุ ายี เป็ นผู้ นง่ั เข้าแล้ว ตสมฺ ึ ขเณ กาฬทุ ายิตฺเถโร ฌานํ สมาปชฺชิตฺวาซง่ึ ฌาน ในที่สดุ รอบแหง่ บริษัท ยอ่ มเป็น ฯ ปริสปริยนฺเต นิสนิ ฺโน โหต.ิ ผลติ ส่ือการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 105 www.kalyanamitra.org

(อ.ค�ำ วา่ อ.พระเถระชื่อวา่ กาฬทุ ายี ดงั นี)้ นนั่ เป็นช่ือ นามเมว ปนสฺเสตํ, สรีรํ สุวณฺณวณฺณํ,(ของพระเถระ) นนั้ นนั่ เทยี ว (ยอ่ มเป็น), อ.สรีระ (ของพระเถระ นนั้ )เป็นสรีระมีสเี พียงดงั สแี หง่ ทอง (ยอ่ มเป็น) ฯ ก็ ในขณะ นนั้ อ.พระจนั ทร์ ยอ่ มขนึ ้ ไป, อ.พระอาทิตย์ ยอ่ มถงึ จอนานฺทนตสทฺฺสสตมฺ โเฺ ึอถปภโนราสอขํฏเโณฺอฐเโมลจนเนกตฺ ฺโตทสฺวสฺ าอคุสรญฺครุ ิยจฺโสฺฉญสฺ ต,ิสอสรคุ ีโรุคฺริโภจยฉฺาอสนฏํตฺ เฺฐถสเรสฺมสตฺสจิ.ซง่ึ การไมต่ งั้ อยู่ ฯ อ.พระเถระชื่อวา่ อานนท์ แลดแู ล้ว ซงึ่ รัศมีแหง่ พระอาทติ ย์ อนั ถงึ อยู่ ซงึ่ การไมต่ งั้ อยู่ ด้วย แหง่ พระจนั ทร์อนั ขนึ ้ ไปอยู่ ด้วย แลดแู ล้ว ซงึ่ พระรัศมแี หง่ พระสรีระ ของพระราชา สรีโรภาสํ ตถาคตสฺส จ สรีโรภาสํ โอโลเกส.ิด้วย ซงึ่ รัศมแี หง่ สรีระ ของพระเถระ ด้วย ซง่ึ พระรัศมแี หง่ พระสรีระ ตตฺถ สพฺโพภาเส อตกิ ฺกมิตฺวา สตฺถา วโิ รจต.ิของพระตถาคตเจ้า ด้วย ฯ (ในชน ท.) เหลา่ นนั้ หนา อ.พระศาสดายอ่ มทรงรุ่งเรืองวิเศษ ก้าวลว่ ง ซงึ่ พระรัศมีทงั้ ปวง ท. ฯ อ.พระเถระ ถวายบงั คมแล้ว ซง่ึ พระศาสดา กราบทลู แล้ว วา่ เถโร สตฺถารํ วนฺทิตฺวา “ภนฺเต อชฺช มม อิเมข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในวันนี ้ เมื่อข้าพระองค์ แลดูอยู่ โอภาเส โอโลเกนฺตสสฺ ตมุ หฺ ากเมว โอภาโส รุจฺจติ,ซ่ึงรัศมี ท. เหล่านี ้ อ.พระรัศมี ของพระองค์ ท. น่ันเทียว ตมุ หฺ ากํ หิ สรีรํ สพฺโพภาเส อตกิ ฺกมิตฺวา วิโรจตีติ อาห.(อนั ข้าพระองค)์ ยอ่ มชอบใจ, เพราะวา่ อ.พระสรีระ ของพระองค์ ท.ยอ่ มรุ่งเรืองวเิ ศษ ก้าวลว่ ง ซงึ่ รัศมีทงั้ ปวง ท. ดงั นี ้ฯ ครัง้ นัน้ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว (กะพระเถระ) นัน้ ว่า อถ นํ สตฺถา “อานนฺท สรุ ิโย นาม ทิวา วิโรจต,ิดกู ่อนอานนท์ ชื่อ อ.พระอาทิตย์ ยอ่ มรุ่งเรืองวิเศษ ในกลางวนั , จนฺโท รตฺตึ, ราชา อลงฺกตกาเลเยว วิโรจติ,อ.พระจันทร์ (ย่อมรุ่งเรืองวิเศษ) ในกลางคืน, อ.พระราชา ขีณาสโว คณสงฺคณิกํ ปหาย อนฺโตสมาปตฺตยิ ํเยวยอ่ มทรงรุ่งเรืองวเิ ศษ ในกาล (แหง่ พระองค์ อนั บคุ คล) ประดบั แล้ว วโิ รจต;ิ พทุ ฺโธ ปน รตฺตปึ ิ ทิวาปิ ปญฺจวเิ ธนนั่นเทียว, อ.พระขีณาสพ ละแล้ว ซึ่งความคลุกคลีด้วยหมู่ เตเชน วิโรจตีติ วตฺวา อิมํ คาถมาหย่อมรุ่งเรืองวิเศษ ในภายในแห่งสมาบัตินั่นเทียว, ส่วนว่าอ.พระพุทธเจ้า ย่อมรุ่งเรืองวิเศษ ด้วยเดช อันมีอย่าง ๕แม้ในกลางคืน แม้ในกลางวัน ดังนี ้ ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้วา่อ.พระอาทิตย์ ย่อมรุ่งเรือง ในกลางวนั , อ.พระจันทร์ “ทิวา ตปติ อาทิจฺโจ, รตฺติมาภาติ จนทฺ ิมา,ย่อมส่องสว่าง ในกลางคืน, อ.กษัตริย์ ผู้ทรงผูกสอดแล้ว สนนฺ ทฺโธ ขตฺติโย ตปติ, ฌายี ตปติ พรฺ าหฺมโณ;ยอ่ มทรงรุ่งเรือง, อ.พราหมณ์ ผมู้ ีอนั เพง่ เป็นปกติ ยอ่ มรุ่งเรือง, อถ สพพฺ มโหรตฺตึ พทุ ฺโธ ตปติ เตชสาติ.ส่วนว่า อ.พระพุทธเจ้า ย่อมทรงรุ่งเรือง ด้วยเดชตลอดกลางวนั และกลางคืน ทงั้ ปวง ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) อ.พระอาทติ ย์ ยอ่ มรุ่งเรืองวเิ ศษ ในกลางวนั เทยี ว, ตตฺถ “ทวิ า ตปตตี :ิ ทิวาว วิโรจต,ิ รตฺตึ ปนสสฺแตว่ า่ แม้ อ.หนทาง (แหง่ พระอาทิตย์) นนั้ ไปแล้ว ยอ่ มไมป่ รากฏ คตมคฺโคปิ น ปญฺญายต.ิในกลางคนื (ดงั นี ้ ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ หมวดสองแหง่ บท)วา่ ทวิ า ตปติ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ วา่ ) แม้ อ.พระจนั ทร์ อนั พ้นแล้ว (จากมลทิน ท.) จนฺทมิ าต:ิ จนฺโทปิ อพฺภาทีหิ มตุ ฺโต รตฺตเิ มวมีหมอกเป็ นต้น ย่อมรุ่งเรืองวิเศษ ในกลางคืนน่ันเทียว, วิโรจต,ิ โน ทิวา.(ยอ่ มรุ่งเรือง) ในกลางวนั หามไิ ด้ (ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ จนทฺ มิ า ดงั นี ้ ฯ106 ธรรมบทภาคที่ ๘ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

(อ.อรรถ ว่า) อ.พระราชา ผู้ทรงประดับเฉพาะแล้ว สนฺนทโฺ ธต:ิ สวุ ณฺณมณิจิตฺเตหิ สพฺพาภรเณหิด้วยเครื่องอาภรณ์ทงั้ ปวง ท. อนั งดงามแล้วด้วยทองและแก้วมณี ปฏิมณฺฑิโต จตรุ งฺคนิ ิยา เสนาย ปริกฺขิตฺโตว ราชาผู้ อนั เสนา มีองค์ ๔ แวดล้อมแล้วเทียว ยอ่ มทรงรุ่งเรืองวเิ ศษ, วโิ รจต,ิ น อญฺญาตกเวเสน โิ ต.(อ.พระราชา) ผู้ทรงด�ำรงอยู่แล้ว ด้วยเพศอันใคร ๆ ไม่รู้แล้ว(ยอ่ มทรงรุ่งเรืองวิเศษ) หามิได้ (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ สนฺนทโฺ ธ ดงั นี ้เป็นต้น ฯ (อ.อรรถ วา่ ) สว่ นวา่ อ.พระขีณาสพ บรรเทาแล้ว ซง่ึ หมู่ ฌายตี :ิ ขีณาสโว ปน คณํ วโิ นเทตฺวา ฌายนฺโตวเพง่ อยเู่ ทียว ชื่อวา่ ยอ่ มรุ่งเรืองวิเศษ (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ ฌายี วิโรจต.ิดงั นี ้ฯ อ.อรรถ วา่ สว่ นวา่ อ.พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า ทรงครอบง�ำแล้ว เตชสาต:ิ สมมฺ าสมพฺ ทุ โฺ ธ ปน สลี เตเชน ทสุ สฺ ลี เตชํซง่ึ เดชแหง่ บคุ คลผ้ทู ศุ ลี ด้วยเดชแหง่ ศลี ซง่ึ เดชแหง่ บคุ คลผ้มู คี ณุ อนั ชว่ั คณุ เตเชน ทคุ ฺคณุ เตชํ ปญฺญาเตเชน ทปุ ปฺ ญฺญเตชํด้วยเดชแหง่ คณุ ซงึ่ เดชแหง่ บคุ คลผ้มู ีปัญญาอนั ชวั่ ด้วยเดช ปญุ ฺญเตเชน อปญุ ฺญเตชํ ธมมฺ เตเชน อธมมฺ เตชํแหง่ ปัญญา ซง่ึ เดชแหง่ กรรมอนั ไมเ่ ป็นบญุ ด้วยเดชแหง่ บญุ ปริยาทยิตฺวา อิมินา ปญฺจวิเธน เตชสา นิจฺจกาลเมวซง่ึ เดชแหง่ สภาพมใิ ชธ่ รรม ด้วยเดชแหง่ ธรรม ยอ่ มทรงรุ่งเรืองวเิ ศษ วิโรจตีติ อตฺโถ.ด้วยเดช อนั มีอยา่ ง ๕ นี ้ ตลอดกาลเนืองนิตย์นนั่ เทียว ดงั นี ้(แหง่ บท) วา่ เตชสา ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ ึสตู .ิ(ซง่ึ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯอ.เร่ืองแห่งพระเถระช่ือว่าอานนท์ (จบแล้ว) ฯ อานนฺทตเฺ ถรวตถฺ ุ.๖. อ.เร(อ่ือันงแข้หาพ่งบเจร้ารพจชะกติ ลรู่ปาวใ)ดฯรูปหน่ึง ๖. อญญฺ ตรปพพฺ ชติ วตถฺ ุ. (๒๖๙) อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “พาหติ ปาโปติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา เชตวเนซงึ่ บรรพชิต รูปใดรูปหนง่ึ ตรัสแล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา นี ้ วา่ วิหรนฺโต อญฺญตรํ ปพฺพชิตํ อารพฺภ กเถส.ิพาหติ ปาโป ดงั นีเ้ป็นต้น ฯได้ยินว่า อ.พราหมณ์ คนหน่ึง บวชแล้ว ด้วยการบวช เอโก กริ พรฺ าหมฺ โณ พาหริ ปพพฺ ชชฺ าย ปพพฺ ชติ วฺ าในลัทธิอันมีในภายนอก คิดแล้ว ว่า อ.พระสมณะ ผู้โคดม “สมโณ โคตโม อตฺตโน สาวเก `ปพฺพชิตาติ วทต,ิยอ่ มตรัสเรียก ซงึ่ สาวก ท. ของพระองค์ วา่ เป็นบรรพชิต ดงั นี,้ อหญฺจมหฺ ิ ปพฺพชิโต, มํปิ โข เอเอตวมํ ตวฺถตํ ปฺตจํุุ ฺฉวิ.ฏฺฏตีติก็ อ.เรา เป็ นบรรพชิต ย่อมเป็ น, อ.อัน (อันพระสมณะ ผู้โคดม) จินฺเตตฺวา สตฺถารํ อปุ สงฺกมิตฺวาตรัสเรียก แม้ซงึ่ เรา แล อยา่ งนนั้ ยอ่ มควร ดงั นี ้ เข้าไปเฝ้ าแล้วซง่ึ พระศาสดา ทลู ถามแล้ว ซงึ่ เนือ้ ความ นนั่ ฯ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว วา่ อ.เรา ยอ่ มไมก่ ลา่ ว (ซงึ่ บคุ คล) สตฺถา “นาหํ เอตฺตเกน `ปพฺพชิโตติ วทามิ,วา่ เป็นบรรพชติ ดงั นี ้(ด้วยเหต)ุ มปี ระมาณเทา่ น,ี ้ แตว่ า่ (อ.บคุ คล) กิเลสมลานํ ปน ปพฺพชิตตฺตา ปพฺพชิโต นาม โหตีติชอื่ วา่ เป็นบรรพชติ ยอ่ มเป็น เพราะความที่ แหง่ มลทนิ คอื กเิ ลส ท. วตฺวา อิมํ คาถมาห(อนั ตน) ขบั ไลแ่ ล้ว ดงั นี ้ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้วา่ ผลติ ส่อื การเรียนรู้ โดยโรงเรยี นพระปรยิ ตั ธิ รรม วดั พระธรรมกาย 107www.kalyanamitra.org

(อ.บคุ คล) ผูม้ ีบาปอนั ลอยแลว้ (อนั เรา ย่อมกล่าว) “พาหิตปาโป หิ พรฺ าหฺมโณว่า เป็นพราหมณ์ (ดงั นี)้ , (อ.บคุ คล อนั เรา) ย่อมกล่าว สมจริยาย `สมโณติ วจุ ฺจติ,ว่า เป็นสมณะ ดงั นี้ เพราะอนั ประพฤติระงบั เหตใุ ด, ปพพฺ าชยมตฺตโน มลํเพราะเหตนุ น้ั (อ.บคุ คล ใด) ขบั ไล่อยู่ ซ่ึงมลทิน ตสฺมา `ปพพฺ ชิโตติ วจุ ฺจตีติ.ของตน (ประพฤติอยู่) (อ.บคุ คล นน้ั อนั เรา) ย่อมกล่าวว่า เป็นบรรพชิต ดงั นี้ ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) เพราะอนั ประพฤติ ยงั อกศุ ลทงั้ ปวง ท. ให้ระงบั ตตฺถ “สมจริยายาต:ิ สพฺพากสุ ลานิ สเมตฺวา(ดงั นี ้ ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ สมจริยาย ดงั นี ้ ฯ จรเณน. อ.อรรถ วา่ (อ.บคุ คล อนั พระผ้มู ีพระภาคเจ้า ยอ่ มตรัส) ตสฺมาต:ิ ยสมฺ า พาหิตปาปตาย พฺราหฺมโณ,ว่า เป็ นพราหมณ์ (ดังนี)้ เพราะความท่ี (แห่งตน) เป็ นผู้มีบาป อกสุ ลานิ สเมตฺวา จรเณน `สมโณติ วจุ ฺจติ;อนั ลอยแล้ว, (อ.บคุ คล อนั พระผ้มู ีพระภาคเจ้า) ยอ่ มตรัส วา่ ตสมฺ า โย อตฺตโน ราคาทิมลํ ปพฺพาชยนฺโตเป็นสมณะ ดงั นี ้ เพราะอนั ประพฤติ ยงั อกศุ ล ท. ให้ระงบั เหตใุ ด, วโิ นเทนฺโต จรต,ิ โสปิ เตน ปพฺพาชเนนเพราะเหตนุ นั้ (อ.บคุ คล) ใด ขบั ไลอ่ ยู่ คือวา่ บรรเทาอยู่ ซง่ึ มลทิน “ปพฺพชิโตติ วจุ ฺจตีติ อตฺโถ.คือกิเลสมีราคะเป็นต้น ของตน ประพฤตอิ ย,ู่ (อ.บคุ คล) แม้นนั้(อันพระผู้มีพระภาคเจ้า) ย่อมตรัส ว่า เป็ นบรรพชิต ดังนี ้เพราะอนั ขบั ไล่ นนั้ ดงั นี ้(แหง่ บท) วา่ ตสฺมา ดงั นีเ้ป็นต้น ฯในกาลเป็นทส่ี ดุ ลงแหง่ เทศนา อ.บรรพชติ นนั้ ตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว เทสนาวสาเน โส ปพฺพชิโต โสตาปตฺตผิ เลในโสดาปัตตผิ ล ฯ อ.เทศนา เป็นเทศนาเป็นไปกบั ด้วยวาจา ปตฏิ ฺฐหิ, สมปฺ ตฺตานํปิ สาตฺถิกา เทสนา อโหสีต.ิมีประโยชน์ ได้มีแล้ว (แก่ชน ท.) แม้ผ้ถู งึ พร้อมแล้ว ดงั นีแ้ ล ฯอ.เร่ืองแห่งบรรพชติ รูปใดรูปหน่ึง (จบแล้ว) ฯ อญญฺ ตรปพพฺ ชติ วตถฺ ุ.๗. อ.เร่ืองแห่งพระเถระช่ือว่าสารีบุตร ๗. สารีปุตตฺ ตเฺ ถรวตถฺ ุ. (๒๗๐) (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “น พรฺ าหมฺ ณสสฺ าติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถาซง่ึ พระเถระช่ือวา่ สารีบตุ ร ตรัสแล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา นี ้ วา่ เชตวเน วิหรนฺโต สารีปตุ ฺตตฺเถรํ อารพฺภ กเถส.ิน พรฺ าหมฺ ณสฺส ดงั นีเ้ป็นต้น ฯได้ยนิ วา่ อ.มนษุ ย์ ท. ผ้มู าก ในท่ี แหง่ หนงึ่ กลา่ วแล้ว ซง่ึ วาจาเป็น เอกสมฺ ึ กิร ฐาเน สมพฺ หลุ า มนสุ สฺ า “อโห อมหฺ ากํเคร่ืองกลา่ วซง่ึ คณุ ของพระเถระ วา่ โอ อ.พระผ้เู ป็นเจ้า ของเรา ท. อยฺโย ขนฺตพิ เลน สมนฺนาคโต, อญฺเญสุ อกฺโกสนฺเตสุมาตามพร้อมแล้ว ด้วยก�ำลงั คือขนั ต,ิ (ครัน้ เม่ือชน ท.) เหลา่ อ่ืน วา ปหรนฺเตสุ วา, โกปมตฺตํปิ น โหตีติ เถรสสฺ คณุ กถํด่าอยู่ หรือ หรือว่า ประหารอยู่ (อ.เหตุ) แม้สักว่าความโกรธ กถยสึ .ุยอ่ มไมม่ ี ดงั นี ้ฯ ครัง้ นนั้ อ.พราหมณ์ ผ้มู ีความเหน็ ผิด คนหนงึ่ ถามแล้ว วา่ กชุ ฺฌอตเีตถิโปกจุ ฺฉมิ.ิจฺฉาทิฏฺฐโิ ก พฺราหฺมโณ “ โก เอส นอ.ใคร นนั่ ยอ่ มไมโ่ กรธ ดงั นี ้ฯ(อ.มนษุ ย์ ท. เหลา่ นนั้ กลา่ วแล้ว) วา่ อ.พระเถระ ของเรา ท. “อมหฺ ากํ เถโรต.ิ “กชุ ฺฌาเปนฺโต น ภวิสฺสตีต.ิ(ย่อมไม่โกรธ) ดังนี ้ฯ (อ.พราหมณ์ นัน้ กล่าวแล้ว) ว่า (อ.ใคร ๆ)ผู้ (ยงั พระเถระ) ให้โกรธอยู่ จกั ไมม่ ี ดงั นี ้ฯ(อ.มนุษย์ ท. เหล่านัน้ กล่าวแล้ว) ว่า แน่ะพราหมณ์ “นตฺเถตํ พฺราหฺมณาติ.(อ.เหต)ุ นนั่ ยอ่ มไมม่ ี ดงั นี ้ฯ108 ธรรมบทภาคที่ ๘ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

(อ.พราหมณ์ นนั้ กลา่ วแล้ว) วา่ ถ้าอยา่ งนนั้ อ.เรา (ยงั พระเถระ) “เตนหิ อหํ กชุ ฺฌาเปสฺสามีต.ิ “สเจ สกฺโกส,ิจกั ให้โกรธ ดงั นี ้ ฯ (อ.มนษุ ย์ ท. เหลา่ นนั้ กลา่ วแล้ว) วา่ ถ้าวา่ กชุ ฺฌาเปหีต.ิ(อ.ทา่ น) ยอ่ มอาจ ไซร้, (อ.ทา่ น ยงั พระเถระ) จงให้โกรธเถดิ ดงั นี ้ ฯ(อ.พราหมณ์) นัน้ (คิดแล้ว) ว่า (อ.เหตุ นั่น) จงมีเถิด, โส “โหต,ุ ชานิสสฺ ามิ กตฺตพฺพนฺติ เถรํ ภิกฺขาย(อ.เรา) จกั รู้ (ซง่ึ กรรม) อนั (อนั เรา) พงึ กระทำ� ดงั นี ้เหน็ แล้ว ซง่ึ พระเถระ ปปาวณฏิ ฺฐปิ ํ ปทฺ หสิ าวฺ รามปทจาสฉฺ .าิ ภเถาโเรคน“กคนิ นนฺ ตฺาเวฺ มาตปนิตฏฺ ฺิฐอมิ โชนเฺ โฌลเกมตหวฺ นาตฺวํผ้เู ข้าไปแล้ว เพ่ือภิกษา ไปแล้ว โดยสว่ นในภายหลงั ได้ให้แล้วซ่ึงการประหารด้วยฝ่ ามือ อันแรงมาก ในท่ามกลางแห่งหลัง ฯ คโต. พฺราหฺมณสฺส สกลสรีเร ฑาโห อปุ ปฺ ชฺชิ.อ.พระเถระ ไมแ่ ลดแู ลว้ เทยี ว (ด้วยความคดิ ) วา่ (อ.เหต)ุ นนั่ ชอื่ อะไร ดงั นี ้เทียว ไปแล้ว ฯ อ.ความเร่าร้อน เกิดขนึ ้ แล้ว ในสรีระทงั้ สนิ ้ของพราหมณ์ ฯ (อ.พราหมณ์) นัน้ (คิดแล้ว) ว่า โอ อ.พระผู้เป็ นเจ้า โส “อโห คณุ สมปฺ นฺโน อยฺโยติ เถรสสฺ ปาทมเู ลเป็ นผู้ถึงพร้ อมแล้วด้วยคุณ (ย่อมเป็ น) ดังนี ้ หมอบลงแล้ว นิปชฺชิตฺวา “ขมถ เม ภนฺเตติ วตฺวา, “กึ เอตนฺติในที่ใกล้แหง่ เท้า ของพระเถระ กลา่ วแล้ว วา่ ข้าแตท่ า่ นผ้เู จริญ วตุ ฺเต, “อหํ วีมํสนตฺถาย ตมุ เฺ ห ปหรินฺติ อาห.(อ.ทา่ น ท.) ขอจงอดโทษ ตอ่ กระผม เถิด ดงั นี,้ (ครัน้ เม่ือค�ำ) วา่ “โหต,ุ ขมามิ เตต.ิ “สเจ เม ภนฺเต ขมถ, มม เคเหเยว(อ.เหต)ุ นนั่ อะไร ดงั นี ้ (อนั พระเถระ) กลา่ วแล้ว, กลา่ วแล้ว วา่ นิสีทิตฺวา ภิกฺขํ คณฺหถาติ เถรสฺส ปตฺตํ คณฺหิ.อ.กระผม ตีแล้ว ซงึ่ ทา่ น ท. เพ่ือต้องการแก่อนั ทดลอง ดงั นี ้ ฯ เถโรปิ ปตฺตํ อทาส.ิ พฺราหฺมโณ เถรํ เคหํ เนตฺวา ปริวิส.ิ(อ.พระเถระ กลา่ วแล้ว) วา่ (อ.เหตุ นน่ั ) จงมเี ถดิ , (อ.เรา) ยอ่ มอดโทษตอ่ ทา่ น ดงั นี ้ ฯ (อ.พราหมณ์ กลา่ วแล้ว) วา่ ข้าแตท่ า่ นผ้เู จริญถ้าวา่ (อ.ทา่ น ท.) ยอ่ มอดโทษ ตอ่ กระผม ไซร้, (อ.ทา่ น ท.) นง่ั แล้วในเรือน ของกระผม นน่ั เทียว จงรับ ซงึ่ ภิกษา เถิด ดงั นี ้ รับแล้วซง่ึ บาตร ของพระเถระ ฯ แม้ อ.พระเถระ ได้ให้แล้ว ซง่ึ บาตร ฯอ.พราหมณ์ น�ำไปแล้ว ซงึ่ พระเถระ สเู่ รือน องั คาสแล้ว ฯอ.มนษุ ย์ ท. โกรธแล้ว (กลา่ วแล้ว) วา่ อ.พระผ้เู ป็นเจ้า มนสุ สฺ า กชุ ฺฌิตฺวา “อิมินา อมหฺ ากํ นิรปราโธผ้มู ีความผิดออกแล้ว ของเรา ท. (อนั พราหมณ์) นี ้ ประหารแล้ว, อยฺโย ปหโฏ, ทณฺเฑนปิ สฺส โมกฺโข นตฺถิ; เอตฺเถวอ.ความพ้น แม้จากทอ่ นไม้ ยอ่ มไมม่ ี (แกพ่ ราหมณ)์ นนั้ , (อ.เรา ท.) นํ มาเรสสฺ ามาติ เลฑฺฑทุ ณฺฑาทิหตฺถา พฺราหฺมณสฺส(ยังพราหมณ์) นัน้ จักให้ตาย (ในที่) นีน้ ่ันเทียว ดังนี ้ ผู้มีวัตถุ เหคตหฺเทถวฺ าปเตรฺตอํฏอฺฐทสํ า.ุ สเ.ถิ โร อฏุ ฺฐาย คจฉฺ นโฺ ต พรฺ าหมฺ ณสสฺมีก้อนดนิ และทอ่ นไม้เป็นต้นในมือ ได้ยืนแล้ว ใกล้ประตแู หง่ เรือนของพราหมณ์ ฯ อ.พระเถระ ลกุ ขนึ ้ แล้ว ไปอยู่ ได้ให้แล้ว ซง่ึ บาตรในมือ ของพราหมณ์ ฯ อ.มนษุ ย์ ท. เหน็ แล้ว (ซง่ึ พราหมณ์) นนั้ ผ้ไู ปอยู่ กบั มนสุ สฺ า ตํ เถเรน สทฺธึ คจฺฉนฺตํ ทิสวฺ า “ภนฺเตด้วยพระเถระ กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ (อ.ท่าน ท.) ตมุ หฺ ากํ ปตฺตํ คเหตฺวา พฺราหฺมณํ นิวตฺเตถาติ อาหํส.ุรับแล้ว ซง่ึ บาตร ของทา่ น ท. จง ยงั พราหมณ์ ให้กลบั เถิด ดงั นี ้ ฯ “กึ เอตํ อปุ าสกาต.ิ “พฺราหฺมเณน ตมุ เฺ ห ปหฏา,(อ.พระเถระ ถามแล้ว) วา่ ดกู อ่ นอบุ าสก ท. (อ.เรื่อง) นน่ั อะไร ดงั นี ้ฯ มยมสฺส กตฺตพฺพํ ชานิสสฺ ามาต.ิ “กึ ปน ตมุ เฺ ห(อ.มนษุ ย์ ท. เหลา่ นนั้ กลา่ วแล้ว) วา่ อ.ทา่ น ท. เป็นผู้ อนั พราหมณ์ อิมินา ปหฏา, อทุ าหุ อหนฺต.ิ “ตมุ เฺ ห ภนฺเตต.ิประหารแล้ว (ยอ่ มเป็น), (อ.เรา ท.) จกั รู้ (ซง่ึ กรรม) อนั (อนั เรา ท.)พงึ กระท�ำ (แก่พราหมณ์) นนั้ ดงั นี ้ ฯ (อ.พระเถระ ถามแล้ว) วา่ก็ อ.ทา่ น ท. เป็นผู้ (อนั พราหมณ์) นี ้ ประหารแล้ว (ยอ่ มเป็น) หรือ,หรือวา่ อ.เรา (เป็นผ้อู นั พราหมณ์ นี ้ประหารแล้ว ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ฯ(อ.มนษุ ย์ ท. เหลา่ นนั้ กลา่ วแล้ว) วา่ ข้าแตท่ า่ นผ้เู จริญ อ.ทา่ น ท.(เป็ นผู้ อันพราหมณ์ นี ้ ประหารแล้ว ย่อมเป็ น) ดังนี ้ ฯ อ.พระเถระ (กลา่ วแล้ว) วา่ (อ.พราหมณ)์ นนั่ ประหารแล้ว ซง่ึ เรา “มํ เอส ปหริตฺวา ขมาเปส,ิ คจฺฉถ ตมุ เฺ หติ(ยงั เรา) ให้อดโทษแล้ว, อ.ทา่ น ท. จงไปเถิด ดงั นี ้ สง่ ไปแล้ว มนสุ เฺ ส อยุ ฺโยเชตฺวา พฺราหฺมณํ นิวตฺตาเปตฺวา เถโรซง่ึ มนษุ ย์ ท. ยงั พราหมณ์ ให้กลบั แล้ว ไปแล้ว สวู่ หิ ารนนั่ เทียว ฯ วหิ ารเมว คโต. ผลติ ส่ือการเรียนรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยัตธิ รรม วดั พระธรรมกาย 109 www.kalyanamitra.org

อ.ภิกษุ ท. ยกโทษแล้ว วา่ (อ.เหต)ุ นนั่ ช่ืออะไร, อ.พระเถระ ภิกฺขู อชุ ฺฌายสึ ุ “กินฺนาเมตํ, สารีปตุ ฺตตฺเถโรชื่อวา่ สารีบตุ ร อนั พราหมณ์ ใด ประหารแล้ว, นง่ั แล้ว ในเรือน เยน พฺราหฺมเณน ปหโฏ, ตสฺเสว เคเห นิสีทิตฺวา(ของพราหมณ์) นนั้ นน่ั เทียว รับแล้ว ซง่ึ ภิกษา มาแล้ว, ในกาลนี ้ ภิกฺขํ คเหตฺวา กอสาคฺสโจติ ,ลเชถฺชริสสสฺสฺ ตป,ิ หอฏวกเสาเลสโตโปปเฏถฺนฐาฺโตย(อ.พราหมณ)์ นนั้ จกั ไมล่ ะอาย ตอ่ ใคร ๆ จำ� เดมิ แตก่ าล แหง่ พระเถระ น อิทานิ โส(อนั ตน) ประหารแล้ว, (อ.พราหมณ)์ นนั้ จกั เทยี่ วโบยอยู่ (ซงึ่ ภกิ ษุ ท.) วจิ ริสฺสตีต.ิผ้เู หลอื ลง ดงั นี ้ฯ อ.พระศาสดา เสดจ็ มาแล้ว ตรัสถามแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. สตถฺ า อาคนตฺ วฺ า “กาย นตุ ถฺ ภกิ ขฺ เว เอตรหิ กถาย(อ.เธอ ท.) เป็ นผู้น่ังพร้ อมกันแล้ว ด้วยวาจาเป็ นเครื่องกล่าว สนฺนิสนิ ฺนาติ ปจุ ฺฉิตฺวา, “อิมาย นามาติ วตุ ฺเต,อะไรหนอ ยอ่ มมี ในกาลนี ้ดงั นี,้ (ครัน้ เมื่อค�ำ) วา่ (อ.ข้าพระองค์ ท. “ภิกฺขเว พฺราหฺมโณ พฺราหฺมณํ ปหรนฺโต นาม นตฺถิ,เป็นผ้นู ง่ั พร้อมกนั แล้ว ด้วยวาจาเป็นเคร่ืองกลา่ ว) ช่ือ นี ้ (ยอ่ มมี คหิ พิ รฺ าหมฺ เณน ปน สมณพรฺ าหมฺ โณ ปหโฏ ภวสิ สฺ ต:ิในกาลนี)้ ดงั นี ้ (อนั ภิกษุ ท. เหลา่ นนั้ ) กราบทลู แล้ว, ตรัสแล้ว วา่ โกโธ นาเมส อนาคามิมคฺเคน สมคุ ฺฆาตํ คจฺฉตีติดกู ่อนภิกษุ ท. อ.พราหมณ์ ชื่อวา่ ผ้ปู ระหารอยู่ ซง่ึ พราหมณ์ วตฺวา ธมมฺ ํ เทเสนฺโต อิมา คาถา อภาสิยอ่ มไมม่ ี, แตว่ า่ อ.พราหมณ์ผ้เู ป็นสมณะ เป็นผู้ อนั พราหมณ์ผ้เู ป็นคฤหสั ถ์ ประหารแล้ว จกั เป็น, ชื่อ อ.ความโกรธ นนั่ ยอ่ มถงึซง่ึ อนั ถอนขนึ ้ ด้วยดี ด้วยอนาคามิมรรค ดงั นี ้ เม่ือทรงแสดงซงึ่ ธรรม ได้ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา ท. เหลา่ นี ้วา่(อ.พราหมณ์ ) ไม่พึงประหาร ต่อพราหมณ์, “น พรฺ าหมฺ ณสสฺ ปหเรยยฺ , นาสสฺ มญุ เฺ จถ พรฺ าหมฺ โณ,อ.พราหมณ์ ไม่พึงปล่อย (ซ่ึงเวร แก่พราหมณ์) นนั้ , ธิ พรฺ าหฺมณสฺส หนตฺ ารํ, ตโต ธิ ยสสฺ มญุ ฺจติ.น่าติเตียน (ซึ่งพราหมณ์) ผูป้ ระหาร ซ่ึงพราหมณ์,(อ.พราหมณ์) ใด ยอ่ มปลอ่ ย (ซึ่งเวร ในเบือ้ งบน แหง่ พราหมณ์) น พรฺ าหฺมณสฺเสตทกิญฺจิ เสยฺโย,นนั้ , น่าติเตียน (ซึ่งพราหมณ์ นน้ั กว่าพราหมณ์) นน้ั ฯ ยทานิเสโธ มนโส ปิ เยหิ;อ.อนั หา้ ม ซึ่งใจ (จากสภาพ ท.) อนั เป็นทีร่ กั ใด, (อ.อนั หา้ ม) ยโต ยโต หึสมโน นิวตฺตติ,นนั่ เป็นความประเสริฐ มิใช่เล็กนอ้ ย แก่พราหมณ์ (ย่อมเป็น), ตโต ตโต สมฺมติเมว ทกุ ฺขนตฺ ิ.อ.ใจดวงประกอบแลว้ ดว้ ยความเบียดเบียน ยอ่ มกลบั ได้ (แตว่ ตั ถ)ุใด ๆ, อ.ทกุ ข์ ย่อมระงบั นนั่ เทียว (แต่วตั ถ)ุ นน้ั ๆ ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) อ.พราหมณ์ผ้ขู ีณาสพ เม่ือรู้ วา่ อ.เรา ยอ่ มเป็น ตตฺถ “ปหเรยยฺ าต:ิ ขีณาสวพฺราหฺมโณดังนี ้ ไม่พึงประหาร (ต่อพราหมณ์) ผู้ขีณาสพ หรือ หรือว่า “อหมสมฺ ีติ ชานนฺโต ขีณาสวสสฺ วา อญฺญสฺส วาตอ่ พราหมณ์ อ่ืน (ดงั นี ้ ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ พฺราหฺมณสสฺ น ปหเรยฺย.ปหเรยยฺ ดงั นี ้ฯ อ.อรรถ วา่ ) อ.พราหมณผ์ ้ขู ณี าสพ ผู้ (อนั พราหมณ)์ ประหารแล้ว นาสสฺ มญุ เฺ จถาต:ิ โสปิ ปหโฏ ขณี าสวพรฺ าหมฺ โณแม้นนั้ ไมพ่ งึ ปลอ่ ย ซง่ึ เวร (แกพ่ ราหมณ์) นนั้ คอื วา่ ผู้ ประหารแล้ว อสฺส ปหริตฺวา ติ สสฺ เวรํ น มญุ ฺเจถ, ตสฺมึ โกปํด�ำรงอยแู่ ล้ว, คือวา่ ไมพ่ งึ กระท�ำ ซงึ่ ความโกรธ (ในพราหมณ์) น กเรยฺยาติ อตฺโถ.นนั้ ดงั นี ้(แหง่ หมวดสองแหง่ บท) วา่ นาสฺส มุญเฺ จถ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ วา่ ) (อ.เรา) ยอ่ มตเิ ตียน (ซงึ่ พราหมณ์) ผ้ปู ระหาร ธิ พฺราหฺมณสฺสาติ: ขีณาสวพฺราหฺมณสฺสซ่ึงพราหมณ์ผู้ขีณาสพ (ดังนี ้ แห่งหมวดสองแห่งบท) ว่า หนฺตารํ ครหามิ.ธิ พรฺ าหมฺ ณสสฺ ดงั นี ้ฯ110 ธรรมบทภาคท่ี ๘ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

(อ.อรรถ วา่ ) สว่ นวา่ (อ.พราหมณ์) ใด ประหารตอบอยู่ ตโต ธีต:ิ โย ปน ตํ ปหรนฺตํ ปฏิปปฺ หรนฺโต ตสฺส(ซงึ่ พราหมณ)์ ผ้ปู ระหารอยู่ นนั้ ชอ่ื วา่ ยอ่ มปลอ่ ย ซงึ่ เวร ในเบอื ้ งบน อปุ ริ เวรํ มญุ ฺจต,ิ ตํ ตโตปิ ครหามิเยว.(แหง่ พราหมณ)์ นนั้ , (อ.เรา) ยอ่ มตเิ ตยี น (ซงึ่ พราหมณ)์ นนั้ (กวา่ พราหมณ)์แม้นนั้ นน่ั เทียว (ดงั นี ้ แหง่ หมวดสองแหง่ บท) วา่ ตโต ธิ ดงั นี ้ ฯ อ.อรรถ วา่ อ.การไมด่ า่ ตอบ (ซงึ่ พราหมณ)์ ผ้ดู า่ อยู่ หรือ หรือวา่ เอตทกญิ จฺ ิ เสยโฺ ยต:ิ ยํ ขีณาสวสสฺ อกฺโกสนฺตํอ.การไมป่ ระหารตอบ (ซง่ึ พราหมณ)์ ผ้ปู ระหารอยู่ แหง่ พระขณี าสพ ใด, วา อปปฺ จฺจกฺโกสนํ ปหรนฺตํ วา อปปฺ ฏิปปฺ หรณํ,(อ.การไม่ด่าตอบ หรือ หรือว่า อ.การไม่ประหารตอบ) นั่น เอตํ ตสฺส ขีณาสวพฺราหฺมณสสฺ น กิญฺจิ เสยฺโยเป็นความประเสริฐ มิใช่เล็กน้อย คือว่า เป็ นความประเสริฐ อปปฺ มตฺตกเสยฺโย น โหต,ิ อถโข อธิมตฺตเมว เสยฺโยติมีประมาณน้อย แก่พราหมณ์ผ้ขู ีณาสพ นนั้ ยอ่ มเป็น หามิได้, อตฺโถ.โดยแท้แล (อ.การไมด่ า่ ตอบ หรือ หรือวา่ อ.การไมป่ ระหารตอบ นนั่ )เป็นความประเสริฐ อนั มีประมาณยิ่งนนั่ เทียว (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้(แหง่ บท ท.) วา่ เอตทกญิ จฺ ิ เสยโฺ ย ดงั นี ้ฯ อ.อรรถ วา่ จริงอยู่ อ.ความเกดิ ขนึ ้ แหง่ ความโกรธ (แหง่ บคุ คล) ยทานิเสโธ มนโส ปิ เยหตี :ิ โกธนสสฺ หิผ้มู ีอนั โกรธเป็นปกติ ช่ือวา่ เป็นสภาพเป็นที่รัก แหง่ ใจ (ยอ่ มเป็น), โกธปุ ปฺ าโท มนโส ปิ โย นาม, เตหิ ปเนส มาตาปิ ตสู ปุ ิก็ (อ.บคุ คลผ้มู อี นั โกรธเป็นปกต)ิ นนั่ ยอ่ มผดิ แม้ในมารดาและบดิ า ท. พทุ ฺธาทีสปุ ิ อปรชฺฌต;ิ ตสฺมา โย อสฺส เตหิ มนโสแม้ (ในบณั ฑติ ท.) มพี ระพทุ ธเจ้าเป็นต้น (เพราะสภาพเป็นทร่ี กั ท.) นิเสโธ โกธวเสน อปุ ปฺ ชฺชมานสฺส จิตฺตสสฺ นิคฺคโห,เหลา่ นนั้ , เพราะเหตนุ นั้ อ.การห้าม ซงึ่ ใจ คือวา่ อ.การขม่ ซง่ึ จิต เอตํ น กิญฺจิ เสยฺโยติ อตฺโถ .ดวงเกิดขนึ ้ อยู่ ด้วยอ�ำนาจแหง่ ความโกรธ (จากสภาพเป็นที่รัก ท.)เหลา่ นนั้ (แหง่ บคุ คลผ้มู ีอนั โกรธเป็นปกต)ิ นนั้ ใด, (อ.อนั ห้าม) นน่ัเป็นความประเสริฐ มิใชเ่ ลก็ น้อย (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ (แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ ยทานิเสโธ มนโส ปิ เยหิ ดงั นี ้ฯ อ.ใจดวงประกอบแล้วด้วยความโกรธ ช่ือว่า หึสมโน, หสึ มโนต:ิ โกธมโน, โส ตสสฺ ยโต ยโต วตฺถโุ ต(อ.ใจดวงประกอบแล้วด้วยความโกรธ) นัน้ (แห่งบุคคล อนาคามิมคฺเคน สมคุ ฺฆาตํ คจฺฉนฺโต นิวตฺตต.ิผู้มีความโกรธเป็ นปกติ) นัน้ ถึงอยู่ ซ่ึงอันถอนขึน้ ด้วยดีด้วยอนาคามิมรรค ชื่อวา่ ยอ่ มกลบั ได้ แตว่ ตั ถุ ใด ใด ฯ อ.อรรถ วา่ อ.ทกุ ข์ในวฏั ฏะ แม้ทงั้ สนิ ้ ยอ่ มกลบั ได้นน่ั เทียว ตโต ตโตต:ิ ตโต ตโต วตฺถโุ ต สกลํปิ วฏฺฏทกุ ฺขํแตว่ ตั ถุ นนั้ นนั้ ดงั นี ้(แหง่ หมวดสองแหง่ บท) วา่ ตโต ตโต ดงั นี ้ฯ นิวตฺตตเิ อวาติ อตฺโถ. ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ สึ ตู .ิ(ซงึ่ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯอ.เร่ืองแห่งพระเถระช่ือว่าสารีบุตร (จบแล้ว) ฯ สารีปุตตฺ ตเฺ ถรวตถฺ ุ. ผลิตสือ่ การเรยี นรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยตั ิธรรม วดั พระธรรมกาย 111www.kalyanamitra.org

๘. อ.เร่ือ(งอแันหข่ง้าพพรเะจน้าาจงะมกหลา่าปวช) าฯบดโี คตมี ๘. มหาปชาปตโี คตมีวตถฺ ุ. (๒๗๑) อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “ยสฺส กาเยนาติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา เชตวเนซง่ึ พระนางมหาปชาบดี ผ้โู คตมี ตรัสแล้ว ซง่ึ พระธรรมเทศนา วิหรนฺโต มหาปชาปตึ โคตมึ อารพฺภ กเถส.ินี ้วา่ ยสฺส กาเยน ดงั นีเ้ป็นต้น ฯดงั จะกลา่ วโดยพิสดาร อ.พระนางปชาบดี ผ้โู คตมี ผ้เู ป็นไป ภควตา หิ อนปุ ปฺ นฺเน วตฺถสุ ฺมึ ปญฺญตฺเตกบั ด้วยบริวาร ทรงรบั พร้อมแล้ว ซง่ึ ครุธรรม ท. ๘ อนั อนั พระผ้มู ี วอยิฏฺฐสริ คสราุธสมมเฺ มปฺ ฏมิจณฺฉฺิฑตฺวนากสชปาตริวโิ ยาราปรุมิโหสาปสชรุ ภาปิปตปุ ีผฺโคทตามมํีพระภาคเจ้า ทรงบญั ญัติแล้ว ในเพราะเรื่อง อนั ไม่เกิดขึน้ แล้วด้วยพระเศยี ร ราวกะ อ.บรุ ุษ ผ้มู อี นั ประดบั เป็นปกติ (รับพร้อมอย)ู่ อปุ สมปฺ ทํ ลภิ.ซ่ึงพวงแห่งดอกไม้อันเป็ นเคร่ืองยินดีด้วยดี ทรงได้แล้ว ซึ่งการอปุ สมบท ฯ อญฺโญ ตสสฺ า อปุ ชฺฌาโย วา อาจริโย วา นตฺถิ.อ.อปุ ัชฌาย์ หรือ หรือวา่ อ.อาจารย์ อน่ื (ของพระนางมหาปชาบดี เอวํ ลทฺธปู สมฺปทํ เถรึ อารพฺภ อปเรน สมเยน กถํผู้โคตมี) นัน้ ย่อมไม่มี ฯ (อ.ภิกษุณี ท.) ปรารภ ซึ่งพระเถรี นสมฏุ ปฺฐญาเปฺญสาํุ ย“มนหฺตา,ิ ปชสาหปตตฺเยิ ถาเนโควตมกยิ าาสาอยาจารนิยิ ปุ คชฌณฺ าฺหยีตา.ิผู้มีอุปสมบทอันได้แล้ว อย่างนี ้ ยังวาจาเป็ นเครื่องกล่าว ว่าอ.อาจารย์และอปุ ัชฌาย์ ท. ของพระนางมหาปชาบดี ผ้โู คตมียอ่ มไมป่ รากฏ, (อ.พระนางมหาปชาบดี ผ้โู คตมี นนั้ ) ทรงถอื เอาแล้วซง่ึ ผ้ากาสายะ ท. ด้วยพระหตั ถ์อนั เป็นของพระองค์นน่ั เทียว ดงั นี ้ให้ตงั้ ขนึ ้ พร้อมแล้ว โดยสมยั อ่ืนอีก ฯ เอวญฺจ ปน วตฺวา ภิกฺขนุ ิโย กกุ ฺกจุ ฺจายนฺตโิ ย ตาย ก็ แล อ.ภกิ ษุณี ท. ครัน้ กลา่ วแล้ว อยา่ งนี ้ ประพฤตริ ังเกยี จอยู่ สทฺธึ เนว อโุ ปสถํ น ปวารณํ กโรนฺต.ิ ตา คนฺตฺวา(ย่อมกระท�ำ) ซ่ึงอุโบสถ กับ (ด้วยพระเถรี) นัน้ หามิได้น่ันเทียว ตถาคตสฺสาปิ ตมตฺถํ อาโรเจสํ.ุย่อมกระท�ำ ซ่ึงปวารณา (กับ ด้วยพระเถรี นัน้ ) หามิได้ ฯ(อ.ภิกษุณี ท.) เหล่านัน้ ไปแล้ว กราบทูลแล้ว ซึ่งเนือ้ ความ นัน้แม้แก่พระตถาคตเจ้า ฯ สตฺถา ตาสํ กถํ สตุ ฺวา “มยา มหาปชาปตยิ า อ.พระศาสดา ทรงสดับแล้ว ซ่ึงวาจาเป็ นเคร่ืองกล่าว อโคหตเมมวิยาอปุอชฏฌฺฺฐ าคโรยุธ;มกมฺ าายททจุ ินจฺ ฺนริตา,าทอวิหริ เหมเิวตสสสฺ ุ าขณี อาาสจรเวิโสยุ(ของภิกษุณี ท.) เหลา่ นนั้ ตรัสแล้ว วา่ อ.ครุธรรม ท. ๘ อนั เราให้แล้ว แกพ่ ระนางมหาปชาบดี ผ้โู คตม,ี อ.เรานนั่ เทยี ว เป็นอาจารย์ กกุ ฺกจุ ฺจนฺนาม น กตฺตพฺพนฺติ วตฺวา ธมมฺ ํ เทเสนฺโต(ของพระนางปชาบดี ผู้โคตมี) นัน้ (ย่อมเป็ น) อ.เรานั่นเทียว อิมํ คาถมาหเป็นอปุ ัชฌาย์ (ของพระนางมหาปชาบดี ผ้โู คตมี นนั้ ยอ่ มเป็น),ช่ือ อ.ความรังเกียจ ในพระขีณาสพ ท. ผู้เว้นแล้วจากทุจริตมีกายทจุ ริตเป็นต้น (อนั เธอ ท.) ไมพ่ งึ กระท�ำ ดงั นี ้ เมื่อทรงแสดงซงึ่ ธรรม ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา นี ้วา่ “ยสฺส กาเยน วาจาย มนสา นตฺถิ ทกุ ฺกฏํ,(อ.กรรม) อนั อนั บคุ คลกระท�ำชวั่ แลว้ โดยกาย โดยวาจา สํวตุ ํ ตีหิ ฐาเนหิ ตมหํ พรฺ ูมิ พรฺ าหฺมณนตฺ ิ.โดยใจ (ของบคุ คล) ใด ย่อมไม่มี, อ.เรา ย่อมเรียก(ซ่ึงบคุ คล) นน้ั ผูส้ �ำรวมแลว้ โดยฐานะ ท. ๓ว่าเป็นพราหมณ์ ดงั นี้ ฯ112 ธรรมบทภาคท่ี ๘ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

อ.กรรม อนั เป็นไปกบั ด้วยโทษ คือวา่ อนั มีทกุ ข์เป็นก�ำไร ตตถฺ “ทกุ กฺ ฏนตฺ :ิ สาวชชฺ ํ ทกุ ขฺ ทุ รฺ ยํ อปายสวํ ตตฺ นกิ ํคือวา่ อนั ประกอบแล้วในอนั ยงั สตั ว์ให้เป็นไปพร้อมเพื่ออบาย กมมฺ ํ.ชื่อวา่ ทกุ กฺ ฏํ (ในพระคาถา) นนั้ ฯ อ.อรรถ วา่ อ.เรา ยอ่ มเรียก (ซงึ่ บคุ คล) ผ้มู ีทวารอนั ปิ ดแล้ว ตหี ิ ฐาเนหตี :ิ เอเตหิ กายาทีหิ ตีหิ การเณหิเพ่ือประโยชน์แก่อนั ห้ามซง่ึ อนั เข้าไปแหง่ ทจุ ริตมีกายทจุ ริตเป็ นต้น กายทจุ ฺจริตาทิปปฺ เวสนนิวารณตฺถาย ทฺวารปิ หิตํโดยเหตุ ท. ๓ มีกายเป็นต้น เหลา่ นนั่ วา่ เป็นพราหมณ์ ดงั นี ้ อหํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อตฺโถ.(แหง่ หมวดสองแหง่ บท) วา่ ตหี ิ ฐาเนหิ ดงั นี ้ฯ ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ สึ ตู .ิ(ซงึ่ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ล เป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯอ.เร่ืองแห่งพระนางมหาปชาบดผี ู้โคตมี (จบแล้ว) ฯ มหาปชาปตโี คตมีวตถฺ ุ.๙. อ.เร(่ือองันแขห้า่งพพเจร้ะาเจถะรกะชล่ือ่าวว่)าสฯารีบุตร ๙. สารีปุตตฺ ตเฺ ถรวตถฺ ุ. (๒๗๒) อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “ยมหฺ า ธมมฺ ํ วชิ าเนยยฺ าติ อิมํ ธมมฺ เทสนํซ่ึงพระเถระช่ือว่าสารีบุตร ตรัสแล้ว ซึ่งพระธรรมเทศนา นี ้ ว่า สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต สารีปตุ ฺตตฺเถรํ อารพฺภ กเถส.ิยมหฺ า ธมมฺ ํ วชิ าเนยยฺ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯได้ยินวา่ (อ.พระสารีบตุ ร) ผ้มู ีอายุ นนั้ ประคองแล้ว ซงึ่ อญั ชลี โส กิรายสมฺ า อสฺสชิตฺเถรสสฺ สนฺตเิ ก ธมมฺ ํ สตุ ฺวา(อ.ตน) ยอ่ มฟัง วา่ อ.พระเถระ ยอ่ มอยู่ ในทิศใด ดงั นี ้(แตท่ ิศ) นนั้ วโสสตตาีตปิ สตณฺุตผิ าลตํ,ิ ปตตโฺตตกอาญลโฺชตลปึ ปฏคฺฐฺคายยฺห“ยตสโสฺตํวทสิสีสายํ กํ เตถฺวโารนอนกระทำ� แล้ว ซง่ึ ศรี ษะ (แตท่ ศิ ) นนั้ เทยี ว จำ� เดมิ แตก่ าล (แหง่ ตน)ฟังแล้ว ซง่ึ ธรรม ในสำ� นกั ของพระเถระช่ือวา่ อสั สชิ บรรลแุ ล้ว นิปชฺชิ.ซงึ่ โสดาปัตตผิ ล ฯ อ.ภิกษุ ท. (คิดแล้ว) ว่า อ.พระสารีบุตร ผู้มีความเห็นผิด นมสภสฺ มิกฺขาโู น“มวิจิจฺฉราตทีติฏิฺฐตโิ กมตสฺถาํ รตีปถตุ าฺโคตตสอสฺชฺชาอปาิโรทเจิสสา.ํุยอ่ มเท่ียว นอบน้อมอยู่ ซงึ่ ทิศ ท. แม้ในวนั นี ้ ดงั นี ้ กราบทลู แล้วซงึ่ เนือ้ ความ นนั้ แก่พระตถาคตเจ้า ฯ อ.พระศาสดา (ทรงยงั ภิกษุ) ให้ร้ องเรียกแล้ว ซ่ึงพระเถระ สตฺถา เถรํ ปกฺโกสาเปตฺวา “สจฺจํ กิร ตฺวํ สารีปตุ ฺตตรัสถามแล้ว วา่ ดกู ่อนสารีบตุ ร ได้ยินวา่ อ.เธอ ยอ่ มเที่ยว ทิสา นมสฺสนฺโต วิจรสตี ิ ปจุ ฺฉิตฺวา, “ภนฺเต มม ทิสานอบน้อมอยู่ ซึ่งทิศ ท. จริงหรือ ดังนี,้ (ครัน้ เม่ือค�ำ) ว่า นมสสฺ นภาวํ วา อนมสสฺ นภาวํ วา ตมุ เฺ หว ชานาถาติข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ.พระองค์ ท. เทียว ย่อมทรงทราบ วตุ ฺเต, “ภิกฺขเว น สารีปตุ ฺโต ทิสา นมสฺสต,ิซงึ่ ความเป็นคืออนั นอบน้อม หรือ หรือวา่ ซง่ึ ความเป็นคืออนั - อสสฺ ชิตฺเถรสสฺ ปน สนฺตกิ า ธมมฺ ํ สตุ ฺวา โสตาปตฺตผิ ลํไม่นอบน้อม ซึ่งทิศ ท. แห่งข้าพระองค์ ดังนี ้ (อันพระเถระ) ปตฺตตาย อตฺตโน อาจริยํ นมสสฺ ต;ิกราบทลู แล้ว, ตรสั แล้ว วา่ ดกู อ่ นภกิ ษุ ท. อ.สารีบตุ ร ยอ่ มไมน่ อบน้อมซงึ่ ทิศ ท., แตว่ า่ (อ.พระสารีบตุ ร) ยอ่ มนอบน้อม ซงึ่ อาจารย์ของตน เพราะความที่ (แห่งตน) ฟังแล้ว ซ่ึงธรรม แต่ส�ำนักของอสั สชิเถระ บรรลแุ ล้ว ซง่ึ โสดาปัตตผิ ล, ผลิตสือ่ การเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปรยิ ัติธรรม วดั พระธรรมกาย 113 www.kalyanamitra.org

จริงอยู่ อ.ภิกษุ อาศยั แล้ว ซง่ึ อาจารย์ ใด ยอ่ มรู้แจ้ง ซงึ่ ธรรม, ยญฺหิ อาจริยํ นิสฺสาย ภิกฺขุ ธมมฺ ํ วชิ านาต,ิ เตน โส(อ.อาจารย์) นนั้ (อนั ภิกษุ) นนั้ พงึ นอบน้อม โดยเคารพ นน่ั เทียว พฺราหฺมเณน อคฺคิ วิย สกฺกจฺจํ นมสสฺ ติ พฺโพเยวาติราวกะ อ.ไฟ อนั พราหมณ์ (นอบน้อมอย)ู่ ดงั นี ้ เมื่อทรงแสดง วตฺวา ธมมฺ ํ เทเสนฺโต อิมํ คาถมาหซงึ่ ธรรม ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้วา่(อ.บคุ คล) พึงรู้แจ้ง ซึ่งธรรม อนั พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า “ยมฺหา ธมฺมํ วิชาเนยฺย สมฺมาสมฺพทุ ฺธเทสิตํทรงแสดงแลว้ (แต่อาจารย์) ใด, พึงนอบนอ้ ม (ซ่ึงอาจารย์) สกฺกจฺจํ ตํ นมสเฺ สยฺย อคฺคิหตุ ฺตํว พรฺ าหฺมโณติ.นน้ั โดยเคารพ เพียงดงั อ.พราหมณ์ (นอบนอ้ มอยู่)ซึ่งไฟอนั ตนบูชาแลว้ ดงั นี้ ฯ อ.อรรถ วา่ อ.พราหมณ์ ยอ่ มนอบน้อม ซงึ่ ไฟอนั ตนบชู าแล้ว ตตฺถ “อคคฺ หิ ุตตฺ วํ าต:ิ ยถา พฺราหฺมโณ อคฺคหิ ตุ ฺตํโดยเคารพ ด้วยการบ�ำเรอ โดยชอบ ด้วย นน่ั เทียว (ด้วยกรรม ท.) สมมฺ า ปริจรเณน เจว อญฺชลกิ มมฺ าทีหิ จ สกฺกจฺจํมีการกระท�ำซงึ่ อญั ชลเี ป็นต้น ด้วย ฉนั ใด, (อ.บคุ คล) พงึ รู้แจ้ง นมสฺสต;ิ เอวํ ยมหฺ า อาจริยา ตถาคตปปฺ เวทิตํซง่ึ ธรรม อนั พระตถาคตเจ้าทรงประกาศแล้ว แตอ่ าจารย์ ใด, ธมมฺ ํ วิชาเนยฺย, ตํ สกฺกจฺจํ นมสเฺ สยฺยาติ อตฺโถ.พงึ นอบน้อม (ซงึ่ อาจารย์) นนั้ โดยเคารพ ฉนั นนั้ ดงั นี ้ (ในบท ท.)เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ อคคฺ หิ ตุ ตฺ วํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ สึ ตู .ิ(ซง่ึ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯอ.เร่ืองแห่งพระเถระช่ือว่าสารีบุตร (จบแล้ว) ฯ สารีปุตตฺ ตเฺ ถรวตถฺ ุ.๑๐. อ.เร่ืองแห่งพราหมณ์ผู้เป็ นชฎลิ ๑๐. ชฏลิ พรฺ าหมฺ ณวตถฺ ุ. (๒๗๓) (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “น ชฏาหตี ิ อมิ ํ ธมมฺ เทสนํ สตถฺ า เชตวเน วหิ รนโฺ ตซงึ่ พราหมณ์ผ้เู ป็นชฎิล คนหนงึ่ ตรัสแล้ว ซง่ึ พระธรรมเทศนา เอกํ ชฏิลพฺราหฺมณํ อารพฺภ กเถส.ินี ้ วา่ น ชฏาหิ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯได้ยินวา่ (อ.พราหมณ์) นนั้ (คดิ แล้ว) วา่ อ.เรา เกิดดีแล้ว โส กริ “อหํ มาตโิ ต จ ปิตโิ ต จ สชุ าโต พรฺ าหมฺ ณกเุ ลโดยมารดา ด้วย โดยบิดา ด้วย เป็ นผู้บังเกิดแล้ว นิพฺพตฺโต, สเจ สมโณ โคตโม อตฺตโน สาวเกในตระกลู ของพราหมณ์ (ย่อมเป็ น), ถ้าวา่ อ.พระสมณะ ผ้โู คดม `พฺราหฺมณาติ วทต,ิ มํปิ นโุ ข ตถา วตฺตํุ วฏฺ ฏตีติย่อมตรัสเรียก ซึ่งสาวก ท. ของพระองค์ ว่า เป็ นพราหมณ์ สตฺถุ สนฺตกิ ํ คนฺตฺวา ตมตฺถํ ปจุ ฺฉิ.ดงั นี ้ ไซร้, อ.อนั (อนั พระสมณะ ผ้โู คดม นนั้ ) ตรัสเรียก แม้ซง่ึ เราอยา่ งนนั้ ยอ่ มควร หรือ หนอ แล ดงั นี ้ ไปแล้ว สสู่ ำ� นกัของพระศาสดา ทลู ถามแล้ว ซง่ึ เนือ้ ความ นนั้ ฯ ครัง้ นัน้ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว (กะพราหมณ์) นัน้ ว่า อถ นํ สตฺถา “นาหํ พฺราหฺมณ ชฏามตฺเตนดกู ่อนพราหมณ์ อ.เรา (ยอ่ มเรียก ซง่ึ บคุ คล วา่ เป็นพราหมณ์ น ชาตโิ คตตฺ มตเฺ ตน พรฺ าหมฺ ณํ วทาม,ิ ปฏวิ ทิ ธฺ สจจฺ เมวด้วยเหต)ุ สกั วา่ ชฎา หามไิ ด้, ยอ่ มเรียก (ซง่ึ บคุ คล) วา่ เป็นพราหมณ์ ปนาหํ พฺราหฺมโณติ วทามีติ วตฺวา อิมํ คาถมาห(ด้วยเหต)ุ สกั วา่ ชาตแิ ละโคตร หามิได้, แตว่ า่ อ.เรา ยอ่ มเรียก(ซงึ่ บคุ คล) ผ้มู สี จั จะอนั รู้ตลอดแล้วนนั่ เทยี ว วา่ เป็นพราหมณ์ ดงั นี ้ดงั นี ้ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา นี ้วา่114 ธรรมบทภาคท่ี ๘ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

(อ.บคุ คล เป็นพราหมณ์) โดยชฎา ท. (ย่อมเป็น) หามิได,้ “น ชฏาหิ น โคตฺเตน น ชจฺจา โหติ พรฺ าหฺมโณ,(อ.บคุ คล เป็นพราหมณ์) โดยโคตร (ย่อมเป็น) หามิได,้ ยมฺหิ สจฺจญฺจ ธมฺโม จ โส สจุ ิ โส จ พรฺ าหฺมโณติ.(อ.บคุ คล) เป็นพราหมณ์ โดยชาติ ย่อมเป็น หามิได,้อ.สจั จะ ด้วย อ.ธรรม ด้วย (มีอยู่ ในบุคคล) ใด,(อ.บคุ คล) นนั้ เป็นผูส้ ะอาด (ย่อมเป็น ดว้ ย)(อ.บคุ คล) นนั้ เป็นพราหมณ์ (ย่อมเป็น) ดว้ ย ดงั นี้ ฯ อ.อรรถ วา่ อ.สจั จญาณ อนั รู้ตลอดแล้ว ซง่ึ สจั จะ ท. ๔ ตตฺถ “สจจฺ นฺต:ิ ยสฺมึ ปคุ ฺคเล จตฺตาริ สจฺจานิด้วยอาการ ท. ๑๖ ตงั้ อยแู่ ล้ว ด้วยนนั่ เทยี ว อ.โลกตุ ตรธรรมอนั มอี ยา่ ง โสฬสหากาเรหิ ปฏิวชิ ฺฌิตฺวา ติ ํ สจฺจญฺญาณญฺเจว๙ ด้วย มอี ยู่ ในบคุ คล ใด, (อ.บคุ คล) นนั้ เป็นผ้สู ะอาด ด้วยนนั่ เทยี ว นววิธโลกตุ ฺตรธมโฺ ม จ อตฺถิ, โส สจุ ิ เจวเป็นพราหมณ์ ด้วย ยอ่ มเป็น ดงั นี ้ (ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา พฺราหฺมโณ จาติ อตฺโถ.(แหง่ บท) วา่ สจจฺ ํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ สึ ตู .ิ(ซง่ึ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯอ.เร่ืองแห่งพราหมณ์ผู้เป็ นชฎลิ (จบแล้ว) ฯ ชฏลิ พรฺ าหมฺ ณวตถฺ ุ.๑๑. อ.เ(อร่ือันงขแ้าหพ่งเพจ้าราจหะมกณล่า์ผวู้ห)ลฯอกลวง ๑๑. กุหกพรฺ าหมฺ ณวตถฺ ุ. (๒๗๔) อ.พระศาสดา เม่ือประทบั อยู่ ในกฏุ าคารศาลา ทรงปรารภ “กนิ ฺเตติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา กฏู าคารสาลายํซึ่งพราหมณ์ผู้หลอกลวง ผู้มีวัตรเพียงดังค้างคาว คนหน่ึง วหิ รนโฺ ต เอกํ วคคฺ ลุ วิ ตตฺ ํ กหุ กพรฺ าหมฺ ณํ อารพภฺ กเถส.ิตรัสแล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา นี ้ วา่ กนิ ฺเต ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยินว่า (อ.พราหมณ์) นัน้ ขึน้ แล้ว สู่ต้นกุ่ม ต้นหนึ่ง โส กิร เวสาลีนครทฺวาเร เอกํ กกุ ฺกธุ รุกฺขํ อารุยฺหใกล้ประตแู หง่ เมืองไพสาลี เหนี่ยวแล้ว ซง่ึ ก่ิงไม้ ด้วยเท้า ท. ๒ ทฺวีหิ ปาเทหิ สาขํ คณฺหิตฺวา อโธสโิ ร โอลมพฺ นฺโตมีหัวในเบือ้ งต�่ำ ห้อยลงอยู่ ย่อมกล่าว ว่า (อ.ท่าน ท.) จงให้ “กปิ ลานํ เม สตํ เทถ กหาปเณ เทถ ปริจาริกํ เทถ,ซง่ึ ร้อย แหง่ โคแดง ท. แก่เรา (อ.ทา่ น ท.) จงให้ ซง่ึ กหาปณะ ท. โน เจ ทสสฺ ถ, อิโต ปตติ ฺวา มรนฺโต นครํ อนครํ(แกเ่ รา) (อ.ทา่ น ท.) จงให้ ซง่ึ หญงิ ผ้รู บั ใช้ (แกเ่ รา), หากวา่ (อ.ทา่ น ท.) กริสฺสามีติ วทต.ิจกั ไมใ่ ห้ ไซร้, (อ.เรา) ตกแล้ว (จากต้นก่มุ ) นี ้ ตายอยู่ จกั กระท�ำซง่ึ เมือง ให้เป็นท่ีมิใชเ่ มือง ดงั นี ้ฯ อ.ภิกษุ ท. เห็นแล้ว ซ่ึงพราหมณ์ นัน้ ในกาลเป็ นท่ี ตถาคตสสฺ าปิ ภกิ ขฺ สุ งฆฺ ปริวตุ สสฺ นครปวสิ นกาเลเสดจ็ เข้าไปสเู่ มือง แม้แหง่ พระตถาคตเจ้า ผ้อู นั หมแู่ หง่ ภิกษุ ภิกฺขู ตํ พฺราหฺมณํ ทิสฺวา นิกฺขมนกาเลปิ นํ ตเถวแวดล้อมแล้ว เหน็ แล้ว (ซงึ่ พราหมณ์) นนั้ ผ้หู ้อยลงอยู่ อยา่ งนนั้ โอลมพฺ นฺตํ ปสสฺ สึ .ุนน่ั เทียว แม้ในกาลเป็นท่ีออกไป ฯ แม้ (อ.ชน ท.) ผ้อู ยใู่ นเมือง คดิ แล้ว วา่ (อ.พราหมณ์) นี ้ นาคราปิ “อยํ ปกเารโยตฺยาปตฏิ ฺจฐาินยฺเตตเอฺววาํ โอลมพฺ นฺโตห้อยลงอยู่ อย่างนี ้ จ�ำเดิม แต่เช้า ตกแล้ว พึงกระท�ำ ซง่ึ เมือง ปตติ ฺวา นครํ อนครํให้เป็นสถานท่ีมิใชเ่ มือง ดงั นี ้ ผลติ สื่อการเรยี นรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยัตธิ รรม วัดพระธรรมกาย 115 www.kalyanamitra.org

ผ้กู ลวั แล้วแตค่ วามพนิ าศแหง่ เมอื ง รบั คำ� แล้ว วา่ (อ.พราหมณ์) นนั้ นครวนิ าสภตี า “ยํ โส ยาจต,ิ สพพฺ ํ เทมาติ ปฏสิ สฺ ณุ ติ วฺ ายอ่ มขอ (ซง่ึ วตั ถ)ุ ใด, (อ.เรา ท.) จงให้ ซง่ึ วตั ถุ (นนั้ ) ทงั้ ปวง ดงั นี ้ อทํส.ุ โส โอตริตฺวา สพฺพํ คเหตฺวา อคมาส.ิได้ให้แล้ว ฯ (อ.พราหมณ์) นนั้ ข้ามลงแล้ว ถือเอา (ซง่ึ วตั ถ)ุ ทงั้ ปวงได้ไปแล้ว ฯ อ.ภิกษุ ท. เหน็ แล้ว (ซง่ึ พราหมณ์) นนั้ ผู้ เท่ียวไปอยู่ ราวกะ ภิกฺขู วหิ ารูปจาเร ตํ คาวี วิย วจิ ริตฺวา คจฺฉนฺตํอ.แม่โค ในอุปจารแห่งวิหาร รู้พร้ อมแล้ว ถามแล้ว ว่า ทสิ วฺ า สญชฺ านติ วฺ า “ลทธฺ นเฺ ต พรฺ าหมฺ ณ ยถาปตถฺ ติ นตฺ ิแนะ่ พราหมณ์ (อ.วตั ถ)ุ อนั ทา่ นปรารถนาแล้วอยา่ งไร อนั ทา่ น ปจุ ฉฺ ติ วฺ า “อาม ลทธฺ ํ เมติ สตุ วฺ า อนโฺ ตวหิ าเร ตถาคตสสฺได้แล้ว หรือ ดงั นี ้ฟังแล้ว วา่ ขอรับ (อ.วตั ถุ นนั้ ) อนั กระผม ได้แล้ว ตมตฺถํ อาโรเจสํ.ุดงั นี ้ กราบทลู แล้ว ซงึ่ เนือ้ ความ นนั้ แก่พระตถาคตเจ้า ในภายในแหง่ วหิ าร ฯ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. (อ.พราหมณ์) นน่ั สตฺถา “น ภิกฺขเว อิทาเนเวส กหุ กโจโร, ปพุ ฺเพปิเป็นโจรผ้หู ลอกลวง (ยอ่ มเป็น) ในกาลนีน้ นั่ เทียว หามิได้, กหุ กโจโรเยว อโหส;ิ อิทานิ ปเนส พาลชนํ วญฺเจติ,(อ.พราหมณ์ นน่ั ) เป็นโจรผ้หู ลอกลวงนน่ั เทียว ได้เป็นแล้ว ตทา ปน ปณฺฑิเต วญฺเจตํุ นาสกฺขีติ วตฺวา เตหิแม้ในกาลกอ่ น; ก็ (อ.พราหมณ)์ นนั่ ยอ่ มลวง ซงึ่ ชนผ้เู ขลา ในกาลน,ี ้ ยาจิโต อตีตํ อาหริ:แตว่ า่ (อ.พราหมณ์ นนั้ ) ไมไ่ ด้อาจแล้ว เพื่ออนั ลวง ซงึ่ บณั ฑิต ท.ในกาลนนั้ ดงั นี ้ ผ้อู นั ภกิ ษุ ท. เหลา่ นนั้ ทลู วงิ วอนแล้ว ทรงนำ� มาแล้วซงึ่ เรื่องอนั ไปลว่ งแล้ว วา่ :ในกาลอนั ไปลว่ งแล้ว อ.ดาบสผ้หู ลอกลวง ตนหนงึ่ อาศยั แล้ว “อตีเต เอกํ กาสกิ คามํ นิสฺสาย เอโกซง่ึ กาสคิ าม หมหู่ นงึ่ ยอ่ มส�ำเร็จ ซงึ่ การอยู่ ฯ อ.ตระกลู หนง่ึ กหุ กตาปโส วาสํ กปเฺ ปติ. ตํ เอกํ กลุ ํ ปฏิชคฺคิ:ปฏบิ ตั แิ ล้ว (ซงึ่ ดาบส) นนั้ , (อ.ตระกลู นนั้ ) ยอ่ มถวาย ซง่ึ สว่ น สว่ นหนงึ่ ทิวา อปุ ปฺ นฺนขาทนียโภชนียโต อตฺตโน ปตุ ฺตานํ วิยแตข่ องอนั บคุ คลพงึ เคยี ้ วและของอนั บคุ คลพงึ บริโภคอนั เกิดขนึ ้ แล้ว ตสสฺ าปิ เทอตุ กยิ ํ ทโกิวเฏสฺฐาเสทํตเ.ิ ทต,ิ สายํ อปุ ปฺ นฺนโกฏฺฐาสํในกลางวนั (แก่ดาบส) แม้นนั้ ราวกะ (ให้อย)ู่ แก่บตุ ร ท. ฐเปตฺวาของตน, เก็บไว้แล้ว ซง่ึ สว่ นอนั เกิดขนึ ้ แล้ว ในเวลาเยน็ ยอ่ มถวายในวนั ท่ี ๒ ฯครัง้ นนั้ ในวนั หนงึ่ (อ.ตระกลู นนั้ ) ได้แล้ว ซง่ึ เนือ้ ของเหีย้ อเถกทิวสํ สายํ โคธมํสํ ลภิตฺวา สาธกุ ํ ปจิตฺวาในเวลาเยน็ ปิ ง้ แล้ว (กระท�ำ) ให้เป็นของดี เก็บไว้แล้ว ซง่ึ สว่ น ตโต โกฏฺ ฐาสํ ฐเปตฺวา ทตุ ยิ ทิวเส ตสฺส เทต.ิ(จากเนือ้ ของเหีย้ ) นนั้ ยอ่ มถวาย (แก่ดาบส) นนั้ ในวนั ที่ ๒ ฯอ.ดาบส เคยี ้ วกนิ แล้ว ซง่ึ เนอื ้ เทยี ว ผู้ อนั ความทะยานอยากในรส ตาปโส มํสํ ขาทิตฺวา ว รสตณฺหาย พทฺโธผกู แล้ว ถามแล้ว วา่ (อ.เนือ้ ) นนั่ ชื่อวา่ เป็นเนือ้ อะไร (ยอ่ มเป็น) “กึ มํสํ นาเมตนฺติ ปจุ ฺฉิตฺวา “โคธมํสนฺติ สตุ ฺวาดงั นี ้ฟังแล้ว วา่ อ.เนอื ้ ของเหยี ้ ดงั นี ้เทย่ี วไปแล้ว เพอ่ื ภกิ ษา ถอื เอา ภปิกณฺขฺณายสาลจํ รคิตนฺวฺตาฺวาสปเอปฺ กิ ทมธนิกฺเฏตกุ ฐภเณปสฺฑ.ิ าทีนิ คเหตฺวา(ซ่ึงวตั ถุ ท.) มีเนยใสและนมส้มและส่ิงของอนั เผ็ดร้อนเป็ นต้นไปแล้ว สบู่ รรณศาลา วางไว้แล้ว ณ สว่ นข้างหนง่ึ ฯ ก็ อ.เหีย้ ผ้พู ระราชา ยอ่ มอยู่ ที่จอมปลวก แหง่ หนง่ึ ในท่ีไมไ่ กล ปณณฺ สาลาย ปน อวทิ เู ร เอกสมฺ ึ วมมฺ เิ ก โคธราชาแหง่ บรรณศาลา ฯ (อ.เหีย้ ผ้พู ระราชา) นนั้ ยอ่ มมา เพ่ืออนั ไหว้ วิหรต.ิ โส กาเลน กาลํ ตาปสํ วนฺทิตํุ อาคฺจฺฉต.ิซงึ่ ดาบส ตลอดกาล ตามกาล ฯ ก็ ในวนั นนั้ (อ.ดาบส) นนั่ (คดิ แล้ว) ตํทิวสํ ปเนส “ตํ วธิสสฺ ามีติ ทณฺฑํ ปฏิจฺฉาเทตฺวาวา่ อ.เรา จกั ฆา่ (ซง่ึ เหีย้ ผ้พู ระราชา) นนั้ ดงั นี ้ปกปิ ดแล้ว ซงึ่ ทอ่ นไม้ ตสฺส วมมฺ ิกสฺสาวทิ เู ร ฐาเน นิทฺทายนฺโต วยิ นิสีทิ.นง่ั แล้ว ราวกะวา่ หลบั อยู่ ในท่ี อนั ไมไ่ กล แหง่ จอมปลวก นนั้ ฯอ.เหีย้ ผ้พู ระราชา ออกแล้ว จากจอมปลวก มาอยู่ สสู่ ำ� นกั โคธราชา วมมฺ ิกโต นิกฺขมิตฺวา ตสสฺ สนฺตกิ ํ(ของดาบส) นนั้ ก�ำหนดแล้ว ซง่ึ อาการ อาคจฺฉนฺโต อาการํ สลลฺ กฺเขตฺวา116 ธรรมบทภาคที่ ๘ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

(คดิ แล้ว) วา่ ในวนั นี ้ อ.อาการ ของอาจารย์ อนั เรา ยอ่ มไมช่ อบใจ “น เม อชฺช อาจริยสฺส อากาโร รุจฺจตีติ ตโตว นิวตฺต.ิดงั นี ้กลบั แล้ว (จากที่) นนั้ เทียว ฯ อ.ดาบส รู้แล้ว ซง่ึ ความเป็นคอื อนั กลบั (แหง่ เหยี ้ ผ้พู ระราชา) นนั้ ตาปโส ตสสฺ นวิ ตตฺ นภาวํ ญตวฺ า ตสสฺ มรณตถฺ ายขว้างไปแล้ว ซงึ่ ทอ่ นไม้ เพื่อประโยชน์แก่ความตาย (แหง่ เหีย้ ทณฺฑํ ขิปิ . ทณฺโฑ วริ ชฺฌิตฺวา คโต. โคธราชาผ้พู ระราชา) นนั้ ฯ อ.ทอ่ นไม้ พลาดไปแล้ว ฯ อ.เหีย้ ผ้พู ระราชา วมมฺ ิกํ ปวสิ ติ ฺวา ตโต สสี ํ นีหริตฺวา อาคตมคฺคํเข้าไปแล้ว สจู่ อมปลวก น�ำออกแล้ว ซงึ่ ศีรษะ (จากจอมปลวก) นนั้ โอโลเกนฺโต ตาปสํ อาหแลดอู ยู่ ซง่ึ หนทาง (แหง่ ตน) มาแล้ว กลา่ วแล้ว กะดาบส วา่(อ.ขา้ พเจ้า) ส�ำคญั อยู่ ซ่ึงท่าน ผูไ้ ม่ส�ำรวมแลว้ ว่าเป็นสมณะ “สมณํ ตํ มญฺญมาโน อปุ คญฺฉึ อสญฺญตํ,เขา้ ไปหาแลว้ , (อ.บคุ คล) เป็นผูม้ ิใช่สมณะ (ย่อมเป็น) ฉนั ใด โส มํ ทณฺเฑน ปาหาสิ ยถา อสสฺ มโณ ตถา;(อ.ท่าน) นนั้ ไดป้ ระหารแลว้ ซ่ึงขา้ พเจ้า ดว้ ยท่อนไม้ ฉนั นน้ั , กินเฺ ต ชฏาหิ ทมุ ฺเมธ, กินเฺ ต อชินสาฏิยา,แนะ่ ทา่ นผมู้ ีปัญญาชว่ั (อ.ประโยชน)์ อะไร แกท่ า่ น ดว้ ยชฎา ท., อพภฺ นตฺ รนเฺ ต คหนํ พาหิรํ ปริมชฺชสีติ.(อ.ประโยชน์) อะไร แก่ท่าน ดว้ ยผา้ อนั บคุ คลกระท�ำแลว้ดว้ ยหนงั ของเสือ, อ.ภายใน ของท่าน เป็นธรรมชาตรกชฏั(ย่อมเป็น), (อ.ท่าน) ย่อมขดั เกลา ในภายนอก ดงั นี้ ฯครัง้ นนั้ อ.ดาบส กลา่ วแล้ว อยา่ งนี ้วา่ อถ นํ ตาปโส สนฺตเกน ปโลเภตํุ เอวมาหแนะ่ เหีย้ (อ.ทา่ น) จงมา (อ.ทา่ น) จงกลบั (อ.ทา่ น) จงบริโภค “เอหิ โคธ นิวตฺตสสฺ ุ ภญุ ฺช สาลีนโมทนํ,ซ่ึงขา้ วสกุ แห่งขา้ วสาลี ท., อ.น�้ำมนั ดว้ ย อ.เกลือ ดว้ ย เตลํ โลณญฺจ เม อตฺถิ ปหูตํ มยฺห ปิ ปผฺ ลีติ.ของเรา มีอย,ู่ อ.ดีปลี ของเรา เป็นของเพยี งพอ (ยอ่ มเป็น) ดงั นี้เพื่ออนั ลอ่ (ซง่ึ เหีย้ ผ้พู ระราชา) นนั้ ด้วยของอนั มีอยู่ ฯ อ.เหีย้ ผ้พู ระราชา ฟังแล้ว (ซงึ่ ค�ำ) นนั้ กลา่ วแล้ว วา่ อ.ทา่ น ตํ สตุ วฺ า โคธราชา “ยถา ยถา ตวฺ ํ กเถส;ิ ตถา ตถายอ่ มกลา่ ว โดยประการใด โดยประการใด, อ.ความที่ แหง่ ข้าพเจ้า เม ปลายิตกุ ามตาว โหตีติ วตฺวา อิมํ คาถมาหเป็นผ้ใู คร่เพื่ออนั หนีไปเทียว ย่อมมี โดยประการนนั้ โดยประการนนั้ ดงั นี ้กล่าวแล้ว ซงึ่ คาถา นี ้วา่(อ.ขา้ พเจา้ ) นนั่ จกั เขา้ ไป ยิ่ง สจู่ อมปลวก อนั มีบรุ ุษร้อยหนึ่ง “เอส ภิยฺโย ปเวกฺขามิ วมฺมิกํ สตโปริสํเป็นประมาณ, อ.น�้ำมนั ดว้ ย อ.เกลือ ดว้ ย ของท่าน เตลํ โลณญฺจ กินเฺ ตสิ อหิตํ มยฺห ปิ ปผฺ ลีติ.(เป็นประโชน์) อะไร เป็นแลว้ , อ.ดีปลี เป็นของไม่เกือ้ กูลแก่ขา้ พเจ้า (ย่อมเป็น) ดงั นี้ ฯ ก็ แล (อ.เหีย้ ผ้พู ระราชา) ครัน้ กลา่ วแล้ว อยา่ งนี ้กลา่ วแล้ว วา่ เอวญฺจ ปน วตฺวา “อหํ เอตฺตกํ กาลํ ตยิอ.ข้าพเจ้า ได้กระท�ำแล้ว ซง่ึ ความส�ำคญั ในทา่ น วา่ เป็นสมณะ สมณสญฺญํ อกาส,ึ อิทานิ เต มํ ปหริตกุ ามตายตลอดกาล มปี ระมาณเทา่ น,ี ้ ในกาลนี ้อ.ทอ่ นไม้ อนั ทา่ น ขว้างไปแล้ว ทณฺโฑ ขิตฺโต, ตสสฺ ขิตฺตกาลโตเยว อสฺสมโณ ชาโต;เพราะความท่ี (แห่งตน) เป็ นผู้ใคร่เพื่ออันประหาร ซ่ึงข้าพเจ้า, กินฺตาทิสสฺส ทปุ ปฺ ญฺญสสฺ ปคุ ฺคลสสฺ ชฏาหิ,(อ.ทา่ น) เป็นผ้มู ิใชส่ มณะ เป็นผ้เู กิดแล้ว (ยอ่ มเป็น) แตก่ าล กึ สขเุ รน อชินจมเฺ มน, อพฺภนฺตรํ หิ เต คหนํ,(แหง่ ทอ่ นไม้) นนั้ (อนั ทา่ น) ขว้างไปแล้วนนั่ เทียว, (อ.ประโยชน์) เกวลํ พาหิรเมว ปริมชฺชสตี ิ อาห.อะไร แก่บุคคล ผู้มีปัญญาชั่ว ผู้เช่นท่าน ด้วยชฎา ท.,(อ.ประโยชน์) อะไร ด้วยหนังของเสือ อันเป็ นไปกับด้วยเล็บ,เพราะวา่ อ.ภายใน ของทา่ น เป็นธรรมชาตรกชฏั (ยอ่ มเป็น),(อ.ทา่ น) ยอ่ มขดั เกลา ในภายนอกนนั่ เทยี ว อยา่ งเดยี ว ดงั นี ้ (ดงั น)ี ้ ฯ ผลติ สือ่ การเรยี นรู้ โดยโรงเรียนพระปริยตั ธิ รรม วัดพระธรรมกาย 117www.kalyanamitra.org

อ.พระศาสดา ครัน้ ทรงน�ำมาแล้ว ซง่ึ เร่ืองอนั ไปลว่ งแล้ว นี ้ สตฺถา อิมํ อตีตํ อาหริตฺวา “ตทา เอส กหุ โกตรัสแล้ว วา่ (อ.พราหมณ์) นน่ั เป็นดาบส ผ้หู ลอกลวง ได้เป็นแล้ว ตาปโส อโหส,ิ โคธราชา ปน อหเมวาติ วตฺวาในกาลนนั้ , สว่ นวา่ อ.เหีย้ ผ้พู ระราชา (ในกาลนนั้ ) เป็นเรานน่ั เทียว ชาตกํ สโมธาเนตฺวา ตทา โคธปณฺฑิเตน ตสสฺ(ได้เป็นแล้ว ในกาลนี)้ ดงั นี ้ ทรงยงั ชาดก ให้ตงั้ ลงพร้อมแล้ว นิคฺคหิตการณํ ทสฺเสนฺโต อิมํ คาถมาหเม่ือทรงแสดง ซงึ่ เหตุ (แหง่ ดาบส) นนั้ ผู้ อนั เหีย้ ตวั ฉลาด ขม่ แล้วในกาลนนั้ ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา นี ้วา่แนะ่ ทา่ นผมู้ ีปัญญาชว่ั (อ.ประโยชน)์ อะไร แกท่ า่ น ดว้ ยชฎา ท., “กินเฺ ต ชฏาหิ ทมุ ฺเมธ, กินเฺ ต อชินสาฏิยา;(อ.ประโยชน์) อะไร แก่ท่าน ดว้ ยผา้ อนั บคุ คลกระท�ำแลว้ อพภฺ นตฺ รนเฺ ต คหนํ พาหิรํ ปริมชฺชสีติ.ดว้ ยหนงั เสือ, อ.ภายใน ของท่าน เป็นธรรมชาตรกชฏั(ย่อมเป็น),(อ.ท่าน) ย่อมขดั เกลา ในภายนอก ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) ดกู อ่ นทา่ นผ้มู ปี ัญญาชว่ั ผ้เู จริญ อ.ประโยชนอ์ ะไร ตตฺถ “กนิ ฺเต ชฏาหตี :ิ อมโฺ ภ ทปุ ปฺ ญฺญ ตวแก่ทา่ น ด้วยชฎา ท. เหลา่ นี ้ แม้อนั อนั ทา่ น ผกู ไว้ดีแล้ว ด้วย สพุ ทฺธาหิปิ อิมาหิ ชฏาหิ สขรุ าย นิวตฺถายปิ อิมายด้วยผ้าอนั บคุ คลกระท�ำแล้วด้วยหนงั ของเสือ นี ้ แม้อนั (อนั ทา่ น) อชินจมมฺ สาฏิกาย จ กิมตฺโถ.นงุ่ แล้ว อนั เป็นไปกบั ด้วยเลบ็ ด้วย (ดงั นี ้ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา(แหง่ หมวดสองแหง่ บท) วา่ กนิ ฺเต ชฏาหิ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯอ.อรรถ วา่ เพราะวา่ อ.ภายใน ของทา่ น เป็นธรรมชาตรกชฎั อพภฺ นตฺ รนตฺ :ิ อพภฺ นตฺ รํ หิ เต ราคาทกิ กฺ เิ ลสคหน,ํด้วยกเิ ลสมรี าคะเป็นต้น (ยอ่ มเป็น), (อ.ทา่ น) ยอ่ มขดั เกลา ในภายนอก เกวลํ หตฺถิลณฺฑํ อสสฺ ลณฺฑํ วิย มฏฺ ฐํ พาหิรํ(กระทำ� ) ให้เป็นของเกลยี ้ ง อยา่ งเดยี ว ราวกะ อ.คถู แหง่ ช้าง ราวกะ ปริมชฺชสีติ อตฺโถ.อ.คถู แหง่ ม้า ดงั นี ้(แหง่ บท) วา่ อพภฺ นฺตรํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ ึสตู .ิ(ซงึ่ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯอ.เร่ืองแห่งพราหมณ์ผู้หลอกลวง (จบแล้ว) ฯ กุหกพรฺ าหมฺ ณวตถฺ ุ.๑๒. อ.เร(อ่ือันงแข้หาพ่งพเจร้าะเจถะรกีชล่ือ่าวว่า)กฯสิ าโคตมี ๑๒. กสิ าโคตมีวตถฺ ุ. (๒๗๕) อ.พระศาสดา เมอ่ื ประทบั อยู่ บนภเู ขา ชอ่ื วา่ คชิ ฌกฏู ทรงปรารภ “ปํ สุกูลธรนฺติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา คชิ ฺฌกเู ฏซงึ่ พระเถรีชื่อวา่ กิสาโคตมี ตรัสแล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา นี ้ วา่ ปพฺพเต วหิ รนฺโต กิสาโคตมึ อารพฺภ กเถส.ิปํ สุกูลธรํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยินวา่ ในกาลนนั้ อ.ท้าวสกั กะ เสดจ็ เข้าไปเฝ้ าแล้ว ตทา กิร สกฺโก ปฐมยามาวสาเน เทวปริสายซง่ึ พระศาสดา กบั ด้วยเทพบริษทั ในกาลเป็นทสี่ ดุ ลงแหง่ ปฐมยาม สทฺธึ สตฺถารํ อปุ สงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺเตถวายบงั คมแล้ว ประทบั นง่ั สดบั อยแู่ ล้ว ซงึ่ ธรรมกถา อนั เป็นท่ีตงั้ สาราณียํ ธมมฺ กถํ สณุ นฺโต นิสที ิ.แหง่ ความระลกึ ถงึ ณ สว่ นข้างหนงึ่ ฯ ในขณะ นนั้ อ.พระเถรีช่ือวา่ กิสาโคตมี (คดิ แล้ว) วา่ (อ.เรา) ตสฺมึ ขเณ กิสาโคตมี “สตฺถารํ ปสสฺ สิ สฺ ามีติจักเฝ้ า ซ่ึงพระศาสดา ดังนี ้ มาแล้ว โดยอากาศ เห็นแล้ว อากาเสนาคนฺตฺวา สกฺกํ ทิสวฺ า นิวตฺต.ิซงึ่ ท้าวสกั กะ กลบั แล้ว ฯ118 ธรรมบทภาคที่ ๘ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

(อ.ท้าวสกั กะ) นนั้ เหน็ แล้ว (ซงึ่ พระเถรี) นนั้ ผู้ ถวายบงั คมแล้ว โส ตํ วนฺทิตฺวา นิวตฺตนฺตึ ทิสฺวา สตฺถารํ ปจุ ฺฉิกลบั อยู่ ทลู ถามแล้ว ซงึ่ พระศาสดา วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ “กา นาเมสา ภนเฺ ต อาคจฉฺ มานาว ตมุ เฺ ห ทสิ วฺ า นวิ ตตฺ ตี .ิ(อ.ภิกษุณี) นนั่ ชื่อ อะไร มาอยเู่ ทียว เหน็ แล้ว ซง่ึ พระองค์ ท.กลบั แล้ว ดงั นี ้ฯ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนมหาบพิตร (อ.ภิกษุณี) นน่ั สตฺถา “กิสาโคตมี นาเมสา มหาราช มม ธีตาช่ือวา่ กิสาโคตมี เป็นธิดา ของเรา เป็นผ้เู ลศิ กวา่ พระเถรีผ้ทู รงไว้ ปํ สกุ ลู กิ ตฺเถรีนํ อคฺคาติ วตฺวา อิมํ คาถมาหซง่ึ ผ้าบงั สกุ ลุ ท. (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้ วา่อ.เรา ย่อมเรียก ซ่ึงสตั ว์เกิด ผูท้ รงไวซ้ ่ึงผา้ บงั สกุ ลุ ผูผ้ อม “ปํ สกุ ูลธรํ ชนตฺ ํุ กิสํ ธมนิสนถฺ ตํผูส้ ะพรงั่ แลว้ ดว้ ยเสน้ เอ็น ผูเ้ ดียว ผูเ้ พง่ อยู่ ในป่า นนั้ เอกํ วนสฺมึ ฌายนตฺ ํ ตมหํ พรฺ ูมิ พรฺ าหฺมณนตฺ ิ.ว่าเป็นพราหมณ์ ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) ก็ (อ.สตั วเ์ กดิ ท.) ผ้ทู รงไว้ซงึ่ ผ้าบงั สกุ ลุ ยงั ปฏปิ ทา ตตฺถ “กสิ นฺต:ิ ปํ สกุ ลู กิ า หิ อตฺตโน อนรุ ูปํ ปฏิปทํอนั สมควร แกต่ น ให้เตม็ อยู่ เป็นผ้มู เี นอื ้ และเลอื ดน้อย ด้วยนน่ั เทยี ว ปเู รนตฺ า อปปฺ มสํ โลหติ า เจว โหนตฺ ิ ธมนสิ นถฺ ตคตตฺ า จ;เป็ นผู้มีตัวอันสะพรั่งแล้วด้ วยเส้นเอ็น ด้ วย ย่อมเป็ น, ตสฺมา เอวมาห.เพราะเหตนุ นั้ (อ.พระผ้มู ีพระภาคเจ้า) ตรัสแล้ว อยา่ งนี ้ (ดงั นี ้ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ กสิ ํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ อ.อรรถ วา่ อ.เรา ยอ่ มเรียก (ซงึ่ สตั ว์เกิด) ผ้เู ดียว ผ้เู พง่ อยู่ เอกํ วนสมฺ นิ ฺต:ิ ววิ ิตฺเต ฐาเน เอกํ ฌายนฺตํ ตมหํในที่ อนั สงดั แล้ว นนั้ วา่ เป็นพราหมณ์ ดงั นี ้ (แหง่ หมวดสองแหง่ บท) พฺราหฺมณํ วทามีติ อตฺโถ.วา่ เอกํ วนสมฺ ึ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ สึ ตู .ิ(ซง่ึ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯอ.เร่ืองแห่งพระเถรีช่ือว่ากสิ าโคตมี (จบแล้ว) ฯ กสิ าโคตมีวตถฺ ุ.๑๓. อ.เร่ืองแห่งพราหมณ์คนใดคนหน่ึง ๑๓. อญญฺ ตรพรฺ าหมฺ ณวตถฺ ุ. (๒๗๖) (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ.พระศาสดา เม่ือประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “น จาหนตฺ ิ อมิ ํ ธมมฺ เทสนํ สตถฺ า เชตวเน วหิ รนโฺ ตซึ่งพราหมณ์ คนหนึ่ง ตรัสแล้ว ซ่ึงพระธรรมเทศนา นี ้ ว่า เอกํ พฺราหฺมณํ อารพฺภ กเถส.ิน จาหํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯได้ยินวา่ (อ.พราหมณ์) นนั้ (คดิ แล้ว) วา่ อ.พระสมณะ ผ้โู คดม โส กริ “สมโณ โคตโม อตตฺ โน สาวเก `พรฺ าหมฺ ณาติยอ่ มตรัสเรียก ซง่ึ สาวก ท. ของพระองค์ วา่ เป็นพราหมณ์ ดงั นี,้ วทต,ิ อหญฺจมหฺ ิ พฺราหฺมณโยนิยํ นิพฺพตฺโต, มํปิ โขก็ อ.เรา เป็นผ้บู งั เกิดแล้ว ในก�ำเนิดแหง่ พราหมณ์ ยอ่ มเป็น, อ.อนั เอวํ วตฺตํุ วฏฺฏตีติ สตฺถารํ อปุ สงฺกมิตฺวา ตมตฺถํ ปจุ ฺฉิ.(อนั พระสมณะ ผ้โู คดม) ตรสั เรียก แม้ซงึ่ เรา แล อยา่ งนนั้ ยอ่ มควรดงั นี ้เข้าไปเฝ้ าแล้ว ซงึ่ พระศาสดา ทลู ถามแล้ว ซงึ่ เนือ้ ความ นนั้ ฯ ครัง้ นัน้ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว (กะพราหมณ์) นัน้ ว่า อถ นํ สตฺถา “นาหํ พฺราหฺมณ พฺราหฺมณโยนิยํดกู ่อนพราหมณ์ อ.เรา ยอ่ มเรียก (ซง่ึ บคุ คล) วา่ เป็นพราหมณ์ นิพฺพตฺตมตฺเตเนว พฺราหฺมณํ วทามิ,(ด้วยเหต)ุ สกั วา่ บงั เกดิ แล้ว ในกำ� เนดิ แหง่ พราหมณ์ นน่ั เทยี ว หามไิ ด้, ผลิตส่อื การเรียนรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยัติธรรม วดั พระธรรมกาย 119www.kalyanamitra.org

ส่วนว่า (อ.บุคคล) ใด เป็ นผู้ไม่มีกิเลสเป็ นเคร่ืองกังวล โย ปน อกิญฺจโน อคฺคหโณ, ตมหํ พฺราหฺมณํ วทามีติเป็นผ้ไู มม่ ีความยดึ ถือ (ยอ่ มเป็น), (อ.เรา) ยอ่ มเรียก (ซง่ึ บคุ คล) นนั้ วตฺวา อิมํ คาถมาหวา่ เป็นพราหมณ์ ดงั นี ้ ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา นี ้วา่ก็ อ.เรา ย่อมไม่เรียก (ซ่ึงบคุ คล) ผูเ้ กิดแลว้ แต่ก�ำเนิด “น จาหํ พรฺ าหมฺ ณํ พรฺ ูมิ โยนิชํ มตฺติสมฺภวํ,ผูม้ ีมารดาเป็นแดนเกิด ว่าเป็นพราหมณ์, (อ.บคุ คล) นนั้ โภวาที นาม โส โหติ, ส เว โหติ สกิญฺจโน,เป็นผูช้ ือ่ ว่ามีวาทะว่าผูเ้ จริญ ย่อมเป็น, (อ.บคุ คล) นนั้ แล อกิญฺจนํ อนาทานํ ตมหํ พรฺ ูมิ พรฺ าหฺมณนตฺ ิ.เป็ นผู้เป็ นไปกบั ด้วยกิเลสเป็ นเครื่องกงั วล ย่อมเป็ น,(อ.เรา) ย่อมเรียก (ซ่ึงบคุ คล) ผูไ้ ม่มีกิเลสเป็นเครื่องกงั วลผูไ้ ม่มีความยึดถือ นน้ั ว่าเป็นพราหมณ์ ดงั นี้ ฯ(อ.อรรถ วา่ ) ผ้เู กดิ แล้ว แตก่ ำ� เนดิ (ดงั นี ้ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา ตตฺถ “โยนิชนฺต:ิ โยนิยา ชาตํ.(แหง่ บท) วา่ โยนิชํ ดงั นี ้ฯ(อ.อรรถ วา่ ) ผ้มู พี ร้อมแล้ว ในท้อง อนั เป็นของมอี ยู่ ของมารดา มตตฺ สิ มภฺ วนฺต:ิ พฺราหฺมณิยา มาตุ สนฺตเกผ้เู ป็นพราหมณี (ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ มตตฺ สิ มภฺ วํ ดงั นี ้ฯ อทุ รสฺมึ สมภฺ ตู ํ. อ.อรรถ วา่ ก็ (อ.บคุ คล) นนั้ เทย่ี วกลา่ วอยู่ วา่ แนะ่ ทา่ นผ้เู จริญ ๆ โภวาทตี :ิ โส ปน อามนฺตนาทีสุ “โภ โภติดงั นี ้ (ในกาล ท.) มีกาลเป็นท่ีร้องเรียกเป็นต้น เป็นผ้ชู ื่อวา่ โภวาที วตฺวา วิจรนฺโต โภวาที นาม โหต,ิ ส เว ราคาทีหิยอ่ มเป็น, (อ.บคุ คล) นนั้ แล เป็นผ้เู ป็นไปกบั ด้วยกเิ ลสเป็นเครื่องกงั วล กิญฺจเนหิ สกิญฺจโน; อหํ ปน ราคาทีหิ อกิญฺจนํด้วยกิเลสเป็ นเคร่ืองกังวล ท. มีราคะเป็ นต้น (ย่อมเป็ น), จตหู ิ อปุ าทาเนหิ อนาทานํ พฺราหฺมณํ วทามีติแต่ว่า อ.เรา ย่อมเรียก (ซึ่งบุคคล) ผู้ไม่มีกิเลสเป็ นเครื่องกังวล อตฺโถ.(ด้ วยกิเลส ท.) มีราคะเป็ นต้ น ผู้ไม่มีความยึดม่ันด้วยอปุ าทาน ท. ๔ วา่ เป็นพราหมณ์ ดงั นี ้ (แหง่ บท) วา่ โภวาทีดงั นีเ้ป็นต้น ฯในกาลเป็นทส่ี ดุ ลงแหง่ เทศนา อ.พราหมณ์ นนั้ ตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว เทสนาวสาเน โส พฺราหฺมโณ โสตาปตฺตผิ เลในโสดาปัตติผล ฯ อ.เทศนา เป็ นเทศนาเป็ นไปด้วยวาจา ปตฏิ ฺฐหิ สมฺปตฺตานํปิ สาตฺถิกา เทสนา อโหสตี .ิมีประโยชน์ ได้มีแล้ว (แก่ชน ท.) แม้ผ้ถู งึ พร้อมแล้ว ดงั นีแ้ ล ฯอ.เร่ืองแห่งพราหมณ์คนใดคนหน่ึง (จบแล้ว) ฯ อญญฺ ตรพรฺ าหมฺ ณวตถฺ ุ.๑๔. อ.เร่ืองแห่งบุตรของเศรษฐีช่ือว่าอุคคเสน ๑๔. อุคคฺ เสนวตถฺ ุ. (๒๗๗) (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯอ.พระศาสดา เม่ือประทับอยู่ ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภ “สพพฺ สญโฺ ญชนนตฺ ิ อมิ ํ ธมมฺ เทสนํ สตถฺ า เวฬวุ เนซง่ึ บตุ รของเศรษฐี ช่ือวา่ อคุ คเสน ตรัสแล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา วหิ รนฺโต อคุ ฺคเสนํ นาม เสฏฺฐปิ ตุ ฺตํ อารพฺภ กเถส.ินี ้วา่ สพพฺ สญโฺ ญชนํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ อ.เร่ือง(อนั ข้าพเจ้า)ให้พิสดารแล้วในกถาเป็นเคร่ืองพรรณนา วตถฺ ุ “มญุ จฺ ปเุ ร มญุ จฺ ปจฉฺ โตติ คาถาวณณฺ นายซงึ่ เนือ้ ความแหง่ พระคาถา วา่ มุญจฺ ปุเร มุญจฺ ปจฉฺ โต ดงั นี ้ วติ ฺถาริตเมว.เป็นต้น ฯ120 ธรรมบทภาคท่ี ๘ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

ก็ ในกาลนนั้ อ.พระศาสดา (ครนั้ เมอื่ คำ� ) วา่ ข้าแตพ่ ระองคผ์ ้เู จริญ ตทา หิ สตฺถา “ภนฺเต อคุ ฺคเสโน `น ภายามีติอ.พระอุคคเสน ย่อมกล่าว ว่า (อ.เรา) ย่อมไม่กลัว ดังนี,้ วทต,ิ อภเู ตน มญฺเญ อญฺญํ พฺยากโรตีติ ภิกฺขหู ิ วตุ ฺเต,อ.พระอคุ คเสน เหน็ จะ ยอ่ มพยากรณ์ ซงึ่ พระอรหตั ผลอนั บคุ คล “ภิกฺขเว มม ปตุ ฺตสทิสา ฉินฺนสญฺโญชนา นพงึ รู้ย่ิง (ด้วยค�ำ) อนั ไมม่ ีแล้ว ดงั นี ้ อนั ภิกษุ ท. กราบทลู แล้ว, ภายนฺตเิ ยวาติ วตฺวา อิมํ คาถมาหตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. (อ.ภิกษุ ท.) ผ้มู ีสงั โยชน์อนั ตดั ได้แล้วผ้เู ชน่ กบั ด้วยบตุ ร ของเรา ยอ่ มไมก่ ลวั นนั่ เทียว ดงั นี ้ ตรัสแล้วซง่ึ พระคาถา นี ้วา่(อ.บคุ คล) ใด แล ตดั แลว้ ซึ่งสงั โยชนทงั้ ปวง ย่อมไม่สะดงุ้ , “สพพฺ สญโฺ ญชนํ เฉตวฺ า โย เว น ปริตสฺสติ,อ.เรา ย่อมเรียก (ซึ่งบคุ คล) ผูไ้ ปล่วงซึ่งกิเลสเป็นเหตขุ อ้ ง สงฺคาติคํ วิสํยตุ ฺตํ ตมหํ พรฺ ูมิ พรฺ าหฺมณนตฺ ิ.ผูพ้ รากแลว้ นน้ั ว่าเป็นพราหมณ์ ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) ซง่ึ สงั โยชน์อนั มีอยา่ ง ๑๐ (ดงั นี ้ ในบท ท.) ตตฺถ สพพฺ สญโฺ ญชนนฺต:ิ ทสวธิ สญฺโญชนํ.เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ สพพฺ สญโฺ ญชนํ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ วา่ ) ยอ่ มไมก่ ลวั เพราะตณั หา (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ น ปริตสสฺ ตตี :ิ ตณฺหาย น ภายต.ิน ปริตสฺสติ ดงั นี ้ฯ (อ.อนั ตดั ซงึ่ บท) วา่ ตํ อหํ (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ ตมหํ ดงั นี ้ ตมหนฺต:ิ ตํ อหํ ราคาทีนํ สงฺคานํ อตีตตฺตา(อนั บณั ฑิต พงึ กระท�ำ) ฯ อ.อธิบาย วา่ อ.เรา ยอ่ มเรียก (ซงึ่ บคุ คล) สงฺคาตคิ ํ จตนุ ฺนํปิ โยคานํ อภาเวน วิสํยตุ ฺตํ ตํ อหํชื่อว่าผู้ไปล่วงซึ่งกิเลสเป็ นเหตุข้อง เพราะความท่ี แห่งกิเลส พฺราหฺมณํ วทามีติ อตฺโถ.เป็ นเหตุข้อง ท. มีราคะเป็ นต้น เป็ นกิเลส (อันตน)ไปล่วงแล้วช่ือวา่ ผ้พู รากแล้ว เพราะความไมม่ ี แหง่ โยคะ ท . แม้ ๔ นนั้ วา่เป็นพราหมณ์ ดงั นี ้ฯ ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ สึ ตู .ิ(ซง่ึ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯอ.เร่ืองแห่งบตุ รของเศรษฐชี ่อื ว่าอคุ คเสน (จบแล้ว) ฯ อุคคฺ เสนวตถฺ ุ.๑๕.(ออ.ันเรข่ือ้างพแเหจ่้งาพจระากหลม่าณว)์ ๒ฯ คน ๑๕. เทวฺ พรฺ าหมฺ ณวตถฺ ุ. (๒๗๘) อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “เฉตวฺ า นทธฺ ินฺติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา เชตวเนซงึ่ พราหมณ์ ท. ๒ คน ตรัสแล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา นี ้ วา่ วหิ รนฺโต เทฺว พฺราหฺมเณ อารพฺภ กเถส.ิเฉตวฺ า นทธฺ ึ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยนิ วา่ อ.โค ชอื่ วา่ จฬู โรหติ (ในพราหมณ์ ท. ๒) เหลา่ นนั้ หนา เตสุ กิเรกสสฺ จฬู โรหิโต นาม โคโณ โหต,ิ เอกสฺส(แหง่ พราหมณ)์ คนหนงึ่ มอี ย,ู่ (อ.โค) ชอ่ื วา่ มหาโรหติ (แหง่ พราหมณ)์ มหาโรหิโต นาม.คนหนง่ึ (มีอย)ู่ ฯ ในวันหน่ึง (อ.พราหมณ์ ท.) เหล่านัน้ เถียงกันแล้ว ว่า เต เอกทิวสํ “ตว โคโณ พลวา มมอ.โค ของท่าน เป็ นสัตว์มีก�ำลัง (ย่อมเป็ น), อ.โค ของเรา โคโณ พลวาติ วิวทิตฺวาเป็นสตั ว์มีก�ำลงั (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ ผลติ สือ่ การเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปรยิ ัตธิ รรม วัดพระธรรมกาย 121 www.kalyanamitra.org

(กลา่ วแล้ว) วา่ (อ.ประโยชน์) อะไร แก่เรา ท. ด้วยการเถียงกนั , “กินฺโน วิวาเทน, เน ปาเชตฺวา ชานิสสฺ ามาติอ.เรา ท. ขบั ไปแล้ว (ซง่ึ โค ท.) เหลา่ นนั้ จกั รู้ ดงั นี ้ ยงั เกวียน อจิรวตีตีเร สกฏํ วาลกุ าย ปเู รตฺวา โคเณ โยชยสึ .ุให้เตม็ แล้ว ด้วยทราย เทียมแล้ว ซง่ึ โค ท. ที่ฝ่ังแหง่ แมน่ �ำ้ อจิรวดี ฯในขณะ นัน้ แม้ อ.ภิกษุ ท. เป็ นผู้ไปแล้ว (ในท่ี) นัน้ ตสมฺ ึ ขเณ ภิกฺขปู ิ นหายิตํุ ตตฺถ คตา โหนฺต.ิเพื่ออันอาบ ย่อมเป็ น ฯ อ.พราหมณ์ ท. ขับไปแล้ว ซ่ึงโค ท. ฯ พฺราหฺมณา โคเณ ปาเชสํ.ุ สกฏํ นิจฺจลํ อคฏนฺ ฐฺตาฺวสา.ิอ.เกวียน เป็นยานมีอนั ไหวออกแล้ว (เป็น) ได้ตงั้ อยแู่ ล้ว ฯ นทฺธิวรตฺตา ปน ฉิชฺชสึ .ุ ภิกฺขู ทิสฺวา วิหารํแตว่ า่ อ.ชะเนาะและเชือก ท. ขาดแล้ว ฯ อ.ภิกษุ ท. เหน็ แล้ว ตมตฺถํ สตฺถุ อาโรจยสึ .ุไปแล้ว สวู่ หิ าร กราบทลู แล้ว ซงึ่ เนือ้ ความ นนั้ แก่พระศาสดา ฯอ.พระศาสดา ตรสั แล้ว วา่ ดกู อ่ นภกิ ษุ ท. (อ.ชะเนาะและเชอื ก ท.) สตฺถา “ภิกฺขเว พาหิรา เอตา นทฺธิวรตฺตา,เหล่าน่ัน เป็ นของมีในภายนอก (ย่อมเป็ น), (อ.บุคคล) โยโกจิ เอตา ฉินฺทเตว, ภิกฺขนุ า ปน อชฺฌตฺตกิ ํคนใดคนหน่ึง ย่อมดัด (ซ่ึงชะเนาะและเชือก ท.) เหล่านั่น โกธนทฺธิญฺเจว ตณฺหาวรตฺตญฺจ ฉินฺทิตํุ วฏฺ ฏตีตินนั่ เทียว, สว่ นวา่ อ.อนั อนั ภิกษุ ตดั ซงึ่ ชะเนาะคือความโกรธ วตฺวา อิมํ คาถมาหด้วยนั่นเทียว ซึ่งเชื่อกคือตัณหา ด้วย อันเป็ นไปในภายในยอ่ มควร ดงั นี ้ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา นี ้วา่อ.เรา ย่อมเรียก (ซึ่งบคุ คล) ผู้ ตดั แลว้ ซึ่งชะเนาะ ดว้ ย “เฉตวฺ า นทธฺ ึ วรตตฺ ญจฺ สนธฺ านํ สหนกุ ฺกมํซึ่งเชือก ดว้ ย ซึ่งเครื่องต่อ อนั เป็นไปกบั ดว้ ยสาย ดว้ ย อกุ ฺขิตฺตปลิฆํ พทุ ฺธํ ตมหํ พรฺ ูมิ พรฺ าหฺมณนตฺ ิ.(ด�ำรงอยู่แลว้ ) ผูม้ ีล่ิมสลกั อนั ถอนข้ึนแลว้ ผูร้ ู้แลว้ นนั้ว่าเป็นพราหมณ์ ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) ซงึ่ ความโกรธ อนั เป็นไปทว่ั แล้ว โดยความเป็น ตตฺถ “นทธฺ ินฺต:ิ นยฺหนภาเวน ปวตฺตํ โกธํ.แห่งเครื่องขัน (ดังนี ้ ในบท ท.) เหล่านัน้ หนา (แห่งบท) ว่านทธฺ ึ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ วา่ ) ซง่ึ ตณั หา อนั เป็นไปทว่ั แล้ว โดยความเป็น วรตตฺ นฺต:ิ พนฺธนภาเวน ปวตฺตํ ตณฺหํ.แหง่ เครื่องผกู (ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ วรตตฺ ํ ดงั นี ้ฯอ.อรรถ วา่ อ.เรา ยอ่ มเรียก (ซงึ่ บคุ คล) ผู้ ตดั แล้ว ซงึ่ เครื่องตอ่ สนฺธานํ สหนุกกฺ มนฺต:ิ อนสุ ยานกุ ฺกมสหิตํคือทิฏฐิ ๖๒ อนั ไปแล้วกบั ด้วยสายคืออนสุ ยั แม้ทงั้ ปวง นี ้ อทวฺวิชาฺสชาฏปฺฐทลิ ฆิิฏฺฐสสิฺสนฺธาอนกุ ํฺขิตอติทฺตํ า สพฺพํปิ ฉินฺทิตฺวา ติ ํด�ำรงอยแู่ ล้ว ผ้ชู ่ือวา่ มีลม่ิ สลกั อนั ถอนขนึ ้ แล้ว เพราะความที่ อกุ ฺขิตฺตปลฆิ ํ จตนุ ฺนํแหง่ ลม่ิ สลกั คอื อวชิ ชา เป็นธรรมชาต (อนั ตน) ยกขนึ ้ แล้ว ผ้ชู อื่ วา่ รู้แล้ว สจจฺ านํ พทุ ธฺ ตตฺ า พทุ ธฺ ํ ตํ อหํ พรฺ าหมฺ ณํ วทามตี ิ อตโฺ ถ.เพราะความท่ี แห่งสัจจะ ท. ๔ เป็ นธรรมชาต (อันตน) รู้แล้ว นัน้วา่ เป็นพราหมณ์ ดงั นี ้ (แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ สนฺธานํสหนุกกฺ มํ ดงั นี ้ฯ ในกาลเป็นทส่ี ดุ ลงแหง่ เทศนา อ.ภกิ ษุ ท. มรี ้อยห้าเป็นประมาณ เทสนาวสาเน ปญจฺ สตา ภกิ ขฺ ู อรหตเฺ ต ปตฏิ ฺฐหสึ ,ุตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว ในพระอรหตั ฯ อ.เทศนา เป็นเทศนาเป็นไปกบั สมปฺ ตฺตานํปิ สาตฺถิกา เทสนา อโหสตี .ิด้วยวาจามปี ระโยชน์ ได้มแี ล้ว (แกช่ น ท.) ผ้ถู งึ พร้อมแล้ว ดงั นแี ้ ล ฯอ.เร่ืองแห่งพราหมณ์ ๒ คน (จบแล้ว) ฯ เทวฺ พรฺ าหมฺ ณวตถฺ ุ.122 ธรรมบทภาคท่ี ๘ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

๑๖. อ.เร่ืองแห(อ่งันพขร้าาพหมเจณ้า์ชจ่ือะวก่าลอ่าักวโ)กฯสกภารทวาชะ ๑๖. อกโฺ กสกภารทวฺ าชวตถฺ ุ. (๒๗๙) อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในพระเวฬวุ นั ทรงปรารภ “อกโฺ กสนตฺ ิ อมิ ํ ธมมฺ เทสนํ สตถฺ า เวฬวุ เน วหิ รนโฺ ตซง่ึ พราหมณ์ชอื่ วา่ อกั โกสกภารทวาชะ ตรสั แล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา อกฺโกสกภารทฺวาชํ อารพฺภ กเถส.ินี ้วา่ อกโฺ กสํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ดงั จะกลา่ วโดยพสิ ดาร อ.พราหมณี ชอื่ วา่ ธนญั ชานี ของพราหมณ์ อกฺโกสกภารทฺวาชสสฺ หิ ภาตุ ภารทฺวาชสฺสชอ่ื วา่ ภารทวาชะ ผ้เู ป็นพช่ี าย ของพราหมณช์ อ่ื วา่ อกั โกสกภารทวาชะ ธนญฺชานี นาม พฺราหฺมณี โสตาปนฺนา อโหส.ิเป็นโสดาบนั ได้เป็นแล้ว ฯ (อ.พราหมณ)ี นนั้ จามแล้ว กด็ ี ไอแล้ว กด็ ี พลาดแล้ว กด็ ี เปลง่ แล้ว สา ขิปิ ตฺวาปิ กาสติ ฺวาปิ ปกฺขลติ ฺวาปิ “นโม ตสฺสซง่ึ อทุ าน นี ้ วา่ อ.ความน้อบน้อม (ขอจงม)ี แกพ่ ระผ้มู พี ระภาคเจ้า ภควโต อรหโต สมมฺ าสมพฺ ทุ ธฺ สสฺ าติ อมิ ํ อทุ านํ อทุ าเนส.ิผ้เู ป็นพระอรหนั ต์ ผ้ตู รัสรู้แล้วเองโดยชอบ พระองค์นนั้ ดงั นี ้ ฯ ในวนั หนง่ึ (อ.พราหมณี) นนั้ พลาดแล้ว ในเวลาเป็นที่เลยี ้ งดู สา เอกทิวสํ พฺราหฺมณปริเวสนาย ปกฺขลติ ฺวาซงึ่ พราหมณ์ เปลง่ แล้ว ซง่ึ อทุ าน ด้วยเสียงอนั ดงั อยา่ งนนั้ ตเถว มหาสทฺเทน อทุ านํ อทุ าเนส.ินน่ั เทียว ฯ อ.พราหมณ์ โกรธแล้ว กลา่ วแล้ว วา่ อ.หญงิ ถอ่ ย นี ้ พลาดแล้ว พฺราหฺมโณ กชุ ฺฌิตฺวา “เอวเมวายํ วสลี ยตฺถ วา(ในที่) ใด หรือ หรือว่า (ในที่) นัน้ ย่อมกล่าว ซึ่งคุณอันบุคคล ตตฺถ วา ปกฺขลติ ฺวา ตสสฺ มณุ ฺฑกสสฺ สมณสสฺ วณฺณํพึงพรรณนา ของสมณะ ผู้โล้น นัน้ อย่างนีน้ ั่นเทียว ดังนี ้ ภาสตีติ วตฺวา “อิทานิ เต วสลิ คนฺตฺวา ตสสฺ สตฺถโุ นกลา่ วแล้ว วา่ แนะ่ หญิงถ่อย ในกาลนี ้ (อ.เรา) ไปแล้ว จกั ยกขนึ ้ วาทํ อาโรเปสสฺ ามีติ อาห.ซงึ่ วาทะ ตอ่ พระศาสดา นนั้ ของเจ้า ดงั นี ้ฯ ครัง้ นนั้ (อ.พราหมณี) นนั้ กลา่ วแล้ว (กะพราหมณ์) นนั้ วา่ อถ นํ สา “คจฺฉ พฺราหฺมณ, นาหํ ตํ ปสสฺ ามิ,แน่ะพราหมณ์ (อ.ท่าน) จงไปเถิด, (อ.บุคคล) ใด พึงยกขึน้ โย ตสสฺ ภควโต วาทํ อาโรเปยฺย; อปิ จ คนฺตฺวาซงึ่ วาทะ ตอ่ พระผ้มู ีพระภาคเจ้า พระองค์นนั้ , อ.ดฉิ นั ยอ่ มไมเ่ หน็ ภควนฺตํ ปญฺหํ ปจุ ฺฉสฺสตู ิ อาห.(ซง่ึ บคุ คล) นนั้ , อีกอยา่ งหนงึ่ (อ.ทา่ น) ครัน้ ไปแล้ว จงทลู ถามซง่ึ ปัญหา กะพระผ้มู ีพระภาคเจ้า เถิด ดงั นี ้ฯ (อ.พราหมณ์) นนั้ ไปแล้ว สสู่ �ำนกั ของพระศาสดา ไมถ่ วาย โส สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา อวนฺทิตฺวาว เอกมนฺตํบงั คมแล้วเทียว ยืนแล้ว ณ สว่ นข้างหนงึ่ , เม่ือทลู ถาม ซง่ึ ปัญหา โิ ต, ปญฺหํ ปจุ ฺฉนฺโต อิมํ คาถมาหกลา่ วแล้ว ซง่ึ คาถา นี ้วา่(อ.บคุ คล) ฆ่าแลว้ ซ่ึงอะไร สิ ย่อมนอน เป็นสขุ , (อ.บคุ คล) “กึสุ ฆตฺวา สขุ ํ เสติ, กึสุ ฆตฺวา น โสจติ,ฆ่าแลว้ ซึ่งอะไร สิ ย่อมไม่เศร้าโศก, ขา้ แต่พระโคดม กิสฺสสสฺ ุ เอกธมฺมสสฺ , วธํ โรเจสิ โคตมาติ.(อ.พระองค์) ย่อมทรงชอบใจ ซ่ึงการฆ่า (ซ่ึงธรรม) อะไร สิอนั เป็นธรรมเอก ดงั นี้ ฯ ครัง้ นนั้ อ.พระศาสดา เมื่อทรงพยากรณ์ ซง่ึ ปัญหา อถสสฺ ปญฺหํ พฺยากโรนฺโต สตฺถา อิมํ คาถมาห(ของพราหมณ์) นนั้ ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา นี ้วา่(อ.บคุ คล) ฆ่าแลว้ ซ่ึงความโกรธ ย่อมนอน เป็นสขุ , “โกธํ ฆตฺวา สขุ ํ เสติ โกธํ ฆตฺวา น โสจติ,(อ.บคุ คล) ฆ่าแลว้ ซ่ึงความโกรธ ย่อมไม่เศร้าโศก, โกธสสฺ วิสมูลสฺส มธรุ คฺคสฺส พรฺ าหฺมณดกู อ่ นพราหมณ์ อ.พระอริยเจา้ ท. ยอ่ มสรรเสริญ ซ่ึงการฆา่ วธํ อริยา ปสํสนตฺ ิ, ตญฺหิ ฆตฺวา น โสจตีติ.ซ่ึงความโกรธ อนั มีรากเป็นพิษ อนั มียอดหวาน,เพราะว่า (อ.บคุ คล) ฆ่าแลว้ (ซ่ึงความโกรธ) นน้ัย่อมไม่เศร้าโศก ดงั นี้ ฯ ผลติ สือ่ การเรียนรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยตั ธิ รรม วดั พระธรรมกาย 123www.kalyanamitra.org

(อ.พราหมณ์) นนั้ เลื่อมใสแล้ว ในพระศาสดา บวชแล้ว โส สตฺถริ ปสที ิตฺวา ปพฺพชิตฺวา อรหตฺตํ ปาปณุ ิ.บรรลแุ ล้ว ซงึ่ พระอรหตั ฯ ครัง้ นนั้ อ.พราหมณ์ชื่อวา่ อกั โกสกภารทวาชะ ผ้เู ป็นน้องชาย กิร อถสฺส ปพกฺพนชิฏิโฺ โตฐติ อกฺโกสกภารทฺวาโช “ภาตาผู้น้อยท่ีสุด (ของพราหมณ์) นัน้ ฟังแล้ว ว่า ได้ยินว่า อ.พี่ชาย เม สตุ ฺวา กทุ ฺโธ อาคนฺตฺวาของเรา บวชแล้ว ดงั นี ้ โกรธแล้ว มาแล้ว ดา่ แล้ว ซง่ึ พระศาสดา สตฺถารํ อสพฺภาหิ ผรุสาหิ วาจาหิ อกฺโกส.ิด้วยวาจา ท. อนั หยาบ ผ้มู ิใชข่ องสตั บรุ ุษ ฯ (อ.พราหมณ์) แม้นนั้ ผ้อู นั พระศาสดา ทรงให้รู้พร้อมแล้ว โสปิ สตฺถารา อติถีนํ ขาทนียาทิทานโอปมเฺ มนด้ วยความเป็ นแห่งอุปมาด้ วยการให้ ซึ่งวัตถุมีวัตถุอันบุคคล สญฺญตฺโต สตฺถริ ปสนฺโน ปพฺพชิตฺวา อรหตฺตํ ปาปณุ ิ.พงึ เคีย้ วเป็นต้น แก่แขก ท. ผ้เู ลอื่ มใสแล้ว ในพระศาสดา บวชแล้วบรรลแุ ล้ว ซง่ึ พระอรหตั ฯอ.น้องชายผู้น้อยที่สุด ท. ๒ คือ อ.สุนทริกภารทวาชะ อปเรปิสสฺ “สนุ ทฺ ริกภารทวฺ าโช พลิ งคฺ กภารทวฺ าโชติอ.พลิ งั คกภารทวาชะ (ของอกั โกสกภารทวาชะ) นนั้ แม้เหลา่ อน่ื อกี วเทนิ ฺวีตากปนพิฏฺพฺฐชภิตาตฺวาโรอรสหตตฺถฺตาํ ปรํ าปอณุกฺโสึก.ุสนฺตาว สตฺถาราด่าอยู่ ซึ่งพระศาสดา เทียว ผู้อันพระศาสดา ทรงแนะน�ำแล้วบวชแล้ว บรรลแุ ล้ว ซงึ่ พระอรหตั ฯ ครัง้ นนั้ ในวนั หนงึ่ อ.ภิกษุ ท. ยงั วาจาเป็นเคร่ืองกลา่ ว วา่ อเถกทิวสํ ธมมฺ สภายํ กถจํ ตสสู มุ ฏุ ฺนฐาาเมปสํุ “อาวโุ สดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท. อ.พระคุณของพระพุทธเจ้า ท. อจฺฉริยา วต พทุ ฺธคณุ า: ภาตเิ กสุเป็นคณุ นา่ อศั จรรย์หนอ (ยอ่ มเป็น), ครัน้ เม่ือพ่ีน้องชาย ท. อกฺโกสนฺเตส,ุ สตฺถา กิญฺจิ อวตฺวา เตสํเยว ปตฏิ ฺฐาช่ือ ๔ คน ดา่ อย,ู่ อ.พระศาสดา ไมต่ รัสแล้ว (ซงึ่ พระด�ำรัส) อะไร ๆ ชาโตต.ิเป็นที่พง่ึ (ของพ่ีน้องชาย ท. ๔) เหลา่ นนั้ นนั่ เทียว เกิดแล้ว ดงั นี ้ให้ตงั้ ขนึ ้ พร้อมแล้ว ในโรงเป็นท่ีกลา่ วกบั ด้วยการแสดงซง่ึ ธรรม ฯอ.พระศาสดา เสดจ็ มาแล้ว ตรัสถามแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. สตฺถา อาคนฺตฺวา “กาย นตุ ฺถ ภิกฺขเว เอตรหิ(อ.เธอ ท.) เป็นผ้นู งั่ พร้อมกนั แล้ว ด้วยวาจาเป็นเคร่ืองกลา่ ว อะไร กถาย สนฺนิสนิ ฺนาติ ปจุ ฺฉิตฺวา, “อิมาย นามาติ วตุ ฺเต,หนอ ยอ่ มมี ในกาลนี ้ ดงั นี,้ (ครัน้ เมื่อค�ำ) วา่ (อ.ข้าพระองค์ ท. “ภิกฺขเว อหํ มม ขนฺตพิ เลน สมนฺนาคตตฺตา ทวฏุ ตฺเฐฺวสาุเป็นผ้นู งั่ พร้อมกนั แล้ว ด้วยวาจาเป็นเครื่องกลา่ ว) ชื่อ นี ้ (ยอ่ มมี อทสุ สฺ นฺโต มหาชนสสฺ ปตฏิ ฺฐา โหมิเยวาติในกาลนี)้ ดงั นี ้ (อนั ภิกษุ ท. เหลา่ นนั้ ) กราบทลู แล้ว, ตรัสแล้ว วา่ อิมํ คาถมาหดกู อ่ นภกิ ษุ ท. อ.เรา ไมป่ ระทษุ ร้ายอยู่ (ในชน ท.) ผ้ปู ระทษุ ร้ายแล้วเพราะความท่ี แหง่ เรา เป็นผ้มู าตามพร้อมแล้ว ด้วยก�ำลงั คือขนั ติเป็ นท่ีพ่ึง ของมหาชน ย่อมเป็ นนั่นเทียว ดังนี ้ ตรัสแล้วซง่ึ พระคาถา นี ้วา่(อ.บคุ คล) ใด เป็นผูไ้ ม่ประทษุ ร้ายแลว้ (เป็น) ย่อมอดกลนั้ “อกฺโกสํ วธพนธฺ ญฺจ ตอมทหฏุ ฺํโพฐรฺ ูมโิ ยพรฺ าตหิตฺมิกณฺขตนิ,ตฺ ิ.ซ่ึงการด่า ดว้ ย ซึ่งการทบุ ตีและการจองจ�ำ ดว้ ย, อ.เรา ขนตฺ ิพลํ พลานีกํย่อมเรียก (ซึ่งบคุ คล) นนั้ ผูม้ ีก�ำลงั คือขนั ติ ผูม้ ีหมู่แห่งก�ำลงัว่าเป็นพราหมณ์ ดงั นี้ ฯ อ.อรรถ วา่ (อ.บคุ คล) ใด เป็นผ้มู ีใจไมโ่ กรธแล้ว เป็น ปริภาตสตญถฺ ฺจ“อทปฏุ าฺโณฐติอ:ิาทเอีหวิํ ทสหิ อกโฺ กสวตถฺ หู ิ อกโฺ กสญจฺยงั การดา่ ด้วยวตั ถเุ ป็นเครื่องดา่ ท. ๑๐ ด้วย ยงั การบริภาษ ด้วย โปถนญฺจ อนฺทพุ นฺธนาทีหิยงั การโบย (ด้วยปหรณวตั ถุ ท.) มฝี ่ามอื เป็นต้น ด้วย ยงั การจองจำ� พนฺธญฺจ โย อกทุ ฺธมานโส หตุ ฺวา อธิวาเสติ,(ด้วยเครื่องจองจ�ำ ท.) มีเครื่องจองจ�ำคือขื่อเป็ นต้น ด้วยยอ่ มให้อยทู่ บั อยา่ งนี,้124 ธรรมบทภาคที่ ๘ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

อ.เรา ย่อมเรียก (ซึ่งบุคคล) นัน้ คือว่า ผู้มีอย่างนี ้ เป็ นรูป ขนฺติพเลน สมนฺนาคตตฺตา ขนฺติพลํ, ปุนปฺปุนํผู้ช่ือว่ามีก�ำลังคือขันติ เพราะความที่ (แห่งตน) เป็ นผู้มาตาม อปุ ปฺ ตฺตยิ า อนีกภเู ตเนว ขนฺตพิ เลน สมนฺนาคตตฺตาพร้อมแล้ว ด้วยก�ำลงั คือขนั ต,ิ ผ้ชู ่ือวา่ มีหมแู่ หง่ ก�ำลงั เพราะความ พลานีกํ, ตํ เอวรูปํ อหํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อตฺโถ.ท่ี (แหง่ ตน) เป็นผ้มู าตามพร้อมแล้ว ด้วยก�ำลงั คือขนั ติ อนั เป็นหมู่เป็นแล้ว โดยอนั เกิดขนึ ้ บอ่ ย ๆ นน่ั เทียว วา่ เป็นพราหมณ์ ดงั นี ้(ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ อทฏุ ฺ โฐ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ ึสตู .ิ(ซง่ึ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯอ.เร่ืองแห่งพราหมณ์ช่ือว่าอักโกสกภารทวาชะ อกโฺ กสกภารทวฺ าชวตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ๑๗. อ.เร่ืองแห่งพระเถระช่ือว่าสารีบุตร ๑๗. สารีปุตตฺ ตเฺ ถรวตถฺ ุ. (๒๘๐) (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ.พระศาสดา เม่ือประทบั อยู่ ในพระเวฬวุ นั ทรงปรารภ “อกโฺ กธนนฺติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา เวฬวุ เนซง่ึ พระเถระช่ือวา่ สารีบตุ ร ตรัสแล้ว ซง่ึ พระธรรมเทศนา นี ้ วา่ วหิ รนฺโต สารีปตุ ฺตตฺเถรํ อารพฺภ กเถส.ิอกโฺ กธนํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยินวา่ ในกาลนนั้ อ.พระเถระ เที่ยวไปอยู่ เพ่ือก้อนข้าว ตทา กิร เถโร ปญฺจหิ ภิกฺขสุ เตหิ สทฺธึ ปิ ณฺฑายกบั ด้วยร้อยแหง่ ภกิ ษุ ท. ๕ ได้ไปแล้ว สปู่ ระตแู หง่ เรือน ของมารดา จรนฺโต นาลกคาเม มาตุ ฆรทฺวารํ อคมาส.ิในนาลกคาม ฯครัง้ นนั้ (อ.มารดา) นนั้ (ยงั พระเถระ) นนั้ ให้นงั่ แล้ว องั คาสอยู่ อถ นํ สา นิสีทาเปตฺวา ปริวิสมานา อกฺโกสิดา่ แล้ว วา่ แนะ่ ทา่ นผ้เู จริญ ผ้เู คีย้ วกินซง่ึ วตั ถอุ นั เป็นเดน อ.ทา่ น “อมโฺ ภ อออจุ ฬุ ฺฉสงุ ิฏีตฺกฺฐิโปกขิ ฏาฏฺเทิธฐกนนํ ฆอฏจุ ฺฉิติฏํ ฺฐกกญญฺชฺชิกิกํํ อลภิตฺวาไมไ่ ด้แล้ว ซง่ึ นำ� ้ ข้าวอนั เป็นเดน ยอ่ มควร เพอื่ อนั บริโภค ซง่ึ นำ� ้ ข้าว ปรฆเรสุ ปริภญุ ฺชิตํุอนั ติดแล้ว โดยหลงั แห่งกระบวย ในเรือนของบคุ คลอื่น ท., อรหสิ ปหาย ปพฺพชิโตสิ,(อ.ทา่ น) เป็นผู้ ละแล้ว ซงึ่ ทรัพย์มีโกฏิ ๘๐ เป็นประมาณ บวชแล้ว นาสติ มหฺ ิ ตยา, ภญุ ฺชาหิทานีต;ิ ภิกฺขนู ํปิ ภตฺตํยอ่ มเป็น, (อ.เรา) เป็นผู้ อนั ทา่ น ให้ฉิบหายแล้ว ยอ่ มเป็น, ในกาลนี ้ ททมานา “ตมุ เฺ หหิ มม ปตุ โฺ ต อภติกตฺ ฺขโํนคเจหฬู ตปุ ฺวฏาฺฐวาิหโการกเโมตว,(อ.ทา่ น) จงบริโภคเถิด ดงั นี;้ เมื่อถวาย ซงึ่ ภตั ร แม้แก่ภิกษุ ท. อิทานิ ภญุ ฺชถาติ วเทส.ิ เถโรกลา่ วแล้ว วา่ อ.บตุ ร ของเรา อนั ทา่ น ท. กระทำ� แล้ว ให้เป็นจฬู ปุ ัฏฐาก อคมาส.ิ อถายสฺมา ราหโุ ล สตฺถารํ ปิ ณฺฑปาเตนของตน,ในกาลนี ้ (อ.ทา่ น ท.) จงบริโภคเถิด ดงั นี ้ ฯ อ.พระเถระ อาปจุ ฺฉิ.ถือเอา ซงึ่ ภิกษา ได้ไปแล้ว สวู่ หิ ารนน่ั เทียว ฯ ครัง้ นนั้ อ.พระราหลุผ้มู ีอายุ ทลู ถามโดยเอือ้ เฟื อ้ แล้ว ซงึ่ พระศาสดา ด้วยบณิ ฑบาต ฯ ครัง้ นนั้ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว (กะพระราหลุ ) นนั้ วา่ อถ นํ สตฺถา อาห “ราหลุ กหํ คมิตฺถาต.ิดกู ่อนราหลุ (อ.เธอ ท.) ไปแล้ว (ในที่) ไหน ดงั นี ้ ฯ (อ.พระราหลุ “อยยฺ กิ าย คามํ ภนเฺ ตต.ิ “กึ ปน เต อยยฺ กิ าย อปุ ชฌฺ าโยกราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ (อ.ข้าพระองค์ ท. ไปแล้ว) วตุ ฺโตต.ิ “อยฺยิกาย เม ภนฺเต อปุ ชฺฌาโย อกฺโกสโิ ตต.ิสบู่ ้าน ของยา่ ดงั นี ้ ฯ (อ.พระศาสดา ตรัสถามแล้ว) วา่ ก็อ.อปุ ัชฌาย์ ของเธอ อนั ยา่ กลา่ วแล้ว อยา่ งไร ดงั นี ้ฯ (อ.พระราหลุกราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ.พระอุปัชฌาย์ของข้าพระองค์ อนั ยา่ ดา่ แล้ว ดงั นี ้ฯ ผลติ ส่อื การเรียนรู้ โดยโรงเรยี นพระปรยิ ัตธิ รรม วัดพระธรรมกาย 125www.kalyanamitra.org

(อ.พระศาสดา ตรัสถามแล้ว) วา่ (อ.อปุ ัชฌาย์ ของเธอ อนั ยา่ ) “กินฺติ วตฺวาต.ิ “อิทํ นาม ภนฺเตต.ิ “อปุ ชฺฌาเยน ปนกลา่ วแล้ว อยา่ งไร (ดา่ แล้ว) ดงั นี ้ฯ (อ.พระราหลุ กราบทลู แล้ว) วา่ เต กึ วตุ ฺตนฺต.ิ “น กิญฺจิ ภนฺเตต.ิข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ (อ.อปุ ัชฌาย์ ของข้าพระองค์ อนั ยา่กล่าวแล้ว ซ่ึงค�ำ) ช่ือ นี ้ (ด่าแล้ว) ดังนี ้ ฯ (อ.พระศาสดาตรัสถามแล้ว) วา่ ก็ (อ.ค�ำ) อะไร อนั อปุ ัชฌาย์ ของเธอ กลา่ วแล้วดงั นี ้ ฯ (อ.พระราหลุ กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ(อ.ค�ำ) อะไร ๆ (อนั พระอปุ ัชฌาย์ ของข้าพระองค์ กลา่ วแล้ว)หามิได้ ดงั นี ้ฯ อ.ภิกษุ ท. ฟังแล้ว (ซง่ึ ค�ำ) นนั้ ยงั วาจาเป็นเคร่ืองกลา่ ว ตํ สตุ ฺวา ภิกฺขู วตธมมฺ สสาภรีาปยตุ ํ ฺตตกฺเถถํ รสสสฺมฏุ ฺฐคาณุเปาส:ํุวา่ ดกู ่อนทา่ นผ้มู ีอายุ ท. อ.คณุ ท. ของพระเถระชื่อวา่ สารีบตุ ร “อาวโุ ส อจฺฉริยาเป็นคณุ นา่ อศั จรรย์หนอ (ยอ่ มเป็น), ครัน้ เม่ือมารดา ดา่ อยู่ เอวนฺนามสฺส มาตริ อกฺโกสนฺตยิ า, โกธนมตฺตํปิชื่อ อย่างนี ้ (อ.เหตุ) แม้สักว่าความโกรธ (แห่งพระเถระ) นัน้ นาโหสีต.ิไม่ได้มีแล้ว ดังนี ้ ให้ตัง้ ขึน้ พร้ อมแล้ว ในโรงเป็ นที่กล่าวกบั ด้วยการแสดงซง่ึ ธรรม ฯ อ.พระศาสดา เสดจ็ มาแล้ว ตรัสถามแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. สตฺถา อาคนฺตฺวา “กาย นตุ ฺถ ภิกฺขเว เอตรหิ(อ.เธอ ท.) เป็นผ้นู งั่ พร้อมกนั แล้ว ด้วยวาจาเป็นเครื่องกลา่ ว กถาย สนฺนิสนิ ฺนาติ ปจุ ฺฉิตฺวา, “อิมาย นามาติ วตุ ฺเต,อะไร หนอ ย่อมมี ในกาลนี ้ ดังนี,้ (ครัน้ เมื่อค�ำ) ว่า “ภิกฺขเว ขีณาสวา นาม อกฺโกธนาว โหนฺตีติอ.ข้าพระองค์ ท. เป็นผ้นู ง่ั พร้อมกนั แล้ว ด้วยวาจาเป็นเครื่องกลา่ ว) วตฺวา อิมํ คาถมาหชอ่ื นี ้ (ยอ่ มมี ในกาลน)ี ้ ดงั นี ้ (อนั ภกิ ษุ ท. เหลา่ นนั้ ) กราบทลู แล้ว,ตรสั แล้ว วา่ ดกู อ่ นภกิ ษุ ท. ชอ่ื อ.พระขณี าสพ ท. เป็นผ้มู อี นั ไมโ่ กรธเป็นปกตเิ ทียว ยอ่ มเป็น ดงั นี ้ ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้วา่อ.เรา ย่อมเรียก (ซึ่งบคุ คล) ผูม้ ีอนั ไม่โกรธเป็นปกติ ผูม้ ีวตั ร “อกฺโกธนํ วตฺตวนตฺ ํ สีลวนตฺ ํ อนสุ สฺ ทํผมู้ ีศีล ผไู้ มม่ ีกิเลสเป็นเครื่องฟขู ้ึน ผฝู้ ึกแลว้ ผมู้ ีสรีระมีในทีส่ ดุ ทนตฺ ํ อนตฺ ิมสารีรํ ตมหํ พรฺ ูมิ พรฺ าหฺมณนตฺ ิ.นน้ั ว่าเป็นพราหมณ์ ดงั นี้ ฯอ.อรรถ วา่ อ.เรา ยอ่ มเรียก (ซงึ่ บคุ คล) ผ้มู าตามพร้อมแล้ว ตตฺถ “วตตฺ วนฺตนฺต:ิ ธตู งฺควตฺเตน สมนฺนาคตํด้วยวตั รคือธดุ งค์ ผ้มู ีศีล ด้วยปาริสทุ ธิศีล ๔ ผ้ชู ่ือวา่ ไมม่ ีกิเลส จอตนปุสุ ฺสารทิสํ ทุ ฺธฉิสฬีเลินนฺทฺริยทสมีลเวนนนฺตํ ตณฺหาอสุ สฺ ทาภาเวนเป็ นเครื่องฟูขึน้ เพราะความไม่มีแห่งกิเลสเป็ นเคร่ืองฟูขึน้ ทนฺตํ โกฏิยํ เิ ตนคอื ตณั หา ผ้ชู อ่ื วา่ ฝึกแล้ว เพราะอนั ฝึกซงึ่ อนิ ทรีย์ ๖ ผ้ชู อื่ วา่ มสี รีระ อตตฺ ภาเวน อนตฺ มิ สรีรํ ตมหํ พรฺ าหมฺ ณํ วทามตี ิ อตโฺ ถ.มใี นทส่ี ดุ เพราะอตั ภาพ อนั ตงั้ อยแู่ ล้ว ในทส่ี ดุ นนั้ วา่ เป็นพราหมณ์ดงั นี ้(ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ วตตฺ วนตฺ ํ ดงั นเี ้ป็นต้น ฯ ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ สึ ตู .ิ(ซง่ึ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯอ.เร่ืองแห่งพระเถระช่ือว่าสารีบุตร (จบแล้ว) ฯ สารีปุตตฺ ตเฺ ถรวตถฺ ุ.126 ธรรมบทภาคท่ี ๘ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

๑๘. อ.เร่(ือองันแขห้า่งพพเรจะ้าเถจระีชก่ือลว่า่าวอ) ุบฯลวรรณา ๑๘. อุปปฺ ลวณฺณาเถรีวตถฺ ุ. (๒๘๑) อ.พระศาสดา เม่ือประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “วาริ โปกขฺ รปตเฺ ตวาติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถาซง่ึ พระเถระ ช่ือวา่ อบุ ลวรรณา ตรัสแล้ว ซง่ึ พระธรรมเทศนา เชตวเน วิหรนฺโต อปุ ปฺ ลวณฺณาเถรึ อารพฺภ กเถส.ินี ้วา่ วาริ โปกขฺ รปตเฺ ตว ดงั นีเ้ป็นต้น ฯอ.เรื่อง (อนั ข้าพเจ้า) ให้พิสดารแล้วนนั่ เทียว ในกถา วตฺถุ “มธุวา มญญฺ ตี พาโลติ คาถาวณฺณนายเป็นเคร่ืองพรรณนาซง่ึ เนือ้ ความแหง่ พระคาถา วา่ มธุวา มญญฺ ตี วิตฺถาริตเมว.พาโล ดงั นีเ้ป็นต้น ฯจริงอยู่ (อ.ค�ำ) วา่ โดยสมยั อื่นอีก อ.มหาชน ยงั วาจา วตุ ตฺ ํ หิ ตตถฺ : “อปเรน สมเยน มหาชโน ธมมฺ สภายํเป็นเครื่องกลา่ ว วา่ แม้ อ.พระขีณาสพ ท. เหน็ จะ จะเสพ ซง่ึ กาม, กกถึ นํ สเมสฏุ วฺฐิสาฺสเนปฺตสิ,ิ “ขีณาสวาปิ มญฺเญ กามํ เสวนฺต,ิ(อ.พระขณี าสพ ท.) จกั ไมเ่ สพ เพราะเหตไุ ร, เพราะวา่ (อ.พระขณี าสพ ท.) นเหเต โกฬาปรุกฺขา นจ วมมฺ ิกาเหลา่ นน่ั เป็นต้นไม้อนั ผุ (ยอ่ มเป็น) หามิได้ ด้วย เป็นจอมปลวก อลลฺ มํสสรีราว; ตสมฺ า เตปิ กามสขุ ํ สาทิยนฺตีต.ิ(ย่อมเป็ น) หามิได้ ด้วย เป็ นผู้มีเนือ้ และสรีระอันสดเทียว(ย่อมเป็ น), เพราะเหตุนัน้ (อ.พระขีณาสพ ท.) แม้เหล่านัน้ยอ่ มยินดี ซงึ่ ความสขุ ในกาม ดงั นี ้ให้ตงั้ ขนึ ้ พร้อมแล้ว ในโรงเป็นที่กลา่ วกบั ด้วยการแสดงซง่ึ ธรรม ฯอ.พระศาสดา เสดจ็ มาแล้ว ตรัสถามแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. สตฺถา อาคนฺตฺวา “กาย นตุ ฺถ ภิกฺขเว เอตรหิ(อ.เธอ ท.) เป็ นผู้นั่งพร้ อมกันแล้ว ด้วยวาจาเป็ นเครื่องกล่าว กถาย สนฺนิสนิ ฺนาติ ปจุ ฺฉิตฺวา, “อิมาย นามาติ วตุ ฺเต,อะไร หนอ ยอ่ มมี ในกาลนี ้ ดงั น,ี ้ (ครนั้ เมอ่ื คำ� ) วา่ (อ.ข้าพระองค์ ท. “น ภกิ ขฺ เว ขณี าสวา กามสขุ ํ สาทยิ นตฺ ิ น กาเม เสวนตฺ ,ิเป็นผ้นู ง่ั พร้อมกนั แล้ว ด้วยวาจาเป็นเคร่ืองกลา่ ว) ช่ือ นี ้ (ยอ่ มมี ยถา หิ ปทมุ ปตเฺ ต ปตโิ ตทกพนิ ทฺ ุ น ลปิ ปฺ ติ น สณฐฺ าต,ิในกาลนี)้ ดงั นี ้ (อนั ภิกษุ ท. เหลา่ นนั้ ) กราบทลู แล้ว, ตรัสแล้ว วา่ วินิวตฺตติ ฺวา ปตเตว; ยถา จ อารคฺเค สาสโป นดกู ่อนภิกษุ ท. อ.พระขีณาสพ ท. ยอ่ มยินดี ซง่ึ ความสขุ ในกาม อปุ ลปิ ปฺ ติ น สณฺฐาต,ิ วนิ ิวตฺตติ ฺวา ปตเตว;หามิได้ ย่อมเสพ ซ่ึงกาม ท. หามิได้, เหมือนอย่างว่า เอวํ ขีณาสวสฺส จิตฺเต ทวุ ิโธปิ กาโม น ลปิ ปฺ ติอ.หยาดแหง่ น�ำ้ อนั ตกไปแล้ว บนใบแหง่ ดอกปทมุ ยอ่ มไมต่ ดิ น สณฺฐาตีติ วตฺวา อนสุ นฺธึ ฆเฏตฺวา ธมมฺ ํ เทเสนฺโตยอ่ มไมต่ งั้ อยดู่ ้วยดี, ยอ่ มกลงิ ้ ตกไปนน่ั เทียว ฉนั ใด, อนง่ึ อิมํ พฺราหฺมณวคฺเค คาถมาหอ.เมลด็ พนั ธ์ผุ กั กาด ยอ่ มไมต่ ดิ ยอ่ มไมต่ งั้ อยดู่ ้วยดี บนปลายแหง่ เหลก็ แหลม, ยอ่ มกลงิ ้ ตกไปนน่ั เทยี ว ฉนั ใด, อ.กาม แม้มอี ยา่ ง ๒ยอ่ มไมต่ ดิ มนั่ ยอ่ มไมต่ งั้ อยดู่ ้วยดี ในจติ ของพระขณี าสพ ฉนั นนั้ดังนี ้ เมื่อทรงสืบต่อ ซ่ึงอนุสนธิ แสดง ซ่ึงธรรม ตรัสแล้วซงึ่ พระคาถา ในพราหมณวรรค นี ้วา่(อ.บคุ คล) ใด ย่อมไม่ติด ในกาม ท. เพียงดงั อ.น�้ำ (ไม่ติดอยู่) “วาริ โปกฺขรปตฺเตว อารคฺเคริว สาสโปบนใบแห่งดอกบวั เพียงดงั อ.เมล็ดพนั ธ์ผกั กาด (ไม่ติดอยู่) โย น ลิปปติ กาเมส,ุ ตมหํ พรฺ ูมิ พรฺ าหฺมณนตฺ ิ.บนปลายแห่งเหล็กแหลม, อ.เรา ย่อมเรียก (ซึ่งบคุ คล) นน้ัว่าเป็นพราหมณ์ (ดงั นี)้ดงั นี ้ (อนั ข้าพเจ้า) กลา่ วแล้ว (ในเร่ือง) นนั้ ฯ อ.อรรถ วา่ (อ.บคุ คล) ใด ยอ่ มไมต่ ดิ ในกาม แม้มีอยา่ ง ๒ ตตฺถ “โย น ลปิ ปฺ ตตี :ิ เอวเมว โย อพฺภนฺตเรในภายใน คือวา่ ยอ่ มไมต่ งั้ อยดู่ ้วยดี ในกาม นนั้ อยา่ งนีน้ นั่ เทียว, ทพุ ฺพิเธปิ กาเม น อปุ ลปิ ปฺ ติ ตสฺมึ กาเม น สณฺฐาติ,อ.เรา ยอ่ มเรียก (ซงึ่ บคุ คล) นนั้ วา่ เป็นพราหมณ์ ดงั นี ้ (ในบท ท.) ตมหํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อตฺโถ.เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ หมวดสองแหง่ บท) วา่ โย น ลปิ ปฺ ติ ดงั นเี ้ป็นต้น ฯ ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ ึสตู .ิ(ซง่ึ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯอ.เร่ืองแห่งพระเถรีช่ือว่าอุบลวรรณา (จบแล้ว) ฯ อุปปฺ ลวณฺณาเถรีวตถฺ ุ. ผลติ สอื่ การเรียนรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 127 www.kalyanamitra.org

๑๙. อ.เ(รอ่ือันงขแ้าหพ่งพเจร้าาหจะมกณล์ค่านว)ใดฯคนหน่ึง ๑๙. อญญฺ ตรพรฺ าหมฺ ณวตถฺ ุ. (๒๘๒) อ.พระศาสดา เม่ือประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “โย ทกุ ขฺ สสฺ าติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา เชตวเนซึ่งพราหมณ์ คนใดคนหน่ึง ตรัสแล้ว ซ่ึงพระธรรมเทศนา วิหรนฺโต อญฺญตรํ พฺราหฺมณํ อารพฺภ กเถส.ินี ้วา่ โย ทกุ ขฺ สสฺ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยนิ วา่ อ.ทาส คนหนงึ่ (ของพราหมณ)์ นนั้ ครนั้ เมอื่ สกิ ขาบท ตสฺส กิเรโก ทาโส, อปปฺ ญฺญตฺเต สกิ ฺขาปเท,(อันพระศาสดา) ไม่ทรงบัญญัติแล้ว หนีไปแล้ว บวชแล้ว ปลายิตฺวา ปพฺพชิตฺวา อรหตฺตํ ปาปณุ ิ. พฺราหฺมโณ ตํบรรลแุ ล้ว ซงึ่ พระอรหตั ฯ อ.พราหมณ์ ตรวจดอู ยู่ (ซงึ่ ทาส) นนั้ โอโลเกนฺโต อทิสฺวา เอกทิวสํ สตฺถารา สทฺธึ ปิ ณฺฑายไมเ่ หน็ แล้ว เหน็ แล้ว (ซง่ึ ภิกษุผ้เู ป็นทาส) ผ้เู ข้าไปอยู่ เพื่อก้อนข้าว ปวิสนฺตํ ทฺวารนฺตเร ทิสฺวา จีวรํ ทฬฺหํ อคฺคเหส.ิกบั ด้วยพระศาสดา ในระหวา่ งแหง่ ประตู ในวนั หนง่ึ ได้จบั แล้ว สตฺถา นิวตฺตติ ฺวา “กึ อิทํ พฺราหฺมณาติ ปจุ ฺฉิ.ซง่ึ จีวร มน่ั ฯ อ.พระศาสดา เสดจ็ กลบั แล้ว ตรัสถามแล้ว วา่ “ทาโส เม โภ โคตมาต.ิ “ปนฺนภาโร เอส พฺราหฺมณาต.ิดกู อ่ นพราหมณ์ (อ.เหต)ุ นี ้อะไร ดงั นี ้ฯ (อ.พราหมณ์ กราบทลู แล้ว) “ปนฺนภาโรติ วตุ ฺเต, พฺราหฺมโณ “อรหาติ สลฺลกฺเขส.ิวา่ ข้าแตพ่ ระโคดม ผ้เู จริญ (อ.ภิกษุ นี)้ เป็นทาส ของข้าพระองค์(ย่อมเป็ น) ดงั นี ้ ฯ (อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว) ว่า ดกู ่อนพราหมณ์(อ.ภิกษุ) น่ัน เป็ นผู้มีภาระอันปลงแล้ว (ย่อมเป็ น) ดังนี ้ ฯ(ครนั้ เมอ่ื พระดำ� รสั ) วา่ เป็นผ้มู ภี าระอนั ปลงแล้ว ดงั นี ้(อนั พระศาสดา)ตรัสแล้ว, อ.พราหมณ์ ก�ำหนดได้แล้ว ว่า (อ.ภิกษุ นัน้ )เป็นพระอรหนั ต์ (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ฯ เพราะเหตนุ นั้ (ครัน้ เมื่อค�ำ) วา่ ข้าแตพ่ ระโคดม ผ้เู จริญ ตสฺมา ปนุ ปิ เตน “เอวํ โภ โคตมาติ วตุ ฺเต,อ.อยา่ งนนั้ หรือ ดงั นี ้ (อนั พราหมณ์) นนั้ กลา่ วแล้ว แม้อีก, สตฺถา “อาม พฺราหฺมณ ปนฺนภาโรติ วตฺวา อิมํอ.พระศาสดา ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนพราหมณ์ เออ (อ.ภิกษุ นนั้ ) คาถมาหเป็นผ้มู ภี าระอนั ปลงแล้ว (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ ตรสั แล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้ วา่(อ.บคุ คล) ใด (ในศาสนา) นีน้ นั่ เทียว ย่อมรู้ทวั่ ซึ่งความสิ้นไป “โย ทกุ ฺขสสฺ ปชานาติ อิเธว ขยมตฺตโน,แห่งทกุ ข์ ของตน, อ.เรา ย่อมเรียก (ซ่ึงบคุ คล) นนั้ ผูม้ ีภาระ ปนนฺ ภารํ วิสํยตุ ฺตํ ตมหํ พรฺ ูมิ พรฺ าหฺมณนตฺ ิ.อนั ปลงแลว้ ผพู้ รากแลว้ วา่ เป็นพราหมณ์ ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) แหง่ ทกุ ขอ์ นั เกดิ แตข่ นั ธ์ (ดงั นี ้ ในบท ท.) เหลา่ นนั้ ตตฺถ “ทกุ ขฺ สฺสาต:ิ ขนฺธทกุ ฺขสสฺ .หนา (แหง่ บท) วา่ ทกุ ขฺ สสฺ ดงั นี ้ฯ อ.อรรถ วา่ อ.เรา ยอ่ มเรียก (ซงึ่ บคุ คล) ผ้มู ีภาระคือขนั ธ์ ปนฺนภารนฺต:ิ โอโรหิตกฺขนฺธภารํ จตหู ิ โยเคหิอนั ปลงลงแล้ว ผ้พู รากแล้ว จากโยคะ ท. ๔ หรือ หรือวา่ จากกิเลส สพฺพกฺกิเลเสหิ วา วิสํยตุ ฺตํ ตมหํ พฺราหฺมณํ วทามีติทงั้ ปวง ท. นนั้ วา่ เป็นพราหมณ์ ดงั นี ้(แหง่ บท) วา่ ปนฺนภารํ ดงั นี ้ อตฺโถ.เป็นต้น ฯในกาลเป็นทสี่ ดุ ลงแหง่ เทศนา อ.พราหมณ์ นนั้ ตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว เทสนาวสาเน โส พฺราหฺมโณ โสตาปตฺตผิ เลในโสดาปัตตผิ ล ฯ อ.เทศนา เป็นเทศนาเป็นไปกบั ด้วยวาจา ปตฏิ ฺฐหิ, สมปฺ ตฺตานํปิ สาตฺถิกา เทสนา อโหสีต.ิมีประโยชน์ ได้มีแล้ว (แก่ชน ท.) ผ้ถู งึ พร้อมแล้ว ดงั นีแ้ ล ฯอ.เร่ืองแห่งพราหมณ์คนใดคนหน่ึง (จบแล้ว) ฯ อญญฺ ตรพรฺ าหมฺ ณวตถฺ ุ.128 ธรรมบทภาคที่ ๘ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

๒๐. อ(อ.เันร่ืขอ้างพแหเจ่ง้าภกิจษะกุณลีช่า่ือว)ว่าฯเขมา ๒๐. เขมาภกิ ขฺ ุนีวตถฺ ุ. (๒๘๓) อ.พระศาสดา เมอื่ ประทบั อยู่ ทภ่ี เู ขาชอื่ วา่ คชิ ฌกฏู ทรงปรารภ “คมภฺ รี ปญญฺ นตฺ ิ อมิ ํ ธมมฺ เทสนํ สตถฺ า คชิ ฌฺ กเู ฏซ่ึงภิกษุณี ช่ือว่าเขมา ตรัสแล้ว ซึ่งพระธรรมเทศนา นี ้ ว่า วิหรนฺโต เขมํ ภิกฺขนุ ึ อารพฺภ กเถส.ิคมภฺ รี ปญญฺ ํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯดงั จะกลา่ วโดยยอ่ ในวนั หนง่ึ อ.ท้าวสกั กะ ผ้พู ระราชาแหง่ เทพ เอกทิวสํ หิ ปฐมยามสมนนฺตเร สกฺโก เทวราชาเสด็จมาแล้ว กับ ด้วยเทพบริษัท ในล�ำดับแห่งปฐมยาม เทวปริสาย สทฺธึ อาคนฺตฺวา สตฺถุ สนฺตเิ ก สาราณียํประทบั นงั่ สดบั อยแู่ ล้ว ซง่ึ ธรรมกถา อนั เป็นทต่ี งั้ แหง่ ความระลกึ ถงึ ธมมฺ กถํ สณุ นฺโต นิสีทิ.ในส�ำนกั ของพระศาสดา ฯในขณะ นนั้ อ.ภิกษุณี ช่ือวา่ เขมา (คดิ แล้ว) วา่ (อ.เรา) จกั เฝ้ า ตสมฺ ึ ขเณ เขมา ภิกฺขนุ ี “สตฺถารํ ปสฺสสิ ฺสามีติซง่ึ พระศาสดา ดงั นี ้ มาแล้ว เหน็ แล้ว ซง่ึ ท้าวสกั กะ ผู้ อาคนฺตฺวา สกฺกํ ทิสวฺ า อากาเส ติ าว สตฺถารํในอากาศ เทียว ถวายบงั คมแล้ว ซงึ่ พระศาสดา กลบั แล้ว ฯ วนฺทิตฺวา นิวตฺติ.อ.ท้าวสกั กะ ทรงเหน็ แล้ว (ซงึ่ ภิกษุณี) นนั้ ตรัสถามแล้ว วา่ สกฺโก ตํ ทิสฺวา “กา เอสา ภนฺเต อาคจฺฉมานาข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ (อ.ภิกษุณี) น่ัน เป็ นใคร (เป็ น) มาอยู่ อากาเส ติ าว วนฺทิตฺวา นิวตฺตีติ ปจุ ฺฉิ.ผ้ยู ืนแล้ว ในอากาศ เทียว ถวายบงั คมแล้ว กลบั แล้ว ดงั นี ้ฯ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนมหาบพิตร (อ.ภิกษุณี) นน่ั สตฺถา “เอสา มหาราช มม ธีตา เขมา นามเป็นธดิ า ของอาตมภาพ ชอ่ื วา่ เขมา เป็นผ้มู ปี ัญญามาก เป็นผ้ฉู ลาด มหาปญฺญา มคฺคามคฺคสฺส โกวิทาติ วตฺวา อิมํในหนทางและสภาพมิใช่หนทาง (ย่อมเป็ น) ดังนี ้ ตรัสแล้ว คาถมาหซง่ึ พระคาถา นี ้วา่อ.เรา ย่อมเรียก (ซ่ึงบคุ คล) ผูม้ ีปัญญาลึกซ้ึง “คมฺภีรปญฺญํ เมธาวึ มคฺคามคฺคสฺส โกวิทํผูม้ ีปัญญา ผูฉ้ ลาด ในหนทางและสภาพมิใช่หนทาง อตุ ฺตมตฺถํ อนปุ ปฺ ตฺตํ ตมหํ พรฺ ูมิ พรฺ าหฺมณนตฺ ิ.ผูบ้ รรลโุ ดยล�ำดบั แลว้ ซึ่งประโยชน์อนั สูงสดุ นน้ัว่าเป็นพราหมณ์ ดงั นี้ ฯ อ.อรรถ วา่ อ.เรา ยอ่ มเรียก (ซงึ่ บคุ คล) ผ้มู าตามพร้อมแล้ว ตตฺถ “คมภฺ รี ปญญฺ นฺต:ิ คมภฺ ีเรสุ ขนฺธาทีสุด้วยปัญญา อนั เป็นไปทวั่ แล้ว (ในธรรม ท.) มีขนั ธ์เป็นต้น อนั ลกึ ปวตฺตาย ปญฺญาย สมนฺนาคตํ ธมฺโมชปปฺ ญฺญายผ้มู าตามพร้อมแล้ว ด้วยปัญญาอนั รุ่งเรืองในธรรม ชอ่ื วา่ ผ้มู ปี ัญญา สมนฺนาคตํ เมธาวึ “อยํ ทคุ ฺคตยิ า มคฺโค, อยํ สคุ ตยิ าชื่อวา่ ผ้ฉู ลาด ในหนทางและสภาพมิใชห่ นทาง เพราะความที่ มคฺโค, อยํ นิพฺพานสสฺ มคฺโค, อยํ อมคฺโคติ เอวํ(แหง่ ตน) เป็นผ้ฉู ลาด ในหนทาง ด้วย ในสภาพมิใชห่ นทาง ด้วย มคฺเค จ อมคฺเค จ เฉกตาย มคฺคามคฺคสฺส โกวทิ ํอย่างนี ้ ว่า (อ.หนทาง) นี ้ เป็ นหนทางแห่งทุคติ (ย่อมเป็ น), อรหตฺตสงฺขาตํ อตุ ฺตมตฺถํ อนปุ ปฺ ตฺตํ ตมหํ พฺราหฺมณํ(อ.หนทาง) นี ้ เป็ นหนทาง แห่งสุคติ ย่อมเป็ น, (อ.หนทาง) นี ้ วทามีติ อตฺโถ.เป็ นหนทาง แห่งพระนิพพาน (ย่อมเป็ น), (อ.หนทาง) นี ้เป็นสภาพมิใชห่ นทาง (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ ผ้บู รรลโุ ดยลำ� ดบั แล้วซงึ่ ประโยชน์อนั สงู สดุ อนั บณั ฑิตนบั พร้อมแล้ววา่ พระอรหตั นนั้วา่ เป็นพราหมณ์ ดงั นี ้ (ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่คมภฺ รี ปญญฺ ํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ สึ ตู .ิ(ซงึ่ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯอ.เร่ืองแห่งภกิ ษุณีช่ือว่าเขมา (จบแล้ว) ฯ เขมาภกิ ขฺ ุนีวตถฺ ุ. ผลติ ส่อื การเรยี นรู้ โดยโรงเรยี นพระปรยิ ัตธิ รรม วดั พระธรรมกาย 129 www.kalyanamitra.org

๒๑. อ.(เอรผ่ันือู้อขงยแ้าู่ใพหน่งเเจงพ้อืา้ รมะจโเะถดกรยละป่าชกว่ือ)ตวฯิ่าตสิ สะ ๒๑. ปพภฺ ารวาสติ สิ สฺ ตเฺ ถรวตถฺ ุ. (๒๘๔) อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ วหิ รน“อฺโตสปสํ พฏฺฺภฐนารฺตวิาสอติ ิมสิ ํ ฺสธตมฺเถมฺ รเํทอสานรพํ ฺภสตกฺถเถาส.ิ เชตวเนซ่ึงพระเถระช่ือว่าติสสะผู้อยู่ในเงือ้ มโดยปกติ ตรัสแล้ วซง่ึ พระธรรมเทศนา นี ้วา่ อสสํ ฏฺ ฐํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยินวา่ (อ.พระเถระ) นนั้ เรียนเอาแล้ว ซงึ่ กมั มฏั ฐาน โส ปกวิริสติ ฺวสาตฺถสุ ปสปฺ นายฺตเเิ สกนากสมนมฺํ ฏโอฺฐโาลนเกํ นคฺโตเหตเอฺวกาํในส�ำนัก ของพระศาสดา เข้าไปแล้ว สู่ป่ า ตรวจดูอยู่ อรญฺญํซงึ่ เสนาสนะอนั เป็นสปั ปายะ ถงึ แล้ว ซง่ึ เงือ้ มแหง่ ถ�ำ้ แหง่ หนงึ่ ฯ เลนปพฺภารํ ปาปณุ ิ. สมปฺ ตฺตกฺขเณเยวสฺส จิตฺตํอ.จิต (ของพระเถระ) นนั้ ได้แล้ว ซง่ึ ความเป็นแหง่ ธรรมชาต เอกคฺคตํ ลภิ. โส “อหํ อิธ วสนฺโต ปพฺพชิตกิจฺจํไปสอู่ ารมณ์เดียว ในขณะ (แหง่ พระเถระ) นนั้ ถงึ พร้อมแล้ว นิปผฺ าเทตํุ สกฺขิสสฺ ามีติ จินฺเตส.ินนั่ เทียว ฯ (อ.พระเถระ) นนั้ คดิ แล้ว วา่ อ.เรา อยอู่ ยู่ (ในท่ี) นี ้จกั อาจ เพื่ออนั ยงั กิจแหง่ บรรพชิต ให้สำ� เร็จ ดงั นี ้ฯอ.เทวดา ผ้สู งิ อยแู่ ล้ว แม้ในถ�ำ้ คดิ แล้ว วา่ อ.ภิกษุ ผ้มู ีศีล เลเนปิ อธิวตฺถา เทวตา “สลี วา ภิกฺขุ อาคโต,มาแล้ว, อ.อัน (อันเรา) อยู่ ในที่แห่งเดียว กับ (ด้วยภิกษุ) นี ้ อิมินา สทฺธึ วเสอติกฺวฏาฺฐาปเนกฺกวมสิสติ ฺสํุตทีตกุิ ฺขจํ;ินฺเตอยตํฺวาปนปตุ อฺเติธเป็นความลำ� บาก (ยอ่ มเป็น), ก็ (อ.ภกิ ษ)ุ นี ้อยแู่ ล้ว (ในท)่ี นี ้สนิ ้ ราตรี เอกรตฺติเมวหนงึ่ นน่ั เทียว จกั หลกี ไป ดงั นี ้พาเอาแล้ว ซงึ่ บตุ ร ท. ออกไปแล้ว ฯ อาทาย นิกฺขมิ. เถโร ปนุ ทิวเส ปาโตว โคจรคามํอ.พระเถระ ได้เข้าไปแล้ว สโู่ คจรคาม เพ่ือก้อนข้าว ในเวลาเช้า ปิ ณฺฑาย ปาวิส.ิเทียว ในวนั รุ่งขนึ ้ ฯ ครงั้ นนั้ อ.อบุ าสกิ า คนหนงึ่ เหน็ แล้ว (ซงึ่ พระเถระ) นนั้ กลบั ได้แล้ว อถ นํ เอกา อปุ าสกิ า ทิสวฺ า ปตุ ฺตสเิ นหํซึ่งความรักเพียงดังบุตร (ยังพระเถระ) ให้นั่งแล้ว ในเรือน ปฏิลภิตฺวา เคเห นิสีทาเปตฺวา โภเชตฺวา อตฺตานํให้ฉนั แล้ว อ้อนวอนแล้ว เพื่อต้องการแก่อนั อาศยั ซง่ึ ตน อยู่ นิสสฺ าย เตมาสํ วสนตฺถาย ยาจิ. โสปิ “สกฺกา มยาตลอดประชมุ แหง่ เดือน ๓ ฯ (อ.พระเถระ) แม้นนั้ ยงั ค�ำนิมนต์ อิมํ นิสฺสาย ภวนิสฺสรณํ กาตนุ ฺติ อธิวาเสตฺวาให้อยทู่ บั แล้ว (ด้วยความคดิ ) วา่ อนั เรา อาศยั แล้ว (ซง่ึ อบุ าสกิ า) นี ้ ตเมว เลนํ อคมาส.ิอาจ เพ่ืออนั กระท�ำ ซงึ่ การสลดั ออกไปจากภพ ดงั นี ้ ได้ไปแล้วสถู่ �ำ้ นนั้ นนั่ เทียว ฯ อ.เทวดา เหน็ แล้ว (ซงึ่ พระเถระ) นนั้ ผ้มู าอยู่ คดิ แล้ว วา่ เทวตา ตํ อาคจฉฺ นตฺ ํ ทสิ วฺ า “อทธฺ า เกนจิ นมิ นตฺ โิ ต(อ.พระเถระ) นี ้ เป็ นผู้ อันใคร ๆ นิมนต์แล้ว จักเป็ น แน่แท้, ภวิสสฺ ต,ิ เสวฺ วา ปรเสฺว วา คมิสฺสตีติ จินฺเตส.ิ(อ.พระเถระ) นนั้ จกั ไป ในวนั พรุ่ง หรือ หรือวา่ ในวนั มะรืน ดงั นี ้ฯ(ครนั้ เมอ่ื กาล) สกั วา่ กง่ึ แหง่ เดอื น ก้าวลว่ งแล้ว อยา่ งน,ี ้ (อ.เทวดา เอวํ อฑฺฒมาสมตฺเต อตกิ ฺกนฺเต, “อยํ อิเธวคดิ แล้ว) วา่ (อ.พระเถระ) นี ้เหน็ จะ จกั อยู่ (ในท่ี) นีน้ น่ั เทียว ตลอด มญฺเญ อนฺโตวสฺสํ วสสิ ฺสต,ิ สลี วตา ปน สทฺธึภายในแหง่ พรรษา, ก็ อ.อนั (อนั เรา) อยู่ กบั ด้วยลกู น้อย ท. `เอนกิกฏฺขฺ มฐาาเตนิ ปตุ ฺตเกหิ สทฺธึ วสติ ํุ ทกุ ฺกรํ, อิมญฺจในทแี่ หง่ เดยี ว กบั (ด้วยภกิ ษ)ุ ผ้มู ศี ลี เป็นกริ ยิ าอนั เรากระทำ� ได้โดยยาก วตฺตํุ น สกฺกา; อตฺถิ นุ โข อิมสฺส(ยอ่ มเป็น), อนง่ึ (อนั เรา) ไมอ่ าจ เพอ่ื อนั กลา่ ว วา่ (อ.ทา่ น) จงออกไป สีเล ขลติ นฺติ ทิพฺเพน จกฺขนุ า โอโลเกนฺตีดงั นี ้(กะพระเถระ) นี,้ อ.ความพลงั้ พลาด ในศีล (ของพระเถระ) นี ้ อปุ สมปฺ ทกาลโต ปฏฺฐาย ตสฺส สีเล ขลติ ํ อทิสวฺ ามอี ยู่ หรือ หนอ แล ดงั นี ้ตรวจดอู ยู่ ด้วยจกั ษุ อนั เป็นทพิ ย์ ไมเ่ หน็ แล้วซงึ่ ความพลงั้ พลาด ในศีล (ของพระเถระ) นนั้ จ�ำเดมิ แตก่ าลเป็นท่ีอปุ สมบท130 ธรรมบทภาคท่ี ๘ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

(คดิ แล้ว) วา่ อ.ศีล (ของพระเถระ) นนั้ หมดจดรอบแล้ว, อ.เรา “ปริสทุ ฺธมสสฺ สีล,ํ กิญฺจิเทวสสฺ กตฺวา อยสํกระท�ำแล้ว (ซง่ึ เหต)ุ อะไร ๆ นนั่ เทียว ยงั โทษมิใชย่ ศ จกั ให้เกิดขนึ ้ ตอเชุสปฏฺสฺปฺฐปาเตุ ทอฺตกสสฺขฺสฺสีนาิมีตสนริ ีิกเรฺขมออสึ ธุ,ปุ ิมฏจฺุ ฐมฺจาขุ ิตกโฺวตกาุเลเคขีวโฬํ อุปาสิกาย(แก่พระเถระ) นนั้ ดงั นี ้ สงิ แล้ว ในสรีระ ของบตุ รผ้เู จริญที่สดุ ปริวตฺเตส.ิของอบุ าสกิ า ในตระกลู แหง่ อปุ ัฏฐาก ยงั คอ ให้เป็นไปรอบแล้ว ฯ ปคฺฆรติ.อ.นยั นต์ า ท. (ของบตุ ร) นนั้ ถลนออกแล้ว ฯ อ.นำ� ้ ลาย ยอ่ มไหลออก อปุ าสกิ า ตํ ทิสวฺ า “กึ อิทนฺติ วิรวิ.จากปาก ฯ อบุ าสกิ า เหน็ แล้ว (ซง่ึ บตุ ร) นนั้ ร้องแล้ว วา่(อ.เหต)ุ นี ้อะไร ดงั นี ้ฯครงั้ นนั้ อ.เทวดา มรี ูปอนั ไมป่ รากฏอยู่ กลา่ วแล้ว (กะอบุ าสกิ า) อถ นํ เทวตา อทิสฺสมานรูปา เอวมาหนัน้ อย่างนี ้ ว่า (อ.บุตร) นั่น อันเรา จับแล้ว, อ.ความต้องการ “มยา เอส คหิโต พลกิ มเฺ มนปิ เม อตฺโถ นตฺถิ,แม้ด้วยพลีกรรม ยอ่ มไมม่ ี แก่เรา, แตว่ า่ (อ.ทา่ น ท.) ขอแล้ว ตมุ หฺ ากํ ปน กลุ ปุ กตฺเถรํ นตลฺถฏโฺุฐตมิ ธเกุ ทํ ถ,ยาเอจวิตาฺวหาํซงึ่ ชะเอมเครือ กะพระเถระผ้เู ข้าถงึ ซง่ึ ตระกลู ของทา่ น ท. หงุ แล้ว เตน เตลํ ปจิตฺวา อิมสฺสซง่ึ นำ� ้ มนั (ด้วยชะเอมเครือ) นนั้ จงให้ (แกบ่ ตุ ร) นี ้ โดยการนตั ถ์ุ เถดิ , อิมํ มญุ ฺจิสฺสามีต.ิ “นสฺสตุ วา เอส มรตุ วา,(ครนั้ เมอื่ ความเป็น) อยา่ งนนั้ (มอี ย)ู่ อ.เรา จกั ปลอ่ ย (ซง่ึ บตุ ร) นี ้ดงั นี ้ฯ น สกฺขิสฺสามหํ อยฺยํ ลฏฺฐมิ ธกุ ํ ยาจิตนุ ฺต.ิ(อ.อบุ าสกิ า กลา่ วแล้ว) วา่ (อ.บตุ ร) นนั่ จงฉิบหาย หรือ หรือวา่จงตาย, อ.ดฉิ นั จกั ไมอ่ าจ เพอ่ื อนั ขอ ซง่ึ ชะเอมเครือ กะพระผ้เู ป็นเจ้าดงั นี ้ฯ (อ.เทวดา กลา่ วแล้ว) วา่ ถ้าวา่ (อ.ทา่ น ท.) ยอ่ มไมอ่ าจ เพอื่ อนั ขอ “สเจ ลปฏกฺขฺฐปมิิ ิตธกุํุ วํ เทยถาจาติต.ิํุ น สกฺโกถ, นาสกิ ายสฺสซง่ึ ชะเอมเครือ ไซร้, (อ.ทา่ น ท.) จงบอก เพอ่ื อนั ใส่ ซงึ่ จณุ ณแ์ หง่ หงิ คุ หงิ คฺ จุ ณุ ณฺ ํ “อทิ ปํ ิ วตตฺ ํุ น สกโฺ กมาต.ิในจมกู (ของบตุ ร) นนั้ ดงั นี ้ ฯ (อ.อบุ าสกิ า กลา่ วแล้ว) วา่ อ.ดฉิ นั ท. “เตนหิสฺส ปาทโธวนทุ กํ สีเส อาสญิ ฺจถาติ.ยอ่ มไมอ่ าจ เพอื่ อนั กลา่ ว (ซงึ่ คำ� ) แม้นี ้ ดงั นี ้ ฯ (อ.เทวดา กลา่ วแล้ว)วา่ ถ้าอยา่ งนนั้ (อ.ทา่ น ท.) จงรด ซงึ่ น�ำ้ เป็นเคร่ืองล้างซง่ึ เท้า(ของพระเถระ) นนั้ บนศีรษะ เถิด ดงั นี ้ฯอ.อบุ าสกิ า (กลา่ วแล้ว) วา่ (อนั ดฉิ นั ) อาจ เพื่ออนั กระท�ำ อปุ าสกิ า “สกฺกา อิทํ กาตนุ ฺติ เวลาย อาคตํ เถรํ(ซ่ึงกรรม) นี ้ ดังนี ้ ยังพระเถระ ผู้มาแล้ว ในเวลา ให้น่ังแล้ว นิสีทาเปตฺวา ยาคขุ ชฺชกํ ทตฺวา อนฺตราภตฺเตถวายแล้ว ซึ่งข้าวต้มและของอันบุคคลพึงเคีย้ ว ล้างแล้ว นิสนิ ฺนสสฺ ปาเท โธวิตฺวา อทุ กํ คเหตฺวา “ภนฺเต อิทํซง่ึ เท้า ท. (ของพระเถระ) ผ้นู ง่ั แล้ว ในระหวา่ งแหง่ ภตั ร ถอื เอาแล้ว อทุ กํ ทารกสสฺ สีเส อาสญิ ฺจามาติ อาปจุ ฺฉิตฺวา,ซง่ึ น�ำ้ ถามโดยเอือ้ เฟื อ้ แล้ว วา่ ข้าแตท่ า่ นผ้เู จริญ (อ.ดฉิ นั ท.) เตน “อาสญิ ฺจถาติ วตุ ฺเต, ตถา กรึส.ุ เทวตา ตาวเทวจะรด ซง่ึ นำ� ้ นี ้ บนศรี ษะ ของเดก็ ดงั น,ี ้ (ครนั้ เมอ่ื คำ� ) วา่ อ.ทา่ น ท. ตํ มญุ ฺจิตฺวา คนฺตฺวา เลนทฺวาเร อฏฺฐาส.ิจงรดเถดิ ดงั นี ้(อนั พระเถระ) นนั้ กลา่ วแล้ว, กระทำ� แล้ว อยา่ งนนั้ ฯอ.เทวดา ปล่อยแล้ว (ซ่ึงเด็ก) นัน้ ในขณะนัน้ น่ันเทียว ไปแล้วได้ยืนแล้ว ใกล้ประตแู หง่ ถ�ำ้ ฯ แม้ อ.พระเถระ ลกุ ขนึ ้ แล้ว จากอาสนะ ในกาลเป็นที่สดุ ลง เถโรปิ ภตฺตกิจฺจาวสาเน อสุฏชฺ ฺฌฐาายยานสฺโนตวาแหง่ กิจด้วยภตั ร สาธยายอยเู่ ทียว ซงึ่ อาการ ๓๒ เพราะความท่ี ปอวกิสฺกสฺาฏมฺฐิ. กมมฺ ฏฺฐานตาย ทฺวตฺตสึ าการํ(แหง่ ตน) เป็นผ้มู ีกมั มฏั ฐานอนั ไมป่ ลอ่ ยแล้ว เทียว หลีกไปแล้ว ฯ ครัง้ นนั้ (อ.เทวดา) นนั้ กลา่ วแล้ว วา่ แนะ่ หมอใหญ่ (อ.ทา่ น) อถ นํ เลนทฺวารํ สมปฺ ตฺตกาเล สา [เทวตา]จงอย่าเข้าไป (ในถ�ำ้ ) นี ้ ดังนี ้ (กะพระเถระ) นัน้ ในกาล “มหาเวชฺช มา อิธ ปวสิ าติ อาห.(แหง่ พระเถระ นนั้ ) ถงึ พร้อมแล้ว ซง่ึ ประตแู หง่ ถ�ำ้ ฯ (อ.พระเถระ) นนั้ ยืนแล้ว (ในท่ี) นนั้ นน่ั เทียว กลา่ วแล้ว วา่ โส ตตฺเถว ฐตฺวา “กาสิ ตฺวนฺติ อาห.(อ.ทา่ น) เป็นใคร ยอ่ มเป็น ดงั นีฯ้ (อ.เทวดา กลา่ วแล้ว) วา่ “อหํ อิธ อธิวตฺถา เทวตาต.ิอ.ข้าพเจ้า เป็นเทวดา ผ้สู งิ อยแู่ ล้ว (ในถ�ำ้ ) นี ้ (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ ฯ ผลิตส่ือการเรียนรู้ โดยโรงเรยี นพระปรยิ ัตธิ รรม วัดพระธรรมกาย 131 www.kalyanamitra.org

อ.พระเถระ (คดิ แล้ว) วา่ อ.ท่ี แหง่ เวชชกรรม อนั เรา กระท�ำแล้ว ตอปุลิ กสํเมถวปฺ โารทกก“อาาตฬลฺถโกติํ นวุาปโขฏอฺฐมทายิสยาฺวาเโวอ“ชโอฺชลหกเกํมมนมฺ ยฺโสตาฺสเอกวตชตฺตฺชฏโกฺฐนมานมฺ สนสเี ฺตสฺลิมีอยู่ หรือ หนอ แล ดงั นี ้ตรวจดอู ยู่ จ�ำเดมิ แตก่ าลเป็นท่ีอปุ สมบทไมเ่ หน็ แล้ว ซง่ึ ความดา่ ง หรือ หรือวา่ ซง่ึ ความพร้อย ในศีล ของตนกลา่ วแล้ว วา่ อ.เรา ยอ่ มไมเ่ หน็ ซง่ึ ท่ี แหง่ เวชกรรม อนั เรา กระทำ� แล้ว, ก“นตฏปฺฐสาสฺ นสํ ตี .ิน“อาปมสฺสนาปมสิ, สฺ ากมสตีฺม.ิา“เตเนอวหํ ิ วเทสีติ อาห.(อ.ทา่ น) กลา่ วแล้ว อยา่ งนี ้ เพราะเหตไุ ร ดงั นี ้ ฯ (อ.เทวดา กลา่ วแล้ว) อาจกิ ขฺ ามิ เตต.ิวา่ (อ.ทา่ น) ยอ่ มไมเ่ หน็ หรือ ดงั นี ้ ฯ (อ.พระเถระ กลา่ วแล้ว) วา่ “[อาม] อาจิกฺขาหีต.ิเออ (อ.เรา) ยอ่ มไมเ่ หน็ ดงั นี ้ ฯ (อ.เทวดา กลา่ วแล้ว) วา่ ถ้าอยา่ งนนั้(อ.ข้าพเจ้า) จะบอก แก่ทา่ น ดงั นี ้ ฯ (อ.พระเถระ กลา่ วแล้ว) วา่(เออ) (อ.ทา่ น) จงบอกเถิด ดงั นี ้ฯ (อ.เทวดา กลา่ วแล้ว) วา่ อ.วาจาอนั บคุ คลพงึ่ กลา่ ว ในท่ีไกล สอมีเสน“สุ ตฺสอฏิ คฺาฐฺคสตหติุ ิตฺตสํ ตสฺ านวาอสปุ ติ ทฏฺตเฺูฐรนาฺตก.ิปกตุ ถฺต“าอส,าฺสม อชฺเชว ตยาจงยกไว้ ก่อน, ในวนั นีน้ นั่ เทียว อ.น�ำ้ เป็นเคร่ืองล้างซง่ึ เท้า อนั ทา่ น ปาทโธวนทุ กํรดแล้ว (หรือ หรือวา่ ) ไมร่ ดแล้ว บนศรี ษะ ของบตุ รของอปุ ัฏฐาก อาสติ ฺตนฺติ.ผู้อันอมุษย์จับแล้ว ดังนี ้ ฯ (อ.พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า เออ “กึ เอตํ น ปสฺสสีต.ิ “เอตํ สนฺธาย ตฺวํ วเทสีติ.(อ.น�ำ้ เป็ นเครื่องซ่ึงล้างเท้า อันเรา) รดท่ัวแล้ว ดังนี ้ ฯ “อาม เอตํ สนฺธาย วทามีต.ิ(อ.เทวดา กลา่ วแล้ว) วา่ อ.ทา่ น ยอ่ มไมเ่ หน็ (ซงึ่ เหต)ุ นนั่ หรือ ดงั นี ้ฯ(อ.พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า อ.ท่าน กล่าวแล้ว หมายเอา(ซง่ึ เหต)ุ นนั่ หรือ ดงั นี ้ฯ (อ.เทวดา กลา่ วแล้ว) วา่ เออ อ.ข้าพเจ้ายอ่ มกลา่ ว หมายเอา (ซง่ึ เหต)ุ นนั่ ดงั นี ้ฯ อ.พระเถระ คดิ แล้ว วา่ โอ หนอ อ.ตน เป็นอตั ภาพอนั เรา เถโร จินฺเตสิ “อโห วต เม สมมฺ าปณิหิโตตงั้ ไว้โดยชอบแล้ว (ยอ่ มเป็น), อ.ความประพฤติ แหง่ เรา สมควร อตฺตา, สาสนสฺส อนรุ ูปํ วต เม จริตํ, เทวตาปิแกพ่ ระศาสนา หนอ (ยอ่ มเป็น), แม้ อ.เทวดา ไมเ่ หน็ แล้ว ซงึ่ ความดา่ ง มม จตปุ าริสทุ ฺธิสเี ล ตลิ กํ วา กาฬกํ วา อทิสฺวาหรือ หรือวา่ ซงึ่ ความพร้อย ในปาริสทุ ธศิ ลี ๔ ของเรา ได้เหน็ แล้ว ทารกสฺส สเี ส อาสติ ฺตํ ปาทโธวนมตฺตํ อทฺทสาติ.(ซง่ึ เหต)ุ สกั วา่ นำ� ้ เป็นเคร่ืองล้างซง่ึ เท้า อนั (อนั เรา) รดแล้ว บนศรี ษะ ตสฺส สลี ํ อารพฺภ พลวปปฺ ี ติ อปุ ปฺ ชฺชิ.ของเดก็ ดงั นี ้ ฯ อ.ปี ตมิ ีก�ำลงั ปรารภ ซงึ่ ศีล เกิดขนึ ้ แล้ว(แก่พระเถระ) นนั้ ฯ (อ.พระเถระ) นัน้ ข่มแล้ว (ซึ่งปิ ติ) นัน้ ไม่กระท�ำแล้ว โส ตํ วกิ ฺขมเฺ ภตฺวา ปาททุ ฺธารํปิ อกตฺวาแม้ซง่ึ การยกขนึ ้ ซง่ึ เท้า บรรลแุ ล้ว ซง่ึ พระอรหตั (ในที่) นนั้ นน่ั เทียว ตตฺเถว อรหตฺตํ ปตฺวา “มาทิสํ ปริสทุ ฺธสมณํ ทเู สส,ิ(กลา่ วแล้ว) วา่ (อ.ทา่ น) ประทษุ ร้ายแล้ว ซงึ่ สมณะ ผ้หู มดจด มา อิธ วนสณฺเฑ วส,ิ ตฺวเมว นิกฺขมาติ เทวตํรอบแล้ว ผู้เช่นเรา, (อ.ท่าน) อย่าอยู่แล้ว (ในชัฏแห่งป่ า) นี,้ โอวทนฺโต อิมํ อทุ านํ อทุ าเนสิอ.ทา่ นนนั่ เทียว จงออกไป ดงั นี ้เมื่อกลา่ วสอน ซงึ่ เทวดา เปลง่ แล้วซงึ่ อทุ าน นี ้วา่อ.การอยู่ แห่งเรา หมดจดวิเศษแลว้ หนอ, “วิสทุ ฺโธ วต เม วาโส นิมฺมลํ มํ ตปสสฺ ินํ(อ.ท่าน) อย่าประทษุ ร้ายแลว้ ซ่ึงเรา ผูม้ ีมลทินออกแลว้ มา ตฺวํ วิสทุ ฺธํ ทูเสสิ, นิกฺขม ปวนา ตวุ นตฺ ิ.ผูม้ ีตบะ ผูห้ มดจดวิเศษแลว้ , (อ.ท่าน) จงออกไปจากป่าใหญ่ เถิด ดงั นี้ ฯ(อ.พระเถระ) นนั้ อยแู่ ล้ว (ในที่) นนั้ นน่ั เทียว ตลอดประชมุ โส ตตฺเถว เตมาสํ วสติ ฺวา วตุ ฺถวสโฺ ส สตฺถุ สนฺตกิ ํแหง่ เดือน ๓ มีพรรษาอนั อยแู่ ล้ว ไปแล้ว สสู่ �ำนกั ของพระศาสดา คนฺตฺวา ภิกฺขหู ิ “กึ อาวโุ ส ปพฺพชิตกิจฺจนฺเต มตฺถกํผ้อู นั ภิกษุ ท. ถามแล้ว วา่ ดกู ่อนทา่ นผ้มู ีอายุ อ.กิจแหง่ บรรพชิต ปสพาปฺพิ ตนนฺตฺตํ ปิ วปตฏุ ฺตฺโฐึ ภ, ิกตฺขสนู มฺ ํ อึ าเลโรเนเจตวฺวสาฺส,ปุ คมนโต ปฏฺฐายอนั ทา่ น ให้ถงึ แล้ว ซงึ่ ท่ีสดุ หรือ ดงั นี,้ บอกแล้ว ซงึ่ ความเป็นไปทว่ันนั้ ทงั้ ปวง แก่ภิกษุ ท. จ�ำเดมิ แตก่ าลเป็นที่เข้าไปจ�ำซง่ึ พรรษาในถ�ำ้ นนั้ ,132 ธรรมบทภาคที่ ๘ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

(ครัน้ เมื่อค�ำ) วา่ ดกู ่อนทา่ นผ้มู ีอายุ อ.ทา่ น อนั เทวดา กลา่ วอยู่ “อาวโุ ส ตฺวํ เทวตาย เอวํ วจุ ฺจมาโน น กชุ ฺฌสตี ิ วตุ ฺเต,อยา่ งนี ้ ยอ่ มไมโ่ กรธ หรือ ดงั นี ้ (อนั ภิกษุ ท. เหลา่ นนั้ ) กลา่ วแล้ว, “น กชุ ฺฌามีติ อาห.กลา่ วแล้ว วา่ (อ.เรา) ยอ่ มไมโ่ กรธ ดงั นี ้ฯ อ.ภกิ ษุ ท. กราบทลู แล้ว (ซง่ึ เนอื ้ ความ) นนั้ แกพ่ ระตถาคตเจ้า วา่ ตํ ภิกฺขู ตถาคตสสฺ อาโรเจสํุ “ภนฺเต อยํ ภิกฺขุข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ อ.ภิกษุ นี ้ ยอ่ มพยากรณ์ ซง่ึ พระอรหตั ผล อญฺญํ พฺยากโรต,ิ เทวตาย อิมํ นาม วจุ ฺจมาโนปิอนั บคุ คลพงึ รู้ย่ิง, (อ.ภิกษุ) นี ้ แม้ อนั เทวดา กลา่ วอยู่ (ซงึ่ ค�ำ) `น กชุ ฺฌามีติ วทตีต.ิชื่อ นี ้ยอ่ มกลา่ ว วา่ (อ.เรา) ยอ่ มไมโ่ กรธ ดงั นี ้ดงั นี ้ฯอ.พระศาสดา ทรงสดับแล้ว ซ่ึงวาจาเป็ นเครื่องกล่าว สตฺถา เตสํ กถํ สตุ ฺวา “เนว ภิกฺขเว มม ปตุ ฺโต(ของภกิ ษุ ท.) เหลา่ นนั้ ตรสั แล้ว วา่ ดกู อ่ นภกิ ษุ ท. อ.บตุ ร ของเรา กชุ ฺฌต,ิ เอตสสฺ หิ คหิ ีหิ วา ปพฺพชิเตหิ วา สสํ คฺโคยอ่ มโกรธ หามิได้นนั่ เทียว, เพราะวา่ ชื่อ อ.ความเกี่ยวข้อง นาม ธนมตฺมฺถํ เิ,ทเอสสนํสฺโตฏฺโอฐิมํ เอส อปปฺ ิ จฺโฉ สนฺตฏุ ฺโฐติด้วยคฤหัสถ์ ท. หรือ หรือว่า ด้วยบรรพชิต ท. ย่อมไม่มี วตฺวา คาถมาห(แก่บตุ ร ของเรา) นนั่ , (อ.บตุ ร ของเรา) นนั่ เป็นผ้ไู มเ่ กี่ยวข้องแล้วเป็ นผู้มีความปรารถนาน้อย เป็ นผู้ยินดีแล้วด้วยของอันมีอยู่(ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้เม่ือทรงแสดง ซงึ่ ธรรม ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้วา่อ.เรา ย่อมเรียก (ซึ่งบคุ คล) ผูไ้ ม่เกีย่ วขอ้ งแลว้ (ดว้ ยชน ท.) อ“อโนสํสกฏสฺาฐรํ ึ คอหปฏปฺฺเิฐจหฺฉิ ํ อนาคาเรหิ จูภยํทงั้ ๒ คือ ดว้ ยคฤหสั ถ์ ท. ดว้ ย คือ ดว้ ยบรรพชิตผไู้ มม่ ีเรือน ท. ตมหํ พรฺ ูมิ พรฺ าหฺมณนตฺ ิ.ดว้ ย ผูไ้ ม่มีอาลยั เทีย่ วไปโดยปกติ ผูม้ ีความปรารถนานอ้ ยนนั้ ว่าเป็นพราหมณ์ ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) ผ้ชู ่ือวา่ ไมเ่ กี่ยวข้องแล้ว เพราะความไมม่ ี กายสตํสตคฺถฺค“าอนสํ อสํ ภฏฺาฐเนวนฺต:ิอทสสสํ ฺสฏฺนฐ.ํสวนสมลุ ฺลปนปริโภค-แห่งความเก่ียวข้ องด้ วยการเห็นและการฟั งและการเจรจาและการบริโภคและกาย ท. (ดงั นี ้ ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา(แหง่ บท) วา่ อสสํ ฏฺ ฐํ ดงั นี ้ฯ(อ.อรรถ วา่ ) ผ้ไู มเ่ ก่ียวข้องแล้ว (ด้วยชน ท.) แม้ทงั้ ๒ คือ อุภยนฺต:ิ “คหิ ีหิ จ อนาคาเรหิ จาติ อภุ เยหิปิด้วยคฤหัสถ์ ท. ด้วย ด้วยบรรพชิตผู้ไม่มีเรือน ท. ด้ วย อสสํ ฏฺฐํ .(ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ อุภยํ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ วา่ ) ผ้ไู มม่ ีอาลยั เที่ยวไปโดยปกติ (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ อโนกสารินฺต:ิ อนาลยจารึ . ตํ เอวรูปํ อหํอโนกสารึ ดงั นี ้ ฯ อ.อธิบาย วา่ อ.เรา ยอ่ มเรียก (ซง่ึ บคุ คล) นนั้ พฺราหฺมณํ วทามีติ อตฺโถ.คือวา่ ผ้มู ีอยา่ งนนั้ เป็นรูป วา่ เป็นพราหมณ์ ดงั นี ้ฯ ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ ึสตู .ิ(ซงึ่ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯอ.เร่ือผงู้อแยหู่ใ่ง(นจพบเรงแะอื้ เลมถ้วโร)ดะฯยชป่ือกว่าตติ สิ สะ ปพภฺ ารวาสติ สิ ฺสตเฺ ถรวตถฺ ุ. ผลติ สือ่ การเรยี นรู้ โดยโรงเรียนพระปรยิ ตั ิธรรม วดั พระธรรมกาย 133 www.kalyanamitra.org

๒๒. อ(อ.เันร่ืขอ้างพแหเจ่ง้าภกิจษะกุรลูป่าใวด)รฯูปหน่ึง ๒๒. อญญฺ ตรภกิ ขฺ ุวตถฺ ุ. (๒๘๕) อ.พระศาสดา เม่ือประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “นธิ ายาติ อมิ ํ ธมมฺ เทสนํ สตถฺ า เชตวเน วหิ รนโฺ ตซงึ่ ภิกษุ รูปใดรูปหนงึ่ ตรัสแล้ว ซง่ึ พระธรรมเทศนา นี ้ วา่ นิธาย อญฺญตรํ ภิกฺขํุ อารพฺภ กเถส.ิดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยินวา่ (อ.ภิกษุ) นนั้ เรียนเอาแล้ว ซงึ่ กมั มฏั ฐาน ในส�ำนกั โส กิร สตอฺถรหุ สตนฺตฺตํ เิ กปกตมฺวมฺ าฏฺฐ“าปนฏํ คิลเหทตฺธฺวคาุณอํ รญสตฺเญฺถุของพระศาสดา พยายามอยู่ ในป่ า บรรลแุ ล้ว ซง่ึ พระอรหตั วายมนฺโต(คดิ แล้ว) วา่ (อ.เรา) จกั กราบทลู ซง่ึ คณุ (อนั เรา) ได้เฉพาะแล้ว อาโรเจสสฺ ามีติ ตโต นิกฺขมิ.แก่พระศาสดา ดงั นี ้ ออกไปแล้ว (จากป่ า) นนั้ ฯครัง้ นนั้ อ.หญิง คนหนง่ึ ในบ้าน หมหู่ นง่ึ กระท�ำแล้ว อถ นํ เอกสฺมึ คาเม เอกา อิตฺถี สามิเกน สทฺธึซงึ่ ความทะเลาะ กบั ด้วยสามี, (ครัน้ เม่ือสามี) นนั้ ออกไปอยู่ กลหํ กตฺวา, ตสมฺ ึ พหิ นิกฺขมนฺเต, “กลุ ฆรํ คมิสสฺ ามีติในภายนอก, (คดิ แล้ว) วา่ (อ.เรา) จกั ไป สเู่ รือนแหง่ ตระกลู ดงั นี ้ มคฺคํ ปฏิปนฺนา อนฺตรามคฺเค ทิสวฺ า “อิมํ เถรํ นิสสฺ ายด�ำเนินไปแล้ว สหู่ นทาง เหน็ แล้ว (ซงึ่ พระเถระ) นนั้ ในระหวา่ ง คมิสฺสามีติ ปิ ฏฺฐโิ ต ปิ ฏฺฐโิ ต อนพุ นฺธิ. เถโร ปน ตํแหง่ หนทาง (คดิ แล้ว) วา่ (อ.เรา) จกั อาศยั ซง่ึ พระเถระ นี ้ไป ดงั นี ้ น ปสฺสต.ิตดิ ตามแล้ว ข้างหลงั ๆ ฯ แตว่ า่ อ.พระเถระ ยอ่ มไมเ่ หน็ (ซงึ่ หญิง)นนั้ ฯ ครัง้ นนั้ อ.สามี (ของหญิง) นนั้ ผ้มู าแล้ว สเู่ รือน ไมเ่ หน็ แล้ว อถสฺสา สามิโก เคหํ อาคโต ตํ อทิสฺวา “กลุ คามํ(ซง่ึ หญงิ ) นนั้ (คดิ แล้ว) วา่ (อ.หญงิ น)ี ้ เป็นผ้ไู ปแล้ว สบู่ ้านแหง่ ตระกลู คตา ภวิสฺสตีติ อนพุ นฺธนฺโต ตํ ทิสวฺ า “น สกฺกาจกั เป็น ดงั นี ้ ตดิ ตามอยู่ เหน็ แล้ว (ซง่ึ หญิง) นนั้ (คดิ แล้ว) วา่ อิมาย เอกิกาย อิมํ อฏวึ ปฏิปชฺชิตํ,ุ กึ นุ โข(อนั หญิง น)ี ้ ผ้เู ดยี ว ไมอ่ าจ เพอ่ื อนั ดำ� เนนิ ไป สดู่ ง น,ี ้ (อ.หญิง น)ี ้ นิสฺสาย คจฺฉตีติ โอโลเกนฺโต เถรํ ทิสวฺ า “อยํ อิมํอาศยั ซง่ึ อะไร หนอ แล ไปอยู่ ดงั นี ้ตรวจดอู ยู่ เหน็ แล้ว ซง่ึ พระเถระ คณฺหิตฺวา นิกฺขนฺโต ภวสิ ฺสตีติ จินฺเตตฺวา เถรํคดิ แล้ว วา่ (อ.พระเถระ) นี ้ เป็นผู้ พาเอา (ซง่ึ หญิง) นี ้ ออกไปแล้ว สนฺตชฺเชส.ิจกั เป็น ดงั นี ้คกุ คามด้วยดีแล้ว ซง่ึ พระเถระ ฯ ครงั้ นนั้ อ.หญงิ นนั้ กลา่ วแล้ว (กะสาม)ี นนั้ วา่ อ.ทา่ นผ้เู จริญ อถ นํ สา อิตฺถี “เนว มํ เอส ภทนฺโต ปสสฺ ติน่ัน ย่อมไม่เห็น นั่นเทียว ย่อมไม่ร้ องเรียก ซ่ึงดิฉัน, (อ.ท่าน) น อาลปต,ิ มา นํ กิญฺจิ อวจาติ อาห.อยา่ ได้กลา่ วแล้ว (ซงึ่ ค�ำ) อะไร ๆ (กะทา่ นผ้เู จริญ) นนั้ ดงั นี ้ ฯ (อ.สาม)ี นนั้ (กลา่ วแล้ว) วา่ ก็ อ.เธอ จกั ไมบ่ อก (ซงึ่ พระเถระ) โส “กึ ปน ตฺวํ อตฺตานํ คเหตฺวา คจฺฉนฺตํผ้พู าเอา ซง่ึ ตน ไปอยู่ แก่เรา หรือ, (อ.เรา) จกั กระท�ำ (ซง่ึ กรรม) มม น อาจิกฺขิสสฺ ส,ิ ตยุ ฺหเมว อนจุ ฺฉวกิ ํ อิมสฺสอนั สมควร แก่เธอนน่ั เทียว (แก่พระเถระ) นี ้ ดงั นี ้ มีความโกรธ กริสฺสามีติ อปุ ปฺ นฺนโกโธ อิตฺถิยา อาฆาเตนอนั เกิดขนึ ้ แล้ว ทบุ ตีแล้ว ซง่ึ พระเถระ ด้วยความอาฆาต ในหญิง เถรํ โปเถตฺวา ตํ อาทาย นิวตฺต.ิพาเอา (ซงึ่ หญิง) นนั้ กลบั แล้ว ฯ อ.สรีระทงั้ สนิ ้ ของพระเถระ เป็นสรีระมีปมเกิดพร้อมแล้ว เถรสสฺ สกลสรีรํ สญฺชาตคณฺฑํ อโหส.ิได้เป็นแล้ว ฯ ครัง้ นนั้ อ.ภกิ ษุ ท. นวดอยู่ ซงึ่ สรีระ เหน็ แล้ว ซงึ่ ปม ท. อถสฺส วหิ ารํ อาคตกาเล ภิกฺขู สรีรํ สมพฺ าหนฺตาถามแล้ว วา่ (อ.เหต)ุ นี ้ อะไร ดงั นี ้ ในกาล (แหง่ พระเถระ) นนั้ คณเฺ ฑ ทสิ วฺ า “กึ อทิ นตฺ ิ ปจุ ฉฺ สึ .ุ โส เตสํ ตมตถฺ ํ อาโรเจส.ิมาแล้ว สวู่ ิหารฯ (อ.พระเถระ) นนั้ บอกแล้ว ซง่ึ เนือ้ ความนนั้(แก่ภิกษุ ท.) เหลา่ นนั้ ฯ134 ธรรมบทภาคที่ ๘ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

ครัง้ นัน้ อ.ภิกษุ ท. (กล่าวแล้ว) (กะพระเถระ) นัน้ ว่า อถ นํ ภิกฺขู “อาวโุ ส ตสมฺ ึ ปรุ ิเส เอวํ ปหรนฺเต,ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ครัน้ เมื่อบุรุษ นัน้ ประหารอยู่ อย่างนี,้ กึ ตฺวํ อวจ, กึ วา เต โกโธ อปุ ปฺ นฺโนต.ิ “น เม อาวโุ สอ.ทา่ น ได้กลา่ วแล้ว ซง่ึ อะไร หรือ, หรือวา่ อ.ความโกรธ เกดิ ขนึ ้ แล้ว โกโธ อปุ ปฺ ชฺชตีต.ิแกท่ า่ น อยา่ งไร ดงั นี ฯ้ (อ.พระเถระ กลา่ วแล้ว) วา่ ดกู อ่ นทา่ นผ้มู อี ายุ ท.อ.ความโกรธ ยอ่ มไมเ่ กิดขนึ ้ แก่เรา ดงั นี ้ฯ (อ.ภิกษุ ท.) เหล่านัน้ ไปแล้ว สู่ส�ำนัก ของพระศาสดา เต สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ตมตฺถํ อาโรเจตฺวากราบทลู แล้ว ซงึ่ เนอื ้ ความ นนั้ (กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองคผ์ ้เู จรญิ “ภนฺเต เอโส ภิกฺขุ `โกโธ เต อปุ ปฺ ชฺชตีติ วจุ ฺจมาโนอ.ภกิ ษุ นนั่ (อนั ข้าพระองค์ ท.) กลา่ วอยู่ วา่ อ.ความโกรธ ยอ่ มเกดิ ขนึ ้ `น เม อาวโุ ส โกโธ อปุ ปฺ ชฺชตีติ วเทต,ิ อภตู ํ วตฺวาแกท่ า่ น หรือ ดงั นี ้(กลา่ วแล้ว) วา่ ดกู อ่ นทา่ นผ้มู อี ายุ ท. อ.ความโกรธ อญฺญํ พฺยากโรตีต.ิย่อมไม่เกิดขึน้ แก่เรา ดังนี,้ กล่าวแล้ว (ซึ่งค�ำ) อันไม่มีแล้วยอ่ มพยากรณ์ ซงึ่ พระอรหตั ผลอนั บคุ คลพงึ รู้ย่ิง ดงั นี ้ฯ อ.พระศาสดา ทรงสดับแล้ว ซ่ึงวาจาเป็ นเครื่องกล่าว สตฺถา เตสํ กถํ สตุ ฺวา “ภิกฺขเว ขีณาสวา นาม(ของภกิ ษุ ท.) เหลา่ นนั้ ตรสั แล้ว วา่ ดกู อ่ นภกิ ษุ ท. ชอ่ื อ.พระขณี าสพ ท. นิหิตทณฺฑา, เต ปหรนฺเตสปุ ิ โกธํ น กโรนฺตเิ ยวาติเป็นผ้มู ีอาชญาอนั วางแล้ว(ยอ่ มเป็น),(อ.พระขีณาสพท.)เหลา่ นนั้ วตฺวา อิมํ คาถมาหยอ่ มไมก่ ระท�ำ ซงึ่ ความโกรธ ในชน ท. แม้ผ้ปู ระหารอยู่ นน่ั เทียวดงั นี ้ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้วา่(อ.บคุ คล) ใด วางแลว้ ซ่ึงอาชญา ในสตั ว์ ท. ผูส้ ะดงุ้ ดว้ ย “นิธาย ทณฺฑํ ภูเตสุ ตเสสุ ถาวเรสุ จผูม้ น่ั คง ดว้ ย ย่อมไม่ฆ่า (เอง) ย่อมไม่ (ยงั บคุ คลอืน่ ) ใหฆ้ ่า, โย น หนตฺ ิ น ฆาเตติ, ตมหํ พรฺ ูมิ พรฺ าหฺมณนตฺ ิ.อ.เรา ย่อมเรียก (ซ่ึงบคุ คล) นน้ั ว่าเป็นพราหมณ์ ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) วางลงแล้ว คือวา่ ปลงลงแล้ว (ดงั นี ้ ในบท ท.) ตตฺถ “นิธายาต:ิ นิกฺขิปิ ตฺวา โอโรเปตฺวา.เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่ นิธาย ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ วา่ ) ผ้ชู ่ือวา่ สะด้งุ เพราะกิเลสเป็นเครื่องสะด้งุ ตเสสุ ถาวเรสุ จาต:ิ ตณฺหาตาเสน ตเสส,ุคือตณั หา ด้วย, ผ้ชู ื่อวา่ มน่ั คง เพราะความที่ (แหง่ ตน) เป็นผ้มู นั่ คง ตณฺหาอภาเวน ถิรตาย ถาวเรสุ จ.เพราะความไมม่ ีแหง่ ตณั หา ด้วย (ดงั นี ้แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ตเสสุ ถาวเรสุ จ ดงั นี ้ฯ อ.อรรถ ว่า (อ.บุคคล) ใด ช่ือว่ามีอาชญาอันวางแล้ว โย น หนฺตตี :ิ โย เอวํ สพฺพสตฺเตสุ วิคตปฏิฆตายเพราะความท่ี (แหง่ ตน) เป็นผ้มู ปี ฏฆิ ะ ในสตั วท์ งั้ ปวง ท. ไปปราศแล้ว นิกฺขิตฺตทณฺโฑ เนว กญฺจิ สยํ หนติ น อญฺญํ ฆาเตต,ิอยา่ งนี ้ ยอ่ มไมฆ่ า่ เองนน่ั เทยี ว ยอ่ มไม่ (ยงั บคุ คลอนื่ ) ให้ฆา่ (ซง่ึ สตั ว)์ ตมหํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อตฺโถ.อะไร ๆ, อ.เรา ยอ่ มเรียก (ซง่ึ บคุ คล) นนั้ วา่ เป็นพราหมณ์ ดงั นี ้(แหง่ หมวดสองแหง่ บท) วา่ โย น หนฺติ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ ึสตู .ิ(ซง่ึ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯอ.เร่ืองแห่งภกิ ษุรูปใดรูปหน่ึง (จบแล้ว) ฯ อญญฺ ตรภกิ ขฺ ุวตถฺ ุ. ผลติ สื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยตั ิธรรม วัดพระธรรมกาย 135www.kalyanamitra.org

๒(อ๓ัน. ขอ้า.เพร่เือจง้าแจหะ่งกสลา่มาวเณ) ฯร ๒๓. สามเณรวตถฺ ุ. (๒๘๖) อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “อวริ ุทธฺ นฺติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา เชตวเนซง่ึ สามเณร ท. ตรัสแล้ว ซง่ึ พระธรรมเทศนา นี ้ วา่ อวริ ุทธฺ ํ ดงั นี ้ วหิ รนฺโต สามเณเร อารพฺภ กเถส.ิเป็นต้น ฯ ได้ยินวา่ อ.พราหมณี คนหนงึ่ จดั แจงแล้ว ซง่ึ อทุ เทสภตั ร เอกา กิร พฺราหฺมณี จตนุ ฺนํ ภิกฺขนู ํ อทุ ฺเทสภตฺตํเพื่อภิกษุ ท. ๔ รูป กลา่ วแล้ว กะพราหมณ์ วา่ แนะ่ พราหมณ์ สชฺเชตฺวา พฺราหฺมณํ อาห “พฺราหฺมณ วหิ ารํ คนฺตฺวา(อ.ท่าน) ไปแล้ว สู่วิหาร เจาะจงแล้ว ซึ่งพราหมณ์ผู้แก่ ท. ๔ จตฺตาโร มหลลฺ กพฺราหฺมเณ อทุ ฺทิสติ ฺวา อาเนหีติ.จงน�ำมาเถิด ดงั นี ้ฯ (อ.พราหมณ์) นนั้ ไปแล้ว สวู่ หิ าร กลา่ วแล้ว วา่ (อ.ทา่ น ท.) โส วหิ ารํ คนตฺ วฺ า “จตตฺ าโร เม พรฺ าหมฺ เณ อทุ ทฺ สิ ติ วฺ าแสดงขนึ ้ แล้ว ซง่ึ พราหมณ์ ท. ๔ จงให้ แก่กระผม เถิด ดงั นี ้ ฯ เทถาติ อาห. ตสฺส “สงฺกิจฺโจ ปณฺฑิโต โสปาโก เรวโตติอ.สามเณรผ้ขู ีณาสพ ท. ผ้มู ีกาลฝนเจ็ด ๔ รูป คือ อ.สงั กิจจะ สตฺตวสสฺ กิ า จตฺตาโร ขีณาสวสามเณรา ปาปณุ ึส.ุอ.บณั ฑิต อ.โสปากะ อ.เรวตะ ถงึ แล้ว (แก่พราหมณ์) นนั้ ฯ อ.พราหมณี ปลู าดแล้ว ซงึ่ อาสนะ ท. อนั ควรแก่คา่ มาก พฺราหฺมณี มหารหานิ อาสนานิ ปญฺญาเปตฺวาผ้ยู นื แล้ว เหน็ แล้ว ซง่ึ สามเณร ท. ผ้โู กรธแล้ว ประพฤตติ ฏะตฏะอยู่ ติ า สามเณเร ทิสวฺ า กปุ ิ ตา อทุ ฺธเน ปกฺขิตฺตโลณํ วิยราวกะ อ.เกลืออันบุคคลใส่เข้าแล้ว ในเตา กล่าวแล้ว ว่า ตฏตฏายมานา “ตวฺ ํ วหิ ารํ คนตฺ วฺ า อตตฺ โน นตตฺ มุ ตเฺ ตปิอ.ทา่ น ไปแล้ว สวู่ หิ าร พาเอา ซงึ่ เดก็ ท. ๔ แม้ผ้สู กั วา่ หลาน อปปฺ โหนฺเต จตฺตาโร กมุ ารเก คเหตฺวา อาคโตสตี ิของตน ผ้ไู มเ่ พียงพออยู่ เป็นผ้มู าแล้ว ยอ่ มเป็น ดงั นี ้ ไมใ่ ห้แล้ว วตฺวา เตสํ เตสุ อาสเนสุ นิสที ิตํุ อทตฺวา นีจปี ฐกานิเพื่ออนั นงั่ บนอาสนะ ท. เหลา่ นนั้ (แก่สามเณร ท.) เหลา่ นนั้ อตฺถริตฺวา “เอเตสุ นิสีทถาติ วตฺวา “คจฺฉ พฺราหฺมณลาดแล้ว ซงึ่ ตงั่ อนั ต่�ำ ท. กลา่ วแล้ว วา่ (อ.ทา่ น ท.) จงนงั่ (บนตง่ั ท.) มหลฺลเก โอโลเกตฺวา อาเนหีติ อาห. พฺราหฺมโณเหล่านี ้ ดังนี ้ กล่าวแล้ว ว่า แน่ะพราหมณ์ (อ.ท่าน) จงไป วิหารํ คนฺตฺวา สารีปตุ ฺตตฺเถรํ ทิสฺวา “เอหิ, อมฺหากํ(อ.ทา่ น) ตรวจดแู ล้ว (ซงึ่ พราหมณ์ ท.) ผ้แู ก่ จงน�ำมาเถิด ดงั นี ้ ฯ เคหํ คมิสฺสามาติ อาเนสิ.อ.พราหมณ์ ไปแล้ว สวู่ ิหาร เห็นแล้ว ซงึ่ พระเถระช่ือวา่ สารีบตุ ร(กลา่ วแล้ว) วา่ (อ.ทา่ น) จงมาเถดิ , (อ.เรา ท.) จกั ไป สเู่ รือน ของเรา ท.ดงั นี ้น�ำมาแล้ว ฯ อ.พระเถระ มาแล้ว เหน็ แล้ว ซง่ึ สามเณร ท. ถามแล้ว วา่ เถโร อาคนฺตฺวา สามเณเร ทิสฺวา “อิเมหิอ.ภตั ร อนั พราหมณ์ ท. เหลา่ นี ้ได้แล้ว หรือ ดงั นี ้(ครัน้ เมื่อค�ำ) วา่ พฺราหฺมเณหิ ภตฺตํ ลทฺธนฺติ ปจุ ฺฉิตฺวา “น ลทฺธนฺติ(อ.ภตั ร อนั พราหมณ์ ท. เหลา่ นี)้ ไมไ่ ด้แล้ว ดงั นี ้ (อนั พราหมณ์ วตุ ฺเต, จตนุ ฺนเมว ภตฺตสฺส ปฏิยตฺตภาวํ ญตฺวานนั้ ) กลา่ วแล้ว, รู้แล้ว ซง่ึ ความที่ แหง่ ภตั ร เป็นของ (อนั พราหมณี) “อาหรถ เม ปตฺตนฺติ ปตฺตํ คเหตฺวา ปกฺกามิ.ตระเตรียมแล้ว (แก่พราหมณ์ ท.) ๔ นนั่ เทียว (กลา่ วแล้ว) วา่อ.ทา่ น ท. จงนำ� มา ซงึ่ บาตร แกเ่ รา ดงั นี ้รบั แล้ว ซง่ึ บาตร หลกี ไปแล้ว ฯแม้ อ.นางพราหมณี ถามแล้ว วา่ (อ.คำ� ) อะไร (อนั พราหมณ)์ นี ้ พฺราหฺมณีปิ “กึ อิมินา วตุ ฺตนฺติ ปจุ ฺฉิตฺวากล่าวแล้ว ดังนี ้ (ครัน้ เม่ือค�ำ) ว่า (อ.พราหมณ์ นี ้ กล่าวแล้ว) “เอเตสํ นิสินฺนพฺราหฺมณานํ ลทฺธํุ วคฏโฺ ฏตตติ,ิ,วา่ อ.อนั อนั พราหมณ์ผ้นู ง่ั แล้ว ท. เหลา่ นนั่ ได้ ยอ่ มควร, (อ.ทา่ น) อาหร เม ปตฺตนฺติ อตฺตโน ปตฺตํ คเหตฺวาจงน�ำมา ซ่ึงบาตร ของเรา ดังนี ้ ถือเอา ซ่ึงบาตร ของตน “น ภญุ ฺชิตกุ าโม ภวสิ ฺสติ, สฆี ํ คนฺตฺวา อญฺญํไปแล้ว ดงั นี ้ (อนั พราหมณ์นนั้ กลา่ วแล้ว), (กลา่ วแล้ว) วา่ โอโลเกตฺวา อาเนหีติ.(อ.พราหมณ์ นี)้ เป็นผ้ใู คร่เพื่ออนั ฉนั จกั เป็น หามิได้, (อ.ทา่ น)ไปแล้ว พลนั ตรวจดแู ล้ว (ซงึ่ พราหมณ์) อื่น จงน�ำมาเถิด ดงั นี ้ ฯ136 ธรรมบทภาคที่ ๘ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

อ.พราหมณ์ ไปแล้ว เหน็ แล้ว ซงึ่ พระเถระชอื่ วา่ มหาโมคลั ลานะ พฺราหฺมโณ คนฺตฺวา มหาโมคฺคลฺลานตฺเถรํกล่าวแล้ว อย่างนัน้ น่ันเทียว น�ำมาแล้ว ฯ (อ.พระเถระ) แม้นัน้ ทิสวฺ า ตเถว วตฺวา อาเนส.ิ โสปิ สามเณเร ทิสฺวา ตเถวเหน็ แล้ว ซงึ่ สามเณร ท. กลา่ วแล้ว อยา่ งนนั้ นน่ั เทียว รับแล้ว วตฺวา ปตฺตํ คเหตฺวา ปกฺกามิ.ซงึ่ บาตร หลกี ไปแล้ว ฯครัง้ นัน้ อ.พราหมณี กล่าวแล้ว (กะพราหมณ์) นัน้ ว่า อถ นํ พฺราหฺมณี อาห “เอเต น ภญุ ฺชิตกุ ามา,(อ.พราหมณ์ ท.) เหลา่ นนั่ เป็นผ้ใู คร่เพ่ืออนั ฉนั (ยอ่ มเป็น) หามิได้, พฺราหฺมณวาทกํ คนฺตฺวา เอกํ มหลฺลกพฺราหฺมณํ(อ.ทา่ น) ไปแล้ว สทู่ เี่ ป็นทส่ี วดแหง่ พราหมณ์ จงนำ� มา ซง่ึ พราหมณผ์ ้แู ก่ อาเนหีต.ิ ชิฆสจาฺฉมาเยณรปาี ฬปิิตาปนาิสโตีทสึ .ุ ปฏฺฐาย กิญฺจิคนหนงึ่ ดงั นี ้ ฯ แม้ อ.สามเณร ท. ไมไ่ ด้อยู่ (ซง่ึ โภชนะ) อลภมานาอะไร ๆ จ�ำเดมิ แตเ่ วลาเช้า ผู้ อนั ความหิว บีบคนั้ นงั่ แล้ว ฯครัง้ นนั้ อ.อาสนะ ของท้าวสกั กะ แสดงแล้ว ซง่ึ อาการอนั ร้อน อถ เนสํ คณุ เตเชน สกฺกสสฺ อาสนํ อณุ ฺหาการํด้วยเดชแหง่ คณุ (ของสามเณร ท.) เหลา่ นนั้ ฯ (อ.ท้าวสกั กะ) นนั้ ทสฺเสส.ิ โส อาวชฺชนฺโต เตสํ ปตาโตตฺถปฏคฺ ฐนาฺตยํุ นิสนิ ฺนานํทรงร�ำพงึ อยู่ ทรงทราบแล้ว ซง่ึ ความที่ (แหง่ สามเณร ท.) เหลา่ นนั้ กิลนฺตภาวํ ญตฺวา “มยา วฏฺตฏสตฺมีติึผ้นู ง่ั แล้ว จ�ำเดมิ แตเ่ วลาเช้า เป็นผ้ลู �ำบากแล้ว (ทรงด�ำริแล้ว) วา่ ชราชิณฺณมหลฺลกพฺราหฺมโณ หุตฺวาอ.อนั อนั เรา ไป (ในท)ี่ นนั้ ยอ่ มควร ดงั นี ้เป็นพราหมณแ์ กผ่ ้คู ร�่ำครา่ แล้ว พฺราหฺมณวาทเก พฺราหฺมณานํ อคฺคาสเน นิสีทิ.เพราะชรา เป็น ประทบั นงั่ แล้ว บนอาสนะอนั เลศิ กวา่ พราหมณ์ ท.ในที่เป็นท่ีสวดแหง่ พราหมณ์ นนั้ ฯ อ.พราหมณ์ เหน็ แล้ว (ซงึ่ ท้าวสกั กะ) นนั้ (คดิ แล้ว) วา่ ในกาลนี ้ พฺราหฺมโณ ตํ ทิสวฺ า “อิทานิ เม พฺราหฺมณีอ.พราหมณี ของเรา เป็นผ้มู ีใจเป็นของแหง่ ตน จกั เป็น ดงั นี ้ อตฺตมนา ภวิสฺสตีติ “เอหิ, เคหํ คมิสสฺ ามาติ ตํ อาทาย(กลา่ วแล้ว) วา่ (อ.ทา่ น) จงมาเถิด, (อ.เรา ท.) จกั ไป สเู่ รือน ดงั นี ้ เคหํ อคมาส.ิพาเอา (ซงึ่ ท้าวสกั กะ) นนั้ ได้ไปแล้ว สเู่ รือน ฯ อ.พราหมณี เหน็ แล้ว (ซงึ่ ท้าวสกั กะ) นนั้ เทียว มีจิตยินดีแล้ว อตฺถรพณฺราํ หเอฺมกณสีฺมตึ อํ ทติสฺถฺวริตาวฺวาต“ฏุ อฺฐยจฺยิตฺตอาิธ ทฺวีสุ อาสเนสุลาดแล้ว ซึ่งเครื่องลาด บนอาสนะ ท. ๒ (บนอาสนะ) หนึ่ง นิสีทาติ อาห.กลา่ วแล้ว วา่ ข้าแตเ่ จ้า (อ.ทา่ น) ขอจงนงั่ (บนอาสนะ) นี ้เถดิ ดงั นี ้ฯอ.ท้าวสกั กะ เสดจ็ เข้าไปแลว้ สเู่รอื น ทรงไหว้แลว้ ซง่ึ สามเณร ท. ๔ สกฺโก เคหํ ปวสิ ติ ฺวา จตฺตาโร สามเณเรด้วยอนั ตงั้ ไว้เฉพาะแหง่ องค์ ๕ ประทบั นง่ั แล้ว โดยบลั ลงั ก์ ปปญลลฺ ฺจงปฺเกปฺ นตฏินฺฐิสเิทีติ.น วนฺทิตฺวา เตสํ อาสนปริยนฺเต ภมู ิยํบนพืน้ ดนิ ในที่สดุ ท้ายแหง่ อาสนะ (ของสามเณร ท.) เหลา่ นนั้ ฯ ครัง้ นนั้ อ.พราหมณี เหน็ แล้ว (ซงึ่ ท้าวสกั กะ) นนั้ กลา่ วแล้ว อถ นํ ทิสวฺ า พฺราหฺมณี พฺราหฺมณํ อาห “อโห เตกะพราหมณ์ วา่ โอ อ.พราหมณ์ อนั ทา่ น น�ำมาแล้ว, (อ.ทา่ น) พฺราหฺมโณ อานีโต, เอตํปิ อมุ มฺ ตฺตกํ คเหตฺวาเป็ นผู้ พาเอา (ซ่ึงพราหมณ์) ผู้บ้า แม้นั่น มาแล้ว ย่อมเป็ น, อาคโตส,ิ อตฺตโน นตฺตมุ ตฺเต วนฺทนฺโต วิจรติ;(อ.พราหมณ์ นนั้ ) ยอ่ มเทย่ี ว ไหว้อยู่ (ซงึ่ สามเณร ท.) ผ้สู กั วา่ หลาน กึ อิมินา, นีหราหิ นนฺต.ิของตน, (อ.ประโยชน)์ อะไร (ด้วยพราหมณ)์ น,ี ้ (อ.ทา่ น) จงนำ� ออก(ซง่ึ พราหมณ์) นนั้ ดงั นี ้ฯ ผลติ สอื่ การเรยี นรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยัตธิ รรม วัดพระธรรมกาย 137 www.kalyanamitra.org

(อ.พราหมณ์) นัน้ (อันเมียและผัว ท. ทัง้ ๒) จับแล้ว โส ขนฺเธปิ หตฺเถปิ กจฺฉายปิ คเหตฺวาที่คอบ้าง ที่มือบ้าง ที่รักแร้บ้าง คร่าออกอยู่ ยอ่ มไมป่ รารถนา นิกฺกฑฺฒิยมาโน อฏุ ฺฐาตํปุ ิ น อิจฺฉต.ิแม้เพ่ืออนั ลกุ ขนึ ้ ฯครัง้ นนั้ อ.พราหมณี (กลา่ วแล้ว) (กะพราหมณ์) นนั้ วา่ อถ นํ พฺราหฺมณี “เอหิ พฺราหฺมณ, ตฺวํ เอกสมฺ ึดกู ่อนพราหมณ์ (อ.ทา่ น) จงมาเถิด, อ.ทา่ น จงจบั ที่มือ ข้างหนง่ึ , หตฺเถ คณฺห, อหํ เอกสมฺ ึ คณฺหิสฺสามีติ.อ.ดฉิ นั จกั จบั (ท่ีมือ) ข้างหนง่ึ ดงั นี ้ ฯ (อ.เมียและผวั ท.) แม้ทงั้ ๒ อโุ ภปิ ทฺวีสุ หตฺเถสุ คเหตฺวา ปนิ ฏิสฺฐนิยิ ฺนํ ฏโฺฐปาเถเนนเฺตยาวจบั แล้ว ที่มือ ท. ๒ ทบุ ตีอยู่ ที่หลงั ได้กระท�ำแล้ว ในภายนอก เคหทฺวารโต พหิ อกํส.ุ สกฺโกปิแตป่ ระตแู หง่ เรือนฯ แม้ อ.ท้าวสกั กะประทบั นง่ั แล้วในที่(แหง่ พระองค)์ นิสนิ ฺโน หตฺถํ ปริวตฺเตส.ิประทบั นง่ั แล้วนน่ั เทียว ทรงยงั พระหตั ถ์ ให้เป็นไปรอบแล้ว ฯ (อ.เมยี และผวั ท. ทงั้ ๒) เหลา่ นนั้ กลบั แล้ว เหน็ แล้ว (ซง่ึ ท้าวสกั กะ) เต นิวตฺตติ ฺวา ตํ นิสนิ ฺนเมว ทิสฺวา ภีตรวํ รวนฺตานนั้ ผ้ปู ระทบั นงั่ แล้วนนั่ เทยี ว ร้องอยู่ ร้องด้วยความกลวั ปลอ่ ยแล้ว ฯ วสิ ฺสชฺเชสํ.ุ ตสฺมึ ขเณ สกฺโก อตฺตโน สกฺกภาวํในขณะ นนั้ อ.ท้าวสกั กะ (ทรงยงั เมียและผวั ท. ทงั้ ๒ เหลา่ นนั้ ) ชานาเปส.ิให้รู้แล้ว ซงึ่ ความท่ี แหง่ พระองค์ เป็นท้าวสกั กะ ฯ ครัง้ นัน้ (อ.เมียและผัว ท. ทัง้ ๒ เหล่านัน้ ) ได้ถวายแล้ว อถ เนสํ อาหารํ อทํส.ุ ปญฺจปิ ชนา อาหารํซงึ่ อาหาร (แก่สามเณร ท.) เหลา่ นนั้ ฯ อ.ชน ท. แม้ ๕ รับแล้ว คเหตฺวา เอโก กณฺณิกมณฺฑลํ วนิ ิวชิ ฺฌิตฺวา เอโกซงึ่ อาหาร (อ.สามเณร ) รูปหนง่ึ เจาะแล้ว ซง่ึ มณฑลแหง่ ชอ่ ฟ้ า ฉทนสสฺ ปรุ ิมภาคํ เอโก ปจฺฉิมภาคํ เอโก ปฐวิยํ(ออกไปแล้ว), (อ.สามเณร) รูปหนง่ึ (เจาะแล้ว) ซง่ึ สว่ นมใี นเบอื ้ งหน้า นิมชุ ฺชิตฺวา สกฺโกปิ เอเกน ฐาเนน นิกฺขมีติแหง่ ชายคา (ออกไปแล้ว), (อ.สามเณร) รูปหนงึ่ (เจาะแล้ว) เอวํ ปญฺจปิ ชนา ปญฺจ ฐานานิ อคมํส.ุซง่ึ สว่ นมใี นเบอื ้ งหลงั (ออกไปแล้ว), (อ.สามเณร) รูปหนงึ่ ดำ� ลงแล้วในแผน่ ดนิ (ออกไปแล้ว) แม้ อ.ท้าวสกั กะ เสดจ็ ออกไปแล้วโดยที่ แหง่ หนงึ่ , อ.ชน ท. แม้ ๕ ได้ไปแล้ว สทู่ ่ี ท. ๕ อยา่ งนี ้ด้วยประการฉะนี ้ฯ ก็ แล ได้ยินว่า อ.เรือน นัน้ ชื่อว่า เป็ นเรือนมีช่อง ๕ นามตโตชาปตํฏฺ ฐสายามจเณปเรนปิ ตํ เคหํ กิร ปญฺจฉิทฺทเคหํเกดิ แล้ว จำ� เดมิ (แตก่ าล) นนั้ ฯ อ.ภกิ ษุ ท. ถามแล้ว แม้ซงึ่ สามเณร ท. วิหารํ คตกาเล ภิกฺขูวา่ ดกู ่อนทา่ นผ้มู ีอายุ ท. (อ.เร่ือง) เป็นเชน่ ไร (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ “อาวโุ ส กีทิสนฺติ ปจุ ฺฉึส.ุในกาล (แหง่ สามเณร ท. เหลา่ นนั้ ) ไปแล้ว สวู่ ิหาร ฯ (อ.สามเณร ท. เหลา่ นนั้ กลา่ วแล้ว) วา่ (อ.ทา่ น ท.) ขอจงอยา่ ถาม “มา โน ปจุ ฺฉถ, อปมญหฺ ฺญากตํ ฺตทาิฏสฺฐเนกสาลุ โโนต นปิสฏที ฺฐิตาํปุยิซึ่งกระผม ท., อ.พราหมณี ผู้อันความโกรธครอบง�ำแล้ว พฺราหฺมณี โกธาภิภตู าจ�ำเดิม แต่กาล แหง่ กระผม ท. (อนั ตน) เหน็ แล้ว ไมใ่ ห้แล้ว อทตฺวา `สฆี ํ มหลฺลกพฺราหฺมณํ อาเนหีติ อาห,แม้เพ่ืออันนั่ง บนอาสนะอันตนปูลาดแล้ว ท. แก่กระผม ท. อมหฺ ากํ อปุ ชฺฌาโย อาคนฺตฺวา อมฺเห ทิสฺวากลา่ วแล้ว วา่ (อ.ทา่ น) จงน�ำมา ซงึ่ พราหมณ์ผ้แู ก่ พลนั ดงั นี,้ อ`อาิเหมรสาํ เปนติสฺวนิาฺนพนฺริกาฺขหมฺมิ,ณา`นอญํ ฺญลทํ ฺธํุมหวลฏฺลฺฏกตพีตฺริ าหปฺมตณฺตํํอ.พระอปุ ัชฌาย์ ของกระผม ท. มาแล้ว เหน็ แล้ว ซง่ึ กระผม ท.(กลา่ วแล้ว) วา่ อ.อนั อนั พราหมณ์ผ้นู ง่ั แล้ว ท. เหลา่ นี ้ได้ ยอ่ มควร อาเนหีติ วตุ ฺเต, พฺราหฺมโณ มหาโมคฺคลลฺ านตฺเถรํดงั นี ้ (ยงั พราหมณ)์ ให้นำ� มาแลว้ ซงึ่ บาตร ออกไปแลว้ , (ครนั้ เมอื่ คำ� ) วา่ อาเนส,ิ โส อมเฺ ห ทิสฺวา ตเถว วตฺวา ปกฺกามิ,(อ.ทา่ น) จงนำ� มา ซง่ึ พราหมณผ์ ้แู ก่ อน่ื ดงั นี ้ (อนั พราหมณ)ี กลา่ วแล้ว, อถ พฺราหฺมณี `น เอเต ภญุ ฺชิตกุ ามา, คจฺฉอ.พราหมณ์ น�ำมาแล้ว ซึ่งพระเถระชื่อว่ามหาโมคคัลลานะ, พฺราหฺมณวาทกโต เอกํ มหลฺลกพฺราหฺมณํ อาเนหีติ(อ.พระเถระ) นนั้ เหน็ แล้ว ซงึ่ กระผม ท. กลา่ วแล้ว อยา่ งนนั้ นนั่ เทยี ว พฺราหฺมณํ ปหิณิ,หลกี ไปแล้ว, ครัง้ นนั้ อ.พราหมณี (กลา่ วแล้ว) วา่ (อ.พราหมณ์ ท.)เหลา่ นน่ั เป็นผ้ใู คร่เพื่ออนั ฉนั (ยอ่ มเป็น) หามิได้, (อ.ทา่ น) จงไปจงน�ำมา ซง่ึ พราหมณ์ผ้แู ก่ คนหนงึ่ จากที่เป็นที่สวดแหง่ พราหมณ์เถิด ดงั นี ้สง่ ไปแล้ว ซง่ึ พราหมณ์,138 ธรรมบทภาคท่ี ๘ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

(อ.พราหมณ์) นัน้ ไปแล้ว (ในที่) นัน้ น�ำมาแล้ว ซ่ึงท้าวสักกะ โส ตตฺถ คนฺตฺวา พฺราหฺมณเวเสน อาคตํ สกฺกํผ้เู สดจ็ มาแล้ว ด้วยเพศแหง่ พราหมณ,์ (อ.พราหมณแ์ ละพราหมณี ท.) อาเนส,ิ ตสสฺ าคตกาเล อมฺหากํ อาหารํ อทํสตู ิ.ได้ถวายแล้ว ซงึ่ อาหาร แก่กระผม ท. ในกาล (แหง่ ท้าวสกั กะ) นนั้เสดจ็ มาแล้ว ดงั นี ้ฯ (อ.ภิกษุ ท. เหลา่ นนั้ ถามแล้ว) วา่ ก็ อ.เธอ ท. ไมโ่ กรธแล้ว “เอวํ กโรนฺตานํ ปน เตสํ ตมุ เฺ ห น กชุ ฺฌิตฺถาต.ิ(ตอ่ ชน ท.) เหลา่ นนั้ ผ้กู ระทำ� อยู่ อยา่ งนนั้ หรือ ดงั นี ้ฯ (อ.สามเณร ท. “น กชุ ฺฌิมฺหาต.ิเหลา่ นนั้ กลา่ วแล้ว) วา่ อ.กระผม ท. ไมโ่ กรธแล้ว ดงั นี ้ฯ อ.ภิกษุ ท. ฟังแล้ว (ซงึ่ ค�ำ) นนั้ กราบทลู แล้ว แก่พระศาสดา ภิกฺขู ตํ สตุ ฺวา สตฺถุ อาโรเจสํุ “ภนฺเต อิเมวา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ (อ.สามเณร ท.) เหลา่ นี ้ (กลา่ วแล้ว) วา่ `น กชุ ฺฌิมหฺ าติ อภตู ํ วตฺวา อญฺญํ พฺยากโรนฺตีต.ิ(อ.กระผม ท.) ไมโ่ กรธแล้ว ดงั นี ้ กลา่ วแล้ว (ซงึ่ ค�ำ) อนั ไมม่ ีแล้วยอ่ มพยากรณ์ ซงึ่ พระอรหตั ผลอนั บคุ คลพงึ รู้ยิ่ง ดงั นี ้ฯ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. ชื่อ อ.พระขีณาสพ ท. สตฺถา “ภิกฺขเว ขีณาสวา นาม วิรุทฺเธสปุ ิยอ่ มไมโ่ กรธ (ในชน ท.) แม้ผ้โู กรธแล้ว นนั่ เทียว ดงั นี ้ ตรัสแล้ว น วริ ุชฺฌนฺตเิ ยวาติ วตฺวา อิมํ คาถมาหซงึ่ พระคาถา นี ้วา่อ.เรา ย่อมเรียก (ซ่ึงบคุ คล) ผูไ้ ม่โกรธแลว้ (ในชน ท. ) “อวิรุทฺธํ วิรุทฺเธสุ อตฺตทณฺเฑสุ นิพพฺ ตุ ํผูโ้ กรธแลว้ ผูด้ บั แลว้ (ในชน ท.) ผูม้ ีอาชญาในตน สาทาเนสุ อนาทานํ ตมหํ พรฺ ูมิ พรฺ าหฺมณนตฺ ิ.ผูไ้ ม่มีความถือมนั่ (ในชน ท. ) ผูเ้ ป็นไปกบั ดว้ ยความถือมน่ันน้ั ว่าเป็นพราหมณ์ ดงั นี้ ฯ อ.อรรถ วา่ อ.เรา ยอ่ มเรียก (ซง่ึ บคุ คล) ผ้ชู ่ือวา่ ไมโ่ กรธแล้ว ตตฺถ “อวริ ุทธฺ นฺต:ิ อาฆาตวเสน วิรุทฺเธสปุ ิเพราะความไม่มีแห่งความอาฆาต ในโลกิยมหาชน ท. โลกิยมหาชเนสุ อาฆาตาภาเวน อวิรุทฺธํ หตฺถคเตแม้ผ้โู กรธแล้ว ด้วยอ�ำนาจแหง่ ความอาฆาต ผ้ดู บั แล้ว คือวา่ ทณฺเฑ วา สตฺเถ วา อวิชฺชมาเนปิ ปเรสํ ปหารทานโตผู้มีอาชญาอันวางแล้ว ในชน ท. ผู้ชื่อว่ามีอาชญาในตน อวริ ตตฺตา อตฺตทณฺเฑสุ่ ชเนสุ นิพฺพตุ ํเพราะความที่ (แห่งตน) เป็ นผู้ ครัน้ เมื่ออาชญา หรือ หรือว่า นิกฺขิตฺตทณฺฑํ ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ “อหํ มมนฺติครัน้ เมื่อศัสตรา อันไปแล้วในมือ แม้ไม่มีอยู่ ไม่เว้นแล้ว คหิตตฺตา สาทาเนสุ ตสฺส คหณสสฺ อภาเวนจากการให้ซงึ่ การประหาร (แกช่ น ท.) เหลา่ อนื่ ผ้ชู อื่ วา่ ผ้ไู มม่ คี วามถอื มนั่ อนาทานํ ตํ เอวรูปํ อหํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อตฺโถ.เพราะความไมม่ ี แหง่ ความถือ นนั้ (ในชน ท.) ผ้ชู ื่อวา่ เป็นไปกบั -ด้วยความถือมน่ั เพราะความที่ แหง่ ขนั ธ์ ท. ๕ เป็นธรรม (อนั ตน)ถือเอาแล้ว วา่ อ.เรา ของเรา ดงั นี ้ นนั้ คือวา่ ผ้มู ีอยา่ งนนั้ เป็นรูปวา่ เป็นพราหมณ์ ดงั นี ้ (ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) วา่อวริ ุทธฺ ํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตตฺ ผิ ลาทนี ิ ปาปณุ สึ ตู .ิ(ซงึ่ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯอ.เร่ืองแห่งสามเณร (จบแล้ว) ฯ สามเณรวตถฺ ุ. ผลติ สอื่ การเรยี นรู้ โดยโรงเรียนพระปรยิ ัตธิ รรม วดั พระธรรมกาย 139www.kalyanamitra.org

๒๔. อ.เร่ือ(องแันหข่้งาพพรเจะ้าเถจระะกชล่ือ่าวว่า)มฯหาปันถกะ ๒๔. มหาปนฺถกตเฺ ถรวตถฺ ุ. (๒๘๗) อ.พระศาสดา เม่ือประทบั อยู่ ในพระเวฬวุ นั ทรงปรารภ “ยสฺส ราโค จาติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา เวฬวุ เนซง่ึ พระมหาปันถกะ ตรสั แล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา นี ้วา่ ยสสฺ ราโค จ วิหรนฺโต มหาปนฺถกํ อารพฺภ กเถส.ิดงั นีเ้ป็นต้น ฯดงั จะกลา่ วโดยยอ่ (อ.พระมหาปันถกะ) ผ้มู อี ายุ นนั้ คร่าออกแล้ว โส หิ อายสมฺ า จฬู ปนฺถกํ จตหู ิ มาเสหิ เอกํ คาถํซง่ึ พระจฬู ปันถกะ ผ้ไู มอ่ าจอยู่ เพ่ืออนั กระท�ำ ซง่ึ คาถา หนง่ึ ปคณุ ํ กาตํุ อสกฺโกนฺตํ “ตฺวํ สาสเนปิ อภพฺโพให้เป็นคาถาคลอ่ งแคลว่ โดยเดือน ท. ๔ จากวหิ าร (ด้วยค�ำ) คหิ ิโภคาปิ ปริหีโน กินฺเต อิธ วาเสน, อิโตวา่ อ.เธอ เป็นผ้ไู มม่ ี แม้ในศาสนา เป็นผ้เู สือ่ มรอบแล้ว นิกฺขมสสฺ ตู ิ วิหารา นิกฺกฑฺฒิตฺวา ทฺวารํ ถเกส.ิแม้จากโภคะของคฤหสั ถ์ (ยอ่ มเป็น), อ.ประโยชน์อะไร แก่เธอด้วยการอยู่ (ในท่ี) นี,้ (อ.เธอ) จงออกไป (จากท่ี) นี ้ ดงั นี ้ ปิ ดแล้วซงึ่ ประตู ฯ อ.ภิกษุ ท. ยงั วาจาเป็นเคร่ืองกลา่ ว วา่ ดกู ่อนทา่ นผ้มู ีอายุ ท. ภกิ ขฺ ู กถํ ขสณีมฏุ าฺฐสาวเาปนสปํํุ ิ “อมาญวโฺเุ ญส มหาปนถฺ กตเฺ ถเรน(อ.กรรม) ชื่อ นี ้ อนั พระเถระช่ือวา่ มหาปันถกะ กระท�ำแล้ว, อทิ นนฺ าม กต,ํ โกโธ อปุ ปฺ ชชฺ ตตี .ิอ.ความโกรธ เหน็ จะ จะเกิดขนึ ้ แม้แก่พระขีณาสพ ท. ดงั นี ้ให้ตงั้ ขนึ ้ พร้อมแล้ว ฯอ.พระศาสดา เสดจ็ มาแล้ว ตรัสถามแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. สตฺถา อาคนฺตฺวา “กาย นตุ ฺถ ภิกฺขเว เอตรหิ(อ.เธอ ท.) เป็ นผู้น่ังพร้ อมกันแล้ว ด้วยวาจาเป็ นเคร่ืองกล่าว กถาย สนฺนิสนิ ฺนาติ ปจุ ฺฉิตฺวา, “อิมาย นามาติอะไร หนอ ยอ่ มมี ในกาลนี ้ดงั นี ้, (ครนั้ เมอื่ คำ� ) วา่ (อ.ข้าพระองค์ ท. วตุ ฺเต, “น ภิกฺขเว ขีณาสวานํ ราคาทโย กิเลสาเป็นผ้นู งั่ พร้อมกนั แล้ว ด้วยวาจาเป็นเคร่ืองกลา่ ว) ช่ือ นี ้ (ยอ่ มมี อตฺถิ, มม ปตุ ฺเตน ปน อตฺถปเุ รกฺขารตาย เจวในกาลนี)้ ดงั นี ้ (อนั ภิกษุ ท. เหลา่ นนั้ ) กราบทลู แล้ว, ตรัสแล้ว วา่ ธมมฺ ปเุ รกฺขารตาย จ ตํ กตนฺติ วตฺวา อิมํ คาถมาหดกู ่อนภิกษุ ท. อ.กิเลส ท. มีราคะเป็นต้น มีอยู่ แก่พระขีณาสพ ท.หามิได้, แต่ว่า (อ.กรรม) นัน้ อันบุตร ของเรา กระท�ำแล้วเพราะความท่ี(แหง่ ตน)เป็นผ้มู ีอนั กระท�ำซงึ่ อรรถในเบือ้ งหน้าด้วยนน่ั เทยี วเพราะความที่(แหง่ ตน)เป็นผ้มู อี นั กระทำ� ซงึ่ ธรรมในเบอื ้ งหน้าด้วย ดงั นี ้ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้วา่อ.ราคะ ดว้ ย อ.โทสะ ดว้ ย อ.มานะ ดว้ ย อ.มกั ขะ ดว้ ย “ยสสฺ ราโค จ โทโส จ มาโน มกฺโข จ ปาติโต(อนั บคุ คล) ใด ใหต้ กไปแลว้ , เพียงดงั อ.เมล็ดพนั ธ์ผุ กั กาด สาสโปริว อารคฺคา, ตมหํ พรฺ ูมิ พรฺ าหฺมณนตฺ ิ.(ตกไปอยู่) จากปลายแห่งเหล็กแหลม, อ.เรา ย่อมเรียก(ซึ่งบคุ คล) นน้ั ว่าเป็นพราหมณ์ ดงั นี้ ฯอ.อรรถ วา่ (อ.กเิ ลส ท.) มรี าคะเป็นต้น เหลา่ นนั่ ด้วย อ.มกั ขะ ตตฺถ อารคคฺ าต:ิ ยสฺเสเต ราคาทโย อยญฺจมีอนั ลบหลซู่ งึ่ คณุ ของบคุ คลอ่ืนเป็นลกั ษณะ นี ้ด้วย (อนั บคุ คล) ใด ปรคณุ มกฺขนลกฺขโณ มกฺโข อารคฺคา สาสโป วิยให้ตกไปแล้ว ราวกะ อ.เมลด็ พนั ธ์ผกั กาด (ตกไปอย)ู่ จากปลาย ปาตติ า, ยถา สาสโป อตามรหคํฺเคพฺรานหฺมณสํนวฺตทฏิ าฺฐมตีต,ิ ิแหง่ เหลก็ แหลม, คือวา่ อ.เมลด็ พนั ธ์ผุ กั กาด ยอ่ มไมต่ งั้ อยดู่ ้วยดี เอวํ จิตฺเต น สนฺตฏิ ฺฐนฺติ ;บนปลายแหง่ เหลก็ แหลม ฉนั ใด, ยอ่ มไมต่ งั้ อยดู่ ้วยดี ในจิต ฉนั นนั้ , อตฺโถ.อ.เรา ยอ่ มเรียก (ซง่ึ บคุ คล) นนั้ วา่ เป็นพราหมณ์ ดงั นี ้ (ในบท ท.)เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บท) อารคคฺ า ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ สึ ตู .ิ(ซง่ึ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯอ.เร่ืองแห่งพระเถระช่ือว่ามหาปันถกะ (จบแล้ว) ฯ มหาปนฺถกตเฺ ถรวตถฺ ุ.140 ธรรมบทภาคที่ ๘ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

๒๕. อ.เร่ือ(องแันหข่้งาพพรเจะ้าเถจระะกชล่ือ่าวว่า)ปิฯลนิ ทวัจฉะ ๒๕. ปิ ลินฺทวจฉฺ ตเฺ ถรวตถฺ ุ. (๒๘๘) อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในพระเวฬวุ นั ทรงปรารภ “อกกกฺ สนฺติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา เวฬวุ เนซง่ึ พระเถระช่ือวา่ ปิ ลนิ ทวจั ฉะ ตรัสแล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา นี ้ วา่ วิหรนฺโต ปิ ลนิ ฺทวจฺฉตฺเถรํ อารพฺภ กเถส.ิอกกกฺ สํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยนิ วา่ (อ.พระเถระ) ผ้มู อี ายุ นนั้ กลา่ วอยู่ (ซงึ่ คำ� ท.) มคี ำ� วา่ โส กริ ายสมฺ า “เอหิ วสล,ิ ยาหิ วสลตี อิ าทนี ิ วทนโฺ ตแนะ่ คนถ่อย (อ.เจ้า) จงมา, แนะ่ คนถ่อย (อ.เจ้า) จงไป ดงั นี ้ คหิ ีปิ ปพฺพชิเตปิ วสลวิ าเทเนว สมทุ าจรต.ิเป็นต้น ย่อมร้ องเรียก แม้ซึ่งคฤหัสถ์ ท. แม้ซึ่งบรรพชิต ท.ด้วยวาทะวา่ คนถ่อยนนั่ เทียว ฯ ครัง้ นนั้ ในวนั หนงึ่ อ.ภิกษุ ท. ผ้มู าก กราบทลู แล้ว อเถกทิวสํ สมพฺ หลุ า ภิกฺขู สตฺถุ อาโรเจสํุแก่พระศาสดา ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ.พระปิ ลินทวัจฉะ “อายสฺมา ภนฺเต ปิ ลนิ ฺทวจฺโฉ ภิกฺขู วสลวิ าเทนผ้มู ีอายุ ยอ่ มร้องเรียก ซงึ่ ภิกษุ ท. ด้วยวาทะวา่ คนถ่อย ดงั นี ้ ฯ สมทุ าจรตีต.ิอ.พระศาสดา (ทรงยงั ภิกษุ) ให้ร้องเรียกแล้ว (ซง่ึ พระเถระ) สตถฺ า ตํ ปกโฺ กสาเปตวฺ า “สจจฺ ํ กริ ตวฺ ํ ปิลนิ ทฺ วจฉฺนัน้ ตรัสถามแล้ว ว่า ดูก่อนปิ ลินทวัจฉะ ได้ยินว่า อ.เธอ ภิกฺขู วสลิวาเทน สมุทาจรสีติ ปุจฺฉิตฺวา,ยอ่ มร้ องเรียก ซึ่งภิกษุ ท. ด้วยวาทะว่าคนถ่อย จริงหรือ ดังนี,้ “เอวํ ภนฺเตติ วตุ ฺเต, ตสฺสายสมฺ โต ปพุ ฺเพนิวาสํ(ครัน้ เมื่อค�ำ) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ.อย่างนัน้ ดังนี ้ มนสกิ ริตฺวา “มา โข ตมุ เฺ ห ภิกฺขเว วจฺฉสฺส(อันพระเถระ นัน้ ) กราบทูลแล้ว, ทรงกระท�ำไว้ในพระทัยแล้ว ภิกฺขโุ น อชุ ฺฌายิตฺถ, น ภิกฺขเว วจฺโฉ โทสนฺตโรซงึ่ ขนั ธ์เป็นทอี่ ยอู่ าศยั ในกาลกอ่ น (ของพระปิลนิ ทวจั ฉะ) ผ้มู อี ายุ นนั้ ภิกฺขู วสลวิ าเทน สมทุ าจรต,ิ วจฺฉสฺส ภิกฺขเวตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. อ.เธอ ท. อยา่ ยกโทษแล้ว แก่ภิกษุ ภิกฺขโุ น ปญฺจ ชาตสิ ตานิ อพฺโพกิณฺณานิ สพฺพานิชื่อวา่ วจั ฉะ แล, ดกู ่อนภิกษุ ท. อ.วจั ฉะ มีโทษในระหวา่ ง ตานิ พฺราหฺมณกเุ ล ปจฺฉาชาตานิ, โส ตสฺส ทีฆรตฺตํย่อมร้ องเรียก ซ่ึงภิกษุ ท. ด้วยวาทะว่าคนถ่อย หามิได้, วสลวิ าโท สมทุ าจิณฺโณ; ขีณาสวสสฺ นาม กกฺกสํดกู อ่ นภกิ ษุ ท. อ.ร้อยแหง่ ชาติ ท. ๕ ของภกิ ษุ ชอื่ วา่ วจั ฉะ ไมส่ บั สนแล้ว, ผรุสํ ปเรสํ ฆเฏอฺ ฏวํนวกจเนถเตมีตวิ นตฺถิ, อาจิณฺณวเสน หิ(อ.ร้อยแหง่ ชาติ ท.) ๕ เหลา่ นนั้ ทงั้ ปวง เป็นธรรมชาตเกิดแล้ว มม ปตุ ฺโต วตฺวา ธมมฺ ํ เทเสนฺโตในภายหลัง ในตระกูลแห่งพราหมณ์ (ย่อมเป็ น), อ.วาทะ อิมํ คาถมาหวา่ คนถ่อย นัน้ (อันวัจฉะ) นัน้ ร้ องเรียกแล้ว สิน้ ราตรีนาน,อ.ค�ำเป็นเคร่ืองกระทบ (ซง่ึ ชน ท.) เหลา่ อ่ืน อนั กระด้าง อนั หยาบนน่ั เทียว ยอ่ มไมม่ ี ชื่อ แก่พระขีณาสพ, เพราะวา่ อ.บตุ ร ของเรายอ่ มกลา่ ว อยา่ งนี ้ด้วยอ�ำนาจ (แหง่ วาทะ อนั ตน) ประพฤตยิ ่ิงแล้วดงั นี ้ เม่ือทรงแสดง ซงึ่ ธรรม ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา นี ้ วา่อ.บคุ คล) ไม่พึง ยงั ใคร ๆ ใหข้ ดั ขอ้ ง (ดว้ ยวาจาอนั บคุ คล “อกกฺกสํ วิญฺญาปนึ คิรํ สจฺจํ อทุ ีรเย,เปล่ง) ใด (อ.บคุ คล) พึงเปล่ง ซ่ึงวาจาอนั บคุ คลเปล่ง (นนั้ ) ยาย นาภิสเช กญฺจิ, ตมหํ พรฺ ูมิ พรฺ าหฺมณนตฺ ิ.อนั ไม่กระดา้ ง อนั ยงั บคุ คลใหร้ ู้แจ้ง อนั จริง, อ.เรา ย่อมเรียก(ซ่ึงบคุ คล) นน้ั ว่าเป็นพราหมณ์ ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) อนั ไมห่ ยาบ (ดงั นี ้ ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา ตตฺถ อกกกฺ สนฺต:ิ อผรุสํ.(แหง่ บท) วา่ อกกกฺ สํ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ วา่ ) อนั ยงั บคุ คลให้รู้แจ้งซงึ่ เนือ้ ความ (ดงั นี ้ แหง่ บท) วญิ ญฺ าปนินฺต:ิ อตฺถวิญฺญาปน.ึวา่ วญิ ญฺ าปนึ ดงั นี ้ฯ ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปรยิ ัติธรรม วดั พระธรรมกาย 141www.kalyanamitra.org

(อ.อรรถ) วา่ มีเนือ้ ความอนั เป็นจริงแล้ว (ดงั นี ้ แหง่ บท) วา่ สจจฺ นฺต:ิ ภตู ตฺถํ.สจจฺ ํ ดงั นี ้ฯ อ.อรรถ ว่า (อ.บุคคล) ไม่พึง (ยังบุคคล) อื่น ให้ ติด นาภสิ เชต:ิ ยาย คริ าย อญฺญํ กชุ ฺฌาปนวเสนด้วยอำ� นาจแหง่ การ (ยงั บคุ คล) อน่ื ให้โกรธ ด้วยวาจาอนั บคุ คลเปลง่ น ลคฺคาเปยฺย, ขีณาสโว นาม เอวรูปเมว คิรํใด, ช่ือ อ.พระขีณาสพ พงึ กลา่ ว ซงึ่ วาจาอนั บคุ คลเปลง่ (นนั้ ) ภาเสยฺย; ตสมฺ า ตมหํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อตฺโถ.มอี ยา่ งนเี ้ป็นรูปนนั่ เทยี ว, เพราะเหตนุ นั้ อ.เรา ยอ่ มเรียก (ซงึ่ บคุ คล)นนั้ วา่ เป็นพราหมณ์ ดงั นี ้ แหง่ บท วา่ นาภสิ เช ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ สึ ตู .ิ(ซงึ่ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯอ.เร่ืองแห่งพระเถระช่ือว่าปิ ลนิ ทวัจฉะ (จบแล้ว) ฯ ปิ ลินฺทวจฉฺ ตเฺ ถรวตถฺ ุ.๒๖. อ(อ.เันร่ืขอ้างพแหเจ่ง้าภกิจษะกุรลูป่าใวด)รฯูปหน่ึง ๒๖. อญญฺ ตรภกิ ขฺ ุวตถฺ ุ. (๒๘๙) อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “โยธ ทฆี นฺติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา เชตวเนซ่ึงภิกษุ รูปใดรูปหนึ่ง ตรัสแล้ว ซ่ึงพระธรรมเทศนา นี ้ ว่า วหิ รนฺโต อญฺญตรํ ภิกฺขํุ อารพฺภ กเถส.ิโยธ ทฆี ํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยนิ วา่ อ.พราหมณ์ ผ้มู คี วามเหน็ ผดิ คนหนงึ่ ในเมอื งสาวตั ถี คนฺธคสฺคาวหตณฺถภิยเํ ยกนิเรโอกตุ ฺตมริจิสฺฉาาฏทกิฏํฺฐอโิ กปเนพตฺราฺวหาฺมเโอณกมสนรฺเีเตรน�ำไปปราศแล้ว ซ่ึงผ้าสาฎกอนั มีในส่วนแห่งร่างกายข้างบนเพราะอันกลัวแต่อันจับเอาแห่งกล่ิน ในสรีระ วางไว้แล้ว ฐเปตฺวา เคหทฺวาเร พหิมโุ ข นิสที ิ.ในส่วนข้างหนึ่ง เป็ นผู้มีหน้าในภายนอก (เป็ น) น่ังแล้วณ ประตแู หง่ เรือน ฯครัง้ นนั้ อ.พระขีณาสพ รูปหนง่ึ กระท�ำแล้ว ซง่ึ กิจด้วยภตั ร อเถโก ขีณาสโว ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา วหิ ารํ คจฺฉนฺโตไปอยู่ สวู่ หิ าร เหน็ แล้ว ซงึ่ ผ้าสาฎก นนั้ แลดแู ล้ว (โดยข้าง) นี ้ด้วย ๆ ตํ สาฏกํ ทิสฺวา อิโต จิโต จ โอโลเกตฺวา กญฺจิไมเ่ หน็ อยู่ ซง่ึ ใคร ๆ (คดิ แล้ว) วา่ (อ.ผ้าสาฎก) นี ้เป็นผ้ามเี จ้าของออกแล้ว อปสสฺ นฺโต “นิสสฺ ามิโก อยนฺติ ปํ สกุ ลู ํ อธิฏฺ ฐหิตฺวา(ย่อมเป็ น) ดังนี ้ อธิษฐานแล้ว (กระท�ำ) ให้เป็ นผ้าบังสุกุล คณฺหิ.ถือเอาแล้ว ฯ ครงั้ นนั้ อ.พราหมณ์ เหน็ แล้ว (ซงึ่ พระขณี าสพ) นนั้ ดา่ อยเู่ ทยี ว อถ นํ พฺราหฺมโณ ทิสฺวา อกฺโกสนฺโตวเข้าไปหาแล้ว กลา่ วแล้ว วา่ แนะ่ สมณะโล้น (อ.ทา่ น) ยอ่ มถือเอา อปุ สงฺกมิตฺวา “มณุ ฺฑสมณ มม สาฏกํ คณฺหสตี ิ อาห.ซง่ึ ผ้าสาฎก ของข้าพเจ้า ดงั นี ้ ฯ (อ.พระขีณาสพ กลา่ วแล้ว) วา่ “ตเวโส พฺราหฺมณาต.ิ “อาม สมณาต.ิ “มยา กญฺจิดูก่อนพราหมณ์ (อ.ผ้าสาฎก) น่ัน (เป็ นผ้าสาฏก) ของท่าน อปสฺสนฺเตน ปํ สกุ ลู สญฺญาย คหิโต, คณฺห นนฺติ(ยอ่ มเป็น หรือ) ดงั นี ้ฯ (อ.พราหมณ์ กลา่ วแล้ว) วา่ ข้าแตส่ มณะ ตสฺส ทตฺวา วิหารํ คนฺตฺวา ภิกฺขนู ํ ตมตฺถํ อาโรเจส.ิเออ (อ.อย่างนัน้ ) ดังนี ้ ฯ (อ.พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า(อ.ผ้าสาฎก นัน้ ) อันเรา ผู้ไม่เห็นอยู่ ซึ่งใคร ๆ ถือเอาแล้วด้วยความสำ� คญั วา่ เป็นผ้าบงั สกุ ลุ , (อ.ทา่ น) จงรับ (ซงึ่ ผ้าสาฎก)นนั้ เถิด ดงั นี ้ ให้แล้ว (แก่พราหมณ์) นนั้ ไปแล้ว สวู่ ิหาร บอกแล้วซง่ึ เนือ้ ความ นนั้ แก่ภิกษุ ท. ฯ142 ธรรมบทภาคท่ี ๘ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

ครัง้ นนั้ อ.ภิกษุ ท. ฟังแล้ว ซง่ึ ค�ำ (ของพระขีณาสพ) นนั้ อถสฺส วจนํ สตุ ฺวา ภิกฺขู เตน สทฺธึ เกลึ กโรนฺตาเมอ่ื กระทำ� ซง่ึ การเยาะเย้ย กบั (ด้วยพระขณี าสพ) นนั้ กลา่ วแล้ว วา่ “กินฺนุ โข อาวโุ ส สาฏโก ทีโฆ รสฺโส ถโู ล สณฺโหติดูก่อนท่านผู้มีอายุ อ.ผ้าสาฎก เป็ นผ้ายาว (หรือ หรือว่า) อาหํส.ุเป็นผ้าสนั้ เป็นผ้าหยาบ (หรือ หรือวา่ ) เป็นผ้าละเอียด (ยอ่ มเป็น)หรือ หนอ แล ดงั นี ้ฯ (อ.พระขีณาสพ กลา่ วแล้ว) วา่ ดกู ่อนทา่ นผ้มู ีอายุ ท. “อาวโุ ส ทีโฆ วา โหตุ รสฺโส วา ถโู ล วา สณฺโห วา,(อ.ผ้าสาฎก นนั่ ) เป็นผ้ายาว หรือ หรือวา่ เป็นผ้าสนั้ เป็นผ้าหยาบ นตฺถิ มยฺหํ ตสมฺ ึ อาลโย, ปํ สกุ ลู สญฺญาย คณฺหินฺต.ิหรือ หรือวา่ เป็นผ้าละเอยี ด จงเป็นเถดิ , อ.ความอาลยั (ในผ้าสาฎก)นัน้ ย่อมไม่มี แก่เรา, อ.เรา ถือเอาแล้ว ด้วยความส�ำคัญวา่ เป็นผ้าบงั สกุ ลุ ดงั นี ้ฯ อ.ภกิ ษุ ท. ฟังแล้ว (ซง่ึ คำ� ) นนั้ กราบทลู แล้ว แกพ่ ระตถาคตเจ้า วา่ ตํ สุตฺวา ภิกฺขู ตถาคตสฺส อาโรเจสํุข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ อ.ภิกษุ นน่ั กลา่ วแล้ว (ซง่ึ ค�ำ) อนั ไมม่ ีแล้ว “เอส ภนฺเต ภิกฺขุ อภตู ํ วตฺวา อญฺญํ พฺยากโรตีต.ิยอ่ มพยากรณ์ ซง่ึ พระอรหตั ผลอนั บคุ คลพงึ รู้ยิ่ง ดงั นี ้ฯ อ.พระศาสดา ตรสั แล้ว วา่ ดกู อ่ นภกิ ษุ ท. (อ.ภกิ ษ)ุ นนั่ ยอ่ มกลา่ ว สตฺถา “ภตู ํ ภิกฺขเว เอส กเถต,ิ ขีณาสวา นาม(ซงึ่ ค�ำ) อนั มีแล้ว, ชื่อ อ.พระขีณาสพ ท. ยอ่ มไมถ่ ือเอา (ซงึ่ วตั ถ)ุ ปเรสํ สนฺตกํ น คณฺหนฺตีติ วตฺวา อิมํ คาถมาหอนั เป็นของมีอยู่ (ของชน ท.) เหลา่ อ่ืน ดงั นี ้ ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถานี ้วา่(อ.บคุ คล) ใด ย่อมไม่ถือเอา (ซ่ึงวตั ถ)ุ อนั ยาว หรือ หรือว่า “โยธ ทีฆํ วา รสสฺ ํ วา อณํุ ถูลํ สภุ าสภุ ํอนั สน้ั อนั ละเอียด (หรือ หรือว่า) อนั หยาบ อนั งาม (หรือ โลเก อทินนฺ ํ นาทิยติ ตมหํ พรฺ ูมิ พรฺ าหฺมณนตฺ ิ.หรือวา่ ) อนั ไมง่ าม อนั (อนั เจา้ ของ) ไมใ่ หแ้ ลว้ (ในโลก)นี,้อ.เรา ย่อมเรียก (ซึ่งบคุ คล) นน้ั ว่าเป็นพราหมณ์ ดงั นี้ ฯ อ.เนือ้ ความ วา่ อ.บคุ คล ใด ยอ่ มไมถ่ ือเอา (ในวตั ถุ ท.) ตสสฺ ตฺโถ: สาฏกาภรณาทีสุ ทีฆํ วา รสสฺ ํ วามีผ้าสาฎกและเคร่ืองประดบั เป็นต้นหนา (ซง่ึ วตั ถ)ุ อนั ยาว หรือ มณิมตุ ฺตาทีสุ อณํุ วา ถลู ํ วา มหคฺฆอปปฺ คฺฆวเสนหรือวา่ อนั สนั้ (ในรัตนะ ท.) มีแก้วมณีและแก้วมกุ ดาเป็นต้นหนา สภุ ํ วา อสภุ ํ วา โย ปคุ คฺ โล อมิ สมฺ ึ โลเก ปรปริคคฺ หติ ํ(ซงึ่ รัตนะ) อนั ละเอียด หรือ หรือวา่ อนั หยาบ (ซงึ่ วตั ถ)ุ อนั งาม นาทิยต,ิ ตมหํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อตฺโถ.หรือ หรือวา่ อนั ไมง่ าม ด้วยอำ� นาจแหง่ วตั ถมุ คี า่ มากและวตั ถมุ คี า่ น้อยอันบุคคลอ่ืนก�ำหนดถือเอาแล้ว ในโลก นี,้ อ.เรา ย่อมเรียก(ซ่ึงบุคคล) นนั้ ว่าเป็ นพราหมณ์ ดงั นี ้ เป็ นเนือ้ ความ (แห่งค�ำอนั เป็นพระคาถา) นนั้ (ยอ่ มเป็น) ฯ ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ สึ ตู .ิ(ซงึ่ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯอ.เร่ืองแห่งภกิ ษุรูปใดรูปหน่ึง (จบแล้ว) ฯ อญญฺ ตรภกิ ขฺ ุวตถฺ ุ. ผลติ สอื่ การเรยี นรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยตั ิธรรม วดั พระธรรมกาย 143www.kalyanamitra.org

๒๗. อ.เ(รอ่ือันงขแ้าหพ่งพเจร้าะจเถะรกะลช่า่ือวว)่าฯสารีบุตร ๒๗. สารีปุตตฺ ตเฺ ถรวตถฺ ุ. (๒๙๐) อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “อาสา ยสสฺ าติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา เชตวเนซึ่งพระเถระชื่อว่าสารีบุตร ตรัสแล้ว ซ่ึงพระธรรมเทศนา นี ้ ว่า วหิ รนฺโต สารีปตุ ฺตตฺเถรํ อารพฺภ กเถส.ิอาสา ยสสฺ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯได้ยินว่า (อ.พระเถระ) นัน้ มีร้ อยแห่งภิกษุ ๕ เป็ นบริวาร โส กิร ปญฺจภิกฺขสุ ตปริวาโร ชนปเท เอกํ วหิ ารํไปแล้ว สวู่ ิหาร แหง่ หนง่ึ ในชนบท เข้าไปจ�ำแล้ว ซงึ่ พรรษา ฯ คนฺตฺวา วสสฺ ํ อปุ คญฺฉิ. มนสุ ฺสา เถรํ ทิสฺวา พหํุอ.มนษุ ย์ ท. เหน็ แล้ว ซงึ่ พระเถระ รับรองแล้ว ซง่ึ ผ้าอนั บคุ คล วสฺสาวาสกิ ํ ปฏิสฺสณุ ึสุ .พงึ ถวายแก่ภิกษุผ้อู ยตู่ ลอดพรรษา อนั มาก ฯอ.พระเถระ ปวารณาแล้ว ครัน้ เม่ือผ้าอนั บคุ คลพงึ ถวาย เถโร ปวาเรตฺวา, สพฺพสฺมึ วสสฺ าวาสเิ กแก่ภิกษุผู้อยู่ตลอดพรรษา ทัง้ ปวง ไม่ถึงพร้ อมแล้วน่ันเทียว อสมปฺ ตฺเตเยว, สตฺถุ สนฺติกํ คจฺฉนฺโต ภิกฺขู อาหเมื่อไป สู่ส�ำนัก ของพระศาสดา กล่าวแล้ว กะภิกษุ ท. ว่า “ทหรานญฺเจว สามเณรานญฺจ มนสุ เฺ สหิ วสสฺ าวาสเิ กครนั้ เมอื่ ผ้าอนั บคุ คลพงึ ถวายแกภ่ กิ ษผุ ้อู ยตู่ ลอดพรรษา อนั มนษุ ย์ ท. อาหเฏ คเหตฺวา เปเสยฺยาถ, ฐเปตฺวา วา สาสนํน�ำมาแล้ว แก่ภิกษุหนุ่ม ท. ด้วยนั่นเทียว แก่สามเณร ท. ปหิเณยฺยาถาต.ิ เอวญฺจ ปน วตฺวา สตฺถุ สนฺตกิ ํด้วย (อ.ทา่ น ท.) รับแล้ว พงึ สง่ ไป หรือ, หรือวา่ เกบ็ ไว้แล้ว พงึ สง่ ไป อคมาส.ิซง่ึ ขา่ วสาส์น ดงั นี ้ ฯ ก็ แล (อ.พระเถระ) ครัน้ กลา่ วแล้ว อยา่ งนี ้ได้ไปแล้ว สสู่ ำ� นกั ของพระศาสดา ฯ อ.ภิกษุ ท. ยังวาจาเป็ นเครื่องกล่าว ว่า แม้ในวันนี ้ ภิกฺขู กถํ สตมณฏุ ฺฐฺหาาเปสํุอตฺถ“อิเยชวฺช,าปิ มญฺเญอ.ความทะยานอยาก แห่งพระเถระชื่อว่าสารีบุตร เห็นจะ สารีปตุ ฺตตฺเถรสสฺ ตถา หิมีอยู่นั่นเทียว, จริง อย่างนัน้ (อ.พระเถระ นัน้ ) กล่าวแล้ว ว่า `มนสุ เฺ สหิ วสสฺ าวาสเิ ก ทนิ เฺ น, อตตฺ โน สทธฺ วิ หิ าริกานํครนั้ เมอื่ ผ้าอนั บคุ คลพงึ ถวายแกภ่ กิ ษผุ ้อู ยตู่ ลอดพรรษา อนั มนษุ ย์ ท. วสสฺ าวาสกิ ํ เปเสยฺยาถ, ฐเปตฺวา วา สาสนํถวายแล้ว, (อ.ทา่ น ท.) พงึ สง่ ไป ซงึ่ ผ้าอนั บคุ คลพงึ ถวายแก่ภิกษุ ปหิเณยฺยาถาติ ภิกฺขนู ํ วตฺวา อาคโตต.ิผู้อยู่ตลอดพรรษา แก่สัทธิวิหาริก ท. ของตน หรือ, หรือว่าเก็บไว้แล้ว พงึ สง่ ไป ซง่ึ ขา่ วสาส์น ดงั นี ้ แก่ภิกษุ ท. มาแล้ว ดงั นี ้ให้ตงั้ ขนึ ้ พร้อมแล้ว ฯอ.พระศาสดา เสดจ็ มาแล้ว ตรัสถามแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. สตฺถา อาคนฺตฺวา “กาย นตุ ฺถ ภิกฺขเว เอตรหิ(อ.เธอ ท.) เป็ นผู้น่ังพร้ อมกันแล้ว ด้วยวาจาเป็ นเครื่องกล่าว กถาย สนฺนิสนิ ฺนาติ ปจุ ฺฉิตฺวา, “อิมาย นามาติ วตุ ฺเต,อะไร หนอ ยอ่ มมี ในกาลนี ้ ดงั น,ี ้ (ครนั้ เมอ่ื คำ� ) วา่ (อ.ข้าพระองค์ ท. “น ภิกฺขเว มม ปตุ ฺตสฺส ตณฺหา อตฺถิ, `มนสุ สฺ านํ ปนเป็นผ้นู งั่ พร้อมกนั แล้ว ด้วยวาจาเป็นเครื่องกลา่ ว) ชื่อ นี ้ (ยอ่ มมี ปญุ ฺญโต ทหรสามเณรานญฺจ ธมมฺ ิกลาภโต ปริหานิในกาลนี)้ ดงั นี ้ (อนั ภิกษุ ท. เหลา่ นนั้ ) กราบทลู แล้ว, ตรัสแล้ว วา่ มา อโหสีติ เตเนวํ กถิตนฺติ วตฺวา อิมํ คาถมาหดูก่อนภิกษุ ท. อ.ความทะยานอยาก แห่งบุตร ของเรามอี ยู่ หามไิ ด้, แตว่ า่ (อ.คำ� ) อยา่ งนี ้(อนั บตุ ร ของเรา) นนั้ กลา่ วแล้ว(ด้วยความคดิ ) วา่ อ.ความเสือ่ ม จากบญุ แหง่ มนษุ ย์ ท. ด้วยจากลาภอนั ประกอบแล้วด้วยธรรม แหง่ ภกิ ษุหนมุ่ และสามเณร ท.ด้วย อยา่ ได้มีแล้ว ดงั นี ้ดงั นี ้ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา นี ้วา่อ.ความหวงั ท. (แห่งบคุ คล) ใด ย่อมไม่มี ในโลก นี้ ดว้ ย “อาสา ยสสฺ น วิชชฺ นตฺ ิ อสฺมึ โลเก ปรมฺหิ จ,(ในโลก) อื่น ด้วย, อ.เรา ย่อมเรียก ( ซึ่งบุคคล) นนั้ นิราสาสํ วิสํยตุ ฺตํ ตมหํ พรฺ ูมิ พรฺ าหฺมณนตฺ ิ.ผูม้ ีความหวงั ออกแลว้ ผูพ้ รากแลว้ ว่าเป็นพราหมณ์ ดงั นี้ ฯ อ.ตณั หา ท. ชื่อวา่ อาสา (ในพระคาถา) นนั้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) ตตฺถ “อาสาต:ิ ตณฺหา.ผ้มู ีตณั หาออกแล้ว (ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ นิราสาสํ ดงั นี ้ฯ นิราสาสนฺต:ิ นิตฺตณฺหํ.144 ธรรมบทภาคที่ ๘ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

อ.อรรถ วา่ อ.เรา ยอ่ มเรียก (ซง่ึ บคุ คล) นนั้ ผ้พู รากแล้ว วสิ ยํ ุตตฺ นฺต:ิ สพฺพกฺกิเลเสหิ วสิ ํยตุ ฺตํ ตมหํจากกิเลสทงั้ ปวง ท. วา่ เป็นพราหมณ์ ดงั นี ้ (แหง่ บท) วา่ วสิ ยํ ุตตฺ ํ พฺราหฺมณํ วทามีติ อตฺโถ.ดงั นี ้ฯ ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ สึ ตู .ิ(ซง่ึ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯอ.เร่ืองแห่งพระเถระช่ือว่าสารีบุตร (จบแล้ว) ฯ สารีปุตตฺ ตเฺ ถรวตถฺ ุ.๒๘. อ.เร่ืองแห่งพระเถระช่ือว่ามหาโมคคัลลานะ ๒๘. มหาโมคคฺ ลฺลานตเฺ ถรวตถฺ ุ. (๒๙๑) (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ.พระศาสดา เม่ือประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “ยสสฺ าลยาต:ิ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา เชตวเนซง่ึ พระเถระชื่อวา่ มหาโมคคลั ลานะ ตรัสแล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา วหิ รนฺโต มหาโมคฺคลฺลานตฺเถรํ อารพฺภ กเถส.ินี ้วา่ ยสสฺ าลยา ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ อ.เรื่อง เป็นเชน่ กบั ด้วยเร่ืองมีในก่อนนน่ั เทียว (ยอ่ มเป็น) ฯ วตฺถุ ปุริมสทิสเมว, อิธ ปน สตฺถาแต่ว่า อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว ซึ่งความที่ แห่งพระเถระ มหาโมคฺคลลฺ านตฺเถรสฺส นิตฺตณฺหภาวํ วตฺวา อิมํชอ่ื วา่ มหาโมคคลั ลานะ เป็นผ้มู คี วามทะยานอยากออกแล้ว ตรสั แล้ว คาถมาหซง่ึ พระคาถานี ้ วา่อ.ความอาลยั ท. (แห่งบคุ คล) ใด ย่อมไม่มี, (อ.บคุ คล ใด) “ยสฺสาลยา น วิชฺชนตฺ ิ, อญฺญาย อกถํกถี,เป็ นผู้มิใช่ผู้มีวาจาเป็ นเครื่องกล่าวว่าอย่างไร เพราะรู้ยิ่ง อมโตคธํ อนปุ ปฺ ตฺตํ ตมหํ พรฺ ูมิ พรฺ าหฺมณนตฺ ิ.(ย่อมเป็น), อ.เรา ย่อมเรียก (ซึ่งบคุ คล) นน้ั ผูห้ ยงั่ ลงสู่อมตะผูบ้ รรลโุ ดยล�ำดบั แลว้ ว่าเป็นพราหมณ์ ดงั นี้ ฯอ.ตณั หา ท. ช่ือวา่ อาลยา (ในพระคาถา) นนั้ ฯ ตตฺถ “อาลยาต:ิ ตณฺหา. (อ.อรรถ วา่ ) เป็นผ้มู ีความสงสยั ออกแล้ว ด้วยความสงสยั อฏฺฐวอตญฺถญฺกุ าายยวอจิ กิกถิจกํฺฉถายตี :ินอิพฏฺพฺฐิจวิกติจถฺ ฺโนู ฉิ .ยถาภตู ํ ชานติ วฺ าอนั มีวตั ถุ ๘ เพราะรู้ ซงึ่ วตั ถุ ท. ๘ ตามความเป็นจริง (ดงั นี ้แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ อญญฺ าย อกถกํ ถี ดงั นี ้ ฯ อ.อรรถ วา่ อ.เรา ยอ่ มเรียก (ซงึ่ บคุ คล) นนั้ ผ้หู ยง่ั ลงแล้ว อมโตคธํ อนุปปฺ ตตฺ นฺต.ิ อมตํ นิพฺพานํสพู่ ระนิพพาน ชื่อวา่ อมตะ บรรลโุ ดยล�ำดบั แล้ว วา่ เป็นพราหมณ์ โอคาเหตวฺ า อนปุ ปฺ ตตฺ ํ ตมหํ พรฺ าหมฺ ณํ วทามตี ิ อตโฺ ถ.ดงั นี ้ (แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ อมโตคธํ อนุปปฺ ตตฺ ํ ดงั นี ้ ฯ ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ ึสตู .ิ(ซง่ึ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯอ.เร่ืองแห่งพระเ(ถจรบะแชล่ือ้วว)่าฯมหาโมคคัลลานะ มหาโมคคฺ ลฺลานตเฺ ถรวตถฺ ุ. ผลิตส่อื การเรียนรู้ โดยโรงเรยี นพระปรยิ ัติธรรม วัดพระธรรมกาย 145www.kalyanamitra.org


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook