หนงั สอื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ เรอ่ื ง คำ ๗ ชนดิ
คำนำ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้เป็นส่วนหน่ึงของวิชานวัตกรรมและ เทคโนโลยสี ารสนเทศทางการศึกษา (๑๐๓๕๗๐๑) มีเนอื้ หาเก่ยี วกบั ชนดิ ของ คาทัง้ ๗ ชนิดไมวา่ จะเป็น คานาม คาสรรพนาม คากรยิ า คาวเิ ศษณ์ คาบุพบท คาสันธาน และคาอุทาน รวมไปถึงหลักการใช้และหน้าท่ีของคา ชนิดต่าง ๆ ออกมาในรปู แบบสือ่ หนังสืออิเลก็ ทรอนกิ ส์ ดังนั้นผู้จัดทาขอขอบพระคุณ อ.สมชาย เมืองมูล ผู้ให้ความรู้ เก่ียวกับการจัดทา พร้อมทั้งให้คาแนะนา และแนวทางการ สร้างสื่อ อิเลก็ ทรอนกิ ส์ ผู้จัดทาหวังว่าส่ือชิ้นน้ีจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจศึกษาและ ค้นคว้าต่อในเรื่องของคา ๗ ชนิด และเทคนิคการสร้างส่ือที่มีความแปลก ใหม่ หากมีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ท่ีนด้ี ว้ ย ผูจ้ ัดทำ ระพีพรรณ กันเอย้ ๕ กุมภาพนั ธ์ ๖๔
วตั ถุประสงค์ ๑. เพอ่ื ให้นกั เรยี นไดร้ หู้ นา้ ทข่ี องคา ๗ ชนดิ ๒. เพือ่ ให้นักเรยี นสามารถบอกหนา้ ทข่ี องคาได้ ๓. เพอื่ ใหน้ ักเรยี นไดร้ ูค้ วามหมายของคาแตล่ ะชนดิ
ชนดิ ของคำ 7 ชนิด คาไทยแบ่งออกเป็น 7 ชนิด แต่ละชนิดมีลักษณะและหน้าที่ แตกต่างกันออกไป การเรียนรู้เรื่องลักษณะของคาเพื่อสร้างเป็นกลุ่มคา และประโยคเป็นเร่ืองสาคัญ และจาเป็นอย่างยิ่งในการเรียนและการใช้ ภาษาในชีวติ ประจาวนั คาแต่ละคามีความหมาย ความหมายของคาจะปรากฏชัดเม่ืออยู่ ในประโยค การสังเกตตาแหน่งและหน้าของคาในประโยคจะช่วยให้เรา ทราบชนิดของคารวมท้ังความหมายด้วย ดังน้ันการศึกษาให้เข้าใจหน้าท่ี และชนิดของคาในประโยคจึงมีความสาคัญมากเพราะจะช่วยให้เรา สามารถใช้คาได้ถกู ตอ้ งตรงตามความหมายที่ตอ้ งการ ในการใช้ภาษาจาเป็นอย่างยิ่งท่ีเราจะต้องทราบว่าคาไนมีท่ีใช้ อย่างไร เพื่อประโยชน์ในการสื่อสาร นักไวยากรณ์ได้สังเกตความหมาย และหนา้ ที่ของคาในประโยค แล้วจึงแบ่งคาในภาษาไทยออกเป็นชนิดได้ 7 ชนดิ คอื 1. คานาม 2. คาสรรพนาม 3. คากริยา 4. คาวเิ ศษณ์ 5. คาบพุ บท 6. คาสนั ธาน 7. คาอทุ าน
คำนำม ความหมายของคานาม คานามหมายถงึ คาทีใ่ ชเ้ รยี กชือ่ คน สัตว์ พชื ส่งิ ของ สถานที่ สภาพ อาการ ลักษณะ ทั้งที่เป็นสง่ิ มชี วี ิต หรอื ส่งิ ไมม่ ชี วี ติ ทง้ั ท่เี ป็นรปู ธรรม และนามธรรม เช่นคาว่า คน ปลา ตะกรา้ ไก่ ประเทศ ไทย จงั หวัดพิจติ ร การออกกาลงั กาย การศึกษา ความดี ความงาม กอ ไผ่ กรรมกร ฝงู ตวั เปน็ ตน้ ชนดิ ของคานาม คานามแบ่งออกเป็น ๕ ชนดิ ดงั น้ี ๑. สามานยนาม หรือเรียกว่า คานามทัว่ ไป คือ คานามทีเ่ ปน็ ชื่อทว่ั ๆ ไป เปน็ คาเรียกส่งิ ตา่ งๆ โดยทัว่ ไปไมช่ ้ีเฉพาะเจาะจง ๒. วิสามานยนาม หรอื เรียกวา่ คานามเฉพาะ คอื คานามท่ีใชเ้ รยี กชอ่ื เฉาะของคน สตั ว์ หรือสถานที่ เปน็ คาเรยี นเจาะจงลงไปวา่ เปน็ ใครหรือ เป็นอะไร ๓. สมหุ นาม คอื คานามท่ที าหน้าทแ่ี สดงหมวดหมู่ของคานามท่ัวไป และ คานามเฉพาะ ๔. ลกั ษณะนาม คอื เป็นคานามท่บี อกลักษณะของคานาม เพ่อื แสดง รปู ลักษณะ ขนาด ปรมิ าณ ของคานามน้นั นน้ั ให้ชัดเจน ๕. อาการนาม คือ คานามทเ่ี ปน็ ชอ่ื กริยาอาการ เปน็ สิ่งทีเ่ ปน็ นามธรรม ไมม่ รี ปู ร่าง มักมคี าว่า \"การ\" และ \"ความ\" นาหนา้ หนา้ ทขี่ องคานาม ๑. ทาหน้าท่เี ป็นประธานของประโยค ๒. ทาหนา้ ท่เี ป็นกรรมหรือผถู้ กู กระทา ๓. ทาหน้าท่ีขยายนาม เพ่ือทาใหน้ ามทถี่ กู ขยายชัดเจนข้ึน ๔.ทาหนา้ ทเ่ี ป็นสว่ นสมบูรณ์หรอื สว่ นเติมเต็ม ๕. ใช้ตามหลังคาบุพบทเพ่ือทาหน้าที่บอกสถานท่ี หรือขยายกริยาให้มี เน้ือความบอกสถานท่ีชัดเจนขึน้ ๖. ใช้บอกเวลาโดยขยายคากริยาหรือคานามอนื่ ๗. ใชเ้ ปน็ คาเรียกขานได้
คำสรรพนำม ความหมายของคาสรรพนาม คาสรรพนาม หมายถึง คาที่ใช้แทนคานามที่กล่าวถึงมาแล้ว เพื่อจะได้ไม่ต้องกล่าวคานามน้ันซ้าอีก เช่นคาว่า ฉัน เรา ดิฉัน กระผม กู คุณ ท่าน ใต้เท้า เขา มัน ส่ิงใด ผู้ใด นี่ น่ัน อะไร ใคร บ้าง เป็นตน้ ชนิดของคาสรรพนาม คาสรรพนามแบง่ ออกเปน็ ๖ ชนดิ ดงั น้ี ๑. บุรษสรรพนาม คือ คา สรรพนามที่ใช้แทนผู้พูด แบ่งเป็นชนิด ยอ่ ยได้ 3 ชนิด คอื ๑.๑ สรรพนามบุรุษที่ ๑ ใช้แทนตัวผู้พูด เช่น ผม ฉัน ดิฉัน กระผม ข้าพเจ้า กู เรา ข้าพระพุทธเจ้า อาตมา หม่อมฉัน เกล้ากระหม่อม ๑.๒ สรรพนามบุรุษที่ ๒ ใช้แทนผู้ฟัง หรือผู้ที่เราพูดด้วย เช่น คุณ เธอ ใต้เท้า ท่าน ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ฝ่าพระบาท พระคณุ เจา้ ๑.๓ สรรพนามบุรุษท่ี ๓ ใช้แทนผู้ท่ีกล่าวถึง เขา มัน ท่าน พระองค์ ๒. ประพันธสรรพนาม คือ คาสรรพนามท่ีใช้แทนคานามและใช้เช่ือม ประโยคทาหน้าท่ีเชื่อมประโยคให้มีความสัมพันธ์กัน ได้แก่คาว่า ที่ ซึ่ง อัน ผู้ ๓. นิยมสรรพนาม คือ สรรพนามที่ใช้แทนนามช้ีเฉพาะเจาะจงหรือ บอกกาหนดความใหผ้ พู้ ดู กบั ผูฟ้ งั เข้าใจกนั ได้แก่คาวา่ น่ี น่ัน โนน่ ๔. อนิยมสรรนาม คือ สรรพนามใช้แทนนามบอกความไม่ชี้ เฉพาะเจาะจงทแ่ี นน่ อนลงไป ได้แกค่ าวา่ อะไร ใคร ไหน ได บางคร้ัง ก็เป็นคาซา้ ๆ เช่น ใครๆ อะไรๆ ไหนๆ ๕. วภิ าคสรรพนาม คอื สรรพนามท่ีใช้แทนคานาม ซ่ึงแสดงให้เห็นว่า นามนั้นจาแนกออกเปน็ หลายสว่ น ได้แกค่ าวา่ ต่าง ๖. ปฤจฉาสรรพนาม คือ สรรพนามที่ใช้แทนนามที่เป็นคาถาม ได้แก่ คาวา่ อะไร ใคร ไหน ผใู้ ด สงิ่ ใด ผูใ้ ด ฯลฯ
หน้าท่ีของคาสรรพนาม ๑. เป็นประธานของประโยค ๒. ทาหน้าท่ีเปน็ กรรมของประโยค (ผูถ้ กู กระทา) ๓. ทาหน้าที่เปน็ สว่ นเตมิ เตม็ หรอื สว่ นสมบรู ณ์ ๔. ใชเ้ ช่อื มประโยคในประโยคความซอ้ น ๕. ทาหนา้ ที่ขยายนามที่ทาหนา้ ทีเ่ ป็นประธานหรือกรรมของประโยค เพอ่ื เนน้ การ แสดงความรู้สกึ ของผพู้ ดู จะวางหลงั คานาม
คำกรยิ ำ ความหมายของคากริยา คากริยา หมายถึง คาแสดงอาการ การกระทา หรอื บอก สภาพของคานามหรือคาสรรพนาม เพือ่ ให้ไดค้ วาม เช่นคาวา่ กนิ เดิน นัง่ นอน เลน่ จบั เขยี น อ่าน เป็น คือ ถูก คลา้ ย เปน็ ต้น ชนิดของคากริยา คากริยาแบ่งเปน็ ๕ ชนิด ๑. อกรรมกริยา คอื คากรยิ าทไี่ มต่ ้องมกี รรมมารบั ก็ได้ความสมบรู ณ์ เข้าใจได้ ๒. สกรรมกริยา คอื คากริยาท่ตี ้องมีกรรมมารับ เพราะคากริยาน้ีไม่มี ความสมบรู ณใ์ นตัวเอง ๓. วกิ ตรรถกริยา คือ คากรยิ าที่ไมม่ ีความหมายในตัวเอง ใช้ตามลาพงั แลว้ ไมไ่ ด้ความ ต้องมคี าอ่นื มาประกอบจึงจะได้ความ คากรยิ าพวกนี้คือ เปน็ เหมือน คลา้ ย เท่า คอื ๔. กรยิ านุเคราะห์ คือ คากริยาท่ีทาหนา้ ท่ชี ่วยคากรยิ าสาคญั ในประโยค ให้มคี วามหมายชัดเจนข้นึ ไดแ้ ก่คาวา่ จง กาลงั จะ ย่อม คง ยัง ถูก นะ เถอะ เทอญ ฯลฯ ๕. กรยิ าสภาวมาลา คือ คากริยาท่ีทาหน้าทเ่ี ป็นคานามจะเปน็ ประธาน กรรม หรือบทขยายของประโยคก็ได้ หน้าทีข่ องคากรยิ ามีดงั นี้คือ ๑. ทาหน้าที่เป็นตัวแสดงในภาคแสดงของประโยค ๒. ทาหน้าทข่ี ยายคานาม ๓. ทาหนา้ ทข่ี ยายกริยา ๔. ทาหนา้ ที่เหมอื นคานาม
คำวิเศษณ์ ความหมายของคาวิเศษณ์ คาวเิ ศษณ์ หมายถึง คาทใ่ี ชป้ ระกอบหรือขยายคานาม สรรพนาม คากรยิ า หรือคาวเิ ศษณ์ เพือ่ ให้ไดใ้ จความชัดเจนและละเอียดมากขนึ้ ชนิดของคาวิเศษณ์ คาวเิ ศษณ์แบง่ ออกเปน็ ๑๐ ชนิด ดงั น้ี ๑. ลักษณะวเิ ศษณ์ คือ คาวิเศษณท์ บ่ี อกลกั ษณะต่าง ๆ เชน่ บอกชนดิ สี ขนาด สัณฐาน กลิน่ รส บอกความรู้สึก เช่น ดี ชวั่ ใหญ่ ขาว รอ้ น เยน็ หอม หวาน กลม แบน เป็นตน้ ๒. กาลวิเศษณ์ คือ คาวเิ ศษณ์บอกเวลา เช่น เชา้ สาย บ่าย เยน็ อดตี อนาคต เปน็ ต้น ๓. สถานวเิ ศษณ์ คอื คาวเิ ศษณ์บอกสถานที่ เช่น ใกล้ ไกล บน ล่าง เหนอื ใต้ ซ้าย ขวา เป็นต้น เช่น ๔. ประมาณวเิ ศษณ์ คือ คาวเิ ศษณบ์ อกจานวน หรือปรมิ าณ เชน่ หน่งึ สอง สาม มาก น้อย บอ่ ย หลาย บรรดา ต่าง บา้ ง เปน็ ต้น ๕. ประติเษธวเิ ศษณ์ คอื คาวเิ ศษณท์ ีแ่ สดงความปฏเิ สธ หรือไมย่ อมรบั เช่น ไม่ ไม่ใช่ มิ มิใช่ ไมไ่ ด้ หามไิ ด้ เป็นตน้ เช่น ๖. ประตชิ ญาวเิ ศษณ์ คอื คาวิเศษณท์ ีใ่ ชแ้ สดงการขานรับหรอื โต้ตอบ เชน่ ครับ ขอรบั ค่ะ เปน็ ต้น ๗. นิยมวิเศษณ์ คือ คาวเิ ศษณ์ทบ่ี อกความชเี้ ฉพาะ เช่น น้ี นน่ั โนน่ ท้งั น้ี ท้งั นัน้ แน่นอน เปน็ ต้น ๘. อนยิ มวิเศษณ์ คือ คาวิเศษณท์ บ่ี อกความไม่ชเี้ ฉพาะ เช่น ใด อ่นื ไหน อะไร ใคร ฉนั ใด เปน็ ต้น ๙. ปฤจฉาวิเศษณ์ คือ คาวเิ ศษณแ์ สดงคาถาม หรอื แสดงความสงสยั เช่น ใด ไร ไหน อะไร สง่ิ ใด ทาไม เป็นต้น ๑๐. ประพันธวเิ ศษณ์ คอื คาวิเศษณท์ ่ีทาหนา้ ท่เี ชื่อมคาหรอื ประโยคให้มี ความเกยี่ วขอ้ งกัน เช่นคาว่า ท่ี ซงึ่ อัน อยา่ ง ทวี่ า่ เพ่อื วา่ ให้ เป็นตน้ เชน่ หน้าที่ของคาวเิ ศษณ์ ๑. ทาหน้าท่ขี ยายคานาม ๒. ทาหนา้ ทีข่ ยายคาสรรพนาม ๓. ทาหน้าทข่ี ยายกรยิ า ๔. ทาหนา้ ทีเ่ หมือนคานาม ๕. ทาหน้าทีเ่ ป็นตวั แสดงในภาคแสดง
คำบุพบท ความหมายของคาบพุ บท คาบุพบท หมายถึง คาที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างคาหรือ ประโยค เพ่ือให้ทราบว่าคาหรือกลุ่มคาท่ีตามหลังคาบุพบทนั้นเกี่ยวข้อง กับกล่มุ คาข้างหน้าในประโยคในลักษณะใด เชน่ กบั แก่ แต่ ต่อ ด้วย โดย ตาม ข้าง ถึง จาก ใน บน ใต้ ส้ิน สาหรับ นอก เพ่ือ ของ เกอื บ ตง้ั แต่ แหง่ ท่ี เปน็ ต้น คาบุพบทแบง่ ออกเปน็ ๒ ชนดิ ๑. คาบุพบทที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างคาต่อคา คือ ความสัมพันธ์ ระหว่างคานามกับคานาม คาสรรพนามกับคานาม คานามกับคากริยา คาสรรพนามกับคาสรรพนาม คาสรรพนามกับคากริยา คากริยากับ คานาม คากริยากับคาสรรพนาม คากริยากับคากริยา เพ่ือบอกสถาน การใหช้ ดั เจน เช่น ๑.๑ บอกสถานภาพความเปน็ เจ้าของ ๑.๒ บอกความเกี่ยวข้อง ๑.๓ บอกการใหแ้ ละบอกความประสงค์ ๑.๔ บอกเวลา ๑.๕ บอกสถานท่ี ๑.๖ บอกความเปรียบเทียบ ๒. คาบพุ บทท่ีไม่มคี วามสัมพันธ์กับคาอน่ื สว่ นมากจะอยู่ต้นประโยค ใช้ เปน็ การทักทาย มักใช้ในคาประพันธ์ เชน่ คาว่า ดกู ่อน ขา้ แต่ ดกู ร คา เหล่าน้ใี ช้นาหนา้ คาสรรพนามหรือคานาม
คำสันธำน ความหมายของคาสนั ธาน คาสนั ธาน หมายถึง คาท่ีใช้เชือ่ มประโยค หรอื ข้อความกับ ขอ้ ความ เพอ่ื ทาใหป้ ระโยคนน้ั รดั กมุ กระชับและสละสลวย เชน่ คาว่า และ แล้ว จึง แต่ หรือ เพราะ เหตุเพราะ เปน็ ต้น คาสันธานแบง่ เปน็ ๔ ชนดิ ดังนี้ ๑. คาสันธานที่เช่ือมความคล้อยตามกัน ได้แกค่ าว่า และ ทงั้ ...และ ทง้ั ...ก็ ครนั้ ...ก็ คร้ัน...จงึ กด็ ี เมื่อ...ก็วา่ พอ...แล้ว ๒. คาสนั ธานที่เช่ือมความขดั แยง้ กนั เชน่ คาว่า แต่ แตว่ ่า กว่า...ก็ ถงึ ...ก็ เป็นต้น ๓. คาสันธานที่เชื่อมขอ้ มความใหเ้ ลอื ก ได้แก่คาวา่ หรือ หรอื ไม่ ไม่...ก็ หรือไมก่ ็ ไม่เช่นน้ัน มิฉะน้นั ...ก็ เปน็ ต้น ๔ คาสันธานท่ีเชือ่ มความท่ีเปน็ เหตเุ ปน็ ผล ไดแ้ กค่ าวา่ เพราะ เพราะวา่ ฉะนั้น...จึง ดังนน้ั เหตเุ พราะ เหตวุ ่า เพราะฉะน้ัน...จงึ เป็นตน้ หนา้ ทขี่ องคาสนั ธาน ๑. เชอ่ื มประโยคกบั ประโยค ๒. เชื่อมคากบั คาหรอื กลมุ่ คา ๓. เชอ่ื มขอ้ ความกับขอ้ ความ
คำอทุ ำน ความหมายของคาอทุ าน คาอทุ าน หมายถงึ คาท่แี สดงอารมณข์ องผู้พูดในขณะท่ี ตกใจ ดีใจ เสยี ใจ ประหลาดใจ หรืออาจจะเปน็ คาทใ่ี ช้เสริมคาพูด เช่นคาวา่ อยุ๊ เอะ๊ ว้าย โธ่ อนิจจา ออ๋ เป็นต้น คาอุทานแบง่ เปน็ ๒ ชนิด ดงั นี้ ๑. คาอทุ านบอกอาการ เป็นคาอทุ านที่แสดงอารมณ์ และความรู้สึก ของผ้พู ูด เช่น ตกใจ ใชค้ าว่า วยุ้ วา้ ย แหม ตายจรงิ ประหลาดใจ ใชค้ าวา่ เอ๊ะ หอื หา รบั รู้ เข้าใจ ใช้คาว่า เออ อ้อ ออ๋ เจ็บปวด ใชค้ าว่า โอ๊ย โอย อยุ๊ สงสาร เห็นใจ ใช้คาว่า โธ๋ โถ พุทโธ่ อนจิ จา รอ้ งเรยี ก ใช้คาว่า เฮย้ เฮ้ นี่ โล่งใจ ใชค้ าวา่ เฮอ เฮอ้ โกรธเคือง ใชค้ าวา่ ชชิ ะ แหม ๒. คาอทุ านเสริมบท เปน็ คาอทุ านทใี่ ช้เป็นคาสร้อยหรอื คาเสริมบท ตา่ งๆ คาอุทานประเภทนีบ้ างคาเสรมิ คาท่ไี มม่ ีความหมายเพ่อื ยืดเสียงให้ ยาวออกไป บางคาก็เพ่ือเน้นคาให้กระชบั หนกั แนน่ เช่น - เดย๋ี วนมี้ อื ไมฉ้ ันมันสัน่ ไปหมด - หนงั สือหนังหาเดยี๋ วน้รี าคาแพงมาก - พอ่ แม่ไม่ใช่หวั หลักหัวตอนะ
สรุปหนำ้ ที่ของคำ คาต่างๆไมว่ ่าจะเปน็ คานาม คาสรรพนาม คากริยา คาวเิ ศษณ์ คาบุพบท คาสันธาน และคาอทุ านจะเขา้ ประโยคโดยการเรยี งคาใน ประโยค คาใดจะทาหน้าท่ีอะไร และจะเป็นคาชนิดใดน้ัน จะดูได้จาก ตาแหนง่ ของคาในประโยค เช่น คาว่า ” ขัน ” เราไม่สามารถจะบอกไดว้ า่ เป็นคานา คากริยา หรอื คาวเิ ศษณ์ จนกวา่ คาน้นั จะเขา้ รปู ประโยค เช่น - ไก่ ขนั ตอนเชา้ - ฉันลุกขน้ึ นา ขันไปตกั น้าลา้ งหน้า - ฉันเห็นเจ้าปุยเดินมาดูนา่ ขนั คาว่า ” ขัน ” เม่ือเข้าประโยคจะบอกหน้าที่ของคาในประโยคว่า ขัน คาแรกเป็นคากริยา ขัน คาที่สองเป็นคานาม และขันคาท่ีสามเป็น คาวิเศษณ์ ดังนั้นหน้าที่ของคาจึงมีความสาคัญต่อรูปแบบของประโยค แตล่ ะประโยคแตกต่างกนออกไป
แหล่งทม่ี ำ คาและหนา้ ท่ีของคา https://gimmescoreplz.wordpress.com/%E0%B8%84%E0%B8%B3% E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%99%E 0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E 0%B8%84%E0%B8%B3/ คา ๗ ชนิด : https://sites.google.com/site/khwaycixasakic/laksna- nam รูปภาพหน้าปก : https://www.pinterest.com/pin/614389574145449826/
จัดทำโดย นำงสำวระพีพรรณ กนั เอย้ รหสั นสิ ติ ๖๓๙๔๑๙๐๐๔๒๒ หลกั สตู รประกำศนยี บตั ร สำขำวชิ ำชพี ครู ปกี ำรศึกษำ ๒๕๖๓ มหำวทิ ยำลัยรำชภัฏลำปำง
Search
Read the Text Version
- 1 - 15
Pages: