51 สามารถจดั การกบั สญั ลกั ษณ์ (Symbol)ไดด้ ว้ ยความเร็วสูงโดยปฏิบตั ิตามข้นั ตอน ของโปรแกรม นอกจากน้ียงั มีความสามารถในดา้ นตา่ งๆ เช่น การรับส่งขอ้ มลู การจดั เกบ็ ขอ้ มลู ไวใ้ นตวั เครื่องและ สามารถประมวลผลจากขอ้ มูลตา่ งๆได้ คอมพวิ เตอร์ท่ีนามา ใชใ้ นวงการศึกษา หรืออาจเรียกวา่ คอมพวิ เตอร์เพื่อ การศึกษา (Computer-Based Education, Instructional Computer : IC, Computer-Based Instruction : CBI) มีความ หมายเหมือนกนั คือ การนาคอมพิวเตอร์ มาใชป้ ระโยชนใ์ นดา้ นการศึกษา ไม่วา่ จะ เป็นการ จดั การเรียนการสอน การลงทะเบียน การจดั ทาบตั รนกั ศึกษา การจดั ทาผลการเรียนการสอนรวมไป จนถึงการออกใบรับรองการจบหลกั สูตร ความ หมายของคอมพิวเตอร์เพอ่ื การศึกษา ปัจจุบนั มีคาศพั ทท์ ี่เก่ียวขอ้ งระหวา่ งคอมพิวเตอร์และการศึกษา คือ \"คอมพวิ เตอร์ศึกษา\" (Computer Education) หมายถึง การศึกษาหาความรู้เก่ียวกบั ศาสตร์ดา้ นคอมพิวเตอร์ เช่น การเขียนภาษา โปรแกรมต่าง ๆ การผลิต การใช้ การบารุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ (Hardware) และซอฟแวร์ (Software)รวม ถึงการศึกษาวธิ ีการใชร้ ะบบคอมพวิ เตอร์เพอ่ื กิจการดา้ นตา่ งๆ สรุป แลว้ การใชค้ อมพิวเตอร์เพื่อการศึกษาคือการนาคอมพวิ เตอร์มาใชใ้ นกิจการดา้ น การศึกษา ประกอบดว้ ยงานหลกั 4 ระบบ 1. คอมพวิ เตอร์ เพ่อื บริหารการศึกษา (Computer for Education Administration) เป็นการนา คอมพิวเตอร์มาใชใ้ นการบริหารงานดา้ นต่างๆ เช่น การบริหารงานดา้ นการศึกษาประกอบดว้ ยครู ผเู้ รียน และเจา้ หนา้ ท่ีบุคลากรท่ีเกี่ยวขอ้ งอ่ืนๆ เป็น ตน้ 2. คอมพิวเตอร์ เพื่อบริการการศึกษา (Computer for Education Service) หมายถึง การบริการ การศึกษาดา้ นต่างๆ เช่น การบริการสารสนเทศการศึกษา 3. คอมพวิ เตอร์เพื่อการเรียนการสอน (Computer Assisted Instruction) หมายถึง การนา คอมพิวเตอร์มาช่วยในกิจกรรมการเรียนการสอนในเน้ือหาวชิ าตา่ งๆ 4. การรู้คอมพวิ เตอร์ (Computer Literacy) เป็นการศึกษา การสอน/การฝึกอบรมเกี่ยวกบั ความรู้ ความสามารถและทกั ษะการใชค้ อมพิวเตอร์โดน ตรงรวมท้งั การประยกุ ตใ์ ชแ้ ละเจตคติตอ่ คอมพิวเตอร์ และ ICT Robert Taylor นกั เทคโนโลยกี ารศึกษา ไดแ้ บ่งการใชค้ อมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา ไวใ้ น หนงั สือ the Computer in the School : Tutor, Tutee โดยไดแ้ บง่ การนาคอมพิวเตอร์ เขา้ มาใชใ้ นโรงเรียน ออกเป็ น 3 ลกั ษณะคือ การใชค้ อมพวิ เตอร์ในลกั ษณะของติวเตอร์ การใชค้ อมพิวเตอร์ในลกั ษณะของ อุปกรณ์ การเรียนการสอนและการใชค้ อมพวิ เตอร์ในลกั ษณะของผเู้ รียน
52 แตก่ ระบวนการในการจดั การศึกษาในภาพรวม ไม่ไดห้ มายถึงสถานศึกษาหรือ สถาบนั การศึกษาเพียงอยา่ งเดียวเท่าน้นั ท้งั น้ียงั มีหน่วยงานทางการศึกษา และองคก์ รอื่นที่ทาหนา้ ท่ี เกี่ยวขอ้ งกบั การบริหารและสนบั สนุนการจดั การศึกษาดว้ ย ฉะน้นั บทบาทของคอมพิวเตอร์ท่ีจาเป็นตอ้ ง นามา ใชใ้ นการศึกษา วตั ถุประสงคข์ องการใชค้ อมพวิ เตอร์เพื่อการศึกษา ในการนา คอมพิวเตอร์มาใชใ้ นการศึกษา โดยทวั่ ไปมี 3 ลกั ษณะคือ 1. ใชเ้ พือ่ ทบทวนบทเรียน 2. ใชเ้ ป็นเครื่องมือในการ เรียน 3. ใชเ้ ป็นเครื่องมือฝึก ประเภทของคอมพิวเตอร์เพอ่ื การศึกษา แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดงั น้ี 1. คอมพิวเตอร์ เพื่อการบริหาร (computer Applications into Administration) การบริหาร การ ศึกษานบั เป็นปัจจยั สาคญั ในการกาหนดทิศทาง นโยบาย อนั นาไปสู่แนวทางปฏิบตั ิในการจดั การศึกษา ท้งั ในระดบั ประเทศและระดบั ทอ้ งถ่ิน สิ่งสาคญั ในการท่ีจะช่วยใหบ้ ริหารเป็ นไปอยา่ งมี ประสิทธิภาพกค็ ือความพร้อม ของขอ้ มลู ในการบริหารจดั การเพ่ือการตดั สินใจและกาหนดนโยบาย การศึกษา คอมพิวเตอร์จึงเขา้ มามีบทบาทในการบริหารการศึกษามากข้ึน ซ่ึงช่วยใหก้ ารดาเนินงานต้งั อยู่ บนฐานขอ้ มลู ท่ีชดั เจนถูกตอ้ งและเกิด ประสิทธิภาพสูงสุด สรุปไดด้ งั น้ี 1.1 การบริหารงานทวั่ ไป เป็นการนาคอมพิวเตอร์ช่วยในการบริหารงานบุคคล งานธุรการ การเงินและบญั ชีการประชาสัมพนั ธ์ รวมถึงการจดั ทาระบบฐานขอ้ มลู (Management Information System :MIS) เพ่ือประโยชน์ในการวางแผนและ บริหารการศึกษาไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ เป็นตน้ 1.2 งานบริหารการเรียนการสอน เป็นการนาคอมพิวเตอร์ช่วยในการบริหารของครูผสู้ อน นอกเหนือจากงานดา้ นการสอน ปกติ เช่น งานทะเบียน งานดา้ นเอกสาร การจดั ตารางสอน ตารางสอบ การตรวจและการเก็บรวบรวมคะแนน การสร้าง-วเิ คราะห์ขอ้ สอบ การวดั และประเมินผลการเรียน เป็น ตน้ 2. คอมพิวเตอร์เพื่อการจดั การเรียนการสอน (Computer -Managed Instruction) การ ใชค้ อมพวิ เตอร์ช่วยจดั การเรียนการสอน เพอื่ ช่วยใหค้ รูผสู้ อนไมต่ อ้ งเสียเวลากบั การงาน บริหาร ครูผสู้ อนจะไดม้ ีเวลาไปปรับปรุงบทเรียนใหท้ นั สมยั และมีเวลาใหก้ บั นกั เรียน มากข้ึน เช่น การ จดั เลือกขอ้ สอบ การตรวจและใหค้ ะแนนและวเิ คราะห์ขอ้ สอบ การเกบ็ ประวตั ินกั เรียนเฉพาะวชิ าท่ีสอน เพื่อดูพฒั นาการดา้ นการเรียนและการ ใหค้ าปรึกษา และช่วยในการจดั ทาเอกสารเกี่ยวกบั การเรียนการ สอนของวชิ าที่สอน รวมถึงการนาคอมพวิ เตอร์มาช่วยในการจดั การเรียนการสอนจะทาใหค้ รูผสู้ อน
53 สามารถ วเิ คราะห์ผเู้ รียนเพ่อื ออกแบบและพฒั นาระบบการสอนไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ ตรงกบั วตั ถุประสงคแ์ ละความตอ้ งการของผเู้ รียน 3. คอมพวิ เตอร์ช่วยสอน (Computer -Assisted Instruction : CAI) คอมพวิ เตอร์ ช่วยสอนเป็นกระบวนการเรียนการสอน โดยใชส้ ื่อคอมพิวเตอร์ ในการนาเสนอ เน้ือหาเร่ืองราวตา่ งๆ มีลกั ษณะเป็นการเรียนโดยตรง และเป็นการเรียน แบบมีปฏิสัมพนั ธ (Interactive) คือสามารถ โตต้ อบระหวา่ งผเู้ รียนกบั คอมพิวเตอร์ได้ เช่นเดียวกบั การสอนระหวา่ งครูกบั นกั เรียนท่ีอยใู่ นหอ้ งตามปกติ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีหลายประเภทตามวตั ถุประสงคท์ ่ีจะใหน้ กั เรียนได้ เรียน กล่าวคือ ประเภทติวเตอร์ ประเภทแบบฝึกหดั ประเภทการจาลอง ประเภทเกม ประเภท แบบทดสอบซ่ึงในแต่ละประเภทกม็ ีจุดมุ่งหมายในการใหค้ วามรู้แก่ผเู้ รียน แตว่ ธิ ีการที่แตกตา่ งกนั ไป ขอ้ ดีของการใชค้ อมพวิ เตอร์ช่วยสอนคือช่วยลดความแตกตา่ งระหวา่ งผู้ เรียน เช่นผทู้ ี่มีผลการเรียนต่า ก็ สามารถชดเชยโดยการเรียนจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนได้ และสาหรับผมู้ ีผลการเรียนสูงก็ สามารถเรียนเสริมบทเรียนหรือเรียนล่วงหนา้ ก่อนท่ีผสู้ อนจะทาการสอนก็ได้ หลกั การของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ประกอบดว้ ย 1. ใชเ้ ป็นรายบุคคล (Individualized) ไมโครคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ออกแบบเพื่อใช้ ส่วนบุคคล นบั วา่ เป็นเคร่ืองมือท่ีใชไ้ ดผ้ ลดีที่สุด 2. มีการตอบโตอ้ ยา่ งทนั ที (Immediate Feedback) 3. เป็นกระบวนการติดตามความ กา้ วหนา้ ของผเู้ รียน (Track Learners Process) 4. ปรับใหท้ นั สมยั ไดง้ ่าย (Each of Updating) 5. โปรแกรมคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน ไมส่ ามารถทางานไดท้ ุกอยา่ งเหมือนคน ดว้ ยเหตุน้ี จึงนามา เป็นส่วนน่ึงหรือช่วยสอนเทา่ น้นั การแกป้ ัญหาเหล่าน้ีข้ึนอยกู่ บั การเขียนโปรแกรมใหส้ อดคลอ้ งกบั หลกั จิตวทิ ยา 6. การเขียนโปรแกรมท่ีดีตอ้ ง อาศยั ความชานาญอยา่ งมาก การวดั ประเมินผลคอมพิวเตอร์เพื่อ การศึกษา ในการวดั ประเมินบทเรียน มีข้นั ตอนในการ พิจารณาอยู่ 3 ข้นั คือ 1. การประยกุ ตใ์ ช้ 1.1 บทเรียนน้ีออกแบบและผลิตข้ึนมาเพื่อใชใ้ นหลกั สูตรวชิ าอะไรและใน หลกั สูตรน้ี ผเู้ รียนจะไดร้ ับประโยชนพ์ เิ ศษเฉพาะจากบทเรียนน้ีอยา่ งไรบา้ ง 1.2 บทเรียนน้ีบทบาททางการศึกษาอยา่ งไรบา้ งเป็นบทเรียนที่ใชใ้ นการ เรียนการสอน โดยตรงหรือเป็นบทเรียนที่ใชป้ ระกอบหรือเสริมการเรียนเทา่ น้นั ถา้ บทเรียนน้ี มีบทบาทเพยี งเพื่อเสริม การเรียนการสอน มีสื่อหรือ กิจกรรมการสอนอ่ืนที่ออกแบบไวใ้ หบ้ ทเรียนสนบั สนุนหรือไม่
54 1.3 บทเรียนน้ีออกแบบมาสาหรับผเู้ รียนนะดบั ใด และผเู้ รียนควรมีความรู้เบ้ืองตน้ ระดบั ใด และอยา่ งไรบา้ ง 1.4 บทเรียนน้ีควรใชก้ บั เคร่ืองคอมพิวเตอร์ แบบใด 2. การใช้ โปรแกรม 2.1 ประสิทธิผลทางการเรียน การสอน การที่จะวดั ประสิทธิผลทางการเรียนการสอนของ บทเรียนน้นั เราจะตอ้ ง 1) วเิ คราะห์คุณลกั ษณะของบทเรียน 2) วเิ คราะห์ แนวปฏิบตั ิของครูในการใชบ้ ทเรียนน้นั 3) ทบทวน ประสิทธิผลของบทเรียนท่ีมีต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผเู้ รียน ตามจุด ประสงคก์ ารเรียน 2.2 การบารุงรักษาบทเรียน ในการประเมินเก่ียวกบั การบารุงรักษาบทเรียนน้ีจะเนน้ ใน เรื่องการปรับปรุงบท เรียนใหเ้ ขา้ กบั สภาพการสอน วา่ ทาไดห้ รือไมเ่ พยี งใดท้งั น้ีเนื่องจาก มีบางบทเรียน ที่เปิ ดโอกาสใหค้ รูดดั แปลงเพิม่ เติมตดั บางส่วนออกหรือจดั ลาดบั ใหมไ่ ด้ เพ่ือใหค้ รูสามารถดดั แปลง บทเรียน ใหส้ อดคลอ้ งกบั ความสามารถของผเู้ รียนบางคนได้ 2.3 ความ สะดวก ความสะดวกของบทเรียนในท่ีน้ีหมายถึงการที่เราสามารถใชบ้ ทเรียน กบั เครื่อง คอมพวิ เตอร์รุ่นตา่ งๆ ได้ เช่น เล่นไดท้ ้งั เครื่องXTAT และหรือจอภาพส 3. ราคา การเปรียบเทียบราคาของบทเรียน อาจจะพิจารณาไดย้ ากเพราะมีขอ้ จากดั เช่น เรื่องเวลา ความ ตอ้ งการในการใชบ้ ทเรียนและประสบการณ์ของผใู้ ชเ้ ป็ นตน้ นอกจากน้นั การผลิตบทเรียนเร่ืองเดียวกนั จากผผู้ ลิตหลายๆ แหล่งน้นั มีนอ้ ย ดงั น้นั การพิจารณาเปรียบเทียบในเรื่องราคาของบทเรียนจึงอยใู่ นดุลย พนิ ิจของผทู้ ่ี ประสงคจ์ ะใชบ้ ทเรียนน้นั ๆพจิ ารณาเอง สรุป คอมพิวเตอร์เพ่ือการศึกษาเป็นศาสตร์ท่ีวา่ ดว้ ย เร่ือง การศึกษาหาความรู้เกี่ยวกบั คอมพิวเตอร์ไม่วา่ จะเป็น ความรู้เบ้ืองตน้ ของ คอมพวิ เตอร์ การ ทางานของคอมพวิ เตอร์ การนาคอมพิวเตอร์มาใชใ้ นการ เรียนการสอน ตลอดจนโปรแกรม สาเร็จรูปที่สามารถนามาใชใ้ นการจดั การเรียนการสอนและการ บริหารการศึกษาการเลือกใช้ Software การ ประเมินผล Software ทางการศึกษา ดงั น้นั คอมพวิ เตอร์เพื่อการศึกษาจึงเป็ นอีกศาสตร์หน่ึงท่ีมีความจาเป็นและสาคญั ยง่ิ สาหรับ การศึกษาจะเห็นไดว้ า่ ในยคุ ปัจจุบนั น้ีไม่วา่ จะเป็นประถมศึกษา มธั ยมศึกษา อุดม ศึกษาหรือข้นั ที่สูงกวา่ กไ็ ดม้ ีการนาคอมพิวเตอร์มา ประยกุ ตใ์ ชก้ บั ศาสตร์ต่างๆ ในการเรียนการสอน แนว โนม้ ในการนาคอมพวิ เตอร์มาใชใ้ นการศึกษาในปัจจุบนั และอนาคตจะเป็นรูปแบบของ การเรียนการสอน โดยนาเอาเทคโนโลยคี อมพิวเตอร์ มาผสมผสานกบั เทคโนโลยอี ินเทอร์เน็ต เน่ืองจาก
55 เทคโนโลยอี ินเทอร์เน็ตมีลกั ษณะเฉพาะ คือ มีความสามารถในการนาเสนอขอ้ มูลผา่ นระบบ World Wide Webใน การใชเ้ พือ่ การจดั การเรียนการสอนผา่ น เวบ็ (Web-Based Instruction : WBI) หรือ E- learning วงการศึกษาคงจะหลีกเลี่ยงไดย้ ากยง่ิ ความหมายเวบ็ ช่วยสอน (Web - Based Instruction : WBI) ในปัจจุบนั เทคโนโลยคี อมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ตไดพ้ ฒั นาเติบโตอยา่ งรวดเร็ว และไดก้ า้ วมา เป็นเครื่องมือชิ้นสาคญั ท่ีเปล่ียนแปลงรูปแบบการเรียนการสอน การฝึกอบรม รวมท้งั การถ่ายทอดความรู้ โดยพฒั นา CAI เดิมๆ ใหเ้ ป็ นสื่อการเรียนการสอนที่อยบู่ นฐานของเทคโนโลยเี วบ็ หรือ WBI (Web- based Instruction) ส่งผลใหก้ ารพฒั นาสื่อการเรียนการสอนไดร้ ับความนิยมอยา่ งสูง สามารถเผยแพร่ได้ รวดเร็ว และกวา้ งไกลกวา่ ส่ือ CAI ดว้ ยประเด็นสาคญั ไดแ้ ก่ คุณสมบตั ิของเอกสารเวบ็ ที่สามารถนาเสนอขอ้ มูลไดท้ ้งั ขอ้ ความ ภาพนิ่ง ภาพเคล่ือนไหว เสียง วดี ิทศั น์ และสามารถสร้างจุดเชื่อมโยง (Links) ไปตาแหน่งต่างๆ ไดต้ ามความตอ้ งการของ ผพู้ ฒั นา บริการต่างๆ ในเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ต ทาใหเ้ กิดช่องทางการส่ือสารระหวา่ งผเู้ รียนกบั ผสู้ อนใน ระบบ 7 x 24 และไมจ่ ากดั ดว้ ยสถานท่ี การเรียนการสอนผา่ นเวบ็ ( Web base Instruction ) จึงหมายถึง การรวมคุณสมบตั ิของสื่อหลายมิติ (Hypermedia) กบั คุณลกั ษณะของอินเตอร์เน็ตและเวลิ ด์ ไวดเ์ วบ็ มาออกแบบเป็นเวบ็ เพ่อื การเรียนการ สอน สนบั สนุนและส่งเสริมใหเ้ กิดการเรียนรู้อยา่ งมีความหมาย เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายท่ีสามารถเรียนได้ ทุกท่ีทุกเวลา โดยมีลกั ษณะท่ีผเู้ รียนและผสู้ อนมี ปฏิสมั พนั ธ์กนั โดยผา่ นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ท่ี เชื่อมโยงถึงกนั ความแตกต่างของ CAI, WBI และ E-LEARNING E-learning เป็นเสมือนววิ ฒั นาการของ WBI CAI ทางานภายใต้ Standalone หรือ อาจทางานภายใต้ Local Area Network เพราะ CAI มิได้ ออกแบบเพือ่ การสื่อสารถึงกนั WBI ทางานบนระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตสามารถทาการส่ือสารภายใตร้ ะบบ Multi-user ได้ อยา่ งไร้พรมแดน โดยผเู้ รียนสามารถรับส่งขอ้ มลู การศึกษาทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics Education Data) อยา่ งไมจ่ ากดั เวลา ไมจ่ ากดั สถานท่ี และผเู้ รียนและผสู้ อนสามารถติดตอ่ ส่ือสารถึงกนั ได้ และ
56 ผสู้ อนสามารถติดตามพฤติกรรมการเรียนตลอดจนผลการเรียนของผเู้ รียนได้ และ ส่ิงที่ทาให้ CAI ต่าง จาก WBI คือ เร่ืองการสื่อสาร WBI สามารถทาการส่ือสารภายใตร้ ะบบ Multiuser ไดอ้ ยา่ งไร้พรมแดน โดยผเู้ รียนสามารถ ติดต่อส่ือสารกบั ผเู้ รียนดว้ ยกนั อาจารย์ หรือผเู้ ชี่ยวชาญ ฐานขอ้ มูลความรู้ และยงั สามารถรับส่งขอ้ มลู การศึกษาอิเลค็ ทรอนิค(Eletronic Education Data ) อยา่ งไมจ่ ากดั เวลา ไมจ่ ากดั สถานท่ี ไมม่ ีพรมแดนกีด ขวางภายใตร้ ะบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต หรืออาจเรียกวา่ เป็น Virtual classroom เลยกไ็ ด้ และน้นั ก็คือการ กระทากิจกรรมใดๆ ภายในโรงเรียน ภายในห้องเรียน สามารถทาไดท้ ุกอยา่ งใน WBI ท่ีอยบู่ นระบบ เครือขา่ ยอินเตอร์เน็ต จนกระทงั่ คุณจบการศึกษาเลย ส่วน WBI เป็นการเรียนทางไกลผา่ นทางเวบ็ ไม่วา่ จะเป็นรูปแบบของอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต หรือ เอก็ ซ์ทราเน็ตกต็ าม ส่วน E-learning หมายถึงการเรียนรู้ผา่ นเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์อินเทอร์เน็ต หรือ อินทราเน็ต เป็นการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง สรุปความแตกต่างของ CAI, WBI และ E-LEARNING ผเู้ รียนจะไดเ้ รียนตามความสามารถและความสนใจของตน โดยเน้ือหาของบทเรียนซ่ึง ประกอบดว้ ย ขอ้ ความ รูปภาพ เสียง วดิ ีโอและมลั ติมีเดียอื่นๆ จะถูกส่งไปยงั ผเู้ รียนผา่ น Web Browser โดยผเู้ รียน ผสู้ อน และ เพ่ือนร่วมช้นั เรียนทุกคน สามารถติดต่อ ปรึกษา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหวา่ ง กนั ไดเ้ ช่นเดียวกบั การเรียนในช้นั เรียนปกติ โดยอาศยั เคร่ืองมือการติดต่อ ส่ือสารที่ทนั สมยั จึงเป็นการ เรียนสาหรับทุกคน เรียนไดท้ ุกเวลา และ ทุกสถานที่ จะเห็นไดช้ ดั วา่ WBI และ E-learning ต่างกเ็ ป็นการผสมผสานระหวา่ ง web technology กบั กระบวนการออกแบบการเรียนการสอนเพ่ือเพิ่มประสิทธิภาพทางการเรียนรู้ และแกป้ ัญหาในเร่ือง ขอ้ จากดั ทางดา้ นสถานท่ีและเวลา (anywhere, anytime) ในการเรียน แต่เดิมการเรียนการสอนแบบ WBI มกั จะเนน้ เน้ือหาในลกั ษณะตวั หนงั สือ (text-based) และภาพประกอบ หรือ วดิ ีทศั น์ท่ีไมซ่ บั ซอ้ นเทา่ น้นั ดงั น้นั ความแตกต่างท่ีสาคญั ระหวา่ ง WBI กบั E-learning น้นั แทบจะไม่มีเลย แต่ E-learning เป็นเสมือน ววิ ฒั นาการของ WBI น้นั เอง คุณสมบตั ิของ WBI WBI เป็นระบบการพฒั นาส่ือการเรียนการสอนท่ีประยกุ ตใ์ ชค้ ุณสมบตั ิและทรัพยากรของเวลิ ด์ ไวด์ เวบ็ และคุณสมบตั ิของสื่อหลายมิติ (Hyper media) ในการจดั การสภาพแวดลอ้ มที่ส่งเสริมและสนบั สนุนการ เรียนการสอน ในมิติที่ไมม่ ีขอบเขตจากดั ดว้ ยระยะทางและเวลาท่ีแตกต่างกนั ของผเู้ รียนโดยอาจเป็ น บางส่วนหรือท้งั หมดของกระบวนการเรียนการสอนกไ็ ด้
57 คุณสมบัติของเครือข่ายเวลิ ด์ ไวด์ เวบ็ หมายถึง การเปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนสามารถปฏิสมั พนั ธ์กบั ผสู้ อนหรือผเู้ รียนอื่นเพอ่ื การเรียนรู้ โดยไมจ่ าเป็นตอ้ งอยใู่ นเวลาเดียวกนั หรือ ณ สถานท่ีเดียวกนั เช่น ผเู้ รียนนดั หมายเวลา และเปิ ดหวั ขอ้ การสนทนาผา่ นโปรแกรมประเภท Synchronous Conferencing System ดว้ ยโปรแกรมยอดนิยมเช่น MSN, YahooMessenger หรือผเู้ รียนสามารถ เรียนตามหวั ขอ้ และร่วมการสนทนาในเวลาท่ีตนเองสะดวก ผา่ นโปรแกรมประเภท Asynchronous Conferencing System เช่น e-Mail หรือกระดานสนทนา (Webboard) การ ปฏิสมั พนั ธ์เช่นน้ีเป็นไปไดท้ ้งั ลกั ษณะบุคคลตอ่ บุคคล ผเู้ รียนกบั กลุ่ม หรือกลุ่มตอ่ กลุ่ม คุณสมบตั ขิ องสื่อหลายมติ ิในการเรียนการสอนผ่านเครือข่าย หมายถึง การสนบั สนุนศกั ยภาพ การเรียนดว้ ยตนเอง คือ ผเู้ รียนสามารถเลือกสรรเน้ือหาบทเรียนท่ีนาเสนออยใู่ นรูปแบบสื่อหลาย มิติ ซ่ึงเป็นเทคนิคการเช่ือมโยงเน้ือหาหลกั ดว้ ยเน้ือหาอ่ืนท่ีเกี่ยวขอ้ ง รูปแบบการเช่ือมโยงน้ี เป็นไดท้ ้งั การเชื่อมโยงขอ้ ความไปสู่เน้ือหาท่ีมีความเก่ียวขอ้ ง หรือส่ือภาพ และเสียง การ เช่ือมโยงดงั กล่าวจึงเป็นการเปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนสามารถควบคุมการเรียนดว้ ยตนเอง โดยเลือก ลาดบั เน้ือหาบทเรียนตามความตอ้ งการ และเรียนตามกาหนดเวลาท่ีเหมาะสมและสะดวกของ ตนเอง ประเภทของการเรียนการสอนผ่านเวบ็ แบ่งตามลกั ษณะของการสื่อสาร 1. รูปแบบการเผยแพร่ รูปแบบน้ีสามารถแบ่งไดอ้ อกเป็น 3 ชนิด คือ 1.1 รูปแบบห้องสมุด (Library Model) เป็นรูปแบบที่ใชป้ ระโยชน์จากความสามารถในการเขา้ ไปยงั แหล่งทรัพยากรอิเล็กทรอนิกส์ที่มีอยหู่ ลากหลาย โดยวธิ ีการจดั หาเน้ือหาใหผ้ เู้ รียนผา่ นการเช่ือมโยง ไปยงั แหล่งเสริมตา่ งๆ เช่นสารานุกรม วารสาร หรือหนงั สือออนไลนท์ ้งั หลาย ซ่ึงถือไดว้ า่ เป็นการนาเอา ลกั ษณะทางกายภาพของหอ้ งสมุดท่ีมีทรัพยากรจานวนมหาศาลมาประยกุ ตใ์ ช้ ส่วน ประกอบของรูปแบบ น้ี ไดแ้ ก่ สารานุกรมออนไลน์ วารสารออนไลน์ หนงั สือออนไลน์ สารบญั การอ่าน ออนไลน์ (Online Reading List) เวบ็ หอ้ งสมุด เวบ็ งานวจิ ยั รวมท้งั การรวบรวมรายชื่อเวบ็ ท่ีสมั พนั ธ์กบั วชิ าตา่ งๆ 1.2 รูปแบบหนงั สือเรียน (Textbook Model) การเรียนการสอนผา่ นเวบ็ รูปแบบน้ี เป็ นการจดั เน้ือหาของหลกั สูตรในลกั ษณะออนไลน์ให้แก่ผเู้ รียน เช่น คาบรรยาย สไลด์ นิยาม คาศพั ทแ์ ละส่วนเสริม ผสู้ อนสามารถเตรียมเน้ือหาออนไลน์ที่ใชเ้ หมือนกบั ที่ใชใ้ นการเรียนในช้นั เรียนปกติและสามารถทา สาเนาเอกสารใหก้ บั ผเู้ รียนได้ รูปแบบน้ีตา่ งจากรูปแบบห้องสมุดคือรูปแบบน้ีจะเตรียมเน้ือหาสาหรับการ เรียนการสอนโดยเฉพาะ ขณะท่ีรูปแบบหอ้ งสมุดช่วยใหผ้ เู้ รียนเขา้ ถึงเน้ือหาท่ีตอ้ งการจากการเชื่อมโยงท่ี ไดเ้ ตรียมเอาไว้ ส่วนประกอบของรูปแบบหนงั สือเรียนน้ีประกอบดว้ ยบนั ทึกของหลกั สูตร บนั ทึกคา บรรยาย ขอ้ แนะนาของหอ้ งเรียน สไลดท์ ่ีนาเสนอ วดิ ีโอและภาพ
58 ที่ใชใ้ นช้นั เรียน เอกสารอ่ืนที่มีความสมั พนั ธ์กบั ช้นั เรียน เช่น ประมวลรายวชิ า รายชื่อในช้นั กฏเกณฑ์ ขอ้ ตกลงต่าง ๆ ตารางการสอบและตวั อยา่ งการสอบคร้ังท่ีแลว้ ความคาดหวงั ของช้นั เรียน งานท่ี มอบหมาย เป็นตน้ 1.3 รูปแบบการสอนท่ีมีปฎิสัมพนั ธ์ (Interactive Instruction Model) รูปแบบน้ีจดั ใหผ้ เู้ รียนไดร้ ับ ประสบการณ์การเรียนรู้จากการมีปฎิสมั พนั ธ์กบั เน้ือหาที่ไดร้ ับ โดยนาลกั ษณะของบทเรียน คอมพวิ เตอร์ ช่วยสอน (CAI) มาประยกุ ตใ์ ชเ้ ป็ นการสอนแบบออนไลน์ท่ีเนน้ การมีปฏิสมั พนั ธ์ มีการให้ คาแนะนา การปฏิบตั ิ การใหผ้ ลยอ้ นกลบั รวมท้งั การใหส้ ถานการณ์จาลอง 2.รูปแบบการส่ือสาร (Communication Model) การเรียนการสอนผา่ นเวบ็ รูปแบบน้ีเป็นรูปแบบท่ีอาศยั คอมพิวเตอร์มาเป็ นส่ือเพ่ือการสื่อสาร (Computer – Mediated Communications Model) ผเู้ รียนสามารถที่จะสื่อสารกบั ผเู้ รียนคนอ่ืนๆ ผสู้ อน หรือกบั ผเู้ ช่ียวชาญได้ โดยรูปแบบการสื่อสารท่ีหลากหลายในอินเทอร์เน็ต ซ่ึงไดแ้ ก่ จดหมาย อิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มอภิปรายการสนทนาและการอภิปรายและการประชุมผา่ คอมพวิ เตอร์ เหมาะ สาหรับ การเรียนการสอนท่ีตอ้ งการส่งเสริมการส่ือสารและปฏิสัมพนั ธ์ระหวา่ งผทู้ ี่มีส่วนร่วมในการเรียนการ สอน 3. รูปแบบผสม (Hybrid Model) รูปแบบการเรียนการสอนผา่ นเวบ็ รูปแบบน้ีเป็นการนาเอารูปแบบ 2 ชนิด คือ รูปแบบการ เผยแพร่กบั รูปแบบการสื่อสารมารวมเขา้ ไวด้ ว้ ยกนั เช่น เวบ็ ไซตท์ ่ีรวมเอารูปแบบหอ้ งสมุดกบั รูปแบบ หนงั สือเรียนไวด้ ว้ ยกนั เวบ็ ไซตท์ ่ีรวบรวมเอาบนั ทึกของหลกั สูตรรวมท้งั คาบรรยายไวก้ บั กลุ่มอภิปราย หรือเวบ็ ไซตท์ ่ีรวมเอารายการแหล่งเสริมความรู้ตา่ งๆ และความสามารถของจดหมายอิเลก็ ทรอนิกส์ไว้ ดว้ ยกนั เป็นตน้ รูปแบบน้ีมีประโยชนเ์ ป็ นอยา่ งมากกบั ผเู้ รียนเพราะผเู้ รียนจะไดใ้ ชป้ ระโยชน์ของ ทรัพยากรที่มีในอินเทอร์เน็ตในลกั ษณะท่ีหลากหลาย 4. รูปแบบห้องเรียนเสมอื น (Virtual classroom model) รูปแบบหอ้ งเรียนเสมือนเป็นการนาเอาลกั ษณะเด่นหลายๆ ประการของแต่ละรูปแบบที่กล่าว มาแลว้ ขา้ งตน้ มาใช้ ฮิลทซ์ (Hiltz, 1993) ไดน้ ิยามวา่ ห้องเรียนเสมือนเป็นสภาพแวดลอ้ มการเรียนการ สอนท่ีนาแหล่งทรัพยากรออนไลน์มาใชใ้ นลกั ษณะการเรียนการสอนแบบร่วมมือ โดยการร่วมมือ ระหวา่ งนกั เรียนดว้ ยกนั นกั เรียนกบั ผสู้ อน ช้นั เรียนกบั สถาบนั การศึกษาอ่ืน และกบั ชุมชนท่ีไมเ่ ป็นเชิง วชิ าการ (Khan, 1997) ส่วนเทอรอฟฟ์ (Turoff, 1995)กล่าวถึงหอ้ งเรียนเสมือนวา่ เป็ นสภาพแวดลอ้ มการ เรียน การสอนที่ต้งั ข้ึนภายใตร้ ะบบการสื่อสารผา่ นคอมพิวเตอร์ในลกั ษณะของการเรียนแบบร่วมมือ ซ่ึง เป็นกระบวนการท่ีเนน้ ความสาคญั ของกลุ่มท่ีจะร่วมมือทากิจกรรมร่วมกนั นกั เรียนและผสู้ อนจะไดร้ ับ ความรู้ใหม่ๆ จากกิจกรรมการสนทนาแลกเปล่ียนความคิดเห็นและขอ้ มูล ลกั ษณะเด่นของการเรียนการ
59 สอนรูปแบบน้ีกค็ ือความสามารถในการลอกเลียนลกั ษณะของหอ้ งเรียนปกติมาใชใ้ นการออกแบบการ เรียนการสอนผา่ นเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยอาศยั ความสามารถต่างๆ ของอินเทอร์เน็ต โดยมี ส่วนประกอบคือ ประมวลรายวชิ า เน้ือหาในหลกั สูตร รายชื่อแหล่งเน้ือหาเสริม กิจกรรมระหวา่ ง ผเู้ รียน ผสู้ อน คาแนะนาและการใหผ้ ลป้ อนกลบั การนาเสนอในลกั ษณะมลั ติมีเดีย การเรียนแบบร่วมมือ รวมท้งั การสื่อสารระหวา่ งกนั รูปแบบน้ีจะช่วยใหผ้ เู้ รียนไดร้ ับประโยชน์จากการเรียน โดยไม่มีขอ้ จากดั ในเรื่อง ของเวลาและสถานที่ สภาพการเรียนการสอนผ่านเวบ็ การเรียนการสอนผา่ นเวบ็ มีลกั ษณะการจดั สภาพการเรียนการสอนที่แตกตา่ งจากการเรียนการ สอนในช้นั เรียนปกติ ผเู้ รียนจะเรียนผา่ นจอคอมพิวเตอร์ท่ีเช่ือมโยงกบั เครือข่าย โดยผเู้ รียนแตล่ ะคนที่ เป็นสมาชิกเครือข่าย อินเทอร์เน็ต สามารถเขา้ สู่ระบบเครือข่ายเพ่ือศึกษาเน้ือหาบทเรียนจากที่ใดก็ไดใ้ น เวลาใดกไ็ ด้ และผเู้ รียนแต่ละคนยงั สามารถติดต่อส่ือสารกบั ผสู้ อนหรือกบั ผเู้ รียนคนอ่ืนๆไดท้ นั ทีทนั ใด เหมือนกบั ไดเ้ ผชิญหนา้ กนั จริง การเรียนการสอนผา่ นเวบ็ มีสภาพและข้นั ตอนการเรียนการสอนดงั ตวั อยา่ งต่อไปน้ี 1. ผเู้ รียนท่ีเป็นสมาชิกอินเทอร์เน็ตเขา้ สู่ระบบดว้ ยการบนั ทึกเขา้ ( Login ) 2. พมิ พท์ ี่อยขู่ องเวบ็ เพจที่ตอ้ งการเขา้ ไปศึกษา 3. เมื่อเขา้ สู่เวบ็ เพจแลว้ ที่ตอ้ งการแลว้ ผเู้ รียนศึกษาเน้ือหาบทเรียนท่ีนาเสนอผา่ นทางหนา้ จอคอมพิวเตอร์ 4. ในบางช่วงบางตอนของบทเรียน ผเู้ รียนจะถูกกระตุน้ ใหม้ ีปฏิกิริยาสนองต่อเน้ือหาของบทเรียน โดยผเู้ รียนสามารถโตต้ อบกบั บทเรียนผา่ นเวบ็ หรือสามารถโตต้ อบกบั ผเู้ รียนคนอื่นๆหรือแมแ้ ต่ ผสู้ อนท่ีเขา้ สู่บทเรียนในเวลาเดียวกนั หรือคนละเวลากไ็ ด้ 5. ผเู้ รียนสามารถศึกษาเน้ือหาเทา่ ท่ีกาหนดในเวบ็ เพจหน่ึงๆ หรืออาจเขา้ สู่เวบ็ เพจอื่นๆที่เก่ียวขอ้ งก็ ไดเ้ พอ่ื เป็ นการขยายขอบเขตของความรู้ องค์ประกอบของการสื่อสารของการเรียนการสอนผ่านเครือข่าย WBI 1. E-mail ใชต้ ิดต่อส่ือสารระหวา่ งเฉพาะ ผทู้ ี่เป็นสมาชิกอินเทอร์เน็ตเท่าน้นั ผอู้ ่ืนจะไม่สามารถ อา่ นได้ (Two Way)
60 ลกั ษณะการใชง้ านในWBI ใชต้ ิดต่อส่ือสารระหวา่ งอาจารย์ หรือ เพื่อนร่วมช้นั เรียนดว้ ยกนั ใชส้ ่งการบา้ น หรือ งานที่ไดร้ ับมอบหมาย 2. Web board ใชต้ ิดต่อส่ือสารระหวา่ ง ผเู้ รียน อาจารย์ และผเู้ รียน (Three Way) ลกั ษณะการใชง้ านในWBI ใชก้ าหนดประเดน็ หรือกระทู้ ตามท่ีอาจารยก์ าหนด หรือตามแตน่ กั เรียนจะกาหนด เพื่อ ช่วยกนั อภิปรายตอบประเด็น หรือกระทูน้ ้นั ท้งั อาจารยแ์ ละผเู้ รียน 3. Chat ใชต้ ิดต่อส่ือสารระหวา่ ง ผเู้ รียน อาจารย์ และผเู้ รียน (Three Way) โดยการสนทนาแบบ Real Time มีท้งั Text Chat และ Voice Chat ลกั ษณะการใชง้ านในWBI ใชส้ นทนา ระหวา่ งผเู้ รียน และอาจารยใ์ นหอ้ งเรียน หรือชวั่ โมงเรียนน้นั ๆ เสมือนวา่ กาลงั คุยกนั อยใู่ นหอ้ งเรียนจริงๆ 4. ICQ ใชต้ ิดต่อสื่อสารระหวา่ ง ผเู้ รียน อาจารย์ และผเู้ รียน (Three Way) โดยการสนทนาแบบ Real Time และ Past Time ลกั ษณะการใชง้ านในWBI ใชส้ นทนา ระหวา่ งผเู้ รียนและอาจารย์ ในห้องเรียน เสมือนวา่ กาลงั คุยกนั อยู่ ใน หอ้ งเรียนจริงๆ โดยที่ผเู้ รียนไมจ่ าเป็นตอ้ ง อยใู่ นเวลาน้นั ๆ ICQ จะเก็บขอ้ ความไวใ้ ห้ และยงั ทราบดว้ ยวา่ ในขณะน้นั ผเู้ รียนอยหู่ นา้ เคร่ืองหรือไม่ 5. Conference ใชต้ ิดต่อส่ือสารระหวา่ ง ผเู้ รียน อาจารย์ และผเู้ รียน (Three Way) แบบ Real Time โดยที่ผเู้ รียนและอาจารย์ สามารถเห็นหนา้ กนั ได้ โดยผา่ นทางกลอ้ งโทรทศั น์ที่ติดอยกู่ บั เครื่องคอมพวิ เตอร์ท้งั สองฝ่ าย ลกั ษณะการใชง้ านในWBI ใชบ้ รรยายใหผ้ เู้ รียนกบั ที่อยู่ หนา้ เคร่ือง เสมือนวา่ กาลงั นง่ั เรียน อยใู่ นหอ้ งเรียนจริงๆ 6. อ่ืนๆอีกมากมาย ตามที่เทคโนโลยอินเทอร์เนตจะคิดพฒั นาข้ึนมา
61 เวบ็ ไซต์สาหรับรายวชิ ามอี งค์ประกอบทเี่ ป็ นเวบ็ เพจ 1. โฮมเพจ (Home Page) เป็นเวบ็ เพจแรกของเวบ็ ไซต์ โฮมเพจควรมีเน้ือหาส้นั ๆ เฉพาะที่จาเป็นเก่ียวกบั รายวชิ า ซ่ึง ประกอบดว้ ย ชื่อรายวชิ า ช่ือหน่วยงานผรู้ ับผดิ ชอบรายวชิ า สถานที่ โฮมเพจควรจะจบในหนา้ จอเดียว ควรหลีกเลี่ยงท่ีจะใส่ภาพกราฟิ กขนาดใหญ่ ซ่ึงจะทาใหต้ อ้ งใชเ้ วลาในการเรียนโฮมเพจข้ึนมา 2. เวบ็ เพจแนะนา (Introduction) แสดงขอบเขตของรายวชิ า มีการเช่ือมโยง ไปยงั รายละเอียดของหนา้ ที่เกี่ยวขอ้ ง ควรจะใส่ ขอ้ ความทกั ทายตอ้ นรับ รายช่ือผทู้ ่ีเก่ียวกบั การสอนวชิ าน้ี พร้อมท้งั การเชื่อมโยงไปยงั เวบ็ เพจท่ีอยขู่ อง ผเู้ กี่ยวขอ้ งแตล่ ะคน และเชื่อมโยงไปยงั รายละเอียดของวชิ า 3. เวบ็ เพจแสดงภาพรวมของรายวชิ า (Course Overview) แสดงภาพรวมโครงสร้างของรายวชิ า มีคาอธิบายส้นั ๆ เก่ียวกบั หน่วยการเรียน วธิ ีการเรียน วตั ถุประสงค์ และเป้ าหมายของวชิ า 4. เวบ็ เพจแสดงสิ่งจาเป็นในการเรียนรายวชิ า (Course Requirements) เช่น หนงั สืออา่ นประกอบ บทเรียนคอมพิวเตอร์ ทรัพยากรการศึกษาในระบบเครือข่าย (On-Line Resourses) เครื่องมือต่างๆ ท้งั ฮาร์ดแวร์ และซอฟตแ์ วร์ โปรแกรมอา่ นเวบ็ ท่ีจาเป็ นตอ้ งใชใ้ นการเรียน ทางอินเทอร์เน็ตโดยใชเ้ วบ็ เพจ 5. เวบ็ เพจแสดงขอ้ มลู สาคญั (Vital lnformation) ไดแ้ ก่ การติดตอ่ ผสู้ อนหรือผชู้ ่วยสอน ที่อยหู่ มายเลขโทรศพั ท์ เวลาที่จะ ติดต่อแบบออนไลน์ได้ การเช่ือมโยงไปยงั เวบ็ เพจ การลงทะเบียนใบรับรองการเรียน การเช่ือมโยงไปยงั เวบ็ เพจคาแนะนา การ เช่ือมโยงไปใชห้ อ้ งสมุดเสมือน และการเช่ือมโยงไปยงั นโยบายของสถาบนั การศึกษา 6. เวบ็ เพจแสดงบทบาทหนา้ ท่ีและความรับผดิ ชอบของผทู้ ่ีเก่ียวขอ้ ง (Responsibilities) ไดแ้ ก่ ส่ิงท่ีคาดหวงั จากผเู้ รียนในการเรียนตามรายวชิ า กาหนดการสง่ั งานท่ีไดร้ ับมอบหมาย วธิ ีการประเมินผลรายวชิ า บทบาทหนา้ ท่ีของผสู้ อน ผูช้ ่วยสอน และผสู้ นบั สนุน เป็นตน้ 7. เวบ็ เพจกิจกรรมที่มอบหมายใหท้ าการบา้ น (Assignment) ประกอบดว้ ยงานที่จะมอบหมายหรืองานที่ผเู้ รียนจะตอ้ งกระทาในรายวชิ าท้งั หมด กาหนดส่ง งาน การเช่ือมโยงไปยงั กิจกรรมสาหรับเสริมการเรียน 8. เวบ็ เพจแสดงกาหนดการเรียน (Course Schedule) กาหนดวนั ส่งงาน วนั ทดสอบยอ่ ย วนั สอบ เป็ นการกาหนดเวลาท่ีชดั เจนจะช่วยใหผ้ เู้ รียนควบคุม ตวั เองไดด้ ีข้ึน
62 9. เวบ็ เพจทรัพยากรสนบั สนุนการเรียน (Resources) แสดงรายช่ือแหล่งทรัพยากรส่ือ พร้อมการเชื่อมโยงไปยงั เวบ็ ไซตท์ ี่มีขอ้ มลู ความรู้ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั รายวชิ า 10. เวบ็ เพจแสดงตวั อยา่ งแบบทดสอบ (Sample Tests) แสดงคาถาม แบบทดสอบในการสอบยอ่ ย หรือตวั อยา่ งของงานสาหรับทดสอบ 11. เวบ็ เพจแสดงประวตั ิ (Biography) แสดงขอ้ มลู ส่วนตวั ของผสู้ อน ผชู้ ่วยสอนและทุกคนท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การเรียนการสอนพร้อม ภาพถ่าย ขอ้ มลู การศึกษา ผลงาน สิ่งที่สนใจ 12. เวบ็ เพจแบบประเมิน (Evaluation) แสดงแบบประเมินเพ่อื ใหผ้ เู้ รียนใชใ้ นการประเมินผลรายวชิ า 13. เวบ็ เพจแสดงคาศพั ท์ (Glossary) แสดงคาศพั ทแ์ ละดชั นีคาศพั ท์ และความหมายท่ีใชใ้ นการเรียนรายวชิ า 14. เวบ็ เพจ็ การอภิปราย (Discussion) สาหรับการสนทนา แลกเปล่ียนความคิดเห็น สอบถามปัญหาการเรียนระหวา่ งผเู้ รียน และ ระหวา่ งผเู้ รียนกบั ผสู้ อน ซ่ึงเป็นไดท้ ้งั แบบสื่อสารในเวลาเดียวกนั (Synchronous Communication) คือ ติดต่อส่ือสาร พร้อมกนั ตามเวลาจริง และส่ือสารต่างเวลา (Asynchronous Communication) ซ่ึงผเู้ รียนส่ง คาถามไปในเวบ็ เพจ และผทู้ ่ีจะตอบคาถาม หรือแลกเปล่ียนความคิดเห็น จะมาพมิ พข์ อ้ ความเม่ือมีเวลา วา่ ง 15. เวบ็ เพจประกาศขา่ ว (Bulletin Board) สาหรับใหผ้ เู้ รียนและผสู้ อนใชใ้ นการประกาศขอ้ ความตา่ งๆ ซ่ึงอาจจะเก่ียวขอ้ ง หรือไม่เก่ียวขอ้ ง กบั การเรียนกไ็ ด 16. เวบ็ เพจคาถามคาตอบที่พบบ่อย (FAQ Pages) แสดงคาถามและคาตอบเกี่ยวกบั รายวชิ า โปรแกรมการเรียน สถาบนั การศึกษา และเรื่องที่ เกี่ยวขอ้ ง 17. เวบ็ เพจแสดงคาแนะนาในการเรียนรายวชิ า คาแนะนาในการออกแบบเวบ็ ไซตข์ องรายวชิ า
63 องค์ประกอบของการสอนบนเวบ็ องคป์ ระกอบในการสอนบนเวบ็ จะมีหลายอยา่ ง โดยอาจใชเ้ พียงอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง หรือท้งั หมด ในการสอนกไ็ ด้ องคป์ ระกอบมีดงั ตอ่ ไปน้ี - ข้อความหลายมิติ ขอ้ ความหลายมิติ (Hypertext) เป็นการเสนอเน้ือหาตวั อกั ษร ภาพกราฟิ กอยา่ งง่ายๆ รวมถึงเสียง ในลกั ษณะที่ไม่เรียงลาดบั กนั เป็นเส้นตรง ในสภาพแวดลอ้ มของเวบ็ น้ีการใชข้ อ้ ความหลายมิติจะใหผ้ ใู้ ช้ คลิกส่วนท่ีเป็น “จุดพร้อมโยง” (Hot Spot) ซ่ึงกค็ ือ “จุดเช่ือมโยงหลายมิติ” (Hypertext) นน่ั เอง โดยอาจ เป็นภาพหรือขอ้ ความสีขีดเส้นใต้ เพอ่ื เขา้ ถึงแฟ้ มท่ีเช่ือมโยงกบั จุดพร้อมโยงน้นั - ส่ือหลายมิติ สื่อหลายมิติ (Hypermedia) ซ่ึงเป็นการพฒั นาการของขอ้ ความหลายมิติ (Hypertext) เป็นวธิ ีการ ในการรวบรวมและเสนอขอ้ ความ ภาพกราฟิ ก ภาพเคลื่อนไหว และเสียง ซ่ึงตอ้ งใชค้ อมพวิ เตอร์ท่ีมี สมรรถนะท่ีสูงข้ึนไป ในการประมวลผล เพราะมีตอ้ งใชโ้ ปรแกรมช่วยในการแสดงผลภาพและเสียง เช่น เรียลเพลเยอร์ (RealPlayer) - การสอนโดยใช้คอมพวิ เตอร์ช่วยสอน การสอนโดยใชค้ อมพวิ เตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction : CAI) และการอบรมใช้ คอมพวิ เตอร์เป็นฐาน (Computer-Based Training : CBT) หรือที่เรียกรวมกนั โดยทว่ั ไปวา่ “คอมพิวเตอร์ ช่วยสอน” นบั เป็นรูปแบบพ้ืนฐานสาคญั อยา่ งหน่ึงของการสอนบนเวบ็ ท้งั น้ีเนื่องจากโดยทว่ั ไปแลว้ การ สอนโดยใชค้ อมพวิ เตอร์ช่วยสอน จะมีกิจกรรมท่ีทาใหผ้ เู้ รียนสามารถมีการโตต้ อบกบั โปรแกรมบทเรียน ได้ กิจกรรมน้ีอาจอยใู่ นลกั ษณะของคาถาม การทดสอบ เกม ฯลฯ - การส่ือสารผ่านคอมพวิ เตอร์ การส่ือสารผา่ นคอมพวิ เตอร์ (Computer-Mediated Communication : CMC) เป็นวธิ ีการท่ีขอ้ มลู หรือขอ้ ความถูกส่งหรือไดร้ ับทางคอมพวิ เตอร์ การใชอ้ ินเทอร์เน็ตจะทาใหส้ ามารถใชค้ วามสามารถของ อินเทอร์เน็ตไดห้ ลายอยา่ ง เพ่ือจุดประสงคด์ า้ นการเรียนการสอน เช่น การใชอ้ ีเมลแ์ ละการประชุม ทางไกล ท่ีทาใหผ้ เู้ รียนสามารถส่ือสารกนั ไดใ้ นทนั ที หรือ
64 หลกั การออกแบบบทเรียนบนเครือข่ายอนิ เทอร์เน็ต 1. ให้แรงจูงใจแก่ผู้เรียน (Motivating the leaner) มีการใชก้ ารออกแบบบนเรียนโดยการวาง layout ที่น่าสนใจ และการใส่ภาพกราฟิ กท่ีสวยงาม การเลือกใชส้ ีที่ไม่มากจนเกินไป โดยอาจมีการใชภ้ าพเคล่ือนไหวประกอบบา้ งในบา้ งคร้ัง แตข่ อ้ ควร ระวงั คือ ไมใ่ ชม้ ากจนเป็นที่ราคาญสายตาของผเู้ รียน อีกส่ิงหน่ึงที่สาคญั คือ การใชค้ าถามนาก่อนการเขา้ สู่บทเรียน เพื่อความน่าติดตาม และจูงใจใหผ้ เู้ รียนอยากทราบคาตอบโดยการเขา้ มาเรียนในบทเรียนของ เรา 2. การบอกให้ผู้เรียนทราบว่าเขาจะได้เรียนรู้อะไรบ้าง (Specifying what is to be learn) เราสามารถบอกใหผ้ เู้ รียนทราบไดว้ า่ จะตอ้ งเรียนรู้ หรือทากิจกรรมอะไรบา้ ง หลงั จากเรียนจบ จากบทเรียนแลว้ โดยครูจะบอกในลกั ษณะของจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ปัญหาอยา่ งหน่ึงในการเรียน บนเวบ็ ก็คือ ถา้ มีลิงคข์ อ้ มลู ท่ีเกี่ยวขอ้ งไปยงั หนา้ เวบ็ อ่ืนๆ เป็นจานวนมาก และผเู้ รียนเขา้ ไปยงั เวบ็ เหล่าน้นั จนหลง จากเป้ าหมาย เราก็ควรแกไ้ ขโดยการทาลิงคท์ ่ีเก่ียวขอ้ งในบทเรียนของเรา เฉพาะท่ี จาเป็นจริงๆ เทา่ น้นั เพื่อป้ องกนั ปัญหา การหลงทางใน Hyperspace 3. การเช่ือมโยงความรู้เก่ากบั ความรู้ใหม่ (Reminding learners of past knowledge) นกั จิตวทิ ยากลุ่ม Cognitive มคี วามเชื่อวา่ ผเู้ รียนจะสามารถจดจาขอ้ มูลต่างๆ ไดง้ ่าย และนาน ยงิ่ ข้ึน ถา้ เราสามารถนาเสนอเน้ือหาโดยการเช่ือมโยงความรู้เก่าๆ กบั ความรู้ใหม่ อยา่ งมีความหมาย เช่น การยกตวั อยา่ งโดยการเปรียบเทียบกบั ส่ิงท่ีนกั เรียนเรียนรู้มาแลว้ หรือการนาเขา้ สู่บทเรียน โดยการ เช่ือมโยงสิ่งที่เรียนมาแลว้ กบั ส่ิงท่ีเขากาลงั จะเรียน โดยในการออกแบบเวบ็ น้นั เราสามารถใชล้ ิงคข์ อ้ มูลที่ มีความเกี่ยวขอ้ งกบั ส่ิงท่ีผเู้ รียนไดเ้ รียนรู้มาแลว้ เพ่ือการทบทวน หรือการเปรียบเทียบกบั เน้ือหาท่ีเขากาลงั เรียนอยไู่ ด้ 4. การนาเสนอเนือ้ หาใหม่ (Providing new information) การนาเสนอเน้ือหาของบทเรียน ซ่ึงในการนาเสนอเน้ือหาในบทเรียนบนเวบ็ น้นั จาเป็นตอ้ ง ออกแบบอยา่ งรอบคอบ โดยพจิ ารณาจากคุณลกั ษณะทว่ั ไปของเวบ็ ไซต์ และตวั ผเู้ รียนเอง 5. สร้างความกระตือรือร้นของผู้เรียน (Need Action Participation) ในการเรียนการสอน บนเวบ็ ตอ้ งการให้ผเู้ รียนเกิดความกระตือรือร้นระหวา่ งเรียน (Active learner) โดยการใหผ้ เู้ รียนทากิจกรรมอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง ระหวา่ งเรียน หรือจบบทเรียน เช่น มีการทา แบบฝึกหดั ระหวา่ งบทเรียน หน่วยยอ่ ยแต่ละหน่วย ใหน้ กั เรียนทาบทสรุป วจิ ารณ์ นาเสนอแง่มุมมองของ ตนเอง ต่อเร่ืองที่เรียนมา ส่งผสู้ อนหลงั จากเรียนจบบทเรียนน้นั ๆ
65 6. การให้ข้อเสนอแนะ และข้อมูลย้อนกลบั (Offering guidance and feedback) การใหข้ อ้ มูลตอบกลบั ไปของโปรแกรม ตอ่ ผใู้ ชค้ ่อนขา้ งทาไดย้ าก ในบทเรียนบนเวบ็ เมื่อ เปรียบเทียบกบั บทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน แต่กส็ ามารถทาไดโ้ ดยใชโ้ ปรแกรมภาษาท่ีซบั ซอ้ นยง่ิ ข้ึน เราสามารถใหค้ าแนะนา และการตอบกลบั ในการใชง้ านของการต้งั กระทูใ้ นหนา้ เวบ็ หรือ อีเมลก์ ไ็ ด้ 7. การทดสอบ (Testing) สิ่งท่ีจาเป็นอยา่ งยงิ่ คือการทดสอบวา่ ผเู้ รียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดมุง่ หมายหรือไม่ การทา แบบทดสอบสามารถทาไดจ้ ากในบทเรียนออนไลน์ แต่อยา่ งไรก็ตาม มีขอ้ วพิ ากษว์ จิ ารณ์ในเรื่องของผทู้ า ขอ้ สอบวา่ เป็ นตวั จริงกบั ผเู้ รียนหรือไม่ ถา้ เป็นการทดสอบเพือ่ ใหท้ ราบวา่ ผเู้ รียนเกิดการเรียนรู้หรือไม่ โดยไมเ่ ก็บคะแนนเพ่ือการประเมินผลจริง กส็ ามารถทาขอ้ สอบออนไลนไ์ ด้ 8. ให้ข้อมูลทเี่ กยี่ วข้องเพม่ิ เติม หรือการซ่อมเสริม (Supplying enrichment or remediation) การใหแ้ หล่งขอ้ มลู เพ่ิมเติมสามารถทาไดอ้ ยา่ งง่ายดาย โดยการทาลิงคท์ ี่เก่ียวขอ้ งกบั เน้ือหา บทเรียน ที่ผเู้ รียนตอ้ งการศึกษาเพม่ิ เติมต่อไป ส่วนการใหข้ อ้ มลู ซ่อมเสริมก็สามารถทาไดเ้ ช่นกนั โดยการ สร้างข้ึนเอง หรือการลิงคไ์ ปยงั เวบ็ ไซตท์ ่ีมีเน้ือหาไมซ่ บั ซอ้ นจนเกินไป สาหรับผทู้ ี่เรียนออ่ น ข้นั ตอนในการจัดการเรียนการสอนผ่านเวบ็ 1. ตดั สินใจลกั ษณะในการสอนบนเวบ็ 2. กาหนดวตั ถุประสงคแ์ ละเป้ าหมายของหลกั สูตรท่ีจดั การสอนบนเวบ็ 3. ศึกษาคุณลกั ษณะของผเู้ รียน 4. ออกแบบโครงสร้างของเวบ็ โดยการกาหนดโครงสร้างของเวบ็ คร่าวๆ ก่อนที่จะกาหนด รายละเอียด 5. หาความรู้และทกั ษะการใชโ้ ปรแกรมต่าง ๆ ที่จาเป็นดงั ต่อไปน้ี โปรแกรมช่วยในการจดั การ สอนบนเวบ็ โปรแกรม ในการสร้างโฮมเพจรายวชิ า เช่น Microsoft FrontPage, DreamWeaver, Navigator Gold เป็นตน้ โปรแกรมอา่ นขอ้ มลู บนเวบ็ ( Web Browser ) เช่น Internet Explorer, Netscape Navigator, Opera เป็นตน้ โปรแกรมไปรษณีย์ อิเล็กทรอนิกส์ ( E-mail ) เช่นเวบ็ เมล์ เป็นตน้ โปรแกรมการประชุมทางคอมพิวเตอร์ เช่น Web Board เป็นตน้
66 6. เตรียมเน้ือหาในรูปการสอนบนเวบ็ ซ่ึงครอบคลุมเพจ ต่าง ๆ ดงั น้ี โฮมเพจ หรือเวบ็ เพจแรกของเวบ็ ไซต์ ซ่ึงควรจะมีขอ้ ความ ทกั ทายตอ้ นรับ มีกล่อง สาหรับใส่ชื่อผเู้ รียนและรหสั ลบั (ในกรณีท่ีตอ้ งการใหม้ ีการลงทะเบียนก่อนเขา้ เรียน) นอก จากน้ีอาจเสนอเน้ือหาส้ันๆ ท่ีจาเป็นเก่ียวกบั คอร์ส ประกอบดว้ ย ชื่อคอร์ส ช่ือ หน่วยงาน หรือผรู้ ับผดิ ชอบ รวมท้งั รายชื่อผทู้ ่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การสอนคอร์สน้ี และเช่ือม โยงไปยงั เวบ็ เพจท่ีอยขู่ อง ผเู้ กี่ยวขอ้ ง เวบ็ เพจแสดงภาพรวมของคอร์ส ( Course Overview ) แสดงสงั เขปรายวชิ า และ เช่ือมโยงไปยงั รายละเอียดของหนา้ ที่ท่ีเกี่ยวขอ้ ง นอกจากน้ีควรมีคาอธิบายส้นั ๆ เกี่ยวกบั หน่วยการเรียน วธิ ีการเรียน วตั ถุประสงค์ และเป้ าหมายของวชิ า เวบ็ เพจแสดงส่ิงจาท่ีเป็นในการเรียน ( Course Requirements ) เช่น เอกสาร ตารา บทความ วชิ าการ และทรัพยากรการศึกษาระบบเครือข่าย(On-line Resourcse) รวมท้งั เครื่องมือต่าง ๆ ท้งั ฮาร์ดแวร์ และซอฟทแ์ วร์ โปรแกรมอ่านเวบ็ ที่จาเป็น เวบ็ เพจที่แสดงขอ้ มลู สาคญั ๆ เช่น การติดต่อผสู้ อน การเชื่อมโยงไปยงั เวบ็ เพจคา ประกาศ/คาแนะนาการเรียน การเชื่อมโยงไปยงั การใชห้ อ้ งสมุด หรือนโยบายของ สถาบนั การศึกษา เวบ็ เพจแสดงบทบาทหนา้ ท่ี และความรับผดิ ชอบของผทู้ ี่ เกี่ยวขอ้ ง (Responsibilities) ไดแ้ ก่ สิ่งท่ีคาดหวงั จากผเู้ รียนในการเรียน กาหนดการสง่ั งานที่ไดร้ ับมอบหมาย วธิ ีหรือ เกณฑก์ ารประเมิน เป็นตน้ เวบ็ เพจกิจกรรมท่ีมอบใหท้ าการบา้ น (Assignment) แสดงงานท่ีมอบหมายใหผ้ เู้ รียนทา ในคอร์ส กาหนดส่งงาน การตรวจงาน และกิจกรรมเสริมต่าง ๆ ที่เหมาะสม เวบ็ เพจท่ีแสดงกาหนดการเรียน ( Course Schedule ) เวบ็ เพจสนบั สนุนการเรียน ( Resources ) เวบ็ เพจการอภิปรายสาหรับการสนทนา แลกเปลี่ยนความคิดเห็น สอบถามปัญหาการ เรียนระหวา่ งผเู้ รียนกบั ผสู้ อนท้งั ในรูป Asynchronous เช่น Web Board หรือ Synchronous เช่น Chat เป็นตน้ เวบ็ เพจคาถามคาตอบที่พบบ่อย ( FAQ ) 7. การออกแบบและพฒั นากิจกรรมการสอน ที่เหมาะสมกบั การสอนบนเวบ็ ตวั อยา่ งกิจกรรมการ เรียนการสอนท่ีเหมาะสมการสอนบนเวบ็ ไดแ้ ก่ การจดั เตรียมแหล่งความรู้บนเวบ็ ท่ีเหมาะสมในแต่ละหวั ขอ้ สาหรับผเู้ รียนในการเขา้ ไป ศึกษา รวมท้งั ขอ้ มูลทางวชิ าการอื่น ๆ ท่ีเหมาะสม
67 การใชป้ ระโยชน์จากการประชุมทางคอมพิวเตอร์ ท้งั ในรูป Asynchronous เช่น Web Board หรือ Synchronous เช่น Chat เป็นตน้ ในการดาเนินกิจกรรมการเรียนการสอน โดยผสู้ อนสามารถเปิ ดสมั มนาในหวั ขอ้ ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั เน้ือหาในคอร์ส ซ่ึงอาจอยใู่ นรูป ของการบรรยาย อาจสัมภาษณ์ผเู้ ช่ียวชาญ การเปิ ดอภิปราย เป็นตน้ การใชป้ ระโยชน์จากไปรษณียอ์ ิเลก็ ทรอนิกส์ เพอ่ื การติดต่อสื่อสารกบั ผสู้ อน หรือ ผเู้ รียนอื่น ๆ ในลกั ษณะรายบุคคล การส่งขอ้ สอบและผลการสอนใหผ้ เู้ รียน การให้ คาแนะนาปรึกษาแก่ผเู้ รียนเป็ นรายบุคคล ท้งั น้ี เพื่อกระตุน้ ใหผ้ เู้ รียนเกิดความ กระตือรือร้นในการเขา้ ร่วมกิจกรรมการเรียน อยา่ งต่อเน่ือง และขณะเดียวกนั สามารถ บรรลุวตั ถุประสงคท์ ่ีไดต้ ้งั ไว้ โดยผสู้ อนจะตอ้ งให้เวลาและมีส่วนร่วมในการให้แสดง ความคิดเห็นและผลป้ อนกลบั ที่ทนั ต่อเหตุการณ์ การกาหนดกิจกรรมหรืองานใหผ้ เู้ รียนทาเป็นรายบุคคลหรือ กลุ่มยอ่ ย โดยที่ผสู้ อน จะตอ้ งแจง้ ใหผ้ เู้ รียนทราบล่วงหนา้ เก่ียวกบั กิจกรรม/งานต่าง ๆ รวมท้งั สรุปประเดน็ สาคญั ๆ ใหแ้ ก่ผเู้ รียน และมีการกาหนดวนั และเวลาการส่งงานอยา่ งชดั เจน 8. ออกแบบการประเมินผลการเรียนของผเู้ รียน 9. เตรียมความพร้อมในดา้ นปัญหาเทคนิค เช่น การเตรียมการเพือ่ สนบั สนุน ส่งเสริมและใหค้ วาม ช่วยเหลือทางดา้ นเทคนิคแก่ผเู้ รียน 10. เตรียมความพร้อมในดา้ นการเขา้ ถึงเครือข่ายสาหรับผเู้ รียน เช่น การจดั ใหม้ ีคอมพิวเตอร์ท่ี สามารถเช่ือมต่อเขา้ กบั เครือขา่ ยที่สะดวกและทว่ั ถึง 11. ทดลองใชง้ าน เพื่อหาขอ้ ผดิ พลาด และปรับปรุงแกไ้ ขก่อนที่จะนาไปใชจ้ ริง 12. หลงั จากที่ไดจ้ ดั การสอนบนเวบ็ จริงแลว้ ควรประเมินผลการจดั การเรียนการสอนเพื่อใหไ้ ด้ ขอ้ มูลท่ีเป็นประโยชน์ ในการปรับปรุงการจดั การเรียนการสอนใหม้ ี ประสิทธิภาพ ยง่ิ ข้ึนตอ่ ไป ลกั ษณะของบทเรียนบนเครือข่ายอนิ เทอร์เน็ต (WBI) การเรียนการสอนผา่ นเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มีลกั ษณะการจดั การเรียน ท่ีผเู้ รียนจะเรียนผา่ น จอคอมพิวเตอร์ท่ีเช่ือมต่อกบั เครือขา่ ยอินเทอร์เน็ต และสามารถเขา้ สู่ระบบเครือข่ายเพอื่ การศึกษาเน้ือหา บทเรียนจากท่ีใดกไ็ ด้ และผเู้ รียนแตล่ ะคนสามารถติดต่อส่ือสารกบั ผสู้ อนหรือผเู้ รียนคนอ่ืนๆได้ ทนั ทีทนั ใด เหมือนการเผชิญหนา้ กนั จริงๆหรือเป็ นการส่งขอ้ ความฝากไวก้ บั บริการไปรษณีย์ อิเลก็ ทรอนิกส์ ในการติดต่อสื่อสารกบั ผเู้ รียนดว้ ยกนั เองหรือกบั ผสู้ อน
68 การเรียนรู้บนเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ต หรือการเรียนรู้บนเวบ็ กระทาไดห้ ลายลกั ษณะ เช่นการทา โครงการร่วมกนั การแลกเปล่ียนความคิดร่วมกนั ในกระดานข่าว การแสดงความคิดเห็นในกระททู้ าง วชิ าการการทางานท่ีไดร้ ับมอบหมายเป็นกลุ่ม การทาโครงงานร่วมกนั เป็นการร่วมกนั สร้างสรรคผ์ ลงาน ในเรื่องที่สนใจร่วมกนั นอกจากน้ี วธิ ีการเรียนรู้บนเวบ็ มีประสิทธิผล คือ การเรียนรู้ร่วมกนั บนเวบ็ ซ่ึง เป็นวธิ ีที่ผเู้ รียนทางานดว้ ยกนั เป็นคู่ หรือเป็นกลุ่มเล็ก เพ่ือใหบ้ รรลุจุดมุง่ หมายของงานร่วมกนั ผเู้ รียนแต่ ละคนรับผดิ ชอบการเรียนรู้ของผอู้ ่ืนเท่ากบั ของตนเอง การเรียนรู้บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นการศึกษาท่ีใชเ้ ทคโนโลยี อะซิงโครนสั (Asynchronous Technology) ซ่ึงเป็นเทคโนโลยที ่ีทาใหก้ ารเรียนการสอนดาเนินไปโดยไมจ่ ากดั เวลาและสถานที่ ประกอบดว้ ยเครื่องมือที่มีอยู่ ในอินเทอร์เน็ตและเวบ็ เช่น กระดานขา่ ว ไปรษณีย์ อิเลก็ ทรอนิกส์ การ ประชุมทางไกล เครื่องมือเหล่าน้ีทาใหเ้ กิดการเรียนรู้ที่ไม่พร้อมกนั (Asynchronous Learning) การเรียน ไมพ่ ร้อมกนั น้ี มีความหมายมากกวา่ คาวา่ “ใครก็ได้ ท่ีไหนกไ็ ด้ เวลาใดกไ็ ด”้ เพราะเก่ียวขอ้ งกบั การเรียน อยา่ งมีปฏิสมั พนั ธ์ (Interactive Learning) และการเรียนรู้ร่วมกนั โดยใชแ้ หล่งความรู้ท่ีอยหู่ ่างไกล และ การเขา้ ถึงขอ้ มลู ท่ีตอ้ งการท้งั น้ีเพราะการเรียนรู้จะเกิดข้ึนไดด้ ีหากผเู้ รียนไดม้ ีโอกาสถาม อธิบาย สังเกต รับฟัง สะทอ้ นความคิดตนเอง และตรวจสอบความคิดของผอู้ ่ืน บทเรียนผา่ นเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ตเป็ นส่ือการเรียนการสอนแบบมลั ติมีเดีย โดยบทเรียนที่ พฒั นาข้ึนสามารถทางานไดห้ ลายรูปแบบ เนื่องจากใชโ้ ปรแกรมเวบ็ บราวเซอร์ เช่น เน็ทสเคป (Netscape Navigator) หรือไมโครซอฟตอ์ ินเทอร์เน็ตเอก็ ซ์พรอเรอร์ (Microsoft Internet Explorer) รวมท้งั โปรแกรมเสริมอื่นๆในการจดั ทา โดยมีพ้นื ฐานของบทเรียนเป็นภาษา HTML โดยสามารถใชร้ ่วมกบั ส่ือ อ่ืนๆไดท้ ้งั อินทราเน็ต เครือข่ายอินเทอร์เน็ต และสามารถบนั ทึกลงแผน่ ซีดีรอม (CD-Rom) เพ่ือนาไป ศึกษาไดเ้ ม่ือไมไ่ ดเ้ ชื่อมต่อกบั อินเทอร์เน็ตบทเรียนที่ผลิตไดจ้ ะมีลกั ษณะของเวบ็ เพจที่มีไฮเปอร์เทก็ ซ์ (Hypertext) และไฮเปอร์มีเดีย (Hypermedia) เป็นตวั หลกั ในการนาเสนอ ผอู้ ่านสามารถเลือกอ่าน ดูวีดี ทศั น์ หรือทาแบบทดสอบ ไดต้ ามความตอ้ งการ ลกั ษณะของกจิ กรรมการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายอนิ เทอร์เน็ต (WBI) การเรียนการสอนผา่ นเวบ็ จะตอ้ งอาศยั บทบาทของระบบอินเทอร์เน็ตเป็นสาคญั การใช้ อินเทอร์เน็ตในลกั ษณะของโปรแกรมการเรียนการสอนผา่ นเวบ็ จะมีวธิ ีการใชใ้ น 3 ลกั ษณะ 1. การนาเสนอ (Presentation) เป็นไปในแบบเวบ็ ไซดท์ ี่ประกอบไปดว้ ยขอ้ ความภาพกราฟฟิ ก ซ่ึงสามารถนาเสนอไดอ้ ยา่ งเหมาะสมในลกั ษณะของสื่อ คือ
69 1.1 การนาเสนอแบบสื่อทางเดียว เช่น เป็นขอ้ ความ 1.2 การนาเสนอแบบส่ือคู่ เช่น ขอ้ ความภาพกราฟฟิ ก บางคร้ังจะอยใู่ นรูปแบPDF ผเู้ รียนสามารถดาวน์โหลดไฟลไ์ ด้ 1.3 การนาเสนอแบบมลั ติมีเดีย คือ ประกอบดว้ ยขอ้ ความ ภาพกราฟฟิ ก ภาพเคล่ือนไหว เสียงและภาพยนตร์ หรือวดี ีโอ (แต่ความเร็วจะไม่เร็วเทา่ กบั วีดีโอเทป) 2. การส่ือสาร (Communication) การสื่อสารเป็นสิ่งจาเป็ นท่ีจะตอ้ งใชท้ ุกวนั ในชีวติ ซ่ึงเป็น ลกั ษณะสาคญั ของอินเทอร์เน็ต โดยมีการส่ือสารบนอินเทอร์เน็ตหลายแบบ เช่น 2.1 การส่ือสารทางเดียว โดยดูจากเวบ็ เพจ 2.2 การส่ือสารสองทาง เช่น การส่งไปรษณียอ์ ิเล็กทรอนิกส์โตต้ อบกนั 3. การก่อให้เกดิ ปฏสิ ัมพันธ์ (Dynamic Interaction) เป็นคุณลกั ษณะสาคญั ของอินเทอร์เน็ต ประกอบดว้ ย 3 ลกั ษณะ คือ 3.1 การสืบคน้ 3.2 การหาวธิ ีการเขา้ สู่เวบ็ 3.3 การตอบสนองของมนุษยใ์ นการใชเ้ วบ็ การจัดการเรียนการสอนผ่านเว็บ 1.ในการจดั การเรียนการสอนโดยทวั่ ไปแลว้ ควรส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนและผสู้ อนสามารถติดต่อ ส่ือสารกนั ไดต้ ลอดเวลา การติดต่อระหวา่ งผเู้ รียนและผสู้ อนมีส่วนสาคญั ในการสร้างความกระตือรือลน้ กบั การเรียนการสอน โดยผสู้ อนสามารถใหค้ วามช่วยเหลือผเู้ รียนไดต้ ลอดเวลาในขณะกาลงั ศึกษา ท้งั ยงั ช่วยเสริมสร้างความคิดและความเขา้ ใจ ผเู้ รียนที่เรียนผา่ นเวบ็ สามารถสนทนาแลกเปล่ียนความคิดเห็น รวมท้งั ซกั ถามขอ้ ขอ้ งใจกบั ผสู้ อนไดโ้ ดยทนั ทีทนั ใด เช่น การมอบหมายงานส่งผา่ นอินเทอร์เน็ตจาก ผสู้ อน ผเู้ รียนเมื่อไดร้ ับมอบหมายก็จะสามารถทางานท่ีไดร้ ับมอบหมายและส่งผา่ นอินเทอร์เน็ต กลบั ไป ยงั อาจารยผ์ สู้ อน หลงั จากน้นั อาจารยผ์ สู้ อนสามารถตรวจและใหค้ ะแนนพร้อมท้งั ส่งผลยอ้ นกลบั ไปยงั ผเู้ รียนไดใ้ นเวลาอนั รวดเร็วหรือในทนั ทีทนั ใด 2.การจดั การเรียนการสอนควรสนบั สนุนใหม้ ีการพฒั นาความร่วมมือระหวา่ งผเู้ รียน ความ ร่วมมือระหวา่ งกลุ่มผเู้ รียนจะช่วยพฒั นาความคิดความเขา้ ใจไดด้ ีกวา่ การทางานคนเดียว ท้งั ยงั สร้าง ความสมั พนั ธ์เป็นทีมโดยการแลกเปล่ียนความคิดเห็นระหวา่ งกนั เพอื่ หาแนวทางท่ีดีที่สุด เป็นการ พฒั นาการแกไ้ ขปัญหาการเรียนรู้และการยอมรับความคิดเห็นของคนอื่นมาประกอบเพื่อหาแนวทางที่ดี ที่สุด ผเู้ รียนที่เรียนผา่ นเวบ็ แมว้ า่ จะเรียนจากคอมพิวเตอร์ที่อยกู่ นั คนละท่ี แต่ดว้ ยความสามารถของ เครือข่ายอินเทอร์เน็ตท่ีเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ทว่ั โลกไวด้ ว้ ยกนั ทาใหผ้ เู้ รียนสามารถ
70 ติดต่อสื่อสารกนั ไดท้ นั ทีทนั ใด เช่น การใชบ้ ริการสนทนาแบบออนไลนท์ ี่สนบั สนุนใหผ้ เู้ รียน ติดต่อส่ือสารกนั ไดต้ ้งั แต่ 2 คนข้ึนไปจนถึงผเู้ รียนที่เป็นกลุ่มใหญ่ 3.ควรสนบั สนุนใหผ้ เู้ รียนรู้จกั แสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง (Active Learners) หลีกเล่ียงการกากบั ใหผ้ สู้ อนเป็นผปู้ ้ อนขอ้ มลู หรือคาตอบ ผเู้ รียนควรเป็นผขู้ วนขวายใฝ่ หาขอ้ มูลองคค์ วามรู้ต่างๆ เองโดย การแนะนาของผสู้ อน เป็นท่ีทราบดีอยแู่ ลว้ วา่ อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งขอ้ มลู ท่ีใหญ่ท่ีสุดในโลก ดงั น้นั การ จดั การเรียนการสอนผา่ นเวบ็ น้ี จะช่วยใหผ้ เู้ รียนสามารถหาขอ้ มลู ไดด้ ว้ ยความสะดวกและรวดเร็ว ท้งั ยงั หาขอ้ มลู ไดจ้ ากแหล่งขอ้ มลู ทวั่ โลกเป็นการสร้างความกระตือรือร้นในการใฝ่ หาความรู้ 4.การใหผ้ ลยอ้ นกลบั แก่ผเู้ รียนโดยทนั ทีทนั ใดช่วยใหผ้ เู้ รียนไดท้ ราบถึงความสามารถของตน อีก ท้งั ยงั ช่วยใหผ้ เู้ รียนสามารถปรับแนวทางวธิ ีการหรือพฤติกรรมใหถ้ ูกตอ้ งได้ ผเู้ รียนท่ีเรียนผา่ นเวบ็ สามารถไดร้ ับผลยอ้ นกลบั จากท้งั ผสู้ อนเองหรือแมก้ ระทงั่ จากผเู้ รียนคนอ่ืนๆ ไดท้ นั ทีทนั ใด แมว้ า่ ผเู้ รียน แตล่ ะคนจะไม่ไดน้ งั่ เรียนในช้นั เรียนแบบเผชิญหนา้ กนั ก็ตาม 5.ควรสนบั สนุนการจดั การเรียนการสอนที่ไมม่ ีขีดจากดั สาหรับบุคคลที่ใฝ่ หาความรู้ การเรียน การสอนผา่ นเวบ็ เป็ นการขยายโอกาสใหก้ บั ทุกๆคนที่สนใจศึกษา เนื่องจากผเู้ รียนไม่จาเป็นจะตอ้ ง เดินทางไปเรียนณ ท่ีใดที่หน่ึง ผทู้ ่ีสนใจสามารถเรียนไดด้ ว้ ยตนเองในเวลาที่สะดวก จะเห็นไดว้ า่ การเรียน การสอนผา่ นเวบ็ น้ีมีคุณลกั ษณะที่ช่วยสนบั สนุนหลกั พ้นื ฐานการจดั การเรียนการสอนท้งั 5 ประการได้ อยา่ งมีประสิทธิภาพ ประโยชน์การเรียนการสอนผ่านเวบ็ 1.การที่เวบ็ เปิ ดโอกาสใหเ้ กิดการปฏิสมั พนั ธ์ (Interactive) ระหวา่ งผเู้ รียนกบั ผสู้ อนและผเู้ รียน กบั ผเู้ รียนหรือผเู้ รียนกบั เน้ือหาบทเรียน 2.การท่ีเวบ็ สามารถนาเสนอเน้ือหาในรูปแบบของสื่อประสม (Multimedia) 3.การท่ีเวบ็ เป็ นระบบเปิ ด (Open System) ซ่ึงอนุญาตใหผ้ ใู้ ชม้ ีอิสระในการเขา้ ถึงขอ้ มูลไดท้ ว่ั โลก 4.การท่ีเวบ็ อุดมไปดว้ ยทรัพยากร เพื่อการสืบคน้ ออนไลน์ (Online Search/Resource) 5.ความไม่มีขอ้ จากดั ทางสถานที่และเวลาของการสอนบนเวบ็ (Device, Distance and Time Independent) ผเู้ รียนท่ีมีคอมพิวเตอร์ในระบบใดกไ็ ด้ ซ่ึงต่อเขา้ กบั อินเทอร์เน็ตจะสามารถเขา้ เรียนจากที่ ใดกไ็ ดใ้ นเวลาใดก็ได้ 6.การท่ีเวบ็ อนุญาตใหผ้ เู้ รียนเป็นผคู้ วบคุม (Learner Controlled) ผเู้ รียนสามารถเรียนตามความ พร้อมความถนดั และความสนใจของตน
71 7.การที่เวบ็ มีความสมบูรณ์ในตนเอง (Self- contained) ทาใหเ้ ราสามารถจดั กระบวนการเรียน การสอนท้งั หมดผา่ นเวบ็ ได้ การท่ีเวบ็ อนุญาตใหม้ ีการติดต่อสื่อสารท้งั แบบเวลาเดียว (Synchronous Communication) เช่น Chat และตา่ งเวลากนั (Asynchronous Communication) เช่น Web Board เป็นตน้ หลกั สูตร การบริหารจัดการนวตั กรรม สาหรับผู้ประกอบการ ความสาคัญ ในศตวรรษที่ 21 ความรู้ดา้ นวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยแี ละการบริหารจดั การ เป็ นปัจจยั สาคญั ท่ีทา ใหเ้ ศรษฐกิจเติบโต อีกท้งั โลกของการแขง่ ขนั ไดเ้ ปล่ียนรูปแบบจากการผลิตที่ใชแ้ รงงานไปสู่การผลิตท่ี ใชเ้ ทคโนโลยแี ละนวตั กรรมเป็นฐานสาคญั ดงั น้นั เพื่อใหอ้ งคก์ รอยรู่ อดได้ ผปู้ ระกอบการในยคุ น้ีจึง จาเป็นตอ้ งศึกษา แสวงหาและพฒั นาความรู้และความคิดสร้างสรรคเ์ พื่อการสร้างสิ่งใหม่ที่เราเรียกวา่ นวตั กรรม ท้งั ที่เป็ นผลิตภณั ฑ์ กระบวนการผลิต การบริการและรูปแบบธุรกิจใหม่ รวมท้งั ตอ้ งรู้จกั วธิ ีการ จดั การและบริหารธุรกิจนวตั กรรม เพื่อสร้างความเป็นผนู้ าและสร้างความสาเร็จใหก้ บั ธุรกิจ ดว้ ยตระหนกั ถึงความสาคญั และความจาเป็นท่ีผปู้ ระกอบการควรจะตอ้ งเรียนรู้เก่ียวกบั การ จดั การนวตั กรรรมในมิติตา่ งๆ เพ่ือสร้างความสามารถในการแข่งขนั ดว้ ยการเพิม่ มลู ค่าใหก้ บั สินคา้ และ บริการ ซ่ึงจะเป็นการสร้างมูลคา่ ใหก้ บั ระบบเศรษฐกิจในภาพรวม สานกั งานส่งเสริมการศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ โดย สถาบนั การศึกษาทางไกล และกระทรวงวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสานกั งานนวตั กรรมแห่งชาติจึง ไดร้ ่วมกนั พฒั นาหลกั สูตรการจดั การนวตั กรรมสาหรับผปู้ ระกอบการข้ึน หลกั การ 1) เป็นหลกั สูตรท่ีจดั และพฒั นาข้ึนเพื่อตอบสนองการพฒั นาผปู้ ระกอบการและบุคคลทวั่ ไปท่ี สนใจในการประกอบธุรกิจ เพื่อใหส้ ามารถนาไปใชใ้ นการจดั การนวตั กรรมดา้ นสินคา้ และบริการได้ อยา่ งเหมาะสม ตามความสนใจ ความถนดั และตามทนั การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม 2) เป็นหลกั สูตรที่มุ่งเนน้ การใหค้ วามรู้และพฒั นาทกั ษะพ้นื ฐานที่จาเป็นในการจดั การ นวตั กรรม โดยการนาเสนอเน้ือหาและกิจกรรมที่สามารถนาไปศึกษา คน้ ควา้ ความรู้เพิ่มเติมได้ 3) เป็นหลกั สูตรที่ออกแบบเพื่อใหส้ ามารถเรียนรู้ดว้ ยตนเอง โดยใชส้ ่ือการเรียนรู้ตามแนวทาง และหลกั การศึกษาทางไกล 4) เป็นหลกั สูตรที่เปิ ดโอกาสใหเ้ ลือกเรียนไดท้ ้งั ในลกั ษณะท่ีขอรับวฒุ ิบตั รและไม่ขอรับวฒุ ิบตั ร
72 (การศึกษาตามอธั ยาศยั ) โดยผทู้ ่ีศึกษาในลกั ษณะขอรับวฒุ ิบตั รสามารถนาผลการเรียนรู้ไปเทียบความรู้ ในหลกั สูตรของสถานศึกษาหรือสถาบนั อ่ืนท่ีมีเน้ือหาในลกั ษณะเดียวกนั ตามหลกั เกณฑแ์ ละเงื่อนไขท่ี สถานศึกษาหรือสถาบนั น้นั ๆ กาหนด จุดประสงค์ของหลกั สูตร 1) เพ่ือใหม้ ีความรู้ความเขา้ ใจในหลกั การและทกั ษะพ้ืนฐานท่ีถูกตอ้ งในการจดั การนวตั กรรมใน สถานประกอบการ 2) เพอื่ ใหส้ ามารถประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้และทกั ษะในการจดั การนวตั กรรมไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ตาม ความสนใจ ความถนดั และตามทนั การเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม 3) เพ่อื ใหส้ ามารถจดั ทาขอ้ เสนอโครงการนวตั กรรมท่ีถูกตอ้ งในการขอรับการสนบั สนุนจาก สานกั งานนวตั กรรมแห่งชาติ 4) เพื่อใหร้ ู้จกั ช่องทางในการรับขอ้ มลู บริการและความช่วยเหลือจากภาครัฐ เพื่อการจดั การ นวตั กรรมในสินคา้ และบริการ กล่มุ เป้ าหมาย 1. ผบู้ ริหารหรือเจา้ หนา้ ที่ในสถานประกอบการตา่ งๆ 2. บุคคลทวั่ ไปที่สนใจในการประกอบธุรกิจนวตั กรรม ระยะเวลาเรียนและจานวนหน่วยกติ 1. ระยะเวลาเรียนรู้หลกั สูตร จานวน 280 ชวั่ โมง (ประมาณ 4 เดือน) 1.1 เรียนรู้เน้ือหา จานวน 145 ชวั่ โมง 1.2 เรียนรู้จากการศึกษาคน้ ควา้ และทากิจกรรมการเรียนรู้จานวน 135 ชวั่ โมง 2. จานวนหน่วยกิต 7 หน่วยกิต (ระยะเวลาการเรียนรู้เน้ือหาและทากิจกรรมการเรียนรู้จานวน 40 ชว่ั โมง เทา่ กบั 1 หน่วยกิต) โครงสร้างหลกั สูตร หลกั สูตรการจดั การนวตั กรรมสาหรับผปู้ ระกอบการ ประกอบดว้ ย 9 หน่วยการเรียนรู้ คือ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 1. นวตั กรรมและการจัดการนวตั กรรม จานวน 25 ช่ัวโมง 1.1 ทฤษฎี “นวตั กรรมและกระบวนการพฒั นานวตั กรรม” 1) ความหมาย ความสาคญั ประเภท รูปแบบของนวตั กรรม 2) การเปล่ียนแปลงของเทคโนโลยแี ละผลกระทบต่อการเกิด นวตั กรรม 3) ทฤษฎีการไดม้ าซ่ึงนวตั กรรมและการจดั การนวตั กรรม 4) กระบวนการพฒั นานวตั กรรม
73 1.2 กลยทุ ธ์ในการจดั การนวตั กรรม 1) แนวคิดเกี่ยวกบั การวางกลยทุ ธ์ดา้ นนวตั กรรม 2 ) การวางตาแหน่งองคก์ รเพ่ือกาหนดกลยทุ ธ์ในการแขง่ ขนั 3) กลยทุ ธ์ดา้ นเทคโนโลยแี ละการกาหนดทิศทางการพฒั นาเทคโนโลยี 1.3 กระบวนการบริหารจดั การนวตั กรรม 1) การเงินการลงทุนเพื่อพฒั นาธุรกิจนวตั กรรม 2 ) ปัจจยั ดา้ นตลาดต่อการพฒั นาธุรกิจนวตั กรรม 3) การสร้างพนั ธมิตรเพื่อการสนบั สนุนธุรกิจนวตั กรรม 4) การบริหารจดั การระบบภายในองคก์ ร 1.4 เครือขา่ ยวสิ าหกิจนวตั กรรมและระบบนวตั กรรมแห่งชาติ หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 นวตั กรรมด้านผลติ ภณั ฑ์และกระบวนการ จานวน 35 ชั่วโมง 2.1 ความหมายและความสาคญั ของนวตั กรรมผลิตภณั ฑแ์ ละนวตั กรรม กระบวนการ 2.2 การประยกุ ตใ์ ชค้ วามสามารถขององคก์ รเพื่อสร้างความสามารถ ในการพฒั นานวตั กรรม 2.3 การพฒั นานวตั กรรมกระบวนการเพ่ือสร้างรูปแบบธุรกิจนวตั กรรม 2.4 กระบวนการบริหารจดั การงานวจิ ยั และพฒั นาเพอ่ื การสร้างสรรค์ นวตั กรรม 1) บริบททวั่ ไปของงานวจิ ยั และพฒั นา 2) แนวทางการบริหารจดั การโครงการวจิ ยั และพฒั นา - การไดม้ าซ่ึงงานวจิ ยั และพฒั นา และการเชื่อมโยงงานวจิ ยั สู่นวตั กรรม - การประเมินโครงการวจิ ยั และพฒั นา 3) การถ่ายทอดเทคโนโลยเี พ่ือการสร้างนวตั กรรม - กระบวนและรูปแบบการถ่ายทอดเทคโนโลยี - ขอ้ จากดั และอุปสรรคในการถ่ายทอดเทคโนโลยี - หลกั การและแนวทางในการรับถ่ายทอดเทคโนโลยี หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 แนวทางการพฒั นานวตั กรรมด้านผลติ ภัณฑ์ จานวน 40 ชั่วโมง 3.1 กลยทุ ธ์การพฒั นาผลิตภณั ฑแ์ ละการสร้างตราสินคา้ 1) แนวทางและการวางแผนพฒั นาผลิตภณั ฑร์ ูปแบบตา่ งๆ 2) กลยทุ ธ์การพฒั นาผลิตภณั ฑ์ 3) กลยทุ ธ์การสร้างตราสินคา้ และการเขา้ สู่ตลาด 3.2 การพฒั นาผลิตภณั ฑใ์ หม่ (New Product Development) 1) แนวคิดและความน่าสนใจของกบั การพฒั นาผลิตภณั ฑใ์ หม่ 2) ประเภทและรูปแบบของการพฒั นาผลิตภณั ฑใ์ หม่
74 3) กระบวนการพฒั นาผลิตภณั ฑใ์ หม่ 3.3 บทบาทของการบรรจุภณั ฑก์ บั การพฒั นาผลิตภณั ฑใ์ หม่ 1) ความสาคญั พ้นื ฐานและลกั ษณะพเิ ศษของการบรรจุภณั ฑ์ 2) โอกาสในการสร้างผลิตภณั ฑใ์ หม่จากบรรจุภณั ฑ์ 3.4 อิทธิพลของการวจิ ยั ตลาดตอ่ การพฒั นานวตั กรรมผลิตภณั ฑ์ 1) ความสาคญั ของการวจิ ยั ตลาดตอ่ การพฒั นาผลิตภณั ฑน์ วตั กรรม 2) การทดสอบผลิตภณั ฑใ์ หม่ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 4 นวตั กรรมเชิงยุทธศาสตร์ จานวน 25 ชั่วโมง 4.1 กลยทุ ธ์การบริหารนวตั กรรม 1) องคป์ ระกอบของการบริหารจดั การนวตั กรรมในองคก์ ร 2) แนวคิดในการกาหนดกลยทุ ธ์ดา้ นการบริหารนวตั กรรมและ การสร้างความร่วมมือกบั พนั ธมิตรเพอ่ื สร้างความไดเ้ ปรียบในการแขง่ ขนั 4.2 นวตั กรรมเชิงยทุ ธศาสตร์ของประเทศไทย - ความสาคญั ในการกาหนดนวตั กรรมเชิงยทุ ธศาสตร์สาหรับประเทศและกรณีศึกษายทุ ธศาสตร์ นวตั กรรมของประเทศไทย 4.3 เศรษฐกิจฐานความรู้กบั การพฒั นานวตั กรรมเชิงยทุ ธศาสตร์สาหรับองคก์ ร 1) ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งนวตั กรรมกบั เศรษฐกิจฐานความรู้ 2 ) การกาหนดนวตั กรรมเชิงยทุ ธศาสตร์สาหรับองคก์ ร หน่วยการเรียนรู้ท่ี 5 ทรัพย์สินทางปัญญาและการอนุญาตใช้สิทธิทางเทคโนโลยี จานวน 30 ช่ัวโมง 5.1 ทรัพยส์ ินทางปัญญากบั เศรษฐกิจใหม่ 1) ความหมาย องคป์ ระกอบและประเภทของทรัพยส์ ินทางปัญญา 2) ระบบทรัพยส์ ินทางปัญญา 3) ความสาคญั ของทรัพยส์ ินทางปัญญาในระบบเศรษฐกิจใหม่ 5.2 ธุรกิจนวตั กรรมกบั การบริหารจดั การทรัพยส์ ินทางปัญญา 1) ความคุม้ ครองและการปกป้ องสิทธิในทรัพยส์ ินทางปัญญาแตล่ ะประเภท 2) วธิ ีการนาทรัพยส์ ินทางปัญญาไปใชป้ ระโยชน์ 3) วธิ ีการประเมินมูลค่าทรัพยส์ ินทางปัญญา หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 การลงทุนในธุรกจิ นวตั กรรม จานวน 30 ชั่วโมง 6.1 แนวคิดการลงทุนธุรกิจนวตั กรรม 6.2 การวเิ คราะห์ปัจจยั ภายนอกและภายในสาหรับการลงทุนธุรกิจนวตั กรรม
75 6.3 องคป์ ระกอบของการลงทุนธุรกิจนวตั กรรม 1) แผนการบริหารจดั การ 2) แผนการตลาด 3) แผนการผลิต 4) แผนการเงิน 6.4 การขยายผลธุรกิจนวตั กรรม 1) แนวทางการขยายผลธุรกิจนวตั กรรม 2) แหล่งเงินทุนเพอื่ ขยายธุรกิจนวตั กรรม 6.5 กรณีศึกษาการลงทุนธุรกิจนวตั กรรม หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 การจัดการทรัพยากรมนุษย์และองค์กรนวตั กรรม จานวน 30 ช่ัวโมง 7.1 ทฤษฎีองคก์ ร 7.2 การจดั การทรัพยากรมนุษยส์ าหรับองคก์ รนวตั กรรม 1) โครงสร้างและหนา้ ท่ีของการจดั การทรัพยากรมนุษย์ - การวางแผนและการบริหารทรัพยากรมนุษย์ (การประเมิน การสรรหา และการพฒั นา) - การพฒั นาทรัพยากรมนุษยเ์ ชิงความสามารถ 2) แหล่งท่ีมาของการสร้างสรรคน์ วตั กรรม 3) การจดั การความคิดเชิงสร้างสรรค์ 4) ภาวะผนู้ าเพื่อการสร้างองคก์ รนวตั กรรม 7.3 กลยทุ ธ์การสร้างและรูปแบบของการบริหารองคก์ รนวตั กรรม หน่วยการเรียนรู้ที่ 8 การบริหารจัดการระบบนวตั กรรมในประเทศไทย จานวน 15 ช่ัวโมง 8.1 โครงสร้างพ้ืนฐานของระบบนวตั กรรมในประเทศไทย 1) ความสาคญั ของโครงสร้างพ้ืนฐานดา้ นตา่ งๆ ต่อการพฒั นาระบบนวตั กรรม 2) มาตรการของภาครัฐเพอื่ สร้างความสามารถทางเทคโนโลยแี ละนวตั กรรม ในวสิ าหกิจไทย 8.2 บทบาทของนวตั กรรมต่อการพฒั นาศกั ยภาพการแขง่ ขนั ของประเทศ 1) สานกั งานนวตั กรรมแห่งชาติกบั การสร้างระบบการพฒั นานวตั กรรม 2) ระบบสนบั สนุนการพฒั นานวตั กรรม หน่วยการเรียนรู้ที่ 9 การจัดทาข้อเสนอโครงการนวตั กรรม (รายบุคคล) จานวน 50 ชั่วโมง มีสาระการเรียนรู้ ดงั น้ี 9.1 ขอ้ มลู ทว่ั ไป 9.2 ขอ้ มลู เทคโนโลยี 9.3 ขอ้ มลู ธุรกิจ
76 9.4 งบประมาณในโครงการ 9.5 ขอ้ มูลการเงิน สื่อการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ตามหลกั สูตรการจดั การนวตั กรรมสาหรับผปู้ ระกอบการเป็ น ชุดการเรียน (learning package) ท่ีมีลกั ษณะเป็น ส่ือประสม (Multi media) ดงั น้ี 1. ส่ือชุดการเรียน ประกอบดว้ ย 1.1 ส่ือหลกั (สื่อเอกสาร) ไดแ้ ก่ หนงั สือช่ือ “การจดั การนวตั กรรมสาหรับผบู้ ริหาร” 1.2 ส่ือเสริมการเรียนรู้ 1) สื่อวดี ิทศั น์ ไดแ้ ก่ เร่ือง “พระบิดาแห่งนวตั กรรมไทย” 2) หนงั สือ/สมุด ไดแ้ ก่ 2.1) หนงั สือช่ือ “นวตั กรรม...คนไทยทาได้ จากแนวคิดสู่แนวทางปฏิบตั ิจริง” 2.2) หนงั สือชื่อ “สุดยอดนวตั กรรมไทย ” 2.3) หนงั สือชื่อ “คูม่ ือการจดทะเบียนและบริหารจดั การทรัพยส์ ินทางปัญญา” 2.4) สมุดชื่อ “คูม่ ือเพอ่ื สร้างธุรกิจนวตั กรรม” 2. ส่ือท่ีเป็นคูม่ ือการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ประกอบดว้ ย 2.1 คูม่ ือการเรียนทางไกล 2.2 วดี ิทศั นป์ ฐมนิเทศทางไกล 2.3 แบบฝึกหดั กิจกรรมการเรียนรู้ (เอกสารชื่อ “แบบบนั ทึกกิจกรรมการเรียนรู้” รวมอยใู่ น เอกสาร “คูม่ ือการเรียนทางไกล”) นอกจากน้ียงั มีสื่อประเภทอื่นๆ ที่จะช่วยเสริมการเรียนรู้ของผเู้ รียน ไดแ้ ก่ 1. ส่ือบุคคล ซ่ึงเป็นอาจารยท์ ี่ปรึกษาท้งั ในดา้ นเน้ือหาและการจดั ทากิจกรรม การเรียนรู้ตามที่หลกั สูตร กาหนด 2. ส่ืออื่นๆ นกั ศึกษาสามารถศึกษาคน้ ควา้ เพ่ิมเติมไดด้ ว้ ยตนเองจากสื่อและการเขา้ ร่วมกิจกรรมต่างๆ ของสานกั งานนวตั กรรมแห่งชาติ ไดแ้ ก่ จดหมายขา่ วเพอื่ เครือขา่ ยนวตั กรรมไทย Innovation Links เวบ็ ไซท์ www.innookcard.com, www.nia.or.th การชมนิทรรศการ การเขา้ ร่วมประชุมสัมมนาเป็นตน้ รวมท้งั ส่ือและกิจกรรมของหน่วยงานอ่ืนๆที่เก่ียวขอ้ งได้ แนวทางการเรียนรู้ การเรียนในระบบทางไกล เป็ นการเรียนรู้ดว้ ยตนเองจากสื่อชุดการเรียนและสื่ออื่นๆ โดยผเู้ รียนตอ้ ง 1. สร้างความเขา้ ใจเกี่ยวกบั หลกั สูตรและวธิ ีการเรียนรู้ดว้ ยการศึกษาคู่มือการเรียนทางไกล และ วดี ิทศั นป์ ฐมนิเทศทางไกล
77 2. เรียนรู้เน้ือหาจากส่ือหลกั และส่ือเสริมการเรียนรู้ที่เป็นส่ือส่ิงพิมพแ์ ละส่ือวดี ิทศั น์ รวมท้งั แหล่งการเรียนรู้อ่ืนๆ เพิม่ เติม 3. จดั ทาแบบฝึกหดั และกิจกรรมการเรียนรู้ตามท่ีหลกั สูตรกาหนด รวมท้งั การจดั ทาขอ้ เสนอ โครงการนวตั กรรม (รายบุคคล) แลว้ บนั ทึกลงในแบบบนั ทึกกิจกรรมการเรียนรู้ 4. เรียนรู้ดว้ ยการแลกเปล่ียนความรู้และประสบการณ์ระหวา่ งผเู้ รียนและอาจารยท์ ่ีปรึกษา โดย ทางจดหมาย โทรศพั ท์ โทรสารหรือผา่ นส่ือออนไลน์ เช่น e-mail หรือ webboard 5. เขา้ ร่วมกิจกรรมสมั มนาเสริมประสบการณ์การเรียนรู้ก่อนจบหลกั สูตร จานวน 1 วนั เพื่อเสริม ความรู้เพิ่มเติม รวมท้งั เรียนรู้ประสบการณ์จากวทิ ยากรท่ีมีช่ือเสียง การวดั ผลประเมินผล 1. การประเมินความรู้ดา้ นวชิ าการ จานวน 100 คะแนน โดยการประเมินจาก 1) การทาแบบบนั ทึกกิจกรรมการเรียนรู้ จานวน 40 คะแนน 2) การจดั ทาขอ้ เสนอโครงการ (รายบุคคล) จานวน 30 คะแนน 3) การประเมินความรู้ดว้ ยแบบทดสอบ จานวน 30 คะแนน 2. การประเมินผลจากการเขา้ ร่วมกิจกรรมสมั มนาเสริมประสบการณ์การเรียนรู้ โดยการพิจารณา จากพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในทุกกิจกรรมดว้ ยความสนใจตลอดการสัมมนา การจบหลกั สูตร 1. นกั ศึกษาท่ีจะไดร้ ับการพจิ ารณาใหจ้ บหลกั สูตรจะตอ้ งผา่ นเกณฑก์ ารประเมินแต่ละดา้ น ดงั น้ี 1.1 เกณฑก์ ารประเมินความรู้ดา้ นวชิ าการ 1) การทาแบบบนั ทึกกิจกรรมการเรียนรู้ เกณฑร์ ้อยละ 60 (24 คะแนนข้ึนไป) ถือวา่ ผา่ น 2) การจดั ทาขอ้ เสนอโครงการ(รายบุคคล) เกณฑร์ ้อยละ 60 (18 คะแนนข้ึนไป) ถือวา่ ผา่ น 3) การทดสอบภาคความรู้ เกณฑร์ ้อยละ 60 (18 คะแนนข้ึนไป) ถือวา่ ผา่ น 1.2 การเขา้ ร่วมกิจกรรมสมั มนาเสริมประสบการณ์การเรียนรู้ เกณฑเ์ ขา้ ร่วม ถือวา่ ผา่ น 2. การคิดคา่ ระดบั ผลการเรียนจากการประเมินความรู้ดา้ นวชิ าการ มีดงั น้ี 0 หมายถึง ผลการเรียนไมผ่ า่ น (คะแนน ต่ากวา่ 60 คะแนน) 1 หมายถึง ผลการเรียนอ่อนมาก (คะแนน ระหวา่ ง 60 - 65 คะแนน) 1.5 หมายถึง ผลการเรียนออ่ น (คะแนน ระหวา่ ง 66 - 69 คะแนน) 2 หมายถึง ผลการเรียนพอใช้ (คะแนน ระหวา่ ง 70 - 75 คะแนน) 2.5 หมายถึง ผลการเรียนดีพอใช้ (คะแนน ระหวา่ ง 76 - 79 คะแนน) 3 หมายถึง ผลการเรียนดี (คะแนน ระหวา่ ง 80 - 85 คะแนน) 3.5 หมายถึง ผลการเรียนดีมาก (คะแนน ระหวา่ ง 86 - 89 คะแนน) 4 หมายถึง ผลการเรียนดีเยยี่ ม (คะแนน ระหวา่ ง 90 - 100 คะแนน)
78 บรรณานุกรม เขา้ ถึงไดจ้ ากhttp://lanta.giti.nectec.or.th/tiac/index.php?option=com_frontpage&Itemid=1 เขา้ ถึงไดจ้ ากhttp://www.thaiedunet.com/cet/html/multimedia/multi_lesson/multimedia_main.html เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.thaiwbi.com/ เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.kroobannok.com/view.php?article_id=133 เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.nectec.or.th/ http://manusrin22.blogspot.com/2010/12/3.html http://ajmaow.multiply.com/journal/item/2/2?&show_interstitial=1&u=%2Fjournal%2Fitem อา้ งอิง: http://www.inspect1.moe.go.th/saroj.htm กิดานนั ท์ มลิทอง. (2548). ไอซีทเี พอื่ การศึกษา.—กรุงเทพฯ : หา้ งหุน้ ส่วนจากดั อรุณการพมิ พ.์ กิดานนั ท์ มลิทอง. (2543). เทคโนโลยกี ารศึกษาและนวตั กรรม.—พิมพค์ ร้ังที่ 2.— กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ไชยยศ เรืองสุวรรณ. (2533).เทคโนโลยกี ารสอน : การออกแบบและพฒั นา. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์, นิพนธ์ ศุขปรีดี. (2546).นวตั กรรมเทคโนโลยสี ื่อสารการศึกษา. กรุงเทพฯ : นีลนาราการพมิ พ,์ สุมาลี ชยั เจริญ. (2551). เทคโนโลยกี ารศึกษา : หลกั การ ทฤษฎสี ู่การปฏบิ ตั .ิ —ขอนแก่น: คลงั นานาวทิ ยา.
Search