ประวตั ปิ ระเพณวี นั สงกานต์ของไทย
\"สงกรานต์\" เป็ นคาภาษาสันสกฤต แปลว่า \"ผ่าน\" หรือ \"เคล่ือนย้าย เข้าไป\" ในทน่ี ีห้ มายถงึ เป็ นวนั ที่พระอาทติ ย์ ผ่านหรือเคลื่อนย้าย จากราศี มนี เข้าสู่ ราศีเมษ ในเดือนเมษายน ถือเป็ นช่วงสงกรานต์หากพระอาทติ ย์ เคล่ือนย้าย ในช่วงเดือนอื่น ๆ ถือเป็ นการเคลื่อนย้ายธรรมดา ตามปกตนิ ้ัน พระอาทติ ย์จะย้ายจากราศีหนึ่งไปสู่อกี กลุ่มดาวหนึ่งเป็ นประจาทุกเดือน หรือจะเรียกว่าเป็ นการย้ายจากกลุ่มดาวหนึ่งไปสู่อกี กล่มุ ดาวหน่ึง ตามหลกั โหราศาสตร์หรือภาษาโหร เรียกว่า\"ยกขนึ้ สู่\" ตวั อย่างเช่น พระอาทติ ย์ขึน้ สู่ ราศีเมษ กค็ ือการทพ่ี ระอาทิตย์ย้ายจากกลุ่มดาวราศีมนี ไปสู่กลุ่มดาวราศีเมษ ซ่ึงเป็ นราศีถัดไปน่ันเอง
โหรโบราณ ได้แบง่ ทอ้ งฟ้าออกเป็ น 12 ส่วน ส่วนหนึ่ง ๆ เรียกว่าราศี ซงึ่ มรี าศีละ 30 องศา รวม 12 ราศี กเ็ ทา่ กบั 360 องศาครบรอบวงกลมพอดี ตามตัวอยา่ งข้างล่างนี้ •ราศีเมษ •ราศพี จิ ิก เกิดระหวา่ งวนั ท่ี 13 เมษายน-13 พฤษภาคม เกิดระหวา่ งวนั ท่ี 17 พฤศจิกายน - 15 ธนั วาคม •ราศพี ฤษภ เกิดระหวา่ งวนั ท่ี 14 พฤษภาคม - 13 มิถนุ ายน •ราศีธนู เกิดระหวา่ งวนั ท่ี 16 ธนั วาคม - 15 มกราคม •ราศีเมถนุ เกิดระหวา่ งวนั ท่ี 14 มถิ นุ ายน -14 กรกฎาคม •ราศมี ังกร •ราศกี รกฎ เกิดระหวา่ งวนั ท่ี 16 มกราคม - 12 กมุ ภาพนั ธ์ เกิดระหวา่ งวนั ท่ี 15 กรกฎาคม - 16 สงิ หาคม •ราศีสิงห์ •ราศีกุมภ์ เกิดระหวา่ งวนั ท่ี 17สิงหาคม -16 กนั ยายน เกิดระหวา่ งวนั ท่ี 13 กมุ ภาพนั ธ์ - 13 มีนาคม •ราศีกันย์ •ราศีมนี เกิดระหวา่ งวนั ท่ี 17 กนั ยายน - 16 ตลุ าคม เกิดระหวา่ งวนั ท่ี 14 มีนาคม - 12 เมษายน
ดว้ ยเหตุน้ี เมื่อ สงกรานต์ แปลวา่ ผา่ น หรือ เคลื่อนยา้ ยเขา้ ไป วนั สงกรานต์ จึงตอ้ งมีอยปู่ ระจาทุกเดือน เพราะดวง อาทิตยจ์ ะยา้ ยจากราศีหน่ึง ไปสู่อีกราศีหน่ึงซ่ึงอยถู่ ดั ไปเดือนละ 1 คร้ัง เสมอ แต่ในวนั และเวลาที่พระอาทิตยย์ กข้ึนสู่ (ตามภาษาโหร) หรือเคลื่อนยา้ ยจากราศีมีนเขา้ ไปสู่ราศีเมษ ในเดือน เมษายน (ซ่ึงตรงกบั วนั ข้ึน 1 ค่า เดือน 5) เราถือเป็นกรณีพิเศษ เรียกวา่ วนั มหาสงกรานตด์ ว้ ยถือกนั วา่ เป็นวนั และแวลาที่ต้งั ตน้ สู่ปี ใหม่ เป็นวนั เปลี่ยนจุลศกั ราชใหม่ ตามการคานวณของโหรผรู้ ู้ทางโหราศาสตร์ เพราะในสมยั โบราณเรานบั ถือ เดือนเมษายนเป็นเดือนแรกของปี สมยั พระบาท สมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั รัชกาลท่ี 5 ในปี พ.ศ.2432 ได้ กาหนดให้ใช้ วนั ขนึ้ 1 คา่ เดือน 5 ซึ่งตรงกบั วนั ที่ 1 เมษายน เป็ นวนั ขนึ้ ปี ใหม่ และได้ใช้เร่ือยมา สาเหตุกเ็ พราะ สอดคล้องกบั ธรรมเนียมโบราณ เน่ืองจาก หากนบั ทางจนั ทรคติ จะตรงกบั วนั ข้ึน 1 ค่าเดือน 5 ซ่ึงกค็ ือวนั สงกรานต์ หรือวนั ท่ีดวงอาทิตยย์ า้ ยจากราศีมีนไปสู่ราศีเมษนนั่ เอง และไดม้ ีการใชว้ นั ท่ี 1 เมษายน เป็ นวนั ปี ใหม่ของไทยแต่น้นั เรื่อย มาแมว้ า่ ในปี ต่อไปจะไม่ตรงกบั วนั สงกรานต์ (หมายถึงวนั ท่ีดวงอาทิตยย์ า้ ยจากราศีมีน ไปสู่ราศีเมษ) ท้งั น้ีเพ่ือใหม้ ีการกาหนดวนั ทางสุริยคติที่แน่นอนตายตวั ลง ไป
ต่อมาในวนั ท่ี 24 ธนั วาคม พ.ศ.2483 คณะรัฐบาลของจอมพล ป.พบิ ูลย์สงคราม ได้ประกาศ ให้ใช้วนั ที่ 1 มกราคม พ.ศ.2484 เป็ นวนั ขนึ้ ปี ใหม่ เพื่อใหส้ อดคลอ้ งกบั ประเทศอื่น ๆ เป็นสากลทว่ั โลกและใชเ้ รื่อยมาจนถึงปัจจุบนั นอกจากน้นั เรายงั ถือเอาวนั ท่ี 14 เมษายนเป็นวนั ครอบครัว อีก ดว้ ย เมื่อถึงเดือน 5 ตรงกบั วนั ท่ี 13 เมษายนของทุก ๆ ปี เราเรียกวนั น้ีวา่ \" วนั สงกรานต์ \" ประเพณีไทยเดิมถือวา่ วนั น้ีเป็นวนั ข้ึนปี ใหม่ธรรมเนียมไทยเรากจ็ ะมีการเล่น ร่ืนเริง มีการรดน้าดา หวั โดยเฉพาะหนุ่มๆ สาวๆ จะสนุกกนั เตม็ ที่เล่นสาดน้ากนั โดยไม่ถือเน้ือถือตวั เลย ในชนบทหลาย แห่ง มีการเล่นพ้ืนเมืองต่าง ๆ กนั อน่ึงวนั น้ีบางแห่งจะเริ่มจากวนั ที่ ๑๓ เมษายน และมีการเล่น สนุกสนานไปราว ๆ ๑ สปั ดาห์ หรือกวา่ น้นั แต่ไม่เกิน 2 สปั ดาห์ ระยะน้ีจะมีการนาน้าหอมเส้ือผา้ อาภรณ์ไปรดน้าผใู้ หญ่ ญาติพ่ีนอ้ งท่ีเคารพนบั ถือและทางศาสนากจ็ ดั ใหม้ ีการบายศรีพระสงฆ์ สมภารเจา้ วดั สรงน้าพระพทุ ธรูปศกั ด์ิสิทธ์ิเท่าท่ีมีตามวดั ต่าง ๆ ท่ีอยใู่ กลเ้ คียง
ประวตั ิวนั สงกรานต์ กาเนิดวนั สงกรานต์ มีเร่ืองเล่าสืบ ๆ กนั มา น่าจดจาไวด้ งั ขอ้ ความจารึกวดั เชตุพน ฯ ไดก้ ล่าว ไวป้ ระดบั ความรู้ของสาธุชนท้งั หลายดงั ต่อไปน้ี \" เม่ือตน้ ภทั รกลั ป์ มีเศรษฐีคนหน่ึง มง่ั มีทรัพยม์ าก แต่ไม่มีบุตร บา้ นอยใู่ กลน้ กั เลงสุรา นกั เลงสุราน้นั มีบุตร ๒ คน ผิวเน้ือดุจทอง วนั หน่ึงนกั เลงสุราเขา้ ไปในบา้ นของเศรษฐี แลว้ ด่าเศรษฐี ดว้ ยถอ้ ยคาหยาบคายต่าง ๆ เศรษฐีไดฟ้ ังจึงถามวา่ พวกเจา้ มาพดู หยาบคายดูหมิ่น เราผเู้ ป็นเศรษฐีเพราะ เหตุใด พวกนกั เลงสุราจึงตอบวา่ ท่านมีสมบตั ิมากมายแต่หามีบุตรไม่ เมื่อท่านตายไปสมบตั ิกจ็ ะ อนั ตรธานไปหมด หาประโยชน์อนั ใดมิได้ เพราะขาดทายาท ผปู้ กครอง ขา้ พเจา้ มีบุตรถึง ๒ คน และ รูปร่างงดงามเสียดว้ ย ขา้ พเจา้ จึงดีกวา่ ท่าน เศรษฐี คร้ันไดฟ้ ังกเ็ ห็นจริงดว้ ย จึงมีความละอายต่อนกั เลง สุรายง่ิ นกั จึงนึกใคร่อยากไดบ้ ุตรบา้ ง จึง ทาการบวงสรวงพระอาทิตยแ์ ละพระจนั ทร์ ต้งั จิตอธิษฐาน เพือ่ ขอใหม้ ีบุตร อยถู่ ึง ๓ ปี ก็ มิไดม้ ีบุตรสมดงั ปรารถนา
เมื่อขอบุตรจากพระอาทิตย์และพระจนั ทรืมิได้ดงั ปรารถนาแล้วอยู่มา วนั หน่ึง ถึงฤดูคมิ หันต์ จติ รมาส ( เดือน ๕ ) โลกสมมุตวิ ่าเป็ นวนั มหาสงกรานต์ คือ พระอาทติ ย์ยกจากราศีมนี ประเวสสู่ราศีเมษ คนท้งั หลายพากนั เล่นนักขตั ฤกษ์เป็ นการรื่นเริงขึน้ ปี ใหม่ท่ัวชมพูทวปี ขณะน้ันเศรษฐีจงึ พาข้าทาสบริวาร ไปยงั ต้นไทรริมฝ่ังแม่นา้ อนั เป็ นที่อยู่แห่งปักษีชาตทิ ้ังหลาย เอาข้าวสารซาวนา้ ๗ คร้ัง แล้วหุงบูชา รุกขพระไทรพร้อมด้วยสูปพยญั ชนะอนั ประณตี และ ประโคมด้วยดุริยางค์ดนตรีต่าง ๆ ต้งั จติ อธิษฐาน ขอบุตรจากรุกขพระไทร รุกขพระไทรมคี วามกรุณา เหาะไปขอบุตรกบั พระอนิ ทร์ให้กบั เศรษฐี
พระอนิ ทร์จงึ ให้ธรรมบาลเทวบุตร ลงไปปฏิสนธิในครรภ์ บดิ ามารดาขนานนามว่า ธรรมบาลกมุ าร แล้วจึงปลูกปราสาทขนึ้ ให้กมุ ารอยู่ใต้ต้นไทรริมสระฝั่งแม่นา้ น้ัน คร้ันกมุ ารเจริญขนึ้ กร็ ู้ ภาษานกแล้วเรียนจบไตรเพทเม่ืออายุได้ ๘ ขวบ และได้เป็ นอาจารย์ บอกมงคลการต่าง ๆ แก่มนุษย์ ชาวชมพทู วปี ท้งั ปวงซึ่งขณะน้นั โลกท้งั หลายนับถือท้าวมหาพรหม และกบลิ พรหมองค์หน่ึงได้ แสดง มงคลการแก่มนุษย์ท้งั ปวง
เม่ือกบลิ พรหมแจ้งเหตุทธ่ี รรมกุมารเป็ นผู้มชี ่ือเสียง เป็ นทน่ี ับถือของ มนุษย์ชาวโลกท้งั หลาย จึงลงมาถามปัญหาแก่ธรรมกุมาร ๓ ข้อ ความว่า 1.เวลาเชา้ สิริคือราศีอยทู่ ่ีไหน 2.เวลาเที่ยง สิริคือราศีอยทู่ ่ีไหน 3.เวลาเยน็ สิริราศีอยทู่ ี่ไหน และสญั ญาวา่ ถา้ ท่านแกป้ ัญหา ๓ ขอ้ น้ีไดเ้ ราจะตดั ศีรษะเราบูชาท่าน ถา้ ท่านแกไ้ ม่ได้ เราจะตดั ศีรษะของท่านเสีย ธรรมกมุ ารรับสญั ญา แต่ผลดั แกป้ ัญหาไป ๗ วนั กบิลพรหมกก็ ลบั ไปยงั พรหมโลก
ฝ่ ายธรรมบาลกมุ ารพจิ ารณาปัญหาน้ันล่วงไปได้ ๖ วนั แล้วยงั ไม่เห็นอุบายทีจ่ ะ ตอบปัญหาได้ จึงคดิ ว่าพรุ่งนีแ้ ล้วสิหนอ เราจะต้องตายด้วยอาญาของท้าวกบิลพรหม เราหาต้องการไม่ จาจะหนีไป ซุกซ่อนตนเสียดกี ว่า คดิ แล้วลงจากปราสาทเทยี่ วไป นอนท่ีต้นตาล ๒ ต้น ซ่ึงมีนกอนิ ทรี ๒ ตนผวั เมยี ทารังอยู่บนต้นตาลน้ัน ขณะทธี่ รรมบาลกมุ ารนอนอยู่ใต้ต้นตาลน้ัน ได้ยนิ เสียงนางนกอนิ ทรีถามผวั ว่า พรุ่งนีเ้ รา จะไปหาอาหารท่ีไหน นกอนิ ทรีผู้ผวั ตอบว่า พรุ่งนีค้ รบ ๗ วนั ทที่ ้าวกบิล พรหม ถามปัญหาแก่ธรรมบาล กมุ าร แต่ธรรมบาลกมุ ารแก้ไม่ได้ ท้าวกบลิ พรหมจะ ตัดศีรษะเสียตามสัญญา เราท้ัง ๒ จะได้กนิ เนื้อมนุษย์ คือ ธรรมบาลกมุ ารเป็ นอาหาร นางนกอนิ ทรีจึงถามว่าท่านรู้ปัญหาหรือ ? ผู้ผวั ตอบว่ารู้แล้วกเ็ ล่าให้นาง นกอนิ ทรีฟัง ต้งั แต่ต้นจนปลายว่า
1.เวลาเชา้ ราศีอยทู่ ี่ หนา้ คนท้งั หลายจึงเอาน้าลา้ งหนา้ 2.เวลาเที่ยงราศีอยทู่ ่ี อก คนท้งั หลายจึงเอาน้าและแป้งกระแจะจนั ทร์ลูบไล้ ที่อก 3.เวลาเยน็ ราศีอยทู่ ่ี เทา้ คนท้งั หลายจึงเอาน้าลา้ งเทา้ ธรรมบาลกมุ ารนอนอยใู่ ตต้ น้ ไมไ้ ดย้ นิ การสนทนาของท้งั สองกจ็ าได้ จึงมีความโสมนสั ปี ติยนิ ดีเป็นอนั มาก แลว้ จึงกลบั มาสู่ปราสาทของตน
คร้ันถึงวาระเป็นคารบ ๗ ตามสัญญา ทา้ วกบิลพรหมกล็ งมาถามปัญหาท้งั ๓ ขอ้ ตามที่นดั หมายกนั ไว้ ธรรมบาลกมุ ารกว็ สิ ชั นาแกป้ ัญหาท้งั ๓ ขอ้ ตามท่ีไดฟ้ ังมา จากนกอินทรีน้นั ทา้ วกบิลพรหม ยอมรับวา่ ถูกตอ้ งและยอมแพแ้ ก่ธรรมบาลกมุ าร และจาตอ้ งตดั ศีรษะของตนบูชาตามท่ีสัญญาไว้ แต่ก่อนท่ี จะตดั ศีรษะ ไดต้ ดั เรียก ธิดาท้งั ๗ อนั เป็นบาทบริจาริกาของพระอินทร์ คือ •นางทุงษะเทวี •นางรากษเทวี •นางโคราคเทวี •นางกิริณีเทวี •นางมณฑาเทวี •นางกิมิทาเทวี •นางมโหธรเทวี
อนั โลกสมมตุ วิ ่าเป็นองคม์ หาสงกรานต์ กบั ทงั้ เทพบรรษัทมาพรอ้ มกนั แลว้ จงึ บอกเรอ่ื งราว ให้ ทราบและตรสั ว่าพระเศียรของเรานี้ ถา้ ตงั้ ไวบ้ นแผน่ ดินก็จะเกิดไฟไหมไ้ ปท่วั โลกธาตุ ถา้ จะโยน ขนึ้ ไปบนอากาศฝนก็จะแลง้ เจา้ ทงั้ ๗ จงเอาพานมารองรบั เศียรของบดิ าไวเ้ ถิด ครน้ั แลว้ ทา้ ว กบลิ พรหม ก็ตดั พระเศียรแคพ่ ระศอสง่ ใหน้ างทงุ ษะเทวีธิดาองคใ์ หญ่ในขณะนนั้ โลกธาตกุ ็เกิด โกลาหลอลเวงย่งิ นกั เม่อื นางทงุ ษะมหาสงกรานตเ์ อาพานรองรบั พระเศียรของทา้ วกบลิ พรหมแลว้ ก็ ใหเ้ ทพบรรษัท แห่ ประทกั ษิณ เวียนรอบเขาพระสเุ มรุราช ๖๐ นาทีแลว้ จงึ เชญิ เขา้ ประดษิ ฐานไวใ้ นมณฑป ณ ถา้ คนั ธธุลี เขาไกรลาศ กระทาบชู าดว้ ยเครอ่ื งทิพยต์ า่ งๆ พระวิษณกุ รรมเทพบตุ รก็เนรมติ โลงแกว้ อนั แลว้ ไปดว้ ย แกว้ ๗ ประการ ช่ือภคั วดีใหเ้ ทพธิดาและนางฟา้ แลว้ เทพยดาทงั้ หลายก็นามาซ่งึ เถาฉมนุ าตลงลา้ งนา้ ในสระอโนดาต ๗ ครงั้ แลว้ แจกกนั สงั เวยท่วั ทกุ ๆ พระองค์ ครน้ั ไดว้ าระ กาหนดครบ ๓๖๕ วนั โลกสมมตุ ิวา่ ปีหน่งึ เป็นวนั สงกรานตน์ างเทพธิดาทงั้ ๗ ก็ทรงเทพพาหนะ ต่างๆ ผลดั เปล่ียนเวียนกนั มา เชิญพระเศยี รกบลิ พรหมออกแหพ่ รอ้ มดว้ ยเทพบรรษัทแสนโกฏิ ประทกั ษิณเวียนรอบเขาพระสเุ มรุ ราชบรรษัท ทกุ ๆ ปีแลว้ กลบั ไปยงั เทวโลก\"
ชื่อนางสงกรานต์ ดงั ไดก้ ลา่ วมาแลว้ วา่ ธิดาทา้ วกบิลพรหมมีอยดู่ ว้ ยกนั ๗ นาง ถา้ ปี ใดนาง สงกรานตต์ รงกบั อะไรใน ๗ วนั นางท้งั ๗ กผ็ ลดั เปล่ียนเวียนกนั มารับเศียรของ บิดาตนเพ่อื มิใหต้ กลงสู่แผน่ ดิน เพราะ จะเกิดฝนแลง้ ไฟไหมโ้ ลก นางท้งั ๗ มีชื่อ ต่างๆ กนั และแต่งกายกแ็ ตกต่างกนั ออกไป ประกอบกบั อาวธุ ที่ถือกแ็ ตกต่างกนั ดว้ ย ดงั น้ี •วนั อาทิตย์ นางสงกรานตช์ ่ือ ทุงษะ ทดั ดอกทบั ทิม เครื่องประดบั ปัทมราช ( แกว้ ทบั ทิม ) ภกั ษาหาร อทุ ุมพร ( ผลมะเดื่อ ) อาวธุ ขวาจกั ร ซา้ ยสงั ข์ พาหนะ ครุฑ •วนั จันทร์ นางสงกรานตช์ ่ือ โคราคะ ทดั ดอกปี บ เครื่องประดบั มุกดา ภกั ษาหาร เตละ (น้ามนั ) อาวธุ ขวาพระขรรค์ ซา้ ยไมเ้ ทา้ พาหนะพยคั ฆ์ ( เสือ )
วนั องั คาร นางสงกรานตช์ ่ือ รากษก ทดั ดอกบวั หลวง เครื่องประดบั แกว้ โมรา ภกั ษาหาร โลหิต ( เลือด ) อาวธุ ขวาตรีศูล ( หลาว ๓ ง่าม ) ซา้ ยธนู พาหนะ วราหะ ( หมู ) วนั พธุ นางสงกรานตช์ ื่อ มณฑา ทดั ดอกจาปา เคร่ืองประดบั ไพฑูรย์ ภกั ษาหารนมเนย อาวธุ ขวาเขม็ ซา้ ยไมเ้ ทา้ พาหนะคทั รภา ( ลา ) วนั พฤหัสบดี นางสงกรานตช์ ่ือ กิริณี ทดั ดอกมณฑา เคร่ืองประดบั มรกต ภกั ษาหารถว่ั งา อาวธุ ขวาขอ ซา้ ยปื น พาหนะคช (ชา้ ง) วนั ศุกร์ นางสงกรานตช์ ื่อ กิทิมา ทดั ดอกจงกลณี เครื่องประดบั บุษราคมั ภกั ษาหารกลว้ ยน้า อาวธุ ขวาพระขรรค์ ซา้ ยพณิ พาหนะมหิงส์ ( ควาย ) วนั เสาร์ นางสงกรานตช์ ่ือ มโหธร ทดั ดอกสามหาว เคร่ืองประดบั นิลรัตน์ ภกั ษาหารเน้ือทราย อาวธุ ขวาจกั ร ซา้ ยตรี พาหนะมยรุ า ( นกยงู )
กจิ กรรมวนั สงกรานต์ การทาบุญตกั บาตร ถือวา่ เป็นการสร้างบุญสร้างกศุ ลใหต้ วั เอง และ อทุ ิศส่วนกศุ ลน้นั แก่ผลู้ ่วงลบั ไปแลว้ การทาบุญแบบน้ีมกั จะเตรียมไวล้ ว่ งหนา้ นาอาหารไปตกั บาตรถวาย พระภิกษุที่ศาลาวดั ซ่ึงจดั เป็นท่ีรวมสาหรับทาบุญ ในวนั น้ีหลงั จากท่ีได้ ทาบุญเสร็จแลว้ กจ็ ะมีการก่อพระทรายอนั เป็นประเพณีดว้ ย การรดนา้ เป็นการอวยพรปี ใหม่ใหก้ นั และกนั น้าที่รดมกั ใชน้ ้าหอมเจือดว้ ยน้าธรรมดา การสรงนา้ พระ จะรดน้าพระพทุ ธรูปท่ีบา้ นและท่ีวดั และบางที่จดั สรงน้าพระสงฆ์ ดว้ ย
การรดนา้ ผู้ใหญ่ คือการไปอวยพรใหผ้ ใู้ หญ่ที่เคารพนบั ถือ ครูบาอาจารย์ ท่านผใู้ หญ่ มกั จะนง่ั ลงแลว้ ผทู้ ่ีรดกจ็ ะเอาน้าหอมเจือกบั น้ารดท่ีมือท่าน ท่านจะให้ ศีลใหพ้ รผทู้ ี่ไปรด ถา้ เป็นพระกจ็ ะนาผา้ สบงไปถวายใหท้ ่านผลดั เปลี่ยน ดว้ ย หากเป็นฆราวาสกจ็ ะหาผา้ ถุง ผา้ ขาวมา้ ไปให้ การดาหัว กค็ ือการรดน้านนั่ เอง แต่เป็นคาเมืองทางภาคเหนือ การดาหวั เรียกกนั เฉพาะการรดน้าผใู้ หญท่ ี่เราเคารพนบั ถือ ผสู้ ูงอายุ คือการขอขมาในสิ่งท่ี ไดล้ ่วงเกินไปแลว้ หรือ การขอพรปี ใหม่จากผใู้ หญ่ ของท่ีใชใ้ นการดา หวั ส่วนมากมีผา้ ขนหนู มะพร้าว กลว้ ย และ สม้ ป่ อย
การปล่อยนกปล่อยปลา ถือเป็นการลา้ งบาปท่ีทาไว้ เป็นการสะเดาะเคราะหร์ า้ ยใหม้ ี แตค่ วามสขุ ความสบายในวนั ขนึ้ ปีใหม่ การนาทรายเข้าวัด ทางภาคเหนือนิยมขนทรายเขา้ วดั เพ่ือเป็นนิมติ โชคลาภ ใหม้ ี ความสขุ ความเจรญิ เงินทองไหลมาเทมาดจุ ทรายท่ีขนเขา้ วดั
ความสาคญั ของวนั สงกรานต์ •เป็นวนั หยดุ พกั ผอ่ นประจาปี ตามประเพณีไทย และถือเป็นวนั หยดุ ประกอบการงานหรือ ธุรกิจทวั่ ไป •เป็นวนั ทาบุญตกั บาตรจดั จตุปัจจยั ไทยธรรมถวายพระบงั สกลุ กระดูกพรรพบุรุษ กรวดน้า อุทิศส่วนกศุ ลใหแ้ ก่ญาติผลู้ ่วงลบั •เป็น วนั แสดงความกตญั ญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษ ในวนั น้ีจะมีการไปรดน้าดาหวั ขอพรจาก พอ่ แม่ ผเู้ ฒ่าผแู้ ก่ท่ีเคารพนบั ถือ วนั สงกรานตถ์ ือเป็น วนั สูงอายแุ ห่งชาติ •เป็นวนั รวมญาติมิตรที่จากไปอยแู่ ดนไกลเพื่อประกอบภาระ หนา้ ท่ีงานอาชีพของตน เมื่อ ถึงวนั สงกรานตท์ ุกคนจะกลบั มาร่วมทาบุญสร้างกศุ ล จึงถือเอาวนั ท่ี 15 เมษายน ซ่ึงอยู่ ในช่วงสงกรานตเ์ ป็นวนั รวมญาติหรือวนั ครอบครัว •เป็นวนั อนุรักษว์ ฒั นธรรมไทย และส่งเสริมการละเล่นตามประเพณีไทย เช่น มีการทาบุญ ตกั บาตร เล่นสาดน้า ชกั เยอ่ มอญซ่อนผา้ เล่นสะบา้ ฯลฯ •เป็นวนั ประกอบพิธีทางศาสนา เช่น มีการทาบุญตกั บาตรจดั จตุปัจจยั ไทยธรรมถวายพระ บงั สุกลุ กระดูกบรรพบุรุษ กรวดน้าอุทิศส่วนกศุ ลใหแ้ ก่ญาติผลู้ ่วงลบั การสรงน้าพระพทุ ธรูป สรงน้าพระสงฆ์ ขนทรายเขา้ วดั (ก่อพระเจดียท์ ราย ) รับศีล ปฏิบตั ิธรรมฯลฯ
สรุปความสาคัญของวันสงกรานต์ 1.เป็นวนั หยดุ พกั ผ่อนประจาปี 2.เป็นวนั ทาบญุ สรา้ งกศุ ล และประกอบพธิ ีทางศาสนา 3.เป็นวนั อนรุ กั ษแ์ ละสืบสานวฒั นธรรมไทย 4.เป็นวนั แสดงความกตญั ญกู ตเวที และราลกึ ถงึ ผลู้ ว่ งลบั 5.เป็นวนั ครอบครวั วนั รวมญาติและวนั ผสู้ งู อายุ 6.เป็นวนั อนรุ กั ษพ์ นั ธุส์ ตั ว์ 7.เป็นวนั เลือกคขู่ องหน่มุ สาว
“13” เร่ืองน่ารู้เกยี่ วกับ “สงกรานต์ 1. สมยั ก่อน “วนั ปี ใหม่ไทย” ไม่ได้ตรงกบั วนั สงกรานต์ ในสมยั โบราณ เราไดถ้ ือเอาวนั ข้ึน 1 ค่า เป็น “วนั ปี ใหม่ไทย” ก่อนท่ีเราจะ เปล่ียนมาถือเอาวนั สงกรานตน์ ้นั เป็นวนั ปี ใหม่ไทยแทน 2. ไม่ใช่แค่ชาวไทยท่มี ีประเพณสี งกรานต์เท่าน้ัน แต่ชนชาตอิ ื่นๆ กย็ งั มี เหมือนกนั นอกจากชาวไทยท่ีมีประเพณีสงกรานตแ์ ลว้ ชนชาติอ่ืนอยา่ ง พม่า มอญ ลาว หรือแมแ้ ต่ชนชาติไทยเช้ือสายต่างๆ ที่เป็นส่วนนอ้ ยในจีน อินเดีย ลว้ นแต่ก็ มีประเพณีสงกรานตท์ ี่ปฏิบตั ิสืบต่อกนั มายาวนานเช่นเดียวกนั และถือวา่ วนั สงกรานตเ์ ป็นวนั เริ่มตน้ ปี ใหม่ของพวกเขาดว้ ยเช่นกนั
3. ภาคกลางเรียกวนั ท่ี 13 เมษายน ว่าเป็ น “วนั มหาสงกรานต์” ซ่ึงในวนั ท่ี 13 เมษายนของทุกปี ไดป้ ระกาศใหเ้ ป็น “วนั ผสู้ ูงอายแุ ห่งชาติ” ใน วนั ที่ 14 เมษายน เรียกวา่ “วนั เนา” จากน้นั ในสมยั รัฐบาลของพลเอกชาติชาย ชุณ หะวณั ไดป้ ระกาศใหใ้ นวนั น้ีเป็น “วนั ครอบครัว” อีกดว้ ย ส่วนในวนั ท่ี 15 เมษายน คือ “วนั เถลิงศก” เป็นวนั เร่ิมตน้ จุลศกั ราชใหม่ 4. ภาคเหนือ หรือทางล้านนาเรียกวนั ที่ 13 เมษายน ว่าเป็ น “วนั สังขารล่อง” “วนั สังขารล่อง” ผหู้ ลกั ผใู้ หญ่ทางภาคเหนือ หรือทางลา้ นนาไดใ้ หค้ วามหมาย ของวนั น้ีวา่ เป็นวนั สิ้นอายไุ ปอีกปี ในวนั ที่ 14 เมษายน เรียกวา่ “วนั เน่า” เป็น วนั ที่ชาวลา้ นนาเช่ือกนั วา่ หา้ มพดู จาหยาบคาย มิเช่นน้นั ปากจะเน่าและชีวิตจะไม่ เจริญรุ่งเรืองไปตลอดท้งั ปี ส่วนในวนั ท่ี 15 เมษายน เรียกวา่ “วนั พญาวนั ” เป็น วนั เปลี่ยนศกใหม่
5. ภาคใต้เรียกวนั ที่ 13 เมษายน ว่าเป็ น “วนั เจ้าเมืองเก่า” หรือ “วนั ส่งเจ้าเมืองเก่า” โดยในวนั ท่ี 13 น้ี ชาวภาคใตเ้ ชื่อกนั วา่ จะเป็นวนั ท่ีเทวดาที่คอยปกปักรักษา บา้ นเมืองจะเดินทางกลบั ไปชุมนุมท่ีสวรรค์ ในวนั ท่ี 14 เมษายน เรียกวา่ “วนั วา่ ง” คือวนั ท่ีไร้ซ่ึงเทวดารักษาบา้ นเมือง เพราะฉะน้นั ในวนั น้ีชาวบา้ นจะงดงานอาชีพ ต่างๆ เพื่อเดินทางไปทาบุญที่วดั ส่วนในวนั ท่ี 15 เมษายน เรียกวา่ “วนั รับเจา้ เมือง ใหม่” เป็นการตอ้ นรับเทวดาองคท์ ่ีลงมาปกปักรักษาบา้ นเมืองแทนเทวดาองคเ์ ดิม ท่ีไดย้ า้ ยไปประจายงั เมืองอ่ืนแลว้ 6. ตานานสงกรานต์ที่ถูกจารึก ตานานสงกรานต์ กค็ ือเร่ืองเลา่ เก่ียวกบั ประเพณีวนั สงกรานต์ รวมถึงนาง สงกรานตท์ ้งั 7 โดยรัชกาลท่ี 3 ทรงโปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ารึกลงในแผน่ ศิลา 7 แผน่ แปะประดบั ไวท้ ี่ศาลารอบมณฑบทิศเหนือในวดั พระเชตุพนวมิ ลมงั คลาราม หรือ วดั โพธ์ิ
7. นางสงกรานต์ คือ นางฟ้าท่กี าเนิดในช้ันจตมุ หาราชิกา นางสงกรานตท์ ้งั 7 องค์ เป็นพน่ี อ้ งกนั กาเนิดอยใู่ นสวรรคช์ ้นั จตุมหาราชิกาซ่ึงเป็นช้นั ต่าท่ีสุด โดยท้งั 7 ลว้ นแต่บาทบริจาริกาของ “พระอินทร์” หรือถา้ ในเทียบในปัจจุบนั ก็ มีลกั ษณะคลา้ ยกบั นางบาเรอของจอมเทวราช อีกท้งั ท้งั 7 ยงั เป็นธิดาของทา้ วกบิล พรหมตามตานานอีกดว้ ย 8. นางสงกรานต์นามตามวนั ในแต่ละสัปดาห์ 1.นาง ทุงษะเทวี ประจา วนั อาทิตย์ 2.นาง โคราคเทวี ประจา วนั จนั ทร์ 3.นาง รากษสเทวี ประจา วนั องั คาร 4.นาง มณฑา ประจา วนั พุธ 5.นาง กิริณี ประจา วนั พฤหสั บดี 6.นาง กิมิทา ประจา วนั ศุกร์ 7.นาง มโทร ประจา วนั เสาร์
9. นางสงกรานต์แต่ละองค์มพี าหนะคู่กายทไ่ี ม่เหมือนกนั พาหนะคู่กายของนางสงกรานตจ์ ะต่างกนั ไปตามลาดบั วนั ในสปั ดาห์ ไดแ้ ก่ นาง ทุงษะ ขี่ครุฑ, นาง โคราค ข่ีเสือ, นาง รากษสขี่หมู, นาง มณฑา ข่ีลา, นาง กิริณี ขี่ชา้ ง, นาง กิมิทา ข่ีควาย, นาง มโหทร ขี่นกยงู ซ่ึงสตั วป์ ระจานางสงกรานตจ์ ะไม่ไดเ้ ป็นไปตามปี นกั ษตั รน้นั ๆ อยา่ งที่ หลายคนเขา้ ใจ
10. นางสงกรานต์ประจาปี 2563 นางสงกรานตป์ ี 2563 นามวา่ นางโคราคะเทวี ทรงพาหุรัด ทดั ดอกปี บ อาภรณ์แกว้ มุกดาหาร ภกั ษาหารน้ามนั หตั ถข์ วาทรงขรรค์ หตั ถซ์ า้ ยทรงไมเ้ ทา้ เสดจ็ ไสยาสนล์ ืมเนตร (นอนลืมตา) มาเหนือหลงั พยคั ฆ์ (เสือ) เป็นพาหนะ เกณฑพ์ ิรุณศาสตร์ ปี 2563 น้ี ศกุ ร์ เป็นอธิบดีฝน บนั ดาลใหฝ้ นตก 600 ห่า ตกใน เขาจกั รวาล 240 ห่า ตกในป่ าหิมพานต์ 180 ห่า ตกในมหาสมุทร 120 ห่า ตกใน โลกมนุษย์ 60 ห่า เกณฑธ์ าราธิคุณ ตกราศีมิถนุ ช่ือวาโย (ธาตุลม) น้าพอประมาณ พายจุ ดั เกณฑน์ าคราชใหน้ ้า ปี น้ี นาคราชใหน้ ้า 1 ตวั ทานายวา่ ฝนทราม เกณฑธ์ ญั ญาหารชื่อ ปาปะ ขา้ วกลา้ ในไร่นา จะได้ 1 ส่วน เสีย 10 ส่วน คน ท้งั หลายจะตกทุกขไ์ ดย้ ากลาบากแคน้ เพราะกนั ดารอาหารบา้ ง จะฉิบหายเป็นอนั มากแล ฯ
11. รู้หรือเปล่า ? คาว่า “ดาหัว” แปลว่า “สระผม” ถา้ ใหแ้ ปลตรงตามตวั คาวา่ “ดาหวั ” น้นั หมายถึง การสระผม แต่ในความหมายของทาง ลา้ นนาแลว้ การ “ดาหวั ” อาจหมายถึง การเดินทางไปขออโหสิกรรมในสิ่งท่ีเรากระทาผดิ สิ่งท่ีไดล้ ่วงเกินในช่วงเวลาที่มา มีการขอพรเพื่อใหเ้ กิดความเป็นสิริมงคลต่อชีวิต จากญาติ ผใู้ หญ่ ผอู้ าวโุ ส หรือครูบาอาจารย์ 12. ในวนั สงกรานต์จะมีสัตว์ชนิดหนึ่งกาเนิดขนึ้ ขอ้ น้ีน่าจะเป็นเร่ืองใหม่ แต่เป็นเรื่องท่ีเกิดข้ึนมานานมากแลว้ เกี่ยวขอ้ งกบั สิ่งมีชีวิตชนิด หน่ึงที่มกั เกิดข้ึนในช่วงสงกรานตต์ ามแม่น้าลาคลอง ซ่ึงคนสมยั ก่อนเรียกวา่ “ตวั สงกรานต”์ เป็นสิ่งมีชีวิตท่ีมีลกั ษณะคลา้ ยไสเ้ ดือน เลก็ เท่าเสน้ ดา้ ยประมาณ 2 นิ้ว มีสี สะทอ้ นเมื่อตอ้ งกบั แสง มีความสามารถเปล่ียนสีไปไดเ้ ร่ือยๆ มกั อยรู่ วมกนั เป็นฝงู จะ สะทอ้ นเป็นแสงสีสวยงาม เมื่อจบั ข้ึนพน้ น้า สีเหล่าน้นั จะหายไป ตวั จะขาดเป็นท่อนเลก็ ๆ และเหลวละลาย ปัจจุบนั เช่ือวา่ ส่ิงมีชีวิตชนิดน้ีไดส้ ูญพนั ธุไ์ ปแลว้
13. ทม่ี าของการก่อเจดยี ์ทราย การก่อเจดียท์ รายมีเร่ืองเล่าต่อๆ กนั มาวา่ ในมยั ก่อน “พระเจา้ ปเสนทิ โกศล” ไดเ้ สดจ็ ไปยงั เมืองสาวตั ถีพร้อมดว้ ยบริวาร พระองคไ์ ด้ ทอดพระเนตรเห็นหาดทรายขาวบริสุทธ์ิ จึงเกิดจิตศรัทธาก่อทรายข้ึนเป็น เจดียท์ ้งั สิ้น 8 หมื่น 4 พนั องคเ์ พ่อื อุทิศเป็นพทุ ธบูชา ซ่ึงเม่ือพระเจา้ ปเสนทิ โกศลไดท้ รงเขา้ เฝ้าพระพทุ ธเจา้ จึงไดท้ รงทูลถามอานิสงส์ของการสร้ง เจดียท์ รายดงั กล่าว พระพทุ ธเจา้ ตรัสรับวา่ การที่มีจิตใจเล่ือมใสศรัทธา ก่อสร้างเจดียท์ ราย 8 หมื่น 4 พนั องค์ หรือแมแ้ ต่องคเ์ ดียวกจ็ ะไดร้ ับ อานิสงส์มาก จะไม่ตกนรกหลายร้อยขมุ หากเกิดเป็นมนุษยก์ จ็ ะ เพียบพร้อมไปดว้ ยยศถาบรรดาศกั ด์ิ เงิน ทอง เม่ือตายกจ็ ะไดข้ ้ึนสวรรค์ จึง เป็ นท่ีมา
สวสั ดีวนั สงกานต์ ปี ใหมไ่ ทยนะคะ
Search
Read the Text Version
- 1 - 29
Pages: