รายงานศึกษาชมุ ชนการเรยี นรู้ : กรณหี ลวงพอ่ บึงสามพัน ประวัตคิ วามเปน็ มา และพุทธลกั ษณะของพระพุทธรูป วัดโคกคงสมโภชน์ ตาบลบ้านโภชน์ อาเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์
๒ รายงานศกึ ษาชุมชนการเรียนรู้ : กรณีหลวงพ่อบึงสามพัน ด้วยคณะผู้ท่ีทำกำรศึกษำ มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษำประวัติหลวงพ่อบึงสำมพันให้มีหลักฐำนท่ีชัดเจนและเผยแพร่ให้ประชำชน ผู้ที่มีควำมสนใจ และส่งเสริมกำรเรียนรู้ร่วมกันของคณะบุคคลในชุมชนครูนักเรียนและผู้ท่ีสนใจในศิลปวัฒนธรรมในท้องถ่ินโดยศึกษำจำกองค์หลวงพ่อบึงสำมพันเพื่อ ให้เกิดกำรเรียนรูร้ ่วมกันและสร้ำงควำมภำคภูมใิ จ ตระหนกั ถึงควำมสำคัญศิลปวฒั นธรรมของตนเองนำไปสู่กำรร่วมอนุรักษ์และเรียนรู้รำกเหง้ำที่แท้จริงของตนเอง และสร้ำงชุมชนแห่งกำรเรียนรู้ในท้องถิ่นของตนเองวตั ถุประสงค์ของการศึกษามีดังน้ี ๑. เพ่ือศึกษำประวตั ขิ องชมุ ชนทีเ่ กยี่ วข้องกับหลวงพ่อบงึ สำมพัน ๒. เพ่ือศกึ ษำลกั ษณะขององค์พระหลวงพ่อบึงสำมพนัข้ันตอนการศึกษา มีรายละเอียดดงั น้ี ข้นั ตอนท่ี ๑ เตรยี มควำมพรอ้ มในกำรศึกษำ ในกำรเตรียมควำมพร้อมคณะผูศ้ ึกษำได้ประชุมทำควำมเข้ำใจถึงเป้ำหมำยในกำรศกึ ษำคร้งั นี้ ได้กำหนดวธิ ีกำรศึกษำโดยศึกษำจำกเอกสำรหลักฐำนและลงพื้นที่จริงในกำรสืบค้นควำมเปน็ มำประวัติ และส่ิงที่เกี่ยวข้อง และได้กำหนดประเด็นในกำรศึกษำไว้คือ กำรศึกษำประวัติของชุมชนและควำมเป็นมำขององค์พระหลวงพอ่ บึงสำมพัน และลักษณะขององค์หลวงพ่อบึงสำมพัน เครอ่ื งมือทใี่ ชใ้ นกำรเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่คณะผศู้ กึ ษำได้สนทนำกลุ่มและสรปุ ประเด็นแนวทำงกำรศกึ ษำควำมเปน็ มำของหลวงพอ่ บงึ สำมพัน ๑. สอบถำมผู้สงู อำยุในชมุ ชนท่ีมีควำมน่ำเชือ่ ถอื ๒. ศึกษำขอ้ มลู จำกกรมศลิ ปะ โดยประสำนกับเจำ้ หน้ำทอ่ี ุทยำนประวัตศิ ำสตร์ตรวจสอบข้อมูลเดมิ ท่ีมีอยู่ ๓. ศกึ ษำข้อมูล ภมู ศิ ำสตร์ และภมู ิทำงสังคม ศกึ ษำขอ้ มลู ประวัติศำสตร์เมืองโบรำณทเี่ กีย่ วข้องเพอ่ื ให้เหน็ ควำมเชือ่ มโยง ขั้นตอนที่ ๒ ลงพ้นื ที่เก็บรวบรวมขอ้ มูลเอกสำรหลกั ฐำนต่ำงๆในพ้ืนทีจ่ ริง กำรเก็บรวบรวมข้อมูลจำกเอกสำรตำรำ และสบื ค้นจำกอินเตอรเ์ นต็ และลงพืน้ ท่สี อบถำมข้อมลูจำกผูร้ ู้ สนทนำกลุ่มและบนั ทกึ กำรประชมุ พืน้ ทที่ ศ่ี กึ ษำได้แก่ วดั โคกคงสมโภชน์ อทุ ยำนประวัตศิ ำสตร์ศรเี ทพ และสำนกั งำนกรมศลิ ปะกำรท่ี ๔ จังหวดั ลพบุรี ขนั้ ตอนท่ี ๓ สรปุ ผลกำรศกึ ษำและเขยี นรำยงำนผลกำรศกึ ษำ สรุปผลกำรศึกษำจำกกำรนำข้อมูลท่ีได้จำกกำรสอบถำมผู้รู้ และข้อมูลที่ได้ศึกษำจำกเอกสำรและฐำนข้อมลู อเิ ลก็ ทรอนิกส์ ในเขำ้ สูก่ ำรสนทนำกลุ่มของคณะผสู้ รุปผลกำรศกึ ษำ
๓ ผลการศึกษา ตอนท่ี ๑ ผลการศึกษาประวตั ขิ องชุมชนท่เี กี่ยวข้องกับหลวงพ่อบึงสามพนั ผลกำรศึกษำประวัติของชุมชนทเี่ ก่ียวข้องกับหลวงพ่อบึงสำมพัน ประกอบด้วยประวัตจิ ังหวัดเพชรบูรณ์ ประวัติอำเภอหนองไผ่ ประวัติหมู่บ้ำนโคกคงสมโภชน์และประวัติวัดโคกคงสมโภชน์มีรำยละเอยี ดดังนี้ ประวตั ิจงั หวัดเพชรบูรณ์ หลักฐำนทำงประวัติศำสตร์เมืองเพชรบูรณ์นั้นเริ่มจำก ชื่อของจังหวัดเพชรบูรณ์เม่ือครั้งโบรำณนำ่ จะชื่อวำ่ เมอื ง “เพชบุระ” ตำมทปี่ รำกฏในจำรึกลำนทองคำที่พบจำกเจดีย์ทรงพุ่มข้ำวบิณฑ์ วัดมหำธำตุซ่ึงหมำยถึง เมืองแห่งพืชพันธุ์ธัญญำหำรแต่ในระยะหลังต่อมำแปรเปล่ียนเป็น “เพชรบูรณ์” กลำยควำมหมำยเปน็ เมอื งทีอ่ ุดมดว้ ยเพชร และได้นำไปใชเ้ ปน็ ส่วนหน่งึ ของตรำสญั ลักษณป์ ระจำจังหวดั จำกกำรศึกษำทำงด้ำนประวัติศำสตรแ์ ละโบรำณคดีท่ผี ่ำนมำ พบว่ำมีรอ่ งรอยหลักฐำนกำรต้ังถน่ิ ฐำนของมนุษย์ในพ้ืนท่ีจงั หวัดเพชรบูรณป์ รำกฏอยู่ต้งั แต่สมัยก่อนประวตั ิศำสตร์เร่ือยมำ จนกระท่ังถึงในสมัยประวัติศำสตร์อย่ำงต่อเน่ืองโดยในสมัยก่อนประวัติศำสตร์ท่ีมนุษย์ยังไม่รู้จักกำรใช้ตัวอักษรในกำรบันทึกสื่อสำรและถ่ำยทอดนั้นพบว่ำมนุษย์ในสมัยน้ัน มีกำรดำรงชีวิตอยู่ด้วยกำรหำตำมธรรมชำติอำศัยอยู่ในถ้ำเพิงผำ รู้จักเพำะปลูกพืชบำงชนิด เล้ียงสัตว์ มีเทคโนโลยีในกำรผลิตเครื่องมือเคร่ืองใช้แบบง่ำยๆ เชื่อในเรื่องธรรมชำติ และมีประเพณีกำรฝังศพ จนกระท่ังพัฒนำขึ้นเป็นสังคมเมืองขนำดใหญ่และมีเทคโนโลยใี นกำรผลิตท่ซี ับซ้อนมำกขึ้น เป็นลำดบั บริเวณที่ปรำกฏร่องรอยในสมัยก่อนประวัติศำสตร์นั้น พบหลำยพ้ืนท่ีของจังหวัด ได้แก่ ด้ำนทิศตะวันตกท่ีอำเภอวังโป่ง อำเภอชนแดน พบเครื่องมือเครื่องใช้ประเภทหินขัด เช่น กำไลหินและขวำนหนิ กำหนดอำยุอยูใ่ นรำว ๓,๐๐๐ – ๔,๐๐๐ ปมี ำแล้ว ดำ้ นทศิ ใตท้ ี่อำเภอบงึ สำมพนั อำเภอวเิ ชียรบรุ ีและที่อำเภอศรีเทพ ซึ่งมีเมืองโบรำณศรีเทพ เป็นเมืองท่ีมีพฒั นำกำรมำอย่ำงตอ่ เน่ืองยำวนำน รวมท้ังเปน็ เมืองโบรำณในยุคตน้ ประวตั ิศำสตรท์ ี่มีขนำดใหญ่และเก่ำแกท่ ี่สุดในจังหวัดเพชรบูรณ์ มีอำยุเก่ำแก่ไปกว่ำ ๒,๐๐๐ ปี และยังถือได้ว่ำแหล่งโบรำณคดีท่ีพบบริเวณน้ีมีวัฒนธรรมท่ีเกี่ยวเนื่องกับชุนชนโบรำณในจังหวัดลพบุรีและบริเวณลุ่มแม่น้ำป่ำสักอีกด้วย (คณะกรรมกำรฝ่ำยประมวลเอกสำรและจดหมำยเหตุ, ๒๕๔๓) บริเวณดำ้ นทิศเหนือท่ีอำเภอหล่มสกั อำเภอหล่มเก่ำ และอำเภอเมืองเพชรบูรณ์ ในปัจจุบันได้พบหลักฐำนท่ีเก่ียวเน่ืองกับชุมชนสมยั ก่อนประวัติศำสตรเ์ ช่นเดยี วกัน ท้ังช้นิ สว่ นโครงกระดกู มนุษย์ที่ฝังร่วมกับส่ิงของเครื่องใช้เคร่ืองประดับทำจำกโลหะ แก้ว หิน และพบตะกรันโลหะ ซึ่งเป็นหลักฐำนทำงด้ำนโลหะกรรมในพน้ื ท่ีแถบน้ี (กรมศิลปำกร, ๒๕๔๓) ต่อมำเม่ือมนุษย์รู้จักกำรใช้ตัวอักษรแล้ว ได้ถือว่ำเข้ำสู่ช่วงสมัยประวัติศำสตร์ โดยอำจเริ่มนับตั้งแต่ สมัยท่ีรับวัฒนธรรมทวำรวดี หลักฐำนท่ีปรำกฏชัดเจนในช่วงน้ีได้แก่ที่เมืองศรีเทพ ซึ่งเป็น
๔เมืองโบรำณที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ และมีร่องรอยกำรติดต่อสัมพันธ์กับแหล่งชุมชน ซึ่งมีวัฒนธรรมแบบทวำรวดีในท่ีรำบล่มุ แม่นำ้ ปำ่ สักและแม่น้ำเจ้ำพระยำ มศี ำสนสถำนท่ีเปน็ สถูปเจดยี ์เนือ่ งในศำสนำพุทธ เช่น เขำคลังใน และเขำคลังนอก โบรำณวัตถุท่ีเกี่ยวเนื่องกับศำสนำ ท้ังธรรมจักร พระพุทธรูปและพระโพธิสัตว์จำนวนมำกมีจำรึกอักษรปัลลวะและหลังปัลลวะจำรึกเนื้อหำเกี่ยวศำสนำเป็นส่วนใหญ่ มีอำยุอยูใ่ นช่วง ๑,๒๐๐ – ๑,๔๐๐ ปมี ำแลว้ ในชว่ งประมำณ ๘๐๐ – ๙๐๐ ปีมำแลว้ อทิ ธิพลของเขมรไดแ้ ผม่ ำถงึ เมอื งศรเี ทพเช่นเดียวกันกับ เมืองโบรำณในเขตภำคตะวันออก ภำคตะวันออกเฉียงเหนือ และภำคกลำงของประเทศไทย มีรูปเคำรพและปรำสำทอิทธิพลเขมรสร้ำงข้ึนเนื่องในศำสนำฮินดู เช่น ปรำงค์ศรีเทพ ปรำงค์สองพี่น้อง และปรำงค์ฤำษี จนกระท่ังถึงรัชสมัยของพระเจ้ำชัยวรมันท่ี ๗ กษัตริย์แห่งเขมรที่แผ่ขยำยอำนำจมำถึงยังดินแดนแถบนี้ เมืองศรีเทพก็เจริญอยู่เป็นช่วงสุดท้ำย และหลังจำกนั้นร่องรอยของเมืองเมืองน้ีก็ได้ขำดหำยไป ในช่วงสมัยสุโขทัยเมืองเพชรบูรณ์มีฐำนะเป็นเมืองแว่นแคว้นด้ำนตะวันออกเฉียงใต้ พ่อขุนรำมคำแหงได้แผ่ขยำยอำณำเขตอยำ่ งกวำ้ งขวำงซง่ึ มีข้อควำมตอนหนึ่งกลำ่ วถึงกำรแผ่ขยำยมำถึงพื้นท่ีด้ำนตะวันออกของสุโขทัย ตำมศิลำจำรึกพ่อขุนรำมคำแหงหลักท่ี ๑ ด้ำนท่ี ๔ และศิลำจำรึกหลักท่ี๙๓ วดั อโศกำรำม ดำ้ นที่ ๒ พ.ศ.๑๙๔๙ จำกศลิ ำจำรกึ หลักท่ี ๑ คำวำ่ “ลมุ บำจำย” นั้น เชื่อวำ่ ไดแ้ ก่เมอื งหล่มเก่ำ และศิลำจำรึกหลกัท่ี ๙๓ คำว่ำ “วัชชปรุ ะ” เชอื่ วำ่ เป็นเมืองเพชรบูรณ์ แสดงให้เหน็ วำ่ อำณำเขตของกรงุ สโุ ขทัย ในสมัยพ่อขุนรำมคำแหงมหำรำชและสมัยพระมหำธรรมรำชำลิไทย (พ.ศ.๑๙๑๑) มีเมืองเพชรบูรณ์เป็นรฐั สมี ำ[๓] กอ่ นทกี่ รุงสโุ ขทัยจะรุง่ เรืองข้ึนมำนั้น จำรกึ สโุ ขทัยหลกั ที่ ๒ (จำรึกวดั ศรีชมุ ) ได้ปรำกฏชอื่ พ่อขนุ ผำเมอื ง (โอรสพ่อขนุ นำวนำถมผูค้ รองเมอื งรำด) ร่วมกับพ่อขนุ บำงกลำงหำว ทำกำรยึดเมืองสโุ ขทัยคืนจำกขอมสมำสโขลญลำพง และได้ให้พ่อขุนบำงกลำงหำวเป็นกษัตริย์ครองเมืองสุโขทัยต่อไปชำวเพชรบูรณ์จึงเคำรพนับถือและได้สร้ำงอนุสำวรีย์ของท่ำนไว้ท่ีอำเภอหล่มสัก เพ่ือรำลึกถึงคุณควำมดีของพระองค์สืบไป หลักฐำนทำงโบรำณคดีซึ่งเป็นสิ่งชี้ชดั ว่ำ \"เมืองเพชรบูรณ์\" เป็นรัฐสีมำของสุโขทยั ได้แก่ พระเจดีย์ทรงดอกตูมหรือทรงพุ่มข้ำวบิณฑ์ ของวัดมหำธำตุเมืองเพชรบูรณ์ เช่นเดียวกับวัดมหำธำตุของสุโขทัยเมืองอ่ืนๆ ซ่ึงจัดว่ำเป็นสถำปัตยกรรมแบบสุโขทัยแท้ และในกำรขุดค้นทำงโบรำณคดีที่พระเจดีย์ทรงดอกบัวตูม วัดมหำธำตุ เมืองเพชรบูรณ์ ของกรมศิลปำกร เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐ ได้พบศิลปวัตถุมำกมำยเช่น เครอื่ งสงั คโลกของไทย และเครอ่ื งถว้ ยกบั ตกุ๊ ตำจนี ในสมัยอยุธยำ เมืองเพชรบูรณ์ขึ้นกับกรุงศรีอยุธยำ ในช่วงพระบรมไตรโลกนำถ (พ.ศ.๑๙๙๑-๒๐๓๑) ไดก้ ลำ่ วถึงศักดินำข้ำรำชกำรทมี่ ียศสูงสุด มศี ักดินำหน่งึ หม่นื หนึ่งในนัน้ ไดแ้ ก่ พระยำเพชรรัตนส์ งครำม (ประจำเพชรบรู ณ์) และในชว่ งเวลำเดยี วกัน เมอื งศรถี มอรตั น์ (ศรีเทพ) ขนึ้ ทำเนียบเป็น
๕หัวเมืองรวมอยู่ด้วยผู้ดำรงตำแหน่งผวู้ ่ำรำชกำรเมืองเป็นท่ีพระศรีถมอรัตน์ ตำมชื่อเขำแก้วหรือเขำถมอรัตน์ซงึ่ เป็นเขำสำคัญของเมอื งเมอื งเพชรบูรณ์ยงั ถกู กล่ำวถึงอีกหลำยครั้งในฐำนะหวั เมอื งสำคัญ ดังปรำกฏในพงศำวดำรไทยรบพม่ำ สรุปควำมได้ว่ำในสมัยสมเด็จพระมหำจักรพรรดิได้ถูกพระเจ้ำหงสำวดีบุเรงนองแหง่ พม่ำยกทัพมำตี ไดม้ ีกองทพั จำกพระไชยเชษฐำธิรำชแหง่ นครเวียงจนั ทน์ในฐำนะ ในสมัยพระมหำธรรมรำชำ เกิดเหตุกำรณ์พระยำละแวกเจ้ำแผ่นดินเขมร ยกทัพมำรุกรำนหลำยครั้ง ในพ.ศ.๒๑๒๕ พระยำละแวกส่งทัพโดยมีพระทศรำชำและพระสุรินทรรำชำเข้ำตีเมืองนครรำชสีมำ เมื่อได้แล้วจึงเตรียมเคลื่อนทัพไปตีเมืองสระบุรี ในครำวน้ันสมเด็จพระนเรศวรมหำรำชได้ให้พระศรีถมอรัตน์ (เจ้ำเมืองศรีเทพ สมัยนั้นเรียกว่ำเมืองท่ำโรง) และพระชัยบุรี (เจ้ำเมืองชัยบำดำล)เป็นผู้นำกองทัพหัวเมืองเข้ำร่วมขบั ไลข่ ้ำศึกจนแตกพ่ำยไป สมเด็จกรมพระยำดำรงรำชำนุภำพทรงวิเครำะห์ว่ำเมืองเพชรบูรณ์สร้ำงข้ึนมำ ๒ ยุคบนบริเวณเดียวกัน ยุคแรกคงอยู่ในเวลำที่เมอื งสุโขทยั หรือพิษณุโลกเปน็ ศูนย์กลำงกำรปกครองเพรำะสร้ำงเมืองเอำลำน้ำป่ำสักไว้กลำงเมืองลักษณะเดียวกับเมืองพิษณุโลกแนวกำแพงเมืองกว้ำงยำวด้ำนละ ๘๐๐ เมตรยุคท่ี ๒ น่ำจะสร้ำงข้ึนในสมัยสมเด็จพระนำรำยณ์มหำรำชแห่งกรุงศรีอยุธยำ ด้วยมีป้อมและกำแพงลักษณะเดียวกับป้อมกำแพงเมืองที่สร้ำงที่ลพบุรีเป็นแต่ร่นแนวกำแพงเมืองเล็กลงกว่ำเดิม (รำศีบุรุษรตั นพนั ธุ์, ๒๕๔๑) สมัยกรุงธนบุรี พ.ศ. ๒๓๑๘ กองทัพพม่ำโดยอะแซหวุ่นก้ียกทัพมำตีกรุงธนบุรีได้ล้อมเมืองพิษณุโลกไว้เจ้ำพระยำจักรี (พระบำทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้ำจุฬำโลกมหำรำช) และเจ้ำพระยำสุรสีห์ไดต้ ีฝ่ำนำทพั ออกมำได้ และมำชมุ นุมพักทพั สะสมเสบยี งที่เมืองเพชรบรู ณ์ ในช่วงสมัยตน้ กรุงรัตนโกสินทร์ ชอ่ื เมอื งเพชรบรู ณแ์ ละศรีเทพ (สเี ทพ) ยงั ปรำกฏในเอกสำรสมดุ ไทยดำใบบอกข่ำวกำรสวรรคตของรัชกำลท่ี ๒ ในฐำนะหวั เมอื งข้ึนกรมมหำดไทย ในสมัยรัชกำลท่ี ๓ มีกำรยกฐำนะของเมืองและเปล่ียนช่ือเมืองจำกศรีเทพเป็นวิเชียรบุรีและสร้ำงเมืองหลม่ สกั ข้ึน โดยสมเดจ็ กรมพระยำดำรงรำชำนุภำพสันนิษฐำนวำ่ เดิมบรเิ วณหลม่ เกำ่ มี “เมอื งลม”หรือ “เมืองหล่ม” ในสมัยสุโขทัยซ่ึงเป็นเมืองที่ชำวเวียงจันทน์และหลวงพระบำงมำอำศัยอยู่จำนวนมำกตอ่ มำในสมัยรัชกำลที่ ๔ มีกำรเปล่ียนแปลงนำมเจ้ำเมอื งเพชรบรู ณ์และเมืองวิเชยี รบรุ ี ซ่ึงใชช้ ่ือเดิมมำแต่สมยั อยุธยำ ในสมัยรัชกำลท่ี ๕ ปี มีกำรรวบรวมหัวเมอื งตำมชำยแดนท่ีสำคัญต้ังเป็นเขตกำรปกครองใหม่ข้นึ เป็นมณฑลในปีพ.ศ.๒๔๔๒ มณฑลเพชรบรู ณ์ได้ต้ังขนึ้ เป็นอิสระเน่ืองจำกท้องที่มีภูเขำล้อมรอบกำรคมนำคมกับมณฑลอ่ืนไม่สะดวก ลำบำกแก่กำรติดต่อรำชกำร และโอนเมืองหล่มสัก อำเภอหล่มเก่ำอำเภอวังสะพุง มำขน้ึ กับมณฑลเพชรบูรณ์ ยุบเมอื งวเิ ชียรบุรีเป็นอำเภอ โอนอำเภอบวั ชุม อำเภอชัยบำดำลข้ึนกับเมืองเพชรบูรณ์ มณฑลเพชรบูรณ์จึงมีสองเมือง คือ หล่มสัก กับเพชรบูรณ์ ผู้บริหำรรำชกำร
๖เป็นตำแหน่งข้ำหลวงเทศำภิบำล ผู้ดำรงตำแหน่งคนแรกคือพระยำเพชรรัตน์สงครำม (เฟื่อง)(คณะกรรมกำรฝ่ำยประมวลเอกสำรและจดหมำยเหต,ุ ๒๕๔๐) พ.ศ.๒๔๔๗ ได้ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ และได้ตั้งเป็นมณฑลอีกในปี พ.ศ.๒๔๕๐ และได้ยุบอีกครั้งในปีพ.ศ.๒๔๕๙ จังหวัดเพชรบูรณ์ในขณะน้ันมี ๔ อำเภอได้แก่ อำเภอเมือง อำเภอวัดป่ำ (หล่มสัก)อำเภอวิเชียรบุรี และกิ่งอำเภอชนแดน จนกระท่ัง พ.ศ.๒๔๗๖ ได้ยกเลิกมณฑลต่ำงๆท่ัวประเทศ(คณะกรรมกำรฝ่ำยประมวลเอกสำรและจดหมำยเหตุ, ๒๕๔๐) ในสมัยรัชกำลที่ ๖ มีหลักฐำนเอกสำรแสดงให้เห็นว่ำ ทุกอำเภอมีคนหลำยเช้ือชำติอำศัยอยู่คละกนั ไป ทงั้ ชำวจนี พม่ำ ลำว เขมร เงีย้ ว แขก มอญ มอี ำชพี ทำไร่ยำสูบ ทำนำ ทำไรอ่ ้อยและเลี้ยงไหม ช่วงปลำยสงครำมโลกครั้งท่ี ๒ ในสมัยรัฐบำลจอมพล ป. พิบูลสงครำม ปี พ.ศ.๒๔๘๖ ได้วำงแผนกำรจดั สร้ำงนครบำลเพชรบรู ณ์ เพ่ือเป็นเมอื งหลวงแห่งใหม่ แทนกรุงเทพฯ โดยให้กรงุ เทพฯเป็นเมืองท่ำในขณะเดียวกันก็ใช้เพชรบูรณ์เป็นฐำนทัพในกำรขับไล่ญี่ปุ่นด้วยและต้ังอยู่ในทำเลท่ีเหมำะสมห่ำงจำกกรุงเทพ ๓๔๖ กิโลเมตร สำมำรถติดตอ่ กบั ประเทศจนี โดยผ่ำนพม่ำและลำวได้สะดวกเช่นกันนอกจำกน้ีแล้วหำกเกิดเหตุกำรณ์ในภำวะสงครำม กำรขัดแย้งระหว่ำงประเทศ ญ่ีปุ่น สหรัฐอเมริกำและอังกฤษในขณะน้ัน เพชรบูรณ์จะเป็นสถำนที่ท่ีปลอดภัย แต่เน่ืองจำกระเบียบกำรบริหำร นครบำลเพชรบูรณ์ไม่ผ่ำนควำมเห็นชอบจำกสภำผู้แทนรำษฎรทำให้ต้องยกเลิกไปแต่อย่ำงไรก็ตำมได้มีกำรพฒั นำปรับปรงุ และสร้ำงสิ่งอำนวยควำมสะดวกทัง้ อำคำรสถำนที่ขึ้นมำกมำยในจงั หวัดเพชรบูรณ์ ณช่วงเวลำน้ี และทำให้เป็นทร่ี ้จู กั อยำ่ งกวำ้ งขวำงขนึ้ ในชว่ งระหว่ำงปี พ.ศ.๒๕๑๐ – ๒๕๒๕ บริเวณพ้ืนที่รอยต่อ ๓ จงั หวัด (เพชรบูรณ์ พิษณโุ ลกและเลย) พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยทต่ี ้องกำรยดึ อำนำจและเปล่ียนแปลงกำรปกครอง ได้แทรกซึมและครอบครอง มีผู้ก่อกำรร้ำยเข้ำต่อสู้กับฝ่ำยรัฐบำลหลังจำกท่ีสู้รบเป็นเวลำ ๑๔ ปีเศษรัฐบำลจึงได้รับชัยชนะปัจจุบันจึงยังมีสถำนที่หลงเหลืออยู่เป็นอนุสรณ์บนเทือกเขำค้อท่ีเคยเป็นสมรภูมิกำรสู้รบทำงอุดมกำรณ์ และกลำยเป็นสถำนท่ีท่องเท่ียวอีกแห่งหนึ่งในปัจจุบันหลังจำกน้ันเมืองเพชรบูรณ์ก็มีรูปแบบกำรปกครองดงั เชน่ ในปจั จบุ นั กลำ่ วโดยสรุปได้วำ่ พืน้ ทขี่ องจังหวัดเพชรบูรณ์ มีหลักฐำนกำรปรำกฏอยู่ของชุมชนในแถบลุ่มแม่น้ำป่ำสักมำต้ังแต่สมัยก่อนประวัติศำสตร์ตอนปลำยจำกน้ันได้รับอำรยธรรมจำกภำยนอก ได้แก่วัฒนธรรมทวำรวดีและวัฒนธรรมเขมรโบรำณทำใหช้ ุมชนเหล่ำนน้ั มพี ัฒนำกำรดำ้ นต่ำงๆจนกลำยเป็นสังคมเมืองขนำดใหญ่สืบมำ เม่ือเข้ำสู่ช่วงสมัยสุโขทัย เมืองเพชรบูรณ์มีฐำนะเป็นเมืองแว่นแคว้นของกรุงสุโขทัยและในสมัยกรุงศรีอยุธยำ มีเมืองเพชรบูรณ์และเมืองศรีเทพเป็นเมืองสำคัญและต่อเน่ืองจนถึงช่วงสมัยรัตนโกสนิ ทร์ ต่อมำได้มีกำรเปลี่ยนแปลงและแบ่งเขตกำรปกครองอีกหลำยครงั้ จนครั้งหน่ึงเมืองเพชรบูรณ์เกือบมีฐำนะเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยแทนกรุงเทพฯ ในสมัยจอมพล ป.พบิ ลู สงครำมและหลังจำกนั้นไดม้ ีกำรปรบั ปรุงพัฒนำด้ำนตำ่ งๆมำกมำย จนกระท่ังเป็นเมืองเพชรบรู ณ์
๗ในปจั จุบัน (นำยธวัชชัย ชนั้ ไพศำลศลิ ป์ นักโบรำณคดีปฏิบัติกำร อุทยำนประวตั ศิ ำสตรศ์ รีเทพ ค้นคว้ำเรียบเรียง) ประวตั ิอาเภอหนองไผ่ สมัยก่อน บริเวณหนองไผ่เดิมเรียกว่ำโคกหมำหิว หรือทุ่งหมำหิว ตำบลกองทูล อำเภอวิเชียรบุรีมลี ักษณะเปน็ เนินหรือโคกเป็นป่ำดงดิบ มปี ำ่ ไม้อดุ มสมบูรณ์เป็นปำ่ หนำทึบมำก มีปำ่ เต็ง ปำ่ รงั ป่ำเพ็กปำ่ ไผ่และพนั ธไ์ุ มน้ ำนำชนิดมีสตั ว์ปำ่ อำศยั อยเู่ ป็นจำนวนมำก มที ั้งสตั ว์ใหญ่สตั ว์น้อย มชี ำ้ ง เสือ หมูป่ำหมีเก้ง กวำงเลียงผำ ลิง ชะนี หมำจิ้งจอก และสัตว์อื่น ๆ แทบทกุ ชนิดเยอะแยะมำกมำยเป็นแหล่งล่ำสัตว์และหำสัตว์ป่ำไม่มีบ้ำนผู้คนอำศัยอยู่ คำว่ำ บ้ำนหนองไผ่ มีที่มำจำกภำยในบริเวณหมู่บ้ำนมีหนองน้ำเดิมเป็นหนองช้ำงนอนในสมัยโบรำณจึงเกิดเป็นแอ่งน้ำหรือหนองนำ้ เล็ก ๆมีต้นไผ่ข้ึนล้อมรอบมีชำ้ ง เสือ และสัตว์ป่ำนำนำชนิดเข้ำไปกินน้ำ ช่วงแรกมีบ้ำนเรือนอยู่ ๗ หลัง เม่ือมีผู้คนอพยพเข้ำมำอยูม่ ำกข้ึนจึงเรียกกันต่อ ๆ มำว่ำ บ้ำนหนองไผต่ ่อมำมีกำรขุดขยำยให้ใหญ่และกว้ำงข้ึนเร่อื ย ๆ เพ่ือใช้อุปโภคและบริโภคชำวบ้ำนมักเรียกว่ำ สระกลำงโดยบริเวณท่ีเป็นหนองน้ำนั้นเดิมเป็นที่ของตำทองสีทำสังข์ (ปัจจุบัน มีช่ือเรียกว่ำ สระหลวง เทศบำลตำบลหนองไผ่ปรับปรุงเป็นสถำนที่พักผ่อนของประชำชนอยู่ตดิ กบั ธนำคำรกรงุ ไทย ดำ้ นทิศเหนือ) ประมำณปี พ.ศ. ๒๔๘๑ หนองไผเ่ ร่ิมมีผคู้ นอพยพเข้ำมำจับจองทีด่ ินเป็นท่ีทำกิน ทำไร่ ทำนำโดยใช้วิธีตัดไม้ ถำงป่ำ เพรำะเห็นว่ำเป็นพื้นท่ีอุดมสมบูรณ์แรกๆ มำจำกตำบลกองทูลและตำบลท่ำแดงหลำยครอบครัว ต่อมำมีผู้คนอพยพเข้ำมำอยู่เพ่ิมข้ึนเร่ือย ๆ เช่น มำจำกอำเภอด่ำนซ้ำย จังหวัดเลย จังหวัดพิจติ ร จังหวัดนครสวรรค์ จงั หวดั สระบรุ ี จังหวัดพิษณุโลก จงั หวัดอ่ำงทองเพอื่ บกุ เบิก ถำงป่ำจับจองที่ดินทำกินยังไม่มีเอกสำรสิทธ์ิ ใครถำงป่ำได้มำกก็ได้ครอบครองท่ีดินมำก ใครอยำกทำนำก็ไปถำงป่ำไผ่สำหรับทำนำบำงรำยมีเงินมำกก็จำงถำงป่ำรำคำไร่ละ ๓๐ บำทบำงรำยก็แบ่งขำยต่อรำคำไร่ละ๑๐๐ บำท เพรำะจะได้มีเพ่อื นบ้ำนมำอยู่ใกล้กันบำงรำยก็เข้ำมำรบั จ้ำงเล่ือยไม้ รับจ้ำงถำงป่ำบำงรำยมำขำยของ ขำยสินค้ำเหตุผลสำคัญที่มีผู้อพยพเข้ำมำอยทู่ ี่หนองไผ่ก็เพือ่ จับจองที่ดินทำกินบริเวณหนองไผ่(สระหลวง) มีคนปลูกบ้ำนเรือนอำศัยอยู่เป็นจำนวนมำกตรงที่ตั้งอำเภอเป็นป่ำบริเวณตลำดนำยมำนิตย์ก็เป็นป่ำเป็นบอ่ ลกู รงั มีถนนดินลกู รังเล็กๆมปี ำ่ ไผป่ กคลุมท้ังสองข้ำงทำง อำชพี ของคนส่วนใหญจ่ ะทำไร่ ทำนำ อำหำรกำรกินจะปลูกผักไว้กนิ เองข้ำวโพดรำคำถงั ละ ๗ บำทข้ำวเปลอื กรำคำถังละ ๕ บำทเสอ้ื ผ้ำทอใสเ่ องปลูกฝ้ำยเองมีอปุ กรณท์ อผ้ำเองผำ้ ทท่ี อได้ใช้ต้นหม้อฮ่อมตน้ ครำมมำตำแลว้ เอำนำ้ มำย้อมผ้ำสำหรับทอ บริเวณตลำดแสงอำทิตย์ แต่เดิมเป็นวัดป่ำซ่ึงมีหลวงพ่อดำมำสร้ำงวัดและชำวบ้ำนได้บริจำคท่ีดินคนละเล็กละน้อยยกให้เพื่อสร้ำงวัด อยู่มำไม่นำนก็ได้มีกำรฟ้องร้องสู้คดีเกี่ยวกับที่ดินตั้งแต่ตลำดแสงอำทิตย์ถึงทำงแยกต้นประดู่ เชื่อกันว่ำบริเวณศำลเจ้ำพ่อดำเป็นจุดที่ฝังบำตรของท่ำนและท่ำนได้
๘สำปแช่งจึงทำใหบ้ ริเวณตลำดแสงอำทิตย์ไม่มีใครกล้ำสร้ำง เพรำะใครมำสร้ำงจะเสียชีวติ หลำยคน ต่อมำชำวบำ้ นได้ร่วมแรงร่วมใจกนั สร้ำงศำลเจ้ำพ่อดำจนแล้วเสร็จ อย่ำงทเ่ี ห็นอยูท่ กุ วันนี้ สิ่งศักด์ิสิทธท์ิ ี่ชำวหนองไผ่เคำรพกรำบไวต้ ้ังแต่เริ่มแรกคอื เจำ้ บำ้ นหรอื เจำ้ ที่เดิมเจ้ำแม่นำงเวินและเจ้ำพ่อรำกหวำยอย่ทู ่ีบำ้ นกองทูล ชำวบำ้ นไปเชญิ เจำ้ พอ่ รำกหวำยมำชว่ ยปกปกั รักษำชำวหนองไผ่เช่ือกันว่ำเจ้ำพ่อรำกหวำยเป็นพ่ีน้องกับเจ้ำแม่นำงเวินและได้เปล่ียนช่ือเป็นเจ้ำพ่อศรีเทพ บ้ำนหนองไผ่เป็นหมู่บ้ำนหน่ึงในสี่หมู่บ้ำน (๑.บ้ำนวังชงโค ๒.บ้ำนกองทูล ๓.บ้ำนน้ำเขียว ๔.บ้ำนหนองไผ่) ผู้ใหญ่คนแรกต่อมำผู้ใหญจ่ ำปำไดช้ ักชวนชำวบำ้ นช่วยกันสร้ำงวัดหนองไผ่ซ่งึ บริเวณภำยในวัดสมัยนน้ั ยังเป็นป่ำอยู่คนท่ีบริจำคท่ีดินสร้ำงวัด คือ นำยเซ่ียะ แก่นจันทร์หอม เม่ือมีบ้ำนเพ่ิมข้ึนหลำยหลังหลำยหมู่บ้ำนมีจำนวนครอบครัวและจำนวนคนมำกข้ึนมีกำรสร้ำงถนนเล็กๆมีกำรสร้ำงหอ้ งแถวมรี ้ำนค้ำ คือร้ำนเจ๊กฮง(ตรงธนำคำรกรุงไทย) ร้ำนเจ๊กซำน (ตรงร้ำนสุนันทำ) และร้ำนเจ๊กเต ต่อมำมีกำรสร้ำงตลำดตลำดแห่งแรกคือ ตลำดรัตนชัย เดิมเป็นบ่อลูกรัง ปลัดรัตน์ พรหมประเสริฐเป็นผู้สร้ำงสมัยนั้น ปลำทู ๔ เข่ง ๑๐ บำทมะเขือรำคำ ๓ กิโลกรัม ๑ บำท มีโรงไฟฟ้ำ (บริเวณ สนง.ท่ีดิน) สำหรับป่ันไฟจ่ำยไปตำมบ้ำนเรือนและปิดเวลำเที่ยงคืนของทุกวัน ปี พ.ศ. ๒๔๗๙ มีกำรสรำ้ งโรงเรียนแห่งแรก ชอ่ื โรงเรียนบำ้ นหนองไผ่(ปัจจุบันชื่อโรงเรียนอนุบำลหนองไผ่ ) เปิดทำกำรสอนคร้ังแรกเม่ือวันที่ ๒๔ พฤษภำคม ๒๔๙๗ เป็นโรงเรียนสำขำของโรงเรียนบ้ำนกองทูล โดยกำรนำของนำยเท่ียง สุขำวดี ศึกษำธิกำรอำเภอวิเชียรกับนำยยศ สำระถ้อย กำนันตำบลกองทูล ได้สงวนที่ดินไว้ลูกสร้ำงโรงเรียน มีเนื้อที่ ๒๗ ไร่ ๒ งำนอำคำรเรียนหลังแรกเป็นอำคำรเรียนชัว่ ครำว หลังคำมุงแฝก ฝำฟำกมี ๒ หอ้ งเรยี น มนี ักเรียน ๓๐ คนมี ป.๑ และ ป.๒ มีนำยยุทธ ทองเพง็ เป็นผบู้ ริหำรคนแรก เม่ือถึงประเพณีตรุษสงกรำนต์หน่มุ สำวจะมำรวมกลุ่มกันหลังจำกทำบุญตกั รบำตรแล้วจะเล่นสงกรำนต์ในวดั มีกำรละเลน่ มอญซ่อนผำ้ เลน่ ลูกช่วง เล่นเสอื ตวี ัว เล่นกะทกลกกระโดดเชอื กช่วงบำ่ ย๔ – ๕ โมง จะมพี ิธีสรงนำ้ พระและเล่นสำดนำ้ กนั ในบริเวณวัด เวลำกลำงคนื จะจุดตะเกียงเจ้ำพำยุเล่นโดยจะรวมกนั ออกเงนิ จนครบ ๔ บำท เพ่ือไปซื้อน้ำมันก๊ำด บำงวนั จะไปเล่นสำดน้ำโดยเดินไปกันเป็นกลุ่ม เลน่ แลว้ ก็ชวนกันไปรดน้ำดำหัว ปู่ ย่ำ ตำ ยำย สมยั ก่อนยังไม่มีโรงพยำบำล มีแต่สุขศำลำ (ตง้ั อยู่บริเวณ กศน. ในปัจจุบัน) มีหัวหน้ำอนำมัยอยูป่ ระจำ ๑ คนผดุงครรภ์ ๑ คน คือ หมอเพียงใจ สุวรรณภำเวลำเจ็บป่วยต้องไปรักษำท่ีโรงพยำบำลเพชรบูรณ์ น่ังรถโดยสำรรับจ้ำงไปโดยมีรถรับจ้ำงวันละเท่ียวเดินทำงกัน ๑๐ ช่ัวโมง บำงคนก็ใช้ลอ้ เกวียนเดินทำงเป็นวัน ต่อมำเม่ือวันที่ ๑ มกรำคม พ.ศ. ๒๕๐๔หนองไผไ่ ด้รบั กำรยกฐำนะขึ้นเป็นกิ่งอำเภอหนองไผ่ โดยมนี ำยสมบูรณ์ อมรบุตร เปน็ หัวหน้ำกิง่ อำเภอหนองไผ่ คนแรก มีเขตกำรปกครอง ๓ ตำบล ได้แก่ ต.กองทูล ต.กันจุ และ ต.บ้ำนโภชน์ และในวันท่ี๑๔ กรกฎำคม พ.ศ.๒๕๐๔ ได้รับโอนตำบลนำเฉลียง ตำบลท่ำแดง ของอำเภอเมืองเพชรบูรณ์มำขึ้นกับกิ่งอำเภอหนองไผ่ด้วย และเมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎำคม ๒๕๐๖ ได้มีพระรำชกฤษฎีกำยกฐำนะกิ่งอำเภอหนองไผ่ เป็น อำเภอหนองไผ่ โดยมี ร.ต.ต.ประทวน สิทธิธูรณ์ (หรือสทิ ธิกุล) เป็นนำยอำเภอคนแรก
๙และมีกำรจดั ต้ังเปน็ สขุ ำภิบำลตำมประกำศกระทรวงมหำดไทยในรำชกิจจำนุเบกษำ เลม่ ที่ ๘๑ ตอนที่๑๐๗ ลงวันท่ี ๓ พฤศจิกำยน พ.ศ. ๒๕๐๗ กำรคมนำคม ไปมำหำสู่กันโดยกำรเดินหรือใช้รถจักรยำนใช้ล้อเกวียนลักษณะถนนเป็นดินลูกรัง ต่อมำในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ รัฐบำลได้ตัดถนนเป็นเส้นทำงจำกตำบลวงั ชมพู อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ ไปอำเภอชัยบำดำล จังหวัดลพบุรี ซ่ึงต่อมำเรียกว่ำ ถนนสำยสระบรุ ี–หล่มสกั กำรเดินทำงไปจังหวัดเพชรบูรณ์ใช้เวลำเดินทำงนำนมำกมีรถรับจำ้ งโดยวิ่งมำจำกวิเชียรบุรีมำหนองไผ่ ไปเพชรบูรณ์หำกจะไปอำเภอวเิ ชียรบุรีถ้ำไม่ไปทำงรถยนตก์ ็ตอ้ งน่ังเรอื ไปโดยไปขึ้นเรือทีก่ องทลู สมัยกอ่ นมกี ำรจ้ี ปล้นกันมำกมีทงั้ กำรปล้นววั ปล้นควำยปลน้ ร้ำนคำ้ ขโมย ชิงทรพั ย์ มีคดีปล้นคดีฆ่ำเกิดขึ้นแทบทุกวันสถำนีตำรวจภูธรหนองไผ่เป็นอำคำรไม้เล็ก ๆชั้นเดียว มี ร.ต.ท.จรัส สุขวัฒน์เปน็ หวั หนำ้ สถำนีตำรวจภธู รหนองไผ่ คนแรก ปฏบิ ัติหนำ้ ท่ไี ด้ไม่ถงึ ๑ เดอื นกถ็ ูกโจรปลน้ รถเมลย์ ิงเสยี ชวี ติ ปี ๒๕๐๖ สรำ้ งกำรไฟฟ้ำส่วนภูมภิ ำค ปี ๒๕๐๗ ก่อสร้ำงโรงเรียนหนองไผ่ เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษำระดับอำเภอเปน็ โรงเรียนสหศึกษำท้ังน้ีมีสำเหตุมำจำกในปีกำรศึกษำ ๒๕๐๖ นักเรียนท่ีจบกำรศึกษำระดับช้ันประถมศึกษำปีที่ ๗ ของอำเภอหนองไผ่ ไม่มโี รงเรยี นในระดบั มัธยมศึกษำทีจ่ ะศึกษำต่อภำยในอำเภอกำรเดินทำงไปศึกษำต่อท่ีอำเภอเมืองน้ัน ระยะทำงไกลมำก กำรคมนำคมไม่สะดวกผู้ปกครองนักเรียนจำนวนหนึ่งได้ทำหนังสือไปที่อำเภอหนองไผใ่ ห้อำเภอทำเรอื่ งขออนุญำตเปิดโรงเรียนมัธยมศึกษำในปีกำรศกึ ษำ ๒๕๐๗ โดยมีเงื่อนไขวำ่ ทำงอำเภอตอ้ งจัดหำทดี่ ินจำนวนไม่นอ้ ยกวำ่ ๓๕ ไร่และจะตอ้ งสร้ำงอำคำรเรียนชั่วครำว ซึ่งทำงอำเภอได้ดำเนินตำมเง่ือนไขท้ัง ๒ ประกำรได้สำเร็จโดยจัดสรรที่ดินสำหรับตั้งโรงเรียนบนเนื้อที่ ๘๐ไรเ่ ป็นที่ดินสงวนของกระทรวงมหำดไทยซง่ึ สงวนไวส้ ำหรบั ต้งั สถำนทร่ี ำชกำรของอำเภอสำหรบั อำคำรเรียนน้ันทำงพ่อคำ้ ประชำชนและข้ำรำชกำรได้ร่วมกนั จัดงำนวันครู (๑๕-๑๗ มกรำคม ๒๕๐๗) เพื่อหำรำยไดเ้ ป็นค่ำใชจ้ ่ำยในกำรกอ่ สร้ำงและสร้ำงได้สำเร็จเรียบร้อยเป็นอำคำรไม้ชั้นเดียว ๔ ห้องเรยี นทำงกรมสำมญั (กรมวิสำมัญศึกษำเดิม) ได้แต่งต้ังให้ นำยชนินทร์ สุพลพิชิต ครูโทโรงเรียน เพชรพทิ ยำคมอำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ ดำรงตำแหน่งครูใหญ่โรงเรียนหนองไผ่ และได้บรรจุแต่งต้ัง นำยธีรรัตน์ กิจจำรักษ์ วุฒิ กศ.บ.ดำรงตำแหน่งครูตรี โรงเรียนหนองไผ่อีก ๑ คน โรงเรียนเปิดทำกำรเรียนกำรสอนคร้ังแรกเม่ือปีกำรศึกษำ ๒๕๐๗ โดยเร่ิมแรกมีช้ัน ม.ศ.๑ จำนวนนักเรียน ๑๙ คน เป็นชำย๑๖ คน หญงิ ๓ คนนำยธรี รตั น์ กจิ จำรักษ์ เป็นครปู ระจำชัน้ ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ นำยเปลง่ จุลเนตร นำยอำเภอหนองไผส่ มัยนัน้ ไดเ้ ขำ้ มำดพู ื้นที่และทำกำรขดุสระเพื่อกักเกบ็ น้ำสำหรบั ทำน้ำประปำ ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ สรำ้ งสถำนีอนำมยั หนองไผใ่ นเน้ือที่ ๘ ไร่ เม่ือสรำ้ งเสรจ็ นำยอำเภอเปล่งจุลเนตร ได้เชิญชวนนำยแพทยภ์ ชุ งค์ วีรพลิน ซ่ึงปฏบิ ตั ิงำนอยู่ทีส่ ถำนีอนำมัยหล่มสกั มำประจำที่สถำนีอนำมัยหนองไผ่
๑๐ ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ได้เปล่ียนช่ือจำกสถำนีอนำมยั หนองไผเ่ ป็นโรงพยำบำลหนองไผ่ขนำด ๑๐ เตียงมนี ำยแพทย์ภุชงค์ วรี ผลนิ เปน็ ผอู้ ำนวยกำรโรงพยำบำลหนองไผ่คนแรก พ.ศ. ๒๕๑๙ อำเภอหนองไผ่ยกที่ดินให้อกี ๑๗ ไร่ รวมเปน็ ๒๕ ไร่ เพื่อขยำยเปน็ โรงพยำบำลขนำด ๓๐ เตยี ง ปี พ.ศ. ๒๕๓๒ ผ้ใู หญ่บำ้ นและชำวบำ้ นได้รวมตวั กนั ขอแยกหม่บู ำ้ นออกจำกตำบลกองทูลกรมกำรปกครอง กระทรวงมหำดไทย ไดอ้ นมุ ัตแิ ละตั้งตำบลใหม่ เป็นตำบลหนองไผ่ ประกอบด้วย๑๐ หมูบ่ ำ้ น ไดแ้ ก่ หมู่ ๑ บำ้ นหนองไผใ่ ต้ หมู่ ๒ บำ้ นพงษเ์ พชร หมู่ ๓ บ้ำนสะพำนกลำงดง หมู่ ๔ บำ้ นหนองไผ่หมู่ ๕ บำ้ นประดู่ หมู่ ๖ บ้ำนเนินมะกอก หมู่ ๗ บำ้ นหนองไผ่เหนือ หมู่ ๘ บำ้ นคลองศรีเทพ หมู่ ๙ บ้ำนคลองยำงหมู่ ๑๐ บ้ำนลำพำด มนี ำยสมพร ไม้สงู เปน็ กำนนั คนแรกหนองไผ่ ตอ่ มำกระทรวงมหำดไทยได้ประกำศไดย้ กฐำนะสุขำภิบำลหนองไผ่ เป็นเทศบำลตำบลหนองไผ่ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภำคม พ.ศ.๒๕๔๒ ตำมประกำศรำชกิจจำนุเบกษำ เล่ม ๑๑๖ ตอนท่ี ๑๕ก. ลงวันท่ี ๑๐ มิถุนำยน พ.ศ. ๒๕๔๒ (ตำนำนหนองไผ่ เรียบเรียงจำกคำบอกเล่ำของผู้สูงอำยุในชุมชนหนองไผต่ ำมโครงกำรสร้ำงสุขภำวะให้ผสู้ ูงอำยุโดยผู้เฒำ่ เล่ำตำนำน ลูกหลำนจดบนั ทกึ ค้นจำกเวป็ ไซต์ของเทศบำลอำเภอหนองไผ)่ ประวตั ิวัดโคกคงสมโภชน์ วัดโคกคงสมโภชน์ ต้ังอยู่ เลขท่ี ๓๓๓ บ้ำนโภชน์ หมู่ ๑ ตำบลบ้ำนโภชน์ อำเภอหนองไผ่จังหวัดเพชรบูรณ์ อำณำเขต ทิศเหนือติดกับบ้ำนเรือนรำษฎร ทิศใต้ติดกับที่ดินของนำยบัว ทิศตะวันออกติดกับทำงหลวงแผ่นดินหมำยเลข ๑๐๐๓ ทิศตะวันตกติดกับองค์กำรบริหำรส่วนตำบลบ้ำนโภชน์ห่ำงจำกจังหวัดเพชรบูรณ์ ๖๕ กิโลเมตรมีควำมสำคัญทำงโบรำณสถำน เป็นมรดกทำงวัฒนธรรมสำคัญประเภทกลุ่มของสิ่งก่อสร้ำงโบรำญสถำนมีควำมสำคญั ทำงประวัตศิ ำสตร์ เป็นวัดประจำหม่บู ้ำนสร้ำงขึ้นเมื่อประมำณ พ.ศ. ๒๒๑๔ จำกกำรสมั ภำษณ์ผู้ใหญ่ทองม้วน สิทธิสงค์ ผู้ใหญ่บ้ำนหมู่ ๑ ตำบลบ้ำนโภชน์อำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ เดิมวัดนี้ชำวบ้ำนเรียกว่ำ วัดโพธ์ทิ อง ต่อมำสมัยพระครูพิทักษ์ โภชคำม (คง) เป็นเจ้ำอำวำสจึงมกี ำรเปลี่ยนชอื่ วดั ใหม่โดยเอำช่ือหมู่บำ้ นและช่ือเจำ้ อำวำส (คง) มำเช่ือต่อกันเป็นนำมของวันน้ี และได้รับพระรำชทำนวิสุงคำมสีมำในรำวพ.ศ. ๒๒๒๖ วัดโคกคงสมโภชน์เคยเปิดสอนปริยัตธิ รรมแกพ่ ระภกิ ษุสงฆ์ เม่ือปี พ.ศ. ๒๕๑๗ แต่ปัจจุบันไม่ได้เปิดสอนแล้วมี พระกฤษณะปญั ญำวุฒโิ ธ เป็นเจ้ำอำวำส ลักษณะและรปู แบบทางศิลปะสถาปตั ยกรรม พระอโุ บสถเปน็ อำคำรกอ่ อิฐถือปนู หนั หนำ้ ไปทำงทศิ ตะวนั ออก ต้งั อยู่ฐำนสเ่ี หลยี่ มบัวลกู แก้วมีประตูทำงเข้ำออกทิศตะวันตกด้ำนเดียวไม่มีบำนประตูเป็นอุโบสถแบบมหำอุดไม่มีหน้ำต่ำงมีบันใดทำงขึ้น ๒ ขั้นขนำดกว้ำง ๐.๙๐ เมตรยำวประมำณ ๑.๔ เมตร พระอุโบสถมีขนำด ๓ ห้องกว้ำงประมำณ
๑๑๖.๓๐ เมตรยำวประมำณ ๑๐.๒๐ เมตร แต่เดิมเคร่ืองบนเป็นไม้ หลังคำมุงด้วยกระเบื้องกำบกล้วย(ขนำดกว้ำง ๐.๙ เมตร) ต่อมำเม่ือประมำณ ๕ – ๖ ปีที่ผ่ำนมำได้บูรณะซ่อมแซมใหม่เปลี่ยนจำกกระเบ้ืองกำบกล้วยมำเป็นกระเบ้ืองซีเมนต์แบบปัจจุบันผนังด้ำนในยังคงรักษำสภำพเดิมบำงส่วนและยังคงเหลือภำพจิตรกรรมฝำผนังเพียงบำงส่วนปรำกฏให้เห็นที่ผนังด้ำนทิศใต้เป็นภำพเล่ำเร่ืองทศชำติชำดก ภำยในพระอุโบสถบนฐำนชุกชีประดิษฐำนพระพุทธรูปปูนป้ันปำงมำรวิชัยประทับน่ังขัดสมำธิรำบบนฐำนบัวหงำยซ้อน ๓ ช้ัน เป็นพระพุทธรูปศิลปะรัตนโกสินทร์ เลียนแบบช่ำงศิลปะอยุธยำฝีมือช่ำงท้องถิ่นขนำดหน้ำตักกว้ำงประมำณ ๑.๖๐ เมตร สูง ๒.๔ เมตร ทำด้วยปูนปั้นลงรักปิดทอง นอกจำกนี้บนฐำนชุกชียังเปน็ ท่ีประดิษฐำนพระพุทธรูปขนำดเล็กประทับน่ังปำงมำรวิชยั และปำงสมำธิขัดสมำธิรำบเป็นพระพุทธรูปไม้ สภำพสวนใหญ่ชำรุด เศียรและพระวรกำยหักหำย ประทับน่ังเรียงรำยรอบองค์พระประธำนและยังมีสมุดข่อยวำงอยูข่ ้ำงๆ จิตรกรรมฝำผนัง ภำยในพระอุโบสถวัดโคกคงสมโภชน์ เป็นภำพจิตรกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เขียนเร่ืองทศชำติชำดก ถัดต่อมำอีกส่วนเป็นภำพจิตรกรรมท่ีไม่สำมำรถบอกรำยละเอียดได้เพรำะสภำพลบเลอื น เจดยี ์ เป็นเจดยี แ์ บบย่อมุมจำนวน ๑๑ องค์ อยดู่ ้ำนหน้ำพระอโุ บสถดำ้ นทิศตะวนั ออกจำนวน๕ องค์ ทำงด้ำนทศิ ใต้ของพระอโุ บสถจำนวน ๖ องค์ เป็นฝมี ือช่ำงท้องถ่ิน เจดีย์ ท่ีอยู่ด้ำนหน้ำพระอุโบสถด้ำนทิศตะวันออก เป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูน ลักษณะเป็นฐำนส่ีเหล่ยี มย่อมุมถดั ขน้ึ ไปเป็นชดุ ฐำนสงิ หส์ ลับกับฐำนบัวหงำย ต่อขึ้นไปเป็นฐำนบัวหงำยรับองค์ระฆัง ซึ่งมีท้ังทรงกลมและกลีบมะเฟือง ต่อด้วยบัลลังก์และปล้องไฉน เจดีย์องค์ที่ ๔ นับจำกด้ำนทิศเหนือเปน็ เจดียท์ รงปรำงค์ เจดีย์ดำ้ นทศิ ใต้ของพระอโุ บสถ เป็นเจดียก์ ่ออฐิ ถอื ปูนเหมอื นดำ้ นทิศตะวนั ออก ลักษณะเป็นฐำนสี่เหลี่ยมย่อมุม แตล่ ะองค์มีสภำพชำรดุ หักพังลงมำศำลำกำรเปรียญ สภำพเดิมเป็นหอ้ งโถงขนำดกวำ้ งประมำณ ๑๓.๐๐ เมตรยำวประมำณ ๖.๐ เมตรยกพ้ืนสูงหลังคำซ้อนต่อปีกย่ืนออกมำปจั จบุ ันได้รับกำรปรับปรุงโดยปรับเสำไม้ให้ตรงและรอื้ พืน้ ไปใช้เป็นศำลำหลังใหม่ และปรบั พืน้ ทีบ่ รเิ วณศำลำใหม่ กฏุ ธิ รรมเป็นอำคำรเรือนไทยประยุกต์หลงั คำมงุ ดว้ ยสงั กะสีจำนวน ๒ หลังปัจจบุ ันปล่อยทง้ิ ร้ำง ประวตั พิ ระพทุ ธรูปหลวงพ่อบึงสามพัน หลวงพ่อบึงสำมพันเป็นพระพทุ ธรูปองค์หนึ่งที่มคี วำมศักดิส์ ิทธ์ิควรแกก่ ำรบชู ำมีประวัติควำมเป็นมำอันยำวนำน เป็นพระพุทธรูปโบรำณเป็นปำงสมำธิ ขัดสมำธิรำบบนฐำนปัทม์ ขนำดหน้ำตักกว้ำงประมำณ ๑๙ น้ิว สูง ๓๑ นิ้ว สันนษิ ฐำนว่ำน่ำจะสรำ้ งขึ้นในสมยั อยุธยำตอนต้น (สำนักงำนวฒั นธรรมจงั หวดั เพชรบูรณ์ กระทรวงวฒั นธรรม, ๒๕๔๙ : ๑๖๔- ๑๖๖) และ สันนิษฐำนว่ำ สรำ้ งข้ึนในสมยั กรุงสุโขทัยตอนปลำย (สมัยกรุงสุโขทัย พ.ศ.๑๗๙๒ - ๑๙๘๑) เนื้อเป็นทองสำฤทธิ์ท้ังองค์มีพุทธลักษณะ
๑๒งดงำม มำกเป็นหน่ึงใน ๙ องค์ของประเทศ ที่ผุดขึ้นจำกน้ำ ไม่ทรำบแน่ชัดว่ำผู้ใดสร้ำง พบท่ีบึงสำมพันปัจจุบัน ประดิษฐำนอยู่ที่ วัดคงสมโภชน์ ตำบลบ้ำนโภชน์ อำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นเวลำประมำณ ๓ อำยุคน รำว ๒๕๐ ปี หรือประมำณ ปี พ.ศ.๒๓๐๖ เรยี กชื่อตำมแหลง่ ทพ่ี บว่ำ หลวงพอ่ บึงสำมพันจำกคำบอกเล่ำของ ปู่ ย่ำ ตำ ยำย เล่ำให้ลูกหลำนฟังต่อๆกันมำหลวงพ่อบึงสำมพัน ได้มำจำกบึงสำมพันตำบล บ้ำนโภชน์ อำเภอหนองไผ่ จงั หวัดเพชรบูรณ์ ปัจจุบนั บึงสำมพัน ได้แยกจำกตำบลบ้ำนโภชน์เป็นตำบลซับสมอทอด เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๙ ต่อมำก็ได้แยกเป็นอำเภอบึงสำมพัน เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๒ ปจั จุบันหลวงพ่อบึงสำมพันได้ประดิษฐำนอยู่ วัดคงสมโภชน์(วัดโพธิ์ทอง) หมู่ที่ ๑ ตำบลบ้ำนโภชน์อำเภอหนองไผ่ จงั หวัดเพชรบรู ณ์ ต่อมำไม่ทรำบวำ่ ปีพ.ศ.เทำ่ ไร่ไดม้ ีคนร้ำยมำขโมยหลวงพ่อบึงสำมพันแต่เอำไปไมไ่ ด้ จึงได้เอำเกตหุ ลวงพอ่ บึงสำมพันไปจึงไม่มเี กตุตั้งแต่นนั้ มำ ต่อมำปี พ.ศ. ๒๕๑๖ หลวงพ่อเวินเจ้ำอำวำสวัดคงสมโภชน์ จึงได้เดินทำงไปขอเกตุพระพุทธรูปท่ีวัดมหำธำตุจังหวัดสุโขทัยมำสวมใส่ไว้เหมือนองค์เดมิ ดงั น้นั บำงรูปภำพเก่ำๆและองคห์ ลวงพอ่ บงึ สำมพนั ทจี่ ำลองมำอำจจะมเี กตุและไมม่ ีเกตุ เร่ืองเกี่ยวกับอภินิหำรหลวงพ่อบึงสำมพัน สมัยก่อนได้มีมิจฉำชีพมำโจรกรรม แต่ไม่สำมำรถนำหลวงพ่อบึงสำมพันออกจำกวัดได้จงึ ได้หำวิธีขโมยเกตุหลวงพ่อไป เป็นพระเสี่ยงทำย ดวู ำสนำ และโชคชะตำได้สมัยโบรำณปไี หนฝนแล้งเอำหลวงพอ่ บึงสำมพันแห่สรงน้ำฝนกจ็ ะตก เวลำเจบ็ ป่วยไข้ หรือผีสงิ เอำนำ้ มนตใ์ ห้อำบ กนิ แลว้ หำย ใครคลอดลูกยำก ขอน้ำมนต์ หลวงพ่อบงึ สำมพัน ไปกนิ คลอดง่ำยกนั เภทภัยอนั ตรำยหลำยอยำ่ ง แล้วแต่จะอธษิ ฐำนเอำ งำนประเพณี ในเดือนเมษำวันท่ี ๑๔ เมษำยน ของทุกปมี ีงำนประเพณสี รงน้ำ หลวงพ่อบึงสำมพัน เป็นประจำปี (พระครเู วฬุคณำรกั ษ์ : หลวงพอ่ เวนิ ) อดตี เจำ้ คณะอำเภอหนองไผ่ (ผ้ใู ห้ขอ้ มูล)
๑๓ ตอนที่ ๒ ผลการศึกษาลกั ษณะขององค์พระหลวงพ่อบึงสามพัน ผลกำรศกึ ษำลักษณะขององค์หลวงพ่อบงึ สำมพนั ประกอบด้วยรำยละเอียดของลกั ษณะขององค์พระและกำรเปรียบเทยี บพุทธลกั ษณะในสมยั ต่ำงๆมีรำยละเอยี ดดังน้ี ภำพถำ่ ยหน้ำตรงหลวงพอ่ บึงสำมพนั ลักษณะของพระพุทธรปู หลวงพ่อบึงสำมพนั มีรำยละเอียดดังน้ี 1. พระรศั มเี ป็นรปู เปลวไฟ (ไม่ใช่ของเดมิ ไดน้ ำทำเพ่ิมทห่ี ลงั จำกคำบอกเลำ่ ของผู้ใหญบ่ ้ำน) 2. พระอุษณษี ะเปน็ ต่อมกลมเสมอ 3. เมด็ พระศกเล็กและแหลมเปน็ หนำมขนุนอย่ำงชดั เจน 4. ไมม่ ีเส้นคน่ั ระหวำ่ งพระเกศำและพระนลำฏ 5. พระขนงโกง่ เปน็ คนั ธนู 6. พระพกั ตร์มีลักษณะเปน็ วงรปู ไข่แต่ค่อนขำ้ งเหลี่ยม 7. ครองจีวรห่มเฉียง 8. ปลำยสังฆำฏิแถบใหญย่ ำวจรดพระนำภีปลำยตดั ตรง 9. ฐำนพระพทุ ธรูปเปน็ แทน่ เรยี บตดั ตรงมีขอบดำ้ นล่ำง ด้ำนบนมลเป็นแบบเรยี บ
๑๔ 10. พระนำสิกโดง่ สนั คม 11. พระเนตรเล็กเรยี ว เหลือบตำ่ 12. พระโอษฐใ์ หญห่ นำ 13. พระกนั เรยี บยำวภาพถา่ ยหน้าตรง ภาพถ่ายด้านขา้ งภาพถ่ายด้านหลงั ภาพถ่ายด้านขา้ ง
๑๕บนั ทกึ ใตฐ้ ำนพระพทุ ธรูป ดงั รปู กำรบันทึกอกั ษร สำมำรถอ่ำนบนั ทกึ วันท่ีโบกปูนและเจียรไวว้ ่ำ ๙ เมษำยน ๒๕๐๕ และเขยี นบันทึกแบบจนั ทรคติ ๕ ๒ ฯ ปีขำล ๖ เมอ่ื เปรียบเทยี บวนั เดือนปีในปฏทิ ิน ๑๐๐ ปี พบวำ่ ตรงกบั วันจันทร์ ขนึ้ ห้ำคำ่ เดือนห้ำ ผลการศกึ ษาจากเอกสาร ตารา พทุ ธลกั ษณะ มีรายละเอียดดงั น้ี กำรศึกษำจำกเอกสำรตำรำเกี่ยวกับพุทธลักษณะมีควำมคำบเก่ียวกับระหว่ำงสมัยสุโขทัยกับสมัยอยุธยำซึ่งมีข้อสันนิษฐำนว่ำพระพุทธรูปหลวงบึงสำมพันอยู่ในช่วงสมัยอยุธยำกับสมัยสุโขทัยจึงอธิบำยรำยละเอยี ดดังน้ี สมยั สุโขทยั (ปลำยพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๘ - ๒๐) งำนศลิ ปกรรมสมยั สโุ ขทัยเกี่ยวข้องกบั พระพุทธศำสนำแบบเถรวำททร่ี บั อิทธพิ ลมำ จำกลังกำและพม่ำ นิยมแบ่งพระพุทธรูป สโุ ขทยั ออกเปน็ ๔ หมวด คือ ๑. หมวดแรก เป็นพระพุทธรูปท่มี อี ิทธพิ ลของศลิ ปะปำละ ซึง่ รับผ่ำนมำจำกอำณำจักรพุกำมในประเทศ พม่ำ มลี กั ษณะพระพักตร์กลม พระโอษฐ์ย้มิ พระวรกำยอวบอว้ น ชำยสงั ฆำฏิสั้นอยู่เหนือพระถนั ๒. หมวดใหญ่ หมำยถึง หมวดท่ีมีกำรสร้ำงอย่ำงแพร่หลำย ได้รับอิทธิพลในกำรสร้ำงจำกศิลปะลังกำและพัฒนำรูปแบบจนมีลักษณะเฉพำะของตัวเองเกิดขึ้น ซ่ึงถือกันว่ำงำมท่ีสุดของศิลปะในประเทศไทยลักษณะที่สำคัญของพระพุทธรูปหมวดใหญ่คือ นิยมแสดงปำงมำรวิชัย ประทับนั่งขัดสมำธิรำบเหนือฐำนหน้ำกระดำนเกลี้ยง มีพระพักตร์รูปไข่ ขมวดพระเกศำเล็ก พระรัศมีเป็นเปลว พระขนงโก่ง พระเนตรเหลอื บลงต่ำ พระนำสกิ โด่ง พระโอษฐย์ ม้ิ ชำยสงั ฆำฏิยำวลงมำจรด พระนำภี ๓. หมวดกำแพงเพชร พบมำกแถบเมืองกำแพงเพชร มีลักษณะคล้ำยหมวดใหญ่ แต่มีส่วนท่ีตำ่ งกัน ไดแ้ ก่ พระนลำฏ (หนำ้ ผำก) กว้ำง พระหนุเส้ยี ม ขมวดพระเกศำเลก็ มำก พระรัศมเี ปน็ เปลวสงู
๑๖ ๔. หมวดพระพุทธชินรำช ได้แก่ พระพุทธรูปสกลุ ชำ่ งเมอื งพษิ ณโุ ลก ซึง่ มลี กั ษณะท่ตี ำ่ งจำกหมวดใหญเ่ ลก็ น้อยคือ พระพักตร์อวบอว้ นมำกกว่ำ และทส่ี ำคัญคือ กำรทำปลำยนวิ้ พระหตั ถ์ท้ัง ๔ยำวเสมอกนั ซงึ่ เป็นลักษณะเฉพำะของพระพุทธรปู ในหมวดน้ี พระพุทธรูปสมัยนี้เปน็ ฝีมือช่ำงไทยสมัยเมื่อกรุงสโุ ขทยั เปน็ รำชธำนี หรือสมัยรำชวงศพ์ ระร่วงครองกรุงสุโขทัย ในสมัยนี้ได้รับพระพุทธศำสนำอย่ำงลังกำวงศ์เข้ำมำประพฤติปฏิบัติในประเทศน้ีเพรำะเวลำนั้นพระพุทธศำสนำในลังกำทวีปกำลังเจริญรุ่งเรือง พระสงฆ์ลังกำในครั้งนั้นทรงพระธรรมวินัยรอบรู้พุทธวจนะวิเศษกว่ำพระสงฆ์ประเทศอื่นๆ เป็นเหตุให้พระสงฆ์ไทย มอญ พม่ำ และเขมร พำกันไปศึกษำพระศำสนำในลังกำทวีปเป็นอันมำก เม่ือพระสงฆ์ไทยกลับมำยังได้ชักชวนพระสงฆ์ชำวลังกำมำอยู่ในประเทศนี้ด้วย ช้ันแรกมำอยู่ทำงเมืองนครศรีธรรมรำช แล้วภำยหลังข้ึนไปต้ังสำนักอยู่ในกรุงสุโขทัย และต่อไปจนถึงเชียงใหม่ ชำวประเทศน้ีจึงได้รับแบบอย่ำงเจดีย์ลังกำมำสร้ำงกันแพร่หลำยตง้ั แต่สมัยนั้น รวมทั้งแบบอย่ำงพระพุทธรูปด้วย ข้อนี้มหี ลักฐำน ด้วยพระพุทธรูปโบรำณในประเทศนี้ต้ังแต่ก่อนลังกำวงศ์เข้ำมำ ไม่มีทำเกตุมำลำยำวเป็นเปลวเลย เพ่ิงมีขึ้นในสมัยน้ีเป็นครั้งแรกพระพุทธรูปที่มีเกตุมำลำเป็นเปลวนั้น เป็นแบบอย่ำงช่ำงลังกำเป็นผู้คิดขึ้นก่อน แปลกกว่ำแบบอย่ำงพระพทุ ธรปู ในประเทศอืน่ พระพุทธรปู สมยั สโุ ขทัย ทำเป็น ๓ ยุค
๑๗ ยุคแรก มกั ทำวงพระพักตรก์ ลมตำมแบบพระพุทธรูปลงั กำ เชน่ พระอฏั ฐำรสในวิหำรวดั สระเกศบดั นี้ ซ่งึ นำมำจำกวัดวหิ ำรทอง จังหวัดพษิ ณุโลก เปน็ ต้น ยคุ กลำงเมื่อฝีมือชำ่ งเช่ยี วชำญข้ึน คิดแบบขึ้นใหมท่ ำวงพระพักตรย์ ำว พระหนุเสี้ยม เชน่ พระร่วงท่ีพระปฐมเจดยี ์และพระสุรภพี ทุ ธพิมพ์ในพระอุโบสถวดั ปรินำยก พระพทุ ธรปู ตำมแบบยุคที่ ๒ น้ีมีมำกกว่ำยุคแรก ยคุ ท่ี ๓ หรอื ยุคหลังเห็นจะเป็นในรัชกำลพระมหำธรรมรำชำลิไทย ซ่ึงในตำนำนกล่ำวว่ำเอำเป็นพระธุระบำรุงกิจในพระพุทธศำสนำย่ิงกว่ำรัชกำลก่อนๆให้เสำะหำช่ำงที่ฝีมือดี ทั้งในฝ่ำยเหนือและฝ่ำยใต้มำประชุมปรึกษำกัน ทรงสอบสวนหำหลักฐำนพุทธลักษณะในคัมภีร์พระไตรปิฎกประกอบ คิดสร้ำงพระพุทธรูปเพื่อจะให้วิเศษที่สุดท่ีจะทำได้ จึงเกิดพระพุทธรูปแบบสุโขทัยขึ้นอีกอย่ำงหนึ่ง เช่น พระพุทธชินรำชและพระพุทธชินสีห์ ทำวงพระพักตร์รูปไข่ หรือทำนองผลมะตูมคล้ำยแบบอินเดียเดิมแต่งำมยิ่งนัก และแก้ไขพุทธลักษณะท่แี ห่งอ่ืนไปตำมตำรำ เชน่ ทำปลำยนว้ิ พระหัตถย์ ำวเสมอกันทั้ง ๔ นิ้วเป็นต้น พระพุทธรูปแบบน้ีทำกันแพร่หลำยข้ึนไปจนข้ำงเหนือและลงมำข้ำงใต้ แต่ท่ีทำได้งำมเหมือนพระพทุ ธชินรำชและพระพทุ ธชนิ สีหซ์ ่ึงเป็นตน้ ตำรำน้ันมนี อ้ ย ลกั ษณะพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย พระพุทธรูปสมัยนี้ทำเกตุมำลำยำว เส้น พระศกขมวดก้นหอย โดยมำกไม่มีไรพระศก พระ โขนงโกง่ พระนำสิกงุ้ม พระหนเุ สี้ยม หวั พระถันโปน สังฆำฏิยำว มกั มีปลำยเป็น ๒ แฉกย่น ขัดสมำธริ ำบ ฐำนเป็นฐำนหน้ำกระดำนเกล้ียงเป็นพื้น ตอนกลำง แอ่นเข้ำไปข้ำงใน ผิดกับฐำนเชียงแสนซึง่ โค้งออก มำข้ำงนอก ไม่ใคร่ทำบัว ถ้ำมีบัวก็เป็นบัวหงำย บัวคว่ำชนิดบัวฐำนพระพุทธชินรำช ทำเป็นปำง ต่ำงๆ ตำมพระอิริยำบถ คือ ๑. ปำงไสยำ ทำทั้ง ด้วยโลหะและปูนปั้น ๒. ปำงลีลำ ทำด้วยศิลำ โลหะและปูนปั้น ๓. ปำงประทำนอภัย มีท้ังยก พระหัตถ์ข้ำงเดียวและสองข้ำง ทำด้วยโลหะและปูนปั้น ๔. ปำงมำรวิชัย ขัดสมำธิรำบ ทำด้วยโลหะและปูนป้ัน ๕. ปำงถวำยเนตร ทำด้วยโลหะ ๖.ปำงสมำธิ ทำดว้ ยโลหะ ปำงนี้มีน้อยทำแตม่ ำรวิชยั เป็นพ้ืน
๑๘ สมยั อยุธยา กำรสรำ้ งพระพุทธรูปในสมยั อยุธยำ สำมำรถแบ่งออกไดเ้ ปน็ ๒ ชว่ ง คือ ๑. พระพุทธรปู ศิลปะแบบอทู่ อง ( พุทธศตวรรษที่ ๑๘ - ๒๐ ) พระพุทธรูปสมัยอู่ทองมีลักษณะงดงำมและกล้ำหำญอย่ำงนักรบ เข้มแข็งดูน่ำเกรงขำมพระวรกำยสูงชะลูด พระเศียรมีสัณฐำนรูปคล้ำยบำตรคว่ำ พระเกศำเป็นหนำมขนุนละเอียดกว่ำสมัยสุโขทัยมำก มีไรพระศกเป็นกรอบรอบวงพระพักตร์ พระพักตร์แบน พระหนุกว้ำงเป็นรูปคำงคน พระเกตุมำลำเป็นเปลวบ้ำง เป็นแบบฝำชีครอบบ้ำง พระนลำฎกว้ำง สังฆำฏิสั้นเหนือพระถันคล้ำยสมัยเชยี งแสนสิงห์หน่ึงก็มี ส่วนใหญ่สงั ฆำฏิจะแบนยำวลงมำจรดพระนำภี ปลำยสังฆำฏติ ัดตรงก็มี เฉียงก็มีเป็นแฉกเข้ียวตะขำบก็มี มีขอบอันตรวำสก(สะบง)ชัดเจน น่ังขัดสมำธิรำบเป็นส่วนใหญ่หรือขัดสมำธิเพชรก็มี(มีน้อย) ปำงมำรวิชัยหรือปำงสมำธิ(มีน้อย) ฐำนเป็นแบบหน้ำกระดำน ๑ - ๒ ช้ันมีสันเกล้ียงแอ่นเขำ้ ขำ้ งใน และมที ง้ั ฐำนบวั คว่ำบวั หงำย หรือบัวหงำยอยำ่ งเดียวอีกด้วย พระพุทธรปู ศลิ ปะแบบอ่ทู องนยี้ งั แบง่ ออกเปน็ ๓ รุ่นอีก คอื รุ่นแรก มีลักษณะพระพักตร์ค่อนข้ำงเหล่ียม พระนลำฏกว้ำง มีไรพระศก ควำมกว้ำงของพระนลำฏรับกับแนวพระขนงที่ต่อกันคล้ำยรูปปีกกำ พระรัศมี เหนืออุษณีษ์รูปคล้ำยดอกบัวตูมทรงครองจีวรเฉียง มีสังฆำฏใิ หญป่ ลำยตัด ประทับขัดสมำธริ ำบ พระหตั ถ์แสดงปำงมำรวชิ ัย ร่นุ ที่ ๒ พระรัศมีเปลีย่ นมำเป็นรปู เปลว บำงองค์มีพัฒนำกำรเดน่ ชดั ของชำยสังฆำฏิแยกออกคล้ำยเขยี้ วตะขำบ ซ่ึงมีอยู่ก่อนในพระพุทธรปู แบบสุโขทัย รุ่นที่ ๓ อิทธพิ ลของศลิ ปะสุโขทัยเพ่ิมมำกข้ึน พระพักตรร์ ูปไข่เกิดจำกพระนลำฏแคบเช่นเดียวกับพระพักตรร์ ูปไข่ของพระพุทธรูปแบบสุโขทยั พระวรกำยเพรียวบำงกวำ่ รุ่นก่อนจึงดูว่ำเก่ียวข้องกับควำมงำมของพระพทุ ธรปู แบบสุโขทัยยงิ่ ขนึ้ ๔ (สนั ติ เล็กสุขุม, ๒๕๔๔) ๒. พระพุทธรูปสมยั อยธุ ยำ (พุทธศตวรรษท่ี ๒๐ - ๒๓ ) พระพุทธรูปในสมัยน้ีส่วนใหญ่มีพระพักตร์เป็นรูปสี่เหลี่ยมแบบอู่ทองบำงองค์พระพักตร์เป็นรูปไข่ตำมแบบสมัยสุโขทัยมีเกตุมำลำเป็นรัศมีเปลว ชำยจีวรใหญ่และยำวถึงพระนำภีปลำยตัดเส้นตรง ส่วนมำกมีพระศก และยังพบพระพทุ ธรปู ทรงเครื่องในสมัยนีอ้ ีกด้วย สมยั ศรอี ยธุ ยา (ระหว่ำง พ.ศ. ๑๘๙๓ - ๒๓๒๕) พระพุทธรูปสมัยนี้ เป็นของช่ำงฝีมือช่ำงไทยคร้ังสมัยพระนครศรีอยุธยำเป็นรำชธำนีทำแบบอย่ำงต่ำงกันเป็น ๒ ยุค ยุคแรกนิยมทำตำมแบบขอม แต่เอำอย่ำงขอมเฉพำะวงพระพักตร์เท่ำนั้นยุคน้ีเรียกว่ำฝมี ือชำ่ งสมัยอู่ทองนับเวลำตั้งแต่ก่อนสร้ำงกรุงศรอี ยุธยำมำจนถึงแผ่นดินพระบรมไตรโลกนำรถ (พ.ศ.๒๐๓๑)
๑๙ ลักษณะ เกตุมำลำยำว เส้นพระศกละเอียด มีไรพระศกเป็นกรอบรอบวงพระพักตร์ พระหนุปำ้ นเปน็ รูปคำงคน สังฆำฏยิ ำว ชำยอนั ตรวำสกขำ้ งบนเปน็ สนั ขัดสมำธิรำบ ฐำนหนำ้ กระดำนเป็นรอ่ งและแอ่นเข้ำไปข้ำงใน ลักษณะเหมือนกนั ทง้ั น้นั ต่ำงแต่ในช้ันหลังมำทำพระพกั ตรย์ ำวกว่ำชั้นกอ่ นเท่ำน้นั ยุคหลังต้ังแต่แผ่นดินสมเด็จพระรำมำธิบดีท่ี ๒ (พ.ศ. ๒๐๓๔ จน พ.ศ. ๒๓๒๕) ลักษณะ ทำวงพระพักตร์ และเกตุมำลำตำมแบบอย่ำงสมัยสุโขทัยท้ังน้ัน ต่ำงแต่โดยมำกมีไรพระศก และสังฆำฏิใหญ่ กับถ้ำทรงเคร่ือง เกตุมำลำทำเป็นอย่ำงก้นหอยหลำยๆช้ันบ้ำง เป็นอย่ำงมงกุฎเทวรูป แบบสมัยลพบุรีบ้ำงเท่ำนั้น ทำเป็นปำงต่ำงๆ ดังนี้ คือปำงไสยำ ทำด้วยโลหะและปูนป้ัน ปำงมำรวิชัย ขัดสมำธิรำบ และสมำธิเพชร (แต่มีน้อย) ทำด้วยศิลำ โลหะ และปูนปั้น ปำงสมำธิ ขัดสมำธิรำบ ทำด้วยศิลำโลหะ และปนู ป้นั ปำงประทำนอภัย มีทง้ั อย่ำงยกพระหัตถข์ ้ำงเดียวและสองขำ้ ง ทำดว้ ยโลหะ ปำงปำลไิ ลยกะ ทำดว้ ยโลหะและปูนป้นั ปำงลีลำ ทำดว้ ยโลหะ ศิลปะสมัยอยุธยำ ในยุคนี้มีกำรรับเอำ ศิลปะสมัยอู่ทอง มำเป็นแม่แบบผสมผสำนกับ ศิลปะสมยั สุโขทยั จึงกลำยเปน็ ศลิ ปะสกลุ ชำ่ งอยธุ ยำ-อู่ทอง ซึง่ ก็คือ ศิลปะสมัยอยธุ ยำยุคต้น เพรำะเปน็ กำรนำเอำศิลปะท่ีทรงอำนำจของ อู่ทอง ที่แฝงไว้ด้วยควำมอ่อนหวำนของ สุโขทัยและควำมอุดมสมบูรณ์ของ เชียงแสน แต่เน่ืองจำกอิทธิพลของ ศิลปะอู่ทอง ยังคงมีอยูม่ ำกพระพุทธรูปจึงแสดงออกทำงพระพกั ตร์ (ใบหน้ำ) ซึ่งก็คือกำรแสดงถึงพลังอำนำจออกมำชัดเจนโดยมคี วำมอ่อนโยนแฝงไว้ คอื กำรแย้มพระสรวล (ยิ้ม) สว่ น พระสันวรกำย (ร่ำงกำย) ค่อนข้ำงอันเป็นสัญลักษณ์ของ พระพุทธรูปสมัยเชียงแสนซึง่ มีรำยละเอียดของพระพทุ ธลักษณะโดยสรุปดังน้ี ๑. พระพกั ตร์เป็นรูปสเ่ี หล่ยี ม รมิ พระโอษฐ์ (ริมฝีปำก) ค่อนขำ้ งกวำ้ งและแบะออกแบบศิลปะลพบรุ ี ๒. พระขนง (ค้วิ ) โก่งและจดกันเป็นรปู ปกี กำ ๓. พระเนตร (ดวงตำ) เหลือบต่ำลกั ษณะยำวรีและ เปลือก พระเนตร (เปลือกตำ) หนำ ๔. ไรพระศก (ไรผม) เป็นเมด็ เล็กปลำยเป็นเกลยี วแหลมในลกั ษณะของหอยเจดยี ์ ๕. พระนำสกิ (จมูก) ใหญ่ ๖. ขอบพระกรรณ (ขอบหู) ส่วนบนจะโคง้ มนคลำ้ ยกับใบหูมนุษย์ ตงิ่ พระกรรณ (ต่ิงหู)ยำวเป็นปลำยแหลมจดถึงพระพำหำ (หวั ไหล)่ ๗. กรอบพระพักตร์ มที ั้งแถบใหญ่และเส้นขนำดเล็กเปน็ เส้นขนำนกัน ๒ เส้นหรือ ๒ ชัน้ ๘. ครองจวี รหม่ เฉวยี งบำ่ มีสำยรดั ประคดท้ังดำ้ นหน้ำและด้ำนหลงั ชำยสงั ฆำฏิดำ้ นหน้ำยำวจด พระนำภี (หน้ำท้อง) ปลำยสงั ฆำฏิตดั ตรง ๙. ส่วนมำกเป็นปำงสมำธริ ำบ ปำงมำรวิชัยก็มแี ตน่ ้อยมำก จงึ สรุปได้ว่ำ ศิลปะสมัยอยุธยำยุคต้น ซ่ึงก็คือ ศลิ ปะอยุธยำสกุลช่ำงอยุธยำ-อู่ทองระยะแรกที่ยังมีอิทธิพล ของ ศิลปะอู่ทอง เน่ืองจำกยังไม่มีกำรคลำยตัว ลง นอกจำกน้ียังมีอิทธิพลของ ศิลปะ
๒๐สุโขทัย และ ศิลปะเชยี งแสน เขำ้ มำผสมผสำนเพียงเล็กนอ้ ยศลิ ปะอยุธยำยคุ ต้นสกุลช่ำง อยุธยำ-อู่ทองระยะปลำย มีอำยุอยู่ในรำว พ.ศ. ๑๙๕๒-๑๙๙๑ ตั้งแต่รัชสมัยของ สมเด็จพระนครินทรำธิรำช(สมเด็จพระเจำ้ นครอินทร์) ถงึ รัชสมยั สมเด็จพระบรมรำชำธิรำชที่ ๒ (สมเด็จเจ้ำสำมพระยำ) จึงเป็นศิลปะอยุธยำยุคต้นสกุลช่ำงอยุธยำ-อู่ทองระยะปลำย เน่ืองจำกอิทธิพลของ ศิลปะอู่ทอง คลำยตัวลงศิลปะสุโขทัย จงึ เขำ้ มำผสมผสำนมำกขน้ึ ส่วนเหตุท่ี ศิลปะสุโขทยั เขำ้ มำผสมผสำนแทนที่ ศิลปะอูท่ องก็มิใช่เรื่องแปลกใหม่แต่ประกำรใดเพรำะเหตุกำรณ์ทำงประวัติศำสตร์ บ่งบอกได้เป็นอย่ำงดีในเร่ืองควำมสัมพันธ์ระหว่ำง กรุงศรีอยุธยำ และ กรุงสุโขทัย คือระยะนั้นนอกจำก กรุงศรีอยุธยำจะมีอำนำจเ ห นื อ ก รุ ง สุ โ ข ทั ย แ ล้ ว ค ว ำ ม สั ม พั น ธ์ ท ำ ง ด้ ำ น เ ค รื อ ญ ำ ติ ซึ่ ง ก็ คื อ ก ำ ร อ ภิ เ ษ ก ส ม ร ส ร ะ ห ว่ ำ งพระมหำกษัตริย์อยุธยำ กับ พระรำชเทวี พระมเหสีท่ีมีเช้ือสำยของ กษัตริย์สุโขทัย มีมำทุกสมัยนับต้ังแต่รัชสมัยของ สมเด็จพระบรมรำชำธิรำชท่ี ๑ (ขุนหลวงพะง่ัว) ทรงมีพระมเหสีเป็น เจ้ำหญิงแห่งรำชวงศ์สุโขทัย (รำชวงศ์พระร่วง) คือทรงเป็น พระขนิษฐำ (น้องสำว) ของ พระมหำธรรมรำชำลิไท และในรัชสมัยของ สมเด็จพระนครินทรำธิรำช (สมเด็จพระเจ้ำนครอินทร์) ก็ทรงมีพระมเหสีเป็นเจ้ำหญิงรำชวงศ์สโุ ขทัย และทรงมีพระโอรส ๓ พระองคค์ ือ เจ้ำอำ้ ยพระยำ เจ้ำย่ีพระยำ และ เจำ้ สำมพระยำ ท่ีถือเป็นรัชทำยำทโดยชอบธรรม ดังนั้นเมื่อ พระมหำธรรมรำชำท่ี ๔ (พระบรมปำล) เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. ๑๙๘๑ สมเด็จพระบรมรำชำธิรำชที่ ๒ (สมเด็จพระเจ้ำสำมพระยำ) จึงทรงพระกรุณำโปรดเกล้ำฯ ให้พระโอรส สมเด็จพระรำเมศวร (ต่อมำคือสมเด็จพระบรมไตรโลกนำถ) เสด็จฯไปปกครองเมอื งพิษณโุ ลกเปน็ กำรผนวกเอำ กรุงสุโขทัยขึน้ ตรงต่อกรุงศรีอยุธยำโดยสมบูรณ์ ด้วยเหตุน้ีจึงเป็นกำรส้ินสุดควำมเป็นอำณำจักรสุโขทัยตั้งแต่บัดน้ันเป็นต้น มำท่ีกล่ำวมำก็คือควำมเป็นมำของกำรนำอิทธิพล ศิลปะสุโขทัย เข้ำมำผสมผสำนใน ศิลปะอยุธยำ แทนท่ี ศิลปะอู่ทอง ที่เริ่มคลำยตัวลงแล้วก่อกำเนิดเกิดเป็น ศิลปะอยุธยำยุคต้นสกุลช่ำงอยุธยำ-อู่ทองระยะปลำย ที่สำมำรถจำแนกออกเป็น ๒ สำยสกุลช่ำงคือ สกุลช่ำงสุโขทัย และ สกุลช่ำงอยุธยำ อีกทอดหนึ่งโดย ศิลปะสกุลช่ำงสุโขทัย นั้นเป็นผลให้ ศิลปะอยุธยำยุคต้น มีพระพุทธลักษณะคล้ำย พระพุทธรูปสมัยสุโขทัยยุคปลำยคือพระพักตร์เป็นวงรีคล้ำยรูปไข่ที่เรียกว่ำ พระพุทธรูปหน้ำนำง เพรำะมีพระรัศมีเป็นเปลวเพลิงทรงสงู พล้ิวอ่อนไหว และมีเพียงครึ่งซีกไรพระศกเป็นแบบเม็ดไข่ปลำผ่ำ ซีกและหนำมขนุน พระเกตุมำลำเป็น ต่อมเตี้ยกว่ำสกุลช่ำง อยุธยำกรอบพระพักตร์เป็นแถบใหญ่ พระขนงโก่งจดกันแบบสุโขทัย พระเนตรยำวเรียวคล้ำยตำหงส์แบบสุโขทัย พระโอษฐ์ เรียวเล็ก พระนำสิกโด่งไม่งองุ้ม ห่มจีวรเฉวียงบ่ำประทบั นง่ั ขัดสมำธริ ำบ แสดงปำงมำรวิชยั (https://thaiart.wikispaces.com)
๒๑พระพุทธรปู สมยั อยุธยำ พระพทุ ธรูปสมยั อทู่ อง หลวงพ่อบึงสำมพันเป็นพระพุทธรูปำงสมำธิเนื้อสัมฤทธ์ิ ขนำดหน้ำตักกว้ำง ๑๙ นิ้ว สูง ๓๑ นิ้วพบคร้ังแรกจมอยู่ในลำน้ำบึงสำมพัน ปัจจุบันประดิษฐำนอยู่ท่ีวัดคงสมโภชน์ ตำบลบ้ำนโภชน์ อำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ สันนิษฐำนได้ว่ำ สร้างโดยชนพ้ืนเมืองในสมัยสุโขทัยตอนปลาย เป็นประติมำกรรมศิลปะอู่ทองตอนต้น พุทธลักษณะท่ีเห็นเด่นชัด คือวงพระพักตร์ค่อนข้ำงเป็นสี่เหลี่ยม มีไรพระศกเป็นกรอบวงพกั ตร์พระหนุป้ำนเป็นรูปคำงคน พระนำสิกเป็นสันคม พระขนงชัดเจนเป็นเส้นกระด้ำงคล้ำยปีกนกบรรจบกัน ปริมำตรของพระพักตร์ดูแบนขมวดพระเกศำมีขนำดเล็กเป็นจุดพระรัศมีทำเป็นเปลวผ้ำครองทำชำยสังฆำฏิยำวนิยมน่ังขัดสมำธิรำบ ฐำนหน้ำกระดำนเป็นร่องและแอ่นเข้ำข้ำงในเน้ือโลหะสำริดหล่อได้ค่อนข้ำงบำงเป็นพิเศษ (สำนักงำนวัฒนธรรมอำเภอหนองไผ่Reference ถำวร ถุงเงิน Organization สำนักงำนวัฒนธรรมจังหวัดเพชรบูรณ์ ศูนย์ข้อมูลกลำงกระทรวงวัฒนธรรม, ๒๕๕๔) สรปุ ผลการศึกษา ผลกำรศึกษำประวัติเพชรบรู ณ์ ประวัติอำเภอหนองไผ่ ประวัติวัดโคกคงสมโภชน์ และประวัติหลวงพ่อบึงสำมพัน เป็นยังไม่พบควำมเช่ือมโยงว่ำพระพุทธรูปหลวงพ่อบึงสำมพันน้ันมีควำมเป็นมำอย่ำงไรเป็นเพียงข้อสันนิษฐำนว่ำถูกสร้ำงขึ้นโดยชนพ้ืนเมืองในสมัยสุโขทัยตอนปลำยซ่ึงก็ยังไม่สำมำรถอ้ำงอิงแหล่งท่ีให้ข้อมูลได้ยืนยันได้เกิน ๓ แหล่งข้อมูลและข้อสันนิษฐำนว่ำสร้ำงสมัยใดน้ันจำกพุทธลักษณะมีควำมละม้ำยคล้ำยคลึงกับสมัยสุโขทัยและสมัยอยุธยำ มีข้อมูลสนับสนุนนับยังไม่เพียงพอท่ีจะสรุปได้ว่ำเป็นศิลปะสมัยใดแน่นอน ซึ่งสำมำรถอธิบำยได้เพียงลักษณะท่ีเชิงประจักษ์จำกองค์พระและใชเ้ ทียบเคยี งกับขอ้ มลู จำกกำรศกึ ษำคน้ ควำ้ จำกตำรำต่ำงๆเทำ่ น้ัน
๒๒ บรรณานกุ รมกรมศลิ ปำกร. (๒๕๔๑). ปกิณกศิลปวฒั นธรรม เลม่ ๔.เอ.พี.กรำฟิคดีไซน์และกำรพิมพ์ จำกัด. กรุงเทพมหำนคร.กรมศลิ ปำกร. (๒๕๔๓) อทุ ยำนประวตั ิศำสตรศ์ รีเทพ , สำนักศิลปำกรท่ี ๔ ลพบุรี , รำยงำนกำรสำรวจ เบ้ืองตน้ แหลง่ โบรำณคดบี ้ำนห้วยใหญใ่ ต้ , (เพชรบรู ณ์ : อทุ ยำนประวตั ิศำสตร์ศรเี ทพ , ๒๕๕๓) (อดั สำเนำ) (สรปุ ควำม)กรมศิลปำกร. (๒๕๕๐). อทุ ยำนประวตั ิศำสตรศ์ รเี ทพ. รุ่งศิลป์กำรพมิ พ์. กรุงเทพมหำนคร.กระทรวงมหำดไทย. (๒๕๓๕). ประวัติมหำดไทยส่วนภมู ภิ ำค จังหวัดเพชรบรู ณ.์ บริษทั ฟิวเจอร์เพรส. กรุงเทพมหำนคร.กระทรวงวัฒนธรรม. (๒๕๔๙) แหล่งมรดกทำงวฒั นธรรมทอ้ งถิน่ ในจังหวดั เพชรบูรณ์. เอกสำรอดั สำเนำ. สำนกั งำนวฒั นธรรมจงั หวัดเพชรบูรณ์ และสำนักงำนศิลปกรที่ ๔ ลพบุรีคณะกรรมกำรฝำ่ ยประมวลเอกสำรและจดหมำยเหตุ ในคณะกรรมกำรอำนวยกำรจัดงำนเฉลิม พระเกยี รติ จังหวัดเพชรบูรณ.์ ประวตั ิจังหวดั . แหล่งทม่ี ำ http://www.phetchabun.go.th/data_detail.php?content_id=๑.คณะกรรมกำรฝำ่ ยประมวลเอกสำรและจดหมำยเหตุ ในคณะกรรมกำรอำนวยกำรจัดงำนเฉลิมพระเกียรติ พระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หวั , วัฒนธรรม พัฒนำกำรทำงประวัติศำสตร์ เอกลกั ษณแ์ ละภูมิ ปญั ญำ จงั หวัดเพชรบรู ณ์ , ๔๐.คณะกรรมกำรฝ่ำยประมวลเอกสำรและจดหมำยเหตุ ในคณะกรรมกำรอำนวยกำรจัดงำนเฉลมิ พระ เกยี รติ พระบำทสมเดจ็ พระเจ้ำอยู่หวั , วัฒนธรรม พฒั นำกำรทำงประวัติศำสตร์ เอกลักษณ์ และภูมปิ ัญญำ จังหวดั เพชรบรู ณ์ , (กรงุ เทพฯ : ครุ สุ ภำลำดพรำ้ ว ,๒๕๔๓)คณะกรรมกำรฝ่ำยประมวลเอกสำรและจดหมำยเหตุ ในคณะกรรมกำรอำนวยกำรจัดงำนเฉลมิ พระ เกียรติ พระบำทสมเดจ็ พระเจ้ำอยูห่ วั , วฒั นธรรม พัฒนำกำรทำงประวตั ิศำสตร์ เอกลกั ษณ์ และภมู ปิ ญั ญำ จังหวดั เพชรบูรณ์ , ๒๖.พระบำทสมเด็จพระเจำ้ อยหู่ วั . (๒๕๔๓). วัฒนธรรม พัฒนำกำรทำงประวตั ศิ ำสตร์ เอกลกั ษณแ์ ละ ภูมิปัญญำ จังหวัดเพชรบรู ณ์. ครุ สุ ภำลำดพรำ้ ว.กรุงเทพมหำนคร.พระมหำสรุ ศักด์ิ สรุ เมธี (ชะมำรมั ย์) . (๒๕๖๐). “เร่ือง ชำเลืองมองลกั ษณะพระพุทธรูปไทยสมยั ต่ำงๆ ” นสิ ิตชน้ั ปที ี่ ๔ คณะมนุษยศำสตร์ มหำวทิ ยำลยั มหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลยั วิทยำเขต นครรำชสมี ำ ๓ rd Year Student of Dhammakaya Open University, California, USA
๒๓รำศี บรุ ุษรัตนพันธุ์, “จังหวดั เพชรบรู ณ์” ใน ปกิณกศิลปวัฒนธรรม เลม่ ๔, (กรุงเทพฯ :เอ.พี. กรำฟิคดไี ซน์และกำรพิมพ์ จำกัด, ๒๕๔๑) , ๔๑-๕๔.ลกั ษณะพระพุทธรปู สมัยต่ำงๆ http://seehistory.blogspot.com/๒๐๑๐/๐๔/blog-post_ ๐๘.html http://www.amuletsale๔u.com/?cid=๒๔๕๓๑๒เทศบำลตำบลหนองไผ.่ (๒๕๕๗). ตำนำนหนองไผ่ เรียบเรียงจำกคำบอกเล่ำของผสู้ ูงอำยใุ นชุมชน หนองไผ่ ตำมโครงกำรสร้ำงสุขภำวะใหผ้ ูส้ งู อำยโุ ดยผูเ้ ฒำ่ เล่ำตำนำน ลกู หลำนจดบันทกึ . สืบค้นเมื่อวันท่ี ๒ ตุลำคม ๒๕๖๐ จำกเวป็ ไซต์ http://bangkokideaeasy .com/informations/๕๗ nongphai/index.php?op=staticcontent&id=๑๐๑๖๔ศูนยข์ ้อมูลกลำงกระทรวงวฒั นธรรม (๒๕๕๔) หลวงพ่อบึงสำมพัน. (สำนักงำนวฒั นธรรมอำเภอหนองไผ่ Reference ถำวร ถงุ เงิน Organization สำนกั งำนวัฒนธรรมจงั หวดั เพชรบรู ณ์. สบื ค้นเมอ่ื วันที่ ๒ ตุลำคม ๒๕๖๐. จำกเว็ปไซต์. http://www.m-culture.in.th/album/๑๐๑๖๖๘สันติ เล็กสขุ มุ , ศ. ดร. (๒๕๔๔) ประวัตศิ ำสตร์ไทย (ฉบับยอ่ ) : กำรเรม่ิ ต้นและกำรสบื เน่อื ง งำนช่ำงในศำสนำ . กรุงเทพฯ: ด่ำนสุทธำกำรพมิ พ์อทุ ยำนประวัติศำสตรศ์ รีเทพ. (๒๕๕๓). รำยงำนกำรสำรวจเบ้ืองต้นแหล่งโบรำณคดีบ้ำนหว้ ยใหญใ่ ต.้ อทุ ยำนประวัตศิ ำสตรศ์ รีเทพ. เอกสำรถำ่ ยสำเนำ.
๒๔ประกำศสำนักงำนเขตพื้นที่กำรศึกษำประถมศึกษำเพชรบูรณเ์ ขต ๓ เรือ่ ง แต่งต้ังชมุ ชนแหง่ กำรเรียน : กรณหี ลวงพ่อบึงสำมพนัดว้ ยปรำกฏวำ่ มีคณะบุคคลไดร้ วมกลุ่มกันศกึ ษำกรณีหลวงพอ่ บงึ สำมพนั โดยมีวัตถุประสงค์เพอ่ื ศึกษำประวัติหลวงพ่อบึงสำมพันใหม้ หี ลักฐำนท่ีชดั เจน และเผยแพร่ให้ประชำชนทรำบ ผสู้ นใจได้รับทรำบ และส่งเสริมกำรเรียนรู้ ควำมภำคภมู ใิ จให้แกน่ กั เรยี นในพื้นทใ่ี กล้เคียงควบคกู่ ันไปเพ่ือสง่ เสรมิ ใหก้ ำรดำเนนิ กำรดงั กลำ่ วมีประสิทธภิ ำพ บรรลวุ ตั ถุประสงค์โดยควำมร่วมมือจำกทุกฝ่ำยจงึ จัดให้มีชุมชนแห่งกำรเรียนรู้ กรณีหลวงพ่อบึงสำมพนั ประกอบด้วย๑. นำยวรกำร ฐำนะวิจิตร ขำ้ รำชกำรบำนำญ/อดีต รองผอ.สพป.เพชรบรู ณเ์ ขต ๓ ประธำน๒. นำยบุญยืน ออกเจนจบ ขำ้ รำชกำรบำนำญ/อดีต ผอ.รร.ชุมชนบำ้ นโภชน์ รองประธำน๓. นำยชลัท อนรรฑวชั รกลุ ข้ำรำชกำรบำนำญ/อดีต ผอ.รร.บำ้ น ก.ม.๓๕ กรรมกำร๔. นำยทองม้วน สุทธิสงค์ ประธำนสภำวัฒนธรรม ต.บ้ำนโภชน์ กรรมกำร๕. พระมหำสุนทร สันตจิ ิตโต วดั โคกคงสมโภชน์ กรรมกำร๖. นำยสมนึก พนั ธว์ุ งศ์ ผอ.รร.อนบุ ำลบงึ สำมพัน (ซบั สมอทอด) กรรมกำร๗. นำยลำพึง วิมลเศรษฐ ผอ.รร.บ้ำน ก.ม. ๓๕ กรรมกำร๘. นำยคมสันต์ คมุ้ ทรพั ย์ ผอ.รร.อนบุ ำลศรีเทพ (สว่ำงวฒั นำ) กรรมกำร๙. นำยมำนติ ย์ ทองปอ ผอ.รร.บำ้ นบึงสำมพัน กรรมกำร๑๐.นำยวทิ ยำ เกษำอำจ ผอ.รร.ชมุ ชนบ้ำนโภชน์ กรรมกำรและเลขำนุกำร๑๑.ว่ำท่ี ร.ต.สมยั โสประดิษฐ ผอ.รร.บำ้ นโคกคงสมโภชน์ กรรมกำรและผู้ช่วยเลขำนุกำรประกำศ ณ วนั ท่ี ๒ สงิ หำคม พ.ศ. ๒๕๖๐ (นำยดิเรก ต่ำยเมือง)ผอู้ ำนวยกำรสำนกั งำนเขตพน้ื ทีก่ ำรศึกษำประถมศึกษำเพชรบรู ณ์ เขต ๓
Search
Read the Text Version
- 1 - 24
Pages: