นิตยสารธมั มวโิ มกข์ ฉบับ “ปฐมฤกษ์”
นิตยสารธมั มวโิ มกข์
สารบัญ เรอื่ ง ินตยสารธัมมวิโมกข์หน้า ผู้แต่ง อนุโมทนากถา 1 หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร เปิดโฉม 5 ธมั มวิโมกข์ ทศั นา 7 คณะผู้จดั ท�า แนะน�าคร.ู .ผู้ฝึกสอน 11 สายฟ้า ตาย 25 เสียงเพลงเป็นธรรม 37 หลวงพ่อพระมหาวรี ะ ถาวโร ลิเกมาแล้ว..จ้า 51 วุน้ เสน้ ธรรมบรรณาการ 57 บนั ทึกนางนวล 59 หลวงพ่อพระมหาวรี ะ ถาวโร ต�านาน “ของเก่า” 65 มอญ สังคมชาวเรา 71 สันโต ข้างหอไตร 75 ปิดท้าย 79 นางนวล ข้อคิดก่อนนิทรา 81 ทกั ข์ เล็งดอย อมร หงส์ทอง โต๊ะกลม บรรทม “ธัมมวิโมกข์” นิตยสารรายเดือนเพ่ือ 1) เผยแพร่ธรรมะของพระพุทธเจ้าให ้ กว้างขวางไปในหมู่ชน 2) ประชาสัมพันธ์บอกข่าวอันเป็น ประโยชน์แก่พุทธบริษัทท้ังหลาย 3) คลายความเครียด ด้วยธรรมะบันเทิง ส�านักงาน วดั จนั ทาราม (ท่าซงุ ) อ.เมือง จ.อุทยั ธานี กองบรรณาธกิ าร คณะกรรมการ “ธมั มวโิ มกข์” ก
ข นิตยสารธมั มวโิ มกข์
ินตยสารธัมมวิโมกข์อนโุ มทนากถา ขออนุโมทนาแก่บรรดาคณะผู้จัดท�ำหนังสือ “ธัมมวิโมกข์” หมาย ถึง ธรรมท่ีท�ำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ เธอได้ขอให้ตรวจทานต้นฉบับ เห็น ว่ามีท้ังสารธรรมและธรรมบันเทิง เป็นหนังสือเด็กอ่านได้ ผู้ใหญ่อ่านดี ไม่ หงอยเหงาเหมือนหนังสือธรรมล้วนๆ เป็นประโยชน์ด้านจุ๋มๆ จ๋ิมๆ แต่อาจ จะไม่ถูกใจท่านผู้อ่านที่หนักไปในทางธรรมะล้วนๆ ก็ได้ ทั้งนี้อาตมาก็ต้อง ขออภัยท่านท้ังหลายที่อ่านแทนคณะผู้จัดท�ำมา ณ ท่ีนี้ด้วย ท้ังนี้เพราะผู้ จัดท�ำยังเป็นผู้ใหม่ในพระพุทธศาสนา แต่คณะของเธอก็ยึดหลักธรรมเป็น หลัก ถึงกระน้ันก็อาจจะมีการพลาดพลั้งบ้างเป็นของธรรมดาท่ียังไม่ได้บรรลุ อรหันต์ แม้ผู้พูดเองก็ยังอยู่ในสภาพเด็กสอนเดิน เมื่อครูยังแข็งแรงไม่พอ จะให้ศิษย์เป็นยอดนักมวยของโลกได้อย่างไร ลูกปูก็ต้องเดินเหมือนแม่ปู เมื่อครูยังมีขันธ์ 5 และมีภาระในขันธ์ 5 ศิษย์ก็มีสภาพเหมือนกัน ฉะนั้นการ พล้ังพลาดอาจจะมี หรือมีมากกว่า อาจจะ ก็ได้ หวังว่าคงได้รับการอภัยจาก ท่านผู้รู้ทั้งหลาย อีกประการหน่ึง คณะธัมมวิโมกข์ มีพระเรืออากาศโทอาจินต์ ธมฺม จิตฺโต เป็นผู้ริเริ่ม มีคณะพระ อุบาสก และอุบาสิกาให้การสนับสนุนมาก ที่ จัดท�ำข้ึนน้ีมิได้หวังผลก�ำไร ถ้ามีคนซื้อก็ขาย มีคนขอก็คงให้ ความต้องการ ของเธอก็คือ หวังรวบรวมค�ำสอนท่ีเป็นประโยชน์ และน�ำพระธรรมบางตอน ท่ีพระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ น�ำมารวบรวมเพื่อประโยชน์แก่ผู้มีเวลาน้อย และ หาจุดบันเทิงในธรรมน�ำมาผสมกันเหงา อาตมาเห็นชอบด้วยในการกระท�ำ ของเธอ และขออนุโมทนาแก่คณะผู้จัดท�ำและผู้ให้การสนับสนุน ขอจงคิด 1
ินตยสารธัมมวิโมกข์ไว้เสมอว่า “ค�ำติและค�ำสรรเสริญ มีประจ�ำโลก” จงอย่าท้อถอยในเมื่อถูกติ และอย่าลิงโลดเมื่อได้รับค�ำชม จงท�ำใจคล้ายพระพุทธรูปที่เขาปั้นไว้ ถ้าเขา ปั้นในลักษณะย้ิม เอาท่านไปจมดินไว้เป็นพันๆ ปี ขุดขึ้นมาท่านก็ยังยิ้มอยู่ ฉะนั้นคณะผู้จัดท�ำจงอย่าหวังค�ำชมและอย่าหนักอารมณ์ในค�ำติ ถ้าได้รับค�ำ ชม จงอมไว้อย่าย้ิมให้มาก ถ้าได้รับค�ำติ จงคิดว่าเราได้ครูแล้ว จงนึกถึงองค์ สมเด็จพระประทีปแก้ว คือพระพุทธเจ้า พระองค์เฉยเม่ือชมและอมเม่ือถูก ติ คือมีอารมณ์ธรรมดา ไม่มีอาการข้ึนลงในอารมณ์ มีพระอารมณ์เป็นปกติ เสมอ ชมก็ยิ้ม ติก็ยิ้ม ท่ียิ้มน้ันจงอย่าย้ิมรับ ขอให้ยิ้มประเภทยิ้มวาง งานท่ีท�ำนี้เป็นงานหนัก เพราะพระธรรมจะเข้าใจเม่ือปฏิบัติถึง ถ้า ยังกางต�ำราอยู่ ยังไม่มีทางเข้าถึงธรรมที่แท้จริง แต่ย่ิงค้นคว้าจากต�ำราและ น�ำมาปฏิบัติ ในไม่ช้าอารมณ์ใจก็จะรู้ชัดว่า เสือกระดาษมีความหมายน้อย คือ ไม่รู้จริง พูดมาเสียยาวเหยียด ผู้อ่านคงขี้เกียจ และอาจจะด่าว่า “เจ้าแก่ นี่คารมมากจริงๆ” ก็เลยขอหยุดคารมไว้เพียงนี้ ขอทุกท่านที่มีเจตนาดี รวบรวมค�ำสอนของสมเด็จพระชินวร เพ่ือสาธารณะประโยชน์ โดยมิได้หวัง ผลตอบแทนเป็นวัตถุ จงบรรลุผลท่ีท่านทุกคนต้ังใจจงทุกประการ. (พระมหาวีระ ถาวโร) 2
3 นิตยสารธมั มวโิ มกข์
4 นิตยสารธมั มวโิ มกข์
เปดิ โฉม พอเร่ิมปีใหม่.. เราก็มี ของใหม่ๆ มาอวดท่านทันที จุลสาร ินตยสารธัมมวิโมกข์“ธัมมวิโมกข์” ฉบับเล็กจ๋ิว แต่แจ๋ว แพรวพราวด้วยเนื้อหาสาระ ความคิดริเริ่มที่จัดท�ำ ข้ึนก็เพื่อเผยแพร่ธรรมะค�ำสั่งสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้า.. ซึ่งหลวงพ่อเมตตาเลือกสรรมา สั่งสอนแก่บรรดาพุทธบริษัท เราเห็น ว่า เป็นค�ำสอนที่มีประโยชน์มากด้วย คุณค่า เป็นธรรมะที่เข้าใจง่าย เหมาะ ท่ีจะน�ำไปประพฤติและปฏิบัติตาม อีกประการหนึ่ง เป็นการ ประชาสัมพันธ์ บอกข่าวคราวอันเป็น ประโยชน์ แก่บรรดาท่านท้ังหลาย ฉ บั บ น้ี จึ ง เ ป ็ น ฉ บั บ “ปฐมฤกษ์” เหมือนลูกเป็ดข้ีเหร่ แต่ ก็ออกมาอวดจนได้ 5
ท่านเช�ือตามพระพทุ ธองคท์ รงตรสั ินตยสารธัมมวิโมกข์ ไหมว่า “ทุกส�งิ ทุกอย่างในโลกน�ีลว้ นี้ เป็นธรรมทงั� ส�นิ ” และหลวงพ่อ (พระมหาวรี ะ ถาวโร) ไดห้ ยบิ ยกเอา ส�งิ หน�ึง... ท�เี ราพบอยู่ทุกวนั ช�ีใหเ้ ห็น ว่า เป็นธรรม และเป็นธรรมนาํ ใหถ้ งึ ผลอนั สูงสุดไดอ้ ีกดว้ ย “ส�งิ นน�ั ” คือ อะไร... ขอเชิญท่านผูส้ นใจธรรมะ อ่านตาม อธั ยาศยั และภายในเล่ม.. ยงั มี ข่าวดี โดยเฉพาะสาํ หรบั ครูผู ้ ฝึก “มโนมยทิ ธิ” อีกดว้ ย จุลสาร “ธมั มวโิ มกข”์ จะพบกบั ท่าน ทุกเดือน ตง�ั แต่ บดั น�ีเป็นตน้ ไป “คณะผู้จัดท�ำ” 6
ินตยสารธัมมวิโมกข์ ธมั มวิโมกข์ ทศั นา ณ ชั้นล่างของโรงเรียนพระพินิจอักษร เม่ือเวลาประมาณบ่าย 3 โมง คร่ึงของวันท่ี 13 กันยายนปีท่ีแล้ว พระภิกษุกลุ่มหนึ่งนั่งประชุมปรึกษาหารือ กัน ถึงเร่ืองการรวบรวมธรรมะค�ำส่ังสอนของพระพุทธองค์ ท่ีหลวงพ่อได้ เมตตาน�ำมาส่ังสอน พวกเราเห็นว่าเป็นค�ำสอนท่ีมีคุณค่าและหาฟังได้ยาก ในปัจจุบันน้ี เป็นค�ำสอนที่เข้าใจง่าย เหมาะสมส�ำหรับน�ำไปประพฤติปฏิบัติ ด้วยเหตุนี้เอง จึงเห็นพ้องต้องกันว่า ควรจะรวบรวมเก็บรักษาไว้ ณ ท่ีแห่งใด แห่งหน่ึง เพื่อมิให้กระจัดกระจายสูญหาย อันจะเป็นประโยชน์ในการค้นคว้า และศึกษาธรรมต่อไป สองเดือนต่อมา จึงแจ้งวัตถุประสงค์ให้หลวงพ่อทราบ และขอ อนุญาตจากหลวงพ่อ จึงได้ใช้สถานที่บริเวณห้องด้านทิศเหนือของวิหารหลัง พระอุโบสถ ซ่ึงเหมาะส�ำหรับเก็บรวบรวมเทป อากาศถ่ายเทสะดวก และกว้าง ขวางพอท่ีจะท�ำงานได้อย่างสบาย ท่ีใส่เทปเป็นตู้ไม้สูง 2 ตู้ พวกเราปลื้มใจ 7
ินตยสารธัมมวิโมกข์มากที่หลวงพ่อเมตตาและให้การสนับสนุนทุกอย่างจึงรีบเร่งช่วยกันท�ำความ สะอาดสถานท่ี จัดหาและติดต้ังอุปกรณ์ต่างๆ จนเสร็จเรียบร้อย หอ้ ง “ธมั มวโิ มกข”์ ไดเ้ ปิดทาํ งานแลว้ ตง�ั แต่วนั ท�ี 1 มกราคม พทุ ธศกั ราช 2523 ซง�ึ ตรงกบั วนั ปีใหม่พอดี นบั เป็นนิมติ ดอี ย่างย�งิ มผี ูด้ าํ เนิน งานหลายท่านแบ่งหนา้ ทต�ี ่างๆ กนั คือรวบรวมเทป ถอดเทปเป็นภาษาหนงั สอื ถ่ายเทปจากตน้ แบบทง�ั หมด พมิ พเ์ ป็นหนงั สอื ต่อไป ขณะน�ีทกุ อย่างไดด้ าํ เนิน งานไปมากแลว้ “ธมั มวโิ มกข”์ แปลว่า “ธรรมอนั เป็นเคร�ืองหลุดพน้ ” จึงเห็นว่าคาํ น�ี เหมาะสมและสอดคลอ้ งกบั งานท�กี ระทาํ พอดี คือ “ทาํ ใหห้ ลุดพน้ จากวฎั ฎ สงสาร” ส่วนจะหลุดพน้ ไดห้ รือไม่นน�ั ก็ตอ้ งรอดูกนั ต่อไป พรอ้ มกบั การก่อตง�ั “ธมั มวโิ มกข”์ ก็มจี ุลสาร “ธมั มวโิ มกข”์ อีกดว้ ย เป็นหนงั สอื รวบรวมธรรมะคาํ สอนต่างๆพมิ พอ์ อกเผยแพร่สู่พทุ ธศาสนิกชน เพ�อื เป็นประโยชนก์ บั ท่านทงั� หลายนนั� เอง “ธมั มวโิ มกข”์ นอกจากเป็นสถานทร�ี วบรวมเทปแลว้ ยงั เปิดบรกิ าร ให้ ทา่ นผูส้ นใจ ยมื เทปคาํ สอนของหลวงพอ่ (พระมหาวรี ะ ถาวโร)ไปฟงั ไดอ้ กี ดว้ ย หวงั ว่าท่านคงรูจ้ กั กบั “ธมั มวโิ มกข”์ แลว้ และถา้ ตอ้ งการใหล้ กึ ซ�งึ มากข�นึ กว่าน�ี ดงั คาํ กระเหร�ียงท�วี ่า “สบิ ปากว่าหลบั ตาชบิ ่เหน็ สบิ ตาดเู ล่น บ่เท่ามอื ก�า” กข็ อเชญิ ท่านไป “สนั ถวะ” กบั “ธมั มวโิ มกข์” ได้ตลอดเวลาทที่ �างาน “ธมั มวโิ มกข์” ก�าลงั รอท่านไป “ท�าวโิ มกข์” “สายฟ้า” 8
9 นิตยสารธมั มวโิ มกข์
10 นิตยสารธมั มวโิ มกข์
ินตยสารธัมมวิโมกข์ แนะน�ำครู..ผู้ฝึกสอน ส�ำหรับเทปม้วนนี้ เป็นเทปแนะน�ำครูผู้ฝึกสอน เพราะว่าครูผู้สอน ตั้งแต่ก่อนที่จะออกแบบน้ี หรือว่าก่อนที่จะแนะน�ำนี้ ก็รู้สึกว่าท่านท่ีท�ำได้ แล้วก็มาเป็นครูกัน ฉะนั้น ระเบียบปฏิบัติอาจจะไม่สม�่ำเสมอกัน แล้วก็บางท่าน บางทีก็ อาจจะเผลอไปเหมือนกัน เพราะว่าความเป็นครูที่มีความส�ำคัญมาก ครูจะ ต้องรู้จักรักษาอารมณ์ของตัวเองไว้เป็นปกติ โดยเฉพาะอย่างย่ิง ทาน ศีล ภาวนา ค�ำว่าทาน การให้ ศีลเป็นการรักษากาย วาจา ใจ ให้เรียบร้อย และ การภาวนาคือการเจริญ รู้จักว่าอัตภาพร่างกายน้ีไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา และ ประการต่อไป ครูจะต้องรู้จักรักษาก�ำลังใจของตัวเองไว้เป็นปกติ แล้วครู จะต้องมีอารมณ์แจ่มใสอยู่เสมอโดยเฉพาะอย่างย่ิงในด้านวิปัสสนาญาณ คือเรียกว่าไม่สนใจในด้านของขันธ์ 5 คือร่างกายเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าหากครูมี ศีล สมาธิ ปัญญาไม่สมบูรณ์ ก็จะท�ำให้ศิษย์ขาดความสมบูรณ์ไปด้วย แล้ว ก็ประการท่ีสอง ถ้าครูมีความไม่สมบูรณ์แบบในจิต ครูก็อาจสอนศิษย์ผิดไป 11
ินตยสารธัมมวิโมกข์เสียด้วย และการสอนผิดน้ีเป็นโทษหนัก เพราะว่าเป็นเรื่องของปรมัตถบารมี ความจริงก�ำลังใจของคนน่ีมีความส�ำคัญมาก ถ้ายิ่งเรามีความ ละเอียดเพียงใดในด้านธรรมะ โทษก็ปรับมากเพียงน้ัน ยิ่งคนท่ีท�ำหยาบมี อาการหยาบมีความประพฤติไม่ดี เขาก็ปรับโทษน้อย ส่วนจุกจิกเขาไม่ปรับ ถ้าอุปมาก็เหมือนเด็กกับผู้ใหญ่ เด็กท�ำความผิด มีโทษน้อยกว่าผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ ท�ำความผิดมีโทษมากกว่าเด็ก ถือว่าผู้ใหญ่มีความสมบูรณ์ในด้านความเป็น คน ต้องรับผิดชอบทุกอย่าง ตัวอย่างเราจะเห็นได้ว่า ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นดาบส ในสมัยนั้น องค์สมเด็จพระบรมสุคตเดินไปอยู่ในป่า เห็นสระน้�ำใสมีดอกบัวสวยสะอาด สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถถึงได้ลงอาบน้�ำในสระ เวลาจะข้ึนมาก็คิดว่า ดอกบัวที่อยู่ในสระเป็นของไม่มีเจ้าของ แล้วควรจะน�ำไปบูชาองค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนจะข้ึนจากน้�ำจึงได้เด็ดดอกบัวมาสองสามดอก หวังจะไปบูชาพระพุทธเจ้า ในตอนนั้นเอง ก่อนจะขึ้นปรากฏว่า มีเทวดาท่านหน่ึงซ่ึงรักษาป่าอยู่ ในบริเวณน้ันเป็นลูกศิษย์ของท้าวเวสสุวรรณแล้วก็มีอ�ำนาจในการรักษาสระ นั้นด้วย จึงได้แสดงตัวให้ปรากฏ ร้องบอกว่า “ขโมยๆ” หรือว่าโจรผู้ลักดอกบัว สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลานั้นทรงเป็นพระโพธิสัตว์ได้ เห็นเข้า ถามว่า “ใครเป็นคนขโมย” เทวดาองค์นั้นก็บอกว่า “ท่านนั้นแหละ เป็นขโมย” 12
ินตยสารธัมมวิโมกข์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสถามว่า “คนอื่นเขาน�ำไปตั้งเยอะตั้งแยะ ท�ำไมจึงไม่เป็นขโมย นี่ฉันจะน�ำไป บูชาพระพุทธเจ้าอย่างหน่ึงและอีกประการหนึ่ง สระนี้ก็เป็นสระอยู่ในป่า หา เจ้าของมิได้ ท�ำไมเราจึงเป็นขโมย” เทวดาองค์นั้นจึงบอกว่า “ส�ำหรับคนอ่ืน เป็นคนที่มีอารมณ์หยาบมีจิตบาปอยู่เป็นปกติย่อมไม่ ปรับเป็นโทษ ส�ำหรับท่านที่เป็นพระโพธิสัตว์และการน�ำดอกบัวไปนี้จะถือว่า มนุษย์ไม่เป็นเจ้าของก็จริงแหล่แต่ว่าเราเป็นผู้รักษาสระและเป็นผู้รักษาสระ ในเขตน้ีท่านมีก�ำลังใจดีใกล้จะบริสุทธ์ิ และจิตหวังจะสงเคราะห์มนุษย์ให้ มีความสุข ในเม่ือท่านมีก�ำลังใจสูงในด้านธรรมะก็ต้องถือว่าท่านเป็นขโมย ถึงแม้ว่าคนอ่ืนจะไม่ถูกปรับ แต่ท่านก็ต้องถูกปรับในฐานะท่ีเราเป็นผู้รักษา ในเขตน้ี” เป็นอันว่าเมื่อเจรจากันดีแล้ว เทวดาก็อนุญาต ข้อนี้ขอให้ถือเป็นอุทาหรณ์ว่า ถ้าเราสอนธรรมะที่มีอารมณ์สูงสุด ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วก็โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอนน้ีเป็นการสอน ด้านวิชาสามผสมกับอภิญญาหก แต่ความจริงอภิญญาเราไม่ได้น�ำมาหมด เราน�ำมาแต่เพียงมโนมยิทธิก็จริงแหล่ แต่ทว่าธรรมะส่วนนี้หนักมากและก็ สูงมากในพระพุทธศาสนาย่อมสามารถท�ำคนให้เป็นพระอริยเจ้าได้โดยง่าย เพราะว่าสามารถหาพยานได้ตามค�ำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้า ท่ีชาวบ้านเขาบอกว่านรกไม่มี เปรตไม่มี อสุรกายไม่มี เทวดาไม่มี พรหม ไม่มี นิพพานสูญ แต่ว่าสูญหรือไม่สูญ มีหรือไม่มี เราสามารถจะสอบสวน 13
ินตยสารธัมมวิโมกข์ให้ได้ด้วยการประพฤติปฏิบัติตามแนวทางที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าทรงสอน ฉะน้ันการสอนแบบนี้จึงเป็นการใช้ก�ำลังใจสูงสุด และเป็นธรรมะท่ี ละเอียด ครูผู้สอนจึงต้องไม่ประมาทในตนเอง ถ้ายังคิดว่าตัวยังดีอยู่ก็จง อย่าสอนเขา และคนท่ีมีความรู้สึกว่าตัวดี ก็คือคนเลว มีความประมาทอยู่ ขณะนั้นเราก็เลวและจุดหน่ึงพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “บุคคลใดรู้ตัวว่าเป็น พาล บุคคลน้ันพระองค์ทรงกล่าวว่าเป็นบัณฑิต” ค�ำว่าพาลแปลว่า โง่ บัณฑิต แปลว่าเป็นผู้รู้ เป็นอันว่า ถ้าคนใดมีความรู้สึกตนเองยังโง่อยู่ คนประเภทนั้นองค์ สมเด็จพระบรมครูทรงตรัสว่า “คนน้ันเป็นคนฉลาด” ท้ังน้ีเพราะอะไร เพราะ ว่าถ้าคนโง่จริงๆ ก็เลยไม่รู้ตัวว่าโง่ ไม่มีปัญญาพิจารณาอารมณ์ของตนเอง ถ้า คนฉลาดเขาจะมองจุดตามความเป็นจริงไว้เสมอว่าสิ่งที่เรารู้น่ีอะไรบ้างที่เรา ยังไม่รู้ เวลานี้เราเป็นพระอรหันต์แล้วหรือยัง ถ้าเรายังไม่เป็นพระอรหันต์ ก็ แสดงว่าเรายังรู้จริงในเรื่องของขันธ์ 5 ไม่ได้ ฉะนนั� การสอนอย่าสอนนอกลู่นอกทาง และก็จงอย่าแนะนาํ ธรรมะ เกินกว่าจุดท�ีเขาจะตอ้ งปฏิบตั ิ อย่าไปอธิบายธรรมะในขณะเวลาท�ีผูป้ ฏิบตั ิ กาํ ลงั สนใจจิตเฉพาะ เราจะอธิบายไดโ้ ดยเฉพาะกิจท�ีเราจะฟงั สอนจุดเดียว เท่านน�ั ถา้ ไม่เขา้ ใจว่าจะสอนแบบไหน เอาตวั อย่างย่อๆ ท�ีสอนกบั คณะ สมทุ รปราการเม�อื วนั ท�ี 2 ม.ค.23 เอามาฟงั ดูว่าการแนะแนวกนั แบบนนั� เขา ทาํ กนั ยงั ไงแลว้ ก็ประการท�ีสอง ประการต่อไปจงอย่าใชอ้ ารมณ์เร่งรดั แลว้ ก็ จงอย่าใชว้ าจาท�ีไม่สมควร เพราะว่าอารมณ์ท�ีเร่งรดั ก็ดี วาจาท�ีไม่สมควรก็ดี เป็นการไม่สมควรไม่เหมาะสมแก่ครูผูส้ อนธรรมะ เพราะว่าธรรมะจะตอ้ ง 14
ินตยสารธัมมวิโมกข์ท�ำใจบุคคลให้มีความช่ืนชม แล้วก็มีความเบาใจในการปฏิบัติ การเร่งรัด เป็นการผิด เพราะว่าการปฏิบัติแบบน้ีเป็นเรื่องของทางใจ โดยเฉพาะอย่าง ยิ่ง ทิพยจักขุญาณก็ดี มโนมยิทธิก็ดีเป็นของหนัก เขาปฏิบัติกันมาเป็นสิบๆ ปี ไม่สามารถจะท�ำได้ แล้วก็ตายกันนับไม่ถ้วนแล้ว ถ้าเรามาเร่งรัดแก่คนที่ ไม่เคยปฏิบัติมาในกาลก่อน โดยใช้เวลาเพียงแค่ 10 นาทีเศษๆ ซึ่งเราให้เขา รับฟัง ท�ำจิตสงัด อารมณ์จิตอาจจะยังไม่เรียบ ตอนนี้ครูผู้สอนต้องเป็นคนฉลาด และก็จะต้องรู้อารมณ์จิตของลูก ศิษย์ การรู้อารมณ์จิตของลูกศิษย์น้ัน ให้เอาจิตจับองค์สมเด็จพระสัมมาสัม พุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ก่อนท่ีจะเข้าไปฝึกลูกศิษย์ อันดับแรกตัดขันธ์ 5 ของ ตนเองเสียก่อน มานะความถือตัวถือตน เอาจิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์ ให้เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแจ่มใสชัดเจน ไปนมัสการ ท่าน แล้วก็มอบภาระในการสั่งสอนศิษย์ ให้เป็นภาระของพระองค์ จะถือ อารมณ์ของตนเองเป็นส�ำคัญน้ันผิดถนัด เพราะว่าหนึ่ง เรายังไม่เป็นพระ อรหันต์ ประการท่ีสองท่านท่ีเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ไม่ใช่สัพพัญญูวิสัย ค�ำ ว่าสัพพัญญูวิสัย หมายความว่า ทุกอย่างไม่มีอะไรที่ไม่รู้ ถึงแม้พระอรหันต์ เองยังรู้ทุกอย่างไม่ได้ ในเมื่อเรายังไม่เป็นพระอรหันต์ เราจะรู้ทุกอย่างได้ อย่างไร โดยเฉพาะอย่างย่ิงก�ำลังใจของศิษย์ที่เรารู้ไม่ได้ แต่ถ้าหากว่าเราเกาะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาศัยบารมีของพระองค์เราต้องเกาะจริงๆ เห็นจริงๆ เช่ือพระองค์จริงๆ มอบภาระหน้าท่ีให้เป็นของพระองค์จริงๆ โดย เฉพาะอย่างย่ิงก่อนท่ีจะแนะน�ำศิษย์ ขณะที่เราท�ำจิตสงัดโดยใช้เวลาเพียง 10 นาทีเศษๆ ตอนน้ีควรจะอาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ เห็นพระองค์ว่าประทับอยู่ในเศียรเกล้าของเราก็ดี เห็นว่าพระองค์คลุมกาย 15
ินตยสารธัมมวิโมกข์ของเราหมดก็ดีดูจิตใจหรือดูพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระจอมไตร ให้ใสสว่างจัด แล้วมอบหน้าท่ีในการสอนเป็นหน้าที่ขององค์สมเด็จพระทรง สวัสดีโสภาค เวลานั้นเราจะมีความรู้สึกจุดหนึ่งว่าบางทีเราอาจจะคิดว่า การสั่งสอน ศิษย์ต้องสอนแบบนี้ แต่อารมณ์อย่างน้ีก็ไม่ควรจะท�ำ เพราะว่าจะเป็นการ ถือว่าเป็นเรื่องของตนเอง ไม่ต้องก�ำหนดจิตไว้อย่างใดท้ังหมดว่า เราจะ สอนแบบไหน ก่อนจะไปมอบภาระหน้าท่ีนี้ให้เป็นหน้าท่ีขององค์สมเด็จพระ จอมไตรบรมศาสดา แล้วท่านจะสอนแบบไหนเป็นภาระของท่าน อันน้ีก็ถ้า ท�ำได้จริงจะปรากฏอย่างนี้ บางทีก่อนจะสอนเราอาจจะนึกว่าเราควรจะสอน แบบน้ีๆ แต่ว่าเวลาท่ีเราจะเริ่มสอนเข้าจริงๆ มันไม่ตรงกับอารมณ์ท่ีเราคิดไว้ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็จงอย่าฝืน เพราะน่ันให้เป็นภาระหน้าท่ีขององค์สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าและอย่างนั้นศิษย์จะเข้าใจจะมีความเข้าใจดี อีกประการหนึ่ง เราให้เวลาลูกศิษย์ใช้เวลาน้อยมากเกินไป ใช้เวลา เพียงแค่ 10 นาทีเศษๆ ในการรวบรวมก�ำลังใจ ตอนน้ีท่านท้ังหลายจงเข้าใจ ว่าบางคนที่มาฝึกอาจจะช�ำนาญ หรือเชี่ยวชาญ หรือว่าคล่องในด้านอ่ืนมา ก่อน คือว่าการใช้ค�ำภาวนาย่อมไม่เหมือนกัน นี่เป็นเคร่ืองโต้เถียงในด้าน ก�ำลังใจ ในเมื่อใช้ค�ำภาวนาไม่เหมือนกัน ก�ำลังใจมันก็จะแย่งค�ำภาวนาเก่า กับค�ำภาวนาใหม่จะแย่งกัน หมายความว่าจิตดวงหนึ่งจะภาวนาแบบนี้ แต่ ว่าอีกจุดหนึ่งของจิตมันก็คิดจะภาวนาแบบเก่า อารมณ์ของเขาจะต้องต่อสู้ กันการทรงก�ำลังจิตท่ีเป็นสมาธิมันก็ไม่เกิด ถ้าอาการแบบนี้เกิดขึ้น ถ้าเรา เข้าไปแนะน�ำศิษย์ ถ้าศิษย์ไม่สามารถจะท�ำจิตให้เข้าถึงจุดท่ีเราต้องการได้ โดยการแนะน�ำเบื้องต้น ถ้าไม่เข้าใจให้ดูค�ำแนะน�ำของคณะสมุทรปราการต้น 16
ินตยสารธัมมวิโมกข์เหตุเมื่อแนะน�ำถึง 2 วาระเขาไม่สามารถจะท�ำได้ก็จงให้ก�ำลังใจแก่นักปฏิบัติ ว่าถ้าก�ำลังใจยังไม่สงัด สมาธิยังไม่สมควร ก็ขอให้ภาวนาไปก่อน แล้วสักครู่ หนึ่งจะย้อนมาแนะน�ำใหม่ เราก็เดินไปหาคนอื่นต่อไปให้เวลาเขา เรื่องนี้เป็น เรื่องใหญ่ การเร่งรัดน้ีรู้สึกว่ามีได้รับข่าวอยู่เสมอๆ ว่าครูผู้สอนมักจะเข้าไป เร่งรัดศิษย์ ถ้าเร่งรัดเกิดข้ึนมันก็มีอาการกลุ้ม เหมือนกับเราท่ีมีก�ำลังน้อย ไม่ สามารถจะยกของขึ้นได้เพราะก�ำลังไม่ถึง การเพาะก�ำลังกายยังไม่สมควร แต่ ก็มีบุคคลใดบุคคลหนึ่งมาบังคับเราให้ยกให้ได้ เราจะท�ำแบบไหนนอกจากจะ ท�ำไม่ได้แล้ว ก็จะเกิดอารมณ์กลุ้ม การกลุ้มเกิดข้ึนก�ำลังกายก�ำลังใจมันก็ตก และโดยเฉพาะอย่างย่ิงการเจริญพระกรรมฐาน ถ้าก�ำลังใจตกเพราะครูเร่งรัด เกินไปผลร้ายจะมีกับศิษย์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผลร้ายก็มาจากครูผู้สอน อันน้ีต้องจ�ำ อย่าบีบบังคับ อย่าเร่งรัด อย่าขู่เข็ญ ต้องเอาตัวเองเป็น ส�ำคัญ เป็นเคร่ืองยอมรับ เป็นตัวอย่าง ว่าเรากว่าจะท�ำได้ขึ้นมาเราใช้เวลาเท่า ไหร่ แล้วความเข้าใจของเรายังไม่สมบูรณ์แบบ ก็หมายความว่าเรายังไม่เป็น พระอรหันต์ ทีนี้ถ้าเราไปหาพระอรหันต์ พระอรหันต์ก็ต้องบอกว่าเราเองก็ยัง เป็นผู้ไม่สมบูรณ์แบบ เพราะว่าพระอรหันต์เองก็ให้พระกรรมฐานผิดแก่คณะ ศิษย์ผู้ปฏิบัติก็ได้ ท้ังที่ไม่สามารถจะรู้อารมณ์ใจเขาได้จริงๆ ตัวอย่างพระสา รีบุตรเป็นพระอัครสาวกฝ่ายขวา เป็นผู้มีปัญญามากยังให้กรรมฐานกับพระ ลูกชายนายช่างทองพลาดจากอารมณ์เดิมของเขา ฉะน้ันบรรดาครูท้ังหลายจงจ�ำไว้ และจงรักษาปฏิปทานี้ไว้ว่าเรายัง เป็นผู้ไม่รู้จบ ผู้ที่รู้จบจริงๆ ก็คือพระพุทธเจ้า ถ้าเรายังไม่เป็นพระอรหันต์ ด้วยแล้วจงมีความเข้าใจในตนเองว่าเรายังหยาบเกินไป ความบกพร่องของ เรายังมีมาก ทุกอย่างให้เป็นภาระหน้าท่ีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 17
ินตยสารธัมมวิโมกข์และอีกประการหนึ่ง ผู้มาฝึกบางทีทรงฌานหนักเกินไปส�ำหรับทิพย จักขุญาณเพราะการก้าวข้ึนเบ้ืองต้นเป็นอารมณ์ของทิพยจักขุญาณเป็นขั้น นั้น การท่ีจะใช้จิตในข้ันทิพยจักขุญาณน่ี จิตใช้ก�ำลังเพียงแค่อุปจาระสมาธิ ไม่ถึงฌานสมบัติและก็มีบุคคลส่วนมากที่เข้ามาฝึก มักจะมาจากส�ำนักอื่น เจริญพระกรรมฐานมาดีแล้ว จิตทรงฌานสงัดลึกเกินไป ต้องค่อยๆ แนะน�ำ ว่าพยายามคลายอารมณ์เสีย จิตเข้าถึงฌานเป็นของดีเขาต้ังมาก่อนแล้วเป็น ของดีเพราะว่าจิตจะได้ทรงตัวได้มาก ในเม่ือคลายเข้ามาถึงอุปจาระสมาธิ จิต จะทรงตัวได้นาน แต่ว่าในช่วงที่ต้องการรู้น่ี ต้องแนะน�ำเขาว่า เราต้องการ อารมณ์แค่อุปจาระสมาธิ คืออารมณ์แบบสบายๆ เท่านั้น ถ้าเขายังคลายตัว ไม่ได้ก็บอกว่าให้เขาพยายามท�ำตามน้ันไปก่อน เราก็เดินไปหาคนอ่ืน แต่ก่อน ที่จะไปก็ให้ความหวังเขาไว้ ว่าผลแห่งการปฏิบัตินี่ท่านมีหวัง แต่ว่าท่ียังไม่ได้ เพราะยังไม่เข้าใจเท่าน้ัน พยายามสร้างความเข้าใจ และรักษาอารมณ์ใจให้ สบายๆ ท�ำอารมณ์เบาๆ ให้เป็นสุข เราก็ไปสอนคนอื่นต่อไป แล้วก็ให้ความ หวังว่าสักครู่หนึ่งจะมาหาท่าน และก็มีจุดหนึ่งว่า การแนะน�ำจะต้องเป็นคนท่ีเน่ืองมาถึงกัน ค�ำว่า เน่ืองถึงกัน หมายความว่าเคยสร้างสมบารมีร่วมกันมาในกาลก่อน อันนี้เป็น เรื่องหนักมาก ถ้าหากว่าเราไม่สั่งสมบารมีร่วมกันมา เราจะส่ังสอนเท่าไรก็ไม่รู้ เรื่อง ไม่ใช่ว่าท่านผู้นั้นไม่ดี เป็นแต่เพียงว่าเราไม่รู้ก�ำลังใจกัน เหมือนกับคน ที่เราไม่เคยอยู่ด้วยกัน แต่ว่าจะรู้ได้อย่างไรถ้าเป็นแม่ครัว พ่อครัว ว่าคนนี้ ต้องการอาหารประเภทใดเขาจึงจะมีความสุขถ้าหากว่าเราจะท�ำอาหารเป็นท่ี ถูกใจของเขาก็รู้ไม่ได้ บังเอิญอาหารไปตรงกับสิ้นที่เขาพอใจ รสที่เขาพอใจ เขาก็กินอร่อย อิ่ม นี่บังเอิญให้อาหารท่ีเรานึกว่าดี แต่ว่าไม่ถูกใจแก่ผู้บริโภค 18
ินตยสารธัมมวิโมกข์เขาก็กินไม่ลง และสักแต่ว่ากินลงไปเท่านั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ฉะนั้น การสอนจะต้องยึดบารมีขององค์สมเด็จพระจอมไตรเป็นเหตุ อย่าทิ้งพระพุทธเจ้า อย่าสร้างความรู้ของตัวเองเป็นส�ำคัญ ครูผู้สอนศิษย์ เราจะวินิจฉัยได้ ทว่าใช้ก�ำลังใจไม่ถูกไปเร่งรัดก�ำลังใจศิษย์เกินไปก็ดี ใช้ ค�ำขู่เข็ญว่าต้องท�ำอย่างน้ัน ต้องท�ำอย่างน้ี ต้องท�ำให้ได้ในเวลานั้น เวลาน้ีก็ ดี หรือว่าไปสอนธรรมะนอกรีดนอกรอยจากอารมณ์ของการปฏิบัติก็ดี ครู ประเภทนี้จะทราบได้ทันทีว่าท่านผู้น้ีไม่ได้อะไรเลย แต่ก็สอนไปตามประเพณี ท่ีได้เลยรับการแนะน�ำมาเท่าน้ัน อีกประการหน่ึง ครูผู้สอนจะต้องมีอารมณ์ละเอียด อารมณ์ละเอียด เป็นอย่างไร ตามปกติเราจะต้องเป็นผู้มีศีลบริสุทธ์ิ ถ้าเรามีแค่ศีล 5 บริสุทธ์ิก็ อย่าลืมว่าอารมณ์ของเราอยู่ในข้ันต�่ำมาก ถ้าหากเรามีศีล 8 บริสุทธ์ิเป็นปกติ ก็ ช่ือว่ามีอารมณ์ข้ันกลาง ถ้าเป็นฆราวาส ความรู้สึกในทางกาย ไม่สนใจในทาง กายจริงๆ มีความมั่นคงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ทะนงตัวว่าเป็น ผู้วิเศษเป็นผู้รู้ดี แล้วก็มีศีลบริสุทธิ์ มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ จิตใจบรรเทา ความรักในระหว่างเพศ ความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือว่าถ้าสูงขึ้นไป จนกระทั่งอารมณ์ใจหมดความโกรธ หมดความร�ำคาญ ไม่มีความผูกพันใน เรื่องของเพศ เห็นเรื่องของเพศเป็นของจืดๆเหมือนกระดาษที่ไร้ค่าไม่มีความ ปรารถนาในเร่ืองเพศ ถูกเขานินทาว่าร้ายใส่ความ ใจมีความสุขอย่างนี้ชื่อว่า เป็นครูได้พอสมควร อารมณ์ของใจเรามีอารมณ์พอสมควรยังไม่ดี เป็นอันว่า ครึ่งหนึ่งของครู คร่ึงหน่ึงของครูช้ันดี ครูช้ันดีจริงๆ ต้องไม่หลงในอารมณ์ของสมาธิ คือฌานสมาบัติท่ีเรียก ว่ารูปฌาน แล้วก็ไม่หลงในอรูปฌาน ไม่มีการมานะทะนงตน ค�ำว่าทะนงตน ก็ 19
ินตยสารธัมมวิโมกข์หมายความว่า นี่ฉันเป็นครูนะ ฉันมีความรู้ ใช้หลักวิชาการสอนนอกรีดนอก รอย เป็นการทะนงว่า ฉันน่ีแหละเป็นคนวิเศษ น่ีเป็นการสร้างความผิด 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะการปฏิบัติกับปริยัติไม่เหมือนกัน ปริยัติ หมายถึงว่า การ สอนในวิชาความรู้ท่ัวๆ ไป ไม่ใช่เวลาของการปฏิบัติ ต้องอิงเรื่องน้ัน ต้องอิง เร่ืองน้ีเอาหลายๆ อย่างเข้ามาสอน เวลาที่ปฏิบัติจริงๆ เขารวบรัดตัดอารมณ์ท้ังหมด จับจุดจุดเดียวคือ ละขันธ์ 5 ให้ได้ พระพุทธเจ้าสอนท่านจะสอนตัดจุดจุดเดียวคือว่า จงอย่า สนใจในรูป อย่างในท้ายในมหาสติปัฎฐานท้ังหมด จะลงท้ายว่า จงอย่าสนใจ กายภายใน คือกายของเรา อย่าสนใจกายภายนอกคือกายของบุคคลอื่น และ อย่าสนใจในวัตถุธาตุใดๆ ท้ังหมด ให้วางอารมณ์เสีย น่ีการสอนจริงๆ เขา สอนย่อให้สั้น ดูแนวการสอนแนะน�ำของคณะจังหวัดสมุทรปราการเป็นเหตุ จะได้สร้างก�ำลังใจแก่บุคคลผู้ปฏิบัติ อีกประการหน่ึง นักปฏิบัติส่วนใหญ่บางทีไม่เคยปฏิบัติมาก่อน แล้ว ก็ต้องมาแบกของหนักเหมือนเด็กอุ้มช้าง เราจะไปเร่งรัดตามก�ำลังใจนั้นไม่ ได้การเร่งรัดต้องรู้ตัวว่าครูเลวนะ และการอธิบายธรรมะนอกรีดนอกรอย สร้างความร�ำคาญแก่นักปฏิบัติ และอีกประการหนึ่ง คนท่ีมาปฏิบัติเขามีความช�ำนาญอยู่แล้ว มีความ คล่องในธรรมะ ครูผู้สอนอาจจะมีธรรมะสู้เขาไม่ได้ก็ได้ในด้านปริยัติ ฉะน้ัน การอธิบายใดๆ ทั้งหมดไม่จ�ำเป็นต้องมี เรียกว่านอกรีดนอกรอย กว้างขวาง ไม่จ�ำเป็น ใช้อารมณ์เฉพาะ การตัดขันธ์ 5 ทรงศีล สมาธิ ปัญญา เท่าน้ัน เทปหน้านี้ก็หมดเวลา ฟังเทปหน้าต่อไป (ต่อฉบับหน้า) 20
21 นิตยสารธมั มวโิ มกข์
22 นิตยสารธมั มวโิ มกข์
23 นิตยสารธมั มวโิ มกข์
24 นิตยสารธมั มวโิ มกข์
ินตยสารธัมมวิโมกข์ ขึ้นชื่อว่า สิ่งที่มีชีวิต ที่เกิดข้ึนมาในโลกกลมๆ นี้ ทุกชีวิตมีอันจะต้อง จบลงด้วยการตายด้วยกันทั้งหมด การตายอาจจะมีหลายลักษณะ แต่ที่ แน่นอน คือหมดลมหายใจ ก็ไม่เห็นจะมีมนุษย์หน้าไหนท่ีจะมีอายุยืนยงคง อยู่ได้ตลอดกาลตลอดสมัยได้สักคน ทุกคนเกิดมาแล้วตายหมด 25
ินตยสารธัมมวิโมกข์แต่ก็ไม่เห็นมีมนุษย์คนไหนท่ีเขาอยากจะตายกัน ไปพูดเรื่องตายกับ แกเข้า ดีไม่ดีแกจะตวาดเอา หาว่าเป็นคนบ้าบอคอแตกเสียด้วย ถ้าเป็นคน ประเภทนี้พูดคุยกันถึงเรื่องความตาย เห็นทีจะมิได้ครับ เหมือนเราเห็นว่าแก ต้องเดินทางไกล เราไปเตือนให้แกเตรียมข้าวของท่ีจะต้องน�ำไปด้วย แกกลับ หาว่าเราเป็นคนบ้าไป อย่างนี้เราจะไปพูดอยู่ด้วยท�ำไมครับ เสียเวลาไปเปล่าๆ บางคนไม่เท่านั้น ยังพยายามหาทางหนีมัจจุราชซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความตาย เสียด้วย โดยพยายามเสาะหายาประเภทอายุวัฒนะมากิน กินไปกินมา ก็ยัง เห็นแก่ เจ็บไข้ได้ป่วย แล้วก็ตายไปเหมือนกัน จะเป็นคนมั่งมีหรือเป็นคน ยากจนแสนเข็ญก็มีอาการเหมือนกัน เกิดแล้วแก่ เจ็บ ตาย มีการหิว หนาว ร้อน ปวดอุจจาระ ปัสสาวะ ตัวก็เหม็นต้องอาบน้�ำฟอกสบู่เหมือนกัน ดีไม่ดี พวกที่อนามัยมากๆ กลับมีโรคมากกว่าเขา คงเป็นเพราะตัวสะอาดดีเชื้อโรค คงจะชอบ แต่ที่แน่ๆ คือพวกหมอปรุงยา เขาขายยารวยไป โดยเฉพาะพวก ท่ีอยากมีอายุยืนยาว หมอปรุงยาชอบเป็นพิเศษ เพราะยาประเภทนี้ ขายได้ ราคา มีก�ำไรดีเป็นพิเศษ คนเราส่วนมาก อยากมชี วี ติ ทยี นื ยาวทงั� ๆ ทก�ี าลขา้ งหนา้ จะมสี ภาพ ยกั แย่ยกั ยนั ทลุ กั ทเุ ลแค่ไหนไม่สนใจ ใหอ้ ายุฉนั ยนื ยาวไวเ้ป็นดี ถา้ ท่านอยาก จะพสิ ูจนด์ ูก็ลองพสิ ูจนไ์ ด้ เมอ�ื ไหร่ทท�ี ่านมโี อกาสไดไ้ ปงานมงคลประเภทงาน วนั เกิด งานแต่งงานหรือข�นึ บา้ นใหม่ใหพ้ รกบั เจา้ ภาพแบบน�ี “ขอใหจ้ งเจริญ ดว้ ยโชค ลาภ สรรเสริญสุข มอี ายุมนั� ขวญั ยนื นะแม่นะ” เท่าน�ีแหละครบั เจา้ ภาพคงย�มิ แกม้ ปริ ยกเวน้ ท่านทล�ี ะโลกธรรมไดน้ ะครบั น�ีก็เป็นเคร�ืองยนื ยนั ไดน้ ะครบั ว่าคนเราไม่อยากตายและอยากมอี ายุยนื ยาวนาน ทีนี้ก็มาคุยกันเร่ืองลักษณะของการตาย การตายนี้ก็มีท่ามีทางเหมือน 26
ินตยสารธัมมวิโมกข์กันอย่างเช่น ยืนตาย น่ังตาย นอนตาย โก้งโค้งตาย คว่�ำหน้าตาย นอนหงาย ตาย นอนตะแคงตาย ลืมตาตาย อ้าปากตาย..โอ้ย..มีมากมาย จนบรรยายกัน ไม่หวาดไม่ไหว ก็ขอยกตัวอย่างให้ฟังเป็นบางเร่ือง เช่น ถ้ายืนตาย ส่วนมาก พวกตายแบบนี้จะต้องเป็นคนที่มีอะไรเป็นพิเศษๆ เท่าท่ีทราบมา โดยมาก ต้องโทษคดีอุกฉกรรจ์โดน ม.21 ปุ..ปุ...ปุ พวกน้ีเขายืนตายกัน ส่วนน่ังตาย ส่วนใหญ่มักจะเป็นพระภิกษุท่ีท่านเจริญพระกรรมฐาน เก่งๆ หรือไม่ก็เป็นพวกโยคีโยคะ ที่ฝึกการน่ังสมาธิแล้วได้อะไรดีเป็นพิเศษ จึงจะนั่งตายได้ ซึ่งคนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ จะตายในท่าน่ัง เห็นทีจะยาก แต่ผมว่าไม่แน่นะครับ ประเภทจ�ำใจนั่งตายก็มี คือต้องโทษประหารแบบสมัย ก่อน เขาจับนักโทษมามัดติดกับหลักในท่าน่ัง จากนั้นเพชฌฆาตก็ลงดาบ.. คอขาดกระเด็น หย่ังง้ีก็เรียกว่านั่งตาย..ยังมีอีกนะครับ ประเภทอย่างพวก นักขับรถเร็วทั้งหลาย เขาห้อตะบึงกัน แล้วบังเอิ๊ญ...บังเอิญประสานงากับ รถสิบล้อเข้า ผลหรือครับ ถูกอัดตายคาพวงมาลัยรถคู่ชีพ คู่ชีพจริงๆ ครับ เพราะไปป่าช้าเหมือนกัน (เขาแน่) ถ้าจะบรรยายห่าการตายต่างๆ ทั้งหมด เห็นทีเหงือกคงจะแห้งเสียก่อน กว่าจะจบสิ้นกระบวนความ ก็ขอคุยแค่เป็น สมุฏฐานกันเท่านั้น ต่อไปก็มาว่ากันทางด้านสถานท่ีบ้าง เพราะว่าเราไม่ได้ตายเฉพาะ ในบ้านนี่ครับ ตายนอกบ้านก็ได้ ในร่มก็มี ท่ีแจ้งก็มาก ทั้งในน้�ำ บนบก ใน อากาศ ประเภทท่ีตายกลางอากาศน่ี ส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับที่สูงอย่างเช่น นักปีนเขา เกิดพลาดขึ้นมาร่างก็ละล่ิวปลิวมาในอากาศหัวฟาดปะหะกับแง่ หิน แต่ดันปะทะแรงไปหน่อย เลยน้อยใจพาลตายไปกลางอากาศ น่ันเอง เม่ือถึงพ้ืนเลยลุกขึ้นยืนไม่ได้ เพื่อนฝูงท�ำได้แต่เพียงรวบรวมช้ินส่วนใส่ปี๊บ 27
ินตยสารธัมมวิโมกข์กลับบ้าน หรืออุบัติเหตุที่เกิดจากเคร่ืองบินระเบิดกลางอากาศแบบน้ีหาคน รอดยาก ส่วนประเภทท่ีต้องตายในน�้ำ ก็มักจะเกี่ยวข้องกับน้�ำท้ังหลายเช่น พวกชาวประมง นักเดินเรือ พวกอยู่ริมแม่น�้ำ และมหาสมุทร เกิดเรือชนกัน บ้าง เรือพบมรสุมบ้าง เรือน้�ำมันระเบิดบ้าง เรือรบโดนยิง คนว่ายน้�ำเป็นหรือ ไม่เป็นไม่ส�ำคัญเพราะส่วนมากมักตาย นักขับรถ เจออุบัติเหตุหักพวกมาลัย รถหลบไปชนราวสะพานหัก รถเสียหลักตกลงสู่แม่น�้ำส่วนคนขับรถตาย หรือ คนกินเหล้า (เหล้ากินคน) เวลาเดินกลับบ้านต้องข้าม สะพานไม้ด้วยความ เมาตาลายเห็นหลายสะพานแยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นสะพานจริง ผลท่ีสุด ตกสะพานเลยจมน้�ำตาย ส่วนพวกที่ต้องตายบนพ้ืนดิน เห็นทีจะไม่ขอพูดถึง เพราะก็รู้ๆ เห็นๆ กันอยู่บ่อยๆ พูดไปก็เสียเวลาเปล่าๆ เหมือนเอามะนาวไป ขายชาวสวน (มะนาว) ตายกลางอากาศ ตายในน�้ำ หรือบนดิน ก็คุยกันไปแล้ว เรามาว่ากันถึง ประเภทตายแบบก้�ำกึ่ง จะว่าตายในน้�ำก็ไม่ได้ จะว่าตายบนดินก็ไม่เชิง แถม บังเอิญตายนอกอากาศด้วย ตายแบบไหนละครับ ถึงจะเรียกว่าตายแบบก�้ำก่ึง เด๋ียว..ซิครับ ใจเย็นๆ ผมก�ำลังจะบอกให้เดี๋ยวน้ีแหละ ที่เขาเรียกกันว่าผูกคอ ตาย อย่างรายนี้ เมียสาวสุดที่รักของตาแก่คนหน่ึง หนีตามชู้หนุ่มไป ท้ิงให้วัว แก่ ผู้อยากกินหญ้าอ่อน เศร้าโศกเสียใจ ถึงขนาดกินไม่ได้นอนไม่หลับ ด้วย เตียงที่เคยนอน เม่ือก่อนยังมีนวลเนื้อหญ้าอ่อนที่วัวแก่เคยคลอเคลีย เด๋ียวน้ี กลับว่างเปล่า ท�ำให้แกรู้สึกว้าเหว่เดียวดายเกิดอารมณ์น้อยเน้ือต่�ำใจ เสียใจ กลุ้มใจ เศร้าใจ และตรอมใจ เลยตัดสินใจผูกคอตาย ว่าแล้วจึงคว้าเชือกไป เลือกต้นไม้ที่มันข้ึนอยู่ใกล้ล�ำน้�ำ หลังจากท่ีถอนหายใจดังเฮือกใหญ่ก็เล็งเอา ก่ิงท่ียื่นไปในแม่น�้ำถูกเชือกเข้ากับกิ่งไม้ ปลายอีกข้างหน่ึงท�ำเงื่อนผูกคอ ขยับ 28
ินตยสารธัมมวิโมกข์เส้ือกางเกงให้เข้ารูปเข้ารอย แล้วหายใจเข้าปอดเป็นครั้งสุดท้าย เม่ือทุกอย่าง พร้อมแล้วก็ท้ิงตัวลงจากก่ิงไม้ด้ินกระแด่วๆ เกิดอาการเกร็งไปท้ังร่าง เท้าถีบ น้�ำตูมตามๆ มือไขว่คว้าเหมือนจะหาที่ยึดเหน่ียว ในท่ีสุดอาการท้ังหลายก็ ค่อยๆ สงบลงและหยุดเป็นปลิดทิ้งเม่ือล้ินออกมาจุกริมฝีปาก นัยน์ตาเหลือก ถลนตายสมความปรารถนา แกคงคิดว่า ถ้าจะไปตายกลางอากาศ มันคงจะเป็นเรื่องยุ่งยากมาก และอาจจะต้องเจ็บตัวมากก็ได้ ไอ้คร้ันจะตายบนพ้ืนดิน มันคงจะธรรมดา เกินไป คร้ันจะกระโดดน้�ำตายโดยตรงแกคงกลัวจะส�ำลักน้�ำกว่าจะตายได้ คงล�ำบากพิลึก แถมจะโดนฝูงปลารุมท้ึงร่างอีก ก็ต้องเสียเกียรติแน่จึงได้ใช้ วิธีท่ีกล่าวมาแล้วน้ัน เพราะว่าตายทั้งทางน�้ำ ทางบก ทางอากาศหย่ังง้ีแหละ ท่ีเรียกว่าตายแบบก้�ำก่ึงหรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่าตายแบบ “สะเทิน” อนั ว่าความตาย มนุษยป์ ุถชุ นคนธรรมดา ก็ตอ้ งกลวั ความตายดว้ ย กนั ทง�ั นน�ั แหละครบั ทง�ั ๆ ท�ใี นโลกน�ีมคี วามตายใหเ้ ราเหน็ หรือไดข้ ่าวอยู่ เสมอๆ บางครง�ั ถงึ กบั ไดร้ บั เชิญใหไ้ ปดู โดยจดั เป็นงานใหญ่โต ท�เี ขาเรียกว่า “งานฌาปนกิจศพ” นนั� ไงล่ะครบั เราจะไม่คิดบา้ งหรือว่า “สกั วนั ..คงจะเป็น งานศพเราบา้ ง” คาํ ว่า “ตาย” สามารถทาํ ใหเ้ ราหวนั� ไหวไดก้ ็ตอ้ งถอื ว่ามนั เป็นธรรมดา ของปถุ ชุ น ซงึ่ ยงั เต็มไปด้วยกเิ ลสและโดยเฉพาะอย่างยงิ่ บคุ คลทมี่ หี ่วง เช่น ห่วงทรพั ยห์ ่วงสนิ ห่วงผวั ห่วงเมยี ห่วงลูกห่วงหลานห่วงเหลนห่วงโหลน ห่วง ไปเสียทุกอย่างคนประเภทน�ีจะตายทง�ั ทีคงเกิดความยุ่งยากลาํ บากใจเป็น แน่แท้ ถ้าลกู ถ้าเมยี หรอื ว่าทรพั ยสนิ เงนิ ทองช่วยให้พ้นตายได้เห็นทวี ่าโลก นไี้ ม่มใี ครตายกนั ลองนกึ ภาพดซู คิ รบั ว่ามนั จะเป็นอย่างไร 29
ินตยสารธัมมวิโมกข์“แล้วประเภทท่ีไม่กลัวความตายน่ะมีบ้างม้ัย” ก็ต้องตอบว่ามี แถมมี ถึง 5 ประเภทด้วยกัน ตามที่โบราณจารย์ท่านกล่าวไว้คือ พระอรหันต์ พระเจ้า จักรพรรดิ ช้างศึก ม้าศึก ขุนพลของพระเจ้าจักรพรรดิ ส่วนประเภทคนบ้าดี เดือดกับคนท่ีคิดฆ่าตัวตายจะถือว่าไม่กลัวตายได้หรือไม่ ขอให้ท่านวินิจฉัย กันดูเล่นๆ และอย่าถือเป็นจริงเป็นจังเลยนะครับ เดี๋ยวอารมณ์จะเสียแล้ว พาลฆ่าตัวตายไปละก้อ..บาปจะมาถึงผมเข้า ส่วนพวกประเภทท่ีอยากตายก็มีเหมือนกัน ส่วนมากมักจะเป็นคน ท่ีประสบกับการมีชีวิตผิดพลาด ผิดหวังเป็นอย่างมากๆ ช�้ำใจมากๆ ความ กดดันมากๆ โดนบีบคั้นขนาดหนัก สุดท่ีจะรับการทรมานใจต่อไปได้ จึงขอ ลาโลกตายดีกว่า เพื่อจะได้พ้นจากสภาพของความทุกข์ ท่ีบีบคั้นจิตใจแก แต่แกคงไม่ได้คิดเผื่อไว้ว่า ถ้าตายไปแล้วไม่สูญ แกตายในตอนที่มีอารมณ์ จิตเศร้าหมองแบบนี้ แล้วแกตายไปจะมีความสุข พ้นความทุกข์ได้จริงหรือ พูดกันถึงคนกลัวตาย จะท�ำให้เราพ้นจากความตายได้ไหม ถึงเราจะ ไม่กลัวตาย สามารถท�ำให้เราพ้นจากความตายได้หรือไม่ ถ้าภัยมันมาถึงจริงๆ เช่น โจรจะยิง เกิดอุบัติเหตุ ป่วยเข้าช้ันโคม่าและถ้ามันจะตายเสียจริงๆ เรา จะท�ำอะไรได้ก็ลองตรึกตรองดู กลัวตายก็ตาย ไม่กลัวตายก็ตาย เขาฆ่าก็ตาย เขาไม่ฆ่าก็ตาย เพราะว่ายังไงๆ ก็ต้องตายแน่ๆ ความตาย ตายได้ทุกวันเวลา จะตายเช้า ตายสาย ตายบ่าย ตายเย็น ตายค�่ำ ตายดึก ตายดื่น มีหรือเปล่า ไม่ทราบ ว่าไปส่ง เรียกว่าตายกันได้ทุกๆ วินาทีของลมหายใจเข้าและออก ร่างกายมันไม่ยอมหายใจก็เป็นอันว่าตาย เสร็จกลับบ้านเก่า ไอ้บ้านเก่าจะไป ได้หรือเปล่าก็ไม่ทราบ บ้านเก่าจะดีหรือไม่ดีก็ยังไม่รู้ ถ้าบ้านเก่ามีแต่ไฟลุก พรึบๆ ก็ซวยนะสิ ถ้าบ้านเก่า เป็นแก้ว เป็นทอง เป็นเพชร มีแสงสว่าง แบบ 30
ินตยสารธัมมวิโมกข์บ้านสวย เย็นสบายๆ ก็ดีไป เราเกิดมาก็เพื่อตายโดยแท้ ทีนี้เม่ือเราจะต้องตาย เราจะตายอย่าง คนข้ีขลาดดีหรือจะตายอย่างคนมีสติอาจหาญดี เลือกทางกันไว้แล้วหรือ ยัง ถ้ายังก็นับว่าเป็นคนประมาทมาก ควรจะรีบฝึกฝนจิตใจให้ชิน จะได้มี โอกาสเตรียมตัวต้ังท่าไว้ก่อนจะตายจะได้ไม่ตกใจเสียขวัญก่อนจะเท่งทึง ลาโลกนี้ไป คนตายแล้วสูญจริงหรือ ถ้าเผื่อตายแล้วไม่สูญล่ะ เราจะพิสูจน์ได้ อย่างไร และใครจะสามารถแนะน�ำให้เราพิสูจน์ได้ ฝ่ายไหนผิด ฝ่ายไหนถูก ใครมีเหตุผลดีกว่ากัน หรือฝ่ายไหนจะมีเหตุผลท่ีให้ประโยชน์มากกว่ากัน เราลองมาใช้ปัญญาพิจารณาคู่กัน สมมุติว่าคนตายแล้วสูญ เราจะสร้างความดีกันเพื่ออะไร เพียงเพื่อ ให้มีคนรักคนชอบคนชมจะได้ประโยชน์อะไรนอกจากน้ัน การรัก การชอบ การชมสามารถช่วยให้เราดีวิเศษขึ้นจากสภาพคนเดิมหรือก็เปล่า คนเลวเราไปชมว่าเป็นคนดี คนน้ันจะดีได้ไหม คนดี เราไม่สาปแช่ง กว่าเขาเป็นคนเลว คนน้ันจะเลวตามท่ีเราแช่งเขาได้ไหม มันก็ไม่ได้ อารมณ์ของคนในโลก ส่วนมากมีความอยากไม่มีที่สุด มีการกระทบ กระทั่งกัน อิจฉาริษยา ผูกอาฆาตพยาบาท หาทางล�ำบากกล่ันแกล้งบุคคล อ่ืนที่ท�ำดีกว่าตน มัวเมายึดถือสิ่งท่ีไม่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระส่ิงที่เป็นสาระว่า ไม่เป็นสาระ หลอกลวงตนเองพร้อมกับพยาบาทหลอกลวงบุคคลอื่นด้วย มี อารมณ์ฝืนธรรมชาติฝืนความเป็นจริง ส�ำหรับผู้ที่เขาสร้างแต่ความดี มักจะถูกคนช่ัวหาทางกลั่นแกล้งและ 31
ินตยสารธัมมวิโมกข์หาทางทาํ ลายอยู่เสมอเหตุเพราะทาํ ดีเกินหนา้ หรือไปขดั ประโยชนก์ ารคดโกง ของเขา บางครง�ั ถึงกบั จา้ งมือปืนฆ่าท�ิง ถา้ เป็นเช่นน�ี เราจะทาํ ความดีไวเ้ พ�ือ อะไร ส�ำหรับผู้ท่ีสร้างแต่ความชั่ว (แต่ตนเองไม่คิดว่าช่ัว) เขาก็สามารถ หาความสุขได้ (ตามสภาพของเขา) มีอ�ำนาจได้ ร�่ำรวยได้ (จากการคดโกง เบียดเบียนจากผู้อื่น) เร่ืองท่ีจะผิดกฎหมายต้องคดีคงจะยากเพราะอ�ำนาจเงิน (ท่ีคดโกง) และพวกพ้องท่ีเลวๆ ด้วยกันมีมากและจะต้องคอยช่วยเหลือกัน ส�ำหรับคนชั่วก็มีทั้งคนรัก คนชอบ คนชม เหมือนกัน ถ้าตายแล้วสูญระหว่าง การกระท�ำของคนสองพวกน้ีท่านจะเลือกปฏิบัติแบบไหน สมมุติว่าตายแล้วไม่สูญ เราจะปฏิบัติตนอย่างไรดี ผมเคยฟังพระ ท่านสอนว่า คนที่ท�ำความดีไว้มาก เมื่อตายแล้วจะได้ไปจุติบนสวรรค์บ้าง ไปพรหมบ้าง ไปพระนิพพานบ้าง ตามแต่ก�ำลังจิตจะไปได้ถึงขั้นไหน ถ้าท�ำความช่ัวไว้มาก อาศัยจิตท่ีเลวเม่ือตายไปจะต้องไปตกนรก เป็น เปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานซึ่งจะต้องเสวยทุกข์อยู่ในอบายภูมิทั้ง สี่ มีแต่ความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ในเรื่องค�ำส่ังสอนขององค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัม พุทธเจ้าได้แนะน�ำสั่งสอนเร่ืองนรก สวรรค์ไว้อย่างนี้ และยังมีพระอริยสงฆ์ สาวกขององค์สมเด็จพระบรมครู ท่ีท่านประพฤติและปฏิบัติตามสามารถ พิสูจน์พระธรรมค�ำส่ังสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ และท่าน ก็กล้ายืนยันว่านรกมี สวรรค์มี พรหมมี นิพพานมีจริง ท่านยังกล้าท้าให้มา พิสูจน์โดยการปฏิบัติ โดยมีข้อแม้ว่าต้องเป็นคนจริง เด็ดเด่ียว ปฏิบัติอย่าง 32
ินตยสารธัมมวิโมกข์ไม่ท้อถอยและนรก สวรรค์ พรหม นิพพาน มีจริงหรือไม่ ถ้าท่านยังไม่ได้ พิสูจน์ ท่านจะด่วนปฏิเสธเลยหรือ - วุ้นเส้น - 33
34 นิตยสารธมั มวโิ มกข์
35 นิตยสารธมั มวโิ มกข์
36 นิตยสารธมั มวโิ มกข์
ินตยสารธัมมวิโมกข์ เสยี งเพลงเป็นธรรม โดย หลวงพ่อ พระมหาวรี ะ ถาวโร วันน้ีเรามาคุยกันเล็กๆ น้อยๆ ในการเจริญสมถกรรมฐานและ วิปัสสนากรรมฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักเจริญสมถกรรมฐานและวิปัสสนา กรรมฐาน เขาก็ถือเอาของทุกอย่างท่ีมีอยู่ในโลกเป็นครูทั้งหมด เพราะว่าองค์ สมเด็จพระบรมสุคตท่านบอกแล้วว่า ธรรมะท่ีเราน�ำมาสอนนี้ไม่ได้น�ำมาจาก ไหน ธรรมะทุกอย่างมีอยู่ในโลกทั้งหมดแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วสอน ไว้ทุกมุมแต่เราอาจจะไม่เข้าใจ ตอนน้ีมีเรื่องส�ำคัญอยู่เร่ืองหน่ึง เวลาน้ีเสียงเพลงตามสถานีวิทยุ ต่างๆ จากเคร่ืองขยายเสียงต่างๆ ดังรอดเข้ามาสู่โสตประสาทเป็นปกติ ถ้า เราจะเป็นคนร�ำคาญในเสียงเพลงเห็นว่าจะเป็นคนผิดปกติไป เพราะว่าปกติ ชาวโลกเขาชอบกันอย่างน้ัน แล้วเราจะท�ำอย่างไร เราจะเอาเสียงเพลงมาให้ 37
ินตยสารธัมมวิโมกข์เป็นประโยชน์ในด้านเจริญสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานแต่ความ จริงเสียงเพลงก็ดี เสียงขับประโคมก็ดี การดูมหรสพก็ดี ย่อมเป็นปัจจัยให้ถึง โมกขธรรมได้โดยง่าย ดูตัวอย่างท่านพระโมคคัลลาและพระสารีบุตรก่อนท่ี จะออกบวช ท่านเองท่านก็ไปดูมหรสพตามปกติ ทุกคราวที่ดูมหรสพก็มีความ ร่ืนเริง ให้รางวัลตามสมควร ถ้าชอบใจเพราะในฐานะเป็นลูกมหาเศรษฐี แต่ มาในวันสุดท้ายปรากฏว่าท่านทั้งสองนี้น่ังหน้าสลดท้ังสองท่าน ขาดความ ร่ืนเริงบันเทิงใจ พระโมคคัลลาจึงถามพระสารีบุตรว่า “สหาย วันน้ีเพ่ือนท�ำไม ไม่มีการรื่นเริง” ทั้งสองท่านมีความเห็นตรงกันบอกว่าเราก็ดี บุคคลท่ีแสดง ก็ดีและบุคคลทั้งหลายท่ีมาดูมหรสพก็ดี ท้ังหมดนี้ในไม่ช้าต่างคนก็ต่างตาย ในเมื่อต่างคนต่างตาย การมาดูมหรสพมันก็ไม่มีประโยชน์และการท่ีเกิดมา มันมีแต่โทษไม่มีคุณ เกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด น่ีมันจะมีประโยชน์อะไร น่ีเพราะอาศัยปัจจัยที่ท่านดูมหรสพ ทั้งสองท่านเป็นคนที่มีบารมีเต็มเปี่ยม แล้ว เคยอธิษฐานเป็นอัครสาวกของสมเด็จพระประทีปแก้ว จึงคิดในใจว่า ในโลกนี้มีของมันมีคู่กัน มีมืดแล้วมีสว่าง มีเกิดแล้วก็มีตาย ธรรมใดที่ท�ำให้ เกิด ธรรมที่ท�ำให้ตายมีอยู่ได้ ฉะนั้น ธรรมท่ีท�ำให้บุคคลไม่ให้ตายมันต้องมี ทั้งสองคนจึงตัดสินใจแสวงหาโมกขธรรม คือธรรมเป็นเคร่ืองพ้นจากความ ตาย จึงเข้าไปหาท่านสัญชัยปริพาชก และก็ได้พบพระพุทธเจ้าในภายหลัง นี่เรามาคุยกันดีกว่า การดูมหรสพมันมีประโยชน์ ดูก็ดู อย่าดูเลยดู แล้วก็จงคิดไปด้วยว่า คนดูก็ดี คนแสดงก็ดี มันตายด้วยกันหมด มหรสพ ที่เขาแสดงแล้วมันก็แล้วไป ตัวใหม่ออกมา ตัวเก่าเข้าไป แสดงไปแสดงมา 38
ินตยสารธัมมวิโมกข์แสดงมาแสดงไปในท่ีสุดก็เลิกมันก็เหมือนกับชีวิตของเราท่ีเกิดผลุบๆ โผล่ๆ โผล่ๆ ผลุบๆ เกิดมาแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด ย่�ำกันไป ย่�ำกันมาในท�ำนอง นี้ ในท่ีสุดเราก็จะพบกับอนัตตาคือการสลายตัว ในเม่ือแสดงเข้าแสดงออก แสดงออกแสดงเข้า เกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด มันมีแต่ความทุกข์ มีแต่ ความล�ำบากใจเพราะเราเกิดทีไรเป็นไม่อยากตายสักที แล้วมันก็ต้องตาย เกิดมาทุกครั้งเราไม่อยากแก่ มันก็ต้องแก่ เกิดมาทุกครั้งมันไม่อยากป่วย มันก็ต้องป่วย เกิดทุกครั้งไม่ต้องการกระทบกระท่ังกับอารมณ์ท่ีไม่ชอบใจ มันก็ต้องกระทบนี้เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้อยู่ในดิน แดนที่เราเกิด ถ้าเรายังมีความเกิดอยู่สมบัติท้ังหลายเหล่านี้มันประจ�ำอยู่ ที่นั่น เราก็หลีกเล่ียงมันไม่ได้ เหมือนกับคนท่ีเดินออกไปกลางแจ้งแดดจัด เราจะบอกว่า เราไม่ต้องการจะถูกแสงอาทิตย์ มันก็เป็นไปไม่ได้ เราเดินลง ไปในมหาสมุทรที่มีน้�ำเต็มเปี่ยม เราจะบอกว่า เราไม่ต้องการเปียกน�้ำมันก็ เป็นไปไม่ได้ ข้อน้ีฉันใดความเกิดขึ้นมาเรากระทบกับของไม่จริงไม่จังที่เรียก ว่าอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ ทุกขัง มีสภาพเต็มไปด้วยความทุกข์ อนัตตา เต็มไปด้วยการสลายตัว นี่ว่ากันถึงว่าการดูมหรสพ ทีนี้ถ้าเป็นเสียงดนตรี ถ้าหากเราจะคิด ไปอีกทีว่า เสียงดนตรีนี่มันว่าร�ำคาญเหลือเกิน มันสร้างแต่ความยุ่ง มันไม่มี อะไรมันเป็นปัจจัยให้เกิดความสุข มันยั่วเย้าอยู่ตลอดเวลา เพลงบางเพลง ก็ชวนให้เพลิดเพลิน เพลงบางเพลงก็ชวนให้เราร�ำคาญใจ ในเม่ือเพลงมัน เป็นอย่างนี้เราคิดอย่างนั้นมันก็ไม่มีประโยชน์ ไหนๆ เราก็เป็นศิษย์ขององค์ 39
ินตยสารธัมมวิโมกข์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เราก็ต้องเอาทุกอย่างในโลกที่มีอยู่มาเป็น ธรรมะเคร่ืองปฏิบัติ มาเป็นครูสอนเราแล้วก็เพลงมันจะสอนคนได้อย่างไร แต่ความจริงเพลงสอนคนไม่ได้ คนต้องสอนตัวเอง เอาเพลงเข้ามาเป็นครู ถ้าหากว่าเราหวังจะเอาเพลงเข้ามาเป็นครูด้านสมถภาวนาก็ฟังกันอย่างนี้ ฟัง เพลงที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจก็ตามดี ต้ังใจฟังมันจนจบ เอาจิตจับไว้เสมอว่า เพลงน้ีมีลีลาเป็นอย่างไร มีเสียงสูงเสียงต�่ำ มีเสียงเบส มีเสียงแหลม แล้วก็ การดีดสีดีดเป่าทุกจังหวะการตีทุกครั้งเราจะไม่ยอมให้เสียงน้ีขาดไปจากหู เรา จิตใจเราจะก�ำหนดไว้เสมอในขณะท่ีเขาบรรเลงจะไม่ยอมให้เสียงเพลง ขาดจากหู ใจจะตามรู้เสียงเพลงตลอดเวลา แล้วก็เวลาน้ัน เราจะไม่ยอมใช้ อารมณ์อื่นเข้ามาคิด ไม่ยอมให้อารมณ์อ่ืนเข้ามาแทรก จิตจะจับอยู่เฉพาะ เสียงเพลงอย่างเดียว ถ้าจิตจับอยู่เฉพาะเสียงเพลงอย่างเดียวอย่างน้ีจะเป็น สติ นี่เป็นการรวบรวมก�ำลังใจให้จับอยู่กับกระแสของเพลงหรือเสียงของ เพลง ทีนี้เมื่อก�ำจัดเสียงเพลงได้ตลอดจบไม่ขาดสายก็แสดงว่าจิตของเราเป็น สมาธิ มีสติใช้ได้ ทีนี้มาถึงสัมปชัญญะต้องรู้ว่าเสียงเพลงที่ออกมาเป็นเสียง หนักหรือเสียงเบา เสียงหุ้มหรือเสียงแหลม ช่วงจังหวะส้ันหรือยาว อย่างน้ี เป็นสัมปชัญญะ ตั้งอารมณ์จิตให้มันตรงอยู่โดยเฉพาะเสียงเพลงตามที่กล่าว มาอย่างนี้ เป็นสมถภาวนา แต่น่ีสมถภาวนามันก็มีต่อไปอีก เอาเสียงเพลงเป็นครูของเรา ต้องนึก ว่าเสียงเพลงมันดังมาได้ตามสถานด้วยกันคือ หนึ่งเคาะ สองสี สามเป่า หรือ ว่ามันจะมาทางไหนได้อีกก็ตามใจ ส่วนใหญ่ๆ เสียงเพลงจะมีข้ึนได้ก็ได้จาก 40
ินตยสารธัมมวิโมกข์เสียงเคาะ และก็เสียดสี และก็เป่าด้วยลม เสียงเพลงที่ดังเจื้อยแจ้วมาไม่ขาด สาย เราก็ต้องคิดว่านี่เขาเคาะทีเดียว เป่าสีคร้ังเดียว เขาเป่าครั้งเดียวหรือ อย่างไร แต่เน้ือแท้จริงๆ การเคาะคร้ังเดียว เสียดสีครั้งเดียว เป่าครั้งเดียว เคาะคร้ังเดียว เป่าแล้วก็หายไป สีครั้งหนึ่งเสียงก็หายไป เคาะทีหน่ึงเสียง ก็หายไป เสียงท่ีมันดังอยู่นานก็เพราะว่าเขาเคาะไม่ขาดมือ เคาะแล้วยกมา แล้วก็เคาะต่อ สีไปสีมา ไม่ขาดสาย เป่าเสมอไปไม่หยุดยั้ง เสียงเพลงจึงได้ ปรารถนาตลอดกาล ตลอดสมัยจนกว่าจะจบเพลง ทีนี้เราก็เอาเสียงเพลงน�ำมาคิด นี่ถ้าสมมุติว่าเขาไม่เป่าต่อไป ไม่สี ต่อไป ไม่เคาะต่อไป เสียงเพลงจะมีต่อไปได้ไหม เราก็จะเห็นชัดว่ามันมีไม่ ได้ ท�ำไมถึงว่ามีไม่ได้ ก็เพราะว่ามันขาดสายไปเสียแล้ว เสียงเก่าหายไปเสียง ใหม่ไม่ปรากฏ มันก็หมดกัน เสียงมันก็ไม่มีเสียง ตอนน้ีเราก็มาเห็นกับร่างกายของเรา ท่ีพระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า “เมื่อ มีการเกิดข้ึนแล้ว ก็มีความเส่ือมไป มีการสลายตัวไปในท่ีสุด” ตอนน้ีเรามาพูด ถึงด้านสมถภาวนาว่าเกิดแล้วก็ตาย การเกิดจากครรภ์มารดาที่อยู่ในครรภ์ มารดา เม่ือวิญญาณเข้ามาปฏิสนธิใหม่ หรือว่าจิตเข้ามาปฏิสนธิใหม่ๆ มัน ก็ต้องอาศัยกายที่ยังไม่เป็นกาย ไม่เป็นรูปเป็นร่าง เลือดเร่ิมจับก้อนน้อยๆ จิตเร่ิมเข้ามาอาศัย ต่อมาเม่ือร่างกายจะปรากฏจิตจะมีท่ีอาศัยอยู่ตลอดกาล ตลอดสมัย ก็เพราะที่มารดาบริโภคเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกายจากเล็กมาถึงใหญ่ จนกระท่ังเกิดตุ่มเป็นสาขาขึ้นมา แล้วก็มีอาการ 32 ครบถ้วน ในที่สุดก็เคลื่อน ออกมาจากครรภ์มารดา มีร่างกายสมบูรณ์ ที่เป็นได้อย่างน้ีเพราะอะไร เพราะ 41
ินตยสารธัมมวิโมกข์อาหารหล่อเลี้ยงเข้าไว้ อาหารหล่อเลี้ยงเป็นสันตติ คือการสืบต่อกันเรื่อยไป เม่ืออยู่ในครรภ์มารดา ได้อาศัยมารดาบริโภคอาหาร อาหารเก่าพอจะหมด ไป อาหารใหม่มารดาก็กินเข้าไปใหม่ มันก็ไปหล่อเล้ียงใหม่ หากว่าอาหาร ของมารดาไม่หล่อเล้ียงตลอดไปมันก็ตาย นี้ชีวิตท่ีออกจากครรภ์มารดาก็ เหมือนกัน เป็นคนแล้วแต่ทว่ายังเอาดีอะไรไม่ได้ เพราะอะไร เพราะว่าเป็น คนก็เป็นแล้ว ร่างกายอาการ 32 ก็เป็นหมดแล้ว แต่ทว่าถ้าหากจะมีชีวิตอยู่ ต่อไปก็ต้องใช้อาหารเป็นเคร่ืองหล่อเล้ียง กวฬิงการาหาร อาหารคือค�ำข้าว อาหารที่เรากลืนกินเข้าไปท่ีเป็นอาหารอย่างหนึ่ง ที่ท�ำให้ร่างกายทรงตัว ผัสส าหาร อาหารคือผัสสะได้แก่ลมหายใจเข้าออก มโนสัญเจตนาหาร อาหารคือ ความปรารถนาของใจ อย่างนี้เป็นต้น เมื่อทั้งหลายเหล่านี้หล่อเล้ียงก�ำลังกาย เข้าไว้ อาหารเหล่านี้ ที่เขาให้กินในระยะแรก และเขาไม่ให้ต่อไป เมื่อก�ำลัง ของอาหารเก่าหมดไป ร่างกายเราก็ตาย นี่ไปน่ังเปรียบเทียบกับเสียงดนตรี มันก็มีสภาพเหมือนกัน เสียงดนตรีที่เขาเคาะ แล้วไม่เคาะใหม่ เสียงก็ขาด ไป เหมือนกับร่างกายที่ขาดอาหาร อาหารเก่าหมดไปอาหารใหม่ไม่มาเราก็ ตาย ท่ีเอาเสียงดนตรีเป็นครูในการเจริญสมถภาวนา แล้วก็ฟังเสียงดนตรีกัน ต่อไปว่า มันมีสภาพเที่ยงไหม เสียงดนตรีน่ีมันก็มีสภาพไม่เท่ียงเป็นอนิจจัง เหมือนกัน เพราะเพลงท่ีเราต้องการฟัง เสียงก�ำลังไพเราะเพราะพริ้ง ดีไม่ดี บางจังหวะ บางตอนเพลงน้ันก็อาจเป็นที่ไม่ชอบใจของเรา บางทีเพลงเดียวกัน คนบรรเลงคนเดียวกัน ดีดสีตีเป่าหรือเคาะให้เราชอบใจได้บางคร้ังบางคราว บางคราวเราก็ไม่ชอบใจในลีลานั้น ท้ังน้ีเพราะอะไร เพราะเป็นอนิจจังของ เสียงเพลง มันไม่เที่ยง หรือว่าคนที่บรรเลงน้ีไม่เที่ยง หรือว่าคนฟังก็เป็นหูที่ 42
ินตยสารธัมมวิโมกข์ไม่เท่ียง จิตคนฟังก็เป็นจิตท่ีไม่เท่ียง เพราะอะไรจึงว่าอย่างน้ัน คนบรรเลง คออาจจะอ่อนไป ความไหวของมืออาจไม่เสมอกัน ความไพเราะเพราะพร้ิง มันก็ขาดไป ย่อหย่อนลงไป เคร่ืองดนตรีท่ีเราใช้มันก็รู้จักเก่า มันก็รู้จักเส่ือม มันก็รู้จักโทรม ทีน้ีอารมณ์ของบุคคลฟังก็ไม่แน่นัก วันน้ีอาจจะชอบฟังเสียง เพลงเสียงหวานๆ โหยหวนไพเราะ บางขณะอาจจะต้องการฟังเพลงท่ีเร้าใจ ท�าใจให้คึกคัก คึกโครม ตึงตัง โครมคราม นี่เป็นอันว่าเสียงเพลงมันก็ไม่ เท่ียง คนบรรเลงมันก็ไม่เท่ียง คนฟังมันก็ไม่เท่ียง เม่ือความไม่เท่ียงเกิดข้ึน มันเป็นสุขหรือมันเป็นทุกข์ อารมณ์ท่ีไม่ชอบใจเกิดข้ึน มันก็เป็นอารมณ์ของ ความทุกข์ ค�าว่าทุกข์ แปลว่าจ�าจะต้องทน ของท่ีเราจ�าจะต้องจ�าทนฟัง จ�าจะ จ้องทนท�า จ�าจะต้องทนคิด น่ีมันเป็นอาการของความทุกข์ แล้วท�าไมมันถึง ทุกข์ล่ะ ก็เพราะว่ามันไม่เท่ียง มันจึงทุกข์ เพลงเป็นครู จ�าเสียงไว้ว่าเพลง เป็นครูเรามคี วามทุกขเ์ พราะเสยี งเพลงมนั ไม่เท�ยี งแต่ความจริงเสยี งเพลง มนั เท�ยี ง แต่ว่าคนดดี สตี ีเป่ามนั ไม่เท�ยี ง หรือบางทคี นดดี สตี ีเป่ากาํ ลงั เขายงั ดี ลลี าปกติ แต่เคร�ืองดนตรีมนั ไม่เท�ยี ง บางทเี คร�ืองดนตรีมนั ก็ยงั ตีอยู่ การดดี สตี ีเป่าก็ยงั คงตวั คนบรรเลงก็ยงั มกี าํ ลงั ร่างกาย มคี วามไหวพอสมควรตาม เดมิ แต่ว่าหูคนฟงั ใจคนฟงั มนั ไม่เท�ยี ง ไม่เท�ยี งเพราะอะไร เคยชอบเพลงน�ี คราวน�ีไม่ชอบเสยี แลว้ ตอ้ งการเพลงโนน้ แลว้ ก็ไปนงั� นึกดูว่า ไอเ้ พลงทง�ั หลายน�ี หรือว่าการดีดสีตีเป่ าของ แต่ละบุคคลทรงกันอยู่ตลอดกาลตลอดสมัยไหม จะทรงได้อย่างไร นักดนตรี ประจ�ำโลกต้ังแต่โลกเกิดมา นักดนตรีก็ติดมากับโลกเสมอ นักดนตรีตายไป แล้วนับไม่ถ้วน น่ีมันอนัตตาเสียแล้ว บังคับไม่ได้ 43
ินตยสารธัมมวิโมกข์ประการที่สอง เครื่องดนตรีส�ำหรับบรรเลงต้ังแต่ตั้งโลกมาถึงปัจจุบัน เครื่องดนตรีท่ีพังไป สลายไปนี้ นับไม่ถ้วน นี่มันเข้าสภาพอนัตตา เจ้าของจะ ปรับปรุง จะซ่อมแซมเป็นประการใดก็ตามที เคร่ืองดนตรีมันไม่ทรงตัว และ ก็คนฟังเสียงดนตรีล่ะ ฟังกี่คน ฟังเท่าไรตายหมดเท่านั้น มันก็เป็นอนัตตา น่ีการฟังเสียงดนตรี ถ้าฟังเป็น เราก็เป็นพระอรหันต์ได้ ถ้าจะถามว่า คนพูดน่ะ เคยใช้เสียงดนตรีประกอบการปฏิบัติสมถกรรมฐาน หรือวิปัสสนา กรรมฐานหรือเปล่า ความจริงพระพุทธเจ้าท่านทรงห้ามว่า ถ้าเทศน์ อย่าอ้างตัวเองเป็น ส�ำคัญ แต่ว่าเรื่องนี้เราพูดกันตามหลักของความเป็นจริง ก็ต้องขอบอกว่าใช้ มามาก เพราะยามปกติเป็นคนชอบเล่นดนตรี แต่ว่าเป็นดนตรีไทยเดิม เรื่อง ดนตรีน่ี เสียงเพลงใดก็ตาม ใครเขาจะบรรเลงกันที่ไหนเป็นนักขโมยเพลง เก่าท่ีสุด อย่างเพลงพื้นๆ ธรรมดาๆ ฟังจบเดียวก็เอาไปกินเลย นี่นักขโมย เพลง เพลงตับยาวๆ เช่น ตับนาคบาศ พรหมมาศ นางนาค และนางลอยอย่าง น้ี ถ้าใครบรรเลงให้ฟังเพียง 2 ครั้ง เอาไปกินหมด ท้ังเน้ือเพลงและบทร้อง เอาไม่เหลือ และดีไม่ดีก็ชอบแต่งต่อเติม วางแบบวางแผนคิดเองเสมอ ว่าอี ตอนนี้คนเขาท�ำแบบนี้ ตอนนั้นคนเขาท�ำแบบน้ัน มันดีไม่พอ หรือบางทีมัน ก็ดีเหมือนกัน เวลาประชันกัน ถ้ามันเหมือนเขาเราก็เอาชนะเขาไม่ได้ แล้วก็ ต่อโน่น เติมนี่เสียนิดหน่อย ของเก่าเขาท�ำไว้ดีแล้ว คนเร่ิมต้นใหม่เหน่ือยแย่ แต่เรามาแก้ไข ดัดแปลง เหนื่อยน้อยสบาย เราก็มีอารมณ์สบาย ในเมื่อเรามี อารมณ์สบาย เพราะอะไรเพราะเราเอาของเขามาใช้ 44
ินตยสารธัมมวิโมกข์ทีนี้พอบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ฟังเสียงเพลงมันก็ติดใจ แต่ฟัง มาฟังไป มาเทียบเคียงกับชีวิต ว่าไอ้เพลงที่เขาเคาะมาเบื้องต้น แล้วก็เคาะกัน ต่อไป มันก็เหมือนกับการเกิดของเรา ชีวิตเดินไต่เต้ามาตามล�ำดับ ในที่สุด เพลงเขาบรรเลงจบ ชีวิตเราก็จบเหมือนกับเสียงเพลงน้ี การฟังเพลงไทยจึง เป็นปัจจัยให้เกิดฌานสมาบัติ นี่เคยหากินกับเสียงเพลงมาแล้ว โดยเฉพาะ อย่างย่ิง เพลงประโคมศพนี่ชอบฟังมาก เด๋ียวนี้ก็ยังชอบฟัง เม่ือฟังเสียง เพลงประโคมศพทีไร ก็คิดว่าเราตายไปแล้วเวลานี้ ปี่พากย์วงใหญ่ เคร่ือง มอญก�ำลังประโคมศพเรา ใจมันก็รู้สึกสบาย คิดว่าเวลาน้ีเราตายจากโลกนี้ ไปแล้ว ปี่พากย์จึงประโคมศพเรา นึกถึงภาพเวลาตาย แล้วก็นึกถึงเสียงเพลง ที่บรรเลง มันโหยหวนยวนใจ แสดงสัญลักษณ์ของความตาย แล้วก็มาน่ังนึกดูว่า ถ้าเราเกิดมาฟังเสียงเพลงแบบน้ีต่อไป มันจะเกิด ประโยชน์อะไรบ้าง มันหาประโยชน์อะไรไม่ได้ มันมีแต่ความทุกข์อย่างเดียว ไม่มีอะไรเป็นปัจจัยแห่งความสุข ในเมื่อมันไม่สุข มันเต็มไปด้วยความทุกข์ เราก็หาทางเลิกเกิดมันเสีย เพลงที่เบาบรรเลงแล้ว เขาเลิกบรรเลงไปฉันใด แล้วผู้บรรเลงไม่กลับมาบรรเลงใหม่ คือตายไปจากโลกน้ี หรือว่าเครื่อง ดนตรีส�ำหรับบรรเลงมันพังไป เราก็ตั้งใจให้มีสภาพแบบนั้น เกิดมาแล้วมัน เป็นทุกข์ เสียงเพลงหายไป เสียงเพลงก็มีความสุข เคร่ืองดนตรีท่ีสลายตัว ไปแล้ว เคร่ืองดนตรีนั้นมันก็มีความสุข เพราะไม่ถูกใครเขาเขกเขาสับเสีย คนท่ีบรรเลงเพลงดนตรีต่างๆ เสียงเพลงต่างๆ เขาตายไปแล้ว ก็ไม่มีใครใช้ ให้บรรเลงอีก หมดจากความเหนื่อย การบรรเลงเพลงให้คนฟัง ย่อมเป็นที่ 45
ินตยสารธัมมวิโมกข์ชอบใจบ้าง ไม่ชอบใจบ้าง ชอบใจเขาก็สรรเสริญ ไม่ชอบใจเขาก็นินทา ทีน้ีมาชีวิตของเราก็เหมือนกัน เม่ือเสียงเพลงหายไปกิจแห่งการ บรรเลงไม่มีอีก เพลงก็มีความสุข คนบรรเลงเพลงตายไปแล้ว ก็ไม่มีใคร เขาใช้ชีวิตของเรานี้ ถ้าเราตายแล้ว เราจะเกิดใหม่ เราก็ต้องถูกกิเลสตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรมใช้เราต่อไป เราก็มาเลิกให้กิเลสตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมมาใช้เสียดีกว่า โดยน้อมน�ำเอากระแสเพลงท่ีฟังมา ว่าเสียง เพลงมันเกิดข้ึนมาเบ้ืองต้น มันเคลื่อนไปหา ใกล้จบเพลงในระหว่างกลาง แล้ว ในที่สุดเพลงก็จบ ชีวิตของเราก็มีสภาพเหมือนกัน ในเมื่อมันมีความเกิดข้ึนมาในเบื้อง ต้น มีความทรุดโทรมในท่ามกลาง และมีความแตกสลายไป ในท่ีสุดมันก็พัง แต่ว่าร่างกายของเรา ถ้าพังเพราะใจมันยังเกาะ มันก็ยังไม่ถึงที่สุดของเสียง เพลง ก็จะเหมือนกับเพลงท่ีเขาบรรเลงจบแล้ว ถึงเวลาเขาก็บรรเลงใหม่ เสียง มันก็ไม่ขาดสาย เราจะท�ำอย่างไร จะท�ำเสมือนประหนึ่งว่า เหมือนเพลงที่เขา บรรเลงแล้วขาดหายไป ไม่มีใครมาบรรเลงอีก คือเข้าถึงจุดจบ คือคนบรรเลง เพลงตาย เคร่ืองดนตรีทั้งหลายพังเสียงเพลงมันก็ไม่ปรากฏ ท�ำยังไง ถ้าเป็น อย่างน้ี ก็ต้องยอมรับนับถือพระธรรมค�ำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมสุคต คือพิจารณาในสังโยชน์ 10 เป็นสมุฏฐานไว้เป็นประจ�ำ เราก็กะก�ำหนดเวลาเข้า ไว้ว่า สังโยชน์ 10 ประการน้ี ข้อไหนมีผลเป็นประการใด เม่ือไรจะถึงปัจจัย ที่ท�ำให้เราไม่เกิด เมื่อถึงจุดจบเม่ือไร เมื่อน้ันความสบายใจก็จะย่อมปรากฏ เอาละบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระบรมสุคต เรื่องใช้เพลงเป็น 46
Search