ก ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรอ่ื ง การถ่ายทอดทางพนั ธุกรรม โดยใชว้ ัฏจกั รการเรยี นรู้ 7 ขัน้ สาหรบั นักเรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 6 ชดุ ท่ี 3
ข กจิ กรรมการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ เรื่อง การถ่ายทอดทางพันธกุ รรม โดยใชว้ ฏั จักรการเรยี นรู้ 7 ขนั้ สาหรับนกั เรยี น ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 ชุดนี้ เป็นนวัตกรรมการเรียนรู้ ที่จัดทาขึ้นเพอื่ ใชเ้ ป็นสื่อประกอบ การจัดการเรยี นรู้ เรื่อง การถ่ายทอดทางพนั ธุกรรม รายวิชาชีววิทยา สาหรับนกั เรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 6 ซง่ึ ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้น้ี มเี น้ือหาสาระและกจิ กรรมที่สอดคล้องกับ สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ของหลกั สตู ร แกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 ซ่งึ ประกอบดว้ ยชดุ กจิ กรรมการเรียนรทู้ ้งั หมด 10 ชุด ดังน้ี ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ท่ี 1 เร่ือง การศึกษาพันธศุ าสตรข์ องเมนเดล จานวน 2 ชั่วโมง ชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ท่ี 2 เรื่อง ความนา่ จะเป็น จานวน 1 ช่ัวโมง ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง กฎแห่งการแยก จานวน 2 ช่วั โมง ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ท่ี 4 เรื่อง กฎแห่งการรวมกลุ่มอย่างอสิ ระ จานวน 2 ชว่ั โมง ชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ที่ 5 เร่ือง การผสมเพอื่ ทดสอบ จานวน 1 ชว่ั โมง ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ท่ี 6 เรื่อง การข่มไม่สมบูรณ์และการข่มร่วมกัน จานวน 2 ชั่วโมง ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ที่ 7 เรื่อง มลั ตเิ ปิลแอลลลี และพอลิยนี จานวน 2 ชว่ั โมง ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ท่ี 8 เร่ือง ยีนบนโครโมโซมเพศ จานวน 2 ชั่วโมง ชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ท่ี 9 เร่ือง ยนี บนโครโมโซมเดียวกัน จานวน 2 ชวั่ โมง ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ที่ 10 เร่ือง ลักษณะที่อยู่ภายใต้อทิ ธิพลของเพศและลักษณะทีป่ รากฏจาเพาะเพศ จานวน 2 ชั่วโมง ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เร่ือง การถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ข้ัน สาหรับนกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 6 นี้ ประกอบด้วยมาตรฐานการเรียนรแู้ ละผลการเรียนรู้ จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ คู่มือประกอบการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ องค์ประกอบของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบทดสอบก่อน-หลังเรียน บตั รคาส่งั ใบความรู้ ใบกิจกรรม และใบงาน ทผี่ ู้เรียนสามารถศกึ ษาคน้ คว้าดว้ ยตนเองตามความสนใจ เป็นอสิ ระ และมีส่วนรว่ มในการเรยี นการสอน โดยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ จะช่วยให้ใช้เวลาน้อยลงในการนาเสนอข้อมูลตา่ งๆ จากคาแนะนาทป่ี รากฏอย่ใู นชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ไปตามลาดับ ขอขอบคุณผูม้ สี ว่ นเกี่ยวข้องทุกท่าน ทไ่ี ด้ให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ในการจดั ทาชดุ กจิ กรรมการเรียนร้เู ลม่ นี้ ผู้จดั ทาหวงั วา่ ชดุ กจิ กรรมการเรียนรทู้ ีจ่ ดั ทาข้ึนนี้ จะเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน ให้เป็นไป ตามเจตนารมณ์ของหลกั สูตร และเปน็ ประโยชน์ต่อการจดั กระบวนการเรยี นรูข้ องครูได้เป็นอย่างดี จันจริ า หม่นั บอ่ แก ชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื ง การถา่ ยทอดทางพนั ธกุ รรม โดยใชว้ ฏั จักรการเรยี นรู้ 7 ขัน้ สาหรบั นักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 6 ชุดที่ 3
ค เร่อื ง หน้า คานา………………………………………………………………………………………………………………… ก สารบัญ……………………………………………………………………………………………………………… ข มาตรฐานการเรียนร้แู ละผลการเรยี นรู้…………..………………………………………………………… 1 จดุ ประสงค์การเรยี นรู้…………………………………………..………….…………………………………... 2 คู่มือประกอบการใช้ชุดกิจกรรมการเรยี นร…ู้ …………………………………….................................... 3 องคป์ ระกอบของชดุ กจิ กรรมการเรยี นร…ู้ ………………………………………………………………… 5 แบบทดสอบก่อน–หลังเรียนชุดที่ 3…………………………………………………………………......... 6 บตั รคาสง่ั …………………………………………………………………………………………………………… 8 ใบความร้ทู ี่ 3……………………………………………………………………………………………………… 9 ใบกิจกรรมที่ 3……………………………………………………………………………………………………. 17 ใบงานท่ี 3………………………………………………………………………………………………………….. 19 เฉลยใบกิจกรรมท่ี 3……………………………………………………………………………………………… 20 เฉลยใบงานท่ี 3…………………………………………………………………………………………………… 23 เฉลยแบบทดสอบกอ่ น–หลงั เรยี นชดุ ที่ 3…………………………………………………………………. 25 บรรณานุกรม……………………………………………………………………………………………………….. 26 ประวตั ผิ จู้ ัดทา…………………………………………………………………………………………………… 27 ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรอ่ื ง การถา่ ยทอดทางพันธุกรรม โดยใชว้ ฏั จักรการเรยี นรู้ 7 ขัน้ สาหรบั นักเรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 6 ชดุ ท่ี 3
1 มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม วิวัฒนาการ ของสิ่งมชี วี ิต ความหลากหลายทางชวี ภาพ การใช้เทคโนโลยชี ีวภาพท่ีมผี ลกระทบต่อมนุษยแ์ ละส่ิงแวดล้อม มีกระบวนการสบื เสาะหาความรู้และจิตวทิ ยาศาสตร์ ส่ือสารสงิ่ ทีเ่ รียนร้แู ละนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 8.1 ใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละจติ วิทยาศาสตร์ในการสบื เสาะหาความรู้ การแก้ปญั หา รวู้ ่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติท่เี กิดขึ้นสว่ นใหญ่มีรูปแบบที่แน่นอน สามารถอธิบายและตรวจสอบได้ ภายใตข้ ้อมูล และเครื่องมอื ที่มีอยู่ในช่วงเวลาน้ันๆ เข้าใจวา่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงั คมและส่ิงแวดลอ้ มมีความเกยี่ วข้องสัมพันธ์ กัน สบื คน้ ข้อมลู วเิ คราะห์ อภปิ ราย อธบิ ายและสรปุ การค้นพบกฎการถ่ายทอดทางพันธุกรรมของเมนเดล ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ เรอื่ ง การถา่ ยทอดทางพันธุกรรม โดยใชว้ ัฏจักรการเรยี นรู้ 7 ขนั้ สาหรบั นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 6 ชดุ ท่ี 3
2 ด้านความรู้ จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. อธิบาย สรปุ กฎแหง่ การแยก และนากฎแห่งการแยกไป หาโอกาสของการเกดิ จีโนไทป์ และฟโี นไทป์แบบตา่ งๆ ในร่นุ F1 และรุ่น F2 ของการผสมพจิ าณาลักษณะเดยี วได้ ด้านทกั ษะ/กระบวนการ นกั เรยี นมีความสามารถในการรว่ มปฏบิ ัติ กิจกรรมกลมุ่ ในการสืบค้นขอ้ มลู อภิปราย เกย่ี วกับ เร่อื ง กฎแหง่ การแยกได้ ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 1. มวี นิ ยั 2. ใฝ่เรยี นรู้ 3. มคี วามซื่อสตั ย์ 4. มุง่ มั่นในการทางาน 5. มจี ติ สาธารณะ สมรรถนะสาคญั 1. ความสามารถในการคิด 2. ความสามารถในการแก้ปัญหา 3. ความสามารถในการส่ือสาร 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรอ่ื ง การถา่ ยทอดทางพนั ธุกรรม โดยใชว้ ัฏจักรการเรยี นรู้ 7 ข้นั สาหรบั นักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 6 ชดุ ที่ 3
3 เพอ่ื ให้การใช้ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้นมี้ ีประสิทธิภาพ และบรรลุตามจุดประสงค์ทตี่ ง้ั ไว้ ครูผูส้ อน และนักเรียนควรปฏบิ ตั ิตามคาแนะนาดงั นี้ 1. บทบาทของครผู สู้ อน มดี ังน้ี 1. ศึกษาแผนการจัดการเรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ การวัดและประเมนิ ผล และกระบวนการจัดการเรียนรูใ้ หเ้ ขา้ ใจอย่างชัดเจน 2. เตรียมชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้และวัสดอุ ปุ กรณ์ประจาชุดกจิ กรรมการเรียนรใู้ ห้พร้อมและเพยี งพอ กบั จานวนนกั เรียน 3. แนะนาขนั้ ตอนการใชช้ ุดกิจกรรมการเรียนรู้ แนวปฏิบตั ิให้นักเรียนรบั ทราบโดยละเอยี ด ตลอดจนกาหนดขอ้ ตกลงร่วมกัน 4. ก่อนการใชช้ ดุ กจิ กรรมการเรียนร้ใู หน้ ักเรียนทาแบบทดสอบกอ่ นเรยี น จานวน 10 ขอ้ ใช้เวลา 10 นาที เพอ่ื วดั ความรพู้ ืน้ ฐานก่อนเรยี น 5. กระต้นุ ใหน้ ักเรียนศึกษา ปฏิบตั กิ ิจกรรม เปน็ ท่ปี รกึ ษาและคอยให้กาลังใจ ใหค้ วามช่วยเหลอื ขณะนักเรยี นปฏิบตั ิกิจกรรม 6. จดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนโดยปฏิบัตติ ามบตั รคาสง่ั ในชุดกจิ กรรมการเรียนรู้อย่างเคร่งครัด ครตู อ้ งกากับดูแลนกั เรียนอยา่ งใกลช้ ิดขณะจดั กิจกรรมการเรียนการสอน 7. การสรปุ บทเรยี น ควรเปิดโอกาสใหน้ ักเรียนมสี ่วนรว่ มในการสรุปเนื้อหาให้มากหรอื ช่วยกันสรปุ 8. เมือ่ นกั เรียนปฏบิ ัติจนครบทุกกจิ กรรมแล้วให้นักเรียนทาแบบทดสอบหลงั เรยี น จานวน 10 ข้อใช้เวลา 10 นาที 9. หลงั จากทากจิ กรรมการเรยี นการสอนเสร็จเรียบร้อยแล้วใหน้ ักเรยี นเกบ็ วัสดอุ ปุ กรณ์ และองค์ประกอบของชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ใหเ้ รียบร้อย 10. เมอื่ เรียนจบทั้ง 10 ชุด ครูผสู้ อนจะต้องสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นหลังเรยี น และใหน้ ักเรียนทาแบบสอบถามความพึงพอใจ ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรอื่ ง การถา่ ยทอดทางพนั ธกุ รรม โดยใชว้ ัฏจักรการเรยี นรู้ 7 ขัน้ สาหรบั นักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 6 ชุดท่ี 3
4 2. ส่ิงทคี่ รูต้องเตรียม ครตู ้องเตรียมสอ่ื การเรียนใหค้ รบตามขน้ั ตอนการจัดชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ ดังนี้ 2.1 แบบทดสอบกอ่ น-หลังเรยี น 2.2 บตั รคาสั่ง 2.3 ใบความรู้ 2.4 ใบกิจกรรม 2.5 ใบงาน 2.6 เฉลยใบกิจกรรม 2.7 เฉลยใบงาน 2.8 เฉลยแบบทดสอบกอ่ น-หลังเรียน 2.9 แบบประเมนิ การปฏิบตั งิ านกลุ่ม 2.10 แบบประเมินคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 2.11 แบบประเมินสมรรถนะสาคัญ 1. ศึกษาคาแนะนาในการใช้ชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ให้เข้าใจกอ่ นจะลงมอื ปฏิบัติกจิ กรรมและปฏบิ ัตติ าม ขนั้ ตอนตามเวลาทีก่ าหนด 2. ทาแบบทดสอบกอ่ นเรยี น จานวน 10 ข้อ ใชเ้ วลา 10 นาที 3. ปรกึ ษาครผู ูส้ อน เม่ือมีปัญหาหรอื ไม่เขา้ ในการใช้ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้หรือในการปฏิบัตกิ ิจกรรม 4. ศกึ ษาเน้ือหาและลงมอื ปฏิบัตกิ ิจกรรมตามลาดบั ขั้นตอนก่อน-หลงั 5. เลือกตวั แทนนาเสนอผลงานกลมุ่ หน้าชัน้ เรยี น 6. ทาแบบทดสอบหลังเรยี น จานวน 10 ข้อ ใชเ้ วลา 10 นาที ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ เรอื่ ง การถา่ ยทอดทางพันธุกรรม โดยใชว้ ฏั จกั รการเรยี นรู้ 7 ขน้ั สาหรบั นักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 6 ชดุ ท่ี 3
5 ชุดที่ 3 เรอ่ื ง กฎแห่งการแยก ประกอบดว้ ย 1. ใบความร้ทู ี่ 3 เปน็ ส่วนที่สรุปเนื้อหาสาระ เรอื่ ง กฎแห่งการแยก โดยให้นักเรยี นศึกษา ด้วยกนั ภายในกลุม่ ครูผ้สู อนเป็นท่ปี รึกษาเม่ือนกั เรียนมีปญั หา 2. ใบกจิ กรรมที่ 3 เปน็ ส่วนกาหนดกจิ กรรมให้นกั เรียนได้ปฏบิ ัตภิ ายในกลุ่ม เพื่อนาไปสู่ จดุ ประสงคท์ ต่ี ัง้ ไว้ 3. ใบงานที่ 3 เปน็ สว่ นกาหนดกจิ กรรมให้นกั เรยี นไดป้ ฏบิ ัติภายในกลมุ่ เพื่อนาไปสู่ จุดประสงค์ทต่ี งั้ ไว้ 4. แบบทดสอบก่อน-หลงั เรยี น ชุดที่ 3 เปน็ ส่วนท่นี ักเรยี นได้ประเมนิ ความรู้ความสามารถ ของตนเองหลังจากใชช้ ดุ กิจกรรมการเรยี นรแู้ ต่ละชดุ 5. เฉลยใบกิจกรรมท่ี 3 เป็นส่วนทใี่ ช้เฉลยกิจกรรมทใ่ี ห้นักเรียนปฏิบัติ 6. เฉลยใบงานท่ี 3 เป็นส่วนท่ีใช้เฉลยกจิ กรรมท่ีให้นักเรียนปฏบิ ัติ 7. เฉลยแบบทดสอบกอ่ น-หลังเรียน ชุดที่ 3 เป็นส่วนทีใ่ ชเ้ ฉลยหลังจากที่นักเรียนไดป้ ระเมิน ความรู้ความสามารถของตนเอง ภายหลงั การใชช้ ุดกิจกรรมการเรียนร้แู ต่ละชดุ เราจะเรียนร้ไู ปพร้อมๆกนั นะคะ ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรอื่ ง การถ่ายทอดทางพนั ธกุ รรม โดยใชว้ ัฏจักรการเรยี นรู้ 7 ขนั้ สาหรบั นกั เรยี นชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 6 ชุดที่ 3
6 แบบทดสอบกอ่ น–หลังเรียน ชดุ ท่ี 3 เร่อื ง กฎแหง่ การแยก ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 เวลา 10 นาที วิชา ชีววิทยา จานวน 10 ข้อ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… คาสั่ง : 1. แบบทดสอบนเ้ี ป็นแบบปรนยั เลือกตอบ มีทั้งหมด 10 ข้อ 2. ใหน้ กั เรียนเลอื กคาตอบท่ีถูกต้องทสี่ ดุ เพยี งคาตอบเดียวแล้วทาเครือ่ งหมายกากบาท (X) ลงในกระดาษคาตอบ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 1. การผสมพันธ์ใุ นข้อใดทจี่ ะให้ลูกออกมา 3/4 เปน็ ลักษณะเด่น ก. Tt x TT ข. TT x tt ค. Tt x tt ง. Tt x Tt 2. ขอ้ ใดเป็นจโี นไทป์ ของส่ิงมชี วี ิตท่มี สี ภาพเปน็ พนั ธ์แุ ท้ 1. RR 2. yy 3. Gg ก. เฉพาะขอ้ 1 ข. ข้อ 1 และ 2 ค. ข้อ 2 และ 3 ง. ถูกทกุ ข้อ 3. ในการผสมหนูคหู่ น่งึ หนมู ขี นสดี า เปน็ ลักษณะเด่น หนขู นสีขาวเป็นลักษณะด้อย ได้ลกู รนุ่ F1 มีทั้งขนสีขาวและสีดา ถา้ ให้ลูกขนสดี า ผสมกันเองจะไดล้ ูกในรุ่น F2 เป็นอย่างไร ก. สีดา ทกุ ตวั ข. สดี า ต่อสีขาว = 3 : 1 ค. สีขาวต่อสีดา = 3 : 1 ง. สีดา ตอ่ สีขาว = 1 : 1 4. ในการผสมแมวขนสีดาลกั ษณะเด่นพนั ธ์ุแท้ กับแมวขนสีขาวลักษณะด้อย ลูกรุ่น F1 จะมีขนสีอะไร ก. สขี าวพันธแุ์ ท้ ข. สีเทาพันธแ์ุ ท้ ค. สดี าพันธุท์ าง ง. สีขาวจดุ ดาพนั ธุท์ าง 5. กฎแหง่ การแยกของเมนเดล สอดคล้องกบั พฤตกิ รรมของโครโมโซมในระยะใด ก. prophase I ข. metaphase I ค. anaphase I ง. anaphase II 6. ในการผสมตวั เองของถัว่ ลันเตาเมลด็ เรียบ ปรากฏว่าได้ลูกมเี มล็ดย่นเกิดขนึ้ ดว้ ย จงคานวณหาจานวนลกู ที่มเี มล็ดเรียบแบบฮอมอไซกัส จากลกู ทงั้ หมด 1,024 ตน้ ก. 128 ตน้ ข. 256 ตน้ ค. 512 ตน้ ง. 768 ตน้ ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรอ่ื ง การถา่ ยทอดทางพันธุกรรม โดยใชว้ ัฏจักรการเรยี นรู้ 7 ขน้ั สาหรบั นกั เรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 ชดุ ที่ 3
7 7. ถว่ั ลนั เตาลกั ษณะดอกสมี ่วงเป็นลกั ษณะเด่น ต่อลักษณะดอกสีขาวเปน็ ลกั ษณะดอ้ ย ในการผสม ภายในดอกเดยี วกันของต้นที่มีดอกสีมว่ งทเ่ี ป็นเฮเทอโรไซกัสท้งั คู่ ขอ้ ใดถูกต้องเกย่ี วกับลูกรนุ่ F1 ก. ดอกสีมว่ งรอ้ ยละ 75 ข. ดอกมีขาวรอ้ ยละ 75 ค. ดอกสีมว่ งร้อยละ 50 ง. ดอกสขี าวร้อยละ 50 8. ในแมลงหวี่ กาหนดให้ B เปน็ ยนี ควบคุมลักษณะปกี ยาว และ b เปน็ ยนี ควบคุมลักษณะปีกสั้น เม่ือผสมพนั ธ์ุ แมลงหว่ีปกี ยาวและปีกสน้ั จะไดล้ ูกทมี่ ีปีกยาวและลูกทีม่ ปี ีกส้นั ในอัตราส่วน 1 : 1 ขอ้ ใดถูกต้องเกย่ี วกับจโี นไทป์ ของพ่อแม่ ก. พอ่ และแมม่ จี ีโนไทป์ bb ข. พ่อและแม่มจี ีโนไทป์ Bb ค. พอ่ และแมม่ จี ีโนไทป์ BB ง. พ่อและแม่ฝ่ายหน่งึ เป็น Bb และอกี ฝา่ ยหน่งึ เป็น bb 9. เมือ่ นากระตา่ ยขนสดี าท่ีเป็นฮอมอไซกสั ผสมกับกระตา่ ยขนสนี ้าตาล ปรากฏวา่ ลกู ที่เกิดมามีขนสีดาท้ังหมด ลกู ในรนุ่ F1 จะมจี โี นไทป์ทีเ่ ป็นเฮเทอโรไซกสั ร้อยละเทา่ ใด ก. 100 ข. 50 ค. 30 ง. 10 10. จากข้อ 9 ถา้ นาลกู รนุ่ F1 มาผสมกนั เอง จะได้ลูกร่นุ F2 ท่มี ีจโี นไทปก์ แี่ บบ ก. 1 แบบ ข. 2 แบบ ค. 3 แบบ ง. 4 แบบ ต้ังใจเรยี นนะคะเพือ่ นๆ ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ เรอื่ ง การถ่ายทอดทางพันธกุ รรม โดยใชว้ ัฏจักรการเรยี นรู้ 7 ข้นั สาหรบั นักเรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 6 ชุดท่ี 3
8 คาชแ้ี จง ใหน้ ักเรยี นศึกษาและปฏบิ ัติตามหวั ข้อต่อไปน้ี 1. ใหน้ ักเรียนแบ่งกลุ่ม โดยกลมุ่ ละประมาณ 5 - 6 คน แลว้ ให้สมาชิกภายในกลมุ่ เลือก ประธาน รองประธาน และเลขานกุ าร เพอื่ ทาหน้าทภี่ ายในกลุม่ 2. ตัวแทนแตล่ ะกลมุ่ รับชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ที่ 3 เรอื่ ง กฎแห่งการแยก จากครูผู้สอน 3. ศึกษาใบความรูท้ ี่ 3 เร่ือง กฎแห่งการแยก ใช้เวลา 30 นาที 4. ศกึ ษาใบกิจกรรมที่ 3 เรื่อง การแกโ้ จทย์ปญั หา เร่อื ง พนั ธุศาสตรข์ องเมนดล ใช้เวลา 10 นาที 5. ศึกษาใบงานท่ี 3 เร่ือง กฎแหง่ การแยก ใช้เวลา 10 นาที 6. ตอบคาถามลงในใบกจิ กรรมและใบงาน โดยให้สมาชิกทุกคนช่วยกันค้นหาคาตอบ 7. ตัวแทนกลมุ่ รวบรวมคาตอบของสมาชิก แลว้ นาไปแลกเปล่ียนกับกลุม่ อื่นเพือ่ เปลี่ยนกันตรวจ 8. ตัวแทนกล่มุ รับใบเฉลยกจิ กรรมและใบเฉลยใบงาน เพ่ือให้สมาชิกในกลุ่มช่วยกันตรวจคาตอบ 9. ตวั แทนแตล่ ะกลมุ่ เก็บรวบรวมใบกจิ กรรม ใบงานทต่ี รวจเสร็จแล้วนาส่งครูผู้สอน 10. เมอื่ ศึกษาชุดกิจกรรมการเรียนรู้เสร็จแลว้ ให้นักเรยี นนาชุดกิจกรรมการเรียนรสู้ ่งครผู ู้สอน อ่านบัตรคาสง่ั ใหเ้ ข้าใจกอ่ นนะครับ ชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรอื่ ง การถา่ ยทอดทางพันธุกรรม โดยใชว้ ฏั จักรการเรยี นรู้ 7 ข้นั สาหรบั นกั เรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 ชดุ ท่ี 3
9 จากการทเ่ี มนเดลนากฎความนา่ จะเป็นมาใชว้ เิ คราะห์ข้อมูลจากการศึกษาลักษณะตา่ งๆ ของถั่วในรนุ่ F1 และ รุน่ F2 ทาให้ไดก้ ฎแหง่ การแยกและกฎแห่งการรวมกลมุ่ อย่างอิสระ กฎแหง่ การแยก (low of segregation) กฎแหง่ การแยก ซึง่ เป็นกฎข้อท่ี 1 ของเมนเดลมีสาระสาคัญดังนี้ ยนี ท่ีอยคู่ ู่กนั จะแยกตัวออกจากกนั ไปอยู่ในแตล่ ะเซลล์สืบพันธุ์ กอ่ นท่ีจะมารวมตวั กันใหมเ่ มอ่ื มีการปฏิสนธิ กฎขอ้ ของเมนเดลได้จากการผสมโดยพจิ ารณายีนค่เู ดียว (Monohybrid cross) ทม่ี ีลกั ษณะตรงข้ามกนั เด่นชดั (ลกั ษณะเด่นกบั ลกั ษณะด้อย) ภาพที่ 3-1 สัดสว่ นของเซลลส์ บื พันธุท์ ่ีได้ตามกฎแห่งการแยก ทมี่ า : สมาน แกว้ ไวยุทธ (2556 : 8) จากแผนภาพ เซลล์ทมี่ จี โี นไทป์ Aa เมือ่ มีการสร้างเซลล์สืบพนั ธุ์ ยนี A จะแยกออกจากยีน a ไปอยูใ่ นแตล่ ะเซลลส์ ืบพันธ์ุ ดังนน้ั จงึ สามารถสร้างเซลล์สืบพนั ธุ์ได้ 2 แบบ คือ เซลลส์ ืบพันธุท์ ม่ี ยี นี A และ a ในอัตราสว่ น 1 : 1 (A : a = 1 : 1)จากกฎข้อนที้ าใหส้ ามารถทานายลกั ษณะในรุ่น F1 ได้ เม่อื ทราบจโี นไทป์ ในรนุ่ พอ่ แม่ ดังภาพท่ี 3-2 ภาพที่ 3-2 ยนี ทเี่ ป็นแอลลีลกนั จะแยกไปอยู่ในเซลล์สบื พันธแุ์ ตล่ ะเซลลต์ ามกฎแหง่ การแยก ทมี่ า : สถาบนั สง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2558:10) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรอ่ื ง การถ่ายทอดทางพนั ธุกรรม โดยใชว้ ัฏจกั รการเรยี นรู้ 7 ข้ัน สาหรบั นกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 ชุดที่ 3
10 กฎขอ้ ท่ี 1 กฎแหง่ การแยก (Low of segregation) กลา่ วว่า ยนี ท่ีอย่เู ปน็ คู่ จะแยกออกจากกันในระหว่างการสร้างเซลลส์ บื พันธุ์ โดยเซลล์สืบพันธ์ุแตล่ ะเซลล์ จะได้รบั เพียงแอลลีลใดแอลลีลหนึง่ จากภาพท่ี 3-2 มฟี โี นไทปท์ ี่มฝี ักสีเขียวท้ังหมดและมีจีโนไทป์เป็น Gg รุ่น F2 มฟี ีโนไทป์ 2 แบบ คือ ฝกั สีเขียวและฝักสเี หลือง ในอตั ราสว่ น 3 : 1 แสดงวา่ ลักษณะฝกั สีเหลืองเป็นลกั ษณะดอ้ ยที่ควบคมุ ด้วยยีน ดอ้ ยทีแ่ ฝงอยูใ่ นรุ่น F1 และปรากฏออกมาในร่นุ F2 ทาใหร้ ุ่น F2 มีลกั ษณะเดน่ ต่อลักษณะดอ้ ยเท่ากับ 3 : 1 จากภาพที่ 3-2 รุ่น F1 มีโอกาสสรา้ งสเปริ ์ม 2 ชนิด คือ G และ g หรอื สรา้ งเซลลไ์ ข่ 2 ชนดิ คือ G และ g ซ่ึงเป็นไปตามกฎแห่งการแยกของเมนเดล รุ่น F2 มีจีโนไทป์ 3 แบบ คือ GG, Gg และ gg อตั ราสว่ น 1 : 2 : 1 และมีฟีโนไทป์ 2 แบบคอื ลักษณะฝักสีเขยี วและฝกั สีเหลือง อัตราส่วน 3 : 1 การเขา้ คู่กันของยีนเปน็ ไปตามกฎของความน่าจะเป็น โดย ยีน G ของสเปิรม์ มโี อกาสไปรวมกบั ยนี G ของเซลลไ์ ข่ = 1/2 X 1/2 = 1/4 ยนี G ของสเปริ ์ม มีโอกาสไปรวมกบั ยีน g ของเซลล์ไข่ และยนี g ของสเปริ ์ม มีโอกาสไปรวมกบั ยีน G ของเซลลไ์ ข่ = (1/2 X 1/2) + (1/2 X 1/2) = 2/4 ยนี g ของสเปิรม์ มีโอกาสไปรวมกบั ยนี g ของเซลลไ์ ข่ = 1/2 X 1/2 = 1/4 ข้อมูลที่ได้จากการทดลองของเมนเดล รุ่น F2 จะมีฟีโนไทป์ 2 ลักษณะ อัตราส่วน 3 : 1 นั้น เมนเดล ไม่ทราบว่ามีกลไกอะไรที่ทาให้ยีนที่เป็นคู่กันแยกออกจากกันในระหว่างท่ีมีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์และยังไม่ทราบ เกยี่ วกบั การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส เมนเดลนาคณิตศาสตร์มาใชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมูลจากการทดลองและจาก กฎความนา่ จะเป็น ทาให้เมนเดลพบกฎแห่งการแยก เนื่องจากการแยกของยีนซึ่งอยู่ดว้ ยกันเป็นคู่ๆ น้ัน ยีนท่ีเข้าคู่ กันเมอ่ื แยกออกจากกนั ไปยังเซลลส์ ืบพนั ธุ์ จึงมโี อกาสปรากฏในเซลล์สบื พนั ธ์ไุ ด้เทา่ ๆ กนั กรณที ี่ยีนอย่ใู นสภาพ ฮอมอไซกัส ดงั ภาพที่ 3-3 ก. เซลลส์ บื พันธุท์ ั้งหมดจึงมแี บบเดยี ว แตถ่ ้ายีนนน้ั อยู่ในสภาพเฮเทอโรไซกัส ดงั ภาพท่ี 3-3 ข. เซลล์สบื พนั ธุ์จะมียีน 2 แบบ แตล่ ะแบบมีโอกาสเกิดเทา่ กบั 1/2 ภาพที่ 3-3 ก. ยนี อยู่ในสภาพฮอมอไซกัส ข. สภาพเฮเทอโรไซกสั ท่ีมา : สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2556:39) ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื ง การถ่ายทอดทางพันธกุ รรม โดยใชว้ ฏั จกั รการเรยี นรู้ 7 ขั้น สาหรบั นกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 6 ชุดที่ 3
11 ถ้าจีโนไทป์ของรุ่นพ่อแม่อยู่ในสภาพเฮเทอโรไซกัส เช่น การผสมถั่วลันเตาฝักสีเขียวในรุ่น F1 และเซลล์ สบื พนั ธุร์ วมกันโดยสุ่ม ทาให้รนุ่ ลกู ที่ไดม้ จี ีโนไทป์ตา่ งกนั เป็น 3 แบบ คือ GG, Gg และ gg ดังนี้ รนุ่ F1 ถัว่ ฝักสเี ขียว X ถวั่ ฝกั สเี ขยี ว จีโนไทป์ Gg Gg เซลล์สืบพันธ์ุ 1/2 G 1/2 g 1/2 G 1/2 g 1/4 gg รนุ่ F2 1/4 GG 1/4 Gg 1/4 Gg ดังน้นั อัตราส่วนของจโี นไทป์ GG : Gg : gg เทา่ กับ 1 : 2 : 1 ตัวอยา่ งท่ี 3.1 1 ถว่ั ลันเตาลักษณะดอกสีมว่ งเป็นลกั ษณะเดน่ ตอ่ ลักษณะดอกสีขาว ในการผสม ภายในดอกเดียวกนั ของตน้ ที่มดี อกสมี ่วงทเ่ี ปน็ เฮเทอโรไซกัสทัง้ คู่ จงหาร้อยละของลูกรนุ่ F1 ทมี่ ีลกั ษณะดอกสีขาว ตอบ ลูกทม่ี ีลกั ษณะดอกสีขาว คิดเปน็ รอ้ ยละ 25 ดังน้ี รนุ่ P ดอกสมี ่วง ดอกสมี ว่ ง จโี นไทป์ Bb X Bb เซลลส์ บื พันธ์ุ 1/2 B 1/2 b 1/2 B 1/2 b รุ่น F1 1/4 BB 1/4 Bb 1/4 Bb 1/4 bb จโี นไทป์ 1/4 BB 2/4 BB 1/4 bb ฟีโนไทป์ ดอกสมี ่วงรอ้ ยละ 75 ดอกสีขาวรอ้ ยละ 25 ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรอ่ื ง การถ่ายทอดทางพนั ธกุ รรม โดยใชว้ ัฏจกั รการเรยี นรู้ 7 ขนั้ สาหรบั นักเรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 6 ชุดที่ 3
12 การอธิบายผลการทดลองการผสมลักษณะเดยี ว ในการหาจีโนไทป์และฟโี นไทป์การผสมลักษณะเดียว มวี ธิ ีท่ีนิยมใช้อยู่ 2 วธิ ี คอื 1. วิธกี ารใชแ้ ผนภาพ เราสามารถเขยี นแผนภาพแสดงวธิ ีผสมเซลล์สืบพันธ์ุเพอื่ ใชอ้ ธิบายผลการทดลอง ของเมนเดลที่เปน็ การผสมลักษณะเดียวดงั ตวั อยา่ งที่ 3.1 ของการผสมพนั ธุถ์ วั่ ลันเตาดอกสมี ว่ งกบั ดอกสขี าว 2. วธิ ีการใช้ตารางพันเนตต์ (punnett–square method or checkerboard) ตารางพนั เนตต์ได้มาจากชอ่ื ของ เรจนิ ลั ด์ ซี พันเนตต์ (Reginald C. Punnett) นักพันธุศาสตร์ชาวองั กฤษ ซ่ึงเปน็ ผู้รเิ ร่มิ ใช้ตารางอธบิ ายผลการทดลองของเมนเดล จากตัวอยา่ งการผสมลกั ษณะเดียวที่ใช้ถั่วลันเตารุน่ พอ่ แม่ พนั ธุ์ดอกสีมว่ งเป็นเฮเทอโรไซกสั ทงั้ คู่สามารถใช้ตารางพนั เนตต์ อธิบายได้ดังนี้ 2.1 ใสเ่ ซลล์สบื พนั ธ์ขุ องพ่อ หรือแม่ ลงในตารางแนวนอนและใส่เซลล์สบื พนั ธุข์ องอีกฝา่ ย ลงในตารางแนวต้งั ดงั ตัวอยา่ งข้างลา่ ง เซลลส์ บื พันธ์ุ (gametes) ของพอ่ : Bb เซลลส์ ืบพันธ์ุ เซลลส์ ืบพนั ธ์ุ (gametes) ของแม่ : Bb เซลล์สบื พันธุ์ B b B b 2.2 ใส่ฟีโนไทป์ ของรุน่ ที่ 1 ซึ่งเกดิ จากการรวมกันของเซลล์สบื พันธข์ุ องพอ่ และแม่ ลงในแต่ละชอ่ งของตารางตามลาดบั B b B b bb Bb B Bb b bb ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ เรอื่ ง การถ่ายทอดทางพนั ธกุ รรม โดยใชว้ ฏั จักรการเรยี นรู้ 7 ขน้ั สาหรบั นักเรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 ชุดที่ 3
13 Bb B Bb b Bb bb Bb B BB Bb b Bb bb อตั ราส่วนของจโี นไทป์ BB : Bb : bb เท่ากบั 1 : 2 : 1 นั่นคอื มอี ัตราส่วนจโี นไทป์ เป็น ลกั ษณะเด่นพนั ธ์แุ ท้ (ฮอมอไซกัสลกั ษณะเดน่ ) : ลักษณะเด่นพันธุ์ทาง (เฮเทอโรไซกสั ) : ลกั ษณะด้อยพันธ์แุ ท้ (ฮอมอไซกัสลักษณะด้อย) เทา่ กับ 1 : 2 : 1 และอัตราส่วนฟีโนไทป์ ลักษณะเด่น : ลกั ษณะด้อย = 3 : 1 ลักษณะของส่ิงมีชวี ติ คขู่ องยีนนน้ั ยีนหนงึ่ ได้รับจากพ่อ ส่วนอีกยนี หน่งึ ได้รับจากแม่ ยีนที่ควบคุม ลกั ษณะตา่ งๆ จะปรากฏเปน็ คไู่ มว่ ่าจะอยู่ในลูกชั่วอายุใดหรือรุ่นใด ดงั น้ันจะตอ้ งมีวธิ ีบางอยา่ งที่จะทาใหย้ ีน ปรากฏในสภาพคู่ท่ีเป็นคูเ่ สมอ จากเหตุผลดังกล่าว เมนเดลไดอ้ ธิบายวา่ ยนี ทป่ี รากฏในสภาพค่นู ี้ เมือ่ ถึงระยะเวลาที่มีการสร้างเซลล์ สืบพนั ธุย์ นี จะแยกออกจากกันอยู่ในสภาพเด่ยี ว เมื่อเซลล์สืบพันธุจ์ ากพ่อแมม่ ารวมกนั จงึ เกดิ การปฏิสนธิ (fertilization) ได้เปน็ ไซโกต (zygote) ซึ่งทาให้ยีนกลับมาเข้าคู่กันอกี คร้งั ในรนุ่ ลูก จึงเกิดเป็นกฎแห่งการแยกตัว ของยนี (low of segregation) ในทางชวี วิทยาจะเหน็ วา่ กฎของที่ 1 ของเมนเดลหรอื กฎแหง่ การแยกน้นั สอดคล้องกับกระบวนการแยกตวั ของโครโมโซมในการแบ่งเซลล์แบบไมโอซีส (meiosis) ซึ่งการแบ่งเซลล์จากเซลล์ตง้ั ตน้ ซ่งึ มจี านวนโครโมโซม 2 ชดุ (2n) ไดเ้ ซลล์ลกู ท่มี ีโครโมโซมเพียง 1 ชุด (n) หรอื haploid cell โดยประกอบดว้ ย 2 ระยะ คอื meiosis I และ meiosis II ดังภาพท่ี 3-4 ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ เรอ่ื ง การถ่ายทอดทางพนั ธุกรรม โดยใชว้ ัฏจกั รการเรยี นรู้ 7 ขน้ั สาหรบั นักเรยี นชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 6 ชุดท่ี 3
14 ภาพท่ี 3-4 การลดลงของชดุ โครโมโซมจาก 2n เปน็ n เม่ือผา่ นกระบวนการแบ่งแบบไมโอซสิ ท่ีมา : http://www.sysp.ac.th/files/1403271111004763_14032722220515.pdf กฎแหง่ การแยกของเมนเดลจะสอดคลอ้ งกับการแยกออกจากกนั ของโครโมโซมคเู่ หมือน (homologous chromosome) ยนี ท่อี ยู่กนั เปน็ คบู่ นโครโมโซมจะแยกออกจากกันในแอนนาเฟสระยะแรก (anaphase I) และเมอ่ื ถึงระยะ meiosis II จะเปน็ เพียงการแยกออกจากกันของ sister chromatid ในระยะแอนนาเฟส (anaphase II) เม่ือสิน้ สดุ การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสจะไดเ้ ซลล์ใหม่ 4 เซลล์ ซ่งึ มจี านวนโครโมโซม 1 ชุด แตล่ ะเซลลจ์ ะมีข้อมลู ทางพนั ธกุ รรมที่แตกต่างกัน ภาพที่ 3-5 (ก) โครโมโซมคเู่ หมือน และ (ข) การเขา้ คู่กนั ของโครโมโซม ทม่ี า : http://www.sysp.ac.th/files/1403271111004763_14032722220515.pdf ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื ง การถ่ายทอดทางพนั ธกุ รรม โดยใชว้ ฏั จกั รการเรยี นรู้ 7 ขน้ั สาหรบั นักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 ชดุ ท่ี 3
15 เมือ่ โครโมโซมคเู่ หมอื นทม่ี แี อลลลี A และแอลลีล a มาเข้าคู่กนั แล้วในระยะโพรเฟสระยะแรก (prophase I) ดงั ภาพที่ 3-4 ก และ ข เมื่อเข้าส่รู ะยะ anaphase I โครโมโซมค่เู หมอื นน้ีจะแยกออกจากกนั เปน็ ผลให้แอลลลี A และแอลลลี a แยกออกจากกันดังน้ี เมอ่ื สิ้นสุด meiosis I กอ่ นเร่ิมเข้าสู่ meiosis II แอลลลี A และแอลลลี a จะอยูต่ า่ งเซลลก์ ัน และเม่ือสนิ้ สุด meiosis II จะได้เซลล์ 4 เซลล์ทเ่ี ปน็ แอลลีล A จานวน 2 เซลล์ และ แอลลลี a จานวน 2 เซลล์ เน่ืองจากในระยะ anaphase II จะเป็นการแยกออกจากกันของ sister chromatid จากตัวอยา่ งต่างๆข้างต้นที่ได้อธิบายมานี้ ทาให้เขา้ ใจได้ถึงความเป็นมาของการถ่ายทอดลกั ษณะ ทางพันธกุ รรมท่ีเมนเดลได้คน้ พบและเผยแพร่ ซึง่ จะทาให้ทราบว่าเพราะเหตุใดในการผสมพนั ธแ์ุ บบ monohybrid cross ลกู รุ่น F1 จงึ แสดงออกเพยี งลักษณะเดยี ว และเพราะเหตุใดลูกรุ่น F2 จงึ แสดงออก สองลักษณะโดยทล่ี ักษณะท่ีไม่แสดงออกใน F1 จึงกลบั มาแสดงออกอีกครั้งใน F2 และทาให้ทราบท่มี า ของอัตราส่วนจีโนไทป์ 1 : 2 : 1 และอัตราส่วนฟโี นไทป์ 3 : 1 น้ันมาได้อยา่ งไร ต่อเนอื่ งไปยงั กระบวนการทาง ชีววิทยาที่ทาใหท้ ราบว่า การถา่ ยทอดพนั ธุกรรมน้ันเปน็ ผลสืบเนอื่ งมาจากการสร้างเซลลส์ ืบพนั ธุ์ ความรู้ เหล่าน้ีจะเป็นรากฐานสาคัญของการศกึ ษาพันธุศาสตร์ต่อไป สรปุ กฎแหง่ การแยกตวั ของยีน (law of segregation of gene) มีใจความสาคญั ดังน้ี \"ลักษณะของสิ่งมชี ีวิตน้นั ควบคุมโดยยนี ท่ีอยกู่ นั เปน็ คู่ ๆ และยนี แตล่ ะคจู่ ะแยกออก จากกนั เมื่อมีการสรา้ งเซลลส์ ืบพนั ธ์ุ ทาใหเ้ ซลล์แต่ละเซลล์มยี ีนอยเู่ พยี ง 1 ยีนและเมื่อเซลล์ สืบพนั ธผุ์ สมกนั ยีนจะกลบั มาเข้าคู่กนั อกี \" สิ่งมีชวี ติ ต่างๆ รวมทัง้ พชื ท่มี กี ารผสมภายในตวั เองจัดวา่ เปน็ พนั ธุแ์ ท้ (true line) ส่ิงมีชวี ติ พันธุแ์ ทจ้ ะใหล้ กู หลานที่มีลกั ษณะฟีโนไทปเ์ หมือนพ่อแม่ตลอดไป แต่ถ้ามีการผสม ระหว่างพนั ธแ์ุ ทล้ กั ษณะเดน่ กบั ลกั ษณะด้อยจะให้พันธ์ผุ สม (hybrid line) โดยมีคยู่ ีนเปน็ ยนี เด่นคกู่ ับยีนดอ้ ย และแสดงลักษณะฟโี นไทป์เหมอื นพอ่ หรอื แมท่ เี่ ปน็ ลกั ษณะเด่น ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรอ่ื ง การถ่ายทอดทางพนั ธุกรรม โดยใชว้ ฏั จักรการเรยี นรู้ 7 ขน้ั สาหรบั นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 6 ชุดท่ี 3
16 คาชี้แจง จงตอบคาถามต่อไปนี้ 1. จงเตมิ จโี นไทป์ของเซลลร์ ่างกาย สภาพของจีโนไทป์ แบบของยีนในเซลล์สบื พนั ธ์ุ และโอกาสของการเกิด เซลลส์ บื พันธแ์ุ ต่ละแบบ ลงในตารางต่อไปนใ้ี หส้ มบูรณ์ (2 คะแนน) จโี นไทป์ของเซลลร์ ่างกาย สภาพของจโี นไทป์ แบบของยีนในเซลลส์ ืบพันธุ์ และโอกาสของการเกดิ WW เฮเทอโรไซกัส W (1/2) และ w (1/2) Tt aa a(1) 2. ถัว่ ลันเตาลักษณะเมลด็ สีเหลอื งเปน็ ลกั ษณะเดน่ ต่อลักษณะเมลด็ สีเขยี ว ในการผสมพันธ์ุภายในดอกเดียวกัน ของต้นท่มี ลี กั ษณะเมล็ดสีเหลืองท่ีเปน็ เฮเทอโรไซกสั ทง้ั คู่ จงแสดงวิธีการหาร้อยละของรุ่น F1 ทมี่ ลี ักษณะเมลด็ สเี ขียว (2 คะแนน) ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ เรอื่ ง การถา่ ยทอดทางพันธุกรรม โดยใชว้ ัฏจกั รการเรยี นรู้ 7 ข้ัน สาหรบั นกั เรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 6 ชดุ ท่ี 3
17 3. ในแมลงหวี่ กาหนดให้ L เป็นยีนควบคมุ ลกั ษณะปีกยาว และ l เปน็ ยนี ควบคุมลักษณะปีกสนั้ เมื่อผสมพนั ธ์ุ แมลงหว่ีปีกยาวและปีกสั้น จะไดล้ ูกท่มี ปี ีกยาวและลูกทม่ี ปี ีกสัน้ ในอัตราส่วน 1 : 1 จงแสดงวิธกี ารหาจโี นไทป์ ของพอ่ แมแ่ ละลูก (2 คะแนน) ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. เม่อื นากระต่ายขนสดี าทีเ่ ป็นฮอมอไซกสั ผสมพันธ์ุกบั กระตา่ ยขนสีนา้ ตาล ปรากฏวา่ ลกู ทเ่ี กิดใหม่มีขนสีดา ทัง้ หมด (สมมตใิ ห้ B และ b แทนแอลลลี คู่หนึง่ ที่ควบคุมลักษณะสขี น) (4 คะแนน) 4.1 ขอ้ มลู น้บี อกอะไรแก่เราบา้ ง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4.2 จีโนไทปข์ องรนุ่ F1 มีสภาพเปน็ ฮอมอไซกัสหรือเฮเทอโรไซกสั ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4.3 ถา้ นารุน่ F1 ผสมพนั ธุ์กันเอง โอกาสที่รุ่น F2 จะมีจีโนไทปไ์ ด้ก่ีรูปแบบ อะไรบา้ ง และมีอัตราส่วนเทา่ ใด จงอธิบาย ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4.4 ถ้านารุ่น F1 ผสมพันธก์ุ ับรนุ่ พ่อแม่ทม่ี ีขนสีน้าตาล โอกาสลูกที่ไดม้ ีขนสีอะไรบ้างในอตั ราสว่ นเทา่ ใด จงอธิบาย ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ เรอื่ ง การถา่ ยทอดทางพันธกุ รรม โดยใชว้ ฏั จกั รการเรยี นรู้ 7 ข้ัน สาหรบั นักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 6 ชดุ ที่ 3
18 คาสง่ั ใหน้ ักเรยี นตอบคาถามต่อไปนี้ ......................................................................................................................................................................... 1. ถ้า N แทนยนี ที่ควบคมุ ลักษณะปีกปกติของแมลงหวี่ และ n แทนยีนทคี่ วบคุมลักษณะปีกส้ัน ในการผสม พนั ธ์แุ มลงหว่ีท่มี ีปีกปกติค่หู นึ่ง ปรากฏว่ารุ่นลูกจานวน 123 ตวั มีปกี ปกติ 90 ตัว และมีปีกสน้ั 33 ตวั (6 คะแนน) 1.1 ขอ้ มลู นบ้ี อกอะไรแก่เราบ้าง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 1.2 จงเขยี นจีโนไทปข์ องแมลงหว่ีในรนุ่ พ่อแม่ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 1.3 เมอื่ นาแมลงหวปี่ ีกสัน้ ในรุน่ ลูก ผสมพันธ์กุ ับแมลงหว่ีปีกปกติในรุ่นพ่อแม่ จะได้ลูกมีลักษณะปีก เปน็ อยา่ งไรบา้ ง คิดเปน็ อตั ราสว่ นเท่าใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ในการผสมตัวเองของถัว่ ลนั เตาลกั ษณะเมลด็ กลม ปรากฏวา่ ได้ลกู มลี ักษณะเมล็ดขรุขระเกดิ ขนึ้ ด้วย ถา้ มี ถั่วลนั เตาท้ังหมดจานวน 1,024 ต้น จะมีถัว่ ลันเตาเมลด็ กลมสภาพฮอมอไซกัสก่ีตน้ (กาหนดให้ R เป็นแอลลลี ที่ควบคมุ ลกั ษณะเมลด็ กลม และ r เป็นแอลลลี ควบคมุ ลักษณะเมลด็ ขรขุ ระ) (4 คะแนน) ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื ง การถา่ ยทอดทางพันธกุ รรม โดยใชว้ ัฏจกั รการเรยี นรู้ 7 ขัน้ สาหรบั นักเรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 ชุดท่ี 3
19 คาช้ีแจง จงตอบคาถามต่อไปน้ี 1. จงเตมิ จีโนไทป์ของเซลลร์ ่างกาย สภาพของจโี นไทป์ แบบของยนี ในเซลล์สบื พนั ธ์ุ และโอกาสของการเกดิ เซลลส์ บื พันธุ์แต่ละแบบ ลงในตารางต่อไปนี้ใหส้ มบูรณ์ (2 คะแนน) จโี นไทป์ของเซลลร์ า่ งกาย สภาพของจโี นไทป์ แบบของยนี ในเซลล์สืบพนั ธุ์ และโอกาสของการเกดิ WW ฮอมอไซกัส W (1) Ww เฮเทอโรไซกัส W (1/2) และ w (1/2) Tt เฮเทอโรไซกัส T (1/2) และ t (1/2) aa เฮเทอโรไซกัส a(1) 2. ถ่ัวลนั เตาลกั ษณะเมล็ดสีเหลอื งเปน็ ลกั ษณะเดน่ ตอ่ ลักษณะเมลด็ สเี ขยี ว ในการผสมพันธุภ์ ายในดอกเดียวกัน ของตน้ ที่มลี ักษณะเมลด็ สีเหลืองท่ีเป็นเฮเทอโรไซกัสทง้ั คู่ จงแสดงวธิ กี ารหาร้อยละของรุ่น F1 ทีม่ ลี กั ษณะเมล็ด สเี ขียว (2 คะแนน) ตอบ ลกู ทม่ี ีลกั ษณะเมล็ดสีเขียว คิดเป็นร้อยละ 25 ดังนี้ กาหนดให้ B แทนยนี ควบคุมเมล็ดสเี หลือง และ b แทนยีนควบคมุ เมล็ดสเี ขยี ว รนุ่ P เมลด็ สีเหลือง เมลด็ สเี หลอื ง จโี นไทป์ Bb X Bb เซลลส์ บื พันธุ์ 1/2 B 1/2 b 1/2 B 1/2 b รนุ่ F1 1/4 BB 1/4 Bb 1/4 Bb 1/4 bb จีโนไทป์ 1/4 BB 2/4 BB 1/4 bb ฟโี นไทป์ เมล็ดสีเหลืองรอ้ ยละ 75 เมลด็ สีเขียวร้อยละ 25 3. ในแมลงหวี่ กาหนดให้ L เป็นยนี ควบคุมลกั ษณะปกี ยาว และ l เป็นยนี ควบคมุ ลักษณะปีกสน้ั เมื่อผสมพนั ธ์ุ แมลงหวปี่ ีกยาวและปีกสั้น จะได้ลูกท่ีมปี ีกยาวและลูกทีม่ ปี ีกส้นั ในอัตราสว่ น 1 : 1 จงแสดงวธิ ีการหาจโี นไทป์ ของพ่อแมแ่ ละลูก (2 คะแนน) ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื ง การถา่ ยทอดทางพันธุกรรม โดยใชว้ ัฏจกั รการเรยี นรู้ 7 ขัน้ สาหรบั นกั เรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 6 ชดุ ท่ี 3
20 ตอบ เมอ่ื ไดล้ กู ลักษณะปกี ยาวตอ่ ปกี สั้นอัตราสว่ น 1 : 1 ดงั นัน้ แมลงหว่ปี กี ยาวในร่นุ P จะเปน็ เฮเทอโรซกสั มีจโี นไทป์ Ll เมอ่ื ผสมกบั แมลงหว่ีปกี สนั้ จะเป็นดังน้ี รุน่ P ปกี ยาว ปีกสั้น จโี นไทป์ Ll X ll เซลล์สบื พันธ์ุ 1/2 L 1/2 l l รนุ่ F1 1/2 Ll 1/2 ll ฟโี นไทป์ ปกี ยาว ปกี สนั้ จีโนไทป์ของพอ่ แมเ่ ปน็ Ll และ ll ดงั น้ันจโี นไทปข์ องรนุ่ F1 เปน็ Ll และ ll 4. เมอื่ นากระตา่ ยขนสดี าท่เี ป็นฮอมอไซกัสผสมพันธก์ุ ับกระตา่ ยขนสนี ้าตาล ปรากฏวา่ ลูกท่เี กิดใหม่มีขนสดี า ทง้ั หมด (สมมติให้ B และ b แทนแอลลีลคูห่ นง่ึ ท่ีควบคุมลักษณะสขี น) (4 คะแนน) 4.1 ข้อมูลนี้บอกอะไรแก่เราบา้ ง ตอบ ข้อมูลน้ีบอกให้ทราบว่าขนสดี าเป็นลกั ษณะเดน่ ขนสีนา้ ตาลเป็นลกั ษณะด้อย เพราะลูกท่เี กิดมา มขี นสดี าทงั้ หมด 4.2 จีโนไทปข์ องรนุ่ F1 มสี ภาพเปน็ ฮอมอไซกัสหรอื เฮเทอโรไซกัส ตอบ เฮเทอโรไซกสั ดงั ภาพ รุน่ P ขนสดี าฮอมอไซกสั ขนสีน้าตาล จโี นไทป์ BB X bb เซลลส์ ืบพันธ์ุ B b รุ่น F1 Bb (ขนสีดา) ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ เรอื่ ง การถ่ายทอดทางพันธกุ รรม โดยใชว้ ัฏจักรการเรยี นรู้ 7 ข้นั สาหรบั นกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 6 ชุดที่ 3
21 4.3 ถ้านารุ่น F1 ผสมพันธกุ์ ันเอง โอกาสที่รุ่น F2 จะมจี ีโนไทปไ์ ด้กีร่ ูปแบบ อะไรบ้าง และมีอตั ราส่วนเทา่ ใด จงอธบิ าย ตอบ ลกู F2 มีจโี นไทป์ 3 แบบ คือ BB Bb และ bb ในอัตราสว่ น 1 : 2 : 1 ดงั นี้ F1 X F1 B Bb X Bb b Bb เซลล์สืบพนั ธ์ุ 1/4 BB รุ่น F2 ขนสีดา 1/4 Bb 1/4 Bb 1/4 bb ขนสีดา ขนสนี ้าตาล 4.4 ถา้ นารุ่น F1 ผสมพันธุ์กับรุ่นพอ่ แม่ทมี่ ีขนสนี ้าตาล โอกาสลูกที่ได้มขี นสีอะไรบ้างในอัตราส่วนเทา่ ใด จงอธิบาย ตอบ ลูกจะมีขนสดี าและขนสนี า้ ตาลในอัตราส่วน 1 : 1 ดังแผนภาพ F1 X รุ่น P Bb X bb เซลลส์ ืบพันธ์ุ Bb b ลูก 1/2 bb (ขนสนี า้ ตาล) 1/2 Bb (ขนสีดา) ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ เรอื่ ง การถา่ ยทอดทางพันธกุ รรม โดยใชว้ ฏั จกั รการเรยี นรู้ 7 ขัน้ สาหรบั นกั เรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 6 ชดุ ที่ 3
22 คาสั่ง ให้นักเรยี นตอบคาถามต่อไปน้ี 1. ถา้ N แทนยีนทค่ี วบคมุ ลกั ษณะปกี ปกตขิ องแมลงหวี่ และ n แทนยีนท่คี วบคุมลกั ษณะปีกส้ัน ในการผสม พันธ์ุแมลงหว่ีท่มี ปี ีกปกติคู่หน่ึง ปรากฏวา่ รุน่ ลูกจานวน 123 ตวั มีปกี ปกติ 90 ตัว และมปี กี สน้ั 33 ตวั (6 คะแนน) 1.1 ขอ้ มูลน้ีบอกอะไรแก่เราบา้ ง ตอบ เนอื่ งจากแมลงหวรี่ ุน่ ลูกมลี ักษณะปกี ปกติ 90 ตวั และปกี สั้น 33 ตวั คิดเป็นอตั ราส่วนจะได้ ประมาณ 3 : 1 ดงั นน้ั ปีกปกตจิ ะเปน็ ลกั ษณะเดน่ และปกี ส้ันเปน็ ลักษณะด้อย และรุ่นพ่อแม่เปน็ เฮเทอโรไซกัส 1.2 จงเขียนจโี นไทปข์ องแมลงหวี่ในร่นุ พ่อแม่ ตอบ จโี นไทปข์ องแมลงหวี่ในรุ่นพ่อแม่เปน็ Nn ดังแผนภาพ รนุ่ P ปกี ปกติ X ปกี ปกติ จีโนไทป์ Nn Nn เซลลส์ บื พนั ธุ์ 1/2 N 1/2 n 1/2 N 1/2 n รุ่น F1 1/4 NN 1/4 Nn 1/4 Nn 1/4 nn 1.3 เมอื่ นาแมลงหว่ปี กี ส้นั ในรนุ่ ลูก ผสมพนั ธ์ุกับแมลงหว่ีปีกปกติในรุ่นพ่อแม่ จะไดล้ ูกมีลกั ษณะ ปกี เปน็ อย่างไรบ้าง คิดเปน็ อัตราส่วนเท่าใด ตอบ จะไดล้ ูกท่ีมีลกั ษณะปีกปกติ : ปกี ส้ัน ในอัตราส่วน 1 : 1 ดังแผนภาพ ปีกส้ันรุ่นลกู X ปปี กติรุน่ พอ่ แม่ nn Nn เซลลส์ ืบพนั ธ์ุ n 1/2 N 1/2 n ลูก 1/2 Nn 1/2 nn ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื ง การถ่ายทอดทางพนั ธกุ รรม โดยใชว้ ฏั จกั รการเรยี นรู้ 7 ขนั้ สาหรบั นกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 6 ชดุ ท่ี 3
23 2. ในการผสมตัวเองของถั่วลันเตาลกั ษณะเมลด็ กลม ปรากฏว่าไดล้ กู มลี กั ษณะเมล็ดขรุขระเกดิ ขน้ึ ดว้ ย ถา้ มี ถว่ั ลันเตาทัง้ หมดจานวน 1,024 ตน้ จะมีถัว่ ลันเตาเมลด็ กลมสภาพฮอมอไซกสั ก่ีตน้ (กาหนดให้ R เปน็ แอลลลี ทค่ี วบคุมลกั ษณะเมล็ดกลม และ r เป็นแอลลีลควบคุมลักษณะเมลด็ ขรขุ ระ) (4 คะแนน) ตอบ เมลด็ กลม X เมลด็ กลม รุน่ P Rr Rr จีโนไทป์ เซลล์สบื พันธุ์ 1/2 R 1/2 r 1/2 R 1/2 r รุ่น F1 1/4 RR 1/4 Rr 1/4 Rr 1/4 rr ดังนั้น ถ้ามีถั่วลนั เตาทั้งหมด 1,024 ตน้ จะมีถว่ั ลนั เตาเมลด็ กลมสภาพฮอมอไซกัส เทา่ กับ 1/4 X 1,024 = 260 ต้น ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรอ่ื ง การถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยใชว้ ัฏจกั รการเรยี นรู้ 7 ข้ัน สาหรบั นักเรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 6 ชดุ ที่ 3
24 ข้อ ตัวเลือก 1ง 2ข 3ข 4ค 5ค 6ข 7ก 8ง 9ก 10 ค ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ เรอื่ ง การถา่ ยทอดทางพันธกุ รรม โดยใชว้ ัฏจกั รการเรยี นรู้ 7 ขั้น สาหรบั นกั เรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 ชดุ ท่ี 3
25 บรรณานกุ รม กรมวชิ าการ. (2551ก). หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์ชุมนุม สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. . (2551ข). ตัวชี้วดั และสาระแกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลาง การศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พช์ ุมนมุ สหกรณ์การเกษตร แห่งประเทศไทย. ประสงค์ หลาสะอาด. (2555). คูม่ ือรายวิชาเพ่ิมเติม ชวี วิทยา ม.4 – 6 เล่ม 4. กรุงเทพฯ : ธนธัชการพิมพ์. ประสาท เนอื งเฉลมิ . (2552, ตุลาคม – ธันวาคม). “ การเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์แบบ 7 ขัน้ ” วารสารวชิ าการ. 10(4) : 25 – 30. เยาวดี วบิ ลู ย์ศร.ี (2545). การวัดผลและการสร้างแบบทดสอบผลวัดสัมฤทธ์ิ. พิมพค์ ร้ังท่ี 3. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . เรอื งวทิ ย์ บรรจงรัตน์. (2554). คู่มือประกอบสื่อการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ระดับมธั ยมศกึ ษา ตอนปลาย วิชาชีววิทยา เรอื่ ง ความน่าจะเป็นและกฎแห่งการแยก. [Online]. Available : http://www.sysp.ac.th/files/1403271111004763_14032722220515.pdf. [ 2560, มีนาคม 27] สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี. (2556). ค่มู อื ครู รายวชิ าเพิ่มเตมิ ชีววิทยา เล่ม 4. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์คุรุสภาลาดพรา้ ว. . (2558). หนงั สือเรียนรายวชิ าเพ่ิมเติม ชีววิทยา เลม่ 4. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพค์ ุรุสภาลาดพรา้ ว. สมาน แกว้ ไวยุทธ. (2556). ชวี วิทยา ม.4 – 6 เลม่ 4. กรุงเทพฯ : ฐานบณั ฑิต. ชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรอื่ ง การถ่ายทอดทางพนั ธุกรรม โดยใชว้ ัฏจักรการเรยี นรู้ 7 ขน้ั สาหรบั นักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 6 ชุดท่ี 3
26 ประวตั ยิ อ่ ผู้สรา้ งนวตั กรรม ชอ่ื –สกลุ นางจนั จิรา หมนั่ บ่อแก วัน เดอื น ปี เกิด ทอ่ี ยู่ปจั จุบัน 6 ธันวาคม พ.ศ. 2519 ท่ีทางานปจั จุบนั บ้านเลขที่ 201 หมู่ 3 ตาบลสงั ขะ อาเภอสงั ขะ จงั หวัดสรุ นิ ทร์ ตาแหน่งหน้าที่ ประวัติการศกึ ษา โรงเรยี นสงั ขะ อาเภอสงั ขะ จงั หวดั สรุ นิ ทร์ 32150 โทรศัพทม์ ือถอื 09 –3316 –5669 ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการพิเศษ พ.ศ. 2542 ปรญิ ญาตรีครศุ าสตรบณั ฑิต ค.บ. วิชาเอก ชวี วทิ ยา มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครราชสมี า จงั หวัดนครราชสมี า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรอื่ ง การถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยใชว้ ฏั จกั รการเรยี นรู้ 7 ขนั้ สาหรบั นกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 ชดุ ท่ี 3
27 ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื ง การถา่ ยทอดทางพนั ธกุ รรม โดยใชว้ ฏั จกั รการเรยี นรู้ 7 ข้ัน สาหรบั นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 ชุดท่ี 3
Search
Read the Text Version
- 1 - 30
Pages: