เทคโนโลยีดิจทิ ัลเพอ่ื การจัดการอาชีพ เสนอ อาจารยเ์ กสร เทียนใต้ จดั ทาโดย นายบริวัตร แซโ่ ซ้ง นักศึกษาระดับช้ัน ปวส.103 สาขาช่างยนต์ รายงานเล่มนี้เปน็ ส่วนหนงึ่ ของวชิ าของวิชาเทคโนโลยดี ิจทิ ัลเพ่อื การจดั การ อาชพี รหัสวิชา 3001 – 2001 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2563 วิทยาลยั อาชีวศกึ ษาเถนิ เทคโนโลยี อ.เถิน จ.ลาปาง
ก คานา รายงานเลม่ น้ีเป็นส่วนหนงึ่ ของวชิ าเทคโนโลยีดจิ ทิ ลั เพอื่ การจดั การอาชีพจัดทาขึ้นเพื่อให้ พ่ี ๆ เพ่ือน ๆ และนอ้ ง ๆ ทกุ คนได้ศกึ ษาหาความรู้ต่าง ๆ ในรายงานเล่มนี้ และนาความรู้ที่ไดจ้ ากการศึกษาไปใช้ประโยชนใ์ น ชีวติ ปราจาวนั หวังว่ารายงานเล่มน้ีจะให้ความรู้ให้กับผู้อ่านไม่มากก็น้อย ถ้ากระผมทาผิดประการใดก็ขออภัยมา ณ ท่ีนี้ ด้วยนะครับ จัดทาโดย นายบรวิ ัตร แซ่โซ้ง
ข หน้า สารบัญ ก เรือ่ ง ข คานา 1-3 สารบญั 4 - 11 ความร้เู กี่ยวกบั คอมพวิ เตอร์และอุปกรณโ์ ทรคมนาคม ระบบเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ 12 - 13 การสืบค้นขอ้ มลู บนอินเทอร์เน็ต 13 - 16 การประยกุ ต์ใช้โปรแกรมสาเรจ็ รดู ้านงานเอกสารดว้ ยโปรแกรม Microsoft Word 16 - 18 การจัดเอกสารและการนาเอกสารมางาน การประยกุ ตใ์ ช้โปรแกรมคานวณทางธรุ กจิ ดว้ ยโปรแกรม Microsoft Excel 18 - 20 อา้ งอิง ค
1 1 ความรเู้ ก่ียวกับคอมพวิ เตอรแ์ ละอปุ กรณ์โทรคมนาคม 1.1 ความหมายของคอมพวิ เตอรแ์ ละอปุ กรณโ์ ทรคมนาคม คอมพิวเตอร์ (อังกฤษ: computer) มาจากภาษาละตินว่า Computare หมายถึง เครื่องคานวณทาง อิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างข้ึน สามารถเก็บข้อมูลพร้อมด้วยคาส่ังแล้วแสดงผลออกมาในรูปแบบต่างๆ ได้รวดเร็วและ ถกู ตอ้ ง คอมพิวเตอร์ (Computer) คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่นาไปใช้งานได้หลากหลายตามวัตถุประสงค์ของ ผู้ใช้แต่ละคนทางานโดยการรับคาส่ังจากมนษุ ย์หากซ่ึงคาส่ังท่ีสงั่ ใหค้ อมพิวเตอร์ทางานผิดคอมพิวเตอร์ก็จะทางาน ผิด ตรงข้ามกนั ถ้าคาสงั่ นนั้ ถกู ต้อง คอมพิวเตอรก์ จ็ ะทางานไดอ้ ย่างถูกตอ้ งและใหผ้ ลลพั ธ์ที่นา่ พอใจ 1.2 หลักการทางานของคอมพวิ เตอรแ์ ละอุปกรณโ์ ทรคมนาคม เคร่ืองคอมพิวเตอรม์ ขี ั้นตอนการทางาน 3 ขั้นตอน คอื 1. รับโปรแกรมและข้อมูล หมายถึง ชุดของคาส่ังที่จะให้คอมพิวเตอร์ทางาน ส่วนข้อมูล อาจเป็นตัวเลข หรอื ตัวหนังสือก็ได้ ท่ีตอ้ งการใหค้ อมพวิ เตอร์ทาการประมวลผล 2. การประมวลผล หมายถึง การจัดระเบียบแบบแผนของข้อมูล เพ่ือให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ ซ่ึงทาได้ โดยการคานวณเปรยี บเทยี บ วิเคราะห์โดยใชส้ ตู รทางวทิ ยาศาสตร์ หรอื คณติ ศาสตร์ โดยอาศัยคาส่งั หรอื โปรแกรม ท่เี ขียนขนึ้ 3. แสดงผลลพั ธ์ คอื การนาผลลพั ธ์ที่ได้จากการประมวลผลเสร็จเรียบร้อย แสดงออกในรูปแบบต่าง ๆ ที่ ผู้ใชเ้ ขา้ ใจ และนาไปใช้ประโยชน์ได้
2 1.3 องคป์ ระกอบพืน้ ฐานของคอมพวิ เตอร์ องคป์ ระกอบของคอมพิวเตอร์ เคร่ืองคอมพิวเตอร์ท่ีเราเห็นๆ กันอยู่นี้เป็นเพียงองค์ประกอบส่วนหน่ึงของระบบคอมพิวเตอร์เท่าน้ัน แต่ ถ้าต้องการให้เคร่ืองคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องสามารถทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามที่เราต้องการน้ัน จาเป็นตอ้ งอาศัยองคป์ ระกอบพ้ืนฐาน 4 ประการมาทางานร่วมกัน ซ่ึงองค์ประกอบพนื้ ฐานของระบบคอมพิวเตอร์ ประกอบไปดว้ ย ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หมายถงึ อุปกรณ์ตา่ งๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นเครื่องคอมพวิ เตอร์ มลี กั ษณะเป็นโครงร่างสามารถมองเห็นด้วย ตาและสัมผัสได้ (รูปธรรม) เช่น จอภาพ คีย์บอร์ด เคร่ืองพิมพ์ เมาส์ เป็นต้น ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ตามลักษณะการทางาน ได้ 4 หน่วย คือ หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit: CPU) หน่วยแสดงผล (Output Unit) หน่วยเก็บข้อมูลสารอง (Secondary Storage) โดย อุปกรณแ์ ตล่ ะหน่วยมหี น้าที่การทางานแตกต่างกัน ซอฟตแ์ วร์ (Software) หมายถึง ส่วนที่มนุษย์สัมผัสไม่ได้โดยตรง (นามธรรม) เป็นโปรแกรมหรือชุดคาส่ังที่ถูกเขียนขึ้นเพื่อสั่งให้ เคร่ืองคอมพิวเตอร์ทางาน ซอฟตแ์ วร์จึงเป็นเหมือนตวั เช่ือมระหว่างผู้ใชเ้ ครื่องคอมพวิ เตอร์และเครื่องคอมพวิ เตอร์ ถา้ ไมม่ ีซอฟตแ์ วร์เราก็ไม่สามารถใชเ้ ครื่องคอมพิวเตอร์ทาอะไรได้เลย ซอฟตแ์ วรส์ าหรับเครือ่ งคอมพวิ เตอร์สามารถ แบ่งได้ ดังนี้ ซอฟต์แวร์สาหรับระบบ (System Software) คือ ชุดของคาสั่งท่ีเขียนไว้เป็นคาส่ังสาเร็จรูป ซ่ึงจะ ทางานใกล้ชิดกับคอมพิวเตอร์มากทีส่ ุด เพอ่ื คอยควบคมุ การทางานของฮาร์ดแวรท์ ุกอย่าง และอานวยความสะดวก
3 ให้กับผู้ใช้ในการใช้งาน ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมระบบที่รู้จักกันดีก็คือ DOS, Windows, UNIX, Linux รวมทั้ง โปรแกรมแปลคาส่ังท่ีเขียนในภาษาระดับสูง เช่น ภาษา Basic, FORTRAN, Pascal, COBOL, C เป็นต้น นอกจากนี้โปรแกรมท่ีใช้ในการตรวจสอบระบบเช่น Norton’s Utilities ก็นับเป็นโปรแกรมสาหรับระบบด้วย เช่นกัน ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software) คือ ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมท่ีส่ังคอมพิวเตอร์ทางานต่างๆ ตามท่ีผู้ใช้ต้องการ ไม่วา่ จะด้านเอกสาร บัญชี การจดั เกบ็ ข้อมลู เปน็ ตน้ ซอฟต์แวร์ประยุกต์สามารถจาแนกได้เป็น 2 ประเภท คอื - ซอฟต์แวรส์ าหรบั งานเฉพาะด้าน คอื โปรแกรมซ่งึ เขียนข้ึนเพ่ือการทางานเฉพาะอย่างทเี่ ราต้องการ บาง ที่เรียกว่า User’s Program เช่น โปรแกรมระบบเชา่ ซ้ือ โปรแกรมการทาสินค้าคงคลงั เป็นต้น ซ่ึงแต่ละโปรแกรม ก็มักจะมีเง่ือนไข หรือแบบฟอร์มแตกต่างกันออกไปตามความต้องการ หรือกฎเกณฑ์ของแต่ละหน่วยงานที่ใช้ ซ่ึง สามารถดัดแปลงแก้ไขเพิ่มเติม (Modifications) ในบางส่วนของโปรแกรมได้ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และซอฟตแ์ วร์ประยุกต์ทเ่ี ขียนข้นึ น้ีโดยส่วนใหญม่ กั ใชภ้ าษาระดบั สูงเปน็ ตัวพฒั นา - ซอฟต์แวร์สาหรับงานทั่วไป เป็นโปรแกรมประยุกต์ที่มีผู้จัดทาไว้ เพื่อใช้ในการทางานประเภทต่างๆ ทั่วไป โดยผู้ใช้คนอื่นๆ สามารถนาโปรแกรมน้ีไปประยุกต์ใช้กับข้อมูลของตนได้ แต่จะไม่สามารถทาการดัดแปลง หรอื แกไ้ ขโปรแกรมได้ ผใู้ ชไ้ ม่จาเป็นต้องเขยี นโปรแกรมเอง ซึ่งเปน็ การประหยัดเวลา แรงงาน และค่าใชจ้ า่ ยในการ เขยี นโปรแกรม นอกจากน้ี ยังไม่ตอ้ งใชเ้ วลามากในการฝึกและปฏิบัติ ซงึ่ โปรแกรมสาเรจ็ รปู นี้ มกั จะมกี ารใช้งานใน หน่วยงานที่ขาดบุคลากรท่ีมีความชานาญเป็นพิเศษในการเขียนโปรแกรม ดังน้ัน การใช้โปรแกรมสาเร็จรูปจึงเป็น สงิ่ ทอ่ี านวยความสะดวกและเป็นประโยชน์อยา่ งยิ่ง ตัวอยา่ งโปรแกรมสาเร็จรปู ท่ีนยิ มใช้ได้แก่ MS-Office, Lotus, Adobe Photoshop, SPSS, Internet Explorer และ เกมส์ตา่ งๆ เปน็ ต้น
4 2 ระบบเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ 2.1 ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ( Computer Network ) หมายถึง การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ต้ังแต่ 2 เครื่อง ขึ้นไปเข้าด้วยกันด้วยสายเคเบิล หรือสื่ออื่นๆ ทาให้คอมพิวเตอร์สามารถรับส่งข้อมูลแก่กันและกันได้ในกรณีทเี่ ป็น การเช่ือมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆ เคร่ืองเข้ากับเคร่ืองคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ท่ีเป็นศูนย์กลาง เรา เรยี กคอมพวิ เตอร์ทเ่ี ป็นศนู ย์กลางนว้ี ่า โฮสต์ (Host) และเรยี กคอมพวิ เตอร์ขนาดเล็กท่ีเข้ามาเช่อื มต่อวา่ ไคลเอนต์ (Client)ระบบเครือขา่ ย (Network) จะเช่อื มโยงคอมพวิ เตอรเ์ ข้าดว้ ยกนั เพ่อื การติดตอ่ ส่ือสาร เราสามารถส่งข้อมูล ภายในอาคาร หรือข้ามระหว่างเมืองไปจนถึงอีกซีกหน่ึงของโลก ซึ่งข้อมูลต่างๆ อาจเป็นทั้งข้อความ รูปภาพ เสียง ก่อให้เกิดความสะดวก รวดเร็วแก่ผู้ใช้ ซึ่งความสามารถเหล่าน้ีทาให้เครือข่ายคอมพิวเตอร์มีความสาคัญ และ จาเป็นต่อการใชง้ านในแวดวงตา่ งๆ แล้วทาไมเราถึงต้องใช้เครือข่าย หรือระบบคอมพิวเตอร์เครือข่าย การที่เรานาเอาเคร่ืองคอมพิวเตอร์มาเชื่อมต่ อ กัน เราจะสามารถใช้ประโยชน์จากระบบ หรือระบบสามารถทาอะไรได้บ้าง ทาให้ใช้ทรัพยากร ของเครื่อง คอมพิวเตอร์ ร่วมกนั ได้ (Resources Sharing) ซงึ่ เปน็ การช่วย ประหยดั ค่าใชจ้ ่าย และเพ่ิมความสะดวก ในการใช้ งาน เช่น การใช้พื้นที่บนฮาร์ดดิสก์ และเคร่ืองพิมพ์ร่วมกันสามารถบริหารจัดการการทางานของคอมพิวเตอร์ทุก เครื่อง ได้จากศูนย์กลาง (Centralized Management) เช่น สร้างเวิร์กกรุป กาหนดสิทธ์ิในการเข้าถึงข้อมูล และ สามารถทาการ สารองข้อมูล ของแต่ละเครื่องได้ สามารถทาการสื่อสาร ภายในเครือข่าย (Communication) ได้ หลายรูปแบบ เช่น อีเมล์, แชท (Chat), การประชุมทางไกล (Teleconference), และ การประชุมทางไกล แบบ เห็นภาพ (Video Conference)มีระบบรักษาความปลอดภัย ของข้อมูล บนเครือข่าย (Network Security) เช่น สามารถ ระบุผู้ที่มีสิทธ์ิเข้าถึงข้อมูล ในระดับต่างๆ ป้องกันผู้ท่ีไม่ได้รับอนุญาติ เข้าถึงข้อมูล และให้การคุ้มครอง ข้อมูลที่สาคัญ ให้ความบันเทิงไม่รู้จบ (Entertainment)เช่น สามารถสนุกกับ การเล่นเกมส์ แบบผู้เล่นหลายคน หรอื ท่เี รียกวา่ มลั ติ เพลเยอร(์ Multi Player) ทกี่ าลงั เป็นท่นี ิยมกันอยู่ในเวลาน้ไี ด้ ใช้งานอินเทอร์เน็ตร่วมกัน (Internet Sharing) เพียงต่อเข้าอินเทอร์เน็ต จากเครื่องหนึ่งในเครือข่าย โดยมีแอค เคาท์เพียงหนึ่งแอคเคาท์ ก็ทาให้ผู้ใช้อีกหลายคน ในเครือข่ายเดียวกัน สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ เสมือนกับมี หลายแอคเคาทฯ์ ลฯ ระบบเครอื ข่ายชนดิ ตา่ งๆ ระบบเครือข่าย สามารถเรียกได้ หลายวิธี เช่นตามรูปแบบ การเชื่อมต่อ (Topology) เช่น แบบบัส (bus), แบบ ดาว (star), แบบวงแหวน (ring)หรือจะเรึยกตามขนาด หรือระยะทางของระบบก็ได้ เช่นแลน (LAN), แวน (WAN), แมน (MAN) นอกจากนี้ ระบบเครือข่าย ยังสามารถ เรยี กได้ตาม เทคโนโลยีทไี่ ช้ ในการสง่ ผา่ นข้อมูล เชน่
5 เครอื ข่าย TCP/IP, เครือข่ายIPX, เครอื ขา่ ย SNA หรือเรยี กตาม ชนิดของขอ้ มลู ท่ีมีการสง่ ผ่าน เชน่ เครอื ขา่ ย เสยี ง และวิดโี อ เรายังสามารถจาแนกเครือข่ายได้ ตามกลุ่มท่ีใช้เครือข่าย เช่น อินเตอร์เน็ต ( Internet), เอ็กซ์ตร้าเน็ต (Extranet), อินทราเน็ต (Intranet), เครอื ขา่ ยเสมือน (Virtual Private Network) หรือเรียก ตามวธิ กี าร เช่ือมต่อ ทางกายภาพ เช่นเครือข่าย เส้นใยนาแสง, เครือข่ายสายโทรศัพท์, เครือข่ายไร้สาย เป็นต้น จะเห็นได้ว่า เรา สามารถจาแนก ระบบเครือข่าย ได้หลากหลายวิธี ตามแต่ว่า เราจะพูดถึง เครือข่ายน้ันในแง่มุม ใด เราจาแนก ระบบเครือขา่ ย ตามวิธีทน่ี ยิ มกัน 3 วธิ ีคอื รปู แบบการเชื่อมต่อ (Topology), รปู แบบการส่อื สาร (Protocol), และ สถาปัตยกรรมเครือข่าย (Architecture) การจาแนกระบบเครอื ข่าย ตามรูปแบบการเชือ่ มต่อ (Topology)จะบอกถึงรปู แบบ ท่ที าการ เช่อื มต่ออุปกรณ์ ในเครือขา่ ยเข้าดว้ ยกนั ซ่ึงมีรปู แบบท่นี ิยมกนั 3 วิธีคือ แบบบสั (bus) ในระบบเครือข่าย โทโปโลยีแบบ BUS นับว่าเป็นแบบโทโปโลยีท่ีได้รับความนิยมใช้กันมากท่ีสุดมา ต้ังแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน เหตุผลอย่างหน่ึงก็คือสามารถติดตั้งระบบ ดูแลรักษา และติดต้ังอุปกรณ์เพ่ิมเติมได้ง่าย ไม่ต้องใช้ เทคนคิ ท่ยี ุง่ ยากซับซ้อน ลกั ษณะการทางานของเครือขา่ ยโทโปโลยแี บบ BUS คืออปุ กรณ์ทุกช้ินหรือโหนดทุกโหนด ในเครือข่ายจะต้องเชื่อมโยงเข้ากับสายสื่อสารหลัก ท่ีเรียกว่า \"บัส\" (BUS) เมื่อโหนดหน่ึงต้องการจะส่งข้อมูลไปให้ ยังอีกโหนด หน่ึงภายในเครือข่าย ข้อมูลจากโหนดผู้ส่ง จะถูกส่งเข้าสู่สายบัส ในรูปของแพ็กเกจ ซึ่งแต่ละแพ็กเกจ จะประกอบด้วยตาแหน่งของ ผู้ส่งและผู้รับ และข้อมูล การสื่อสารภายในสายบัส จะเป็นแบบ 2 ทิศทางแยกไปยัง ปลายทั้ง 2 ด้านของบัส โดยตรงปลายทั้ง 2 ด้านของบัสจะมีเทอร์มิเนเตอร์ (Terminator) ทาหน้าที่ดูดกลืน สัญญาณ เพ่ือป้องกันไม่ให้สัญญาณข้อมูลน้ันสะท้อนกลับ เข้ามายังบัสอีก เป็นการป้องกันการชนกันของสัญญาณ ข้อมลู อนื่ ๆ ทเ่ี ดนิ ทางอย่บู นบสั สญั ญาณขอ้ มูลจากโหนดผูส้ ง่ เมอ่ื เข้าส่บู ัสจะไหลผ่านไปยังปลายทงั้ 2 ขา้ งของบัส แต่ละโหนดที่เช่ือมต่อเข้ากับบัส จะคอยตรวจดูว่าตาแหน่งปลายทาง ท่ีมากับแพ็กเกจข้อมูลนั้น ตรงกับตาแหน่ง ของตนหรือไม่ ถ้าใช่ก็จะรับข้อมูลน้ันเข้ามาสู่โหนดตน แต่ถ้าไม่ใช่ ก็จะปล่อยให้สัญญาณข้อมูลนั้นผ่านไป จะเห็น ว่าทุก ๆ โหนดภายในเครือข่ายแบบ BUS น้ันสามารถรับรู้สัญญาณข้อมูลได้ แต่จะมีเพียงโหนดปลายทางเพียง โหนดเดยี วเทา่ นน้ั ทจี่ ะรับขอ้ มูลน้นั ไปได้
6 การควบคุมการส่ือสารภายในเครือขา่ ยแบบ BUS มี 2 แบบคอื แบบควบคุมด้วยศูนย์กลาง (Centralized) ซ่ึงจะมีโหนดหนึ่ง ที่ทาหน้าท่ีเป็นศูนย์กลางควบคุมการส่ือสารภายใน เครือข่าย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไฟล์เซิร์ฟเวอร์ การควบคุมแบบกระจาย (Distributed) ทุก ๆ โหนดภายในเครือขา่ ย จะมีสิทธิในการควบคุมการสอ่ื สาร แทนที่จะ เป็นศูนย์กลางควบคุมเพียงโหนดเดียว ซึ่งโดยทั่วไปคู่โหนดท่กี าลังทา การส่ง-รับ ข้อมูลกันอย ู่จะเป็นผู้ควบคุมการส่ือสารในเวลาน้ันขอ้ ดีข้อเสียของโทโปโลยีแบบบสั แบบดาว (star) เป็นหลักการส่งและรับข้อมูล เหมือนกับระบบโทรศัพท์ การควบคุมจะทาโดยสถานีศูนย์กลาง ทาหน้าที่เป็นตัว สวิตชิ่ง ข้อมูลท้ังหมดในระบบเครือข่าย จะต้องผ่านเคร่ืองคอมพิวเตอร์ศูนย์กลาง (Center Comtuper)เป็นการ เชื่อมโยงการติดต่อสื่อสาร ที่มีลกั ษณะคล้ายกับรูปดาว (STAR)หลายแฉก โดยมศี นู ยก์ ลางของดาว หรือฮับ เป็นจดุ ผ่านการติดต่อกันระหว่างทุกโหนดในเครือข่าย ศูนย์กลาง จึงมีหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมเส้นทางการส่ือสารทั้งหมด นอกจากน้ศี ูนยก์ ลางยังทาหนา้ ท่ี เป็นศูนยก์ ลางขอ้ มูลอีกดว้ ย การสื่อสารภายในเครือข่ายแบบ STAR จะเป็นแบบ 2 ทิศทาง โดยจะอนุญาตให้มีเพียงโหนดเดียวเท่าน้ัน ท่ี สามารถส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายได้ จึงไม่มีโอกาสที่หลายๆ โหนดจะส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายในเวลาเดียวกัน เพื่อ ป้องกันการชนกันของสัญญาณข้อมูล เครือข่ายแบบ STAR เป็นโทโปโลยี อีกแบบหน่ึง ที่เป็นท่ีนิยมใช้กันใน ปัจจุบัน ข้อดีของเครือข่ายแบบSTAR คือการติดต้ังเครือข่ายและการดูแลรักษาทาได้ง่าย หากมีโหนดใดเกิดความ เสยี หาย ก็สามารถตรวจสอบไดง้ ่าย และศูนยก์ ลางสามารถตดั โหนดนั้นออกจากการส่อื สาร ในเครอื ขา่ ยได้ แบบวงแหวน (ring) เครือข่ายแบบ RING เป็นการส่งข่าวสารท่ีส่งผ่านไปในเครือข่าย ข้อมูลข่าวสารจะไหลวนอยู่ในเครือข่าย ไปใน ทิศทางเดียว เหมือนวงแหวน หรือ RING น่ันเอง โดยไม่มีจุดปลาย หรือเทอร์มิเนเตอร์ เช่นเดียวกับเครือข่าย แบบ BUS ในแตล่ ะโหนดหรือสเตชั่น จะมรี พี ตี เตอร์ประจาโหนด 1 เครื่อง ซึ่งจะทาหน้าทเ่ี พ่ิมเติมขา่ วสารที่จาเป็น
7 ต่อการสื่อสาร ในส่วนหัวของแพ็กเกจข้อมูล สาหรับการส่งข้อมูลออกจากโหนด และมีหน้าที่รับแพ็กเกจข้อมูล ท่ี ไหลผ่านมาจากสายสื่อสาร เพ่ือตรวจสอบว่าเป็นข้อมูล ที่ส่งมาให้โหนดตนหรือไม่ ถ้าใช่ก็จะคัดลอกข้อมูลท้ังหมด น้ัน สง่ ตอ่ ไปให้กบั โหนดของตน แตถ่ ้าไม่ใช่ก็จะปล่อยข้อมูลนัน้ ไปยงั รีพตี เตอร์ของโหนดถัดไป โทโปโลยี แบบผสม (Hybrid Topology) ป็นเครือข่ายการสื่อสารข้อมูลแบบผสมระหว่างเครือข่ายแบบใดแบบหน่ึงหรือมากกว่า เพื่อความถูกต้องแน่นอน ทงั้ นขี้ นึ้ อยกู่ บั ความตอ้ งการและภาพรวมขององค์กร เทคโนโลยี หมายถึง วิธีการปฏิบัติท่ีมีการจัดลาดับอยากมีรูปแบบและขั้นตอนเพื่อที่จะทาให้เกิด ประสิทธิภาพในเรอื่ งของความรวดเรว็ ความน่าเชอ่ื ถอื ความถกู ตอ้ ง เปน็ ตน้ สารสนเทศ หมายถงึ ข้อมลู ดบิ ทไ่ี ด้ผ่านการประมวลผลจากคอมพวิ เตอร์มาแล้ว คอื ผา่ นการคานวณ การ จัดเรยี งการเปรียบเทยี บ เป็นต้น เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง วิธีการปฏิบัติท่ีมีการจัดลาดับอย่างมีรูปแบบและขั้นตอนเพ่ือที่จะทาให้เกิด ประสทิ ธิภาพในเร่ืองของความรวดเร็ว ความน่าเชื่อถือ ความถกู ตอ้ ง ซึง่ เป็นเทคโนโลยีท่ีมีการนาคอมพวิ เตอร์ การ ส่ือสาร การโทรคมนาคม และเทคโนโลยีสาหรับการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมมาทางานร่วมกัน เพื่อทาให้เกิด การแลกเปล่ียนสารสนเทศ โดยนาขอ้ มลู ป้อนเข้าสูเ่ ครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ และทาการประมวลผลเพ่ือใหไ้ ด้ผลลพั ธ์ตาม ต้องการ บทบาทความสาคัญของเทคโนโลยสี ารสนเทศ ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทาให้มีการพัฒนาคิดค้นส่ิงอานวยความสะดวกสบาย ต่อการดาชีวิตเป็นอันมาก เทคโนโลยีได้เข้ามาเสริมปัจจัยพ้ืนฐานการดารงชีวิตได้เป็นอย่างดี เทคโนโลยีทาให้การ สร้างท่ีพักอาศัยมีคุณภาพมาตรฐาน สามารถผลิตสินค้าและให้บริการต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของ มนุษย์มากขึ้น เทคโนโลยีทาให้ระบบการผลิตสามารถผลิตสินค้าได้เป็นจานวนมากมีราคาถูกลง สินค้าได้คุณภาพ เทคโนโลยีทาให้มีการติดต่อสื่อสารกันได้สะดวก การเดินทางเช่ือมโยงถึงกันทาให้ประชากรในโลกติดต่อรับฟั ง ข่าวสารกนั ได้ตลอดเวลา พฒั นาการของเทคโนโลยที าใหช้ ีวติ ความเป็นอยู่เปล่ยี นไปมาก ลองย้อนไปในอดีตโลกมีกาเนินมาประมาณ 4600 ล้านปี เชื่อกนั ว่าพัฒนาการตามธรรมชาติทาให้เกิดสิง่ มีชีวิตถือกาเนนิ บนโลกประมาณ 500 ลา้ นปที ่ีแลว้ ยคุ
8 ไดโนเสาร์มีอายุอยู่ในช่วง 200 ล้านปี ส่ิงมีชีวิตท่ีเป็นเผ่าพันธุม์ นุษย์ ค่อย ๆ พัฒนามา คาดคะเนว่าเม่ือห้าแสนปที ี่ แล้วมนุษย์สามารถส่งสัญญาณท่าทางส่ือสารระหว่างกันและพัฒนามาเป็นภาษา มนุษย์สามารถสร้างตัวหนังสือ และจารึกไว้ตามผนึกถ้า เมื่อประมาณ 5000 ปีท่ีแล้ว กล่าวได้ว่ามนุษย์ต้องใช้เวลานานพอสมควรในการพัฒนา ตัวหนังสือท่ีใช้แทนภาษาพูด และจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า มนุษย์สามารถจัดพิมพ์หนังสือได้เมื่อ ประมาณ 5000 ปีท่ีแล้ว กล่าวได้ว่าฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า มนุษย์สามารถจัดพิมพ์หนังสือได้เม่ือประมาณ 500 ถึง 800 ปที ี่แลว้ เทคโนโลยีเริ่มเข้ามาช่วยในการพิมพ์ ทาให้การสื่อสารด้วยข้อความและภาษาเพ่ิมขึ้นมาก เทคโนโลยี พัฒนามาจนถึงการสื่อสารกัน โดยส่งข้อความเป็นเสียงทางสายโทรศัพท์ได้ประมาณร้อยกว่าปีที่แล้ว และเม่ือ ประมาณห้าสิบปีที่แล้ว ก็มีการส่งภาพโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์ทาให้มีการใช้สารสนเทศในรูปแบบข่าวสารมาก ขน้ึ ในปจั จบุ นั มีสถานทวี่ ิทยุ โทรทศั น์ หนงั สือพมิ พ์ แ ละสื่อตา่ ง ๆ ทใี่ ช้ในการกระจา่ ยข่าวสาร มกี ารแพร่ภาพทาง โทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเพ่ือรายงานเหตุการณ์สด เห็นได้ชัดว่าเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทอย่างมาก บทบาทของ การพัฒนาเทคโนโลยีรวดเร็วขึ้นเมื่อมีการพฒั นาอุปกรณท์ างดา้ นคอมพวิ เตอร์และสว่ นประกอบ จะเห็นได้วา่ ในชว่ ง ส่ีห้าปีท่ผี า่ นมาจะมผี ลติ ภัณฑใ์ หม่ ซ่งึ มีคอมพวิ เตอรเ์ ขา้ ไปเกยี่ วข้องใหเ้ หน็ อย่ตู ลอดเวลา 2.2 ระบบสารสนเทศท่ใี ช้คอมพวิ เตอร์ ระบบสารสนเทศทีใ่ ช้คอมพิวเตอร์ (Computer-Based Information Systems : CBIS) ระบบสารสนเทศที่ใช้คอมพิวเตอร์ประกอบด้วย ฮาร์ดแวร์ (Hardware), ซอฟต์แวร์ (Software), ข้อมูล (Data), บุคคล (People), ขบวนการ (Procedure) และการส่ือสารข้อมูล (Telecommunication) ซึ่งถูกกาหนด ข้ึนเพ่ือทาการรวบรวม, จัดการ จัดเก็บและประมวลผลข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ แสดงส่วนประกอบของระบบ สารสนเทศทใ่ี ชค้ อมพวิ เตอร์ 1. ฮาร์ดแวร์ คืออุปกรณ์ทางกายภาพ ที่ใช้ในการรวบรวม การนาเข้า และการจัดเก็บข้อมูล, ประมวลผล ขอ้ มูลให้เป็นสารสนเทศ และแสดงสารสนเทศท่เี ป็นผลลพั ธ์ออกมา 2. ซอฟต์แวร์ ประกอบด้วยกลุ่มของโปรแกรมที่ใช้ในการปฏิบัติงานร่วมกับฮาร์ดแวร์และใช้ในการ ประมวลผลขอ้ มูลเป็นสารสนเทศ 3. ข้อมูล ในส่วนนี้หมายถึงข้อมูลและสารสนเทศที่ถูกเก็บอยู่ในฐานข้อมูล โดยฐานข้อมูล (Database) หมายถึงกลมุ่ ของคา่ ความจริงและสารสนเทศที่มีความเกี่ยวข้องกนั นัน่ เอง 4. บคุ คล หมายถงึ บุคคลที่ใชง้ านและปฏบิ ัตงิ านรว่ มกับระบบสารสนเทศ 5. ขบวนการ หมายถึงกลุ่มของคาสั่งหรือกฎ ท่ีแนะนาวิธีการปฏิบัติงานกับคอมพิวเตอร์ในระบบ สารสนเทศ ซึ่งอาจได้แก่การแนะนาการควบคุมการเข้าใช้งานคอมพิวเตอร์, วิธีการสารองสารสนเทศในระบบและ วธิ ีจัดการกบั ปัญหาที่อาจเกิดขน้ึ ได้ 6. การสื่อสารข้อมูล หมายถึงการส่งสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์เพ่ือติดต่อส่ือสาร และช่วยให้องค์กรสามารถ เช่ือมระบบคอมพิวเตอร์เข้ากับระบบเครือข่าย (Network) ท่ีมีประสิทธิภาพได้ โดยเครือข่ายใช้ในการเชื่อมต่อ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์คอมพวิ เตอร์ไว้ด้วยกัน อาจจะเป็นภายในอาคารเดยี วกนั ในประเทศเดยี วกนั หรือทว่ั โลก เพื่อใหส้ ามารถสอื่ สารขอ้ มูลอเิ ลก็ ทรอนิกสไ์ ด้
9 2.3 ระบบสารสนเทศเพือ่ การจดั การ ความหมายของระบบสารสนเทศเพอื่ การจดั การ ระบบสารสนเทศเพอื่ การจดั การ (Management Information Systems) (MIS) เป็นระบบเกีย่ วกบั การ จัด หาคน หรือข้อมูลที่สัมพันธ์กับข้อมูล เพื่อการดาเนินงานขององค์การ เช่น การใช้ MIS เพื่อช่วยเหลือกิจกรรม ของลูกจา้ ง เจ้าของกจิ การ ลกู คา้ และบุคคลอื่นทเี่ จ้ามาเกย่ี วขอ้ งกบั องคก์ าร การประมวลผลของขอ้ มูลจะชว่ ยแบ่ง ภาระการ ทางานและยังสามารถนา สารสนเทศมา ช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหาร หรือMIS เป็นระบบซ่ึงรวม ความสามารถของผู้ใช้งานและคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน โดยมีจุดมุ่งหมาย เพ่ือให้ได้มาซ่ึงสารสนเทศเพื่อการ ดาเนินงานการจัดการ และการตัดสินใจในองค์การ หรือ MIS หมายถึงการเก็บรวบรวมข้อมูล การ ประมวลผล และการสร้างสารสนเทศข้ึนมาเพ่ือช่วยในการตัดสินใจ การประสานงาน และการควบคุม นอกจากน้ันยังช่วย ผู้บริหาร และ พนักงานในการวิเคราะห์ปัญหา แก้ปัญหา และสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ โดย MIS จะต้องใช้อุปกรณ์ทาง คอมพิวเตอร์ (Hardware) และ โปรแกรม (Software) ร่วมกับผู้ใช้ (Peopleware) เพื่อก่อให้เกิดความสาเร็จใน การไดม้ าซง่ึ สารสนเทศที่มีประโยชน์ การใชง้ านระบบสารสนเทศเพื่อการจดั การ (Management Information Systems) ได้ขยายขอบเขตเกย่ี ว ขอ้ ง กับ หลายหน้าท่ใี นองค์การและเป็นประโยชน์กับบุคคลหลายระดบั ตง้ั แตก่ ารใช้งานส่วนบุคคล กลุ่ม องค์การ และ ระหว่างหน่วยงาน MIS ช่วยให้ผู้ใช้สารสนเทศสามารถแก้ไขปัญหาทางธุรกิจท่ียุ่งยาก และซับซ้อนได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ ตลอดจนสร้างโอกาสทางธุรกจิ ให้กับหลายองคก์ าร ดังท่ี Kroenke และHatch (1994) กลา่ วถงึ ความสาคัญและผลกระทบของระบบสารสเทศที่มตี ่อธุรกิจดังต่อไปนี้ 1. ระบบสารสนเทศช่วยสรา้ งคุณคา่ เพม่ิ ให้กับการทางาน 2. บุคลากรทุกคนต้องมีความรเู้ ก่ยี วกับ MIS เนื่องจากปัจจุบนั มีการพฒั นาและการใชง้ านสารสนเทศท่ัว องค์การตลอดจนการขยายตวั ของเทคโนโลยีสารสนเทศและการปรบั รปู ของระบบงานอยา่ งต่อเนื่อง 3. การประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่อื ตอบสนองต่อความต้องการของธุรกจิ และการบรรลุเป้าหมาย ขององค์การมากข้ึน ปัจจบุ นั เทคโนโลยี MIS มีพัฒนาการมากขน้ึ จนมีความสาคัญต่อเราในหลายระดับทแี่ ตกต่างจากอดตี เรา จะเหน็ วา่ เทคโนโลยสี ารสนเทศมีความจาเปน็ และความสาคัญสาหรบั ผู้ศกึ ษาและปฏบิ ัติงานในสาขาตา่ ง ๆ เช่น การบญั ชี การเงิน การตลาด และการจดั การทรัพยากรบุคคล แม้กระท่ังวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศลิ ปศาสตร์ ดงั น้ันบุคลากรที่จะปฏบิ ัตงิ าน ในทกุ สาขา จึงสมควรมีความรแู้ ละความเข้าใจในหลักการของ MIS เพ่ือใหก้ าร ทางานมปี ระสทิ ธภิ าพและประสบผลสาเร็จในอาชพี ได้ Laudon และ Laudon(1994) กล่าววา่ การเปลีย่ นแปลงท่ีมผี ลตอ่ สภาพแวดล้อมในการแขง่ ขันทางธุรกจิ มี 2 ประการคอื 1. การรวมตวั ของระบบเศรษฐกิจโลก (Emergence of the Global Economy) ก่อใหเ้ กดิ กระบวนการ โลกาภวิ ัตน์ ของตลาด (Globalization of Markets) ท่เี กิดการบูรณาการของทรัพยากรทางธรุ กจิ และการแข่งขนั ทว่ั โลก ธุรกจิ ขยาย งานครอบคลุมพ้นื ที่กวา้ งขวางจากระดับท้องถ่นิ สรู่ ะดับประเทศ จากระดบั ประเทศสู่ระดับ ภมู ภิ าค และจากระดับภูมิภาคสู่ ระดับโลก โดยท่กี ารขยายตัวของธรุ กิจไมเ่ พยี งแต่เป็นการกระจายสนิ ค้า และ
10 บริการอยา่ งเปน็ ระบบและท่ัวถึง แต่ครอบคลมุ การจัดต้งั การจัด เตรียม ทรพั ยากร การผลติ และดาเนินงาน ดังนนั้ องค์การธุรกจิ ในยคุ โลกาภวิ ัตนจ์ งึ ต้องมีโครงสรา้ ง องค์การและการ ประสานงานทสี่ อดรบั และสามารถควบคุม อย่างมปี ระสิทธิภาพ 2. การปรบั รปู ของระบบเศรษฐกิจอตุ สาหกรรม (Transformation of Industrial Economies) ประเทศ อุตสาหกรรม ชัน้ นา เชน่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ยโุ รปตะวันตก และญีป่ นุ่ ปรบั ตวั จากระบบ เศรษฐกิจอตุ สาหกรรม เขา้ สู่ ระบบเศรษฐกจิ ท่ีอาศัยเทคโนโลยีทที่ นั สมัย ซง่ึ จะเห็นได้จากประมาณรอ้ ยละ 70 ของรายได้ประชาชาตขิ อง ประเทศที่พัฒนาแล้ว จะมาจากธุรกิจบริการ และธุรกจิ ที่ใช้เทคโนโลยี สารสนเทศ ในการสร้างมูลคา่ เพิ่ม (Value Added) การปรับรปู ของระบบเศรษฐกจิ จากอตุ สาหกรรมเข้าสู่ธรุ กจิ บรกิ าร ส่งผลกระทบตอ่ การคา้ และการลงทุน เช่น การแข่งขนั ทวคี วามรุนแรงและซับซ้อนขน้ึ วงจรชวี ิตของผลิตภัณฑ์ และบรกิ ารสน้ั ลง ธรุ กจิ ต้องตอบสนองและ สร้างความพอใจแกล่ กู ค้า เป็นต้น ทาให้ธรุ กิจต้องการบุคลากรท่มี ี ความรู้ (Knowledge Worker) ในการสร้าง คุณคา่ เพมิ่ ใหแ้ ก่องค์การส่งผลใหธ้ ุรกิจตอ้ งพัฒนาทรัพยากรบคุ คลอยา่ งต่อเนื่อง ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ หมายถงึ ระบบทรี่ วบรวมและจัดเกบ็ ขอ้ มลู จากแหลง่ ข้อมูลต่าง ๆ ทงั้ ภายใน และภายนอกองคก์ ารอย่างมีหลักเกณฑ์ เพื่อนามาประมวลผลและจดั รูปแบบใหไ้ ด้ สารสนเทศที่ ชว่ ย สนับสนุนการทางาน และการตดั สินใจในด้านตา่ ง ๆ ของผูบ้ ริหารเพอ่ื ให้การดาเนินงานของ องค์การ เปน็ ไปอยา่ งมี ประสิทธภิ าพ โดยทเี่ ราจะเปน็ วา่ MIS จะประกอบดว้ ยหน้าท่ีหลัก 2 ประการคือ 1. สามารถเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลจากแหล่งต่าง ๆ ท้ังจากภายในและภายนอกองค์การ มาไวด้ ว้ ยกัน อยา่ งเปน็ ระบบ 2. สามารถทาการประมวลผลขอ้ มูลอย่างมปี ระสิทธิภาพ เพื่อให้ไดส้ ารสนเทศทช่ี ่วยสนบั สนุน การ ปฏบิ ัติงานและการบริหารงานของผบู้ รหิ าร หน้าทหี่ ลกั ของระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการ ชุมพล ศฤงคารศิริ (2537 : 2) ให้ความหมายของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ คือ เป็นระบบที่รวม (integrate) ผู้ใช้ (user) เคร่ืองคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ (machine) เพื่อจัดทาสารสนเทศ สาหรับ สนับสนุน การปฏิบัติงาน (operation) การจัดการ (management) และการตัดสินใจ (decision making) ใน องค์กรจาก ความหมายที่กล่าวมาสามารถสรุปความหมายของระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การได้คือ การรวบรวม และการจัดเก็บข้อมูล จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับองค์การ ทั้งจากภายใน และภายนอก หน่วยงาน เพ่ือ นามาประมวลผล และจัดรปู แบบ ให้ได้สารสนเทศทเ่ี หมาะสมกับองค์การ ในการช่วยในการตัดสนิ ใจ ประสานงาน และควบคมุ ของผบู้ รหิ าร ในอนั ทจ่ี ะ ดาเนนิ งานไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพ
11 1.6 วิธกี ารใช้และการบารุงรกั ษาเครือ่ งคอมพวิ เตอร์และอปุ กรณ์โทรคมนาคม 1.6.1 ความปลอดภยั ในการใช้คอมพวิ เตอร์ 1. ความปลอดภัยของคอมพิวเตอร์ (1) อย่าจบั ตอ้ งอปุ กรณ์ภายในหากเคร่อื งคอมพิวเตอร์ยงั เปดิ อยู่ (2) อยากเปดิ ปิดสวิตช์เครอื่ งคอมพิวเตอรบ์ อ่ ยๆ ถ้าโปรแกรมมปี ญั หาให้ กด reset แทนการปิดเปดิ 2. ความปลอดภัยของผู้ใช้ อันตรายทเี่ กิดจากไฟฟ้าดูด การใชป้ ล้กั เสียบคอมพิวเตอร์ต้องใชป้ ล๊ักเสยี บ 3 ขา เพราะขาที่สามของปลั๊กเสียบคอมพิวเตอร์มีสายต่อกับส่วนท่ีเป็นโลหะของอุปกรณ์จ่ายไฟ ซ่ึงยึดติดกับกล่องของ คอมพวิ เตอรเ์ รียกวา่ สายดิน 1.6.2 สภาพแวดล้อมและการตดิ ตง้ั เครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ สภาพแวดล้อมโดยทั่วไป อาจมีผลต่อสภาพจิตใจของพนักงานโดยตรง โดยเฉพาะงานที่ต้องอยู่กับเครื่อง คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ รวมท้ังส่วนประกอบของระบบอื่นท่ีเก่ียวข้องกับคอมพิวเตอร์ด้วย เช่น เมาส์ เครื่องพิมพ์ เป็นต้น ขอ้ ควรปฏบิ ตั เิ ก่ยี วกบั การจัดสภาพแวดล้อมสาหรับงานคอมพิวเตอร์ มดี งั น้ี 1) สถานท่ีติดต้ังเครื่องและอุปกรณ์ ควรมีพื้นท่ีกว้างขวางมากพอที่จะทาให้ผู้ใช้เคร่ืองคอมพิวเตอร์ สามารถเคลือ่ นไหวไดส้ ะดวก 2) แป้นพิมพ์ ควรวางให้อยู่ตรงหน้าของผู้ใช้และตรงกับหน้าจอด้วย เพราะจะสามารถปล่อยแขนให้ห้อย ลงแนบกบั ลาตัวได้ทันทีทรี่ สู้ ึกเมอื่ ย และทาให้ไม่ตอ้ งเกง่ ไรในขณะป้อนข้อมลู 3) เมาส์ ควรวางในระดบั เดยี วกับแป้นพิมพ์ และวางในด้านทถี่ นัด 4) ควรจดั สรรพื้นท่วี างบนโตะ๊ ไวบ้ างสว่ น 3) ให้เกิดแสงสะทอ้ นจากสภาพสูตรอาผู้ใช้น้อยทส่ี ุด 5) ห้องทางานควรปรบั ความสว่างได้ 6) ควรพักสายตาเปน็ ระยะๆ 1.6.3 ข้อควรระวังเกีย่ วกับการใชค้ อมพิวเตอร์ 1) ไมค่ วรนาเอาอปุ กรณ์สารองของข้อมลู ออกจากเครื่องอ่าน 2) ไม่ควรปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดท่ีไฟของฮาร์ดดิสก์ตดิ อยู่ 3) ไมค่ วรเปดิ จอภาพทิ้งไว้นานๆ 4) เมอ่ื ปิดเครอื่ งคอมพิวเตอร์แล้วไม่ควรเปดิ เครอื่ งคอมพวิ เตอร์ทันที 5) ไมค่ วรเสยี บสายไฟคา้ งไวท้ เ่ี ตา้ เสยี บ 6) การเกบ็ ข้อมลู ไม่ควรเก็บชุดเดยี วควรทาแฟ้มสารองข้อมูลไวห้ ลายชดุ
12 3 การสืบค้นข้อมลู บนอินเทอรเ์ นต็ 3.1 ระบบสารสนเทศเพอื่ การจดั การ อินเทอร์เน็ต (อังกฤษ: Internet) หมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ มีการเชื่อมต่อระหว่าง เครือข่ายหลาย ๆ เครือข่ายทั่วโลก โดยใช้ภาษาท่ีใช้สื่อสารกันระหว่างคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า โพรโทคอล (protocol) ผ้ใู ช้เครือขา่ ยนี้สามารถสือ่ สารถึงกนั ได้ในหลาย ๆ ทาง อาทิ อเี มล เว็บบอรด์ และสามารถสืบค้นขอ้ มูล และขา่ วสารตา่ ง ๆ รวมทัง้ คัดลอกแฟม้ ข้อมลู และโปรแกรมมาใช้ได้ ความสามารถของอินเทอรเ์ น็ต 1. ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic mail=E-mail) เป็นการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ผ่านเครือข่าย อินเทอร์เน็ตโดยผู้ส่งจะตอ้ งสง่ ขอ้ ความไปยงั ที่อยู่ของผู้รบั และแนบไฟล์ไปได้ 2. เทลเน็ต (Telnet) การใช้งานคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งที่อยู่ไกล ๆ ได้ด้วยตนเอง เช่น สามารถเรียก ข้อมูลจากโรงเรยี นมาทาที่บา้ นได้ 3. การโอนถ่ายข้อมลู (File Transfer Protocol ) ค้นหาและเรยี กข้อมูลจากแหล่งต่างๆมาเก็บไว้ในเคร่ือง ของเราได้ ทง้ั ขอ้ มูลประเภทตัวหนงั สอื รูปภาพและเสียง 4. การสืบค้นข้อมูล (Gopher,Archie,World wide Web) การใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตในการค้นหา ขา่ วสารทีม่ ีอยมู่ ากมาย ใช้สบื คน้ ขอ้ มูลจากแหล่งขอ้ มูลตา่ งๆ ท่วั โลกได้ 5. การแลกเปลย่ี นข่าวสารและความคิดเห็น (Usenet) เป็นการบรกิ ารแลกเปลย่ี นข่าวสารและแสดงความ คิดเห็นที่ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วโลก แสดงคว ามคิดเห็นของตน โ ดยกลุ่มข่าวหรือนิวกรุ๊ป (Newgroup)แลกเปลีย่ นความคิดเหน็ กัน 6. การสื่อสารด้วยข้อความ (Chat,IRC-Internet Relay chat) เป็นการพูดคุย โดยพิมพ์ข้อความตอบกัน ซึ่งเป็นวิธีการส่ือสารท่ีได้รับความนิยมมากอีกวิธีหน่ึง การสนทนากันผ่านอินเทอร์เน็ตเปรียบเสมือนเรานั่งอยู่ใน หอ้ งสนทนาเดยี วกนั แม้จะอยคู่ นละประเทศหรอื คนละซีกโลกก็ตาม 7. การซ้ือขายสินค้าและบริการ (E-Commerce = Electronic Commerce) เป็นการซื้อ - สินค้าและ บรกิ าร ผ่านอนิ เทอร์เนต็ 8. การให้ความบันเทิง (Entertain) บนอินเทอร์เน็ตมีบริการด้านความบันเทิงหลายรูปแบบต่างๆ เช่น รายการโทรทศั น์ เกม เพลง รายการวทิ ยุ เป็นตน้ เราสามารถเลือกใช้บรกิ ารเพอ่ื ความบนั เทิงไดต้ ลอด 24 ชั่วโมง 3.2 เวบ็ ไซต์และโปรแกรมเว็บเบราเซอร์ บราเซอร์ (Browser) เปน็ ชอื่ ท่ีใช้เรยี กโปรแกรมท่ีเราใช้ท่องเวบ็ กนั ซึ่งชื่อนห้ี ลายท่านไม่คนุ้ และไม่รู้จัก สว่ นมาก เวลาถามวา่ ใชอ้ ะไรเลน่ เน็ตก็มักจะได้คาตอบวา่ IE บ้าง Chrome บ้าง Firefox บ้าง แต่พอถามวา่ ใชเ้ บราเซอร์อะไร กลบั ได้รบั คาตอบคืองงๆๆๆอะไรคือเบราเซอร์? เบราเซอร์ (Browser) คือโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ท่ใี ชท้ ่องเว็บหรือใช้ดขู ้อมลู ที่อยใู่ นเว็บไซต์ เบราเซอรม์ ี ความสามารถในการเปดิ ดูไฟลต์ า่ งๆ ที่สนบั สนนุ เชน่ Flash JavaScript PDF Media ต่างๆ ซึง่ เบราเซอร์มีหลาย ตัวและความสามารถของแต่ละตัวกแ็ ตกตา่ งกันข้นึ อย่กู ับว่าผู้พฒั นาเบราเซอร์ พัฒนาให้มคี วามสามารถอะไรบา้ ง เบราเซอร์มักใชเ้ ปดิ ดูเวบ็ เป็นส่วนใหญ่ และการใช้งานต่างๆในระบบเครือขา่ ยอนิ เตอร์เน็ตก็มกั จะทาผา่ นเบราเซอร์
13 เชน่ การดภู าพยนตรผ์ ่าน Youtube การส่งเมล์ การซื้อขายสินคา้ ในระบบ e-commerce การใช้สือ่ สงั คม ออนไลน์ (Social Media) การดาวนโ์ หลดไฟล์ การเล่นเกมผา่ นเนต็ การเรียนออนไลน์ เป็นต้น ลว้ นแล้วแต่ทา ผ่านเบราเซอรท์ ้งั สิน้ 4 การประยกุ ตใ์ ชโ้ ปรแกรมสาเรจ็ รูด้านงานเอกสารดว้ ยโปรแกรม Microsoft Word 4.1 ความรเู้ บื้องต้นเกีย่ วกับโปรแกรม Microsoft Word 4.1.1 ความหมายของโปรแกรม microsoft word 2013 โปรแกรมไมโครซอฟท์เวิร์ด เป็นโปรแกรมประมวลผลคา ท่ีผลิตโดยบริษัทไมโครซอฟท์ จึงนิยมเรียกว่า ไมโครซอฟท์เวิร์ด ซ่ึงปัจจุบันพัฒนามาถึงรุ่นหรอื เวอร์ชน่ั (Version) 2013 ตามปีค.ศ. ที่ผลิตออกมาจาหน่าย เป็น โปรแกรมท่นี ิยมใชส้ าหรบั การพิมพ์งานเอกสารตา่ ง ๆ เชน่ จดหมาย รายงาน หนงั สอื หนงั สือราชการ วทิ ยานพิ นธ์ เป็นต้น และสามารถจัดรูปแบบของเอกสารให้ดูสวยงาม นอกจากน้ียังสามารถสร้างงานพิมพ์แบบคอลัมน์ (Column) ได้และในเวอร์ชนั่ ปัจจบุ ันไดม้ ี การปรบั ความสามารถของโปรแกรมใหน้ ่าใชแ้ ละทันสมยั มากข้ึน 4.1.2 สว่ นประกอบของโปรแกรม microsoft word 2013 1. หมายเลข 1 แถบช่ือเร่ือง (Title Bar) แถบช่ือเร่ือง เป็นส่วนที่ใช้ในการแสดงชื่อของไฟล์เอกสารที่กาลังใช้งาน และแสดงชอื่ ของ โปรแกรมจากภาพงานเอกสารท่ีกาลังใช้งานมชี ่ือว่า “Document1” และช่ือโปรแกรมที่กาลังใช้ งาน คือ “Microsoft Word” 2. หมายเลข 2 แถบเคร่อื งมือด่วน (Quick Access Tool Bar) แถบเครือ่ งมือด่วน เป็นส่วนท่แี สดงคาสั่งที่ต้องการ ใชง้ านบอ่ ยๆ ปรากฏอยดู่ า้ นบนซ้าย ของหนา้ ตา่ งหรือเราสามารถส่ังให้แสดงอยใู่ ตร้ ิบบอนก็ไดท้ ่ีแสดงในรปู ของปุ่ม รูปภาพ หรือไอคอนเราสามารถเพิ่มหรือลดจานวนของเครื่องมือบนแถบเคร่ืองมือด่วนได้โดยการคลิกที่ ที่อยู่ ด้าน ท้ายสุดของแถบเครื่องมือด่วน แล้วเล่ือนเมาส์คลิกในบริเวณคาส่ังที่ต้องการให้ปรากฏเครื่องมือบน แถบ เคร่ืองมือด่วน โดยเคร่ืองมือที่จะปรากฏบนแถบเครื่องมือด่วนจะปรากฏเครือ่ งหมาย üหน้า เครื่องมือเหล่าน้ัน ใน ทานองเดียวกันหากต้องการยกเลิกเครื่องมือบนแถบเคร่ืองมือด่วนก็กระทา เช่นเดียวกัน แต่เครื่องหมาย üจะ หายไป
14 3. หมายเลข 3 แท็บคาส่ัง “ไฟล์” (File Tab) แท็บคาส่ัง “ไฟล์” เป็นปุ่มรายการที่รวบรวมคาสั่งที่ เก่ียวข้องกับการจัดการแฟ้มหรือ งานนาเสนอ ซึ่งประกอบด้วยคาสั่ง “ข้อมูล” “ใหม่” “เปิด” “บันทึก” “บันทึก เป็น” “พมิ พ”์ “แชร์” “สง่ ออก” และ “ปิด” 4. หมายเลข 4 แทบ็ เครอื่ งมือหรือรบิ บอน (Ribbon) รบิ บอน เป็นแทบ็ ท่รี วบรวมเครือ่ งมือคาสัง่ ต่างๆของ โปรแกรมไมโครซอฟท์เวิร์ด ซึ่งจะถูก แบ่งออกเป็นแท็บ (Tab) ตามหมวดหมู่ของการใช้คาส่ัง ได้แก่แท็บ “หน้า แรก” “แทรก” “ออกแบบ” “เคา้ โครงหนา้ กระดาษ” “การอา้ งองิ ” “การส่งจดหมาย” “รีววิ ” และ “มุมมอง” 5. หมายเลข 5 ไมบ้ รรทัด (Ruler) ไมบ้ รรทัด เป็นสว่ นทแ่ี สดงมาตราส่วนเช่นเดียวกบั ไมบ้ รรทดั ท่วั ไป เพื่อ บอกระยะของขอ้ ความในเอกสาร มที ้งั แนวนอนและแนวตั้ง ใช้ได้ทง้ั เป็นนิว้ และเซนติเมตร 6. หมายเลข 6 ตาแหน่งพิมพ์ (Cursor) ตาแหน่งพิมพ์หรือเคอร์เซอร์เป็นเคร่ืองหมายท่ีบอกตาแหน่งการ พมิ พ์งานในปัจจุบัน 7. หมายเลข 7 แถบสถานะ (Status Bar) แถบสถานะ เป็นส่วนที่แสดงสถานะของการใช้งานเอกสารใน ขณะนนั้ บางสถานะของ การทางานสว่ นนจี้ ะแสดงคาอธิบายการทางานให้ทราบดว้ ย 8. หมายเลข 8 มุมมอง (View) เราสามารถใช้มุมมองของเอกสารในแบบต่าง ๆ จากริบ บอน “มุมมอง” หรือใช้จากแถบ สถานะดา้ นมุมล่างขวามือตามหมายเลข 8 ก็ได้ซ่งึ ได้แก่มุมมอง “โหมดการอ่าน” “เค้าโครงเหมอื นพมิ พ”์ และ “เคา้ โครงเวบ็ ” 9. หมายเลข 9 มุมมองย่อ/ขยาย มุมมองย่อ/ขยาย ใช้สาหรับปรับมุมมองของเอกสาร ซึ่งสามารถปรับได้ ทั้งแบบย่อและ แบบขยาย โดยเปรียบเทยี บได้จากตวั เลขแสดงเปอรเ์ ซน็ ต์ (Percent) ของการยอ่ /ขยาย 10. หมายเลข 10 แถบเลือ่ น (Scroll Bar) แถบเลอ่ื น โดยปกติมีท้ังแนวตั้งและแนวนอน ใช้สาหรับการ เล่อื นดเู อกสารท้ังในแนว บน-ล่าง และแนวซ้าย-ขวา 4.2 ความหมายและการใช้คาส่ังแถบเคร่อื งมือ แถบเคร่ืองมือ คือกลุ่มของคาสั่งท่ีใช้บ่อย จัดไว้เป็นชุดๆ ปกติเม่ือเปิดโปรแกรม Microsoft Word ขึ้นมา โปรแกรมจะแสดงแถบเคร่อื งแถบเครื่องมอื ย่อยให้ผูใ้ ชเ้ ลือกเคร่ืองมือตา่ งๆ ตามความเหมาะสมกบั รูปแบบงานที่หา ลังใช้งาน เมื่อนาตัวช้ีเมาส์ไปวางบนปุ่มสักครู่ จะปรากฏชื่อนั้นขึ้นมา ถ้าต้องการใช้ปุ่มใดให้คลิกปุ่มนั้น1 ครั้ง แต่ ละป่มุ มหี น้าที่แตกตา่ ง 4.3 ขั้นตอนการเปดิ -ปิด ละบนั ทึกขอ้ มูลบนโปรแกรม Microsoft Word 4.3.1 ขัน้ ตอนการเปิดโปรแกรม microsoft word 1.เลือกป่มุ start 2.เลือกProgram 3. เลือก microsoft office 4.เลอื ก microsoft word 2013
15 4.3.2 ข้นั ตอนการบนั ทกึ ขอ้ มูลบนโปรแกรม microsoft word 1. เลอื กเมนู file 2. เลือก save as เพ่ือระบุไดรฟ์ ทต่ี ้องการบนั ทึก 3. ในส่วนของ file name ปอ้ นชอื่ บันทึกข้อมูล 4. เลอื ก save 4.3.3 ขน้ั ตอนการปิดโปรแกรม microsoft word 1. เลอื กเมนู file 2. เลือกCloseปิดแฟม้ งาน 3 .เลอื กเมนู file 4. เลอื ก Exit ปดิ โปรแกรมการใช้งาน 4.4 การพมิ พเ์ อกสาร การเลือกข้อมูล คัดลอก และเคล่ือนยา้ ยขอ้ มลู 4.4.1 ขนั้ ตอนการพิมพเ์ อกสาร 1. เลอื กแถบเคร่อื งมือ 2. เลอื กข้อความเพ่อื จัดการข้อความ เช่น เลอื กขนาดตวั อกั ษรเลอื กรูปตวั อกั ษรโดยเลอื กทแ่ี ถบเคร่อื งมือ 3. วางเคอร์เซอร์ ณ ตาแหนง่ ท่ตี อ้ งการพิมพ์ขอ้ ความ 4. พมิ พ์ข้อความทต่ี ้องการ 5. เมื่อต้องการพิมพบ์ รรทัดถัดไปกดปุ่ม enter 4.4.2 ขน้ั ตอนการเลือกข้อความ (แรงเงา) 1.วางเคอร์เซอรห์ น้าข้อความ 2. กดป่มุ เมาส์ซ้ายคา้ งล่างจากข้อความแรกไปจนถงึ ข้อความสดุ ท้ายทีต่ ้องการปรากฏสีดาบนขอ้ ความ 4.4.3ขั้นตอนการคัดลอกขอ้ ความ Copy 1. เลอื กข้อความทต่ี ้องการแรงเงา 2.วางเมาสบ์ นพนื้ ท่ีท่เี ลอื กข้อความ 3. คลกิ เมาส์ปมุ่ ขวาเลือก copy 4. วางเคอรเ์ ซอรณ์ ตาแหน่งที่ตอ้ งการวางข้อความ 5. คลิกเมาสป์ มุ่ ขวาเลือก paste options 4.4.4 ขน้ั ตอนการตดั ข้อความ 1.เลอื กข้อความท่ไี ม่ตอ้ งการ 2. กดปุม่ delete หรอื เลือก cut บนแถบเครื่องมือถือกด enter 4.4.5 ขนั้ ตอนการเรียกข้อความกลบั คนื เลือก Undo 4.4.6 ขั้นตอนการเคลอ่ื นไหวข้อความ 1. เรอ่ื งขอ้ ความที่ตอ้ งการยา้ ย 2. วางเมาสบ์ นพ้นื ที่ที่เลือกข้อความ 3.เลือกเมาสเ์ พื่อนา เคอร์เซอร์r แปลว่าเอาขอ้ ความห ณ ตาแหน่งทตี่ ้องการ
16 4. การเลือกข้อความไปยงั บรรทดั ถัดไป (1) การวางเคอรเ์ ซอร์หน้าข้อความหรือหนา้ บรรทัดที่ต้องการ (2) กดปุ่ม enter 5. การเล่ือนไปยังหน้าถัดไป (1) วางเคอรเ์ ซอรห์ ลงั ข้อความสุดท้ายของบรรทัดในหน้าเอกสาร (2) กดป่มุ ctrl enter พร้อมกัน 4.4.7 การแกไ้ ขข้อความ 1.1 การลบข้อความ (1) วางเคอรเ์ ซอรห์ น้าข้อความทีต่ ้องการลบแลว้ กดปุ่ม delete หรอื (2) วางเคอรเ์ ซอรห์ ลงั ข้อความทีต่ ้องการลบแล้วกดปมุ่ blackspace 5 การจัดเอกสารและการนาเอกสารมางาน 5.1 การจัดเรียงลาดับขอ้ มลู ในตารางเอกสาร เลอื กคอลัมน์ของขอ้ มูลตัวอักษรและตวั เลขในช่วงของเซลล์ หรือตรวจสอบใหแ้ นใ่ จว่าเซลลท์ ่ีใช้งานอยู่อยู่ในคอลมั น์ ตารางท่ีมีข้อมูลตวั อกั ษรและตวั เลข 1. บนแท็บ ข้อมูล ในกลุ่ม เรยี งลาดับและกรอง ใหเ้ ลือกทาอย่างใดอย่างหน่ึงดงั ต่อไปน้ี 2. เมอื่ ต้องการเรียงลาดับตัวอักษรจากน้อยไปหามาก ใหค้ ลิก (เรียงลาดับจาก A ถงึ Z) 3. เมือ่ ตอ้ งการเรยี งลาดับตัวอักษรจากมากไปหาน้อย ใหค้ ลิก เรยี งลาดับจาก Z ถงึ A อกี ทางเลือกหนง่ึ คือ คณุ สามารถเรียงลาดับตามตัวพิมพ์ใหญ่-เลก็ : 1. บนแทบ็ ขอ้ มูล ในกล่มุ เรียงลาดบั และกรอง ใหค้ ลิก เรียงลาดบั 2. ในกลอ่ งโตต้ อบ เรียงลาดับ ให้คลกิ ตัวเลอื ก 3. ในกลอ่ งโตต้ อบ ตวั เลอื กการเรยี งลาดบั ให้เลอื ก ตรงตามตวั พิมพ์ใหญ่-เลก็ 4. คลกิ ตกลง สองครงั้ 5. เม่ือต้องการนาการเรียงลาดับมาใช้ใหม่หลังจากที่คุณเปลี่ยนแปลงข้อมูล ให้คลิกท่ีเซลล์ในช่วงหรือ ตาราง จากนนั้ บนแท็บ ข้อมลู ในกล่มุ เรยี งลาดับและตัวกรอง ใหค้ ลกิ นาไปใชใ้ หม่ ปัญหา: ตรวจสอบว่าข้อมูลท้ังหมดถูกเก็บเป็นข้อความ ถ้าคอลัมน์ท่ีคุณต้องการเรียงลาดับมีตัวเลขที่เก็บเปน็ ตัวเลข และตวั เลขทเ่ี กบ็ เปน็ ขอ้ ความ คุณจาเปน็ ตอ้ งจัดรปู แบบทัง้ หมดเปน็ ข้อความ ถ้าคุณไมน่ ารปู แบบน้ไี ปใช้ ตัว เลขที่จัดเก็บเป็นตัวเลขจะถูกเรียงลาดับก่อนตัวเลขท่ีจัดเก็บเป็นข้อความ เมื่อต้องการจัดรูปแบบข้อมูลที่เลือกไว้ ท้ังหมดเป็นข้อความ บนแท็บ หน้าแรก ในกลุ่ม แบบอักษร ให้คลิกปุ่ม ฟอนต์ในการจัดรูปแบบเซลล์ คลิก แทบ็ ตวั เลข แล้วภายใต้ ประเภท ใหค้ ลิก ขอ้ ความ
17 ปัญหา: นาช่องว่างนาหน้าออก ในบางกรณี ข้อมูลที่นาเข้าจากโปรแกรมประยุกต์อื่นอาจมีช่องว่างนาหน้า แทรกอยู่ที่ด้านหน้าของข้อมูล ให้เอาช่องว่างนาหน้าออกก่อนท่ีจะเรียงลาดับข้อมูล คุณสามารถดาเนินการนี้ด้ วย ตนเอง หรือคุณจะใช้ฟังก์ชนั TRIM ก็ได้ 1. เลือกคอลัมน์ของข้อมูลตัวเลขในช่วงของเซลล์ หรือให้ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเซลล์ที่ใช้งานอยู่อยู่ในคอลัมน์ ตารางทม่ี ขี อ้ มูลตวั เลข 2. บนแท็บ ข้อมูล ในกลุ่ม เรยี งลาดบั และกรอง ให้เลอื กทาอยา่ งใดอย่างหนงึ่ ดังตอ่ ไปนี้ 3. เมื่อตอ้ งการเรยี งลาดับตวั เลขจากนอ้ ยไปหามาก ให้คลกิ (เรียงลาดับจากน้อยทส่ี ดุ ไปหามากที่สุด) 4. เมือ่ ต้องการเรียงลาดับตวั เลขจากมากไปหานอ้ ย ใหค้ ลกิ (เรียงลาดบั จากมากท่สี ุดไปหาน้อยท่ีสดุ ) ปัญหา: ตรวจสอบว่ามีการจัดเกบ็ ตัวเลขทั้งหมดเป็นตัวเลข ถ้าผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คุณคาดไว้ คอลัมน์อาจ มีตัวเลขท่ีจัดเก็บเป็นข้อความแทนที่จะเป็นตัวเลข ตัวอย่างเช่น ค่าลบท่ีนาเข้าจากระบบบัญชีบางอย่างหรือตัว เลขที่ป้อนโดยใช้เครื่องหมายอัญประกาศเด่ียว (‘) นาหน้าจะได้รับการจัดเก็บเป็นข้อความ สาหรับข้อมูลเพ่ิมเติม ใหด้ ูที่ แกไ้ ขขอ้ ความท่จี ัดรปู แบบเป็นตัวเลขโดยการนาการจดั รูปแบบตัวเลขไปใช้ 1. เลือกคอลัมน์ของวันท่ีหรือเวลาในช่วงของเซลล์ หรือตรวจสอบให้แน่ใจว่าเซลล์ที่ใช้งานอยู่อยู่ในคอลัมน์ ตารางทมี่ วี ันทีห่ รอื เวลา 2. เลอื กคอลัมนข์ องวันทห่ี รือเวลาในชว่ งของเซลลห์ รือตาราง 3. บนแทบ็ ขอ้ มูล ในกลมุ่ เรียงลาดบั และกรอง ใหเ้ ลือกทาอย่างใดอย่างหน่งึ ดงั ต่อไปนี้ 4. เมอ่ื ต้องการเรียงลาดบั วนั ท่ีหรือเวลาจากกอ่ นไปหลัง ใหค้ ลิก (เรยี งลาดบั จากเกา่ สุดไปหาใหมส่ ดุ ) 5. เมือ่ ตอ้ งการเรยี งลาดบั วนั ท่หี รอื เวลาจากหลังไปก่อน ใหค้ ลกิ (เรียงลาดับจากใหมส่ ดุ ไปหาเกา่ สดุ ) 6. เม่ือต้องการนาการเรียงลาดับมาใช้ใหม่หลังจากที่คุณเปล่ียนแปลงข้อมูล ให้คลิกที่เซลล์ในช่วงหรือตาราง จากน้นั บนแท็บ ขอ้ มูล ในกลมุ่ เรียงลาดับและตัวกรอง ใหค้ ลิก นาไปใชใ้ หม่ ปัญหา: ตรวจสอบว่ามีการจัดเก็บวันที่และเวลาเป็นวันท่ีหรือเวลา ถ้าผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามท่ีคุณคาดไว้ คอลัมน์อาจมีวันที่และเวลาท่ีจัดเก็บเป็นข้อความแทนที่จะเป็นวันท่ีหรือเวลา เพื่อให้ Excel เรียงลาดับวันท่ีและ เวลาได้อย่างถูกต้อง วันที่และเวลาท้ังหมดในคอลัมน์ต้องจัดเก็บเป็นหมายเลขลาดับเวลาหรือวันท่ี ถ้า Excel ไม่ สามารถจาค่าเปน็ วันทีห่ รือเวลา วันท่ีหรือเวลาจะได้รับการจดั เกบ็ เป็นข้อความ สาหรับขอ้ มลู เพิ่มเติม ให้ดทู ี่ แปลง วนั ที่ทีเ่ ก็บเป็นข้อความใหเ้ ปน็ วันที่ หมายเหต:ุ ถ้าคณุ ตอ้ งการให้เรียงลาดับตามวันในสัปดาห์ ใหจ้ ดั รูปแบบเซลลใ์ ห้แสดงวันในสปั ดาห์ ถ้าคณุ ต้องการ เรียงลาดับตามวันในสัปดาห์โดยไม่คานึงถึงวันท่ี ให้แปลงเซลล์เป็นข้อความโดยใช้ฟังก์ชัน Text อย่างไรก็ตาม ฟังก์ชัน TEXT จะส่งกลับค่าข้อความ และดังน้ันการเรียงลาดับจะเป็นไปตามข้อมูลที่เป็นตัวเลขและตัวอักษร สาหรับขอ้ มลู เพมิ่ เตมิ ให้ดทู ี่ แสดงวนั ที่เป็นวันในสปั ดาห์ 5.2 การแทรกเลข หัว/ทา้ ยกระดาษ ใช้วิธีการนเี้ พื่อใส่หมายเลขหนา้ ทกุ หนา้ หรอื ยกเว้นหน้าชอื่ เร่ือง (หน้าแรก) 1. บนแทบ็ แทรก ใหค้ ลิก หมายเลขหนา้ 2. เลอื กตาแหนง่ ในเอกสารทค่ี ณุ ต้องการแสดงหมายเลขหน้า เช่น ด้านบนของหน้า (หัวกระดาษ) ดา้ นล่างของ หนา้ (ทา้ ยกระดาษ) ระยะขอบกระดาษ (ดา้ นข้าง) หรอื ตาแหนง่ ปจั จบุ นั
18 5.2 การแทรกเลข หวั /ท้ายกระดาษ ใช้วธิ ีการนีเ้ พือ่ ใส่หมายเลขหน้าทกุ หนา้ หรือยกเว้นหน้าช่อื เร่อื ง (หนา้ แรก) 1. บนแท็บ แทรก ให้คลกิ หมายเลขหนา้ 2. เลือกตาแหนง่ ในเอกสารทคี่ ณุ ตอ้ งการแสดงหมายเลขหนา้ เชน่ ดา้ นบนของหน้า (หัวกระดาษ) ดา้ นลา่ ง ของหน้า (ทา้ ยกระดาษ) ระยะขอบกระดาษ (ดา้ นข้าง) หรอื ตาแหน่งปจั จุบนั การเลือก ตาแหน่งปจั จบุ ัน จะแทรกหมายเลขหนา้ ในตาแหนง่ ท่ีเคอร์เซอร์ของคณุ วางอย่ใู นเอกสาร 6 การประยกุ ต์ใช้โปรแกรมคานวณทางธุรกจิ ดว้ ยโปรแกรม Microsoft Excel 6.1 ความรเู้ บอื้ งต้นเกีย่ วโปรแกรม Microsoft Excel เอกสาร Excel เรียกวา่ เวริ ก์ บ๊กุ แต่ละเวิรก์ บุ๊กจะมเี วิร์กชีต ซ่ึงโดยปกติจะเรยี กวา่ สเปรดชตี คุณสามารถเพิม่ เวิร์กชี ตลงในเวิรก์ บุ๊กได้มากเท่าที่คณุ ตอ้ งการ หรอื คณุ สามารถสรา้ งเวิรก์ บกุ๊ ใหมเ่ พอ่ื เกบ็ ข้อมลู ของคุณแยกต่างหากก็ได้
19 1. คลิก ไฟล์ > ใหม่ 2. ภายใต้ ใหม่ ให้คลกิ ท่ี เวริ ์กบกุ๊ เปลา่ 1. คลิกตรงเซลลท์ ว่ี า่ ง ตวั อย่างเช่น เซลล์ A1 บนเวิรก์ ชีตใหม่ เซลล์ถูกอ้างอิงโดยตาแหน่งที่ต้ังของเซลล์ในแถวและคอลัมน์บนเวิร์กชีต ดังน้ันเซลล์ A1 จะอยู่ในแถวแรกของ คอลมั น์ A 2. พมิ พ์ขอ้ ความหรือตวั เลขลงในเซลล์ 3. กด Enter หรือ Tab เพอื่ ย้ายไปยังเซลล์ถดั ไป เมื่อคุณได้ใสต่ วั เลขในเวริ ์กชีตของคณุ คุณอาจต้องการบวกตวั เลขเหลา่ นัน้ วธิ ที ี่รวดเร็วในการทาคือใช้ ผลรวม อตั โนมตั ิ 1. เลือกเซลล์ทอี่ ยู่ทางด้านขวาหรอื ดา้ นลา่ งของตวั เลขทค่ี ุณตอ้ งการรวม 2. คลิก หนา้ แรก > ผลรวมอตั โนมตั ิ หรอื กดแป้น Alt+= 6.2 ส่วนประกอบของโปรแกรม Microsoft Excel สว่ นประกอบของMicrosoftExcel ปกตกิ ารเรยี กใชง้ าน Excel เปดิ แฟม้ คือสมุดงานข้นึ มาซึ่งสมดุ งานจะประกอบด้วยแผน่ งาน หลาย ๆแผน่ รวมกนั ซ่ึงในไฟล์ของสมดุ งานแตล่ ะไฟล์จะมีแผ่นงานไดส้ งุ สดุ 255 แผ่นโดยการแทรกแผ่นงาน การแทรกแผน่ งาน คลิกที่ คาสั่ง แทรก(Insert) > แผน่ งาน(Work sheet) หรือคลกิ ที่ชอ่ื แผน่ งาน(work sheet) แล้วคลิกขวา > คลกิ แทรก โครงสร้างของแผน่ งาน (Work Sheet) จะมีลกั ษณะเป็นตารางขนาดใหญ่ โดยมกี ารแบง่ พ้ืนท่ีทางแนวนอนออเป็น ส่วน ๆ เรียกว่า แถว (Row) จะใช้ตัวเลขเป็นตัวระบุตาแหน่งขอแถว เร่ิมต้นท่ี 1 และ้สิ้นสุดที่ 65,536 (ถ้าเป็น Excel 97 จะได้16,384) และแบ่งพ้ืนท่ีทางแนวตั้งออกเป็นส่วน ๆ เรียกว่า สดมภ์Column) จะมีทั้งหมด 256 สดมภ์ โดยจะใช้ตัวอักษรภาษาอักฤษเป็นตัวระบุตาแหน่งเร่ิมจาก A – IV สดมน์และแถวมาตัดกันเป็นช่องเล็ก ๆ
20 เรียกว่า เซลล์ (Cell)ซึ่งมีจานวนเซลล์เท่ากับจานวนแถวคูณด้วยจานวนสดมภ์และมีช่ือเรียกตามชื่อคอลัมน์ตาม ด้วยชอ่ื แถว เชน่ A1หมายถึงอ้ยท่ ค่ี อลมั น์ Aแถวที่ 1 ส่วนประกอบของ Microsoft Excel เม่ือเขา้ สู่การทางานของ Excel แล้วจะปรากฎหนา้ ต่างการทางานซ่ึงประกอบดว้ ยส่วนตา่ ง ๆ ดังรูป 6.3 การกาหนดขอบเขตของข้อมลู เอกสาร Excel เรยี กวา่ เวิร์กบกุ๊ แตล่ ะเวริ ก์ บุ๊กจะมเี วริ ์กชตี ซ่ึงโดยปกตจิ ะเรยี กว่าสเปรดชตี คณุ สามารถเพิ่มเวิร์กชี ตลงในเวิร์กบุ๊กไดม้ ากเทา่ ทค่ี ุณต้องการ หรอื คุณสามารถสรา้ งเวริ ก์ บุ๊กใหม่เพื่อเกบ็ ข้อมูลของคุณแยกตา่ งหากก็ได้ 1. คลิก ไฟล์ > ใหม่ 2. ภายใต้ ใหม่ ใหค้ ลกิ ท่ี เวริ ก์ บ๊กุ เปล่า 3. คลกิ ตรงเซลลท์ วี่ ่าง ตัวอยา่ งเชน่ เซลล์ A1 บนเวริ ์กชตี ใหม่ เซลล์ถูกอ้างอิงโดยตาแหน่งที่ตั้งของเซลล์ในแถวและคอลัมน์บนเวิร์กชีต ดังน้ันเซลล์ A1 จะอยู่ในแถวแรกของ คอลมั น์ A 4. พิมพ์ข้อความหรือตัวเลขลงในเซลล์ 5. กด Enter หรือ Tab เพ่อื ย้ายไปยังเซลลถ์ ดั ไป
ค อ้างอิง https://sites.google.com/site/sarsnthespheuxkarcadkarxachiph
Search
Read the Text Version
- 1 - 24
Pages: