2954 ภูมิศาสตรท์ อ้ งถิ่น ลำพนู เมืองงำม ลำพูน จงั หวดั เล็กๆ ในภำคเหนือท่ีเรือ่ งรำวของประวัตศิ ำสตร์ไม่ไดเ้ ล็ก ตำมพื้นท่ี แต่กลบั ยิ่งใหญแ่ ละเก่ำแก่ทีส่ ดุ ในดินแดนลำ้ นนำ ACER สพุ รรษา รักธญั การ 31/59/2954
ประวตั คิ วำมเป็นมำจังหวดั ลำพนู จงั หวดั ลำพูน เดิมชื่อเมืองหริภญุ ไชย เป็นเมืองโบรำณ มีอำยุประมำณ 1,343 ปี ตำม พงศำวดำรโยนกเลำ่ สืบต่อกนั ถงึ กำรสรำ้ งเมืองหริภุญไชย โดยฤำษวี ำสุเทพ เปน็ ผู้เกณฑ์ พวกเม็งคบุตร หรือ ชนเช้ือชำติมอญมำสร้ำงเมืองนขี้ ้นึ ในพ้ืนทีร่ ะหว่ำงแม่น้ำสองสำย คอื แม่น้ำกวง และแม่นำ้ ปิง เมือ่ มำสรำ้ งเสรจ็ ได้ส่งทตู ไปเชิญ รำชธดิ ำกษัตริย์เมืองละโวพ้ ระ นำม “จำมเทวี” มำเป็นปฐมกษัตรยิ ์ปกครองเมืองหริภญุ ไชย สบื รำชวงศ์กษตั ริย์ ตอ่ มำ หลำยพระองค์ จนกระทงั่ ถึงสมัยพระยำยีบำจึงไดเ้ สียกำรปกครองให้แก่พ่อขนุ เมง็ รำย มหำรำช ผู้รวบรวม แว่นแควน้ ทำงเหนือเข้ำเป็นอำณำจักรลำ้ นนำ เมืองลำพนู ถึงแม้วำ่ จะ ตกอยู่ภำยใตก้ ำรปกครองของอำณำจกั รลำ้ นนำ แต่ก็ไดเ้ ป็นผู้ถ่ำยทอดมรดกทำงศิลปและ วฒั นธรรมให้แก่ผู้ท่เี ข้ำมำปกครอง ดงั ปรำกฏหลกั ฐำนทวั่ ไปในเวียงกมุ กำม เชยี งใหม่และ เชยี งรำย เมืองลำพูนจึงยงั คงควำมสำคัญในทำงศิลปะและวฒั นธรรมของอำณำจักรลำ้ นนำ จนกระทงั่ สมยั สมเด็จพระเจำ้ ตำกสินมหำรำช เมืองลำพูนจึงไดเ้ ข้ำมำอยู่ในรำชอำณำจกั ร ไทย มีผู้ครองนครสบื ต่อกันมำจนถึงสมยั กรงุ รตั นโกสินทร์ ตอ่ มำภำยหลังกำรเปลย่ี นแปลง กำรปกครอง พ.ศ. 2475 เมื่อเจำ้ ผู้ครองนครองค์สุดทำ้ ย คอื พลตรีเจ้ำจักรคำ ขจรศกั ดิ์ ถึง แก่พิรำลัย เมืองลำพูนจึงเปลีย่ นเปน็ จังหวัด มีผู้วำ่ รำชกำรจังหวดั เปน็ ผู้ปกครอง สบื มำ จนกระท่งั ถึงปจั จุบนั “เมืองโบราณหริภญุ ไชย” อำณำจกั รอันรุ่งเรอื งและเกำ่ แก่ที่สดุ ในภำคเหนอื แบ่งเป็น ๔ ยคุ คอื ยุคประวตั ศิ ำสตร์แรกเริ่ม ยคุ หริภุญไชย ยคุ ล้ำนนำ ยุคตน้ รัตนโกสินทร์
“ยุคกอ่ นประวัติศาสตร์” นครในตำนำนถึงบ้ำนวงั ไฮก่อนทจ่ี ะเป็นเมืองลำพณู หรืออำณำจกั รหรภิ ุญไชย ในอดีต ดนิ แดนแถบลุ่มแม่น้ำปิง นำ้ ปิงนำ้ กวงผืนนี้ เคยมีช่อื วำ่ “สมนั ตรประเทศ”มำก่อน เหตุกำรณ์ เกดิ ขนึ้ ในชว่ งหลังพุทธกำลเล็กน้อยหรอื รำว ๒,๐๐๐ ปีที่ผ่ำนมำ ว่ำด้วยเรอ่ื งรำวของ นกั พรตฤษีที่เดินทำงไกลมำจำกชมพูทวีปสู่สุวรรณภูมิ ได้เขำ้ มำเผยแผ่ศำสนำพรำหมณ์ ตอ่ มำไดผ้ สมเผ่ำพนั ธ์ุกบั คนพื้นเมือง ก่อกำเนดิ ชมุ ชนกลมุ่ แรกกลำยเป็นบรรพบุรษุ ของชำว “ลัวะ”เมง็ ” (มอญ) ณ ริมฝั่งแม่ระมิงค์ (แม่นำ้ ปิง)หลักฐำนทร่ี องรับยืนยนั ถึงกำรมีอยู่จรงิ ของมนุษย์ยุคก่อนอำณำจักรหริภญุ ไชย ได้แก่ โครงกระดกู ทข่ี ดุ พบ ณ บำ้ นวังไฮ ต.เวียง ยอง อ.เมือง จ.ลำพูน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๐ ซึง่ นกั โบรำณคดีได้ทำกำรศกึ ษำพบว่ำมีอำยุ ระหว่ำง ๒,๘๐๐ - ๓,๐๐๐ ปมี ำแล้ว จัดเป็นมนุษย์ในยุคก่อนประวติศำสตร์ตอนปลำยที่ รู้จักประเพณีฝังศพดว้ ยกำรอทุ ศิ ส่งิ ของให้ผู้ตำยไว้ใช้ในปรโลก รู้จักทำเกษตรกรรม และตั้ง หลักแหลง่ ไม่เร่ร่อนมีกำรตดิ ต่อกับภำยนอกทงั้ ซีกโลกตะวนั ตกคอื กลมุ่ ของพ่อค้ำอนิ โด- โรมนั เห็นได้จำกกำรพบลูกปัด สรอ้ ยกำไบในหลุดศพทำด้วยหินควอทซ์ และซีกโลก ตะวันออก คนื กลุ่มของอำรยธรรมดองซอน กวำงสี แถบเวยี ดนำมเหนือและจนี ใต้ ซึ่งได้ นำเอำเครอ่ื งประดัยทีท่ ำด้วยสำรดิ มำแลกเปลย่ี นคำ้ ขำย ชนกลมุ่ นีต้ อ่ มำไดก้ ลำยเปน็ สว่ น หนึ่งของประชำกรในแคว้งหริภญุ ไชยอกี ๑,๐๐๐ ปีต่อมำ กำเนดิ มนษุ ย์ถ้ำสสู่ ญั ลักษณ์ภำพเขียนสเี มืองลำพนู มีสภำพภูมิศำสตร์สองลกั ษณะ กล่ำวคอื บริเวณอำเภอเมือง บำ้ นธิ ปำ่ ซำง และเวียงหนองส่อง เป็นเขตทีร่ ำบลมุ่ ริมนำ้ ประเภท “ดนิ ดำน้ำชมุ่ ” สว่ นอำเภอแม่ทำ-ทงุ่ หัวช้ำง-ล้ีและบำ้ นโฮง่ เป็นเขตของเทอื กเขำสงู ชนั โดยมำกเป็นหินปูนมีท่ ำเลท่ตี ง้ั เหมำะแก่กำรตงั้ หลกั แหล่งทีอ่ ยู่อำศัยของมนุษย์ยุคหินซึง่ ตอ้ งใช้เพงิ ผำถำ้ ไม่ไกลจำกแหลง่ ทเป็นที่กำบงั กำย จำกหลกั ฐำนทีค่ ้นพบใหม่ล่ำสุดในปี พ.ศ.๒๕๕๒ ณ ดอยแตฮอ่ ดอนผำผึง้ ต.ปำ่ พูล อ.บ้ำนโฮ่ง และดอยผำแดง กับดอยนกยูง ต. ศรีวชิ ัย อ.ลี้ รวมถึงกำรขูดขีดเพงิ ผำหินเป็นรูปรอยเท้ำแบบ Rock Art ณ ดำ้ นหลงั วัดดอย สำรภี อ.แม่ทำ ได้พบลอ่ งรอยของมนุษย์ยุคหินกลำงถึงยุคหินใหม่มอี ำยุรำว ๑,๐๐๐- ๔,๐๐๐ ปีมำแลว้ คนกลุ่มน้นี บั ถอื ผี วิถเี ร่รอ่ นย้ำยถิ่นฐำนตำมฤดกู ำล บชู ำอำนำจเหนือ ธรรมชำติทีม่ องไม่เหน็ (Animism) สำมำรถผลติ เครอ่ื งมือขวำนหิน-ใบหอกเป็นอำวธุ ขอ้ สำคญั รู้จักเขียนภำพบนผนงั ถ้ำดว้ ยสีแดง สที ่ใี ช้มีส่วนผสมของเลอื ดนกพิรำบ ไขข่ ำว กำว ยำงหนงั สตั ว์หรอื สำมำรถสอ่ื สัญลักษณ์ดว้ ยกำรใช้ขวำนหินขูดขีดลวดลำย ภำพเหลำ่ นี้
สทอ้ นถึงควำมเชื่อเรื่องกำรบูชำรอยเท้ำ งำนพิธีกรรมฝงั ศพ กำรตัดไม้ขม่ นำมก่อนกำรออก ลำ่ สตั ว์ ตอ่ มำเมือ่ มนุษย์เริ่มรู้จักใช้ไฟฟำ้ ทำให้เปล่ยี นพฤตกิ รรมกำรบรโิ ภคจำกเน้อื ดบิ เป็น ปรงุ อำหำรให้สุก มีกำรป้ันภำชนะดินเผำสำหรับใส่กระบอกธนูหม้อกระดูก มีกำรตกแต่งขูด ขดี ผิดภำชนะเปน็ รปู งไู ขว้ ในที่สุดเริม่ ตงั้ แตย่ ุคเรร่ ่อน มีกำรเลอื กผู้นำเผ่ำและเข้ำสู่ยคุ สงั คม เกษตร รำว ๓,๐๐๐ ปีที่ผ่ำนมำ “ยุคหริภญุ ไชย” หริภุญไชย ปฐมอารยนครแห่งลา้ นนาหริภญุ ไชยนคมีฐำนะเป็นรำชธำนีแห่งแรกของภำคเหนอื เปน็ รำกฐำนอำรยธรรมอัน เจริญรุ่งเรอื งสูงสุดสง่ ในทุกๆดำ้ นให้แก่อำณำจกั รลำ้ นนำนบั ตงั้ แตด่ ำ้ นพุทธศำสนำ เศรษฐกิจ กำรเมือง กำรปกครอง ศิลปกรรม วัฒนธรรม กำรทหำร ดงั มีหลักฐำนยืนยันจำก ศิลำจำรึก ตำนำน โบรำณสถำน โบรำณวตั ถุ ฯลฯ ปฐมอำรยนครแห่งน้ีเปน็ บ่อเกดิ แห่งกำร ประดษิ ฐ์อกั ขระมอญโบรำณในพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๕-๑๗ พบจำนวนมำกถึง ๑๐ หลัก เรื่องรำวจำกศิลำจำรึกแสดงถึงอจั ฉรยิ ภำพด้ำนกำรปกครองและควำมรุ่งเรืองทำงศำสนำ อักษรมอญโบรำณเหล่ำน้ีส่งอทิ ธพิ ล ดำ้ นรปู แบบอักขระให้แก่อกั ษรในพุกำม สะเทิมรวมไป ถึงอกั ษรพม่ำและมอญที่ใช้ในปจั จุบัน นอกจำกน้แี ลว้ ยงั เปน็ ต้นกำเนิดลำยสือไท สมัย สโุ ขทัยในอกี ๔๐๐ปีต่อมำ และอักษรธรรมล้ำนนำให้แก่ชำวไทยภำคเหนือ (ไทยวน) และ ตอ่ มำไดแ้ พร่หลำยไปสู่อักษรไทลือ้ ไทอำหม ไทใหญ่ หริภญุ ไชยนครมีควำมเจริญรุ่งเรอื ง อย่ำงยิ่งและเป็นที่เล่อื งลือในกลุ่มชนชำวตะวันออกเฉยี งใตอ้ ันได้แก่ พุกำม นครวัต (เขมร) จำปำ ศรีวชิ ัย นครศรีธรรมรำช ละโว้ และจีน หริภุญไชยได้กลำยเป็นยทุ ธศำสตร์นครท่ี หลำยๆแควน้ ได้เข้ำมำเยือนเพ่อื สร้ำงสัมพันธไมตรีทำงกำรทตู ทำงกำรคำ้ ทำงสวสั ดกิ ำร สังคมควำมเปน็ อยู่สู่ควำมเห็นพ้องทำงดำ้ นวฒั นธรรมอนั ทรงคณุ คำ่ ด้วยเหตนุ ี้ ศิลปวัฒนธรรมสมยั หริภญุ ไชยจึงเปน็ ผสมผสำนศิลปะอนั มีค่ำไดอ้ ย่ำงลงตัว กษัตริย์ในรำช สกลุ จำมเทวีวงศ์แห่งหริภญุ ไชยนคร ได้ครองรำชสมบัตยิ ำวนำนสืบเน่อื งต่อมำรำว ๖๒๐ ปี มีพระมหำกษัตริย์ทง้ั สิน้ ประมำณ ๕๐ พระองค์
สงครามสามนครสู่สายสมั พนั ธม์ อญหงสาวดี เมือ่ หริภุญไชยนครผ่ำนกำลเวลำมำได้สำมศตวรรษ รัฐละโว้เมืองแม่แต่เดมิ เคยเป็น เครอื ข่ำยทวำรวดไี ด้ถูกปกครองโดยขอม ทำให้ละโว้กลำยเปน็ ศัตรูกบั หริภญุ ไชย ยุคน้ีรฐั ทำงใต้มีกำรแผ่แสนยำนุภำพจำกชำยฝ่ังทะเลมำสเู่ ขตท่รี ำบลมุ่ ภเู ขำตอนในเพอ่ื ขยำย เส้นทำงกำรคำ้ หลำยระลอกทำให้เกิดสงครำมครงั้ ใหญร่ ะหว่ำง “นครศรีธรรมรำช-ละโว้- หริภญุ ไชย” จนกระทัง่ ถึงสมยั พระเจำ้ กมลรำชนครหรภิ ุญไชยเกดิ โรคห่ำครั้งใหญ่ประชำชน ชำวมอญหริภุญไชยอพยพหนีไปอยู่เมืองหงสำวดี และสะเทิม(สธุ รรมวดี) เปน็ เวลำ ๖ ปี เมือ่ สรำ่ งจำกโรคระบำดได้นำเอำชำวมอญ-หงสำวดีและมีกำรถ่ำยเททำงอำรยธรรมระหว่ำง ชำวแม่ระมิงค์กับลมุ่ น้ำสำละวิน จนเกิดประเพณีลอยหะโมด ในฤดูน้ำหลำก อันเป็นต้น กำเนดิ ของประเพณีลอยกระทงของสโุ ขทัยปัจจบุ ันชำวมอญจำกหงสำวดียงั คงต้ังถิน่ ฐำนอยู่ ท่บี ำ้ นหนองคู่ เวยี งเกำะกลำง ต.บ้ำนเรือน อ.ป่ำซำง จ.ลำพูน และบ้ำนต้นโชค บ้ำนหนอง คอบ อ.สนั ปำ่ ตอง จ.เชียงใหม่ ด้วยกำรรกั ษำขนบธรรมประเพณีชำวมอญ สววาธิสิทธิ กษตั ริยผ์ ้ทู รงธรรม พุทธศตวรรษท่ี ๑๖-๑๗ ถือว่ำเป็นยคุ รงุ่ เรอื งของควำมเจรญิ ทุกๆดำ้ น ประวัตศิ ำสตร์ ยุคน้ีมีควำมชดั เจนขนึ้ ทลี ะน้อยๆ ไม่เพียงแตป่ รำกฏหลกั ฐำนทำงโบรำณคดอี ย่ำงมำกมำย เท่ำน้ัน หำกยังอำ้ งองิ ได้ถึงหลักฐำนทำงด้ำนอักขระ กล่ำวคอื มีกำรพบศิลำจำรึกอกั ษร มอญ-โบรำณมำกทีส่ ุดในประเทศไทยหลังจำกยคุ ของพญำอำทิตยรำช มหำรำชแห่งหริภญุ ไชยนครผู้ทรงขดุ พบพระธำตุ และกระทำกำรสถำปนำพระบรมสำรรี ิกธำตกุ ลำงมหำนครขึ้น เป็นศูนย์รวมควำมศรทั ธำครั้งแรกของภำคเหนือแลว้ พระรำชโอรสของพระองค์ คอื พระเจ้ำ ธรรมิกรำชำไดส้ รำ้ งพระอฏั ฐำรส(พระยืนสงู ๑๘ ศอก) ทว่ี ัดอรัญญิกำรำม (วดั พระยืน) จนถงึ ยคุ สมัยของพญำสววำธิสิทธิ หรือพญำสรรพสิทธ์ิ กษัตริย์ผู้ทรงผนวช ระหว่ำง ครองรำชย์ ทรงถวำยพระรำชวังเชตวนำลัยให้สร้ำงวัดเชตวนำรำม (วัดดอนแก้ว) ทรงผนวช พร้อมมเหสแี ละโอรส ทรงสรำ้ งต้นโพธ์แิ ละประกำศเชิญชวนประชำชนให้คำ้ จุนตน้ โพธถ์ิ ือ เป็นต้นแบบของกษัตริย์ในยุคตอ่ มำท่ีดำเนนิ รอยตำมในสว่ นของกำรกัลปนำวงั เพ่อื สรำ้ งวดั กำรผนวชขณะครองรำชย์ และประเพณี “ไม้กำสะหลี” ของชำวลำ้ นนำตอ่ มำ
อรณุ รงุ่ แหง่ พทุ ธประทีป ก่อนยคุ หริภญุ ไชยนครคนพ้ืนเมืองชำวลวั ะดง้ั เดมิ เคยบชู ำผีแถน ผีบรรพบุรษุ ที่ เรียกว่ำ “ผีปู่แสะย่ำแสะ” มีกำรบูชำเสำสะกัง หรือเสำอินทขีล ตอ่ มำยอมรบั เอำศำสนำ พรำหมณ์จำกฤษนี กั พรต ลว่ งสู่ยคุ หริภุญไชยจึงมีกำรสถำปนำศำสนำพุทธแห่งแรกของ ภำคเหนอื กระทง่ั เปลย่ี นเปน็ นกิ ำยลงั กำวงศ์ รำมญั วงศ์ ฯลฯ ศำสนำทุกลัทธใิ นหริภญุ ไชย นคร ได้รบั กำรผ่องถ่ำยไปสเู่ มืองอื่นๆ ทงั้ ในล้ำนนำ ลำ้ นช้ำง สบิ สองปันนำ ลำแสงแรกแห่ง พระพุทธศำสนำรุ่งเรืองไสวขึน้ นับตั้งแตไ่ ด้มีกำรขุดพบพระบรมสำรีริกธำตุในสว่ นของพระ เกศำธำตุ ณ บรเิ วณวัดพระธำตุหรภิ ุญไชยปจั จุบนั ในรัชสมยั ของพญำอำทิตยรำช รำวพุทธ ศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ ทรงสถำปนำพระบรมธำตุเจดีย์ขนึ้ แห่งแรกในภำคเหนอื โบรำณรำช ประเพณีกำหนดให้พระมหำกษัตริย์ทกุ พระองค์จักตอ้ งมำกรำบนมสั กำรพระบรมธำตุเจดีย์ แห่งน้กี อ่ นพระรำชพิธบี รมรำชำภิเษก มีหลกั ฐำนปรำกฏว่ำแม้แตห่ ลวงจีนทิเบตในแต่ละปีก็ ตอ้ งจำรกึ แสวงบุญดว้ ยกำรมำสักกำระพระมหำธำตเุ จดยี ์หริภญุ ไชยสะท้อนว่ำเมืองลำพูน คอื ศูนย์กลำงของพทุ ธศำสนำแห่งลุ่มแม่นำ้ ปิง วงั ยม นำ่ น ตลอดจนลุ่มน้ำ โขง-สำวะวนิ ตรำบถึงวันนี้ ลำพูนได้กลำยเป็นศูนย์รวมอำรยธรรมทำงพทุ ธศำสนำแห่งอำณำจกั รลำ้ นนำ ซึ่งศำสนสถำนที่ปรำกฏให้เห็นในปจั จบุ นั ได้แก่ วัดพระธำตหุ รภิ ญุ ชัย วดั พระพทุ ธบำทตำก ผ้ำในอำเภอป่ำซำง และวัดพระพทุ ธบำทห้วยต้มในอำเภอล้ี เป็นต้น องค์พระบรมเจดยี ์ในวัด พระธำตหุ รภิ ญุ ชัยเชอ่ื วำ่ เปน็ พระเจดีย์ทเ่ี กำ่ แก่ที่สุดโดย พระบำทสมเด็จพระเจำ้ อยู่หวั ใน รชั กำลที่ ๔ ได้ทรงยกย่องและสถำปนำพระบรมธำตเุ จดีย์องคน์ ้พี รอ้ มทั้งได้จำรึกไวว้ ่ำเป็น พระเจดีย์องคห์ นึ่งในแปด พระบรมธำตุเจดยี ์ทีม่ ีช่อื เสยี งท่สี ุดในประเทศไทย วดั พระธำตหุ ริ ภุญชัยยังได้ช่อื วำ่ เป็นพระบรมธำตุเจดีย์ประจำรำศีของผู้เกิดปีระกำอกี ด้วย จามเทวี : แมเ่ มือง-มิง่ เมือง ภำยหลงั จำกกำรลม่ สลำยของเมือง “สมนั ตรประเทศ” ดว้ ยกำรขำดผู้นำที่ทรง คุณธรรม กลุ่มนกั พรตฤษผี ู้มีบทบำทในกำรสร้ำงเมืองตง้ั แต่เริ่มแรก ได้กอบบำ้ นกู้เมืองข้น มำใหม่ในรำวปี พ.ศ.๑๒๐๔ เฉลิมนำมว่ำ “หริภุญไชยนคร” โดยได้อัญเชญิ รำชธิดำของพระ เจำ้ กรุงละโว้นำมว่ำ “พระนำงจำมเทวี” มำเป็นปฐมกษัตริย์ในปี พ.ศ.๑๒๐๖ พระนำงทรง นำเอำอำรยธรรมชั้นสงู แบบทวำรวดีข้นึ มำทำงแม่น้ำปิงสดู่ นิ แดนภำคเหนอื ของไทยเป็นคร้ัง แรกทรงรวบรวมชนพนื้ เมืองกลุ่มต่ำงๆเขำ้ ด้วยกันภำยใตก้ ำรปกครองแบบทศพิธรำชธรรม
ทรงประกำศพระพทุ ธศำสนำให้เลอ่ื งลอื ไกลดว้ ยกำรสรำ้ งวัดวำอำรำมกระจำยทั่วดินแดน อกี ท้ังยงั ทรงขยำยอำณำเขตควำมเจรญิ ไปยังลุ่มนำ้ ต่ำงๆ อำทเิ มืองเขลำงคนคร-อำลัม พำงค(์ ลำปำง) แห่งลมุ่ น้ำวัง เวยี งเถำะ เวยี งทำ่ กำน เวยี งมะโน เวยี งฮอด บนั้ ปลำยพระชนม์ ชีพทรงสละรำชสมบตั ใิ ห้แก่พระรำชโอรสฝำแฝด “เจำ้ มหนั ตยศ เจำ้ อนันยศ” ให้ครองแควัน หริภุญไชย-เขลำงคนครสบื มำ ในขณะที่พระองค์ทรงครองศีลอุบำสกิ ำ คุณงำมควำมดีท่ี ทรงกระทำไวเ้ ป็นทีข่ จรขจำยมีมำกเกนิ คณำนับ จนได้รับฉำยำว่ำเป็น”พระแม่เมือง-พระมิ่ง เมือง” ของชำวเมืองหริภญุ ไชย “ยุคลา้ นนา” ยำมส้ินแสงอสั ดงคตหริภุญไชยนครผ่ำนกำลเวลอันรุ่งโรจน์มำนำนถึงหกศตวรรษด้วย กิตตศิ ัพท์ควำมอดุ มสมบรูณ์มง่ั คัง่ ของครำทำให้เปน็ ทห่ี มำยปองของ “พญำมงั รำย” เจำ้ ผู้ ครองแควน้ “หิรญั นครเงินยำง”แถบเมืองเชียงรำย ปี พ.ศ.๑๘๒๔ พญำมงั รำยได้ยก กองทพั อนั แขง็ แกร่งมำเผำแคว้นหริภญุ ไชยจนวำยวอด ในสมัย “พญำยีบำ” แต่พญำมงั รำย ก็ไม่ประทบั อยู่ที่เมืองหริภุญไชย โดยให้เหตผุ ลวำ่ เป็นเมืองพระธำตุ อกี เหตุผลหนึ่งชัยภมู ิไม่ เหมำะเป็นเปน็ เมืองขนำดเล็ก กำรขยำยตัวของเมืองเปน็ ไปไดย้ ำกจึงให้อำ้ ยฟ้ำหรือขุนฟ้ำ ครองเมืองหริภญุ ไชยแทนและย้ำยรำชธำนใี หม่ไปอยู่ที่ “เวยี งชะแว่” หรือ “เวยี งแจ้เจยี งกุ๋ม” และย้ำยไปอยู่ที่ “เวยี งกุมกำม” และ “นพบุรีนครพิงคเ์ ชยี งใหม”่ ในปี พ.ศ.๑๘๓๙ โดยกำร ผนวกแคว้นหริภญุ ชัยและแควน้ โยนกเข้ำดว้ ยกนั โดยมีเชียงใหม่เป็นศูนย์กลำง สว่ นหรภิ ญุ ไชยเปน็ ส่วนกลำงด้ำนศำสนำโดยให้บูรณะพระธำตุหริภุญชัยสรำ้ งมณฑปทรงปรำ-สำทท่ี พญำสัพสทิ ธ์ิสรำ้ งไว้ให้สูงขนึ้ เป็น ๓๒ ศอกไดถ้ วำยขำ้ ทำสบริวำรแก่วัดพระธำตหุ รภิ ญุ ชัย และส่งั ให้กษตั ริย์เมืองเชียงใหม่องค์ต่อๆมำทุกพระองค์มีหนำ้ ที่ในกำรดูแลบรู ณะวดั พระธำตุ หริภุญชัยสบื ต่อมำ ในปี พ.ศ.๑๙๙๐ สมัยพญำตโิ ลกรำชกษัตรยิ ์เมืองเชียงใหม่ รำชวงศ์มงั รำยลำดับท่ี ๙ ได้อำรำธนำพระมหำเมธงั กรมำเปน็ ผู้ควบคุมกำรบูรณะและเสรมิ องคพ์ ระธำตุข้นึ ใหม่โดย ปรับปรุงโดยสร้ำงพระธำตุจำกเจดยี ์ทรงปรำสำทเป็นทรงพระฆังหรอื ทรงลงั กำตำมแบบ พระพทุ ธศำสนำแบบลงั กำวงศ์ของเมืองเชียงใหม่โดยก่อเปน๋ เจดยี ์สงู ข้ึนเป็น ๓๒ ศอก กว้ำง ข้นึ เป็น ๕๒ ศอกเปน็ รูปทรงที่เห็นอยู่ในปจั จุบัน ในปี พ.ศ.๒๐๕๔ สมัยพระเมืองแกว้
กษตั ริย์เมืองเชียงใหม่ รำงวงศม์ งั รำย ลำดบั ที่ ๑๑ ได้ทรงบำเพญ็ พระรำชกศุ ลทว่ี ัดพระ ธำตุหรภิ ญุ ชัยเปน็ ประจำทุกปี ได้ป่ำวร้งโฆษณำเรี่ยไร่ จ่ำยซือ้ ทองบุองค์พระธำตุเจดีย์เปน็ ทองแดงหนกั สิบเกำ้ แสนแปดหมื่นห้ำพันส่รี ้อยบำทสองสลึงแลว้ ลงรกั ปิดทองคำเปลว ให้ สรำ้ งพระวิหำรหลวง แลว้ สรำ้ งรวั้ รอบพระบรมธำตุ (สัตตบัญชร) ระเบียงหอก ๕๐๐ เล่ม เกรณฑ์กำลังพลรอ้ื และก่อกำแพงเมืองหริภญุ ไชยด้วยอิฐในปี ฑ.ศ. ๒๐๕๙ เพอ่ื ปอ้ งกนั ภยั จำกอยุธยำ จนมำถงึ สมับพญำกอื นำ กษัตริย์ลำ้ นำองค์ที่ ๖ ทรงอำรำธนำพระสุมนเถระจำก สโุ ขทัยในปี มำจำพรรษำท่วี ดั พระยืน พ.ศ.๑๙๑๒ เมืองหริภญุ ไชยก่อน เมื่อสรำ้ งวดั บุ ปผำรำม(สวนดอก)พระสุมนเถระจงึ มำจำพรรษำที่แห่งน้ีจนถึงแก่มรณภำพในปี พ.ศ.๑๙๓๒ นบั ว่ำพระสมุ นเถระได้มำวำงรำกฐำนพระพุทธศำสนำลัทธลิ ังกำวงศ์ในเมืองเชียงใหม่ให้เปน็ ศูนย์กลำงแทนนกิ ำยเดิม(รำมัญวงศ)์ ท่มี ีหริภุญไชยเป็นศูนย์กลำงแต่เมืองเดิม และในสมัย ตอ่ มำคอื พญำแสนเมืองมำ ในรำวปี พ.ศ.๑๙๕๑มีพระรำชกรณียกิจด้ำนทะนบุ ำรงุ พระพุทธศำสนำ โดยโปรดให้หุ้มพระบรมธำตุเจดยี ์หริภุญชัยดว้ ยแผ่นทองคำหนักสองแสน หนึง่ หมืน่ บำทหรอื ๒๕๒ กิโลกรมั “ยุคตน้ รัตนโกสินทร”์ กำรใช้วิเทโศบำยทำงกำรเมืองระหว่ำงลำ้ นนำ (เชยี งใหม่) กับสยำมประเทศเปน็ ไป อย่ำงชิงไหวชิงพริบ เจำ้ เมืองฝ่ำยเหนอื ใช้ควำมพยำยำมอย่ำงยงิ่ ยวดท่จี ะรกั ษำประเทศ ลำ้ นนำเอำไว้ แตม่ ิอำจตำ้ นแรงคกุ คำมข้ำงฝ่ำยสยำมประเทศได้ เนื่องจำกสยำมได้ใช้วธิ ี หลำยรูปแบบที่จะรวมล้ำนนำให้เปน็ หนึ่งเดยี ว อำทิ สง่ นกั กฎหมำยฝรง่ั และหมอสอนศำสนำ เข้ำมำอยู่ในเชียงใหม่ อีกทงั้ ส่งขำ้ หลวงสำมหัวเมืองมำประจำ หลงั จำกจำกท่รี ัฐบำลสว่ นกลำงสยำมได้เซ็นสนธสิ ัญญำเบำริง กับอังกฤษในปี พ.ศ. ๒๓๙๘ (สมยั รชั กำลที่ ๔) บรษิ ทั อังกฤษก็มีสิทธิเขำ้ มำทสมั ปทำนไม้ในลำ้ นนำได้ เพยี งแค่ ขออนุญำตต่อเจ้ำผู้ครองนครโดยตรงจนเกิดกรณีพิพำทขึน้ หลำยครง้ั ระหว่ำงเจ้ำผู้ครอง นครเชียงใหม่กบั บริษัททำไม้รัฐบำลกลำงเหน็ ว่ำผลประโยชน์กำรทำไม้กับชำวตะวันตกมี รำยได้มหำศำล จึงทำสนธิสัญญำเชียงใหม่ขึน้ ๒ ครงั้ ในปีพ.ศ.๒๔๑๖ และพ.ศ.๒๔๒๖ เนอื้ หำสำระอยู่ทีก่ ำรลดอำนำจเจำ้ ผู้ครองนครเชียงใหม่ลงไม่ให้เข้ำมำมีบทบำทด้ำน
สัมปทำนได้ พร้อมส่งเจ้ำหน้ำท่จี ำกส่วนกลำงเขำ้ มำดแู ลเชยี งใหม่ และจดั ตง้ั กรมปำ่ ไม้ขนึ้ ท่นี ใ่ี นปี พ.ศ.๒๔๓๗ สถำนกำรณ์ครั้งน้ันเป็นเหตุสำคัญให้เกิดกำรปฏิรปู กำรปกครอง แผ่นดนิ ขนึ้ โดยรวบรวมอำนำจกำรปกครองทง้ั หมดให้อยู่กบั สว่ นกลำง ลดบทบำทของเจ้ำ เมืองฝ่ำยเหนอื ให้น้อยลง ยกเลิกฐำนะหวั เมือง ประเทศรำชจดั เปน็ หน่วยปกครองท่เี รียกว่ำ “มณฑล” โดยส่งขำ้ รำชกำรจำกส่วนกลำงเข้ำมำปกครองกระท่งั เจำ้ ดำรำดเิ รกรัตนไพโรจน์ เจำ้ ผู้ครองนครลำพูนองคท์ ่ี ๗ ถึงแก่พิรำลัย ได้เกดิ กำรแย่งชิงอำนำจข้ึน ทำ่ มกลำงทำยำท จึงเปน็ โอกำสอันดีของทำงส่วนกลำงทจ่ี ะใชฉ้ วยโอกำสขอ้ อ้ำงเข้ำมำจัดระเบียบกำรปกครอง เมืองลำพูนใหม่ อย่ำงเบ็ดเสร็จเรียบรอ้ ย \"ยคุ เก็บผกั ใสซ่ า้ เกบ็ ขา้ ใส่เมือง\"หลงั จำกขบั ไล่พม่ำออกจำกเมืองล้ำนนำแล้ว พญำจ่ำ บำ้ นได้รบั กำรแต่งต้ัง ให้เป็นเจ้ำเมืองเชียงใหมส่ ว่ นพญำกำวิละให้เป็นเจ้ำเมืองลำปำงโดย พิธีดังกล่ำวทำขึน้ ทีว่ ดั พระธำตหุ รภิ ญุ ชัย เชยี งใหม่สำมำรถปกครองตนเองได้ในฐำนะเมือง ประเทศรำชของรำชอำณำจกั รสยำม แต่ในขณะเดียวกันพม่ำยังไม่หมดอำนำจเสียทีเดยี ว คอยมำคกุ คำมเชียงใหมอ่ ยู่ไม่ขำด พญำจ่ำบ้ำนซึง่ มีประชำกรอยู่น้อยนิดไม่สำมำรถต่อสกู้ ับ พม่ำไดจ้ ึงชกั ชวนกันท้งิ บำ้ นเมือง และหนไี ปอยู่กบั เจ้ำเจด็ ตนที่เมืองลำปำงเมื่อพญำจำ่ บ้ำน เสียชีวิตลง พระเจ้ำกรุงธนบรุ ีได้แตง่ ตั้งพญำกำวิละขนึ้ ครองเมืองเชยี งใหม่แทนในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ ซงึ่ ในขณะนั้นเชียงใหม่เปน็ เมืองร้ำง พมำ่ ยังมีอิทธพิ ลอยู่ กำรทีจ่ ะฟื้นฟูเชยี งใหม่จงึ เปน็ ปญั หำหนักพญำกำวิละจำต้องค่อยๆ รวบรวมไพลพ่ ลให้ม่ันคง โดยขอผู้คนจำกเมือง ลำปำงและกลุ่มไพร่เดมิ อกี จำนวนหน่งึ ใช้ เวียงป่ำซำง เปน็ ฐำนะทม่ี ั่นรวบรวมผู้คนซึ่ง เรียกว่ำ “เก็บฮอมตอมไพร่” พญำกำวิละใช้เวลำรวบรวมชำวบำ้ นนำนถึง ๑๔ ปี จึงจัก สำมำรถเข้ำไปฟื้นฟูและตงั้ เมืองเชยี งใหม่ไดใ้ นปี พ.ศ. ๒๓๘๘ และฟ้นื เมืองลำพูนข้ึนมำใหม่ แต่งตงั้ พญำบรุ ีรตั นค์ ำฟั่นเป็นเจำ้ เมืองลำพูนชอ่ื ว่ำ พญำลำพูนชยั และเจ้ำบุญมำน้องคน สดุ ท้องของเจ้ำเจด็ ตนเป็นพญำอปุ รำช โดยนำคนมำจำกเมืองลำปำง ๕๐๐ คน จำกเมือง เชยี งใหม่อีก ๑,๐๐๐ คน และกวำดต้อนคนยองจำนวน ๑๐,๐๐๐ คนให้อยู่ท่เี มืองลำพูนตรง ขำ้ มกับพระธำตเุ จ้ำหรภิ ญุ ชัย อกี ฟำกหนึง่ ของแม่น้ำกวงกลุ่มชำวยองเหล่ำน้ตี ่อมำได้เป็น ช่ำงทอผ้ำ สลำ่ ชำ่ งฝีมือ ผู้มีบทบำทสำคญั ในกำรฟืน้ ฟูวฒั นธรรมล้ำนนำให้แก่เมืองลำพนู นอกจำกชำวยองแลว้ ยงั มีอีกกลมุ่ ชนท่เี คยกวำดตอ้ นมำได้สมยั เมื่อพญำกำวลิ ะอยู่ เวยี งปำ่ ซำง คอื กลมุ่ เมืองแถบตะวนั ตกริมแม่น้ำคง ได้แก่ บำ้ นสะตอ๋ ยสอยไร บำ้ นวงั ลงุ วงั กำศ นำ่ จะเป็นกลุ่มชำวลัวะ ชำวเม็ง อกี กลุ่มคอื พวกชำวไตใหญ่จำกเมืองปุ เมืองปั่น เมือง
สำด เมืองนำย เมืองชวำด เมืองแหน กลุ่มที่ตำมมำภำยหลงั ก็คือกลุ่มชำวไตเขินจำกเมือง เชยี งตุง และทยอยกันเข้ำมำอีกระลอกเพ่อื หนภี ัยสงครำมคือกลมุ่ ไตลอื้ ในเขตอำเภอบ้ำนธิ ชำวหลวยจำกบำ้ นออนหลวย ในยุคนนี้ ักประวตั ิศำสตร์ขนำนนำมว่ำยคุ “เก็บผักใส่ส้ำ เกบ็ ขำ้ ใส่เมือง” กำรอพยพยังคงมมี ำอย่ำงตอ่ เหนอ่ื งจนถงึ หลังสงครำมมหำเอเชียบูรพำกำร หลงั่ ไหลถ่ำยเทชำวยอง และชำวล้ือได้สิ้นสดุ ลงเมือ่ มีกำรกำหนดปกั ปนั เขตแดนประเทศไทย - จีน - พม่ำ - ลำวอย่ำงชัดเจน และปัจจบุ ันเมืองยองข้นึ อยู่กับกำรปกครองของสหภำพ พม่ำ คาขวัญจงั หวดั ลาพูน “พระธำตุเด่น พระรอดขลัง ลำไยดงั กระเทยี มดี ประเพณีงำม จำมเทวี ศรีหรภิ ุญชัย” ตราประจาจังหวดั
Search
Read the Text Version
- 1 - 10
Pages: