คานา หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกศเ์ ล่มน้ีจดั ทาข้ึนเพอ่ื ศึกษา เก่ียวกบั สวนพฤษศาสตร์ในโรงเรียน โดยเน้ือหาประกอบ ไปดว้ ย ตน้ ไมแ้ ละดอกไมใ้ นโรงเรียน และประกอบ การเรียนวชิ า ว32101 เทคโนโลยี 2 ผจู้ ดั ทาหวงั วา่ จะป็นประโยชนต์ ่อผศู้ ึกษา ไดเ้ ป็นอยา่ งดี ผจู้ ดั ทา นายกิตติมพงษ์ สีโวย ช้นั ม.5/6 เลขท่ี5 นายพชั รพล สุมาลา ช้นั ม.5/6 เลขที่16
ต้นจนั ผา ช่ือพฤกษศาสตร์ : Dracaena loureiri Gagnep ชื่อวงศ์ : AGAVACEAE ชื่อท้องถน่ิ : จนั ผา จนั ทนผ์ า จนั ทร์ผา ลกั กะจนั ทน์ จนั แดง จนั ทร์แดง ช่ือสามญั : - ถนิ่ กาเนิด : ประเทศไทย แหล่งที่พบ : พบไดท้ ว่ั ไปในประเทศไทย ลกั ษณะสัณฐาน : วสิ ัย ไมพ้ มุ่ ขนาดใหญ่ หรือไมต้ น้ ขนาดเลก็ ไม่ผลดั ใบ เรือนยอดรูปทรงไข่ เม่ือตน้ โตจะแผก่ วา้ ง ลาต้น เปลือกลาตน้ สีน้าตาลหรือน้าตาลอมเทา แตกเป็นร่องตามยาว ใบ ใบเดี่ยว เรียงเวยี นสลบั ถ่ีๆท่ีปลายกิ่ง ใบรูปแถบยาวแคบ กวา้ ง 4-5 x 45-60 ซม. ปลายใบแหลม โคน ใบแผเ่ ป็นกาบหุม้ ลาตน้ ผวิ ใบดา้ นบนสีเขียวเขม้ กา้ นใบเป็นกาบหุม้ ซอ้ นทบั กนั รอบลาตน้ ดอก สีขาวนวลตรงกลางดอกมีจุดแดง มีกลิ่นหอม ออกเป็นดอกช่อแบบช่อแยกแขนงขนาดใหญ่ ตาม ซอกใบท่ีปลายกิ่ง มีดอกจานวนมาก กลีบดอก 6 กลีบ
ลกั ษณะของต้นจันผา ต้นจนั ผา จดั เป็นไมพ้ ุ่มขนาดกลาง หรือเป็นไมต้ น้ ขนาดเลก็ ไม่ผลดั ใบ มีความสูงของตน้ ประมาณ 1.5-4 เมตร (ตน้ โตเตม็ ท่ีอาจมีความสูงถึง 17 เมตร) เรือนยอดเป็นรูปทรงไข่ มีเรือนยอด ไดถ้ ึง 100 ยอด เมื่อตน้ โตข้ึนจะแผก่ วา้ ง ลาตน้ ต้งั ตรง กลม มีแผลใบเป็นร่องขวางคลา้ ยขอ้ ถ่ี ๆ เปลือกตน้ เป็นสีน้าตาลหรือสีน้าตาลอมสีเทา แตกเป็นร่องตามยาว ไม่มีกิ่งกา้ น ใบจะออกตามลา ตน้ ส่วนแก่นไมด้ า้ นในเป็นสีแดง ตน้ เม่ือมีอายมุ ากข้ึนแก่นจะเปล่ียนจากสีขาวเป็นสีแดง เราจะ เรียกแก่นสีแดงวา่ “จนั ทนแ์ ดง” เมื่อแก่นเป็นสีแดงเตม็ ตน้ ตน้ กจ็ ะค่อย ๆ โทรมและตายลง พรรณ ไมช้ นิดน้ีมีถ่ินกาเนิดอยใู่ นประเทศไทย ขยายพนั ธุด์ ว้ ยวธิ ีเพาะกลา้ จากเมลด็ หรือการแยกกอ ชอบ ดินปนทรายหรือหินที่มีการระบายน้าดี ความช้ืนปานกลาง และชอบแสงแดดเตม็ วนั และแสงราไร มกั พบข้ึนตามป่ าภูเขาหินปนู สูง ๆ และมีแสงแดดจดั ใบจนั ผา ใบเป็นใบเด่ียวออกเรียงสลบั กนั ถ่ี ๆ ที่ปลายก่ิง ลกั ษณะของใบเป็นรูปยาวรีขอบขนาน หรือเป็นรูปแถบยาวแคบ ปลายใบเรียวแหลม โคนใบแผเ่ ป็นกาบหุม้ ลาตน้ ส่วนขอบใบเรียบ ใบมี ขนาดกวา้ งประมาณ 4-5 เซนติเมตรและยาวประมาณ 45-80 เซนติเมตร เน้ือใบหนากรอบ โคนใบ จะติดกบั ลาตน้ หรือโอบคลุมลาตน้ ไม่มีกา้ นใบ และมกั จะทิง้ ใบเหลือเพียงยอดเป็นพุม่
ดอกจันผา ออกดอกเป็นช่อขนาดใหญ่ท่ีปลายยอด โคง้ หอ้ ยลง ออกดอกเป็นพวงใหญ่ตาม ซอกใบและปลายยอด แต่ละช่อจะมีความยาวประมาณ 45-100 เซนติเมตร มีดอกยอ่ ยขนาด เลก็ และมีจานวนมากมายหลายพนั ดอก ดอกเป็นสีขาวนวล หรือขาวครีม หรือเขียวอมเหลือง ดอกมีกลิ่นหอม ตรงกลางดอกมีจุดสีแดงสด กลีบดอกมี 6 กลีบ ดอกมีขนาดประมาณ 0.7- 1 เซนติเมตร มีเกสรตวั ผจู้ านวน 6 กา้ น กา้ นเกสรมีความกวา้ งเท่ากบั อบั เรณู ส่วนกา้ นเกสรตวั เมียปลายแยกเป็นพู 3 พู ช้นั กลีบเล้ียงเป็นหลอด ท่ีปลายกลีบแยกเป็นพแู คบ ๆ 6 พู ไม่ซอ้ นกนั โดยจะออกดอกในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม ผลจันผา ออกผลเป็นช่อพวงโต ผลเป็นผลสด ลกั ษณะของผลเป็นรูปทรงกลมขนาดเลก็ อยู่ รวมกนั เป็นพวง ผลมีขนาดประมาณ 1 เซนติเมตร ผวิ ผลเรียบ ผลอ่อนเป็นสีเขียวอมสีน้าตาล ส่วนผลแก่เป็นสีแดงคล้า ภายในผลมีเมลด็ เดียว โดยผลจะแก่ในช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือน กนั ยายน
สรรพคุณของจันผา 1. แก่นมีรสขมเยน็ ช่วยบารุงหวั ใจ (แก่น, ท้งั ตน้ ) 2. แก่นที่มีเช้ือราลงจนทาใหแ้ ก่นเป็นสีแดงและมีกล่ินหอมมีสีแดง (เรียกวา่ จนั ทนแ์ ดง) มีรส ขมและฝาดเลก็ นอ้ ย ใชส้ าหรับเป็นยาเยน็ ดบั พษิ ไข้ แกไ้ ขไ้ ดท้ ุกชนิด และจากการทดลองในสตั ว์ พบวา่ สารสกดั ดว้ ยน้ามีฤทธ์ิในการลดไข้ แต่ตอ้ งใชใ้ นปริมาณมากกวา่ ยาแอสไพริน 10 เท่า และจะ ออกฤทธ์ิชา้ กวา่ ยาแอสไพรินประมาณ 3 เท่า (แก่น, แก่นที่ราลง) 3. ช่วยแกไ้ ข้ แกไ้ ขเ้ พื่อดีพิการ (แก่น, เน้ือไม)้ 4. ช่วยแกไ้ อ แกอ้ าการไออนั เกิดจากซางและดี (แก่น, เน้ือไม)้ 5. เมลด็ ใชร้ ักษาดีซ่าน (เมลด็ ) 6. ช่วยแกอ้ าจมไม่ปกติ (เมลด็ ) 7. ท้งั ตน้ ช่วยแกอ้ าการปวดศีรษะ (ท้งั ตน้ ) 8. ช่วยแกซ้ าง (แก่น) 9. ช่วยแกอ้ าการเหง่ือตก อาการกระสบั กระส่าย (แก่น) 10. ช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน (แก่น, ท้งั ตน้ ) 11. ช่วยแกด้ ีพกิ าร แกน้ ้าดีพิการ (แก่น, เน้ือไม)้ 12. ช่วยแกบ้ าดแผล รักษาบาดแผล (แก่น, ราก) 13. แก่นใชฝ้ นทาช่วยแกอ้ าการฟกบวม ฟกช้า ฝี บวม (แก่น) 14. ช่วยแกพ้ ิษฝีท่ีมีอาการอกั เสบและปวดบวม (แก่น, ท้งั ตน้ ) 15. จนั ผาจดั อยใู่ นตารับยา “พกิ ดั เบญจโลธิกะ” ซ่ึงประกอบไปดว้ ยตวั ยาสมุนไพรท่ีมีสรรพคุณทา ใหช้ ่ืนใจ 5 อยา่ ง (แก่นจนั ผา, แก่นจนั ทนข์ าว, แก่นจนั ทนช์ ะมด, ตน้ เนระพสู ี, ตน้ มหาสะดา) ซ่ึง เป็นตารับยาที่มีสรรพคุณช่วยแกไ้ ขเ้ พือ่ ดี แกล้ มวงิ เวยี น กล่อมพิษท้งั ปวง และช่วยแกร้ ัตตะปิ ตตะ โรค (แก่น) 16. จนั ผาจดั อยใู่ นตารับยา “พกิ ดั จันทน์ท้งั ห้า” (แก่นจนั ผา (แก่นจนั ทนแ์ ดง), แก่นจนั ทนข์ าว , แก่นจนั ทนา, แก่นจนั ทนเ์ ทศ, แก่นจนั ทนช์ ะมด) ซ่ึงเป็นตารับท่ีมีสรรพคุณช่วยแกไ้ ขเ้ พ่อื โลหิต และดี ช่วยแกอ้ าการร้อนในกระหายน้า ช่วยบารุงตบั ปอดและหวั ใจ และช่วยแกพ้ ยาธิบาดแผล (แก่น) 17. จนั ผาปรากฏอยใู่ นตารับยา “มโหสถธจิ ันทน์” อนั ประกอบไปดว้ ยจนั ทนท์ ้งั สอง ไดแ้ ก่ จนั ทน์แดง (จันผา) และจนั ทนข์ าว ร่วมกบั สมุนไพรอื่น ๆ อีก 13 ชนิด ซ่ึงเป็นตารับยาท่ีมี สรรพคุณช่วยแกไ้ ขท้ ้งั ปวงท่ีมีอาการตวั ร้อนและมีอาการอาเจียนร่วมดว้ ยกไ็ ด้ (แก่น) 18. จนั ผาปรากฏอยใู่ นตารับ “ยาจนั ทน์ลลี า” อนั ประกอบไปดว้ ยจนั ทนแ์ ดง (จนั ผา) ร่วมกบั สมุนไพรชนิดอ่ืน ๆ อีกในตารับ ซ่ึงเป็นตารับที่ใชบ้ รรเทาอาการไขต้ วั ร้อนและไขเ้ ปลี่ยนฤดู
ต้นจามจุรี ชื่อวงศ์-อนุวงศ์ : LEGUMINOSAE-MIMOSOIDEAE ช่ือวทิ ยาศาสตร์ : Samanea saman (Jacq.) Merr. ช่ือสามญั : East indian walnut, Rain tree ชื่อพนื้ เมืองอน่ื : กา้ มกราม, กา้ มกงุ้ , กา้ มป,ู จามจุรี (ภาคกลาง) ; ฉาฉา, สารสา, ลงั , สาสา (ภาคเหนือ) ; ตุด๊ ตู่ (ตาก) ; เส่ดู่ (กะเหร่ียง-แม่ฮ่องสอน) การขยายพนั ธ์ุ เมลด็ ลกั ษณะทวั่ ไป เป็น ไมต้ น้ ขนาดใหญ่ สูง 15 - 20 เมตร ผลดั ใบ เรือนยอดรูปร่ม แผก่ ่ิงกา้ นกวา้ งโคง้ นูนตรงกลางและลาดลงดา้ นขา้ งคลา้ ยร่ม แตกกิ่งกา้ นในระยะต่า กิ่งกา้ นขนาดใหญ่ ทรงพมุ่ ทึบ อาจจะแผก่ วา้ งถึง 30 เมตร โคนตน้ เป็นพพู อนเลก็ นอ้ ย เป็นไมโ้ ตเร็ว เน้ือไมอ้ ่อนมีลวดลายสวยงาม แก่นสีดา
เปลอื ก สีเทาดา หนา ขรุขระแตกเป็นสะเกด็ ขนาดเลก็ ใหญ่ไม่เป็นระเบียบระหวา่ งร่องเปลือกที่แตก จะมีสีขาวข่นุ นุ่มคลา้ ยไมก้ อ๊ ก เน้ือในเปลือกสีชมพู หรือน้าตาลอ่อน ใบ ใบ ประกอบแบบขนนกสองช้นั ออกเรียงสลบั กา้ นใบยาว 10 - 18 เซนติเมตร โคนกา้ นใบบวม กา้ น ใบประกอบยาว 5 - 15 เซนติเมตร ออกตรงกนั ขา้ ม มีใบยอ่ ย 4 - 6 คู่ ออกตรงกนั ขา้ ม ใบยอ่ ยที่ปลายกา้ น ใบจะมีขนาดใหญ่ที่สุด และลดหลนั่ ลงไปจนถึงใบยอ่ ยที่โคนกา้ นใบจะมีขนาดเลก็ ท่ีสุด ใบยอ่ ยรูปใข่ รูปรี หรือขอบขนาน บางใบคลา้ ยรูปส่ีเหล่ียมขนมเปี ยกปนู ปลายใบมนเบ้ียว ขอบใบเรียบ แผน่ ใบดา้ นหลงั ใบ เรียบสีเขียวเขม้ ดา้ นทอ้ งใบมีขนอ่อนๆ นุ่มปกคลุม กา้ นใบและใบอ่อนมีขนนุ่มปกคลุมทวั่ ไป
ดอก สี ชมพู ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกแน่น ออกตามซอกใบใกลป้ ลายก่ิง ช่อดอกต้งั ข้ึน กา้ นช่อดอก ยาว 3 - 7 เซนติเมตร มีดอกจานวนมาก ดอกวงนอกของช่อดอกมีขนาดเลก็ กวา่ ดอกวงใน ดอกกลาง ช่อจะมีขนาดใหญ่ที่สุด กลีบเล้ียงสีเขียวแกมชมพตู ิดกนั เป็นหลอดยาว 0.4 - 0.6 เซนติเมตร ปลายแยก ออกเป็น 6 - 8 แฉก มีขนอ่อนๆปกคลุม กลีบดอกสีขาวอมชมพโู คนติดกนั เป็นรูปปากแตรปลายแยก ออกเป็น 5 แฉก มีเกสรเพศผทู้ ่ีมีกา้ นชูเกสรสีชมพยู าว 4 - 6 เซนติเมตร จานวนมากอยกู่ ลางดอก ดอก บานเตม็ ที่กวา้ ง 4 - 5 เซนติเมตร ออกดอกตลอดปี แต่ดอกจะดกในเดือนกนั ยายน-กมุ ภาพนั ธ์ ผล เป็นฝักรูปขอบขนานบิดโคง้ เลก็ นอ้ ย กวา้ ง 1.5 - 2.5 เซนติเมตร ยาว 15 - 18 เซนติเมตร ฝัก อ่อนสีเขียว ฝักแก่สีน้าตาล โป่ งและคอดเป็นตอนๆ ตามตาแหน่งเมลด็ ภายในฝักมีเน้ือนุ่มเหนียว และ เมลด็ จานวนมาก เมลด็ สีน้าตาลเขม้ เปลือกแขง็ รูปไข่หรือกลมกวา้ ง 0.4 - 0.6 เซนติเมตร ยาว 0.8 – 1.0 เซนติเมตร ในหน่ึงฝักมีเมลด็ 15 - 20 เมลด็
ประโยชน์ จามจุรี เป็นตน้ ไมท้ ี่สามารถใชป้ ระโยชนไ์ ดจ้ ากทุกๆ ส่วน เช่น ลาตน้ ใชเ้ ล้ียงคร่ัง เน้ือ ไมใ้ ชแ้ กะสลกั ทาแผน่ ไมก้ ระดาน ลงั ไมบ้ รรจุสินคา้ (เน้ือไมม้ ีกาลงั ดดั งอสูง) ทาเครื่องเรือน ทา ฟื นและถ่าน ฝักใชเ้ ป็นอาหารสัตว์ ใบแก่ท่ีร่วงหล่นนาไปหมกั ใหผ้ เุ ปื่ อย แลว้ นามาผสมกบั ดินใช้ ปลกู ตน้ ไม้ ทาใหต้ น้ ไมเ้ จริญเติบโตไดด้ ีมาก ใบสดใชแ้ กป้ วดแสบปวดร้อน เมลด็ แกโ้ รคผวิ หนงั รากจามจุรีมีจุลินทรียช์ นิดหน่ึงที่สามารถเพม่ิ แร่ธาตุอาหารประเภทธาตุ ไนโตรเจนใหแ้ ก่ดินได้ ท้งั ตน้ ของจามจุรีมีสารแอลคาลอยด์ ชื่อ พิชทิโคโลไบด์ ที่มีพิษเป็นยาสลบ เป็นตน้ ไมท้ ี่ใหร้ ่มเงาแผก่ วา้ งไดด้ ีมาก เหมาะที่จะปลกู ประดบั ไวใ้ นพ้นื ท่ีกวา้ งๆ เช่น สนาม โรงเรียน วดั สวนสาธารณะหรือริมถนนทางเดิน จามจุรีมีศตั รูพชื ท่ีสาคญั คือหนอนเจาะลาตน้ ถา้ เขา้ ทาลายมากๆ จะทาใหล้ าตน้ เป็นรูและผพุ งั ตายในท่ีสุด ประโยชน์ทางยา รสและสรรพคุณในตารายา เปลอื กต้น รสฝาด สมานแผลในปาก คอ แกโ้ รคเหงือกบวม แกป้ วดฟัน แกร้ ิดสีดวงทวารหนกั แก้ ทอ้ งร่วง แกโ้ ลหิตตกใน ใบ รสเยน็ เมา ทาใหเ้ ยน็ ดบั พษิ แกป้ วดแสบปวดร้อน เมลด็ รสฝาดเมา แกโ้ รคผวิ หนงั กลากเกล้ือน เร้ือน แกเ้ ยอ่ื ตาอกั เสบ วธิ ีและปริมาณทใ่ี ช้ แก้โรคผวิ หนัง กลากเกลอื้ น โดยใชเ้ มลด็ 10-20 กรัม นามาโขลกใหล้ ะเอียด ผสมเหลา้ โรงเลก็ นอ้ ย ใชท้ าและพอกบริเวณที่เป็นวนั ละ 2 เวลา
อนิ ทนิลบก ช่ือวทิ ยาศาสตร์ : Lagerstroemia macrocarpa var macrocarpa ชื่อวงศ์ : LYTHRACEAE ช่ือสามญั : Inthanin bok ช่ือทอ้ งถิ่น : อินทนิลบก (กลาง) ; กากะเลา (อุบลราชธานี) ; กาเสลา (ตะวนั ออกเฉียงเหนือ) ; จอ้ ล่อ , จะล่อ , จะล่อหูกวาง (เหนือ) ; ปะหน่าฮอ , ซีมุง (แม่ฮ่องสอน) ถิ่นกาเนิด เอเชียเขตร้อน
ลกั ษณะลาตน้ : อินทนิลบก หรือ LAGERSTROEMIA MACROCARPA WALL. อยใู่ น วงศ์ LYTHRACEAE มีลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ เป็นไมผ้ ลดั ใบ ตน้ สูง 8-10 เมตร เรือน ยอดเป็นรูปทรงกลมยาว ปลายก่ิงชูข้ึน เปลือกตน้ สีน้าตาลอ่อนค่อนขา้ งเรียบ ลาตน้ มีป่ ุม ปม ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงกนั ขา้ ม รูปไข่กลบั หรือรูปรีป้ อม กวา้ งประมาณ 12-17 ซม. ยาว 20-30 ซม. ปลายใบมน โคนสอบแหลม หรือมน สีเขียวเขม้ เป็นมนั ลกั ษณะใบ : เป็นใบเด่ียว รูปไข่กลบั ออกตรงขา้ มกนั ขอบใบเรียบ ปลายแหลม โคนมน ผวิ ใบมนั และหนา สีเขียวเขม้ กวา้ ง 10-15 ซม. ยาว 20-27 ซม.ใบเป็นพืชอาหารของหนอนผเี ส้ือกลางคืน
ลกั ษณะดอก : ออกดอกเป็นช่อที่ปลายก่ิง ดอกตมู เป็นกอ้ นกลมขนาด 1 ซม. ดอกอินทนิลบกมี หลายสี เช่น ม่วงเขม้ ม่วงอ่อน ชมพอู มม่วง ชมพอู ่อนเกือบขาว มีกลีบดอก 6 กลีบ รูปทรงดอก ค่อนขา้ งกลม ขอบกลีบหยกั ยน่ แผน่ กลีบบางและนิ่ม โคนกลีบเรียวเป็นกา้ น เช่ือมกบั กลีบรองท่ี เป็นรูปถว้ ย กลีบรองปลายแฉก 6 แฉก สีน้าตาลแดงเมื่อดอกบานเตม็ ที่เส้นผา่ ศนู ยก์ ลาง 5- 10 ซม. จะออกดอกช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ลกั ษณะผล : เป็นรูปกลมรี เปลือกแขง็ เม่ือผลแก่จะแตกออก มีเมด็ ดา้ นในเป็นจานวนมาก (ส่วนใหญ่ใน 1 ผล จะมีเมด็ 6 เมด็ ) สรรพคุณทางยา เปลือก รสฝาดขม แกไ้ ข้ แกท้ อ้ งเสีย ใบ รสจืดขมฝาดเยน็ ตม้ หรือชงน้าร้อนด่ืม แกโ้ รคเบาหวาน ขบั ปัสสาวะ เป็นยาลดความดนั เมลด็ รสขม แกโ้ รคเบาหวาน แกน้ อนไม่หลบั แก่น รสขม ตม้ ด่ืมแกโ้ รคเก่ียวกบั ทางเดินปัสสาวะ แกป้ ัสสาวะพกิ าร แกโ้ รคเบาหวาน ราก รสขม แกแ้ ผลในปาก ในคอ เป็นยาสมานทอ้ ง
ผจู้ ดั ทา นายกิตติพงษ์ สีโวย ช้นั ม.5/6 เลขท่ี5 นายพชั รพล สุมาลา ช้นั ม.5/6 เลขที่16 E-mail [email protected]
Search
Read the Text Version
- 1 - 14
Pages: