คานา บนั ทึกการเรียนรฉู้ บับน้เี ป็นสว่ นหนง่ึ ของรายวิชาการวัดและการประเมินการศกึ ษาและการเรียนรู้ จัดทาขนึ้ เพ่ือศึกษาความรูพ้ รอ้ มท้ัง ทาความเข้าใจก่อนที่จะสรุปเน้ือหาเป็นความคิดส่วนตัว เพื่อใช้ในการทบทวนความรู้ ท้ังน้ีประกอบด้วยเน้ือหาความรู้ท้ังหมด 17 เร่ือง ได้แก่ แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ แนวคิดเบ้ืองต้นเกี่ยวกับการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ความสาคัญ ประเภท หลักการและจุดมุ่งหมายของการ วัด และประเมินผลการเรียนรู้ การวดั และประเมินผลการเรียนรโู้ ดยใช้แบบทดสอบ แบบทดสอบปรนัยชนิดถูก-ผิด (True or false Test) แบบทดสอบปรนัยชนิดจับคู่ (Matching test)แบบทดสอบปรนัยชนิดเติมคาและตอบสน้ั แบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ (Multiple test) การตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบ การวิเคราะห์ข้อสอบดว้ ย SPSS การวเิ คราะห์ตัวชวี้ ัดสู่การออกแบบหน่วยการเรยี นรู้ การออกแบบหน่วย การเรียนรู้อิงมาตรฐานโดยใช้กระบวนการแบบย้อนกลบั การประเมินจากการสื่อสารระหวา่ งบุคคล การประเมินการปฏบิ ัติการประเมินตามสภาพ จรงิ ในชัน้ เรียน การใชร้ ูบิกสใ์ นการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ และการประเมนิ โดยใชแ้ ฟ้มสะสมผลงาน ผู้จัดทาคาดหวังเปน็ อย่างย่ิงว่าบันทึกการเรยี นรนู้ ้ีจะเปน็ ประโยชน์ต่อผู้ศึกษาต่อ หากมีขอ้ เสนอแนะประการใด ผู้จัดทาขอน้อมรับไว้ ดว้ ยความขอบพระคณุ เป็นอยา่ งยิง่ ก
สารบัญ เรื่อง หนา้ ข - คานา ก - สารบัญ ข - อาจารยผ์ ้สู อน ง - เจ้าของผลงาน จ - ผังมโนทศั น์เกี่ยวกับบทเรียน ฉ - แนวคิดเกีย่ วกบั การเรียนรู้ 1 - แนวคิดเบอื้ งต้นเก่ยี วกับการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ 2 - ความสาคญั ประเภท หลกั การและจุดมงุ่ หมายของการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 3 - การวัดและประเมินผลการเรียนร้โู ดยใชแ้ บบทดสอบ 4 - แบบทดสอบปรนยั ชนดิ ถูก-ผดิ (True on false Test) 5 - แบบทดสอบปรนยั ชนดิ จบั คู่ (Matching test) 6 - แบบทดสอบปรนัยชนดิ เติมคาและตอบสน้ั 7
สารบัญ (ต่อ) หนา้ ค 8 เรื่อง 9 - แบบทดสอบปรนัยชนิดเลอื กตอบ (Multiple choice test) 10 - การตรวจสอบคณุ ภาพของแบบทดสอบ 11 - การวิเคราะห์ข้อสอบดว้ ย SPSS 12 - การวเิ คราะห์ตวั ช้ีวัดสกู่ ารออกแบบหนว่ ยการเรียนรู้ 13 - การออกแบบหน่วยการเรียนรอู้ ิงมาตรฐานโดยใชก้ ระบวนการแบบย้อนกลบั 14 - การประเมินจากการสอื่ สารระหวา่ งบุคคล 15 - การประเมินการปฏิบตั ิ 16 - การประเมินตามสภาพจริงในช้ันเรียน 17 - การใช้รูบกิ สใ์ นการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 18 - การประเมินโดยใชแ้ ฟ้มสะสมผลงาน 19 - สะทอ้ นความรสู้ กึ - สญั ญาการเรยี น
อาจารย์ผ้สู อน รองศาสตราจารย์ ดร.สาราญ กาจดั ภัย ง
เจา้ ของผลงาน ชอื่ -นามสกลุ นางสาวกมลนทั ธ์ อามาตยท์ อง รหัสนักศกึ ษา 62115239128 นกั ศกึ ษาสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ ชนั้ ปที ี่ 2 คติประจาใจ คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร ความพยายามครัง้ ท่ี 100 ดีกวา่ คิดท้อถอยก่อนทจี่ ะทา จ
แนวคดิ เกี่ยวกับการเรียนรู้ การประเมนิ โดยใชแ้ ฟม้ สะสมผลงาน แนวคิดเบ้ืองตน้ เก่ียวกบั การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ การใช้รูบิกสใ์ นการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ความสาคญั ประเภท หลกั การและจุดม่งุ หมายของการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การประเมนิ ตามสภาพจรงิ ในช้นั เรยี น เนือ้ หา การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้โดยใชแ้ บบทดสอบ การประเมนิ การปฏิบัติ แบบทดสอบปรนยั ชนดิ ถกู -ผดิ (True on false Test) แบบทดสอบปรนัยชนิดจบั คู่ (Matching test) แบบการประเมินจากการสอื่ สารระหว่างบคุ คล แบบทดสอบปรนยั ชนิดเตมิ คาและตอบสั้น การออกแบบหนว่ ยการเรยี นรู้องิ มาตรฐานโดยใช้กระบวนการแบบยอ้ นกลับ แบบทดสอบปรนยั ชนิดเลือกตอบ (Multiple choice test) การวิเคราะหข์ ้อสอบด้วย SPSS การวิเคราะหต์ ัวชี้วดั สู่การออกแบบหน่วยการเรียนรู้ การตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบ ฉ
การเรยี นรขู้ องผเู้ รยี น สรุปความคดิ การเปล่ียนพฤติกรรมของผู้เรียนท่ีคงทนถาวรหรือค่อนข้างถาวร ท้ังที่เป็นพฤติกรรมที่ แสดงออกให้เห็นได้ชัดหรือพฤติกรรมที่แฝงอยู่ในตัว เนื่องมาจากการได้รับประสบการณ์ การเรยี นรู้ ต้องเปล่ยี นพฤตกิ รรมท่ีคงทน จากการกระทาเองและผา่ นประสบการณ์ที่ครเู ปน็ ผ้กู าหนดให้ ถาวรจากการรบั ประสบการณผ์ ่านการลงมอื ทา จรงิ เราจะสังเกตจากพฤตกิ รรมการเรยี นรทู้ ่ี แนวคิด Learning behavior ผ้เู รียนจะแสดงออกมาหรือไมแ่ สดงออกมา ขณะนนั้ กไ็ ด้ โดยพฤตกิ รรมการเรยี นร้เู หลา่ นี้ 1. Cognitive ความจา ความเข้าใจ การคดิ รปู แบบต่างๆ ได้แก่ ความรคู้ วามจา(พุทธิพสิ ยั ) ความรสู้ กึ 2. Affective ความรสู้ กึ ความเชื่อ เจตคติ ค่านิยม (จิตพิสยั ) และการแสดงออกตา่ งๆ 3. Psychomotor เป็นพฤติกรรมเก่ยี วกบั การเคลอ่ื นไหวอวัยวะ (ทักษะพิสยั ) เกีย่ วกบั การเรยี นรู้ 1. พุทธพิ สิ ยั (Cognitive) 1. ความรู้/ความจา จาได้อยา่ งถูกต้องแมน่ ยา 2. ความเข้าใจ จับใจความ/แปลความ/ตคี วาม/ขยายความได้ 3. การนาไปใช้ในชีวติ ประจาวัน 4. การวเิ คราะห์ สิ่งใหญใ่ หเ้ ลก็ ลง เปน็ สว่ นๆ 5. การสงั เคราะห์ รวมสิ่งเล็กใหใ้ หญ่ 6. การประเมนิ คา่ ใช้ดลุ พนิ ิจ ตัดสนิ คณุ ค่า 2. จติ พิสยั (Affective) 1 1. ข้นั รบั รู้ รบั ร้จู นเกดิ ความรู้สกึ สนใจ 2. ขั้นตอบสนอง ตอบสนองตอ่ สิ่งทรี่ บั รู้ 3. ขนั้ เหน็ คณุ ค่า สร้างคา่ นยิ ม 4. ขั้นจัดระบบค่านยิ ม การจดั ระบบคา่ นิยม กลายเป็นแนวทางการปฏิบตั ิ 5. ขน้ั สร้างลักษณะนสิ ยั จากค่านยิ ม เกดิ นิสยั ถาวร
แนวคิดเบอ้ื งต้นเกี่ยวกับการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ การวัดผล (Assessment) กระบวนการกาหนด การประเมนิ ผล (Evaluation) กระบวนการตดั สนิ คณุ คา่ หรอื ขน้ั ตอน การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู และการจดั กระทาหรอื ตัวเลขหรอื สัญลักษณแ์ ทนส่ิงที่ตอ้ งการวัด โดยสิ่งท่ี คุณภาพเกย่ี วกับการเรียนรขู้ องผูเ้ รยี น โดยมีการเกบ็ รวบรวมและ วเิ คราะห์ข้อมลู ใช้ระหวา่ งการจดั การเรยี นการสอนอยา่ ง ตอ้ งการวัดเปน็ ผลมาจากการกระทาหรือกิจกรรม จัดวาระทาข้อมูลเพอ่ื ตัดสนิ ระดบั คณุ ภาพตามเกณฑห์ รอื มาตรฐานที่ ตอ่ เนอื่ ง (Formative) และช่วงท้ายการจัดการเรยี นการ 1. การวดั ผลทางตรง 2. การวดั ผลทางออ้ ม ไดต้ ัง้ ไว้อยา่ งชดั เจน จุดมงุ่ หมายของการประเมนิ ผลอยูท่ ีก่ ารตดั สิน สอนเพื่อหาข้อสรปุ (Summative) คุณคา่ เกี่ยวกับการเรยี นรู้ของผู้เรยี นและผตู้ ดั สนิ คุณค่านี้ต้องเป็นผู้ ประเมนิ หรอื ครผู ู้สอน องคป์ ระกอบ มาตรการวดั ผล 1. ส่งิ ท่ีต้องการวดั ผล 1. ระดบั นามบญั ญตั ิ (Nominal scale) จาแนกเป็นพวก เพศ อาชพี หมเู่ ลือด 2. วธิ กี ารและเครอื่ งมอื ท่ีใชใ้ นการวัดผล 2. ระดับเรียงอันดบั (Ordinal Scale) จัดอันดับ เปรียบเทยี บได้ 3. ขอ้ มลู แทนปริมาณหรอื คณุ ภาพของพฤตกิ รรมการเรยี นรู้ 3. ระดบั อนั ตรภาค (Interval scale) บอกความแตกตา่ งได้ อณุ หภมู ิ คะแนนสอบ 4. ระดบั อตั ราสว่ น (Ratio Sale) มศี นู ยแ์ ท้ น้าหนัก ความสูง อายุ ระยะทาง สรุปความคดิ การวัดผลเป็นการเกบ็ ข้อมลู ส่วนการประเมนิ ตอ้ งตดั สินข้อมลู ดว้ ย 2
ความสาคัญ ประเภท หลักการและจุดมงุ่ หมายของการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ ความสาคัญตอ่ ผเู้ รียน ความสาคัญตอ่ ผสู้ อน ประเภท หลักการ จุดมงุ่ หมาย ความสาคญั ตอ่ ผูเ้ รียน ความสาคญั ตอ่ ผู้สอน ประเภท หลักการ จดุ มุ่งหมาย - ใชเ้ ปน็ ฐานในการตรวจสอบ - ไดว้ างแผนการสอนทีเ่ หมาะกบั ตามขนั้ ตอนการจัดการเรยี นการสอน - สถานศกึ ษารบั ผิดชอบ - องคป์ ระกอบหน่ึงของระบบ พฒั นาการของตนเอง ผู้เรยี น 1. วางตาแหน่ง ดูความพรอ้ ม - เปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรยี น การศึกษา - ได้วางแผน (Plan) - ได้ขอ้ มลู ท่เี ปน็ จุดเดน่ , จดุ ดอ้ ย 2. วนิ ิจฉัย สาเหตุทจ่ี ะส่งผลตอ่ ผูเ้ ก่ียวขอ้ งไดป้ ระเมิน - องคป์ ระกอบของการเรยี นการ - ทาตามแผน (Act) ของผูเ้ รยี น การเรยี น - ครอบคลมุ จดุ ประสงค์ สอน - สงั เกตผล (Object) - Formative 3. พฒั นา ป้อนข้อมูลย้อนกลบั มาตรฐาน ตวั ชีว้ ัด - เครอื่ งมอื ประกนั คุณภาพ - ปรับปรงุ และพฒั นา - Summative 4. สรปุ ผล ตัดสนิ ผลการเรียนตาม - พจิ ารณาจากพัฒนาการผเู้ รยี น การศึกษา (Reflect and revise) - ใช้เปน็ ฐานการวจิ ยั รุ่นต่อ ๆ การอ้างองิ - ความประพฤติ การร่วม - ตรวจสอบผลการเรยี นรู้ ไป 1.อิงตน 2.องิ กลมุ่ 3.องิ เกณฑ์ กจิ กรรม การทดสอบ - ให้ขอ้ มลู ย้อนกลับเพอื่ พฒั นา สรุปความคดิ การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรมู้ คี วามสาคัญ ตอ่ ทงั้ ตัวผู้เรยี นเองรวมถงึ ผูส้ อน การที่จะบรรลุ จดุ มุ่งหมาย ท้งั 2 ฝ่ายจะตอ้ งใหค้ วามรว่ มมือกนั 3
การวดั และประเมินผลการ ลกั ษณะการตอบ ปฏบิ ัติ , เขยี นตอบ , วาจา เรียนรู้โดยใช้แบบทดสอบ จุดมงุ่ หมายการสรา้ ง อตั นยั , ปรนัย การอ้างอิง องิ เกณฑ์ , อิงกลุ่ม , องิ ขอบขา่ ย แบบทดสอบความเรียงหรือแบบทดสอบอัตนัย ชดุ คาถามท่ีผ้สู อนกาหนดขึ้นให้ผู้เรียนเขยี น แนวทางสรา้ ง แนวทางใหค้ ะแนน เรียบเรียงคาตอบอย่างอิสระ เพ่ือวัด ความคดิ ชนั้ สงู - กาหนดจุดมงุ่ หมายการสร้าง - กาหนด Rubics จุดเดน่ : วัดความคิดข้นั สูง ความคดิ ที่ลกึ ซึง้ - กาหนดขอ้ คาถามทีช่ ดั เจน - ไมอ่ คติ จดุ ดอ้ ย: การตรวจให้คะแนนตรงกนั ทาไดย้ าก - ระบเุ วลา คะแนน (ผ้เู รียนจะไดจ้ ัดสรรใหเ้ หมาะสม) - ตรวจเปน็ ขอ้ ๆ ต่อเน่ือง - ระบเุ กณฑท์ ี่เกย่ี วข้องกบั การตอบ - รวบรวมสว่ นท่หี กั คะแนนไว้ (เพ่ือทบทวน) - ตรวจสอบก่อนนาไปใช้ ตรวจเอง คนอ่ืนตรวจ - ตรวจสอบก่อนนาไปใช้ ตรวจเอง คนอนื่ ตรวจ - ทบทวนผลทไ่ี ด้ (เพอ่ื ปรับปรุงแบบทดสอบ) - ทบทวนผลท่ีได้ (เพ่อื ปรบั ปรุงแบบทดสอบ) 4
แนวทาง ชดุ ขอ้ ความที่เปน็ ประโยคบอกเลา่ หรอื คาถามให้พิจารณาวา่ 1. คาชี้แจงชดั เจนตอ้ งตอบยงั ไงถึงไดค้ ะแนน ถูกหรือผดิ ตามหลกั วชิ าการ เพือ่ ดวู ่าผูเ้ รียนแยกขอ้ เท็จจริง 2. คาถามเข้าใจตรงกนั หน่ึงข้อมคี าถามเดยี วผดิ หรอื ถกู อยา่ งใดอย่างหนึง่ กบั ความคดิ เห็นออกหรือไม่ และข้อเทจ็ จริงนั้นถกู หรอื ผดิ 3. ขอ้ มลู เพยี งพอทจ่ี ะตอบ 4. ไมล่ อกตามหนงั สอ่ ตารา แนวทาง แบบทดสอบปรนยั 5. ใช้คาง่ายคนุ้ เคย ตัวอย่าง ชนิดถูก-ผดิ 6. เป็นอิสระไม้ช้แี นะคาตอบข้ออ่ืน 7. เลยี่ งปฏเิ สธซ้อนถา้ มีใหข้ ดี เสน้ ใต้ (True or false Test) 8. ถกู ผิดตามหลกั วชิ าการ 9. กระจายขอ้ ถกู ผิด (มขี อ้ ถกู ผิดไมเ่ ทา่ กนั ลดการเดา) 10. ไมซ่ า้ ทเี่ ป็นเครอื่ งช้ีแนะ (บาง-ทุก-สว่ น) 11. ควรจดั ไวต้ อนตน้ ๆ ของแบบทดสอบท้งั ฉบบั (เพราะงา่ ย) ตวั อย่าง ........ 1. คา่ pH ของกรดน้อยกวา่ 3 ........ 2. กรดทาปฏกิ ริ ยิ ากบั เบสได้เกลือกบั น้า ........ 3. กรดแตกตวั ให้ OH สรุปความคดิ แบบทดสอบถูกผดิ ใชท้ ดสอบความเขา้ ใจทแี่ ทจ้ รงิ เพ่ือแยกข้อเทจ็ จรงิ กบั ข้อ สรปุ ความคดิ คดิ เหน็ และระบุไดว้ ่าข้อเทจ็ จริงน้นั ถกู หรือผิด การท่ีเรารหู้ ลกั ของการออกแบบทดสอบ จะ ทาให้เราสามารถปรับปรงุ และออกแบบทดสอบไดเ้ หมาะสมลดการเดาคาตอบของผเู้ รียน ทา 5 ให้วัดความรู้ความเขา้ ใจของผูเ้ รียนได้
1. เนื้อหาของคาถามกับคาตอบเป็นเรอ่ื งเดยี วกนั 2. เขยี นคาช้ีแจงชัดเจนตอบยังไงตอบไดก้ ขี่ ้อ แนวทาง 3. คาถามคาตอบเปน็ อสิ ระไม่ชแี้ นะขอ้ อนื่ 4. คาตอบให้มากกว่าคาถามลดการเดา 5. คาถามไมม่ ากไมน่ ้อยเกนิ (5-8 ไมเ่ กนิ 10) 6. ขอ้ คาตอบเรยี งอกั ษรตวั เลขเหตกุ ารณเ์ พอ่ื งา่ ยต่อการหา 7. จัดอย่หู น้าเดยี วกนั ลดความสับสน ประกอบดว้ ย 2 กลุ่ม แบบทดสอบปรนยั ชนดิ จับคู่ - กลมุ่ ข้อคาถาม คา วลี สญั ลกั ษณ์ เป็นข้อ ๆ (Matching Test) - กลุ่มคาตอบ คา วลี ทีเ่ ป็นคาตอบ (อ่านคาถามแลว้ พจิ ารณาคาตอบ) สรปุ ความคิด ตัวอยา่ ง ส่วนประกอบ จงจับค่สู มการเคมกี ับชนดิ ของปฏกิ ริ ยิ า โดยนาตวั อกั ษรหนา้ ชนิดของปฏิกริ ิยามาจับคไู่ ดเ้ พยี งครง้ั เดยี วเทา่ น้ัน …… 1. CH2 + Br2 a. ปฏิกริ ยิ าแทนที่ …… 2. CH3 + HCl b. ปฏิกริ ิยาการเตมิ …… 3. C3H4 + Cl2 c. ปฏกิ ริ ยิ าขจดั …… 4. C6H6 + HCl d. ปฏกิ ิรยิ าออกซิเดชัน …… 5. CH2CH3 + + NaOH e. ปฏิกิริยารดี กั ช่นั f. ปฏกิ ิรยิ าเรยี งตัวใหม่ สรปุ ความคดิ แบบทดสอบจับคทู่ ี่ดีควรทาให้เป็นเรอื่ งเดยี วกัน เพ่อื ลดการเดาทสี่ าคญั ตอ้ งมี คาชแี้ จงทีช่ ดั เจน อ่านเข้าใจงา่ ยและปฏบิ ตั ติ ามได้ 6
แบบทดสอบปรนัยชนดิ เตมิ คาและตอบส้นั คดิ หาคาตอบด้วยตนเอง วัดเนอ้ื หาความรู้ เติมคา : นาคามาเตมิ ในชอ่ งว่างให้ประโยค เขียนคาตอบเองแบบส้ัน ๆ กระชบั Short ข้อเท็จจรงิ Completion test ประโยคไม่สมบรู ณ์ สมบรู ณ์ answer test ประโยคคาถาม / คาสั่ง เชน่ เชน่ แมน่ า้ ทยี่ าวที่สุดในประเทศไทยคอื ........ สมการ 2x+6=16 แลว้ x =? ตอบสน้ั : ตอบสั้นไมแ่ สดงความคดิ เห็น แนวทาง แบบทดสอบทด่ี ีไมค่ วรลอกจากหนงั สือ ตารา เพราะจะทาให้ แนวทาง 1. เขยี นขอ้ เสนอในการตอบชดั เจน ผู้เรยี นจามากกว่าใชค้ วามคดิ 1. เขยี นแนวทางการตอบทชี่ ดั เจน 2. เขียนขอ้ ความชดั เจน 2. มีแนวคาตอบชัดเจน 3. ไมล่ อกในหนงั สอื หรือตารา 3. มีคาตอบเดยี ว (ตายตัว) 4. ชอ่ งว่างควรอยทู่ ้ายและกวา้ งเท่ากัน 5. เป็นเรอื่ งสาคญั ในบทเรยี น ตอบส้ัน เติมคา 7 สรุปความคิด
แบบทดสอบปรนัยชนดิ เลือกตอบ (Multiple choice Test) สรุปความคดิ แบบทดสอบปรนัยทดี่ จี ะตอ้ งวดั ความเขา้ ใจ ตวั อย่าง ของผู้เรยี นได้ โดยใช้คาถามคาตอบที่อ่าน หน่วยพน้ื ฐานที่เลก็ ทส่ี ุดของสิ่งมชี ีวิต เรียกวา่ อะไร เข้าใจง่าย สามารถใชอ้ อกแบบเพอ่ื ทบทวนความรู้หรือตัดสนั ผลการเรยี นได้ ก. เซลล์ ข. เน้อื เย่ือ เพราะสะดวกและงา่ ยตอ่ การตรวจ ค. ผนงั เซลล์ ง. กอลจบิ อดี แนวทาง เป็นแบบทดสอบที่นิยมเพราะง่ายตอ่ การตรวจใหค้ ะแนน ใชท้ ดสอบคน 1. เขยี นข้อคาถามชดั เจนมขี ้อมลู เพยี งพอ 2. คาตอบสนั้ กระชบั เลี่ยงถูกทุกขอ้ ผดิ ทกุ ขอ้ จานวนเยอะ ๆ ได้สะดวก ประกอบดว้ ย 2 สว่ น - คาถาม (โดยตรง, ขอ้ ความไมส่ มบรู ณ)์ 3. จานวนตัวเลอื ก 3-5 ตัวเลือก 4. ไม่คดั ลอกจากหนังสือตารา - ตวั เลอื กคาตอบ (ถกู , ตัวลวง) * คาถามนิยมเปน็ คาถามโดยตรงเขา้ ใจงา่ ย 5. ใหเ้ ลอื กคาตอบท่ีดีท่ีสดุ 6. ไมเ่ ปน็ คาถามเชงิ ลบปฏิเสธ ประเภท * คาถามเดยี่ ว (จบภายในข้อนน้ั มคี าถามคาตอบครบ) 7. ม่ันใจว่ามคี าตอบท่ถี กู ข้อเดยี ว 8. มีตวั ลวงทีด่ ี * คาตอบคงท่ี (ตอบคาถามได้หลายขอ้ ) * สถานการณ์ ตาราง (พจิ ารณาเพื่อหาคาตอบ) 9. เปน็ อสิ ระไมช่ ้แี นะขอ้ อืน่ ๆ 10. ตวั เลอื กแบบกระจาย 11. ใช้คาศพั ทท์ คี่ ุ้นเคย เล่ียงคาขยายที่จะชแ้ี นะคาตอบ (บาง-ทกุ -) 12. พจิ ารณาและวางแผนความเหมาะสมทง้ั ฉบบั 8
การตรวจสอบคณุ ภาพของแบบทดสอบ “ขอ้ มลู ท่ไี ดม้ คี วามถกู ตอ้ ง ความตรงกนั จาแนก-แบง่ เปน็ กลมุ่ ๆ หรอื ไมแ่ ค่ไหน” ประเภทดงั นี้ 1. คาถามแปลไดต้ รงกัน 1. องิ กลุ่ม แยกคนเปน็ สองกลุ่ม -เนอ้ื หา (ตรงตวั ชีว้ ดั ผู้เชี่ยวชาญดใู ห้) 2. ตรวจใหค้ ะแนนใครตรวจตรงกัน คือ สงู กบั ต่า p= +1 แยกได้, -1 ใช้ไมไ่ ด้ -โครงสรา้ ง (จิตวทิ ยาความฉลาดทางอารมณ์) 3. แปลความหมายคะแนนแปลตรงกนั , 0 แยกได้ไมด่ ี คา่ ท่ียอมรับ 02-1 -เกณฑ์สมั พนั ธ์ สภาพ:ความจรงิ ปัจจุบนั ถูก (1) เข้าใจ 2. องิ เกณฑ์ กาหนดเกณฑ์ผ่าน (จดุ ตัด) พยากรณ:์ ความจริงในอนาคต ผดิ (0) ไม่เข้าใจ แบ่งเป็นผา่ นกบั ไมผ่ ่านใช้ B-index ความเทย่ี งตรง (validity) ความเป็นปรนยั (Objectivity) อานาจจาแนก (discriminant) สรปุ ความคดิ P = จน.คนตอบข้อน้ันถูก(R) - คงเสน้ คงวา วัดที่คร้ัง แบบทดสอบทด่ี ีจะต้องมกี ารทดสอบคณุ ภาพ ทั้งความ คนท้งั หมด(N) เหมอื นเดมิ เทย่ี งตรง ความเปน็ ปรนยั ความยาก อานาจจาแนก 1. องิ กลุ่ม ปรนยั ใช้ ������������20 และความเชอ่ื มน่ั ซึง่ หัวใจสาคญั คอื “ ความเทย่ี งตรง” P เข้าใกล้ 1 ง่ายเกนิ เขา้ ใกล้ 0 ยากเกิน อตั นยั ใช้ สมประสทิ ธิแ์ อลฟา เพราะถา้ เราได้ข้อมลู ท่ีถูกตอ้ งจึงจะสามารถนาขอ้ มลู คา่ ยอมรบั 0.2-0.6 (0.5 ดที สี่ ุด) 2. อังเกณฑ์ ใช้ lovett เหล่านั้นไปใช้ตอ่ ได้ การตรวจสอบคณุ ภาพแบบทดสอบ **อัตนยั ใช้ D.RและD.L (กลุ่มสงู กลมุ่ ตา่ ) จะทาให้เรารวู้ ่าแบบทดสอบทไ่ี ดจ้ ดั ทาขึน้ มคี วามเหมาะสม ความเชื่อมั่น (Reliability) มากน้อยเพยี งใด ตอ้ งปรบั ปรงุ จดุ ไหน ความยาก (Difficult) 9
การวิเคราะหข์ อ้ สอบโดยใช้ SPSS กรณขี อ้ สอบให้คะแนน 0 กับ 1 การหาคา่ อานาจจาแนกรายขอ้ (r) และค่าความ สรปุ ความคดิ ยาก (p) โดยใช้เทคนคิ 27% กลุ่มสงู -กลุ่มต่า โปรแกรม SPSS ไม่ไดอ้ อกแบบมาเพอื่ ใช้วเิ คราะห์ ขอ้ สอบหรอื แบบสอบถามโดยตรง แต่ก็สามารถ ประยกุ ตใ์ ชค้ าสงั่ ตา่ ง ๆ ทดแทนกนั ได้ ซง่ึ มขี ัน้ ตอน คอ่ นขา้ งมาก ขน้ั ที่ 1 สรา้ งไฟลข์ อ้ มูลของกลุ่มทดลองใช้ N คน ขนั้ ที่ 7 ตัดขอ้ มูลกลมุ่ กลางออกทง้ั หมด จากนัน้ บันทกึ ไฟล์ โดยตงั้ ชอื่ 10 ขั้นที่ 2 รวมคะแนนทง้ั ฉบบั ของแตล่ ะคนโดยใชค้ าส่ัง Compute ไฟลใ์ หม่ หรอื ใชค้ าส่ัง Select Case เลือกเฉพาะ Group = 1 or variable Group = 3 ข้ันที่ 3 เรยี งคะแนนจากน้อยไปหามาก โดยใชค้ าสัง่ Sort case ข้ันที่ 8 วิเคราะห์ข้อมลู เพ่ือหาคานวณจานวนคนตอบถกู ในกล่มุ ตา่ (RI) ขั้นท่ี 4 คานวณหาจานวนคนในกลมุ่ สูง (Nu) และจานวนคนในกลมุ่ ต่า และจานวนคนตอบถกู ในกลุม่ สูง (Ru) ของข้อสอบแต่ละขอ้ โดยใช้คาส่งั (Nl) โดยใชส้ ูตร 27% ของ N เช่น ถ้า N=50 27% ของ N = Crosstabs (27/100) * (50)=14 คน นนั่ คือ Nu=Nl= 14 ขั้นที่ 9 คดั เลือกข้อสอบที่ท้ังคา่ p และ r ผ่านเกณฑ์ใหไ้ ดจ้ านวน ขน้ั ที่ 5 สรา้ งตัวใหม่ ตงั้ ช่อื Group โดยกาหนดคา่ (Value) ให้ 1 ขอ้ สอบตามทวี่ างแผนไว้ แทนกลุ่มตา่ (L) 2 แทนกลุม่ กลาง (M) และ 3 แทนกลุม่ สงู (U) ขน้ั ท่ี 10 วเิ คราะหค์ วามเช่ือมนั่ ของแบบทดสอบทั้งฉบับ โดยใช้สตู ร ขัน้ ท่ี 6 คยี ์ขอ้ มูลตัวแปร Group โดยกล่มุ ตา่ พิมพเ์ ลข 1 กล่มุ สูงพมิ พ์ KR-20 ซึง่ ในโปรแกรมเลือก alpha ใหใ้ ชไ้ ฟลข์ อ้ มูลของกลมุ่ ทดลองใช้ เลข 2 และกลุ่มกลางพมิ พ์เลข 3 ท่มี ีทั้งกลุ่มสูง กลาง และต่า
1. ความรู้ความเขา้ ใจ: ข้อเท็จจรงิ วิธกี าร การวเิ คราะห์ตัวชว้ี ดั สู่การ 1. หา key word ของตัวชวี้ ดั 2. คิดอยา่ งมเี หตุผล ออกแบบหน่วยการเรยี นรู้ 2. กาหนดหลักฐานการเรยี นรู้ 3. ทักษะการปฏิบตั ิ (ทดลอง สารวจ 3. เลอื กวธิ ีการวดั และประเมนิ ทส่ี อดคลอ้ งกับตวั ชว้ี ัด สาธิต แสดง อา่ น พูด ใช)้ สรุปความคดิ 4. กาหนดเคร่อื งมือทีใ่ ช้ 4. ผลผลติ ช้นิ งาน / ผลจากการทา มาตรฐานการเรยี นรู้ เป็นส่งิ ที่จะเกดิ เมอ่ื จบการศกึ ษา 5. กาหนดกิจกรรมทจี่ ะใช้วธิ ีการสอนที่เหมาะสม 5. จิตนสิ ยั (ความรูส้ กึ อารมณ์) ตวั ช้ีวัดเปน็ สงิ่ ท่ที าให้เหน็ มาตรฐานการเรยี นรู้ การออกแบบ หน่วยการเรยี นรูต้ อ้ งคานงึ ตวั ชี้วดั ทต่ี ้องการตอ้ งมคี วาม วธิ ีวิเคราะห์ ตัวชว้ี ดั ของ Stiggin สอดคลอ้ งกัน 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ 1. ผลผลติ สิ่งประดิษฐ์ แบบจาลอง รายงาน สง่ิ ทีพ่ ึงรู้ พึงปฏบิ ัติ คณุ ลักษณะทจ่ี ะเกิดข้นึ เม่ือ 11 โครงงาน 2. ผลปฏิบัติ การสาธติ นาเสนอ อภิปราย แสดง จบการศกึ ษา 2. ตวั ชีว้ ัด หลักฐานการเรียนรู้ สง่ิ ทพ่ี งึ รู้ พงึ ปฏบิ ตั ิได้ สะท้อนใหเ้ ห็นมาตรฐาน การเรยี นรู้ นามาตรฐานมาลงมอื ปฏิบัติ มาตรฐานการเรยี นรู้และตัวช้ีวัด
การออกแบบหน่วยการเรียนรอู้ ิงมาตรฐานโดยใช้กระบวนการแบบย้อนกลบั - ชื่อหนว่ ยการเรยี นรู้ - มาตรฐานและตัวชวี้ ัด - สาระสาคญั (ความคิดรวบยอด) การวางแผนและจัดทาหน่วยการเรยี นรู้ มีเป้าหมาย - สาระการเรยี นรู้ (องค์ความรู้ ทักษะ สาคัญคอื มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้วี ดั โดยการ คา่ นยิ มที่ควรเรยี นร)ู้ ออกแบบต้องมีความเชอื่ มโยงกับสาระการเรียนรู้ วธิ ีการจดั การเรยี นการสอน วิธีวดั และประเมนิ ผล - ภาระงาน (สอดคลอ้ งกบั มาตรฐาน ตวั ชว้ี ดั สาระการเรยี นร)ู้ - วธิ กี ารวัดและประเมนิ ผล 1. ระบุผลลัพธ์ เปา้ หมาย - กจิ กรรมการจัดการเรยี นการสอน การออกแบบหนว่ ยการเรยี นรู้แบบยอ้ นกลบั ผลการเรียนรู้ท่ีตอ้ งการ ครอบคลมุ ความเขา้ ใจที่คงทน จิต - เวลาเรยี น นา้ หนักคะแนน (backward design) เปน็ การวางแผนและจดั ทา พิสยั คุณลกั ษณะทักษะทจ่ี าเป็น เน้อื หาที่จะใชส้ อนในหนว่ ยการเรยี นรขู้ องสาระการ องคป์ ระกอบ เรียนรนู้ ั้น ๆ 2. กาหนดหลกั ฐานการเรยี นรู้ หลกั ฐานท่ี แสดงว่าผูเ้ รยี นบรรลเุ ปา้ หมายทต่ี ้ังไว้ 3. วางแผนการเรยี นการสอน ประสบการณก์ ารเรยี นรทู้ ี่ จะจดั ให้ผ้เู รียน ข้ันตอน สรปุ ความคดิ 12
สรุปความคดิ ประเภท การประเมนิ เปน็ การเก็บรวบรวมข้อมลู แลว้ นามาวิเคราะห์กอ่ น 1. ถามตอบในช้นั เรยี น ถามเกบ็ ขอ้ มูลทเ่ี หมาะสมกับสง่ิ ทตี่ ้องวดั ใหข้ ้อมูลย้อนกลับ การทเ่ี รารปู้ ระเภทของการประเมนิ ทาให้ โดยผูส้ อนป้อนกลับให้ผเู้ รียนผ่านการเสริมแรง/แกไ้ ขทเ่ี ขา้ ใจผิด สามารถนาไปปรับใชไ้ ดเ้ หมาะสมกับจุดประสงคท์ ตี่ อ้ งการได้ 2. การพบปะพดู คุย การพดู โดยมเี ปา้ หมายเพ่ือหาสาเหตุทส่ี ง่ ผลตอ่ การเรียนการสอน การประเมินจากการสอ่ื สารระหวา่ งบุคคล 3. พูดคุยกบั ผู้ทเี่ กยี่ วข้องกบั ผูเ้ รียน สนทนามีเปา้ หมายเพ่ือเสริมสงิ่ ท่ีรู้และใช้ในการตัดสนิ ใจบางอยา่ ง พูดกบั ครูประจาชั้น ฯลฯ4. ความหมาย การสอ่ื สารระหวา่ งบคุ คล การอภปิ รายในช้ันเรยี น การแลกเปลี่ยนความรคู้ วามคิดเหน็ กระบวนการเกบ็ รวบรวมข้อมูลท่ไี ดจ้ ากการ เป็นกระบวนการของการตดิ ต่อส่อื สาร หรือการ ประสบการณ์ สื่อสาร มาทาสารสนเทศ วเิ คราะหจ์ ดุ เดน่ จดุ แสดงปฏิกิริยาโตต้ อบระหวา่ งบุคคลสองคนหรือ 5. การสอบปากเปล่า ใช้วาจาในการตอบคาถามโดยตรงกับผูส้ อน ด้อย จากน้ันใหข้ ้อมูลยอ้ นกลับ มากกวา่ นัน้ โดยมีองคป์ ระกอบคือ ผสู้ ่งสาร 6. บนั ทึกเหตกุ ารณ์ บนั ทึกเหตุการณ์ที่เกดิ ข้ึนทงั้ ในและนอกต้อง สาร สื่อ/ชอ่ งทาง ผู้รับสาร เรยี น 7.ตรวจการบา้ น แบบฝกึ หัด การบา้ น งานทเ่ี ก่ียวขอ้ งกับการเรยี นการสอนที่ให้ผูเ้ รยี นทานอก 13 เวลาเรยี นทาไดท้ กุ ท่ี ประเภทการบ้าน แบบฝกึ หดั แบบเตรียมลว่ งหน้า งานเขยี น คน้ คว้าเพิม่ เต็ม แบบฝึกหดั งานทอี่ อกแบบขน้ึ เพ่อื มอบหมายให้ผู้เรยี นฝึกหัด ซ่งึ อาจเป็นฝกึ ตอบหรอื ฝึกปฏบิ ตั ิ
ความหมาย ลักษณะสาคัญ ขัน้ ตอน สรุปความคดิ การเก็บรวบรวมข้อมูลผ่านภาระงานท่ี - มีภาระงานที่ทาแล้วเกดิ เป็นชิน้ งานหรือไม่ 1. ตงั้ จดุ ม่งุ หมายที่ตอ้ งการ การประเมินการปฏิบัติจะเน้นไปที่การลงมือ ถูกออกแบบไว้โดยประเมินทักษะ เกดิ ก็ได้ 2. กาหนดสง่ิ ท่ีตอ้ งการวดั ทักษะความสามารถ ทาจริงแล้วเกิดผลที่เป็นรูปธรรมหรือไมใ่ ช่ก็ การปฏิบัติสติปัญญาคุณลักษณะ - เน้นกระบวนการปฏบิ ตั ิ ต้องเฝ้าดรู ะหว่าง 3. ออกแบบภาระงาน ได้ แต่ต้องมีการเฝ้าดูการทาด้วยสาหรับผล นิสัยเจตคติต่องานจากนั้นนาข้อมูลมา ปฏบิ ัตดิ ้วย 4. ทาเกณฑ์การประเมนิ ใช้ Rubics ทีไ่ ม่เป็นรูปธรรม การให้ผู้เรียนได้ลงมือทา วเิ คราะห์ - ประเมินเพอ่ื พฒั นา (formative) , 5. เลอื กวิธีเกบ็ รวบรวมข้อมลู และเครอื่ งมอื ทใ่ี ช้ จริงจะเกิดการเรียนรู้ที่ดีกว่าการฟังการ ตดั สินผล (summative) 6. ชแี้ จงรายละเอียดใหผ้ เู้ รยี นเขา้ ใจร่วมงาน บรรยายเพียงอย่างเดียว เป็นการฝึกทักษะ - ประเมนิ พฤติกรรมการเรยี นรผู้ า่ น เสนอแนวทาง การทางานของผู้เรียน กระบวนการทางานและผลงาน 7. วางแผนลดความผดิ พลาดที่จะเกดิ ข้ึน เปน็ อัตนัย • จุดเดน่ ได้ท้ังกระบวนการและผลงาน ปฏิบตั ดิ ว้ ยดกี วา่ ฟังเฉยๆ เหมาะกับ ทฤษฎกี ารเรียนรูร้ ว่ มสมยั • จดุ ดอ้ ย ให้คะแนนยากทาได้น้อย ใช้ เวลานาน การประเมนิ การปฏบิ ตั ิ 14
การประเมนิ ตามสภาพจรงิ ในช้ันเรียน กระบวนการวดั และประเมนิ ศกั ยภาพผ้เู รยี นแบบองค์ - ประเมนิ องคร์ วม 1. ออกแบบหนว่ ยการเรยี นรู้ผลทคี่ าดหวงั รวม ผ่านการลงมอื ทา สอดคลอ้ งกบั ชีวิตจรงิ เน้น - ใชท้ กั ษะคดิ ขน้ั สูง 2. เนน้ การมสี ว่ นรว่ ม ผู้เรียน ให้ความสนใจกบั บริบทแวดลอ้ มท่ีสง่ ผลต่อ - ผเู้ รียนตอบสนองอยา่ งลมุ่ ลึก 3. ผู้เรียนรบั รแู้ ละเห็นด้วยกบั เกณฑ์ทที่ าขน้ึ การตอบสนองของผเู้ รยี น - ผลงานทเี่ ฉพาะเจาะจง 4. ทดลองใช้ Rubics - ผเู้ รียนมสี ่วนร่วม 5. ผสู้ อนมองการประเมนิ ผลสาเร็จทจ่ี ะเกิดข้นึ ความหมาย - ใชเ้ คร่ืองมือวัดหลากหลายตอ่ เนือ่ งตลอดเวลา 6. ผู้เรียนเลอื กไดต้ ามความพอใจ - เป็นแบบองิ เกณฑไ์ ม่ไดว้ ัดกบั คนอืน่ 7. เหน็ ขอ้ ผิดพลาดปอ้ นข้อมลู ยอ้ นกลบั -ทาได้ทง้ั ในและนอกห้องเรยี น - เปน็ การวัด (Assessment) เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู แนวทาง ลกั ษณะสาคัญ สรุปความคดิ 15 การประเมนิ สภาพจรงิ เปน็ การประเมนิ ทั้งความรู้ ทกั ษะ ทศั นคติ ผา่ นการลงมอื ทางานที่สอดคลอ้ งกบั ความเปน็ จรงิ การประเมนิ จะเนน้ ที่ ผ้เู รียนเป็นหลกั เปน็ การเกบ็ ข้อมลู แล้วใหผ้ ลยอ้ นกลบั แก่ผู้เรียน ใช้ เกณฑ์ในการประเมิน ไม่ไดไ้ ปเปรียบเทียบกบั ใคร
ความหมาย Holistic (องคร์ วม) - ชดุ เกณฑ์หรือมาตรฐานท่อี อกแบบให้ มองในภาพรวมเอาทุกประเด็นมาอธบิ ายพร้อมกันในแตล่ ะระดับ พิจารณาทุกอยา่ งเปน็ ภาพรวมท้ัง สอดคลอ้ งกับเป้าหมายการเรียนรู้ การปฏิบตั ิและผลงาน ตัดสินเป็นคะแนนเดียว ใช้กับ Summative - แนวทางในการตรวจให้คะแนน ข้อดี : ประหยัดเวลา ใช้กบั งานทค่ี ลา้ ยกนั ได้ ข้อเสีย : ไม่ให้ข้อมลู ยอ้ นกลบั เฉพาะเจาะจง องค์ประกอบ Analytic (แยกตามประเดน็ ) สรปุ ความคดิ 1. เกณฑ์การประเมินสะท้อนภาระงาน ต้องกาหนดนา้ หนักคะแนน เขียนอธิบายแตล่ ะระดบั ชดั เจน กาหนดเกณฑต์ ดั สินรวมเพ่อื ประเมนิ รบู ิกสค์ ือ ชดุ เกณฑ์หรอื มาตรฐานท่ี 2. ระดับคุณภาพ สรุป ใช้กับ formative ขอ้ ดี : ให้ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั ในสว่ นทีเ่ ปน็ จุดแขง็ จุดออ่ น ออกแบบให้สอดคลอ้ งกับเปา้ หมาย 3. การบรรยายระดบั คุณภาพ การเรยี นรู้ เป็นแนวทางในการ ข้อเสยี : ภาพรวมท้งั หมดสาคญั กว่าผลรวมของส่วนย่อย ตรวจให้คะแนน แบ่งเปน็ ประเภท ประเภท ดงั น้ี General (ทวั่ ไป) Holistic (องคร์ วม) การใชร้ ูบกิ สใ์ นการวดั ใช้เกณฑก์ ว้าง ๆ เปน็ การอธบิ ายเหตผุ ลว่าทาไมถึงอยูร่ ะดบั คะแนนนั้น ใช้กบั งานทีค่ ลา้ ยกันได้ Analytic (แยกตามประเดน็ ) และประเมนิ ผลการเรียนรู้ ขอ้ ดี : ใชไ้ ด้หลายงาน General (ทัว่ ไป) ข้อเสยี : สร้างยาก ความเชื่อม่นั ต่ากวา่ แบบเฉพาะงาน Task specific (เฉพาะงาน) Task Specific (เฉพาะงาน) 16 16 ใช้กับงานเฉพาะเจาะจง เขียนเฉลยแต่ละระดับคณุ ภาพใหม้ ีลกั ษณะเฉพาะกบั งานนน้ั ๆ ขอ้ ดี : มคี าอธิบายชัดเจนกับงานที่ประเมนิ ขอ้ เสีย : ไม่สามารถนามาชแ้ี จงเพอ่ื ทาความเขา้ ใจได้
การประเมนิ โดยใชแ้ ฟ้มสะสมผลงาน ความหมาย ประเภท เปน็ วธิ ีการประเมนิ ผลการเรยี นรู้ โดยสง่ิ ประเมนิ 1. Working portfolio เพอ่ื เกบ็ รวบรวมหลกั ฐานตา่ ง ๆ คอื “แฟ้มสะสมผลงาน” ท่ีผู้เรียนรวบรวมผลงานจากการ เก่ียวกบั ผลการปฏิบตั งิ านในระหว่างการเรยี นเพอ่ื แสดงใหเ้ ห็นถงึ ปฏิบตั ิงานทเ่ี กยี่ วขอ้ งกับการเรยี นการสอนอยา่ งมจี ดุ มงุ่ หมาย และมี ความกา้ วหน้า สามารถนามาขดั เกลาปรบั ปรงุ ใหด้ ี การวางแผนล่วงหนา้ อย่างเปน็ ระบบ ตลอดชว่ งระยะเวลาหนง่ึ แสดงใหเ้ หน็ ถึงความพยายาม 2. Display or show portfolio คัดเลอื กผลงานทีด่ ที ่ีสุดจาก Working portfolio เพ่อื ความสามารถทางปัญญา ความก้าวหน้าในการเรยี นรู้ นาเสนอผสู้ อนหรอื นาไปจัดแสดงตอ่ ไป 3. Assessment portfolio เพื่อให้ผสู้ อนทาการประเมนิ คณุ ภาพการเรยี นรู้ดา้ นตา่ ง ๆ จุดมุง่ หมาย ตามเกณฑ์ 1. เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นไดพ้ ฒั นา ปรบั ปรุง หรือขัดเกลาผลงานให้ดี 2. เพือ่ ใหผ้ เู้ รยี นได้พฒั นาความสามารถในการสะท้อนและประเมนิ ผลงานตนเอง ขน้ั ตอนการดาเนินการ 3. เพอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นไดพ้ ัฒนาความสามารถในการคดั เลอื กผลงาน การ 1. ขั้นเตรยี มการประเมนิ เกบ็ รวบรวมผลงานอยา่ งเปน็ ระบบ 2. ขน้ั จัดทาแฟม้ สะสมผลงาน 3. ช้ันประเมนิ แฟ้มสะสมผลงานที่สมบรู ณ์ ความหมายและจุดม่งุ หมาย 4. ข้ันประชาสัมพันธผ์ ลงาน สรุปความคดิ ประเภทและขั้นตอนดาเนินงาน แฟ้มสะสมผลงานทาใหเ้ ห็นความเปน็ ตัวตนของผเู้ รียนมากขน้ึ ผู้เรยี นไดอ้ อกแบบตามจินตนาการ ของตนเอง ทาให้เหน็ ถึงการใชค้ วามคดิ และการลงมอื ทา แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความก้าวหน้าของผู้เรยี น 17
สะทอ้ นความร้สู ึก รายวิชาการวัดและการประเมินการศกึ ษาและการเรียนรู้ เป็นวชิ าท่ฟี ังชื่อแล้วทาให้ดิฉันรู้สึกสงสัยและสนใจท่ีจะศกึ ษาต่อว่า 18 เป็นเร่ืองเกี่ยวกับอะไร วัดและประเมินการเรียนรู้จะวัดแบบไหน มันจะยากไหม แต่พอได้เรียนจริง ๆ แล้วเป็นเร่ืองท่ีใกล้ตัวและมี ความสาคัญต่อวิชาชีพครูเป็นอย่างมาก ทาให้ดิฉันสามารถมองย้อนกลับไปในตอนท่ีเป็นนักเรียนที่มักต้ังคาถามว่า ทาไมครูต้องมีการ ประเมินเยอะแยะมากมาย แตต่ อนนี้ทาให้ดิฉันหาคาตอบได้แล้วว่า ที่ครูประเมินต่าง ๆ เป็นการวัดความรู้ความเข้าใจ วัดทักษะต่าง ๆ รวมถึงทัศนคติของเรา การทคี่ รูวัดและประเมนิ การเรยี นรเู้ ยอะ เพราะถา้ ประเมินเยอะก็จะทาใหม้ ีขอ้ มูลเก่ยี วกบั การเรยี นรู้ของผู้เรียนมา วเิ คราะห์ถึงปัญหาจุดเด่นจุดดอ้ ยและช่วยพัฒนาผู้เรียนได้ วิชานม้ี ีเนอ้ื หาให้ศึกษาที่ละเอียด อาจารย์ผู้สอนมีการชีแ้ จงและมอบหมายให้ ไปศกึ ษาเรียนรดู้ ว้ ยตนเองกอ่ นที่จะมารว่ มกันสรุปในชน้ั เรยี น ซงึ่ เปน็ 1 วิธกี ารสอนที่ส่งผลดตี ่อผู้เรียน ทาให้ผู้เรียนได้เกิดการเรยี นรู้ ด้วยตนเองและท้ายคาบจะมีการสอบเพื่อวัดความเข้าใจของผู้เรียน ทาให้ผู้เรียนสามารถประเมินตนเองได้ว่ามีความเข้าใจเร่ืองนั้น ๆ มากน้อยเพียงใด และต้องปรับปรุงตนเองในคร้ังต่อ ๆ ไปอย่างไรบ้างจึงจะเกิดความเข้าใจมากข้ึน ทาให้เกิดการต้ังใจท่ีจะเรียนรู้ มี สติ มีสมาธิ อาจารยส์ อนโดยมกี ารยกตวั อยา่ งหรอื สถานการณ์ท่ที าใหเ้ ขา้ ใจงา่ ย ทาใหผ้ ู้เรยี นสามารถนาความรทู้ ี่ได้ไปพฒั นาตอ่ ยอดได้
สัญญาการเรียน 19
สัญญาการเรียน 20
Search
Read the Text Version
- 1 - 30
Pages: