15 ใบความรู้ท่ี 2 เร่ือง การวิจยั ในช้ันเรียน ********************************** 1. ความหมายของการวจิ ัยในช้ันเรียน คาที่ใชใ้ นการวิจยั ในช้นั เรียนมีหลายคา เช่น การวิจยั ปฏิบตั ิการ (Action research) การวิจยั ใน ช้ันเรียน (Classroom research) การวิจัยของครู(teacher research) และการวิจยั ปฏิบตั ิการในช้นั เรียน (Classroom Action research CAR) เป็นตน้ การวจิ ยั ดงั กล่าวน้ีเป็นการวิจยั ท่ีทาโดยครูท้งั สิ้น การวิจยั ในช้นั เรียนมีความหมายชดั เจนอยู่ในตวั กล่าวคือ เป็ นการวิจยั ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั บริบท และกระบวนการท้งั หลายท่ีเกิดข้ึนในช้นั เรียน เพ่ือให้ครูไดท้ าความรู้จกั และมีความเขา้ ใจเก่ียวกบั การ วจิ ยั ในช้นั เรียนไดอ้ ยา่ งชดั เจน นกั การศึกษาหลายทา่ นไดก้ ล่าวถึงการวิจยั ในช้นั เรียนไว้ ดงั น้ี การวจิ ยั ที่เรียกวา่ Action research คือ การวจิ ยั ที่ทาโดยครู ของครู เพื่อครู และสาหรับครู เป็น การวิจยั ท่ีครูผูด้ ึงปัญหาในการเรียนการสอนออกมา และครูผูซ้ ่ึงแสวงหาขอ้ มูลเพื่อแกป้ ัญหาดงั กล่าว ดว้ ยกระบวนการท่ีเชื่อถือได้ ผลการวิจยั คือคาตอบที่ครูจะเป็ นผูน้ าไปใชใ้ นการแกป้ ัญหาของช้นั เรียน ของตน (อุทมุ พร จามรมาน 2537, 16) การวจิ ยั ในช้นั เรียน เป็นการศึกษาคน้ ควา้ ของครู ซ่ึงจดั วา่ เป็นการปฏิบตั ิงานในช้นั เรียนเพ่ือ แกป้ ัญหา(Problem solving) การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนหรือพฤติกรรมนกั เรียน และคิดวิเคราะห์ (Critical thinking)เพ่ือพฒั นานวตั กรรมการเรียนการสอน (ประวติ เอราวรรณ์ 2542,3) การวจิ ยั ในช้นั เรียน คือ การวิจยั ในบริบทของช้นั เรียนและมุ่งนาผลการวิจยั ไปใชใ้ นการ พฒั นาการเรียนการสอนของตน เป็นการนากระบวนการวิจยั ไปใชใ้ นการพฒั นาครูให้ไปสู่ความเป็น เลิศและมีความเป็นอิสระทางวิชาการ(ทิศนา แขมมณี 2540, 5) การวิจยั ในช้นั เรียน เป็นบทบาทของครูในการแสวงหาวิธีการแกป้ ัญหาตา่ ง ๆ ที่เกิดข้ึนใน บริบทของช้นั เรียนโดยทาพร้อม ๆ กนั ไปกบั การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนตามปกติ ดว้ ย กระบวนการท่ีเรียบงา่ ยและเชื่อถือได้ เพ่ือนามาใชใ้ นการพฒั นาการเรียนการสอนใหม้ ีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชนส์ ูงสุดต่อผเู้ รียน(ครุรักษ์ ภิรมยร์ ักษ์ 2544, 3) การวิจยั ทางการศึกษา (Educational Research) หมายถึง การเสาะแสวงหาความรู้โดยใชว้ ิธีการ ทางวิทยาศาสตร์ ใชก้ ระบวนการวิจยั เชิงปริมาณ หรือเชิงคุณภาพ การออกแบบการวิจยั เชิงทดลอง ก่ึง ทดลอง หรือการวจิ ยั แบบผสมผสาน การวิจัยปฏิบัติการทางการศึกษา (Action Research in Education ) หมายถึง การค้นควา้ หา คาตอบที่เช่ือมโยงทฤษฎีทางการศึกษาสู่การปฏิบตั ิจริงในสถานศึกษา โดยการคิดสะทอ้ น (Reflective นายวชั ระ จนั ทรัตน์ ศึกษานิเทศกช์ านาญการพิเศษ
16 Thinking) การสอนของครู มีลกั ษณะสาคญั คือ เป็นปรับปรุงการปฏิบตั ิงานการศึกษา เป็นการเพิ่มพลงั ความสามารถของครู และเป็นความกา้ วหนา้ ในวชิ าชีพทางการศึกษา การวิจยั ในช้นั เรียน(Classroom Action Research) หมายถึง การสืบสอบเชิงธรรมชาติ (Natural Inquiry) จากปรากฏการณ์ที่เกิดข้ึนในการเรียนการสอน การเรียนรู้ หรือ พฤติกรรมผเู้ รียนโดยท่ีครูเป็น ผวู้ ิจยั ในส่ิงท่ีครูปฏิบตั ิอยู่ มีผเู้ รียน ผบู้ ริหารหรือ ครูในโรงเรียนมีส่วนร่วมในการวิจยั ดว้ ย การวิจยั ในช้ันเรียน หมายถึง กระบวนการแสวงหาความรู้อนั เป็ นความจริงที่เชื่อถือได้ ใน เน้ือหาเกี่ยวกบั การพฒั นาการเรียนการสอน เพ่ือการพฒั นาการเรียนรู้ของนกั เรียนในบริบทของช้นั เรียน สรุปไดว้ า่ การวิจยั ในช้นั เรียน เป็นการศึกษาคน้ ควา้ ของครู เพือ่ แกป้ ัญหาการจดั กิจกรรมการ เรียนรู้ และพฒั นาวธิ ีการ/นวตั กรรมการเรียนรู้ของครู สู่การพฒั นาการเรียนรู้/แกป้ ัญหาของนกั เรียน 2. ความสาคญั ของการวจิ ัยในช้ันเรียน การวิจยั ในช้นั เรียนมีความสาคญั พอสรุป ไดด้ งั น้ี 2.1 เป็นเคร่ืองมือสาคญั ของครูในการพฒั นาวิถีชีวิตความเป็ นครูไปสู่ความเป็ นครูมืออาชีพ เพราะการวิจยั ในช้นั เรียนจะช่วยให้ครูเป็นนกั แสวงหาความรู้และวิธีการใหม่ ๆ อยเู่ สมอ ซ่ึงจะช่วยให้ ครูมีความรู้อยา่ งกวา้ งขวางและลมุ่ ลึก ทางานอยา่ งมีเหตมุ ีผล สร้างสรรคแ์ ละเป็นระบบ 2.2 เป็นเครื่องมือสาคญั ในการพฒั นาหลกั สูตรและการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน ทาให้ งานของครูมีลกั ษณะเป็ นพลวตั มีการเปล่ียนแปลงเคลื่อนไหวกา้ วไปขา้ งหนา้ ไม่หยุดน่ิงอย่กู บั ท่ี เกิด นวตั กรรมที่ทนั สมยั นามาใชใ้ นการแกป้ ัญหาการเรียนการสอนไดท้ นั ท่วงที 2.3 เป็นเครื่องมือสาคญั ที่จรรโลงวิชาชีพครูให้มีความเขม้ แข็ง เพราะผลจากการวิจยั ในช้นั เรียนจะเป็นตวั บ่งช้ีถึงความสาเร็จในการทางานของครูไดอ้ ยา่ งเป็นรูปธรรม นนั่ ก็คือ การเปล่ียนแปลง ไปในทางท่ีพึงประสงค์ของผูเ้ รียนตามท่ีครูตอ้ งการและเป็ นไปตามความคาดหวงั ของสังคมท้งั ตวั ครู และผเู้ รียน 3. ความจาเป็ นของการวจิ ยั ในช้ันเรียน การวิจยั ( Research ) เป็นกระบวนการสากลที่นามาใช้ ในการสืบคน้ แสวงหาคาตอบอย่างมี เหตุผลท่ีเช่ือถือไดจ้ ากขอ้ สงสัยหรือปัญหาต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึน ในบริบทของช้นั เรียนก็เช่นเดียวกนั ความ เป็นจริงท่ีเกิดข้ึนก็คอื ปัญหาต่าง ๆ มากมายท่ีตอ้ งแก้ ไขให้ หมดไปหรือทุเลาเบาบางลงไปให้เหลือนอ้ ย ท่ีสุดเทา่ ท่ีจะทาได้ ดงั น้นั การวิจยั ในช้นั เรียน จึงมีความจาเป็นหลายประการ ดงั น้ี นายวชั ระ จนั ทรัตน์ ศึกษานิเทศกช์ านาญการพิเศษ
17 1. ผเู้ รียนแตล่ ะคนมีความแตกตา่ งกนั ในหลาย ๆ ดา้ น เช่น เพศ สติปัญญา เจตคติ ค่านิยมและ แรงจูงใจ เป็นตน้ เป็นเหตใุ หพ้ ฤติกรรมผเู้ รียนแต่ละคนมีความแตกต่างกนั ดงั น้นั ในการจดั กิจกรรมการ เรียนรู้จึงจาเป็นตอ้ งจดั ให้สอดคลอ้ งกบั ความแตกต่างของผเู้ รียนดว้ ย ซ่ึงปัญหาความแตกตา่ งของผเู้ รียน น้ีมีความจาเป็นอยา่ งยงิ่ ตอ่ การทาวิจยั ในช้นั เรียน 2. สภาพแวดลอ้ มท่ีแตกตา่ งกนั ของผเู้ รียนแต่ละคน ท้งั ในบา้ นและชุมชนที่ผเู้ รียนอาศยั อยู่ ก็ เป็ นสาเหตุท่ีทาให้ผูเ้ รียนแต่ละคนมีพฤติกรรมและปัญหาแตกต่างกนั และส่งผลให้ผูเ้ รียนแต่ละคนมี พฤติกรรมท่ีแตกต่างกนั ถา้ ครูไม่ทาการวิจยั เพ่ือแสวงหานวตั กรรมมาใชใ้ ห้เหมาะกบั ผเู้ รียน ก็เป็นการ ยากที่ท้งั ครูและผเู้ รียนจะประสบความสาเร็จในการจดั กระบวนการเรียนการสอน 3. การพฒั นาหลกั สูตรและการเรียนการสอนเป็นกระบวนการที่ตอ้ งดาเนินการอยา่ งต่อเน่ือง เพื่อให้ผูเ้ รียนไดเ้ รียนรู้และพฒั นาไดอ้ ย่างสมบูรณ์ เต็มศกั ยภาพ ดงั น้ันจึงจาเป็ นตอ้ งทาการวิจยั ในช้นั เรียนอย่างต่อเน่ือง ท้งั ในดา้ นการจดั กระบวนการเรียนการสอน ส่ือการเรียนการสอนหรือนวตั กรรม ตา่ งๆให้ เหมาะสมกบั ศกั ยภาพของผเู้ รียน ประโยชน์ของการวจิ ัยในช้ันเรียน การวิจยั ในช้นั เรียนมีประโยชน์ ดงั น้ี 1. ช่วยให้ครูมีพลงั อานาจในการแกป้ ัญหาในช้นั เรียนเพ่ิมมากข้ึน สามารถแกป้ ัญหาในช้นั เรียนไดท้ นั ท่วงทีและมีประสิทธิภาพ 2. ช่วยใหค้ รูมีความมน่ั ใจในการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนมากข้นึ และจดั กิจกรรมการเรียน การสอนไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ 3. ช่วยให้ครูทางานไดอ้ ย่างเป็ นระบบ ประสบความสาเร็จในการทางาน มีความรู้สึกเป็ น เจา้ ของและภาคภูมิใจในวิธีการที่นามาใช้ 4. ช่วยใหโ้ รงเรียนสามารถกาหนดนโยบายหรือมาตรการต่าง ๆ เก่ียวกบั การพฒั นาลกั สูตร และการเรียนการสอนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม โดยมีผลการวจิ ยั รองรับ 5. ช่วยให้ผูเ้ รียนได้รับการแก้ไขปัญหาและพฒั นาอย่างสมบูรณ์เต็มศักยภาพท้งั ในด้าน ความรู้ความสามารถ ทกั ษะ และคุณลกั ษณะท่ีพงึ ประสงค์ นายวชั ระ จนั ทรัตน์ ศึกษานิเทศกช์ านาญการพเิ ศษ
18 ลกั ษณะสาคัญของการวจิ ยั ในช้ันเรียน การวิจยั ในช้นั เรียนมีความสาคญั ต่อการจดั การเรียนการสอนในปัจจุบนั เป็นอยา่ งมาก ผล ของการวิจยั จะสะทอ้ นและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเก่ียวกบั การปฏิบตั ิการสอนของครู ให้มีความ เหมาะสมกบั ผูเ้ รียน นอกจากน้ียงั มีบทบาทสาคญั ในการพฒั นาวิชาชีพครู ขอ้ คน้ พบท่ีไดจ้ ะก่อให้เกิด การพฒั นาการจดั การเรียนการสอน นอกจากน้ันยงั เป็ นการพฒั นาผูท้ ี่มีส่วนร่วม อนั จะนาไปสู่การ พฒั นาชุมชนแห่งการเรียนรู้ร่วมกนั การวิจยั ปฏิบตั ิการในช้นั เรียนมีลกั ษณะสาคญั ที่ครูจะตอ้ งคานึงถึง ดงั น้ี (กิตติพร ปัญญาภิญโญผล ,2541) 1. ครูผูส้ อนในแต่ละสาระการเรียนรู้ควรเป็ นผูท้ าวิจัย ไม่ใช่นักการศึกษาซ่ึงไม่ได้เป็ นผู้ ปฏิบตั ิการสอนในห้องเรียนจริง ๆ เพราะครูเป็ นผูร้ ับผิดชอบกบั ผูเ้ รียนโดยตรง ได้รู้ ไดเ้ ห็นและได้ สัมผสั ผเู้ รียนของตนเองตลอดเวลา ครูผสู้ อนจึงมีความเหมาะสมที่สุดในการทาวิจยั ในช้นั เรียน ซ่ึงใน การทาวิจยั น้นั ไม่จาเป็นที่ครูแต่ละคนจะตอ้ งทาวิจยั แยกกนั การวิจยั ในช้นั เรียนน้นั ครูสามารถร่วมกนั ทาวจิ ยั เป็นทีมได้ เช่น อาจจะเป็นครูผสู้ อนในระดบั ช้นั เดียวกนั หอ้ งเรียนเดียวกนั แต่สอนต่างกลุ่มสาระ วิชา หรืออาจจะเป็นครูที่สอนในกลมุ่ สาระวชิ าเดียวกนั แตอ่ ยตู่ ่างระดบั ช้นั ก็เป็นได้ 2. ปัญหาในการวิจยั ควรเกิดจากปัญหาท่ีเกิดข้ึนจริงในช้นั เรียนของครูผูส้ อน ซ่ึงเกิดจากการ สังเกตและการรู้จกั วิเคราะห์ปัญหาของผเู้ รียนที่พบขณะที่ปฏิบตั ิการสอน อนั จะนาไปสู่ความสนใจท่ีจะ แกไ้ ขปัญหาการเรียนของผูเ้ รียน ดว้ ยวิธีการของตนเอง ดงั น้ันการวิจยั ในช้นั เรียนจึงไม่จาเป็ นตอ้ งทา เป็นงานวจิ ยั ขนาดใหญ่ หรือนาปัญหาที่เกิดข้ึนในสงั คมมาทาวิจยั แตค่ วรเป็นปัญหาวิจยั ที่เกิดข้ึนภายใน ช้นั เรียนของครูซ่ึงครูคดิ วา่ มีความสาคญั และมีความจาเป็นเร่งด่วนที่ตอ้ งปรับปรุงแกไ้ ขใหท้ นั ท่วงที 3. ใช้กระบวนการวิจยั ทางวิทยาศาสตร์ โดยจะตอ้ งมีการกาหนดปัญหาการวิจยั อย่างชดั เจน และดาเนินการตามข้นั ตอนตามระเบียบวิธีวิทยาการวิจยั มีการหาคุณภาพของเครื่องมือการวิจยั และ สามารถพสิ ูจน์ไดท้ ุกข้นั ตอนการวิจยั 4. กลุ่มตวั อย่างที่ใชใ้ นการวิจยั ไม่จาเป็ นตอ้ งใช้กระบวนการสุ่ม (sampling) เนื่องจากกลุ่ม ตวั อย่างเป็ นผูเ้ รียนท่ีครูตอ้ งการพฒั นาศกั ยภาพ เช่น อาจจะเป็ นผูเ้ รียนที่มีผลสัมฤทธ์ิต่ากว่าเกณฑข์ อง รายวิชา หรือผูเ้ รียนท่ีมีความสามารถและครูตอ้ งการพฒั นาศกั ยภาพให้สูงข้ึนก็ได้ ดงั น้นั แลว้ การเลือก กลมุ่ ตวั อยา่ งอาจใชว้ ิธีการเลือกตวั อยา่ งแบบเจาะจงก็ได้ (purposive sampling) 5. การวิจัยปฏิบัติการในช้ันเรี ยนสามารถใช้วงจร PAOR เพ่ือใช้เป็ นแบบแผนในการ ดาเนินการวิจยั ไดข้ ้นั ตอนการวิจยั เชิงปฏิบตั ิการน้นั สามารถนามาผนวกรวมกบั การจดั กิจกรรมการเรียน การสอนของครูได้ ซ่ึงแสดงให้เห็นว่าการวิจยั ในช้นั เรียน ประกอบดว้ ยข้นั ตอนหลกั 4 ข้นั ตอน ตาม วงจร PAOR ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั การสอนของครู กล่าวคือ 1) การวางแผนการปฏิบตั ิงานตลอดจนการ กาหนดปัญหาที่ตอ้ งการศึกษา (plan) 2) การดาเนินการวิจยั ตามแผนท่ีกาหนดไว้ (Act) 3) การสังเกตผล นายวชั ระ จนั ทรัตน์ ศึกษานิเทศกช์ านาญการพเิ ศษ
19 ที่เกิดข้ึนจากการดาเนินการวิจยั (observe) และ 4) การสะทอ้ นผลหลงั จากการดาเนินการวิจยั เสร็จสิ้น แลว้ เพ่อื ใหเ้ กิดการวพิ ากษข์ องเพ่ือนร่วมงาน (reflect) บทบาทของครู บทบาทของนกั วิจยั วางแผนการสอน วางแผน (Plan) พฒั นา ปรับปรุง จดั กิจกรรมการ ลงมือทาและรวบรวม ปรับแผน แกไ้ ข เรียนการสอน ขอ้ มูล (Act and Observe) ประเมินการสอน สะทอ้ นผล (Reflect) แผนภาพท่ี 6 บทบาทของครูและนกั วิจยั ที่มีความสอดคลอ้ งกนั ตามวงจร PAOR ท่ีมา : กิตติพร ปัญญาภิญโญผล (2541) สรุปไดว้ ่า ลกั ษณะสาคญั ของการวิจยั ในช้นั เรียน เป็ นงานวิจยั ที่ครูเป็ นผูว้ ิจยั เอง ผลการวิจยั สามารถแกป้ ัญหาผูเ้ รียนไดท้ นั เวลา และตรงจุด เป็ นการการคิดสะทอ้ น(Reflective Thinking) ของครู ต่อปัญหาท่ีเกิดในหอ้ งเรียน และการนาเสนอขอ้ คน้ พบและการรับฟังขอ้ เสนอแนะจากกลุ่มครู ข้อจากดั ของการวิจัยในช้ันเรียน การวจิ ยั ปฏิบตั ิการในช้นั เรียนน้นั มีประโยชน์ตอ่ การพฒั นาการเรียนการสอนของครูเป็นอย่าง มาก แต่อยา่ งไรก็ดี กระบวนการวิจยั ในช้นั เรียนก็มีขอ้ จากดั หลายประการเช่นเดียวกนั ดงั มีรายละเอียด ดงั น้ี (พินนั ทร์ คงคาเพชร,2552) 1. มีความจากดั ในการอา้ งอิงผลการวิจยั ไปยงั ประชากร เนื่องจากกลุ่มตวั อยา่ งท่ีไดส้ ่วนใหญ่ จะใชก้ ารเลือกกลุ่มตวั อยา่ งแบบเจาะจง (purposive sampling) และทาในกลุ่มตวั อยา่ งขนาดเลก็ ผลท่ีได้ จึงไม่เป็นตวั แทนของขอ้ คน้ พบ 2. เป็ นการเพิ่มภาระของครูผูส้ อนมากข้ึน ซ่ึงตอ้ งอาศยั ความพยายาม และทุ่มเทกาลงั กาย กาลงั ใจตลอดจนความอดทน เน่ืองจากลกั ษณะงานวิจยั ตอ้ งทาอยา่ งต่อเน่ือง เพอื่ ใหง้ านวจิ ยั เสร็จทนั ตาม เวลาท่ีกาหนด และสามารถนาไปใชไ้ ดต้ ามจุดม่งุ หมายของการวจิ ยั ในช้นั เรียน นายวชั ระ จนั ทรัตน์ ศึกษานิเทศกช์ านาญการพิเศษ
20 3. ความตรงภายนอก (external validity) หรือความถูกตอ้ งของผลการวิจยั ที่สามารถนาไปใช้ กบั กลมุ่ ตวั อยา่ งอื่น ๆ หรือสถานการณ์อื่น ๆ ไดข้ องงานวจิ ยั ในช้นั เรียนจะคอ่ นขา้ งนอ้ ย และไม่ไดใ้ ห้ ความสาคญั เทา่ เทียมกบั ความตรงภายใน (internal validity) ซ่ึงมีอยสู่ ูงกวา่ 4. ตวั แปรภายนอกท่ีผูว้ ิจยั ไม่ไดส้ นใจศึกษาในงานวิจยั ประเภทน้ี จะไม่สามารถควบคุมได้ เหมือนกบั งานวิจยั ประเภทอื่น เนื่องจากการจดั การในช้ันเรียนมีลกั ษณะเป็ นธรรมชาติที่เกิดข้ึนจริง ไม่ไดม้ ีการจดั กระทาของครูผสู้ อน ดงั น้ันขอ้ คน้ พบที่ไดร้ ับอาจไม่สามารถยืนยนั ไดว้ ่ามาจากปัจจยั ใด กนั แน่ 5. เนื่องจากงานวิจยั ในช้นั เรียนน้ัน จาเป็ นตอ้ งกระทาอย่างเร่งด่วน ให้ทนั กบั การใช้งานใน ขณะน้นั จึงอาจส่งผลใหน้ กั วิจยั ขาดความรอบคอบในกระบวนการวิจยั หรืออาจเลือกปัญหาไดไ้ ม่ตรง กบั ปัญหาหลกั ท่ีเกิดข้นึ ในช้นั เรียน บทสรุป กลา่ วโดยสรุปการวิจยั ในช้นั เรียน เป็นการวจิ ยั ท่ีครูผสู้ อนเป็นผมู้ ีบทบาทในฐานะผสู้ อน และผูว้ ิจัย ในอนั ท่ีจะศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อแก้ไขปัญหาท่ีเกิดข้ึนในห้องเรียน ตลอดจนการ ส่งเสริมพฒั นาการเรียนรู้ของผูเ้ รียนโดยครูผูส้ อนในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ เพื่อนาขอ้ มูลที่ได้มา ประกอบ การตดั สินใจในการแกไ้ ข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง พฒั นาและเพ่ิมความรู้ในงานของครูเองให้ มากยงิ่ ข้ึน ท้งั ในดา้ นท่ีเก่ียวหลกั สูตร การบริหาร และการเรียนการสอนในช้นั เรียน การวิจยั ในช้นั เรียน เป็ นการพฒั นาตัวครูและตัวผูเ้ รียนโดยตรง กล่าวคือเม่ือครูได้ทาการวิจัยในช้ันเรียน ครูสามารถ เสริมสร้างความรู้ทางวิชาการสอนแบบใหม่เกิดข้ึน ทาใหผ้ เู้ รียนไดเ้ กิดการเรียนรู้ไดง้ ่าย เกิดสัมฤทธ์ิผล การเรียนรู้ในระดบั สูง มีการพฒั นาการเรียนรู้ไดเ้ หมาะสมตามวยั และทาให้การจดั การศึกษาโดยรวม ของประเทศเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดได้ โดยการดาเนินการวิจยั ใช้รูปแบบการวิจยั ปฏิบตั ิการ (action research) มีลกั ษณะเป็นวงจร PAOR ประกอบดว้ ย 4 ข้นั ตอนคือ 1) การวางแผนการ ปฏิบตั ิงานตลอดจนการกาหนดปัญหาที่ตอ้ งการศึกษา (plan) 2) การดาเนินการวิจยั ตามแผนท่ีกาหนดไว้ (act) 3) การสังเกตผลท่ีเกิดข้ึนจากการดาเนินการวิจยั (observe) และ 4) การสะทอ้ นผลหลงั จากการ ดาเนินการวิจยั เสร็จสิ้นแลว้ เพื่อให้เกิดการวิพากษ์ของเพ่ือนร่วมงาน(reflect) ซ่ึงคุณค่าของการวิจยั ใน ช้นั เรียนส่งผลโดยตรงต่อผเู้ รียนเป็นสาคญั ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแห่งชาติและเป็น ส่วนหน่ึงของการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษใหม่อีกดว้ ย นายวชั ระ จนั ทรัตน์ ศึกษานิเทศกช์ านาญการพิเศษ
21 ใบงานท่ี 2 เรื่อง ความหมายและความสาคัญของการวจิ ยั ในช้ันเรียน ************************************** คาชีแ้ จง ใหท้ า่ นบอกความหมายและความสาคญั ของการวิจยั ในช้นั เรียน ตามความเขา้ ใจของทา่ น 1. ความหมายของการวิจยั ในช้นั เรียน .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... 2. ความสาคญั ของการวิจยั ในช้นั เรียน ไดแ้ ก่ 2.1 ............................................................................................................................................................ 2.2 ........................................................................................................................................................... 2.3 ........................................................................................................................................................... 2.4 ........................................................................................................................................................... 2.5 ........................................................................................................................................................... 3. ประโยชน์ของการวิจยั ในช้นั เรียน 3.1 ............................................................................................................................................................ 3.2 ........................................................................................................................................................... 3.3 ........................................................................................................................................................... 3.4 ........................................................................................................................................................... 3.5 ........................................................................................................................................................... นายวชั ระ จนั ทรัตน์ ศึกษานิเทศกช์ านาญการพิเศษ
Search
Read the Text Version
- 1 - 7
Pages: