นิ ร า ศ เ มื อ ง แ ก ล ง | ๕๑ นริ าศเมอื งแกลง นริ าศเรอ่ื งแรกและเป็นนิราศทีย่ าวทสี่ ดุ ของท่านสุนทรภู่ นริ าศเมืองแกลง มีทานองแต่งเป็นกลอนนิราศ แต่งเพือ่ บนั ทึกการเดินทางและแสดงความรสู้ ึก นึกคิดของตน โดยมีความยาว ๔๙๖ คากลอน และเป็นนิราศที่ยาวท่ีสุดของสุนทรภู่ สุนทรภู่เขียนเมื่อ เดินทางไปพบบิดาซ่ึงบวชเป็นพระอยู่ที่บ้านกร่า เมืองแกลง จังหวัดระยอง ภายหลังที่พ้นโทษเพราะไป รักใคร่กับแม่จันทร์สาในพระราชสานักสมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงอนุรักษ์ทเวศร์ กรมพระราชวัง เม่ือ กรมพระราชวังหลังเสด็จทิวงคตเมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๕๐ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราชจึงทรงปลอ่ ยนกั โทษตามโบราณราชประเพณี ประวัติของผแู้ ต่ง ประวัติของท่านสุนทรภู่ ท่านเป็นกวีเอกคนหนึ่งของกรุงรัตนโกสินทร์ เกิดเม่ือวันจันทร์ เดือน ๘ ขนึ้ ๑ คา่ ปีมะเมยี ตรงกับวนั ท่ี ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๒๙ ซึ่งตรงกบั รัชสมัยของพระบาทสมเดจ็ พระ พุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ ๑) บิดาเป็นชาวบ้านกร่า อาเภอแกลง จังหวัดระยอง มารดาเป็นคน จังหวัดไหนไม่ปรากฏ ตั้งแต่สุนทรภู่ยังเด็ก บิดากลับไปบวชที่เมืองแกลง ส่วนมารดามีสามีใหม่มี ลูกผู้หญิงอีก ๒ คน ชื่อฉิมกับนิ่ม ต่อมามารดาได้เป็นแม่นมของพระองค์เจ้าจงกล พระธิดาของกรม พระราชวังหลัง สุนทรภู่จึงเข้าไปอยู่ในวังกับมารดา ตอนยังเป็นเด็ก สุนทรภู่ได้เล่าเรียนที่วัดชีปะขาว (วัดศรีสุดาราม) โตข้ึนก็เข้ารับราชการเป็นนายระวางพระคลังสวน ไม่นานก็ลาออกเพราะไม่ชอบงานนี้ ชอบแต่การแตง่ กลอน และแตง่ สักวาเท่าน้ัน วตั ถปุ ระสงค์ในการแตง่ แต่งเพ่ือบนั ทกึ การเดนิ ทางและแสดงความร้สู กึ นกึ คดิ ของตน
นิ ร า ศ เ มื อ ง แ ก ล ง | ๕๒ ทานองแต่ง แตง่ เป็นกลอนนิราศ ลักษณะของวรรณคดีประเภทนิราศ คาว่า “นิราศ” ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๒๕ ให้ความหมาย ของนิราศไวว้ า่ “ก. ไปจากระเหระหน ปราศจาก น. เรอื่ งราวทพ่ี รรณนาถงึ การจากกันหรือการท่อี ยู่ ไปในท่ีต่าง ๆ เป็นต้น มักแต่งเป็นกลอนหรือโคลง เช่น นิราศนรินทร์ นิราศเมืองแกลง” สันนิษฐาน กนั ว่าการแตง่ นริ าศนน้ั เนื่องจากในสมัยก่อนการเดนิ ทางต้องใช้เวลานาน ดังนั้นเมอ่ื กวีตอ้ งเดนิ ทางผ่าน สถานที่ต่าง ๆ จึงคิดแตง่ ขึ้น ท้ังคร่าครวญถงึ นางท่รี ักเมือ่ ได้เห็นส่ิงตา่ ง ๆ สาหรบั การตั้งช่อื นริ าศนน้ั มี ดงั นี้ ๑. ต้ังตามชอ่ื ผู้แต่ง เช่น นริ าศนรนิ ทร์ ๒. ตง้ั ตามเน้อื เรอ่ื ง เชน่ ทวาทศมาส ๓. ตั้งตามสถานท่ีปลายทางท่ีผู้แต่งไป เช่น นิราศพระบาทในระยะแรกนิยมแต่งนิราศเป็น โคลง ต่อมาจึงนยิ มแตง่ เปน็ กลอน นิราศท่ีแตง่ เปน็ โคลง เช่น กาสรวลศรีปราชญ์ ทวาทศมาส นิราศ ที่แต่งเป็นกลอน เช่น นิราศภูเขาทอง นิราศลอนดอน สาหรับนิราศพระบาทน้ันแต่งเป็นกลอน ขึน้ ต้นดว้ ยวรรครับ ลงทา้ ยดว้ ยคาวา่ เอย มีลักษณะสัมผสั ดังนี้ กลอน ๑ บท มี ๔ วรรค ๑ วรรค มี ๗ – ๙ พยางค์ พยางค์สุดทา้ ยของวรรค ท่ี ๑ สัมผสั กับพยางค์ที่ ๓ หรือ ๕ ของวรรคท่ี ๒ พยางค์สุดท้ายของวรรคท่ี ๒ สัมผัสกับพยางค์ สุดท้ายของวรรคท่ี ๓ พยางค์สดุ ทา้ ยของวรรคท่ี ๓ สมั ผสั กบั พยางค์ท่ี ๓ หรอื ๕ ของวรรคท่ี ๔ พยางคส์ ดุ ทา้ ยของวรรคท่ี ๔ สัมผสั กบั พยางค์สุดทา้ ยของวรรคที่ ๒ ในบทตอ่ ไป สัมผสั สัมผัส คือ ลักษณะบังคับที่ให้ใช้คาคล้องจองกัน ร้อยกรองทุกประเภทจะบังคับสัมผัสเป็น ลกั ษณะท่ีสาคัญท่ีสุดของร้อยกรอง ลักษณะสัมผัสมีดังนี้ ๑. สัมผัสนอก คือ สัมผัสบังคับตามลักษณะ ฉนั ทลกั ษณข์ องร้อยกรองแต่ละประเภท สัมผสั นอกนจ้ี ะเป็นสัมผสั สระ สัมผัสใน คือ สัมผัสที่ไม่ได้บังคับ แต่ถ้ามีก็จะทาให้มีความไพเราะมากย่ิงข้ึน สัมผัสในนี้ เป็นสัมผัสภายในวรรค อาจเป็นสัมผัสสระหรือสัมผัสอักษรก็ได้ ๓. สัมผัสสระ คือ คาท่ีมีสระเสียง เดียวกัน เช่นกิน สัมผัสกับ บิน ดิน หิน รินขา สัมผัสกับ กา มา ตา ยาทาน สัมผัสกับ การ นาน ปาน ยานเดยี ว สัมผัสกับ เขยี ว เรียว เสยี ว เชียวชอบ สัมผัสกบั กอบ ตอบ สอบ ลอบ สัมผัสอักษร คือ คาที่มีเสียงพยัญชนะต้นเสียงเดียวกัน เช่น ก่ิง สัมผัสกับ แก้ว กาง เกด การ น้อง สัมผัสกับ นาง นิ่ง นอน แนบ ราก สัมผัสกับ รัก รอย รูป รวนเร โดด สัมผัส กบั เดียว ด่ืม ดาบ ดึก ปูน สัมผสั กับ ปา่ ป้งิ ปาด ปวด นิราศมลี ักษณะ ๓ ประการ คอื ๑. เป็นหนงั สอื ทก่ี ล่าวถงึ การเดนิ ทางไกลทตี่ ้องจากคนรักหรือจากท่ีอยู่ ๒. เป็นหนังสือทก่ี ลา่ วพรรณนาถึงสงิ่ ทีพ่ บเห็นขณะเดนิ ทาง ๓. เป็นหนงั สอื ท่ีกลา่ วราพนั ถึงคนรกั
นิ ร า ศ เ มื อ ง แ ก ล ง | ๕๓ เรื่องย่อ นิราศเมืองแกลง สุนทรภู่ออกเดินทางจากกรุงเทพฯไปเยี่ยมบิดาท่ีเมืองแกลง ไปทางเรือเมื่อ เดือน ๗ มลี ูกศิษย์เดินทางมาด้วย ๒ คน คือนายนอ้ ยและนายพุ่ม และมนี ายแสงชาวเมืองระยองขอร่วม เดินทางไปด้วย และช่วยนาทางให้ สุนทรภู่ออกเดินทางจากคลองสาโรง ปากลัด บ้านบางระจา้ ว คลอง จระเข้ บางมังกร(บางปะกง)ขึ้นบกที่บางปลาสร้อย จังหวัดสระบุรี และเดินทางบกต่อจนถึงเมือง ระยอง สุนทรภู่ไม่พบบิดาท่ีบ้าน เพราะบิดาไปบวชอยู่ที่เมืองแกลงเป็นเจ้าอาวาสอยู่ท่ีวัดอารัญธรรม รังสี สว่ นมารดาไดแ้ ยกทางไปอยู่ท่ีอ่ืน สุนทรภู่ได้พรรณนาถึงความลาบากในการเดินทาง สภาพของภูมิ ประเทศ และชีวิตของชาวบ้านท่ีได้พบเห็น สุนทรภู่ตั้งใจจะอยู่กับบิดา แต่เป็นไข้ป่าหนักมาก เม่ือหาย แลว้ จงึ กลบั กรุงเทพฯ นิราศเมอื งแกลง ฉบบั เต็ม คราวนี้เรามาติดตามอ่านนิราศเมืองแกลง ฉบับเต็ม ที่ท่านสุนทรภู่ ได้พรรณนาถึงการเดินทาง ไปบ้านกร่าเมืองแกลง ผ่านสถานที่ต่างๆ มากมาย โดยล่องเรือไปตามแม่น้าเจ้าพระยา ลัดเลาะคลอง บางนาไปออกมาแม่น้าบางปะกงแล้วลงสทู่ ะเล เลียบริมทะเลไปขึ้นฝั่งท่ีบริเวณหาดบางแสน จากนั้นจึง เดินเท้าต่อ สุนทรภู่ได้แวะพักท่ีบ้านขุนรามอยู่เป็นหลายวัน ก่อนจะออกเดินทางต่อไปเมืองแกลง ซึ่งใน เวลานั้นเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนอยู่ในป่าทึบ หนทางแสนกันดารเต็มไปด้วยอันตราย ทั้งคณะเดินทางกัน ตอ่ จนไปถึงเมืองระยอง และไดพ้ บบดิ าของตนซงึ่ บวชเปน็ พระมาตลอดนบั แต่ทา่ นสนุ ทรภ่เู กดิ
นิ ร า ศ เ มื อ ง แ ก ล ง | ๕๔ ๏ โอ้สังเวชวาสนานิจาเอ๋ย จะมีคู่มิได้อยปู่ ระคองเชย ต้องละเลยดวงใจไวไ้ กลตา ถึงทกุ ข์ใครในโลกทโ่ี ศกเศรา้ ไม่เหมือนเราภุมรนิ ถวิลหา จะพลดั พรากจากกันไมท่ ันลา ใช้แต่ตาต่างถ้อยสุนทรวอน โอ้จาใจไกลนุชสดุ สวาดิ จึงนริ าศเร่อื งรักเป็นอกั ษร ให้เห็นอกตกยากเม่ือจากจร ไปดงดอนแดนปา่ พนาวนั กบั ศษิ ย์น้องสองนายลว้ นชายหนุ่ม น้อยกับพ่มุ เพือ่ นไร้ในไพรสณั ฑ์ กบั นายแสงแจง้ ทางกลางอารัญ จะพากนั แรมทางไปตา่ งเมือง ถงึ ยามสองลอ่ งลานาวาเล่ือน พอดวงเดือนดน้ั เมฆขึน้ เหลืองเหลือง ถงึ วัดแจ้งแสงจนั ทร์จารสั เรือง แลชาเลืองเหลียวหลังหล่ังน้าตา เปน็ ห่วงหนง่ึ ถงึ ชนกที่ปกเกลา้ จะแสนเศร้าครวญคอยละหอ้ ยหา ท้งั จากแดนแสนหว่ งดวงกานดา โออ้ ุรารุม่ ร้อนอ่อนกาลงั ถงึ สามปลม้ื พ่ีนี้รา่ ปลา้ แต่ทุกข์ สุดจะปลุกใจปลื้มให้ลมื หลัง ขออารกั ษห์ ลกั ประเทศนิเวศวัง เทพทั้งเมืองฟา้ สรุ าไลย ขอฝากน้องสองรามารดาด้วย เอ็นดูชว่ ยปกครองใหผ้ อ่ งใส ตัวขา้ บาทจะนิราศออกแรมไพร ใหพ้ น้ ภัยคลาศแคลว้ อยา่ แผว้ พาน ถึงสาเพ็งเก๋งตั้งริมฝง่ั น้า แพประจาจอดเรียงเคยี งขนาน มซี มุ้ ซอกตรอกนางจ้างประจาน ยงั สาราญรอ้ งขบั ไมห่ ลบั ลง โอธ้ านศี รีอยุธยาเอ๋ย นกึ จะเชยก็ได้ชมสมประสงค์ จะลาบากยากแคน้ ไปแดนดง เอาพุ่มพงเพงิ เขาเป็นเหย้าเรือน ๏ ถงึ ยา่ นยาวดาวคะนองคะนึงนง่ิ ย่ิงดกึ ย่ิงเสยี ใจใครจะเหมือน พระพายพานซ่านเสยี วทรวงสะเทือน จนเดือนเคล่ือนคลอ้ ยดงลงไรไร
นิ ร า ศ เ มื อ ง แ ก ล ง | ๕๕ โอด้ เู ดือนเหมือนดวงสุดาแม่ กระตา่ ยแลเหมือนฉนั คดิ พศิ มัย เห็นแสงจนั ทร์อันกระจ่างค่อยสา่ งใจ เดอื นครรไลลับตาแลว้ อาวรณ์ ถึงอารามนามช่ือวัดดอกไม้ คดิ ถึงไปแนบทรวงดวงสมร หอมสุคนธ์เคยี งกายขจายจร โอย้ ามนอนหา่ งนางระคางคาย ถงึ บางผึ้งผึง้ รงั กร็ ั้งรา้ ง พีร่ า้ งนางร้างรักสมัคหมาย มาแสนยากฝากชีพกับเพ่ือนชาย แมเ่ พ่ือนตายมิได้มาพยาบาล ถงึ ปากลัดแลทา่ ชะลาตน้ื ดูเล่อื มลนื่ เลนลากลาละหาน เขาแจวจอ้ งล่องแล่นแสนสาราญ มาพบบา้ นบางระจา้ วยง่ิ เศรา้ ใจ อนาถน่ิงอิงเขนยคะนงึ หวน จนจวบจวนแจม่ แจง้ ปัจจุสมัย ศศธิ รอ่อนอบั พยบั ไพร ถงึ เซงิ ไทรศาลพระประแดงแรง ขออารกั รักษ์ศักดส์ิ ิทธทิ์ สี่ ิงศาล ฦๅสะทา้ นอย่วู า่ เจา้ ห้าวกาแหง ข้าจะไปทางไกลถึงเมืองแกลง เจ้าจงแจ้งใจภคินที ี ฉันพลัดพรากจากจรเพราะรอ้ นจิตร ใช่จะคดิ อายอางขนางหนี ใหน้ มิ่ น้องครองรักไวส้ ักปี ท่านสุขีเถดิ ข้าขอลาไป พอแจ่มแจ้งแสงเงินเงาระยับ ดาวเดือนดบั เด่นดวงพระสุรยิ ์ใส ถงึ ปากช่องคลองสาโรงสาราญใจ พอนา้ ไหลข้ึนเช้าก็เข้าคลอง เหน็ เพ่อื นเรือเรียงรายทั้งชายหญิง ดูกย็ ิง่ ทรวงชา้ เป็นนา้ หนอง ไมแ่ ม้นเหมอื นคู่เชยเคยประคอง กเ็ ลยล่องหลีกมาไม่อาลัย กระแสชลวนเชย่ี วเรือเล้ียวลด ดคู อ้ มคดขอบค้งุ คงคาไหล แตส่ าชลเจียวยังวนเป็นวงไป น่ฤี ๅใจทีจ่ ะตรงอย่าสงกา ถึงด่านทางกลางคลองข้างฝัง่ ซา้ ย ตะวันสายแสงสอ่ งต้องพฤกษา ออกสดุ บ้านถงึ ทวารอรัญวา เป็นทุง่ คาแฝกแขมขน้ึ แกมกัน
นิ ร า ศ เ มื อ ง แ ก ล ง | ๕๖ ลมระร้วิ ปลวิ หญ้าคาระยาบ ระเนนนาบพล้วิ พลิกกระดิกหัน ดูโลง่ ลิว่ ทวิ รกุ ขเรยี งรนั เป็นเขตคนั ขอบปา่ พนาไลย ๏ ถึงทบั นางวางเวงฤไทยวบั เหน็ แตท่ ับชาวนาอยู่อาศัย นางชาวนาก็ไม่นา่ จะชืน่ ใจ คราบขไ้ี คลครา่ ครา่ ดังทาคราม อนั นางในนัคราถึงทาสี ดกี วา่ นางท้ังน้สี ักสองสาม โอ้พลัดพรากจากบรุ ินแล้วสนิ้ งาม ยงิ่ คิดความขวญั หายเสยี ดายกรงุ ถึงบางพลีมีเรือนอารามพระ ดูระกะดาษทางไปกลางทุ่ง เป็นเลนลุ่มลึกเหลวเพยี งเอวพุง ต้องลากจูงจ้างควายอยรู่ ายเรียง ดูเรอื แพแออัดอยู่ยดั เยียด เข้าเบยี ดเสียดแทรกกนั สน่นั เสียง แจวตะกดู เกะกะปะกะเชียง บ้างท่มุ เถยี งโดนดุนกันวนุ่ วาย โอ้เรอื เราคราวเขา้ ไปติดแห้ง เห็นนายแสงเป็นผใู้ หญก่ ็ใจหาย นง่ั พยุงตงุ้ กา่ ในตาลาย เห็นวุ่นวายสบั สนกล็ นลาน น้อยกบั พุม่ หน่มุ ตะกอถอ่ กระหนาบ เสยี งสวบสาบแทรกไปดว้ ยใจหาญ นายแสงรอ้ งรัง้ ไวไ้ ม่ได้การ เอาถ่อกรานโดยกลวั จนตัวโกง สงสารแสงแขง้ ข้อไมท่ ้อถอย พุม่ กับน้อยแทรกกลางเสยี งผางโผง ถว้ ยชามกลง้ิ ฉิ่งฉ่างเสียงกรา่ งโกรง นาวาโคลงโคลนเลอะตลอดแคม จนตกลกึ ลว่ งทางถงึ บางโฉลง เป็นทงุ่ โลง่ ลานตาลว้ นป่าแขม เหงอื กปลาหมอกอกกกับกุ่มแกม คงคาแจ่มเคม็ จดั ดังกดั เกลือ ถงึ หัวป่าเห็นป่าพฤกษาโกรน๋ ดเู กรียนโกรนกรองกรอยเป็นฝอยเฝือ ที่กิ่งก้านกรานกดี ประทุนเรือ ลาบากเหลอื ที่จะร่าในลาคลอง ถึงหย่อมย่านบา้ นไร่อาไลยเหลยี ว สันโดษเดียวมไิ ด้พบเพ่ือนสนอง เขารบี แจวมาในนทนี อง อันบา้ นช่องมไิ ด้แจง้ แหง่ ตาบล
นิ ร า ศ เ มื อ ง แ ก ล ง | ๕๗ ถงึ คลองขวางบางกระเทยี มสะทา้ นอก โอ้มาตกอ้างวา้ งอยู่กลางหน เหน็ แต่หมอนอ่อนแอบอรุ ะตน เพราะความจนเจยี วจึงจาระกาใจ จะเหลยี วซา้ ยแลขวากป็ า่ แสม ตลึงแลปเู ป้ียวเที่ยวไสว ระหริง่ เรื่อยเฉื่อยเสยี งเรไรไพร ฤทัยไหวแวว่ วา่ พงางาม ถงึ ชแวกแยกคลองสองชวาก ขา้ งฝ่งั ฟากหวั ตะเข้มีมะขาม เขาสร้างศาลเทพาพยายาม กระดานสามแผ่นพิงไว้บชู า ตลงึ แลแตล่ ้วนลูกจระเข้ โดยคะเนมากมายทั้งซา้ ยขวา สกั สองรอ้ ยลอยไล่กนิ ลกู ปลา เห็นแตต่ ากับจมูกเหมอื นตุก๊ แก โอ้คลองขวางทางแดนแสนโสทก ดูบนบกก็แต่ล้วนลิงแสม เลียบตลงิ่ วงิ่ ตามชาวเรือแพ ทาลอบแลหลอนลอกตะคอกคน คาโบราณท่านผกู ถกู ทกุ ส่ิง เขาวา่ ลิงจองหองมนั พองขน ทาหลกุ หลิกเหลือกลานพานลุกลน เขาดา่ คนจึงว่าลงิ โลนลาพอง ถึงชะวากปากคลองเป็นสองแพรง่ น้ากแ็ หง้ สรุ ยิ นก็หม่นหมอง ข้างซ้ายมือนั้นแลคือปากตะครอง ข้างขวาคลองบางเหย้ี ทะเลวน ประทับทอดนาวาอยทู่ า่ น้า ดเู รยี งลาเรอื รายริมไพรสณฑ์ เขาหงุ หาอาหารให้ตามจน โอ้ยามยลโภชนานา้ ตาคลอ จะกลนื เขา้ คราวโศกในทรวงเสยี ว เหมอื นขนื เคย้ี วกรวดแกลบให้แสบสอ ต้องเจือนา้ กลา้ กลนื พอกล้วั คอ กนิ แต่พอดับลมด้วยตรมใจ พอฟา้ คลา้ คา่ พลบลงหรบุ รู่ ยุงออกฉูช่ งิ พลบตบไม่ไหว ไดร้ บั รองป้องกันเพยี งควันไฟ แต่หายใจมิใคร่ออกดว้ ยอบอาย โอย้ ามยากจากเมืองแลว้ ลืมมุ้ง มากรายุงเวทนาประดาหาย จะกรวดนา้ ควา่ ขันจนวันตาย แม้นเจา้ นายทา่ นไมใ่ ชแ้ ลว้ ไม่มา
นิ ร า ศ เ มื อ ง แ ก ล ง | ๕๘ พอนา้ ตึงถงึ เรือกร็ ีบล่อง เข้าในคลองคึกคักกันหนักหนา ดว้ ยมืดมวั กลวั ตอต้องรอรา นาวามาเรยี งตามกันหลามทาง ถึงบ้านบ่อพอจนั ทรก์ ระจา่ งแจ้ง ทกุ ประเทศเขตแขวงนัน้ กวา้ งขวาง ดูดาวดาษกลาดฟ้านภาพาง วิเวกทางท้องทงุ่ สะทา้ นใจ ดูรวิ้ รว้ิ ลมปลวิ ทปี่ ลายแฝก ทุกละแวกหวาดหวนั่ อย่ไู หวไหว ราฤกถึงขนิษฐาย่ิงอาไลย เชน่ น้ีไดเ้ จ้ามาด้วยจะดิ้นโดย เห็นทวิ ทงุ่ วุง้ เวง้ิ ใหห้ ว่นั หวาด กัมปนาทเสยี งนกวหิ คโหย ไหนจะต้องละอองน้าคา้ งโปรย เม่ือลมโชยชน่ื นวลจะชวนเชย โอ้นึกนกึ แลว้ กน็ ่านา้ ตาตก ด้วยแนบอกมิได้แนบแอบเขนย ไดห้ มอนข้างต่างนอ้ งประคองเกย เมื่อไรเลยจะไดค้ ืนมาช่นื ใจ ๏ ถงึ หยอ่ มยา่ นบ้านระกาดต้องลงถ่อ คอ่ ยลอยรอเรยี งลาตามน้าไหล จนลว่ งเขา้ หัวป่าพนาไลย ล้วนเงาไมม้ ืดคลา้ ในลาคลอง ระวังตัวกลวั ตอตะเคยี นขวาง เป็นเยีย่ งอยา่ งผู้เถ้าเลา่ สนอง วา่ ผสี างสงิ นางตะเคยี นคะนอง ใครถูกต้องแตกตายลงหลายลา พอบอกกันยงั มิทนั จะขาดปาก เห็นเรอื จากแจวตรงหลงถลา กระทบผางตอนางตะเคียนตา กโ็ คลงควา่ ลม่ ลงในคงคา พวกเรือพสี่ ีค่ นขนสยอง กเ็ ลยลอ่ งหลกี ทางไปข้างขวา พ้นระวางนางรุกขฉายา ต่างระอาเหน็ ฤทธิป์ ระสิทธจิ์ ริง ขอนางไม้ไพรพฤกษ์เทพารักษ์ ขอฝากภคินนี อ้ ยแม่น้องหญิง ใครสามารถชาตชิ ายจะหมายชิง ให้ตายกลง้ิ ลงเหมือนตอท่ีตาเรือ จนล่วงล่องมาถึงคลองทีค่ ับแคบ ไม่อาจแอบชดิ ฝง่ั ระวังเสือ ดว้ ยครึ้มครึกพฤกษาลดั าเครอื คอ่ ยรอเรือเรยี งล่องมานองเนือง
นิ ร า ศ เ มื อ ง แ ก ล ง | ๕๙ ลาภูรายพรายพร้อยหิ่งหอ้ ยจับ สวา่ งวับแวววามอรา่ มเหลือง เสมอเมด็ เพ็ชรรตั นจ์ ารัสเรือง คอ่ ยประเทืองทุกขท์ ัศนาชม ถึงบางสมัคเหมอื นพร่ี ักสมคั มาด มาแคล้วคลาศมิได้อยู่กับคู่สม ถงึ ยามนอนนอนเดยี วเปลีย่ วอารมณ์ จะแลชมอ่ืนอื่นไม่ชื่นใจ แสนกันดารบา้ นเมืองไม่แลเห็น ยะเยอื กเย็นหย่อมหญา้ พฤกษาไสว โอค้ ลองเปลีย่ วพี่กเ็ ปล่าเศร้าฤทัย จะถงึ ไหนก็ไม่แจ้งแห่งสาคญั ประจวบจนถึงตาบลบ้านมะพร้าว พอฟา้ ขาวขอบไพรเสียงไก่ขนั เป็นที่กมุ ภาพาลชาญฉกรรจ์ ให้หวาดหวัน่ รบี มาในสาชล ถงึ บางวัวเห็นแต่ศาลตระหง่านง้า ละอองนา้ ค้างย้อยเป็นฝอยฝน ดาวเดือนดบั ลบั เมฆเป็นหมอกมล สรุ ยิ นเย่ียมฟา้ พนาไลย พอเรือออกนอกชะวากปากตะครอง คอ่ ยลอยล่องตามลาแมน่ ้าไหล ดกู ว้างขวางวา้ งเว้งิ วิเวกใจ เป็นพงไพรฝงู นกวหิ คบิน ๏ ถึงหย่อมยา่ นบ้านบางมังกงนั้น ดูเรียงรันเรือนเรียบชลาสนิ ธ์ุ แต่ล้วนบ้านตากปลารมิ วาริน เหมน็ แตก่ ลนิ่ เน่าอบตระหลบไป เห็นศาลเจ้าเหลา่ เจก๊ อยู่เซ็งแซ ปนู ทะกง๋ องค์แก่ข้างเพศไสย เกเรเอ๋ยเคยข้ามคงคาลัย ช่วยคมุ้ ภัยปากอ่าวเถิดเจ้านาย พอพ้นบา้ นลานแลดูปากชอ่ ง เหน็ ทวิ ท้องสมุทรไทยน่าใจหาย แลทะเลเลี่ยนลาดล้วนหาดทราย ทง้ั สามนายจัดแจงโจงกระเบน ไปตามชอ่ งลอ่ งออกไปนอกรั้ว เห็นเมฆมัวลมแดงดังแสงเสน สักประเดี๋ยวเหลยี วดลู าภูเอน ยอดระเนนนาบน้าอยรู่ าไร ปา่ แสมแลเห็นอยูร่ ิ้วร้ิว ให้หวิวหววิ วาบวบั ฤทัยไหว จะหลบหลกี เข้าฝ่ังกย็ งั ไกล คลนื่ ก็ใหญ่โยนเรือเหลือกาลงั
นิ ร า ศ เ มื อ ง แ ก ล ง | ๖๐ สงสารแสงแขง็ ข้อจนขาส่ัน เห็นเรอื หนั โกรธบ่นเอาคนหลัง น้าจะพดั ปัดตไี ปสชี ัง แล้วคล้มุ คล่ังเง่ียนยาทาตาแดง ปลอบเจ้าพุ่มพึมพาว่ากรรมแลว้ อตุ ส่าห์แจวเข้าเถิดพ่อให้ข้อแข็ง สงสารน้อยหน้าจอ๋ ยนั่งจัดแจง คิดจะแต่งตัวตายไม่พายเรือ พแ่ี ขง็ ขนื ฝนื ภาวนานิง่ แลตล่งิ ไรไรยังไกลเหลือ เห็นเกนิ รอยบางปลาสร้อยอยู่ท้ายเรอื คลน่ื ก็เฝือฟูมฟองคะนองพราย เห็นจวนจนบนเจา้ เขาสามุก จงช่วยทกุ ข์ถงึ ทีจ่ ะทาถวาย พอขาดคาน้าข้นึ ทั้งคลน่ื คลาย ทั้งสามนายหนา้ ชืน่ ค่อยเฉื่อยมา หยดุ ตะพานยา่ นกลางบางปลาสร้อย พุ่มกับน้อยสรวลสนั ตต์ า่ งหรรษา นายแสงหายคลายโทษท่โี กรธา ชกั กัญชานั่งกริม่ ยิ้มละไม แลว้ หุงหาอาหารสาราญรื่น จนเที่ยงคนื ขนึ้ ศาลาได้อาศรัย ฟังเสยี งคลืน่ ครืน้ คร่ันสนัน่ ไป ดมู ืดในเมฆานภาพางค์ พีเ่ ล็งแลดูกระแสสายสมทุ ร ละลิ่วสุดสายตาเห็นฟ้าขวาง เป็นฟองฟุ้งรงุ่ เรืองอยรู่ ่างราง กระเด็นพร่างพรายพราวราวกับพลอย เห็นคล้ายคลา้ ยปลาวา่ ยเฉวียนฉะวดั ละลอกซัดสาดกระเซนข้ึนเต้นหยอย ฝงู ปลาใหญ่ไล่โลดกระโดดลอย น้ากพ็ ลอยพร่างพร่างกลางคงคา แลทะเลแล้วก็ให้อาไลยนชุ ไมส่ ่างสดุ โศกส้นิ ถวิลหา จนอทุ ยั ไกรกรดั จารัสตา เหน็ เคหาเรยี งรายรมิ ชายทะเล ดูเรอื แพแตล่ ะลาลว้ นโปะโหละ พวกเจก๊ จีนกินโตะ๊ เสียงโหลเหล บา้ งลุยเลนลว้ งปูดโู ซเซ สมคะเนใสข่ ้องเที่ยวมองคอย อันนารีท่ยี ังสาวพวกชาวบา้ น ถีบกระดานถือตะกร้าเท่ียวหาหอย ดแู คลว่ คลอ่ งล่องแลน่ แฉลบลอย เอาขาห้อยทาเป็นหางไปกลางเลน
นิ ร า ศ เ มื อ ง แ ก ล ง | ๖๑ อันพวกเขาชาวประโมงไมโ่ หย่งหยิบ ล้วนตนี ถบี ปากกัดขัดเขมร จะได้กนิ ค่าเชา้ กร็ าวเพล ดูจัดเจนโลดโผนในโคลนตม จึงมั่งคงั่ ตั้งบา้ นในการบาป แต่ตอ้ งสาปเคหาใหส้ าสม จะปลกู เรอื นกม็ ิได้ใส่ปนั้ ลม ใครขืนทาก็ระทมดว้ ยเพลงิ ลาม โอ้ดเู รือนเหมือนอกเราไร้คู่ ผู้ใดดจู ึงไม่ออกเอยี่ มสนาม ฤๅต้องสาปบาปหลังยงั ตดิ ตาม งามจงึ ไม่มปี รานเี ลย จะรกั ใครเขาก็ไม่เมตตาตอบ สมประกอบได้แตส่ อดกอดเขนย เอ็นดเู ขาเฝา้ นึกนิยมเชย โอใ้ จเอ๋ยจะเป็นกรรมนน้ั ร่าไป พลางราพึงถงึ ทางท่ีกลางเถื่อน จงึ คลอ้ ยเคลื่อนนาวาเข้าอาศรัย มีมติ รชายทา้ ยยา่ นเป็นบ้านไทย สานกั ในเคหาขุนจา่ เมอื ง ใครพบภักตร์เขาก็ทกั ว่าทรงซูบ จะดรู ูปตัวเองกผ็ อมเหลือง ซังตายชื่นฝืนฤทัยใหป้ ระเทือง เท่ยี วชาเลอื งแลชมตลาดเรยี ง เป็นสองแถวแนวถนนคนสะพรั่ง บา้ งยืนบ้างน่ังร้านประสานเสยี ง ดูรปู ร่างนางบรรดาแมค่ า้ เคยี ง เหน็ เกลยี้ งเกล้ียงกล้องแกลง้ เป็นอยา่ ง ขายหอยแครงแมงภู่กบั ปมู ้า หมึกแมงดาหอยดองรองกระถาง พวกเจก๊ จนี สินค้าเอามาวาง มะเขือคางแพะเผือกผกั กาดดอง ทข่ี ายผ้าน่าถังกเ็ ปิดโถง ล้วนเบ้ียโปง่ หญิงชายมาจา่ ยของ สกั ย่สี บิ หยบิ ออกเป็นกอบกอง พเี่ ทยี่ วท่องทัศนาจนสายัณห์ ดกู ็งามตามประสาพนาเวศ ไม่นวลเนตรเหมือนหน่ึงในไอยสวรรค์ แตแ่ รมค้างบางปลาสรอ้ ยไดส้ ามวนั กช็ วนกนั เลยลาขุนจา่ เมือง พอฟ้าขาวดาวเดือนลงเลอื่ นลด อร่ามรถสุริยาเวหาเหลอื ง จากเคหาชลนาพ่ีนองเนือง ขนื ประเทืองปล้าทกุ ข์มาตามทาง
นิ ร า ศ เ มื อ ง แ ก ล ง | ๖๒ พอพ้นบา้ นลานแลลว้ นทุ่งเลย่ี น หนทางเตยี นตดั เข้าภเู ขาขวาง ดกู รวดทรายพรายงามเหมือนเงนิ ราง หยาดน้าคา้ งขงั หลุมท่ขี ุมควาย ดสู ีขาวราวกับนา้ ตาลโตนด ทีห่ วา่ งโขดขอบผาศิลาฉลาย รมิ ทางเถ่ือนเรือนเหยา้ มรี ายราย เหน็ ฝูงควายปล่อยเกล่ือนอยู่กลางแปลง ถงึ หนองมนมีตาบลชอื่ บา้ นไร่ เขาถากไม้ทกุ ประเทศทุกเขตแขวง ตอ้ งเดินเฉยี งเลยี่ งลัดตัดทแยง ตามนายแสงนาทางไปกลางไพร กาดดั แดดแผดรอ้ นทกุ ขุมขน ไม่มีตน้ พฤกษาจะอาศัย ลว้ นละแวกแฝกคาป่าราไร จนสดุ ไร่เลียบรมิ ทะเลมา ตะวนั คล้อยหน่อยหนง่ึ ถึงบางพระ ดรู ะยะบ้านน้ันกแ็ น่นหนา พอพบเรอื นเพ่ือนชายช่อื นายมา เขาโอภาตอ้ นรับใหห้ ลับนอน พอรุ่งแสงสุรยิ าลีลาลาศ ลงเลยี บหาดหวนคะนงึ ถงึ สมร เห็นกรวดทรายชายทะเลชโรธร ละเอียดอ่อนดังละอองสาลีดี ดกู าบหอยรอบคลนื่ กระเด็นสาด กเ็ กลือ่ นกลาดกลางทรายประพรายสี เป็นหลายอย่างลางลกู ก็เรยี วรี โอเ้ ชน่ น้ีแม่มาดว้ ยจะดีใจ จะเชยชมก้มเก็บไปกลางหาด เหน็ ประลาดก็จะถามตามสงไสย พไ่ี ม่รู้ก็จะชวนสารวลไป ถึงเหน่ือยใจจะค่อยเบาบรรเทาคลาย โอ้ยามน้พี เ่ี ห็นแต่ภกั ตรเ์ พ่อื น ไม่ชืน่ เหมือนสดุ สวาดิทม่ี าดหมาย กลน้ั นา้ ตามาจนสุดท่หี าดทราย เหน็ เรือรายโรงเรยี งเคยี งเคยี งกนั อันชอื่ น้ศี รีมหาราชาชาติ ข้ึนจากหาดเขา้ ปา่ พนาสัณฑ์ คอ่ ยเลียบเดินเนินโขดศงิ ขรคัน เสยี งจกั กระจน่ั แซเ่ ซ็งวังเวงใจ สองขา้ งทางนางไม้ไพรสงัด ไมแ่ กว่งกวัดกา้ นกิง่ ประวิงไหว เย็นระร่นื ช่นื ชมุ่ ชอุ่มใบ หนาวฤทัยโทมนสั ระมดั กาย
เสยี งนกร้องกอ้ งกู่กนั กลางปา่ นิ ร า ศ เ มื อ ง แ ก ล ง | ๖๓ จนออกดงลงเดนิ เนนิ สบาย ถึงเขาขวางว่างเว้งิ ชะวากวุ้ง ฟงั ภาษาสัตวไ์ พรก็ใจหาย เป็นป่ารอบขอบเขินเนนิ อรญั คอ่ ยเคล่ือนคลายรอเรียงมาเคยี งกัน บ้างถาบถาพาคู่ลงฟบุ ฝุน่ เขาเรยี กทุ่งสาขลาพนาสณั ฑ์ บ้างกง่ คอคูคกู ุกกูไป นกเขาขันคูเรยี กกนั เพรยี กไพร โอ้ปักษีมีคทู่ ่ีชูชน่ื เหน็ คนผลุนโผผินบินไถล พีเ่ ปลี่ยวใจอายนกเพราะห่างนาง ฝูงเขาไฟฟุบแฝงท่แี ฝกฟาง แล้วรบี รุดไปจนสุดท่ีทิวทุ่ง สาราญร่ืนปกปดิ ด้วยปีกหาง เป็นประเทศเขตนิคมกรมการ มาเดนิ กลางดงแดนแสนกันดาร น้าตาตกอกโอ้อนาถเหน่ือย ถึงบางละมงุ พบน้าลาละหาน ลงหยดุ หยอ่ นผอ่ นนั่งทศ่ี าลา มเี รือนบ้านแออัดท้งั วัดวา ลงอาบน้าลาห้วยพอเหนอื่ ยหาย ให้มึนเม่ือยขดั ข้องทัง้ สองขา สลดใจเหน็ จะไม่ถงึ เมืองแกลง ต่างระอาอ่อนจิตรระอดิ แรง พ่ีดูดวงสรุ ิฉายกบ็ ่ายคลอ้ ย แตเ่ ส้นสายรุมรงึ ใหข้ ึงแข็ง ออกพน้ ย่านบ้านบางละมุงไป แต่นายแสงวอนว่าใหค้ ลาไคล ในกระแสแลลว้ นแต่โปะ๊ ลอ้ ม ชวนพุม่ น้อยจากศาลาทอี่ าศัย โอค้ ิดเหน็ เอ็นดูหมแู่ มงดา คอ่ ยคลายใจจรเลียบชลามา เขาจับตัวผวั ทง้ิ ไว้กลางนา้ ลงอวนอ้อมโอบสกัดเอามัจฉา พอเมยี ตายฝา่ ยผัวกบ็ รรลัย ตวั เมยี พาผัวลอยเทีย่ วเล็มไคล แม้นน้องตายพจ่ี ะวายชวี ิตดว้ ย ละลอกซ้าสาดซัดให้ตัดษัย ราจวนจติ รคดิ มาในวารี โอ้เหมอื นใจท่ีพี่รกั ภคินี เป็นเพ่ือนม้วยมง่ิ แม่ไปเมอื งผี จนถึงทีศ่ าลาบา้ นนาเกลือ
นิ ร า ศ เ มื อ ง แ ก ล ง | ๖๔ หยุดประทบั ดบั ดวงพระสุริแสง ยิง่ โรยแรงร้อนรนนน้ั ลน้ เหลอื จะเคีย้ วเข้าตละคาเอาน้าเจือ พอกล้ัวเกลือ้ กลา้ กลนื ค่อยชื่นใจ ท้งั ล้าเลื่อยเหนื่อยอ่อนนอนสนทิ จนอาทิตยแ์ ย้มเย่ียมเหลยี่ มไศล ถอนสะอืน้ ตื่นตายังอาไลย ราจวนใจจรจากศาลามา เข้าเดินดงพงชฏั สงดั เงยี บ เย็นยะเยยี บนา้ ค้างพรา่ งพฤกษา ออกชะวากปากทุ่งพทั ยา นายแสงพาเล้ียวหลงที่วงเวยี น บกุ ละแวกแฝกแขมอะแรมรก กบั กอกกสูงสูงเสมอเศียร ด้วยน้าฝนลน้ ลงหนทางเกวยี น ขึน้ โขดเตยี นตอกรอกยอกระยา กลัวปลิงเกาะเลาะลดั ขดั เขมร ลงลุยเลนพรวดพราดพลาดถลา ถึงแนวหนองย่องก้าวเอาเท้าคลา แต่ท่องนา้ อยู่จนเท่ียงจึงพบทาง พอยกเทา้ กา้ วเดนิ บนเนนิ แห้ง ท้งั ขาแขง้ เข่าข้อใหข้ ัดขวาง เจบ็ ระบมคมหญ้าคาคาง ค่อยย่องย่างเหยยี บฝุ่นให้งุนโงน เห็นพฤกษาไมม้ ะคา่ มะขามข่อย ทงั้ ไทรย้อยยอดโยนโดนตะโขง เหมือนไมด้ ดั จดั วางขา้ งพระโรง เป็นพุม่ โพรงสาขานา่ เสียดาย เดินพินจิ เหมือนคดิ สมบัติบา้ จะใคร่หาตน้ ไม้เข้าไปถวาย น่เี หนด็ เหน่อื ยเล่อื ยลา้ บรรดาตาย แสนเสยี ดายดเู ดินจนเกินไป ถึงท้องธารศาลเจา้ ริมเขาขวาง พอได้ทางลงมหาชลาไหล เขา้ ถามเจก๊ ลกู จ้างตามทางไป เป็นจีนใหม่อ้อแอไ้ ม่แน่นอน รอ้ งไล้ขื่อมือช้ีไปที่เขา ก็ดอื้ เดาเลยี บเดนิ เนินศิงขร ศลิ าแลเป็นชแงช่ งกั งอน บ้างพรุนพอนแตกกาบเป็นคราบไคล ต้องเล่ียงเลยี บเหยยี บยอกเอาปลาบแปลบ ถึงทแี่ คบเป็นเขินเนินไศล คอ่ ยตะกายป่ายปนี เปะปะไป จะขาดใจเสยี ดว้ ยเหน่ือยทั้งเม่ือยกาย
นิ ร า ศ เ มื อ ง แ ก ล ง | ๖๕ ถงึ ท่โี ขดต้องกระโดดข้นึ บนแง่ โกน่ เอาแมจ่ นี ใหม่นน้ั ใจหาย บอกว่าใกลไ้ กลมาบรรดาตาย ท้ังแคน้ นายแสงนาไมจ่ าทาง ทาซมเซอะเคอะคะมาปะเขา แต่โดยเมากัญชาจนตาขวาง แกไขหสู ้นู ิ่งไปตามทาง ถงึ พื้นลา่ งแลลาดลว้ นหาดทราย ต่างโหยหิวนว่ิ หนา้ สองขาแข็ง ในคอแหง้ หอบรนกระหนกระหาย กลืนกระเดือกเกลือกล้ินกินน้าลาย เจยี นจะตายเสียดว้ ยรอ้ นออ่ นกาลงั นา้ ก็นองอยูใ่ นทอ้ งชลาสินธุ์ จะกอบกนิ เคม็ ขมไมส่ มหวงั เหมอื นไร้คอู่ ยู่ขา้ งกาแพงวงั จะเกี้ยวมั่งก็จะเฆยี่ นเอาเจียนตาย ทง้ั น้เี พราะเคราะห์กรรมกระทาไว้ นึกอะไรจึงไม่สมอารมณห์ มาย แล้วปลอบน้องสองราปรีชาชาย มาถงึ ท้ายทิวป่านาจอมเทียน เหน็ บอ่ น้าร่าดมื่ เอาโดยอยาก พออา้ ปากเหมน็ หืนให้คล่นื เหียน คอ่ ยมีแรงแข็งใจไปทางเกวียน ไม่แวะเวยี นเดาเดนิ ดาเนนิ ไป ถงึ ห้วยขวางตดั ทางเขา้ ไต่ถาม พบขุนรามเรยี กหาเขา้ อาศัย กินเขา้ ปลาอาหารสาราญใจ เขาแต่งใหห้ ลับนอนผอ่ นกาลัง สงสารแสงแสนสดุ เมื่อหยดุ พัก เฝ้านั่งชกั กัญชากับตาสงั เสยี งขาคะอยูจ่ นพระเคาะระฆงั ต่างร่าส่ังฝากรักกนั หนักครัน แสนวิตกอกพเ่ี ม่ืออา้ งว้าง ถามถงึ ทางท่จี ะไปในไพรสณั ฑ์ ชาวบา้ นบอกมรคาวา่ กว่าพัน สะกิดกนั แกลว้ กลา้ เป็นนา่ กลัว ย่งิ หวาดจิตรคดิ คณุ พระชนิ สีห์ กบั ชนนบี ิตเุ รศบังเกิดหัว ขา้ ต้ังใจไปหาบิดาตวั ใหพ้ น้ ช่วั ทช่ี ่ือว่าภัยยนั ต์ อธิษฐานแล้วสะท้านสะท้อนอก สาเนยี งนกเพรยี กไพรท้ังไก่ขนั เมฆแอร่มแย้มแยกแหวกตะวัน กช็ วนกันอาลาเขาคลาไคล
นิ ร า ศ เ มื อ ง แ ก ล ง | ๖๖ เขม้นเมินเดินตรงเข้าดงดกึ ดซู ง้ึ ซึกมไิ ดเ้ ห็นพระสรุ ิย์ใส เสยี งฟ้ารอ้ งก้องลนั่ สน่นั ไพร ไมไ้ หวไหวเหลียวหลังระวงั คอย สงัดเงยี บเยียบเย็นยะเยือกอก นา้ ค้างตกหยดเหยาะลงเผาะผอย พฤกษาสูงยงู ยางสลา้ งลอย ดชู ดช้อยชน่ื ชมุ่ ชอมุ่ ใบ ถงึ ปากช่องหนองชะแง้วเข้าแผว้ ถาง แม้นคา่ ค้างอรัญคาได้อาศยั เป็นทีล่ ุ่มขุมขังคงคาไลย วังเวงใจรีบเดนิ ไมเ่ มินเลย หนทางรนื่ พ้ืนทรายละเอียดอ่อน ในดงดอนดอกพะยอมหอมระเหย หายระหวยด้วยพระพายมาชายเชย ชะแงเ้ งยแหงนทัศนามา ถงึ บางไผไ่ มเ่ ห็นไผ่เป็นไพรชัฏ แสนสงดั เงยี บในไพรพฤกษา ต้องข้ามธารผา่ นเดนิ เนนิ วนา อรญั วาอา้ งวา้ งในกลางดง ถึงพลงค้อคอเขาเป็นโขดเขิน ตอ้ งขนึ้ เนินภูผาปา่ ระหง ส่งกระทั่งหลงั โคกเป็นโตรกตรง เมื่อจะลงก็ต้องวง่ิ เหมือนลงิ โลน แต่ขา้ มหว้ ยเหวผาจนขาขัด ต้องกาดดั วงิ่ เตน้ ดังเลน่ โขน ทัง้ รากยางขวางโกงตะโขงโคน สะดดุ โดนโดดข้ามไปตามทาง ถึงพะดรสาครเป็นพวยพุ น้าทะลอุ อกจากชะวากขวาง ดูซ้ึงใสไหลเชย่ี วเป็นเกลยี วกลาง สไบบางชุบซบั กับอรุ า แล้วข้ึนเนนิ เดนิ ในดงไม้หอม สะพรัง่ พรอ้ มปรูปรายปฤษณา ยามพระพายชายเชยราเพยพา หอมบบุ ผารน่ื รื่นช่นื อารมณ์ เหมอื นกลิน่ ปรางนางปนสคุ นธ์รน่ื คดิ ถึงคนื เคียงนอ้ งประคองสม ถอนสะอ้นื ยืนเด็ดลาดวนดม พีน่ ึกชมต่างนางไปกลางไพร ถึงห้วยอรี ้าแลระยา้ ล้วนสายหยดุ ดอกน้นั สดุ ทีจ่ ะดกดไู สว กะมองกะเมงนมแมวเป็นแถวไป ล้วนลกู ไมก้ ลางปา่ ทัง้ หวา้ พลอง
นิ ร า ศ เ มื อ ง แ ก ล ง | ๖๗ สะทอ้ นหลน่ ใต้ต้นออกเกลื่อนกลิ้ง ฝูงค่างลงิ กนิ เล่นเป็นเจ้าของ ตา่ งเกบ็ เคี้ยวเปร้ียวปรายเสยี ก่ายกอง แตโ่ ดยลองเลือกชิมจนอ่ิมไป ถึงโตรกตรวยหว้ ยพะยนู จะหยดุ ร้อน เหน็ แรดนอนอยู่ในดงให้สงไสย เรยี กกันดูด้วยไมร่ วู้ ่าสัตวใ์ ด เห็นหนา้ ใหญอ่ ยา่ งจระเข้ตะคุกตัว มนั เหน็ หน้าทาตากะปริบนิ่ง เห็นหลายสง่ิ คอคางท้งั หางหวั รู้ว่าแรดกนิ หนามให้คร้ามกลัว ขยับตวั วงิ่ พลั วันไป ครูห่ น่ึงถงึ ชะวากซากลูกหญ้า ลว้ นพฤกษายางยูงสงู ไสว แตล่ ้วนทากตะเละราลาภูไพร ไตใ่ บไม้ยงู ยางมากลางแปลง กระโดดเผาะเกาะผบั กระหยับคบื ถบี กระทืบมิใคร่หลุดสุดแสยง ปลดท่ตี ีนตดิ ขาระอาแรง ทงั้ ขาแข้งเลือดโทรมชโลมไป ออกเดินถห่ี นีทากถึงซากขาม เป็นสนามน้าท่าไดอ้ าศยั เหน็ รอยคนแรมคา้ งอยูก่ ลางไพร ข้นึ ตน้ ไมห้ กั รังไว้เรียงราย เห็นลงิ คา่ งป่างชะนวี ะหวีดโหวย กระหึมโหยหอ้ ยไมน้ ่าใจหาย เสยี งผัวผัวตวั เมยี เทย่ี วโยนกาย เห็นคนอายแอบอิงกบั กิ่งยาง โอ้ชะนเี วทนาเที่ยวหาผวั เหมือนตวั พจ่ี ากน้องให้หมองหมาง ชะนีเพรียกเรียกชายอยู่ปลายยาง พ่เี รียกนางนชุ นอ้ งอยใู่ นใจ เป็นป่าสูงฝงู นกในดงดึก หวนระลึกถงึ สดุ านา้ ตาไหล จักระจ่นั รอ้ งพร้องเพราะเสนาะไพร ทัง้ เสยี งไกเ่ ถื่อนขันสนัน่ เนิน พฤกษาเบยี ดเสียดสีดงั ปีแ่ กว้ วเิ วกแวว่ หว่างลาเนาภเู ขาเขนิ สดบั ฟงั วังเวงเป็นเพลงเพลิน ต้องรีบเดนิ โดยดว่ นดว้ ยจวนเย็น ถึงหว้ ยโปง่ เหน็ ธารละหานไหล คงคาใสปลาว่ายคล้ายคล้ายเห็น มีกรวดแกว้ แพรวพรายรายกระเด็น บา้ งแลเหน็ เป็นสีบษุ ราคา
นิ ร า ศ เ มื อ ง แ ก ล ง | ๖๘ ขืนอารมณ์ชมเชยเลยลีลาศ พระพายพาดพัดเรื่อยมาเฉ่ือยฉา่ ท้งั สองขา้ งมรคาป่าระกา สล้างลาแลสลับอยกู่ ับกอ หอมบบุ ผาสาโรชมาร่ืนร่นื ตา่ งหยุดยืนใจหายเสยี ดายหนอ แม้นอยเู่ คียงเวียงไชยเห็นไม่พอ จะตัดต่อเรือเล่นแล่นตามกัน ทลายลูกสกุ แลดูแออดั เอาดาบตัดชิมไปในไพรสัณฑ์ มันแสนเปร้ยี วเบยี้ วหนา้ เขา้ หากนั ออกเขด็ ฟันเป็นจะตายด้วยรายชมิ ๏ ถงึ ห้วยพรา้ วเท้าเม่ือยออกเล่อื ยล้า เห็นผดิ ฟ้าฝนย้อยลงหยิมหยิม สรุ ิฉายบา่ ยเย้อื งเมอื งประจมิ อรุ ะปิ้มศรปักสลักทรวง ออกเดนิ รีบถบี ถอนไปทุกยา่ ง กลวั จะคา้ งคา่ ลงในดงหลวง ด้วยครน้ื ครึกพฤกษาลดาพวง ไม่เห็นดวงสุรยิ าเวลาไร พอเต็มตงึ ถึงสุนขั กะบากนนั้ รอยเขาฟันพฤกษาอยู่อาศัย เห็นรอยคนปนควายค่อยคลายใจ รูว้ า่ ใกลอ้ อกดงเดินตะบึง แตย่ ่างย้ายทรายฝุ่นขยุ่นยุบ ยิ่งเหยียบฟบุ ขาแขง้ ให้แข็งขึง ย่งิ จวนเยน็ เสน้ สายให้ตายตงึ ดเู หมือนหน่ึงเหยียบโคลนให้โอนเอน ออกปากช่องท้องทุ่งทต่ี ล่ิง ตา่ งเกลอื กกลิ้งลงทัง้ รกถกเขมร ดว้ ยล้าเลื่อยเหน่อื ยอ่อนนอนระเนน จนสรุ เิ ยนทร์ลับไม้ชายทะเล ผลัดกันทาย่าเหยยี บแลว้ ยืนยัด กระดูกดัดผวั ะเผาะให้โผเผ คอ่ ยย่างเทา้ ก้าวเขยกดเู กกเก ออกโซเซเดนิ ข้ามตามตะพาน เป็นทุ่งแถวมีแนวแมน่ ้าออ้ ม ระยะหย่อมเคหาน่าสนาน เป็นเนนิ สวนล้วนเหล่ามะพรา้ วตาล เข้าลบั บา้ นทบั ม้าลีลาไป พอสิ้นดงตรงบากออกปากช่อง ถึงระยองเหย้าเรือนดูไสว แวะเข้ายา่ นบา้ นเกา่ คอ่ ยเบาใจ เขาจดุ ไตต้ ้อนรับใหห้ ลบั นอน
นิ ร า ศ เ มื อ ง แ ก ล ง | ๖๙ ฝ่ายนายแสงถงึ ตาแหน่งสานกั น้อง เขายมิ้ ย่องชมหลานคลานสลอน พว่ี ้าเหวเ่ อกาอนาทร ดว้ ยจะจรต่อไปเป็นหลายคนื ครนั้ รงุ่ เช้าเท้าบวมท้ังสองขา้ ง จะยอ่ งยา่ งสดุ แรงจะแข็งขืน อยรู่ ะยองสองวันสกู้ ลั้นกลนื ค่อยแชม่ ช่ืนชวนกนั ว่าจะคลาไคล นายแสงหนลี ้ีหลบไม่พบเหน็ โอ้แสนเข็ญคิดน่าน้าตาไหล น้อยฤๅเพ่ือนเหมือนจะร่วมชีวาไลย มาสญู ใจจาจากเม่ือยากเย็น จึงกรวดนา้ รา่ ว่าตอ่ อาวาส อนั ชายชาติน้ีหนอไม่ขอเห็น มาลวงกนั ปลิ้นปลอกหลอกทง้ั เป็น จะชี้เชน่ ชว่ั ช้าใหส้ าใจ เดชะสตั ย์อธษิ ฐานประจานแจ้ง ใหเ้ รียกแสงเทวทัตจนตัดษัย เหมือนชื่อตั้งหลังพหิ ารเขียนถ่านไฟ ด้วยนา้ ใจเหมือนมนิ หมอ้ ทรชน แลว้ ชวนสองนอ้ งรักรว่ มชวี ติ ใหเ้ ปลี่ยวจติ รไมแ่ จง้ รแู้ หง่ หน จากระยองย่องตามกันสามคน เลียบถนนคันนาปา่ ราไร ถงึ บา้ นนาตาขวญั สาคัญแน่ เหน็ ยายแกแ่ วะถามตามสงไสย เขาชน้ี ว้ิ แนะทิวหนทางไป ประจกั ษ์ใจจาแนด่ าเนินมา ถงึ บ้านแลงทางแห้งเห็นทุ่งกว้าง เฟือนหนทางทวนทบตลบหา บุกละแวกแฝกแขมกบั หญา้ คา จนแดดกล้ามาถึงย่านบา้ นตะพง มเี คหาอารามงามระรน่ื ดว้ ยพา่ งพน้ื พุ่มไม้ไพรระหง ตัดกระพอ้ ห่อได้ทุกไรก่ ง พห่ี ลกี ลงทางทุง่ กระทอลอ เหน็ สาวสาวชาวไรเ่ ขาไถที่ บ้างพาทีอือเออเสียงเหนอหนอ แลขไ้ี คลใส่ตาบเป็นคราบคอ ผา้ ห่มห่อหมากแห้งตะแบงมาน พสี่ ้เู มินเดนิ ตรงเขา้ ดงสงู เสียงนกยูงเบญจวันขน้ึ ขนั ขาน คดิ ถึงน้องหมองใจอาไลยลาน แม้นแจ้งการวา่ พ่จี ากอยุธยา
นิ ร า ศ เ มื อ ง แ ก ล ง | ๗๐ จะเศรา้ สร้อยคอยท่าเป็นทุกข์ร้อน ถงึ ยามนอนยามกินถวลิ หา พ่ีก็แสนสุดยากลาบากมา ทงั้ เดนิ ป่าป้มิ กายจะวายวาง ตอ้ งเวียนวงหลงทบตลบเลี้ยว ดว้ ยรกเล้ียวหว้ ยหนองเป็นคลองขวาง ระหกระเหนิ เดนิ ภาวนาพลาง พอพบทางลงถึงทอ้ งทะเลวน เสยี งพลิ ึกครึกคร้ึมกระหึมคลื่น ร่มระร่ืนรุกขาพฤกษาสน เหล่าต้นโปลงโกงกางกิ่งพิกล สลา้ งต้นเตรงต้ังสะพรัง่ ตา ถึงปากช่องคลองกรุ่นเห็นคลองกว้าง มโี รงร้างเรียงรายชายพฤกษา เป็นชมุ รมุ น่านา้ เขาทาปลา ไม่รอรารบี เดนิ ดาเนินพลาง ถึงศาลเจา้ อ่าวสมุทรท่ีสดุ หาด เลยี บลีลาศขนึ้ ตามชอ่ งทีค่ ลองขวาง ถึงบ้านแกลงลัดบา้ นไปย่านกลาง เห็นฝูงนางสานเส่ือนั้นเหลอื ใจ แต่ปากพลอดมอื สอดขยุกขยิก จนมือหงกิ งอแงไม่แบได้ เป็นส่วยบ้านสานส่งเขา้ กรงุ ไกร เด็กผู้ใหญ่ทาเปน็ ไมเ่ วน้ คน พอพลบค่าสานักท่ีเรือนเพื่อน ดเู หย่าเรือนชาวแขวงทุกแหง่ หน มุงดว้ ยไม้หวายโสมแสนพิกล ไมม่ ีคนแล้วก็ม้วนหลังคาวาง ครนั้ คนมาเอาหลังคาขนึ้ คลมุ คล่ี ดูกด็ ีเร็วรัดไม่ขัดขวาง เวลาค่าล้าเหลอื ดว้ ยเสอื กวาง ปีบมาขา้ งเรือนเหย้าที่เรานอน เขาดกั จ่ันชั้นในใส่สนุ ัข มนั หอบฮกั ดิน้ โดยแลว้ โหยหอน ยิง่ ดึกฟังวังเวงวนาดร สงั เวชนอนมิใครห่ ลับระงบั ลง จนรุ่งแจ้งแสงสายไม่วายโศก บรโิ ภคเสร็จสมอารมณ์ประสงค์ จากสถานบา้ นแกลงไปกลางดง ตน้ รงั รงรม่ ชนื่ ระรน่ื เย็น เห็นรอกแต่แย้ตนุ่ ออกวนุ่ วิ่ง เอาดนิ ท้งิ ไลท่ บุ ตะครุบเลน่ ลูกมะมว่ งร่วงกลาดดาษกระเด็น เสียดายเป็นกลางไพรไม่ได้การ
อยู่ใกล้วังดังนน้ี างสาวสาว นิ ร า ศ เ มื อ ง แ ก ล ง | ๗๑ นกึ ดาเนนิ เดนิ กลางทางกันดาร เป็นทงุ่ แถวแนวนา้ สกัดกน้ั จะโน้มนา้ วกง่ิ เก็บเกษมศานต์ แลว้ ขน้ึ ขา้ มตามตะพานสาราญใจ ถึงตะพานยายเหมสร้างท่ีกลางไพร ดคู ร้ึมครึกพฤกษาป่าสงดั ตอ้ งพากนั ลยุ เลยี บทะเลไหล ตา่ งเพลิดเพลนิ เดินวา่ เสภาพลาง ลงเลียบในตนี เขาลาเนาทาง เห็นไร่แตงแกล้งแวะเข้ารมิ หา้ ง ทะลลุ ดั ตดั ทะเลแหลมทองหลาง พอเจา้ ของแตงโมปะโลปะเล ถกู ขุนช้างเขา้ หอหัวร่อเฮ แล้วภิญโยโมทนาลาลีลาศ ทาถามทางชกั ชวนให้สรวลเส ถงึ ปากช่องคลองน้าเป็นสาคัญ สมคเนกินแตงพอแรงกนั ไม่หยุดย้ังต้งั หน้าเข้าป่ากวา้ ง ลงเลียบหาดปรดี ์ิเปรมเกษมสันต์ สดบั เสยี งลิงค่างครางคารน ตาแหน่งนั้นชื่อชวากปากลาวน ถึงหยอ่ มย่านบ้านคราพอคา่ พลบ ไปตามทางโขดเขินเนนิ ถนน ข้ึนกระฎีท่สี ถิตท่านบดิ า เหมือนคนกรนโครกครอกทากลอกตา ศิโรราบกราบเท้าให้เปลา่ จิตร ประสบพบเผา่ พงศ์พวกวงศา ชะรอยกรรมทาสัตวใ์ ห้พลดั พราย กลืนน้าตาก็ไม่ฟังเฝ้าพร่ังพราย มาพบพ่อท้อใจดว้ ยไกลแม่ ราคาญคิดอาไลยมใิ คร่หาย ชนนอี ยู่ศรอี ยุธยา จงึ แยกย้ายบติ ุราชญาติกา ภเู ขาขวางทางก้นั อรัญเวศร์ ให้ตัง้ แตเ่ ศรา้ สร้อยละห้อยหา เดนิ กนั ดารปานป้ิมจะบรรลัย บดิ ามาอ้างวา้ งอยู่กลางไพร ท่านชูช่วยอวยพรให้ผ่องแผว้ ข้ามประเทศทงุ่ ท่าชะลาไหล อุส่าหฝ์ นไพลทารกั ษาตวั จึงมาได้เห็นหน้าบิดาตัว ดังฉัตรแก้วกางกน้ั ไว้เหนอื หัว คอ่ ยยงั ชั่วมนึ เมื่อยท่ีเหน่ือยกาย
นิ ร า ศ เ มื อ ง แ ก ล ง | ๗๒ บรรดาเหล่าชาวบา้ นประมาณมาก ต่างมาฝากรักใคร่เหมอื นใจหมาย พดู ถงึ ทตี่ ีโบยขโมยควาย กลา่ วขวัญนายเบยี ดเบียนแล้วเฆี่ยนตี ถามราคาพร้าขวานจะวานซ้ือ ลว้ นอออือเองกูกะหนูกะหนี ที่คะขาคาหวานนานนานมี เป็นวา่ ขคี้ รา้ นฟังแต่ซงั ตาย เวลาเชา้ กช็ วนกนั ออกป่า มันโมห้ มาไลเ่ น้ือไปเหลือหลาย พอเวลาสายัณหต์ ะวันชาย ได้กระต่ายตะกวดกวางมายา่ งแกง ท้ังแย้บง้ึ องึ่ อ่างเน้ือค่างค่ัว เขาทาครัวครั้นไปปะขยะแขยง ต้องอดส้นิ กินแตเ่ ขา้ กับเต้าแตง จนเร่ยี วแรงโรยไปมิใคร่มี อยบู่ รุ นิ กนิ สาราญท้ังหวานเปรย้ี ว ตงั้ แต่เทย่ี วยากไรม้ าไพรศรี แตน่ า้ ตาลมไิ ดพ้ านในนาภี ปัถวีวาโยกห็ ยอ่ นลง ด้วยเดอื นเก้าเข้าวสาเป็นนา่ ฝน จึงขัดสนส่งิ ของตอ้ งประสงค์ คร้ันแล้วลาฝา่ เท้าท่านบติ รุ งค์ ไปบา้ นพงค้อตงั้ ริมฝ่ังคลอง ดูหนุ่มสาวชาวบา้ นราคาญจิตร ไมน่ ่าคิดเขา้ ในกลอนอักษรสนอง ล้วนวงศว์ ารวา่ นเครือเป็นเช้อื ชอง ไม่เหมือนนอ้ งนึกนา่ นา้ ตากระเดน็ แลว้ ไปชมกรมการบา้ นดอนเด็จ ล้วนเลี้ยงเปด็ หมเู น้ือดูเหลือเข็ญ ยกกระบัตรคัดช้อนทุกเชา้ เย็น เมียท่เี ปน็ ทา่ นผหู้ ญิงนัง่ ปง้ิ ปลา ๏ แลว้ ไปบางทางเถ่ือนบ้านพงอ้อ ไม่เหลือหลอหลายตาแหนง่ แสวงหา จะเท่ยี วดคู นผทู้ ายาตา ไมเ่ หน็ หน้านึกระทดสลดใจ ถงึ คนผูอ้ ยูเ่ กล่ือนก็เหมือนเปล่ียว สันโดษเดี่ยวดว้ ยวา่ จติ รผิดวิไสย มาอยยู่ า่ นบ้านกรา่ ระกาใจ ชวนกนั ไปชมทะเลทุกเวลา เหน็ เงอ้ื มเขาเงาบังข้ึนน่ังเลน่ ลมเยน็ เย็นอยากดูหมู่มจั ฉา แลตลิง่ โลง่ ลว่ิ ทิวชะลา ดนู าวาแล่นละเลาะรมิ เกาะเกียน
นิ ร า ศ เ มื อ ง แ ก ล ง | ๗๓ บ้างกา้ วเสียดเฉยี ดทางไปข้างเขา บ้างออกเขา้ ข้ามฟากดงั ฉากเขียน เรอื ตระเวนเจนแดนเท่ียวแล่นเวียน ดาษเดียรดสู ล้างกลางชะลา คร้นั ยามเยน็ เหน็ เหมือนหนง่ึ เมฆพลงุ่ เป็นควันฟุ้งราวกบั ไฟไกลนักหนา แลว้ ถอยลงโพลงขนึ้ ไม่ขาดตา ถามผเู้ ถ้าเขาวา่ ปลามนั พ่นฟอง เห็นจริงจงั นั่งนึกพลิ ึกล้า จนพลบค่ามดื มลขนสยอง ยง่ิ อาไลยใจมาอยทู่ ่ีคู่ครอง แมน้ แม่น้องได้มาเห็นเหมือนเชน่ นี้ จะแอบอิงวิงวอนชะอ้อนถาม ตาแหน่งนามเกาะแกง่ แขวงวิถี ได้เชยช่นื ร่นื รสสุมาลี แล้วจะชใ้ี ห้แม่ชมยมนา ไหนตวั พ่นี จ้ี ะชมทะเลหลวง จะชมดวงนยั เนตรของเชษฐา โออ้ าไลยไกลแกว้ กานดามา กล้ันน้าตามิใครห่ ยดุ สดุ ระกา เสยี ดายนักภคนิ ีเจา้ พ่ีเอ๋ย ยงั ชืน่ เชยชมชมิ ไมอ่ ่มิ หนา มายากเยน็ เห็นแตผ่ ้าแพรดา ได้ห่มกราอยู่กับกายไม่วายตรอม อยูบ่ ้านกราทาบุญกับบิตุเรศ ถงึ เดอื นเศษโศกซูบจนรปู ผอม ทกุ คนื คา่ กาสรดสู้อดออม ประนตนอ้ มพุทธคุณกรุณา ทั้งถือศลี กนิ เพลเหมือนเช่นบวช เย็นเย็นสวดศักราชศาสนา พยายามตามกิจด้วยบิดา เป็นถานานปุ ระเทศอธบิ ดี จอมกระษัตรยิ ์มสั การขนานนาม เจ้าอารามอารัญธรรมรงั ษี เจรญิ พรตยศยิ่งม่งิ โมลี กาหนดย่สี บิ วสาสถาวร ได้พบเหน็ เป็นทานุอปุ ถมั ภ์ ก็กรวดนา้ นึกคะนึงถงึ สมร ให้ไพบูลย์พลู สวัสด์ิพพิ ฒั น์พร อย่ารู้รอ้ นโรคภัยสง่ิ ไรพาน ถึงชาตนิ ี้มิได้สมอารมณ์คดิ ดว้ ยองค์อศิ รารกั ษ์จะหักหาญ ขอให้น้องครองสัตยซ์ ่ึงปฏญิ าณ ได้พบพานภายนา่ เหมือนอารมณ์
นิ ร า ศ เ มื อ ง แ ก ล ง | ๗๔ พอควรคูร่ ูร้ ักประจกั ษ์จติ ร ไดช้ นื่ ชดิ ชมนอ้ งประคองสม ถึงต่างแดนแสนไกลไพรพนม ให้ลอยลมลงมาแอบแนบอรุ า อยา่ ร้จู ักผลักพลกิ ท้ังหยกิ ข่วน แขนแต่ลว้ นรอยเลบ็ เจบ็ นักหนา ให้แยม้ ยม้ิ พริ้มพร้อมน้อมวญิ ญา แลว้ กอ็ ยา่ ขี้หงึ ตะบึงตะบอน ขอแบ่งบุญคุณศลี ถวลิ ถงึ ให้ทราบซงึ่ โสตรทรวงดวงสมร ถึงอยู่ไกลในป่าพนาดร แตใ่ จจรจงสวาดไม่คลาศคลา ไปเทย่ี วเลน่ เหน็ ดอกไมแ้ ลว้ ใจอยาก จะใครฝ่ ากดวงเนตรของเชษฐา กจ็ นใจไกลทางตา่ งสุธา แต่น้าตานแ้ี ลฟูมละลุมลง เวลาค่าช้าใจเข้าไสยาศน์ โออ้ นาถในวนาปา่ ระหง ยนิ แตเ่ สยี งลิงค่างที่กลางดง วิเวกวงวันเวศวังเวงใจ จกั ระจัน่ หว่นั แวว่ แจว้ แจว้ เสยี ง เหมือนสาเนียงวนดิ านา้ ตาไหล หนาวนา้ คา้ งพร่างพรมพนมไพร โอเ้ จยี นใจพี่จะขาดอนาถนึก ได้แนบหมอนอ่อนอุ่นใหฉ้ นุ ช่ืน ระรวยรนื่ รศลาดวนเมือ่ จวนดึก ทัง้ หอมแพรดาร่ายง่ิ ราฦก ทรวงสะทึกทกุ ทุกคืนสะอื้นใจ ๏ จนเดอื นเก้าเชา้ คา่ ยง่ิ พร่าฝน ทกุ ตาบลบา้ นกราล้วนนา้ ไหล ยิ่งง่วงเหงาเศร้าชา้ ระกาใจ จนลม้ ไขค้ ิดวา่ กายจะวายชนม์ ให้เคลิม้ เคลน้ เห็นปีศาจประหวาดหวน่ั อินทรยี ์สน่ั เศยี รพองสยองขน ท่านบดิ าหาผทู้ รี่ ้มู นต์ มาหลายคนเขากว็ ่าตอ้ งอารักษ์ หลงละเมอเพ้อพูดกับผสี าง ทีเ่ คยี งข้างคนผ้ไู ม่รจู้ กั แตห่ มอเถา้ เป่าปดั ชะงดั นกั ท้ังเสน้ วักหลายวันค่อยบรรเทา ใหค้ นทรงลงผีเม่ือพ่เี จบ็ ว่าเพราะเก็บดอกไมท้ ี่ท้ายเขา ไม่งอนงอ้ ขอสู่ทาดเู บา ท่านปู่เจา้ คมุ แค้นจึงแทนทด
คร้นั ตาหมอขอโทษก็โปรดให้ นิ ร า ศ เ มื อ ง แ ก ล ง | ๗๕ แต่ชาวบา้ นท่านถือขา้ งทา้ วมด ทุกเชา้ เยน็ เห็นแตห่ ลานทบ่ี ้านกรา ท่ีจรงิ ใจพ่ีกร็ ้อู ยู่วา่ ปด เห็นเจบ็ ปวดนวดฟ้นั ช่วยฝนยา จึงสู้อดนงิ่ ไว้ในอุรา ครนั้ หายเจบ็ เก็บดอกไม้มาให้บา้ ง ม่วงกับคากลอยจติ รขนษิ ฐา จะวา่ กลา่ วนา้ วโน้มประโลมลาน ตามประสาซื่อตรงเป็นวงศว์ าร ก็จนจิตรคิดเห็นวา่ เป็นเคราะห์ กลับระคางเคืองข้องกนั สองหลาน ตอ้ งครา่ ครวญรวนอยู่ดูเอกา ไมส่ มานสโมสรเหมือนก่อนมา ออกจากยา่ นบ้านกราซา้ วิโยค จึงจาเพระหึงหวงพวงบุบผา เมอ่ื ไขห้ นกั รักษาพยาบาล ก็เลยลาบติ รุ งค์ท้ังวงศว์ าร ครัน้ จะมหิ นีมาจะลาเลา่ กาสรดโศกเศรา้ หมองถึงสองหลาน จงึ พากเพียรเขียนคาเปน็ สาคัญ แตน่ ้ีนานจะไดม้ าเหน็ หนา้ กัน อยา่ เศร้าสร้อยคอยพ่ีพอปนี ่า จะสร้อยเศรา้ โศกาเพยี งอาสญั ไม่ทิง้ ขวา้ งหา่ งใหเ้ จา้ ได้อาย ใหส้ องขวญั เนตรนางไว้ตา่ งกาย โอจ้ ากหลานบ้านกราระกาจติ ร จึงจะมาทาขวญั เหมือนมัน่ หมาย สู้ฟมู ฝนทนฟ้าอุตสา่ ห์จร จงครองกายแกว้ ตาอย่าอาวรณ์ ถงึ กรงุ ศรอี ยธุ ยาข้นึ หา้ ค่า ก็เพราะคิดถึงแมห่ ญิงม่งิ สมร ใหด้ วงเนตรเชษฐาด้วยอาไลย เป็นทุกข์ร้อนแรมทางมากลางไพร ถึงเจ็บไข้ไม่ตายไม่คลายรัก จงึ เขยี นคาจริงแจ้งแถลงไข ช่วยยม้ิ แยม้ แชม่ ชนื่ อย่ามึนตึง จงเหน็ ใจเถิดท่จี ติ รคดิ คานึง พอี่ ุ้มทุกข์บุกป่ามหาระนพ มแี ตล่ ักลอบนึกราลึกถึง อย่าบดิ เบือนเชือนช้าทา้ ระกา ใหเ้ หอื ดหงึ ลงเสียบา้ งจะฟังคา มาหมายพบพูดความกับงามขา แตอ่ ยู่ตราตรอมกายมาหลายเดือน
นิ ร า ศ เ มื อ ง แ ก ล ง | ๗๖ ไดด้ ูงามตามทางที่นางอ่นื ก็หลายหมืน่ เหยียบแสนไมแ่ ม้นเหมือน ไม่มสี ้คู ู่ควรกระบวนเบือน เหมอื นแมเ่ พ่ือนชีพชายจนปลายแดน พ่จี ากไปได้แต่รักมาฝากน้อง มากกว่าของอ่นื อ่นื สักหม่นื แสน พอเป็นคา่ ผา้ ห่มท่ชี มแทน อยา่ เคืองแคน้ เลยทฉ่ี นั ไม่ทันลา ด้วยเกิดความลามถึงเพราะหงึ หวง คนท้งั ปวงเขาคิดฤษยา จึงหลกี ตัวกลวั บญุ คุณบดิ า ไปแรมปา่ ปิ้มชวี ันจะบรรลัย แมอ่ ยู่ดปี รดี ิ์เปรมเกษมสวัสด์ิ ฤๅเคืองขัดขุกเขญ็ เป็นไฉน ฤๅแสนศุขทุกเวลาประสาใจ สนิ้ อาไลยลืมหมายวา่ วายวาง ฤๅพร้อมพรกั ภักตร์เพ่ือนที่เยือนย้ิม ให้เปรมปร่ิมประดิพัทธ์ไม่ขัดขวาง จะปราบปรามหา้ มหวงพวงมะปราง ให้จืดจางจาจากกระดากใจ นิราศเรื่องเมอื งแกลงแตง่ มาฝาก เหมือนขนั หมากมง่ิ มติ รพศิ มัย อย่าหมางหมองข้องขัดตดั อาไลย ให้ช่ืนใจเหมือนแต่หลังมั่งเถิดเอย ฯ ข้อมูล จาก vajirayana.org ข้อคดิ ท่ไี ด้จากเรอ่ื ง ๑. การเปน็ คนช่างสงั เกต และสามารถนาขอ้ สังเกตนน้ั มาเขยี นพรรณนาในรูปของคาประพนั ธ์ ไดอ้ ยา่ งงดงาม ทาใหผ้ ลงานนั้นๆมีคุณคา่ ต่อมวลมนษุ ย์อยา่ งอมตะ ๒. ผลงานประพันธข์ องสนุ ทรภู่ นอกจากจะชีใ้ ห้เหน็ สจั ธรรมความจริงของชวี ติ ให้คติแงค่ ิด ให้ รักเพ่ือนมนษุ ย์ รักธรรมชาติ และมรดกทางวัฒนธรรมอีกด้วย ๓. คุณธรรมอนั สงู ยิ่งของมนุษยอ์ ย่างหนึ่งก็คือ ความกตัญญูต่อผ้ใู หก้ าเนิดตนและผู้มีพระคณุ บุคคลใดไร้คุณธรรมขอ้ น้ี จะหาความเจรญิ ในชวี ิตไม่ไดเ้ ลย
Search
Read the Text Version
- 1 - 26
Pages: