Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore (4) เรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว

(4) เรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว

Published by agenda.ebook, 2020-07-29 02:43:11

Description: (4) เรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 20 และ ครั้งที่ 21 เป็นพิเศษ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) วันที่ 13-14 สิงหาคม 2563

Search

Read the Text Version

เรอ่ื งทค่ี ณะกรรมาธกิ าร พจิ ารณาเสร็จแลว้ ครั้งท่ี 18-19 (สมัยสามญั ประจาปีคร้งั ทีห่ น่งึ ) วนั ท่ี 5-6 สงิ หาคม 2563





รายงานการพิจารณาศึกษา เร่อื ง “แนวทางการสร้างความปรองดอง สมานฉนั ทข์ องคนในชาติ” ของ คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยตุ ิธรรมและสทิ ธิมนษุ ยชน สภาผู้แทนราษฎร กลมุ่ งานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยตุ ธิ รรมและสทิ ธิมนษุ ยชน สานักกรรมาธกิ าร ๒ สานกั งานเลขาธกิ ารสภาผ้แู ทนราษฎร







ก รายนามคณะกรรมาธกิ าร รายนามคณะกรรมาธกิ ารการกฎหมาย การยตุ ธิ รรมและสิทธมิ นุษยชน ดงั น้ี ๑. นายสิระ เจนจาคะ ประธานคณะกรรมาธกิ าร ๒. นายสุทัศน์ เงินหมนื่ ประธานท่ีปรกึ ษาคณะกรรมาธกิ าร ๓. นายชวลิต วิชยสทุ ธิ์ รองประธานคณะกรรมาธกิ าร คนทห่ี นึ่ง ๔. นางศรสี มร รศั มีฤกษ์เศรษฐ์ รองประธานคณะกรรมาธกิ าร คนท่ีสอง ๕. นายชัยวฒั น์ เปา้ เป่ยี มทรพั ย์ รองประธานคณะกรรมาธกิ าร คนทส่ี าม ๖. นายวิสทิ ธ์ิ พทิ ยาภรณ์ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนท่สี ี่ ๗. รอ้ ยตารวจเอก อรณุ สวัสดี รองประธานคณะกรรมาธกิ าร คนทห่ี า้ ๘. นายคมเดช ไชยศวิ ามงคล รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่หก ๙. นายศาสตรา ศรีปาน โฆษกคณะกรรมาธกิ าร ๑๐. นายรงั สิมนั ต์ โรม โฆษกคณะกรรมาธกิ าร ๑๑. นายนริ มิต สุจารี โฆษกคณะกรรมาธกิ าร ๑๒. นายกมลศกั ดิ์ ลวี าเมาะ เลขานุการคณะกรรมาธิการ ๑๓. นายอาดลิ นั อาลอี สิ เฮาะ กรรมาธิการ ๑๔. นายชัยยันต์ ผลสุวรรณ์ กรรมาธกิ าร ๑๕. นายสงิ หภณ ดีนาง กรรมาธกิ าร

ข รายนามคณะอนกุ รรมาธิการ คณะอนุกรรมาธกิ ารศกึ ษาการปฏิรูป ทบทวน และแกไ้ ขปรับปรุงกฎหมาย ดงั น้ี ๑. นายชวลิต วิชยสทุ ธิ์ ประธานคณะอนุกรรมาธกิ าร ๒. นายนพิ นธ์ ฮะกีมี รองประธานคณะอนุกรรมาธกิ าร คนทห่ี นง่ึ ๓. นายประเสริฐ ประคณุ ศกึ ษาพนั ธ์ รองประธานคณะอนุกรรมาธกิ าร คนที่สอง ๔. นายนริ มติ สุจารี อนกุ รรมาธกิ าร ๕. นายณฏั ฐพัฒน์ ธีรนนั ทวาณชิ อนุกรรมาธิการ ๖. นายศภุ ณัฐ บุญสด อนุกรรมาธกิ าร ๗. นางสาวพราวรจุ ี คนั ธสร อนุกรรมาธิการ ๘. นายธรรมรตั น์ แสงจนั ทร์ อนกุ รรมาธิการ ๙. นายชมุ สาย ศรยี าภยั อนุกรรมาธิการ ๑๐. นางสาวบญุ ธิดา เพิม่ ธรรมสนิ เลขานกุ ารคณะอนกุ รรมาธิการ ทปี่ รกึ ษาประจาคณะอนกุ รรมาธิการ ๑. พลตารวจเอก วริ ฬุ ห์ พน้ื แสน ๒. นายพนสั ทศั นยี านนท์ ๓. นายวบิ ูลย์ แชม่ ช่ืน ๔. นายรงุ่ โรจน์ อาชาเทวัญ ๕. นายจานงค์ ไชยมงคล ๖. นายณฐั วัฒน์ พอใช้ได้ ๗. นายอานนทณ์ ัฏฐ์ เครอื ไชย ๘. นายเศรษฐโชค วรรณประเวศ

ค บทสรุปผู้บรหิ าร ๑. หลักการและเหตุผล ตามท่ีได้เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบและความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดข้ึนตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๔๘ จนถึงปัจจุบันปีพุทธศักราช ๒๕๖๓ รวมระยะเวลากว่า ๑๖ ปี ท่ีประเทศไทยมีปัญหาความขัดแย้ง ทางการเมอื งและอุดมการณ์ ซ่งึ เป็นการแสดงออกถงึ การต่อตา้ นรัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศ คัดค้านการดาเนิน นโยบายในแต่ละช่วงนั้น ได้นาสังคมไทยไปสู่การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เกิดความไม่ไว้วางใจซ่ึงกันและกัน นาไปสู่ การสูญเสียอย่างประมาณค่ามิได้ต่อสังคมไทยและประเทศไทย ซึ่งเป็นปัญหาที่ยืดเย้ือมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน นอกจากความรุนแรงจะทาให้เกิดการสูญเสียทางด้านร่างกายและจิตใจแล้ว ปัญหาที่เกิดข้ึนตามมา ยังส่งผล กระทบไปถึงด้านการบริหารระบบของรัฐ ระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสถานการณ์ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจตกต่าในปี ๒๕๖๓ โดยมีสาเหตุอันเนื่องมาจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ระบาดไปทั่วโลก ทาใหเ้ ศรษฐกจิ ชะลอตัวได้รับผลกระทบทกุ ภาคส่วน รวมถงึ ประเทศไทย ด้วยเหตุปจั จัยท้ังหมดทาให้คนในชาติเกิด ความอ่อนแอในด้านสังคมวัฒนธรรมและบ่ันทอนความม่ันคงของมนุษย์ หากความขัดแย้งดังกล่าวยังดาเนินอยู่ ต่อไป โดยไม่มีการคล่ีคลายปัญหาที่มีอยู่เดิมและการแสวงหาทางออกที่เป็นรูปธรรมร่วมกันระหว่างผู้ที่มีส่วน เกย่ี วขอ้ ง มคี วามเป็นไปไดส้ ูงวา่ สังคมไทยจะมิอาจกา้ วพ้นวังวนของปัญหาเดมิ ได้ รวมทั้ง คงมอิ าจฟ้ืนฟูเสถียรภาพ และศกั ยภาพในการพฒั นาทม่ี อี ยใู่ นด้านตา่ งๆ ได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ ๒. ขอ้ สังเกตของคณะกรรมาธิการ จากการศึกษาและดาเนินการของคณะอนุกรรมาธิการศึกษาการปฏิรูปกฎหมาย ทบทวน และ แก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ในคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ได้ต้ังข้อสังเกต อันเป็นปัจจัยและหลักการสร้างความปรองดอง และความสมานฉันท์ของคนในชาติ เพ่ือให้ ทางรฐั บาลนาไปพจิ ารณา ประเดน็ ดงั ต่อไปนี้ ๑. การจัดทารัฐธรรมนูญฉบบั ประชาชนและการแกไ้ ขรัฐธรรมนูญ เสนอให้ฝ่ายรัฐบาลและทุกภาคส่วนร่วมกันจัดทารัฐธรรมนูญ ฉบับประชาชนเพื่อแทนที่ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่ถูกออกแบบและวางกติกาไว้เพ่ือการสืบทอดอานาจ และการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ให้ตรงกบั ขอ้ เรยี กร้องของประชาชนทั่วไป และนักเรยี น นสิ ิต นักศึกษา ที่กาลงั เคล่ือนไหวในปัจจุบนั ๒. การนิรโทษกรรม การนริ โทษกรรมถอื เปน็ กระบวนการเร่งรดั นาไปสู่การปรองดองและสมานฉันท์ได้ โดยทกุ ฝา่ ย ล้วนผ่านเหตุการณ์ความขัดแย้งและความรุนแรงทางการเมืองมากมาย ถูกดาเนินคดีทางการเมือง ถูกตัดสินคดี ให้ติดคุก สูญเสียเวลาและทรัพย์สิน ได้รับผลกระทบถึงครอบครัว จนถึงที่สุดแล้วทุกฝ่ายต่างต้องการให้ประเทศ ไดก้ ้าวผ่านความขัดแยง้ ครง้ั น้ีไปสกู่ ารปรองดองทง้ั สิ้น การนิรโทษกรรมจึงเป็นปัจจยั สาคัญย่ิงในการสรา้ งความปรองดอง สมานฉันท์ ท่ีผ่านมา ผู้ที่มี อานาจที่ต้องการเปล่ียนแปลงทางการเมืองและใช้อานาจท่ีผิดกฎหมาย เม่ือเปล่ียนแปลงสาเร็จ จะนิรโทษกรรม ตนเอง และพวกพ้องทุกคร้ัง แต่การนิรโทษกรรมน้ัน มิได้ครอบคลุมถึงประชาชนผู้มีความเห็นต่างทางการเมือง ถ้าได้ดาเนินการนิรโทษกรรมผู้มีความเห็นต่างทางการเมืองก็จะเป็นทางออกในการสร้างความปรองดอง สมานฉันท์

ง ๓. กระบวนการยุติธรรม จากสภาพความขัดแย้งทางการเมืองท่ีเกิดขึ้น ผสมกับความเหล่ือมล้าทางสงั คมและเศรษฐกิจ กฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายที่ขาดประสิทธิภาพและไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม เป็นสาเหตุที่สาคัญ อีกประการหนึ่ง ท่ีนามาสู่ความรุนแรงและการกระทาความผิดกฎหมายอาญาของผู้ท่ีเกี่ยวข้อง ผู้กระทาความผิด มีมลู เหตุจงู ใจทางการเมืองต้องให้ความยตุ ิธรรม (Justice) ในทางกฎหมายกับทุกฝ่ายอยา่ งเหมาะสม การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม ยึดโยงกับประชาชนเป็นปัจจัย สาคญั ในการสรา้ งความปรองดอง สมานฉันท์ ๔. การรักษาบรรยากาศของการปรองดอง สมานฉันท์ ทุกฝ่ายในสังคมจะต้องร่วมมือกันบริหารความขัดแย้งให้อยู่ในกรอบสันติวิธี เคารพความเห็นต่าง และไม่ใช้ความรนุ แรง ตระหนักถึงผลกระทบและความรนุ แรงทีเ่ คยเกิดข้นึ ในอดีตอันเป็นการนาไปสู่ความเสียหาย ของประเทศชาติ การยุติการกระทาท่ีจะนาไปสู่การสร้างความขัดแย้ง และทาความเข้าใจความจริงซึ่งเป็นสาเหตุ ทีน่ ามาสู่ความขัดแย้ง จะทาให้สังคมไทยสามารถกา้ วไปสู่ความปรองดองอย่างยั่งยนื ๕. ขอ้ สงั เกตเกี่ยวกบั สือ่ ส่ือต้องไม่นาเสนอข้อมูลและถ้อยคาท่ีสร้างความเกลียดชังหรือย่ัวยุให้ใช้ความรุนแรง ต่อคู่ขัดแย้ง รวมท้ังไม่นาเสนอภาพความรุนแรงในลักษณะที่ช้ีนาให้สังคมเห็นว่าการใช้ความรุนแรงเป็นเร่ืองปกติ ธรรมดาในสังคมไทย สื่อจึงควรคานงึ ถึงผลกระทบและความเหมาะสมของสงิ่ ทนี่ าเสนอต่อสังคมด้วย ๖. ขอ้ สังเกตดา้ นการเยียวยา การชดเชยเยียวยาและฟื้นฟูเหยื่อและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงทุกฝ่าย และคืนความเป็นธรรมให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการกระทาท่ีขัดต่อหลักนิติธรรม เป็นเงื่อนไขสาคัญต่อการ ลดความขัดแย้ง ๗. การแสดงความรับผดิ ชอบด้วยการขอโทษ เน่ืองจากรัฐมีความบกพร่องและขาดกลไกท่ีมีประสิทธิภาพในการจัดการความขัดแย้ง ทางการเมืองให้ดาเนินไปตามครรลองของสันติวิธี จนเกิดความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน และความรู้สึก ของประชาชนอย่างมาก รวมท้ังขาดการแสดงเจตจานงท่ีจะประกันความม่ันคงและปลอดภยั ในชีวิต ร่างกาย และ ทรัพย์สินของประชาชน ดังนั้น เพื่อให้เกิดความพยายามอย่างสุดความสามารถท่ีจะระมัดระวังไม่ใหเ้ กิดเหตุการณ์ ความรุนแรงและการละเมิดสิทธิมนุษยชนเกิดข้ึน มีการสร้างแบบอย่างที่ดีในการแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง ให้เกิดข้ึนในสังคม จึงต้องให้ทุกฝ่ายตระหนักว่าการยอมรับผิดชอบและการขอโทษเป็นเงื่อนไขท่ีจาเป็นที่จะนาไปสู่ ความปรองดองในชาติ ๘. ขอ้ สงั เกตเกี่ยวกบั กองทัพ การแทรกแซงทางการเมืองของกองทัพ โดยเฉพาะการรัฐประหาร ส่งผลให้สังคมไทย ขาดโอกาสเรียนรู้ที่จะจัดการวิกฤตการณ์ทางการเมืองตามครรลองแห่งระบอบประชาธิปไตย และสร้างความ ไม่พอใจแก่กลุ่มคนที่เห็นว่าอานาจอธิปไตย สิทธิ และผลประโยชน์ของตนถูกคุกคามจากการรัฐประหารโค่นล้ม รัฐบาลซ่ึงมาจากการเลือกต้ังของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย กองทัพมีอาวุธ มีกองกาลังทหาร มีบทบาท และอิทธิพลในการตัดสินใจล้มระบอบประชาธิปไตย ทาให้ความขัดแย้งทางการเมืองท่ีเกิดข้ึนมีความสลับซับซ้อน และลกุ ลามบานปลายยง่ิ ขึน้ ดังนนั้ กองทพั ควรทาภารกจิ ของกองทัพ ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายงดเวน้ การรัฐประหาร หรอื การแทรกแซงทางการเมืองอยา่ งเคร่งครัดไมว่ า่ ในทางใด

จ ๙. ขอ้ สงั เกตเก่ียวกบั การชุมนุมและสทิ ธิผู้ชมุ นมุ จากสถานการณ์ในปัจจบุ ัน มีประชาชนส่วนมากท่ีต้องการแสดงออกในเรื่องสิทธแิ ละเสรภี าพ ในการชมุ นมุ โดยเฉพาะการชมุ นมุ ของคนรุ่นใหม่ กลุม่ นกั เรยี กรอ้ งท่ีเปน็ เยาวชนของชาติ ไมว่ า่ จะเป็นนกั เรยี น นิสิต นักศึกษา ต้องเข้าใจตรงกันว่าเสรีภาพในการชุมนุมเป็นเสรีภาพข้ันพื้นฐานของการปกครองในระบอบ ประชาธปิ ไตยและเปน็ สิทธิทางการเมอื งทต่ี อ้ งได้รบั การรับรองและคมุ้ ครองจากรฐั ------------------------------------

สารบญั หนา้ ก รายนามคณะกรรมาธิการ ข รายนามคณะอนกุ รรมาธกิ าร ค บทสรปุ ผู้บรหิ าร สารบญั ๒ ๓ ๑. การดาเนินงาน ๓ ๒. วธิ ีการพจิ ารณาศกึ ษา ๔ ๓. หนว่ ยงานและเอกสารที่เกี่ยวขอ้ ง ๕ ๕ ๓.๑ หน่วยงานที่เก่ียวขอ้ ง ๕ ๓.๒ เอกสารทเี่ กีย่ วข้อง ๖ ๔. ผลการพจิ ารณา ๘ ๔.๑ ความเป็นมาและสภาพปัญหา ๑๐ ๔.๒ ประเด็นการพจิ ารณา ๑๑ ๔.๓ สรุปผลการรบั ฟังหนว่ ยงานและผ้ทู เ่ี กี่ยวข้อง ๔.๔ บทสรุปและข้อเสนอแนะ ๑๖ ๕. ขอ้ สังเกตของคณะกรรมาธิการฯ ๓๓ บรรณานกุ รม ภาคผนวก ภาคผนวก ก รวมความคิดเห็นจากบุคคลต่าง ๆ ภาคผนวก ข รวมรูปภาพจากงานรับฟังความคิดเหน็

รายงานการพจิ ารณาศึกษา เรือ่ ง “แนวทางการสร้างความปรองดอง สมานฉันทข์ องคนในชาติ” ของ คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุตธิ รรมและสิทธมิ นษุ ยชน สภาผู้แทนราษฎร --------------------------------------- ตามที่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ปีท่ี ๑ ครั้งที่ ๒๑ (สมัยสามัญประจาปีคร้ังท่ีหน่ึง) วันพุธที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๒ ท่ีประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติตั้งคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีหน้าที่และอานาจตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙๐ (๑) คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยตุ ธิ รรมและสิทธมิ นษุ ยชน มหี นา้ ที่และอานาจกระทากจิ การ พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริง หรือศึกษาเร่ืองใด ๆ ที่เก่ียวกับการดาเนินการตามแนวนโยบาย ด้านกฎหมาย การยุติธรรม สิทธิมนุษยชน สิทธิชุมชน สิทธิในกระบวนการยุติธรรม และความเป็นธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน นั้น คณะกรรมาธิการคณะน้ี ประกอบดว้ ย ๑. นายปิยบุตร แสงกนกกลุ ประธานคณะกรรมาธิการ ๒. นายสุทศั น์ เงินหมื่น รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่หนง่ึ ๓. นายชวลติ วิชยสทุ ธ์ิ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนทส่ี อง ๔. นายสิระ เจนจาคะ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนทีส่ าม ๕. นางสาวพรรณกิ าร์ วานชิ รองประธานคณะกรรมาธกิ าร คนทส่ี ่ี ๖. นายวิสทิ ธิ์ พิทยาภรณ์ รองประธานคณะกรรมาธกิ าร คนที่ห้า ๗. นายคมเดช ไชยศิวามงคล รองประธานคณะกรรมาธิการ คนทห่ี ก ๘. นายพีระพนั ธ์ุ สาลรี ัฐวิภาค ทปี่ รกึ ษาคณะกรรมาธิการ ๙. นายศาสตรา ศรปี าน โฆษกคณะกรรมาธิการ ๑๐. นายรงั สิมันต์ โรม โฆษกคณะกรรมาธิการ ๑๑. ร้อยตารวจเอก อรณุ สวสั ดี โฆษกคณะกรรมาธิการ ๑๒. นายนริ มิต สจุ ารี โฆษกคณะกรรมาธกิ าร ๑๓. นายจลุ พันธ์ อมรววิ ัฒน์ กรรมาธิการ ๑๔. นายอาดลิ ัน อาลีอสิ เฮาะ กรรมาธกิ าร ๑๕. นายกมลศักด์ิ ลีวาเมาะ เลขานกุ ารคณะกรรมาธิการ ต่อมา นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งแต่วันท่ี ๙ ธันวาคม ๒๕๖๒ ทาให้ความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและความเป็นกรรมาธิการฯ ส้ินสุดลง และต่อมา ในคราวประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดท่ี ๒๕ ปีที่ ๑ ครั้งที่ ๑๘ (สมัยสามัญประจาปีคร้ังที่สอง) วันท่ี ๑๕ มกราคม ๒๕๖๓ ท่ีประชุมมีมติเห็นชอบให้ต้ัง นางศรีสมร รัศมีฤกษ์เศรษฐ์ เป็นกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการการ กฎหมาย การยุตธิ รรมและสิทธิมนุษยชน แทนนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หลังจากนั้น นายปิยบุตร แสงกนกกุล และนางสาวพรรณิการ์ วานิช ได้พ้นจากตาแหน่งเม่ือวนั ศุกรท์ ่ี ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ต่อมา นายจุลพันธ์ อมรวิวฒั น์ ได้ขอลาออกจากการเป็นกรรมาธกิ ารในวนั ที่ ๑๒ มิถนุ ายน ๒๕๖๓ หลงั จากน้นั

๒ ในคราวประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ปีที่ ๒ คร้ังท่ี ๖ (สมัยสามัญประจาปีคร้ังท่ีหน่ึง) เป็นพิเศษ ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๓ ท่ีประชุมมีมติเห็นชอบให้ต้ังนายชัยวัฒน์ เป้าเปี่ยมทรัพย์ นายชัยยันต์ ผลสุวรรณ์ และนายสิงหภณ ดีนาง เป็นกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสทิ ธิมนษุ ยชน แทน อน่ึง ในคราวประชุมคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน เม่ือวันท่ี ๒๔ มถิ นุ ายน ๒๕๖๓ ท่ีประชมุ ได้มีมตแิ ต่งต้งั ตาแหน่งต่าง ๆ ในคณะกรรมาธิการ ดังนี้ ๑. นายสริ ะ เจนจาคะ ประธานคณะกรรมาธิการ ๒. นายสทุ ศั น์ เงินหมนื่ ประธานทีป่ รึกษาคณะกรรมาธกิ าร ๓. นายชวลิต วชิ ยสุทธิ์ รองประธานคณะกรรมาธกิ าร คนท่ีหนึ่ง ๔. นางศรสี มร รศั มีฤกษเ์ ศรษฐ์ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สอง ๕. นายชัยวฒั น์ เป้าเปีย่ มทรพั ย์ รองประธานคณะกรรมาธกิ าร คนที่สาม ๖. นายวสิ ิทธ์ิ พิทยาภรณ์ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนทีส่ ่ี ๗. รอ้ ยตารวจเอก อรุณ สวัสดี รองประธานคณะกรรมาธิการ คนท่ีห้า ๘. นายคมเดช ไชยศิวามงคล รองประธานคณะกรรมาธกิ าร คนทห่ี ก ๙. นายศาสตรา ศรีปาน โฆษกคณะกรรมาธกิ าร ๑๐. นายรงั สมิ ันต์ โรม โฆษกคณะกรรมาธิการ ๑๑. นายนริ มติ สจุ ารี โฆษกคณะกรรมาธิการ ๑๒. นายกมลศกั ดิ์ ลีวาเมาะ เลขานกุ ารคณะกรรมาธิการ ๑๓. นายอาดลิ ัน อาลอี ิสเฮาะ กรรมาธิการ ๑๔. นายชยั ยันต์ ผลสวุ รรณ์ กรรมาธิการ ๑๕. นายสิงหภณ ดนี าง กรรมาธกิ าร บัดน้ี คณะกรรมาธิการได้ดาเนินการพิจารณาศกึ ษาแนวทางการสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ ของคนในชาติ เสร็จเรียบรอ้ ยแลว้ จงึ ขอรายงานผลการศึกษาเร่ืองดังกลา่ วตอ่ สภาผแู้ ทนราษฎร ดงั น้ี ๑. การดาเนินงาน คณะกรรมาธิการได้มีมติตั้งคณะอนุกรรมาธิการศึกษาการปฏิรูป ทบทวน และแก้ไขปรับปรุง กฎหมาย เพ่ือทาหน้าที่พิจารณาปัญหาอันอยู่ในหน้าท่ีและอานาจของคณะกรรมาธิการ หรือกิจการอ่ืน ท่ีคณะกรรมาธิการมอบหมาย ท้ังนี้ ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙๖ ซ่ึงอนกุ รรมาธกิ ารคณะนี้ ประกอบดว้ ย ๑.๑ นายชวลิต วชิ ยสุทธ์ิ ประธานคณะอนกุ รรมาธกิ าร ๑.๒ นายนพิ นธ์ ฮะกมี ี รองประธานคณะอนกุ รรมาธิการ คนทห่ี น่งึ ๑.๓ นายประเสรฐิ ประคณุ ศึกษาพันธ์ รองประธานคณะอนกุ รรมาธกิ าร คนท่สี อง ๑.๔ นายนริ มิต สจุ ารี อนกุ รรมาธกิ าร ๑.๕ นายณัฏฐพัฒน์ ธีรนนั ทวาณชิ อนกุ รรมาธกิ าร ๑.๖ นายศุภณัฐ บญุ สด อนุกรรมาธิการ ๑.๗ นางสาวพราวรจุ ี คันธสร อนกุ รรมาธิการ

๓ ๑.๘ นายธรรมรตั น์ แสงจนั ทร์ อนกุ รรมาธิการ ๑.๙ นายชมุ สาย ศรียาภยั อนุกรรมาธิการ ๑.๑๐ นางสาวบญุ ธดิ า เพม่ิ ธรรมสิน เลขานกุ ารคณะอนกุ รรมาธกิ าร ทป่ี รึกษาประจาคณะอนุกรรมาธิการ ๑.๑ พลตารวจเอก วิรฬุ ห์ พ้ืนแสน ๑.๒ นายพนัส ทัศนยี านนท์ ๑.๓ นายวบิ ลู ย์ แช่มชน่ื ๑.๔ นายรงุ่ โรจน์ อาชาเทวัญ ๑.๕ นายจานงค์ ไชยมงคล ๑.๖ นายณฐั วฒั น์ พอใชไ้ ด้ ๑.๗ นายอานนทณ์ ฏั ฐ์ เครอื ไชย ๑.๘ นายเศรษฐโชค วรรณประเวศ ในการนี้ คณะกรรมาธิการเห็นควรเสนอรายงานผลการพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้าง ความปรองดอง สมานฉันท์ของคนในชาติ ซง่ึ เป็นเรือ่ งสาคัญและมีความจาเป็นเร่งด่วน เนือ่ งจาก ปัจจุบันประเทศชาติ ต้องประสบกับภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจการเมืองและปัญหาสังคม หากคนในประเทศยังมีความแตกแยกไม่มี ความปรองดองสมัครสมานสามคั คกี นั เราจะผา่ นวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ได้ยาก บัดน้ี คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน โดยคณะอนุกรรมาธิการ ศึกษาการปฏิรูปกฎหมาย ทบทวนและแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ได้ดาเนินการพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้าง ความปรองดอง สมานฉันทข์ องคนในชาติเพือ่ เสนอต่อสภาผแู้ ทนราษฎรเพือ่ พิจารณา ๒. วิธีการพิจารณาศกึ ษา ๒.๑ คณะอนุกรรมาธิการศึกษาการปฏิรูป ทบทวน และแก้ไขปรับปรุงกฎหมายในคณะกรรมาธิการ การกฎหมาย การยตุ ธิ รรมและสิทธมิ นษุ ยชน ได้พิจารณาศกึ ษาแนวทางการสรา้ งความปรองดองสมานฉนั ท์ของคนในชาติ โดยเชิญหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องมาร่วมประชุมและให้ศึกษาข้อมูล ข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็น จานวน ๖ ครั้ง ดังนี้ ครั้งที่ ๑ วนั พฤหสั บดีท่ี ๒๕ มิถนุ ายน ๒๕๖๓ ครั้งที่ ๒ วันพฤหสั บดีที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ครงั้ ที่ ๓ วนั พฤหสั บดีท่ี ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ครัง้ ท่ี ๔ วนั พฤหสั บดีที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ครง้ั ที่ ๕ วนั พฤหสั บดีที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ครั้งที่ ๖ วันพฤหัสบดที ่ี ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ๓. หนว่ ยงานและเอกสารที่เก่ยี วข้อง คณะอนุกรรมาธิการศึกษาการปฏิรูป ทบทวน และแก้ไขปรับปรุงกฎหมายในคณะกรรมาธิการ การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน ได้ดาเนินการโดยเชิญหน่วยงานมาให้ข้อมูล ข้อเท็จจริงและ ประกอบการพจิ ารณา ดังนี้

๔ ๓.๑ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปลดั กระทรวงกลาโหม ๑) กระทรวงกลาโหม - พลเอก ณฐั อนิ ทรเจริญ อัยการจังหวดั ประจาสานกั งานอยั การสงู สดุ ๒) สมาชกิ วฒุ สิ ภา - นายคานูณ สิทธิสมาน รองเลขาธิการสานักงานศาลยตุ ธิ รรม ๓) สานกั งานอัยการสงู สุด นิติกรปฏบิ ัติการ - นายสรรพชั ญ รัชตะวรรณ ๔) สานักงานศาลยุตธิ รรม ผทู้ รงคุณวุฒดิ ้านคดี ๑. นายภพ เอครพานิช ผู้เช่ยี วชาญด้านคดี ๒. นายอนุทา สุดคาภา ผู้อานวยการกลมุ่ งานคดี ๕ ๕) ศาลรัฐธรรมนูญ ๑. นายสทิ ธพิ ร เศาภายน นักกฎหมายกฤษฎีกาชานาญการพิเศษ ๒. นายอดเิ ทพ อุยยะพัฒน์ นกั วเิ คราะห์นโยบายและแผนปฏบิ ตั กิ าร ๓. นายสุภัทร แสงประดบั ๖) สานกั งานคณะกรรมการกฤษฎีกา รองปลดั กระทรวงยุติธรรม ๑. นายยอดฉตั ร ตสารกิ า ผอู้ านวยการสานักงานกองทุนยตุ ธิ รรม ๒. นางสาวอาทติ ยา ปวงคา ๗) กระทรวงยุตธิ รรม ผอู้ านวยการกองคดคี วามม่ันคง ๑. นายวลั ลภ นาคบวั หัวหน้าศนู ยข์ ้อมูลและการวิเคราะห์ ๒. นายมนินธ์ สุทธวิ ฒั นานิติ คดีความม่ันคง ๘) กรมสอบสวนคดีพิเศษ เจ้าหน้าที่คดีพิเศษชานาญการ ๑. ร้อยตารวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล พนกั งานสอบสวนคดีพเิ ศษชานาญการ ๒. นายจริ ฐั ทองผิว รองอธบิ ดีกรมราชทณั ฑ์ ๓. ร้อยตารวจเอก ศุภราช ไม้ตะเภา ผู้อานวยการกองกฎหมาย ๔. นายสุวัชร์ สดุ ใจ หวั หน้าศูนย์เทคโนโลยสี ารสนเทศ ๙) กรมราชทณั ฑ์ นกั ทณั ฑวิทยาชานาญการ ๑. นายธวชั ชัย ชัยวฒั น์ ๒. นายชานาญ เลก็ สกุล ผู้บังคบั การตารวจสนั ตบิ าล ๑ ๓. นายสทิ ธิชัย พรหมเดช ผู้กากับการ ๔. นายธนกฤต ศริ ริ ักษ์ ๑๐) สานกั งานตารวจแหง่ ชาติ เลขาธิการสถาบนั พระปกเกล้า ๑. พลตารวจตรี มณฑล บัวจีบ ผอู้ านวยการสานักสันติวธิ ีและธรรมาภิบาล ๒. พันตารวจเอก พิสุทธิ์ชยั พลธนะ นกั วิชาการสานกั สนั ตวิ ิธีและธรรมาภบิ าล ๑๑) สถาบันพระปกเกล้า ๑. ศาสตราจารย์ วฒุ ิสาร ตนั ไชย ๒. พลเอก เอกชยั ศรีวลิ าศ ๓. นางสาววิลาสนิ ี โสภาพล

๕ ๑๒) อาจารย์มหาวทิ ยาลยั ๑. ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ภมู ิ มลู ศิลป์ ประธานหลักสตู รนิติศาสตรบัณฑติ คณะสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ ๑๓) ผูท้ เี่ กีย่ วข้อง ๑. นายจตพุ ร พรหมพนั ธุ์ ๒. นายสุริยะใส กตะศลิ า ๓. นายพภิ พ ธงไชย ๔. นายสาราญ รอดเพชร ๕. นายประสาร มฤคพิทักษ์ ๓.๒ เอกสารท่เี กย่ี วข้อง (๑) รายงานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและคน้ หาความจรงิ เพ่อื การปรองดองแห่งชาติ (คอป.) (๒) รายงานวิจยั การสร้างความปรองดองแห่งชาติ สถาบันพระปกเกล้า (๓) รายงานของคณะกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง สภาปฏิรูปแห่งชาติ เร่อื ง รายงานการศึกษาและข้อเสนอแนะแนวทางการสร้างความปรองดอง ๔. ผลการพจิ ารณา คณะกรรมาธิการได้จัดทารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการสร้างความปรองดอง สมานฉันทข์ องคนในชาติ ปรากฏผลการดาเนินการ ซง่ึ สรปุ ไดด้ งั น้ี ๔.๑ ความเปน็ มาและสภาพปัญหา ตามท่ีได้มีเหตุการณ์ความไม่สงบในบ้านเมือง จากผู้ท่ีมีความเห็นต่างทางการเมืองกลุ่มต่าง ๆ ในช่วงเวลาตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๔๘ จนถึงปัจจุบัน อันนามาซึ่งความสูญเสียและความเสียหาย อย่างประมาณ ค่ามิได้สู่สังคมและประเทศไทย รวมท้ังส่งผลกระทบในทางลบต่อทุกภาคส่วนของสังคม ด้วยเหตุความขัดแย้ง ดังกล่าวนามารวมกบั ภัยพิบัตทิ างธรรมชาติ โรคระบาดที่เกิดขึ้นในปีพุทธศักราช ๒๕๖๓ หรือปัจจุบัน (โรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ หรือ COVID-19) ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิต ทรัพย์สิน และเศรษฐกิจท่ีตกต่า เกิดปัญหาข้ึน ภายในประเทศไทยอย่างมาก เม่ือนาเหตุการณ์ทั้งหมดท่ีเกิดขึ้นในประเทศไทย ปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ถือว่าเป็น ความจาเป็นอย่างเร่งด่วนท่ีประเทศไทยจะต้องมีความปรองดองหันหน้าเข้าหากัน ทั้งปัญหาความขัดแย้งที่สั่งสม จนทาให้เกดิ ความแตกแยกในสังคม ความตงึ เครียดและขดั แยง้ ทางการเมอื ง โดยมเี ป้าหมายทจี่ ะใหเ้ กิดความเขา้ ใจ ร่วมกันและการเยียวยา และป้องกันมิให้เกิดเหตุความรุนแรงและความเสียหายซ้าอีกในอนาคต ท้ังน้ี ต้องมุ่งเน้น การใช้มาตรการเชิงสมานฉันท์ รวมถึงความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์และความยุติธรรมทางสังคม การฟื้นฟูและ เยียวยาเหย่ือและผู้เสียหาย เพ่ือสมานบาดแผลทางสังคมและเสริมสร้างวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ถ้อยที ถ้อยอาศัย และยอมรับความแตกตา่ งทางความคิดเพื่อส่งเสริมให้เกดิ ความปรองดองในประเทศไทยระยะยาวตอ่ ไป เหตุผลและวตั ถุประสงค์ของคณะอนุกรรมาธกิ ารที่ดาเนนิ การศกึ ษาในเรื่องน้ี ดงั น้ี ประการแรก ปัจจยั เวลาของการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมือง คณะอนุกรรมาธิการ เห็นว่าอยู่ในขั้นสุกงอม กล่าวคือ ความขัดแย้งต้ังแต่ปี ๒๕๔๘ ถึงปัจจุบัน กินเวลาถึง ๑๖ ปี ประเทศใดประชาชน ในชาติยังเป็นฝักเป็นฝ่ายขัดแย้งกันอยู่ประเทศน้ัน หาความสงบสุข ความเจริญได้ยาก หากมีศึกสงคราม จะเป็นสงครามสรู้ บหรอื สงครามเศรษฐกิจก็ตาม กจ็ ะมแี ต่ความพ่ายแพ้

๖ ประการที่สอง ก่อนไวรัส covid-19 ระบาด ประชาชนประสบปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง อยา่ งมากและหลังไวรัสระบาดเกิดปัญหาเศรษฐกจิ ปากท้องตลอดจนกจิ การทางด้านเศรษฐกิจการค้าการท่องเท่ยี ว SME ปิดตัวลงประชาชนตกงานจานวนมากนับล้าน ๆ คน นับเป็นวิกฤตของประเทศ ถ้าประชาชนไม่มี ความสามัคคีปรองดองเปน็ เร่ืองยากอย่างย่ิงท่จี ะรว่ มกนั ฝา่ ฟนั วิกฤตเศรษฐกจิ ของบ้านเมืองได้ ประการท่ีสาม มีสัญญาณที่จับต้องได้ว่าปีนี้รัฐบาลได้ประชุมคณะกรรมการบริหาร ราชการแผน่ ดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคปี รองดอง (ป.ย.ป.) เป็นคร้ังแรก เม่ือวันท่ี ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๓ และต่อมานายกรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์หลายคร้ังว่าต้ังใจรวมใจไทยสร้างชาติ ถึงกับติดวลีดังกล่าวไว้ที่โพเดียมช่วงเวลาแถลงข่าว แสดงว่าในภาวะวิกฤตบ้านเมืองเช่นน้ีเห็นตรงกันว่าถึงเวลา ที่คนไทยจะหนั หนา้ เขา้ หากัน หาทางสรา้ งความปรองดองสมานฉนั ทข์ องคนในชาติ ประการทีส่ ี่ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย หมวด ๑๖ การปฏิรูปประเทศ มาตรา ๒๕๗ การปฏิรูปประเทศตามหมวดนี้ต้องดาเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมาย ดังต่อไปน้ี (๑) ประเทศชาติมีความสงบ เรียบร้อย มีความสามัคคีปรองดอง มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และมีความ สมดุลระหว่างการพัฒนาด้านวัตถุกับการพัฒนา ด้านจิตใจ และยุทธศาสตร์ชาติ ตลอดจนนโยบายของรัฐบาล นโยบายของพรรคการเมืองแต่ละพรรค ให้ความสาคัญกับการสร้างความปรองดองของคนในชาติทั้งส้ิน จึงเป็นความชอบธรรมที่คณะอนุกรรมาธิการและคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน ศึกษาเร่ืองนี้เพ่ือเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบเพื่อส่งไปยังรัฐบาลรับไปพิจารณาตามที่ เหน็ สมควรต่อไป ในการดาเนินการคณ ะอนุกรรมาธิการได้เชิญ เลขาธิการสถาบันพ ระปกเกล้า โดยศาสตราจารย์วุฒสิ าร ตนั ไชย พลเอก เอกชัย ศรวี ลิ าศ และผู้ช่วยศาสตราจารย์.ภูมิ มูลศิลป์ ซึ่งเป็นบุคคลท่ี ศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองสมานฉันท์มาช้านาน ตลอดจนการศึกษาเอกสารของคณะกรรมการอิสระ ตรวจสอบและค้นหาความจริงเพ่ือการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) และรายงานวิจัยการสร้างความปรองดอง แห่งชาติ ซ่ึงจัดทาโดยสถาบันพระปกเกล้าก็ดี ทุกฝ่าย เห็นว่าการศึกษาทางวิชาการมีเพียงพอแล้ว การประชุม คณะอนุกรรมาธิการเป็นการประชุมเชิงปฏิบัตกิ าร จึงเชิญผู้ท่ีมีความเห็นแย้งหรือเหน็ ต่างทางการเมืองมาให้ข้อมูล กบั คณะอนุกรรมาธกิ ารวา่ ในแตล่ ะกลมุ่ มีความเห็นต่อการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติอย่างไร ๔.๒ ประเดน็ การพจิ ารณา แนวทางการดาเนนิ การสร้างความปรองดองตามหลักความยตุ ิธรรมในระยะเปล่ียนผ่านและ ความยุติธรรมเชิงสมานฉนั ท์ และการนิรโทษกรรม ในกระบวนการปรองดองท่ีใช้หลักความยุติธรรมในระยะเปล่ียนผ่านมาปรับใช้น้ัน การนิรโทษกรรมเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ควรเกิดข้ึนตามมาหลังจากที่คู่ขัดแย้งทุกฝ่ายท่ีสร้ างความรุนแรงให้เกิดข้ึน ยอมรับการเข้าร่วมกระบวนการต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับการคลี่คลายปมปัญหาในอดีต ต้ังแต่การตรวจสอบค้นหา ความจริง การอานวยความยุติธรรม การฟน้ื ฟแู ละเยยี วยา การแสดงความสานึกรบั ผดิ และการใหอ้ ภยั ฯลฯ หากรฐั บาลมีความประสงค์จะนา “การนริ โทษกรรม” มาใชใ้ นการเสริมสร้างความปรองดอง นาชาติสู่สันติสุข ส่ิงสาคัญท่ีควรทา คือ การดาเนินการในหลายระดับอย่างเป็นกระบวนการ โดยให้ความสาคัญ กับการแสวงหาข้อตกลงระหว่างคู่ขัดแย้ง ท้ังในระดับแกนนาและผู้สนับสนุน รวมท้ัง สร้างให้เกิดบรรยากาศ ท่ีพร้อมรองรับการปรองดองและมีความเขา้ ใจในขอบเขตของการนริ โทษกรรม

๗ ทั้งน้ี คณะกรรมาธิการฯ มีข้อเสนอแนะต่อกระบวนการและข้ันตอนดาเนินการเรื่องการ นิรโทษกรรมเพื่อสร้างความปรองดองโดยใช้หลักความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านและความยุติธรรม เชิงสมานฉนั ท์ ดงั น้ี ในข้ันเริ่มต้นควรเป็นการนิรโทษกรรมสาหรับ “คดีที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง” ซงึ่ จาเป็นตอ้ งมีคณะกรรมการหรือกลไกทม่ี ีความเปน็ อิสระ คล่องตัว เพอื่ ดาเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงถงึ มูลเหตุ จูงใจของผู้กระท าผิด กฎ ห มาย และเพ่ื อเป็ น กลไกใน การพิ จารณ ากาห น ดเกณ ฑ์ ใน การจาแน ก “คดีท่ีมีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง” ออกจาก “คดีอาญาโดยเน้ือแท้” ท่ีได้รับการยอมรับจากทุกๆ ฝ่ายที่เก่ียวข้อง กับความขัดแย้งทางการเมือง ก่อนท่ีจะมีการดาเนินการนิรโทษกรรม โดย “คดีท่ีมีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง” หมายความถึงบรรดาการกระทาต่างๆ ของประชาชนท่ีได้กระทาไปเพ่ือแสดงออกซ่ึงความคิดทางการเมือง โดยมีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง หรือมีการกระทาความผิดอื่นท่ีเก่ียวเน่ืองกับเหตุการณ์ทางการเมือง ทั้งนี้ ขอบเขตในการกาหนดประเภทคดีท่ีจะได้รับการนิรโทษกรรมดังกล่าวข้างต้นไม่รวมถึงการกระทาความผิดอาญา โดยเน้ือแท้ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ และคดีความผิดฐานทุจริตคอรัปช่ัน ทั้งน้ี กระบวนการสอบสวนตอ้ งเปน็ ไปตามหลักนติ ิธรรม ก่อนจะมีการนิรโทษกรรมดังกล่าว จาเป็นต้องดาเนินการตามขั้นตอนหลายประการท้ังใน ด้านการอานวยความยุติธรรม และการดาเนินการในด้านอื่น ๆ เช่น การเยียวยาเบื้องต้นแก่ผู้ได้รับผลกระทบ ทุกกลุ่มทุกฝ่าย การเปิดเวทีให้ผู้ได้รับผลกระทบทุกกลุ่มทุกฝ่ายได้ส่ือสารกับสังคม การสื่อสารสร้างความเข้าใจ ท่ีถูกต้องต่อสาธารณะเกี่ยวกับเร่ืองการนิรโทษกรรมการสร้างโอกาสและสภาวะให้ผู้ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม ทุกฝา่ ยกลบั คนื สสู่ งั คมอยา่ งมีเกยี รติ มศี ักดศิ์ รี สาหรับการสรา้ งความปรองดองในขน้ั ต่อไป กระบวนการดาเนินการในขั้นนี้จะแยกประเภทคดี เปน็ ๒ กลุ่ม คอื คดีที่รัฐกระทาต่อบุคคล (ใช้หลักความยตุ ิธรรมในระยะเปล่ยี นผา่ น) และคดที ่ีบุคคลกระทาละเมิด ต่อบุคคล (ใช้หลักความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์และการคุมประพฤติ) การดาเนินงานจาเป็นต้องมีการ ตรา กฎหมายพิเศษเพ่ือกระบวนการยุติธรรมสาหรับการปรองดองและสมานฉันท์ซ่ึงอาจตราเป็นพระราชบัญญัติ หรือ พระราชกาหนด ท้ังน้ี หากจะมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมทั้งในเริ่มต้นและขั้นต่อไปดังที่กล่าวข้างต้น ควรกาหนดเงื่อนไข ๔ ประการทีต่ ้องพจิ ารณา ไดแ้ ก่ (๑) การยอมรบั ของเหยือ่ /ผถู้ ูกกระทา (๒) การแสดงความสานึกขอโทษตอ่ สาธารณะของผมู้ ีส่วนเก่ียวข้องกบั ความขัดแย้ง (๓) การให้อภยั ของเหยอ่ื /ผูถ้ กู กระทา (๔) การค้นหาความจรงิ ในเหตกุ ารณค์ วามไมส่ งบและเปิดเผยความจริงในเวลาท่ีเหมาะสม ท้ังน้ี การสานึกขอโทษและการให้อภัยในที่น้ี หมายถึง การสื่อสารและแสดงออกของ ผู้ท่เี ก่ียวข้องกบั การชมุ นุมทางการเมอื ง รวมถงึ ผู้ท่ีเกยี่ วขอ้ งกับการปฏิบตั ิการควบคุมฝูงชนในระหว่าง พ.ศ. ๒๕๔๘ – ๒๕๕๗ ต่อผู้ท่ีได้รับผลกระทบและในทางสาธารณะ ว่าได้เห็นถึงผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรง ซ่ึงส่งผล กระทบต่อชีวติ และทรัพย์สนิ ของประชาชนทกุ กล่มุ ทุกฝ่าย รวมท้ัง ต่อสังคมไทยโดยรวมซึ่งเป็นการสอ่ื สารใหส้ ังคม ได้เห็นว่าผู้ท่ีเกี่ยวข้องกับการชุมนุมได้เกิดความตระหนักถึงผลกระทบและได้รับบทเรียนจากสิ่งท่ีกระทาลงไป ในเบื้องต้น ก่อนท่ีจะเข้าสู่กระบวนการสร้างความปรองดองในขั้นตอนตอ่ ๆ ไป

๘ ๔.๓ สรปุ ผลการรบั ฟงั หนว่ ยงานและผู้ที่เกย่ี วขอ้ ง คณะอนุกรรมาธิการศึกษาการปฏิรูปกฎหมาย ทบทวนและแก้ไขปรังปรุงกฎหมาย ได้เร่ิมดาเนินการพิจารณาการปรองดอง สมานฉันท์แห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑๒ – ๑๖ ได้มีการรวบรวม ความคิดเห็นของคณะอนุกรรมาธิการท่ีเข้ารว่ มประชุม รวมทั้งบคุ คลและหน่วยงานท่เี กี่ยวข้องหรือไดร้ ับผลกระทบ จากเหตุการณ์ทางการเมืองต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เข้ามาให้ความคิดเห็นเก่ียวกับแนวทางการสร้างความ ปรองดองแห่งชาติ จากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองที่เกิดข้ึนตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๔๘ จนถึงปัจจุบัน อนั เป็นปัจจยั หรือสาเหตทุ ี่ทาใหเ้ กิดความขดั แย้ง โดยสรุปประเดน็ สาระสาคญั ของแต่ละบุคคลได้ ดงั นี้ ๔.๓.๑ นายคานณู สิทธสิ มาน สมาชกิ วุฒิสภา ให้ความเห็นโดยสรุปว่า โดยกล่าวในท่ีประชุมวุฒิสภาว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องกลับมาคิดเร่ือง นิรโทษกรรมอย่างจริงจัง ความขัดแย้งตลอดระยะเวลา ๑๕ ปีที่ผ่านมาทาให้ประเทศไทยสูญเสียต้นทุน ทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ มากเกินพอ ประเทศจะเดินหน้าต่อไปได้ยากถ้าไม่ปลดล็อคทางการเมือง ด้วยการ นิรโทษกรรมผู้ทต่ี ้องคดีอันเนอื่ งมาจากความขดั แย้งทางการเมอื งตลอดหลายปีท่ีผ่านมา และเสนอวา่ ผู้ท่ีเหมาะสม จะทาเรื่องนี้ไดด้ ีท่สี ุดคือ นายกรฐั มนตรี เท่าน้นั ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๗๐ ติดตาม เสนอแนะ เร่งรัด การปฏิรูปประเทศ และการดาเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ เสนอว่า กระบวนการพิจารณาตามมาตรา ๒๗๐ แห่งรัฐธรรมนูญ ถ้ารัฐบาลเสนอเข้ามาในฐานะร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศ พิจารณา ใน ๒ สภาร่วมกัน ไม่ต้องห่วงการแปรเปลี่ยนของเสียงในสภาผู้แทนราษฎร เพราะต้องมีวุฒิสภาท่ีต้องยืน ตามหลกั การของรัฐบาล หลักการท่วี ่าเสนอไว้กวา้ ง ๆ ๔ ขอ้ แต่รายละเอยี ดก็อยูใ่ นวิสยั ทีต่ อ้ งไปยกรา่ งกนั ขนึ้ มา หลักการท่ี ๑ ก็คือ เป็นการนิรโทษกรรมจากการชุมนุมทางการเมืองหรือ ที่เก่ียวเน่ืองกับการชุมนุมทางการเมืองโดยตรงในช่วง ๑๕ ปีที่ผ่านมา ข้อนี้เห็นได้ชัดว่าไม่รวมคดีอาชญากรรม ร้ายแรง ไม่รวมคดีเก่ียวกับการคอร์รัปชั่น แน่นอนไม่รวมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ ด้วย เพราะไม่มี การชุมนุมเกี่ยวกับประเด็นน้ี หลักการที่ ๒ เป็นการนิรโทษกรรมแก่ผู้ท่ีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว ไม่ว่าคดี จะตัดสนิ เสรจ็ ไปแล้วหรืออยู่ระหวา่ งการต่อสู้ข้นั ตอนใดกต็ าม หลักการท่ี ๓ ไม่ได้ตัดสิทธิบุคคลที่ไม่ได้เข้าสู่กระบวนการหรือหนีคดีไป สามารถ ได้สิทธิได้แตต่ ้องกลับสู่กระบวนการทย่ี ตุ ิธรรมกอ่ น หลักการท่ี ๔ กฎหมายนิรโทษกรรมฉบับน้ีน่าจะแตกต่างจากฉบับอ่ืน น่าจะมี คณะกรรมการพิเศษขน้ึ มาเพือ่ ตดั สนิ แยกแยะ ออกกฎเกณฑท์ เ่ี ปน็ กฎหมายลาดับรองว่าอะไรเข้าข่ายไมเ่ ข้าขา่ ย ๔.๓.๒ นายสรุ ิยะใส กตะศิลา ใหค้ วามเหน็ โดยสรปุ ได้ ดงั นี้ บริบททางการเมืองของสังคมในปัจจุบันเปลี่ยนไปมาก โดยได้แสดงความคิดเห็น ๓ ประเดน็ ดงั น้ี ประเด็นที่หนึ่ง มองว่าวิกฤตการเมืองที่ผ่านมาหนักหนาสาหัสแล้วเพ่ิมเหตุการณ์ ทางโควิด ประเทศจะผ่านไปได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายเราเรียกว่าปรองดองสามัคคีรวมไทยสร้างชาติ ตามท่ีนายกรฐั มนตรีใช้แถลงตามสานกั ข่าว ประเด็นที่สอง เรื่องความเกลียดชังที่แสดงออกผ่านส่ือโซเชียลหรือผ่านการ เคลอ่ื นไหวหลากหลายจะหมดไปถา้ มีการปรองดอง สมานฉนั ท์เกดิ ข้นึ

๙ ประเด็นท่ีสาม มิติความสัมพันธ์ของคู่ขัดแย้ง ปัญหาการชุมนุมรอบใหม่ที่วิเคราะห์ยาก เปน็ หนา้ ที่ของประชาชนท่ีจะต้องปรองดองในหมู่ประชาชน ๔.๓.๓ นายสาราญ รอดเพชร ใหค้ วามเหน็ โดยสรุปได้ ดงั นี้ สาเหตุความขัดแย้งในห้วงทศวรรษเศษที่ผ่านมา การรัฐประหารสองคร้ังสุดท้าย เมื่อวันท่ี ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ และวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ต้นเหตุสาคัญมาจากปัญหาการบริหารบ้านเมือง ท่ีขาดธรรมาภิบาลนามาซึ่งการชุมนุมของประชาชน อีกฝ่ายชุมนุมอีกฝ่ายเกิดข้ึนจากการเมืองหรืออะไรก็แล้วแต่ สดุ ทา้ ยมีการห้าห่ันกันจบลงด้วยการรัฐประหาร โดยต้ังข้อสังเกตว่า เมื่อเกดิ วิกฤตการณ์ทางการเมอื งล้วนจะมีการ เกิดรัฐประหารทุกคร้ัง แล้วเหมาะสมในการถือครองอานาจของทหารท่ียาวนานหรือไม่ โดยแนะนาให้รัฐบาล ควรดาเนินแนวทางในการตรากฎหมายการนิรโทษกรรม เพ่ือให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ทางการเมือง จะได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ต้องยกเว้นคนโกงบ้านกินเมือง คดีทุจริตคดีอาญาร้ายแรงไม่ควรได้รับอานิสงส์ การตรากฎหมายการนิรโทษกรรมมีการปฏิรูปยุทธศาสตรช์ าติ ๔.๓.๔ นายพภิ พ ธงไชย ให้ความเห็นโดยสรปุ ได้ ดังน้ี ขอเสนอการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของแอฟริกาใต้ใช้เวลากว่า ๓๐ ปี สามารถ ลดความเกลียดชังท่ีมีต่อคนผิวดาได้มาก และทุกวันน้ียังส่งผลไปถึงประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนที่ประเทศไทย คือ แก้ไขปัญหาความขัดแย้งคือสมัยพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ที่ออกคาส่งั สานักนายกรัฐมนตรีที่ ๖๖ / ๒๕๒๓ ประเด็นที่ออกคาสั่งจะขจัดความขัดแย้งและความเกลียดชังในพรรคคอมมิวนิสต์กลับมาคิดถึงความขัดแย้งในช่วง ๑๐ ปี ท้ังสามฝ่ายพันธมิตร นปช. และ กปปส. เราได้พูดเรื่องปรองดองและนิรโทษกรรมทาไมไม่ใช้กระบวนการ ทางกฎหมายการทาผิดกฎหมายใหญ่ คือ ทหารฉีกรัฐธรรมนูญ ถ้าหากได้มีอานาจก็จะทาการนิรโทษกรรมตัวเอง ทุกคร้ังแต่น้อยครง้ั ทจี่ ะนริ โทษกรรมประชาชน และไดเ้ สนอประเด็นการสรา้ งความปรองดองไว้ ๓ แนวทางคอื ๑. เสนอเรอื่ งระเบียบวิธกี ารพิจารณาคดีชมุ นมุ ตามสทิ ธติ ามรัฐธรรมนูญ ๒. การปรองดองแบบนิรโทษกรรม แนวทางการกระทาผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ นามาใช้ไม่ได้ ๓. พิจารณาเร่ืองการปรองดองนิรโทษกรรมเพื่อพุ่งเป้าไปที่การสลายความเกลียดชัง โดยต้ังกรรมาธิการรว่ มระหว่างวุฒสิ ภาและสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาจะเป็นการประสานความปรองดองย่ิงขึ้นและ สถาบันหลักก็จะเป็นสถาบันของทุกฝา่ ยทกุ สี ๔.๓.๕ นายประสาร มฤคพิทกั ษ์ ให้ความเหน็ โดยสรุปได้ ดงั นี้ สังคมไทยขัดแย้งหรือมีความแตกต่างทางการเมืองมา ๑๕ ปีแล้ว การต่อสู้เรียกร้อง ท่มี ีมวลชนขนาดใหญ่จะมีความสญู เสียผตู้ ้องหาคดีปี ๔๘ และปี ๕๗ ติดคุกพ้นโทษ เสียชีวิตมาแล้ว คดีก่อการร้าย มีคนบาดเจ็บพิการทนทุกข์ทรมาน ถูกยึดทรัพย์ ถูกล้มละลายจากการทาธุรกรรมทางการเงิน ความเห็นต่างทาง การเมืองไม่ควรเอาเป็นเอาตายควรใช้เมตตาธรรมนาทางวิธีการต้องวางกรอบเกณฑ์ให้ทุกภาคส่วนยอมรับเปิด โอกาสให้เป็นกฎหมายปฏิรูปสามารถเสนอต่อทุกภาคส่วนภารกิจน้ีอยู่ที่นายกรัฐมนตรีและรัฐบาล เสนอให้ นายกรฐั มนตรีใชค้ วามกลา้ หาญทางจริยธรรม ๔.๓.๖ นายจตพุ ร พรหมพันธุ์ ใหค้ วามเห็นโดยสรปุ ได้ ดังน้ี เห็นด้วยกับการปรองดอง ความสมานฉันท์ให้เกิดข้ึนภายในชาติ สังคมไทย มีบทเรยี นมากมายที่ยากสดุ คือ ทาให้คนดีกัน สมัครสมานสามคั คีกัน ส่ิงที่ง่ายคือ ความขัดแยง้ ความคิดทแ่ี ตกต่าง ทางการเมืองในช่วงเวลาหน่ึงทาให้แสดงออกตามสิทธิเสรีภาพ ประวัติศาสตร์สังคมไทย ๑๐ กว่าปีที่ผ่านมา

๑๐ การพูดเร่ืองความปรองดองเป็นการทาให้ไม่น่าเช่ือถือ ไม่มีให้ความสาคัญ เนื่องจากคู่ขัดแย้งแก่ผู้มีอานาจ ไม่ทาจริง ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ มีพระบรมราโชบายหลายคร้ังเร่ืองความรัก ความสามัคคี ความปรองดองของคน ในชาติ แนวทางแห่งความสงบ ๔.๓.๗ ศาสตราจารย์ วุฒสิ าร ตันไชย ใหค้ วามเห็นโดยสรปุ ได้ ดงั น้ี การสร้างบรรยากาศ ปัจจุบันต่างจากปี ๒๕๕๖ และปี ๒๕๕๗ ปัจจุบันเป็นบรรยากาศ ที่พร้อมจะมีการปรองดอง การนิรโทษกรรมเป็นเพียงมาตรการหน่ึงของการสร้างความปรองดอง การยุติการสร้าง ความเกลียดชัง การให้อภัย การให้เกียรติกันและกัน การกล่าวคาขอโทษและแสดงให้เห็นบทบาท ต้องระวัง ความเกลียดชังใหมท่ ่กี าลงั จะเกิดข้ึนถอื เป็นเร่ืองท่นี า่ เป็นหว่ งของอนาคต ๔.๓.๘ พลเอก เอกชัย ศรวี ิลาศ ใหค้ วามเห็นโดยสรุปได้ ดังนี้ บรรยากาศวันน้ีกับที่ผ่านมา เป็นบรรยากาศท่ีลดความขัดแย้งลงได้มาถึงจุดที่ ปยป. ซึ่งคณะท่ีแล้วมีการเชิญผู้แทนพรรคการเมือง แกนนา มาพูดคุยกัน ที่ผ่านมาทาแล้ว ทุกฝ่ายสามารถหันหน้า มาคุยกันได้ เพื่อจะได้เกิดความปรองดอง สันติวิธีและการสร้างความปรองดอง ในการแก้ไขควบคุมประชาชน ควรสร้างแนวทางการสร้างความปรองดอง โดยต้องสร้างบรรยากาศให้เอ้ือต่อการอยู่ร่วมกัน เห็นด้วยกับการ สร้างสานสามคั คีธรรม ๔.๓.๙ อาจารย์ โคทม อารียา ใหค้ วามเหน็ โดยสรุปได้ ดังนี้ ควรดาเนินการเร่ืองการนิรโทษกรรม เพราะเป็นการส่งสัญญาณให้เกิดนิรโทษกรรม น่าจะขับเคล่ือนให้เกิดขึ้นได้ โดยกังวลว่า หากเกิดความซับซ้อน มีกลไกที่ละเอียดจนเกินไป โดยขอให้มีการ นิรโทษกรรมเท่าท่ีจาเป็น ให้พระราชบัญญัตินิรโทษกรรม เปิดประเด็นไว้เป็นหลักการใหญ่ ๆ การออกกฎหมาย นิรโทษกรรม ๔.๓.๑๐ ปลดั กระทรวงกลาโหม ให้ความเหน็ โดยสรุปได้ ดังน้ี สรุปว่า วันนี้ได้รับมอบหมายจากท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้มา รับฟังการประชุม ในประเด็นการสร้างความปรองดอง เป็นโอกาสอันดียิ่งที่เห็นบรรยากาศบรรดาแกนนามาคุย แบบนี้ถือเป็นนิมิตรหมายอันดี โดยเห็นได้ว่าจากการประสบปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ หรือ COVID- 19 ปัจจัยของความสาเร็จประเมินว่า นอกจากในเรื่องของการจัดการท่ีดี ระบบสาธารณสุขท่ีดีแล้ว ความสมัคร สมานสามัคคคี วามเปน็ นา้ หนึง่ ใจเดียวกันเป็นความสาคญั อยา่ งยง่ิ การรวมใจดังกล่าวเป็นที่มาของคาว่า รวมใจไทย สร้างชาติถอื เป็นเจตจานงของรัฐบาล ซงึ่ เป็นการบูรณาการความรว่ มมือของทุกภาคสว่ น ๔.๔ บทสรปุ และข้อเสนอแนะ ดว้ ยเหตุการณ์ความไม่สงบและความรุนแรงที่เกิดข้นึ ในช่วงที่ผ่านมาตั้งแตอ่ ดตี จนถงึ ปัจจบุ ัน ทาให้ทุกฝ่ายตระหนักว่าประเทศชาติได้รับความเสียหายอย่างมหาศาลและบอบช้าจากปัญหาความขัดแย้งและ ความแตกแยกในสังคมมาเป็นเวลานานแล้ว และควรนาวิกฤตการณ์ความรุนแรงในอดีตมาเป็นบทเรียนเพื่อระลึกถึง ค ว า ม สู ญ เสี ย ท่ี เกิ ด ข้ึ น แ ล ะ ร่ ว ม กั น ป ร ะ คั บ ป ร ะ ค อ ง ส ถ า น ก า ร ณ์ ไม่ ให้ ป ร ะ เท ศ ต้ อ ง ป ร ะ ส บ กั บ เห ตุ ก า ร ณ์ ความรุนแรงอีก รวมทงั้ ชว่ ยกันนาพาสงั คมไทย ให้ก้าวข้ามความขัดแยง้ ไปสคู่ วามปรองดองอย่างย่งั ยืนต่อไป การสร้างความปรองดองอาจจะอาศัยระยะเวลาท่ียาวนาน แต่เพื่อผลของความสงบ ภายในประเทศในระยะยาว ซึ่งปัจจุบันสังคมไทยมีความขัดแย้งท่ีซับซ้อนมากขึ้นท้ังเร่ืองความขัดแย้งทา ง

๑๑ ความปรองดองทรัพยากร ทางเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้าทางสังคม หรือแม้แต่ความเชื่อด้านต่าง ๆ ที่อาจส่งผล กระทบต่อเสถียรภาพความม่ันคงทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมไทย จาเป็นต้องมีกลไกที่ติดตาม แก้ไขปัญหา ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีความจาเป็นท่ีจะต้องวางขอบเขตของกระบวนการสร้างความปรองดองท่ีเปิดช่องทาง ไว้สาหรับการหาข้อยุติ และการแสวงหากลไกอื่นในการขับเคล่ือนกระบวนการปรองดอง ซึ่งอาจหมายรวมถึง วธิ กี ารท่จี ะได้มาซึ่งกลไกตามรัฐธรรมนญู ท่กี าลังดาเนนิ การอยใู่ นขณะน้ี ๕. ขอ้ สังเกตของคณะกรรมาธิการอันเปน็ แนวทางในการสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ของคนในชาติ ๑. การจัดทารัฐธรรมนูญฉบับประชาชนและการแก้ไขรัฐธรรมนญู ด้วยสถานการณ์ความไม่สงบที่ผ่านมาตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๔๘ จนถึงปัจจุบัน สาเหตุหนึ่ง มาจากกฎหมายรัฐธรรมนูญจนทาให้เกิดความคิดเห็นที่แตกต่างกัน นาไปสู่ความขัดแย้งทางการเมือง เกิดความ แตกแยกขาดความสามัคคีปรองดองของคนในชาติ นาพาประเทศเสียหายอย่างร้ายแรง คณะกรรมาธิการ จึงเล็งเห็นถึงความสาคัญที่จะเสนอให้ฝ่ายรัฐบาลและทุกภาคส่วนร่วมกันจัดทารัฐธรรมนูญฉบับประชาชนและ แก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ ท่ีถูกออกแบบและวางกติกาไว้เพื่อการสืบทอดอานาจ ซึ่งการยกร่างหรือแก้ไข รฐั ธรรมนูญน้ัน ตรงกับขอ้ เรยี กรอ้ งของประชาชนทัว่ ไป และนกั เรียน นิสติ นักศึกษา นบั เป็นปัญหาพ้ืนฐานสาคัญย่ิง ท่ีต้องแกท้ ันที โดยนายกรัฐมนตรตี ้องระบุรายละเอียดให้ชัดเจนในเร่ืองการสร้างกรอบเวลาของกระบวนการแก้ไข รัฐธรรมนูญฉบับปจั จุบัน โดยคณะกรรมาธิการมีความเห็นว่า การใช้อานาจจัดทาและแก้ไขรฐั ธรรมนูญของรัฐต้อง ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักนิติธรรม (Rule of Law) อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ประเทศชาติมีความเป็นประชาธิปไตย อย่ างส ม บู รณ์ มิ ใช่ ก ระท าไป โด ย มี เจต น าอื่ น แอ บ แ ฝงห รือท าไป เพ่ื อป ระโย ช น์ ข องบุ ค ค ล ห รือ กลุ่มบุคคลใด และถึงเวลาแล้วที่ควรต้องเสียสละ ละทิ้งหรือวางอานาจลงเม่ือรัฐธรรมนูญแก้ไขแล้วเสร็จ เห็นควรยุบสภาทันที แล้วจัดให้มีการเลือกต้ังท่ัวไปภายใต้กติกาใหม่ท่ีประชาชนทุกคนมีส่วนร่วม รับฟังความเห็น ของคนส่วนมาก ไม่รับฟังความคิดเห็นจากบุคคลท่ีเสนอแนะให้ยื้อหรือถ่วงเวลาแก้ไขรัฐธรรมนูญให้นานที่สุด เพราะหากยิ่งปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปนานเท่าใดการแก้ไขความขัดแย้งและปัญหาจะเป็นไปได้ยาก ทาให้ประเทศ ย่ิงเสียหาย โดยเฉพาะปัญหาทางด้านเศรษฐกิจท่ีปัจจุบันมีความหนักหนาสาหัส โดยเสนอให้มีการตั้ง สภาร่างรฐั ธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ทีม่ าจากประชาชนเพอ่ื ยกรา่ งรฐั ธรรมนูญฉบับใหม่ ๒ การนริ โทษกรรม ผลการศึกษาของคณะอนุกรรมาธิการ และการให้ความคิดเห็นของกลุ่มผู้นาทางการเมือง ท่ีได้เชิญมาร่วมให้ความเห็น ทุกฝ่ายล้วนผ่านเหตุการณ์ความขัดแย้งและความรุนแรงทางการเมืองมากมาย ถูกดาเนินคดีทางการเมือง ถูกตัดสินคดีให้ติดคุก สูญเสียเวลาและทรัพย์สิน ได้รับผลกระทบถึงครอบครัว จนถึงที่สุดแล้วทุกฝ่ายต่างต้องการให้ประเทศได้ก้าวผ่านความขัดแย้งครั้งน้ีไปสู่การปรองดองทั้งสิ้น ดังน้ัน การนิรโทษกรรมถือเป็นกระบวนการเร่งรัดให้นาไปสู่การปรองดองและสมานฉันท์ได้ โดยการนิรโทษกรรม ควรมหี ลกั การดังนี้ ๒.๑ นิรโทษกรรมเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง มีระยะเวลาต้ังแต่พุทธศักราช ๒๕๔๘ จนถงึ ปจั จุบัน ๒.๒ นริ โทษกรรมคดีการเมอื ง และคดอี าญาท่มี มี ูลเหตุจูงใจทางการเมอื ง ยกเวน้ คดคี วามตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ และคดที จุ ริต ทง้ั นี้ กระบวนการในการพจิ ารณาคดีทุจริตตอ้ งเป็นไปตามหลกั นติ ธิ รรม

๑๒ ๓. กระบวนการยุติธรรม จากสภาพความขัดแยง้ ทางการเมืองที่เกดิ ข้ึน ผสมกับความเหล่ือมล้าทางสังคมและเศรษฐกิจ กฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายท่ีขาดประสิทธิภาพและไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม เป็นสาเหตุท่ีสาคัญอีก ประการหนึ่ง ที่นามาสู่ความรุนแรงและการกระทาความผิดกฎหมายอาญาของผู้ท่ีเก่ียวข้อง ผู้กระทาความผิด มมี ลู เหตุจูงใจทางการเมอื ง การนาเอาหลักความยุตธิ รรมทางอาญา (Criminal Justice) ท่มี ีมาตรการในเชิงลงโทษ แต่เพียงอย่างเดียวมาใช้ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ไม่สอดคล้องต่อปรัชญาในการลงโทษ ไม่ก่อให้เกิดความยุติธรรม และไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งได้ ต้องให้ความยุติธรรม (Justice) ในทาง กฎหมายกับทุกฝ่ายอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าการอานวยความยุติธรรมขององค์กรอิสระ และศาลเป็นประเดน็ ทถ่ี กู วิพากษ์วจิ ารณ์ในทางลบมากมาย ประการสาคัญ ควรนาเอาหลักวิชาการเก่ียวกับความยุติธรรมในระยะเปล่ียนผ่าน (Transitional Justice) และความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restorative Justice) มาศึกษาและปรับใช้ให้ เหมาะสมกับสถานการณ์ของประเทศไทย โดยใช้หลักเมตตาธรรมด้วยให้โอกาสแก่ทุกฝ่ายตามวิถีทางการเมือง ระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การดึงทุกฝ่ายออกมาร่วมกันแก้ไข ปัญหา เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งท่ีเกิดข้ึนได้ส่ังสมจนทาให้เกิดความแตกแยกที่ร้าวลึกในสังคมไทยจนเกินกว่า หน่วยงานใดหน่วยงานหน่ึงจะแก้ไขปัญหาโดยลาพังได้ (รายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษา แนวทางการสร้างความปรองดองแหง่ ชาติ สภาผแู้ ทนราษฎร, ๒๕๕๕ : ๓๔) ๔. การรักษาบรรยากาศของการปรองดอง สมานฉนั ท์ คณะกรรมาธิการขอเสนอให้ รัฐบาล ผู้นาฝ่ายค้าน พรรคการเมือง กลุ่มการเมืองทุกฝ่าย ทีม่ สี ่วนเกีย่ วข้องกับความขดั แย้ง โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงสื่อมวลชนและประชาชนควรรว่ มกนั รักษาบรรยากาศของการ ปรองดอง ทุกฝ่ายในสังคมจะต้องร่วมมือกันบริหารความขัดแย้งให้อยู่ในกรอบสันติวิธี เคารพความเห็นต่างและ ไม่ใช้ความรุนแรง ตระหนักถึงผลกระทบและความรนุ แรงที่เคยเกดิ ข้ึนในอดีตอันเป็นการนาไปสูค่ วามเสียหายของ ประเทศชาติ และท่ีผ่านมาในแตล่ ะเหตกุ ารณ์ความรุนแรงที่เกิดขน้ึ มีการความสูญเสียไม่มากก็น้อย ดังนั้น การยุติ การกระทาท่ีจะนาไปสู่การสร้างความขัดแย้ง และทาความเข้าใจความจริงซ่ึงเป็นสาเหตุท่ีนามาสู่ความขัดแย้ง จะทาให้สังคมไทยสามารถก้าวข้ามผ่านความขัดแย้งไปสู่ความปรองดองอย่างยั่งยืน (รายงานฉบับสมบูรณ์ คณะกรรมการอสิ ระตรวจสอบและค้นหาความจรงิ เพอื่ การปรองดองแหง่ ชาติ (คอป.), ๒๕๕๕ : ๒๔๔) ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีเหตุการณ์ชุมนุมของนิสิต นักศึกษา และคนรุ่นใหม่ ทางคณะกรรมาธิการ เห็นว่ามีการต้ังคณะกรรมาธิการวิสามัญพจิ ารณามมี ตริ ับฟังความคดิ เห็นของนักเรียน นิสติ นักศกึ ษา เยาวชน และ ประชาชน สภาผู้แทนราษฎรอยู่แล้ว ซ่ึงเป็นหน้าที่ของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ จะได้รายงานต่อที่ประชุม สภาผ้แู ทนราษฎรและรัฐบาล ต่อไป ๕. ข้อสงั เกตเกีย่ วกับสือ่ จากการศึกษาท่ีผ่านมาพบว่า การนาเสนอข้อมูลข่าวสารของส่ือเป็นปัจจัยสาคัญอย่างยิ่ง ท่ีกระตุ้นให้เกิดความแตกแยก และทาให้ความขัดแย้งในสังคมยกระดับเป็นความรุนแรง โดยเฉพาะอย่างย่ิง การนาเสนอข้อมูลและการใช้ภาษาที่มีการปลุกเร้าและกระตุ้นให้เกิดความเกลียดชัง (Hate Speech) หรือการโฆษณาชวนเช่ือ (Propaganda) และปลุกระดมมวลชนให้ใช้ความรุนแรงต่อฝ่ายท่ีเป็นปรปักษ์ ซ่ึงได้ สรา้ งความแตกแยกในสงั คมไทยใหม้ ีความร้าวลึกยิ่งข้ึน การเผยแพร่ขอ้ มูลเทจ็ บิดเบอื น หรอื ไมร่ อบดา้ น ก่อให้เกิด ความเข้าใจผิดของคนในสังคม อีกทั้งช่องทางในการรับรู้ของประชาชนมีความหลากหลายมากขึ้น จึงมี ความห่วงใยอย่างยิ่งต่อบทบาทและการทางานของสื่อบางส่วนที่ขาดจรรยาบรรณและความรับผิดชอบต่อสังคม

๑๓ ดังกล่าว ส่ือเลือกข้างยังขาดความระมัดระวังในการนาเสนอข้อมูลและมีส่วนในการกระตุ้นให้ความขดั แย้งขยายวงกว้าง และส่ือยังคงถูกใช้เป็นเคร่ืองมือในการเรียกร้องทางการเมืองโดยเป็นช่องทางในการเผยแพร่ข้อ มูลเพ่ือโจมตี ฝ่ายตรงข้ามในลักษณะที่บิดเบือนความจริงมากกว่าท่ีจะทาหน้าท่ีตามจรรยาบรรณวิชาชีพ จึงขอเสนอแนะ ให้สื่อทุกแขนงปฏิบัติหน้าที่โดยคานึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมตามกรอบจริยธรรมและหลักวิชาชีพ สื่อต้อง ไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง ให้ข้อมูลท่ีถูกต้อง ครบถ้วน และรอบด้านแก่ประชาชน โดยตรวจสอบข้อเท็จจริง ท่ีหามาได้ก่อนนาเสนอ ส่ือต้องไม่นาเสนอข้อมูลและถ้อยคาที่สร้างความเกลียดชังหรือยั่วยุให้ใช้ความรุนแรง ต่อคู่ขัดแย้ง รวมทั้งไม่นาเสนอภาพความรุนแรงในลักษณะที่ช้ีนาให้สังคมเห็นว่าการใช้ความรุนแรงเป็นเรื่องปกติ ธรรมดาในสังคมไทย สื่อจึงควรคานึงถึงผลกระทบและความเหมาะสมของส่ิงท่ีนาเสนอต่อสังคมด้วย (รายงาน ฉบับสมบูรณ์คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริง เพ่ือการปรองดองแห่งชาติ (คอป.), ๒๕๕๕ : ๒๕๘ - ๒๕๙) ๖. ขอ้ สงั เกตด้านการเยยี วยา การชดเชยเยียวยาและฟ้ืนฟูเหยื่อและผู้ท่ีได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงทุกฝ่าย และคืนความเป็นธรรมให้กับผู้ท่ีได้รับผลกระทบจากการกระทาที่ขัดต่อหลักนิติธรรม เป็นเงื่อนไขสาคัญต่อการ ลดความขัดแย้ง และสร้างความพร้อมต่อการปรองดองในชาติ ให้เกิดขึ้น รัฐบาลต้องดาเนินการเยียวยา อย่างจริงจัง เป็นระบบ ท่ัวถึงและตอ่ เน่ือง โดยครอบคลุมความเสียหายในลักษณะตา่ ง ๆ ท้ังทางร่างกายและจิตใจ และชดเชยให้กลับคืนสู่สภาพเดิมมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ โดยไม่จากัดที่การเยียวยาด้วยตัวเงินเท่านั้น รัฐต้อง ดาเนนิ การอยา่ งตอ่ เน่ืองและเป็นรปู ธรรมใหเ้ หมาะสมกับความเสียหายและความสญู เสยี ท่ีเกิดข้นึ ในลกั ษณะตา่ ง ๆ ๗. การแสดงความรับผิดชอบด้วยการขอโทษ จากข้อเท็จจริงและรากเหง้าของปัญหาความขัดแย้งที่เกิดข้ึน ภาคส่วนต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง ย่อมมีส่วนรับผิดชอบอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ฝ่ายค้าน พรรคการเมือง ผู้นาในการชุมนุม หน่วยงานด้านความม่ันคง และส่ือมวลชน ควรพิจารณาทบทวนบทบาทและการกระทาของตนในสถานการณ์ ดังกล่าว โดยให้ผู้นาทุกฝ่ายกล่าวขอโทษต่อสาธารณชน (Public Apology) โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายกรัฐมนตรี ท่ีบริหารประเทศขณะเกิดเหตุการณ์ความรุนแรง และนายกรัฐมนตรีซ่ึงบริหารประเทศอยู่ในปัจจุบัน ควรแสดง ความรับผิดชอบในฐานะผู้นารัฐบาลต่อเหตุการณ์ความรุนแรงท่ีเกิดขึ้นโดยเฉพาะต่อเหยื่อของความรุนแรง เน่ืองจากรัฐมีความบกพร่องและขาดกลไกที่มีประสิทธิภาพในการจัดการความขัดแย้งทางการเมืองให้ดาเนินไป ตามครรลองของสันติวิธี จนเกิดความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน และความรู้สึกของประชาชนอย่างมาก รวมท้ังแสดงเจตจานงที่จะประกันความมั่นคงและปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของประชาชน โดยพยายามอย่างสดุ ความสามารถท่ีจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงและการละเมดิ สิทธิมนุษยชนอย่างรา้ ยแรง และช่วยรักษาบรรยากาศของการปรองดองในประเทศให้ดีย่ิงขึ้น จึงต้องให้ทุกฝ่ายตระหนักว่าการยอมรับผิดชอบ และการขอโทษเป็นเง่ือนไขที่จาเป็นที่จะนาไปสู่ความปรองดองในชาติ ทั้งน้ี ไม่ว่าเหตุการณ์จะผ่านพ้นไปนาน เพียงใดก็ตาม (รายงานฉบับสมบูรณ์คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริง เพื่อการปรองดอง แหง่ ชาติ (คอป.), ๒๕๕๕ : ๒๔๔)

๑๔ ๘. ข้อสังเกตเก่ยี วกับกองทัพ การแทรกแซงทางการเมืองของกองทัพ โดยเฉพาะการรัฐประหาร ส่งผลให้สังคมไทย ขาดโอกาสเรียนรู้ที่จะจัดการวิกฤตการณ์ทางการเมืองตามครรลองแห่งระบอบประชาธิปไตย และสร้างความ ไม่พอใจแก่กลุ่มคนที่เห็นว่าอานาจอธิปไตย สิทธิ และผลประโยชน์ของตนถูกคุกคามจากการรัฐประหาร โค่นล้มรัฐบาลซ่ึงมาจากการเลือกต้ังของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย กองทัพมีอาวุธ มีกองกาลังทหาร มีบทบาทและอิทธิพลในการตัดสินใจล้มระบอบประชาธิปไตย ทาให้ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้น มีความสลับซับซ้อนและลุกลามบานปลายยิ่งข้ึน ดังน้ัน กองทัพควรทาภารกิจของกองทัพ ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย งดเว้นการก่อการรัฐประหารหรือการแทรกแซงทางการเมืองอย่างเคร่งครัดไม่ว่าในทางใด เช่น การใช้อิทธิพล กดดันนโยบายของรัฐบาล การข่มขู่ว่าจะใช้กาลังหรือยึดอานาจ เป็นต้น นอกจากน้ี สังคมหรือกลุ่ มการเมือง จะต้องไม่เรียกร้องหรือสนับสนุนให้กองทัพเข้ามายุ่งเก่ียวทางการเมือง โดยทุกฝ่ายจะต้องยึดหลักที่ว่า หน่วยงาน ดา้ นความม่ันคง โดยเฉพาะกองทัพ ต้องอยูภ่ ายใต้การควบคุมของรัฐบาลท่ีมาจากการเลือกต้ัง (Civilian Control) รัฐและกองทัพต้องสร้างทหารอาชีพท่ีมีความรู้ความสามารถในการป้องกันประเทศ ปลูกฝังจิตสานึกให้ยึดมั่น อดุ มการณ์ประชาธิปไตย โปร่งใส ตรวจสอบได้ตามหลักธรรมาภิบาล รับฟังความเห็นต่างโดยไม่มองวา่ การเห็นต่าง จะส่งผลกระทบหรือเป็นข้อขัดแย้งต่อความมั่นคง ทั้งน้ีในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณของเหล่าทัพควรมีการกาหนดว่า จะยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะไม่ทาการปฏิวัติรัฐประหาร (รายงาน ฉบับสมบูรณ์คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและคน้ หาความจริง เพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.), ๒๕๕๕ : ๒๖๑) ๙. ข้อสงั เกตเกยี่ วกับการชุมนุมและสทิ ธิผชู้ ุมนุม จากสถานการณ์ในปัจจุบัน มีประชาชนส่วนมากที่ต้องแสดงออกเร่ืองสิทธิและเสรีภาพ ในการชุมนุมโดยเฉพาะ การชุมนุมของคนรุ่นใหม่ กลุ่มนักเรียกร้องที่เป็นเยาวชนของชาติ ไม่ว่าจะเป็น นักเรียน นิสิตและนักศึกษา ต้องเข้าใจตรงกันว่าเสรีภาพในการชุมนุมเป็นเสรีภาพขั้นพ้ืนฐานของการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยและเป็นสิทธิทางการเมืองท่ีต้องได้รับการรับรองและคุ้มครองจากรัฐ อย่างไรก็ตาม การใช้เสรีภาพ ของผู้ชุมนุมมิใช่ว่าจะกระทาได้โดยไม่มีขอบเขตจากัด (Non-Absolute Right) แต่ต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของ รัฐธรรมนูญ ซึ่งกาหนดเง่ือนไขของการชุมนุมว่าต้องกระทาโดยสงบและปราศจากอาวุธ รัฐต้องรับรองและประกัน เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธของประชาชน โดยนอกจากจะไม่กีดกันและแทรกแซงการใช้ เสรีภาพดังกล่าวแล้ว ยังต้องคุ้มครอง ความปลอดภัยของผู้ชุมนุมจากการก่อกวน แทรกแซง หรือประทุษร้าย จากบุคคลที่สามที่เป็นปฏิปักษ์หรือต่อต้านการชุมนุม ตลอดจนมีหน้าที่ในการจัดสรรการใช้พื้นที่สาธารณะ (รายงานฉบับสมบูรณ์คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจรงิ เพ่ือการปรองดองแห่งชาติ (คอป.), ๒๕๕๕ : ๒๖๒) (นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ) เลขานุการคณะกรรมาธิการ

บรรณานกุ รม คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) (กันยายน ๒๕๕๕) “รายงานฉบับสมบูรณ์ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริง เพื่อการปรองดอง แห่งชาติ (คอป.) กรกฎาคม ๒๕๕๓ – กรกฎาคม ๒๕๕๕” คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ (๒๕๕๕) “รายงานวิจัย การสรา้ งความปรองดองแหง่ ชาติ” สถาบันพระปกเกล้า คณะกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (๒๕๕๘) “รายงานการศึกษาและ ขอ้ เสนอแนะ” สภาปฏริ ูปแห่งชาติ

ภาคผนวก

๒ ภาคผนวก ก รวมความคิดเหน็ จากบุคคลตา่ ง ๆ

๑๗ ๑. นายชวลติ วชิ ยสุทธ์ิ ประธานคณะอนกุ รรมาธกิ ารกลา่ วเปิดการประชุม เหตผุ ลและวตั ถปุ ระสงค์ของคณะอนุกรรมาธกิ ารท่ดี าเนนิ การศึกษาในเร่อื งนี้ ดังน้ี ประการแรก ปัจจัยเวลาของการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมือง คณะอนุกรรมาธิการ เห็นว่าอยู่ในข้ันสุกงอม กล่าวคือ ความขัดแย้งตั้งแต่ปี ๒๕๔๘ ถึงปัจจุบัน กินเวลาถึง ๑๕ ปี ประเทศใด ประชาชนในชาติยังเป็นฝักเป็นฝ่ายขัดแย้งกันอยู่ ประเทศนั้น หาความสงบสุข ความเจริญได้ยาก หากมี ศกึ สงคราม จะเปน็ สงครามสู้รบหรอื สงครามเศรษฐกิจกต็ าม ก็จะมแี ต่ความพ่ายแพ้ ประการที่สอง ก่อนไวรัส covid-19 ระบาด ประชาชนประสบปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง อย่างมากและหลังไวรัสระบาดเกิดปัญหาเศรษฐกิจปากท้องตลอดจนกิจการทางด้านเศรษฐกิจการค้า การท่องเที่ยว SME ปิดตัวลงประชาชนตกงานจานวนมากนับล้าน ๆ คน นับเป็นวิกฤตของประเทศ ถ้าประชาชนไมม่ คี วามสามัคคีปรองดองเปน็ เรอ่ื งยากอยา่ งย่ิงทีจ่ ะรว่ มกันฝา่ ฟันวกิ ฤตเศรษฐกิจของบ้านเมืองได้ ประการท่ีสาม มีสัญญาณที่จับต้องได้ว่าปีน้ีรัฐบาลได้ประชุมคณะกรรมการบริหาร ราชแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) เป็นครั้งแรก เม่ือวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๓ และต่อมานายกรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์หลายคร้ังว่าต้ังใจรวมใจ ไทยสร้างชาติ ถึงกับติดวลีดังกล่าวไว้ท่ีโพเดียมช่วงเวลาแถลงข่าว แสดงว่าในภาวะวิกฤตบ้านเมืองเช่นนี้ เหน็ ตรงกนั ว่าถงึ เวลาทคี่ นไทยจะหันหนา้ เข้าหากัน หาทางสรา้ งความปรองดองสมานฉันทข์ องคนในชาติ ประการท่ีสี่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หมวด ๑๖ การปฏิรูปประเทศ มาตรา ๒๕๗ การปฏิรูปประเทศตามหมวดน้ีต้องดาเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมาย ดังต่อไปนี้ (๑) ประเทศชาติมีความสงบ เรียบร้อย มีความสามัคคีปรองดอง มีการพัฒนาอย่างย่ังยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และมี ความสมดุลระหว่างการพัฒนาด้านวัตถุกับการพัฒนา ด้านจิตใจ และยุทธศาสตร์ชาติ ตลอดจนนโยบาย ของรฐั บาล นโยบายของพรรคการเมืองแต่ละพรรค ใหค้ วามสาคัญกับการสร้างความปรองดองของคนในชาติท้ังส้ิน จึงเป็นความชอบธรรมท่ีคณะอนุกรรมาธิการและคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน ศึกษาเร่ืองน้ีเพ่ือเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบเพื่อส่งไปยังรัฐบาลรับไปพิจารณาตามที่ เหน็ สมควรตอ่ ไป ๒. ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า วันนี้ได้รับมอบหมายจากท่านรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงกลาโหมให้มารับฟังการประชุม ในประเด็นการสร้างความปรองดองขอเรียนว่า วันน้ีมารับฟัง ให้ความเห็นไม่ได้ ขอเรียนว่า วันน้ีเป็นโอกาสอันดียิ่งที่เห็นบรรยากาศบรรดาแกนนามาคุย แบบน้ีถือเป็น นิมิตรหมายอันดี ขอขอบคุณและขอชื่นชมการสร้างความปรองดองเป็นเร่ืองสาคัญยิ่งยวด เห็นได้ว่าจากการ ประสบปัญหาโควิด ๑๙ เราได้ต่อสู้กันมาหลายเดือน และขณะนี้ไม่พบผู้ติดเชื้อในประเทศ เกือบ ๒ เดือนแลว้ จนท่ัวโลกให้การยอมรับ จากปัจจัยของความสาเร็จในเรื่องนี้ประเมินว่า นอกจากในเรื่องของการจัดการท่ีดี ระบบสาธารณสุขที่ดีแล้ว ความสมัครสมานสามัคคีความเป็นน้าหน่ึงใจเดียวกันเป็นความสาคัญอย่างยิ่ง การรวมใจดังกล่าวเป็นท่ีมาของคาว่า รวมใจไทยสร้างชาติถือเป็นเจตจานงของรัฐบาล ซ่ึงเป็นการบูรณาการ ความร่วมมือของทุกภาคสว่ นมารว่ มกันหาแนวทางท่ีเหมาะสม มาร่วมกนั ตอ่ สู้กับปัญหาเศรษฐกิจ ประเทศไทย มีคุณวิเศษ ๒ ประการ คือ หน่ึง คนไทยมีความพร้อมใจกัน สอง คนไทยมีคนเก่งและมีความสามารถสูงมาก มีความพร้อมท่ีจะช่วยกันนาพาประเทศชาติผา่ นพ้นวกิ ฤติไปด้วยกัน เรื่องการสรา้ งความปรองดองสมานฉันท์ หลายทา่ นกล่าวมาว่า ให้ความร่วมมืออยา่ งเต็มทร่ี ว่ มกนั ทุกเวทีในการสร้างความปรองดองจนกระทง่ั คาศัพท์นี้ มานานไป เราต้องการสร้างความสงบ สันติ ยุติความขัดแย้ง ประเทศชาติต้องการอย่างย่ิงของประชาชน

๑๘ สรา้ งความสามัคคีปรองดองของคนในชาติ เปน็ ปจั จยั ที่ หลายอยา่ ง เร่ืองนิรโทษกรรมไม่ใช่คาตอบเดยี วที่กล่าวมา เป็นกระบวนการอันหนึ่งที่สร้างความสามัคคีปรองดอง ต้องขอขอบคุณคณะอนุกรรมาธิการท่ีให้ความสาคัญ กับเรื่องนี้ ๓. ศาสตราจารย์ วุฒิสาร ตันไชย กล่าวว่า หลังจากฟังจากผู้ที่เก่ียวข้องแล้ว ข้อเสนอ งานวิจัยมีมานานและเป็นจานวนมาก สิ่งสาคัญคือ การสร้างบรรยากาศ ปัจจุบันต่างจากปี ๒๕๕๖ และปี ๒๕๕๗ ปัจจุบันเป็นบรรยากาศที่พร้อมจะมีการปรองดอง เพราะฉะน้ันข้อเสนอเชิงหลักการมีหมดแล้วและปัจจุบัน ทุกคนเหน็ หมดแล้ว การนริ โทษกรรมเป็นเพียงมาตรการหนงึ่ ของการสร้างความปรองดอง การเปลยี่ นการสรา้ ง ความเกลยี ดชัง การใหอ้ ภัย การใหเ้ กยี รติกันและกัน การกล่าวคาขอโทษและแสดงให้เหน็ บทบาท เช่อื มโยงกับ ทิศทางของรัฐบาลที่มีพื้นท่ีแล้ว การพูดคุยกันจะทาให้เกิดความเข้าใจกัน บรรยากาศของทิศทางดีข้ึนแล้ว ถา้ ทาให้ฝ่นุ และหมอกจางลงทาให้มองหนา้ กนั มากข้นึ ซ่งึ จดุ ศนู ย์รวมที่สุดอยู่ที่ ปยป. แตอ่ ยา่ งไรก็ตาม ในวันนี้ ไม่ตอ้ งศึกษาอะไรมาก เหลือแต่เรียนรจู้ ริง ต้องระวงั ความเกลียดชังใหม่ที่กาลังจะเกิดขึ้นถือเป็นเร่ืองท่นี า่ เป็นห่วง ของอนาคต ๔. พลเอก เอกชยั ศรีวิลาศ กล่าวว่า บรรยากาศวนั น้ีกบั ท่ีผา่ นมา เปน็ บรรยากาศทล่ี ดความ ขัดแย้งลงได้มาถึงจุดท่ี ปยป. ซ่ึงคณะท่ีแล้วมีการเชิญผู้แทนพรรคการเมือง แกนนา มา พูดคุยกัน ที่ผ่านมาทาแล้ว ทุกฝ่ายสามารถหันหน้ามาคุยกันได้ เพื่อจะได้เกิดความปรองดอง ผมเพ่ิงได้รับการแต่งต้ัง ให้เป็นคณะกรรมการปฏิรูปแห่งชาติด้านการเมือง แล้วประชุมเม่ือวันท่ี ๒๑ ที่ผ่านมา คณะกรรมการยังไม่ได้ ทาอะไร ลาออกหมดเหลือแค่ ๒ คน สันติวิธีและการสร้างความปรองดอง ในการแก้ไจควบคุมประชาชน ควรสร้างแนวทางการสร้างความปรองดอง โดยต้องสร้างบรรยากาศให้เอ้ือต่อการอยู่ร่วมกัน เห็นด้วยกับการ สรา้ งสานสามัคคธี รรม ๕. รองศาสตราจารย์ โคทม อารียา กล่าวว่า ควรดาเนินการเร่ืองการนิรโทษกรรม เพราะเป็น การส่งสัญญาณให้เกิดนิรโทษกรรมน่าจะขับเคลื่อนให้เกิดข้ึนได้ โดยกังวลว่า หากเกิดความซับซ้อน มีกลไก ท่ีละเอียดจนเกินไป และมีการนาเร่ืองการค้นหาความจริงโดยให้ศาลเข้ามาเก่ียวข้อง โดยมีหลักการนิรโทษกรรม อย่างเคร่งครัดอย่าทาให้สมบูรณ์แบบ และการสร้างตะแกรงละเอียดมาก ไม่ได้ผล ขอให้มีเท่าท่ีจาเป็น ให้พระราชบัญญัตินิรโทษกรรม เปิดประเด็นไว้เป็นหลักการใหญ่ ๆ การออกกฎหมายนิรโทษกรรม จากภัยพิบัติโควิด-19 อยากให้เปิดพน้ื ทีท่ างปญั ญา ให้สามารถใชว้ ิถีทางความปรองเป็นวถิ ีใหม่ ควรมกี ารรับมือ กบั โควดิ -19 นายกรัฐมนตรคี วรจะผนึกกาลังทกุ ฝา่ ยเพื่อวางอนาคตของประเทศไทย ๖. นายคานณู สทิ ธสิ มาน สมาชกิ วฒุ สิ ภา ผู้จุดประเด็นในที่ประชุมวุฒิสภา ว่าถึงเวลาแล้วท่ีประเทศไทยจะต้องกลับมาคิดเร่ือง นิรโทษกรรมอย่างจริงจัง ได้ยกตัวอย่างว่า ประเทศไทยเคยต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์ มีการบาดเจ็บล้มตาย เป็นจานวนมากก็ยังสามารถนิรโทษกรรมกันได้ หรือคณะรัฐประหาร ๒ คร้ังล่าสุดของประเทศไทย ก็ออกกฎหมายนริ โทษกรรมใหก้ ับตัวเอง ทาไมจึงจะนิรโทษกรรมให้ประชาชนไม่ได้ ความขัดแย้งตลอดระยะเวลา ๑๕ ปีที่ผ่านมาทาให้ประเทศไทยสูญเสียต้นทุน ทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ มากเกินพอ ประเทศจะเดินหน้าต่อไปได้ยากถ้าไม่ปลดล็อคทางการเมือง ด้วยการนิรโทษกรรมผู้ท่ีต้องคดีอันเน่ืองมาจากความขัดแย้งทางการเมืองตลอดหลายปีที่ผ่านมา และเสนอว่า ผทู้ ี่เหมาะสมจะทาเรื่องนไ้ี ดด้ ที ีส่ ุด คอื นายกรัฐมนตรี เท่านัน้ โดยท่ีมาของแนวคิด คือ เห็นนักต่อสู้ของทุกสีทุกฝ่าย เดินข้ึนศาล ประสบชะตากรรม ในวิถีชีวิต ต้องต่อสู้คดี บางคนก็โดดเดียว บางกลุ่มก็มีกองทุน แต่การเดินข้ึนศาลตลอดทุกสัปดาห์ บางช่วง

๑๙ มีการนัดถี่ ๆ แทบทุกเดือน หลายคนยังไม่รู้อนาคต จานวนหน่ึงเป็นคดีอาญาร้ายแรง เช่น ก่อการร้าย บุกรุก สถานที่ราชการ คดีจานวนหนึ่งสิ้นสุดโดยมีผู้ถูกจาคุก ก็ต้องยอมรับว่ามีกันทุกฝ่าย เราอาจจะมีความเห็น แตกต่างกัน แต่สว่ นใหญ่ ก็เปน็ คนท่ีคุ้นเคยกนั เคยรว่ มงานกัน รจู้ กั กัน หลายคนก็รุ่นราวคราวเดียวกัน จานวนหน่ึง อายุมากกว่าผม อย่างพลตรีจาลอง ศรีเมือง อายุ ๘๔-๘๕ ปีแล้ว หรืออย่างคุณวีระ มุสิกพงศ์ หมอเหวง โตจิราการ ก็รู้จักกันมาก่อนหน้าทั้งส้ิน ล่าสุดก็นั่งวีลแชร์มาศาลอีกคดี ก็รู้ว่าท่านไม่มีความสุขแน่ ๆ ที่สร้างความสะเทือนใจ คือ เม่ือวันท่ี ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ ไปเย่ยี ม คณุ ศรัณยู วงษก์ ระจา่ ง ทโี่ รงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แล้วก็ไปในช่วง จังหวะที่คุณศรัณยู วงษ์กระจ่าง เริ่มหมดลมหายใจไปต่อหน้าต่อตา อันนี้เป็นความสะเทือนใจค่อนข้างมาก คุณตั้ว เป็นรุ่นน้องผมที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รู้จักกันในที่ชุมนุม การท่ีเขามาร่วมต่อสู้ จะถูกจะผิด ใครจะเห็นด้วย ไม่เห็นด้วยก็แล้วแต่ แต่เขาทาด้วยเจตนาที่ดี ผมว่าเขาเป็นคนท่ีเสียสละ จากอาชีพดาราของเขา ถ้าเขาไม่แสดงออกทางการเมือง เขาก็จะมีงานมีการเป็นปกติ แต่พอเขาแสดงออกทางการเมือง งานการของเขา ก็กระทบกระเทือน คดีที่เขาเจอ ก็เป็นคดีหนัก ท่ีสาคัญคือคดีแพ่งที่ถึงที่สุดแล้วเขาต้องถูกยึดทรัพย์ ซ่ึงผม ไม่รู้ตัวเลขชัดเจน แต่ก็เป็นจานวนพอสมควร ทราบจากคนใกล้ชิดว่า ที่เขาสะเทือนใจคือ มันมีท่ีดินผืนหนึ่ง ที่คล้ายกับบรรพบุรุษมอบให้ไว้ ก็ต้องถูกยึดไปด้วย อันน้ียอมรับว่าเป็นความสะเทือนใจค่อนข้างสูง เห็นว่า ระยะเวลามาผ่านมาเกือบจะครบ ๑๕ ปีเต็มพอดี ถ้าจะนับตั้งปี ๒๕๔๘ การต่อสู้ของพันธมิตร จากน้ันก็มี การต่อสู้ยืดเย้ือกันของกลุ่มต่าง ๆ มาโดยตลอด ผมคิดว่ามันถึงเวลาท่ีจะยุติลงได้ในระดับสาคัญ คือว่าผู้คน เหล่านี้ ไม่ว่าเหลือง แดง หรือสีอ่ืน ๆ เขาไม่ได้มีเจตนาท่ีจะกระทาผิดทางอาญา เพราะว่ามี “เถยจิต” หรือจิต ท่ีต้องการจะเป็นอาชญากร แต่พวกเขามีจิตใจที่จะต่อสู้ทางการเมือง ต้องการเปล่ียนแปลงทางการเมือง การเปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีขึ้น ต้องการต่อต้านการคอร์รัปชั่น ต้องการปฏิรูปการเมือง เพียงแต่เขา ไม่มีอานาจวาสนาที่จะเคลื่อนไหวอย่างอื่น นอกจากยื่นหนังสือ หรือท่ีสุดคือชุมนุมทางการเมือง และเมื่อเกิด การกระทาความผิดขึ้น ไม่วา่ จะเป็นสีใด มันไมใ่ ช่ความผิดทีม่ ีแรงจูงใจมาจากอาชญากรรม แตม่ นั เป็นความผิด ที่มีแรงจูงใจมาจากการต้องการการกระทาทางการเมือง และเราต้องยอมรับความเป็นจริงว่า การกระทา ทางการเมือง เมื่อถึงจุด ๆ หน่ึง จะเปลี่ยนแปลงได้มันก็ต้องทาผิดกฎหมายท่ีดารงอยู่ในขณะน้ัน ผมเปรยี บเทียบเช่น ผ้ชู ุมนมุ ไมว่ ่าฝ่ายใด สใี ด เราจะไมพ่ ูดเรื่องอุดมการณ์ จุดยืนของเขาว่าเราเห็นด้วยหรือเห็นต่าง แต่เขาไม่ได้มีจิตใจท่ีจะเป็นอาชญากรแน่นอน เช่นเดียวกันกับทหารที่ยึดอานาจ เมื่อปี ๒๕๔๙ และปี ๒๕๕๗ ผมคิดว่าเขาก็ไม่ได้มีจิตใจที่จะยึดอานาจเพ่ือประโยชน์ของตัวเอง แต่ว่ามันเป็นความขัดแย้งในบ้านเมือง อันอาจจะนาไปสู่การจราจลใหญ่ หรือถึงขั้นสงครามกลางเมือง การนองเลือด เขาก็ตัดสินใจท่ีจะทาผิด กฎหมายในขณะนั้น เพื่อยึดอานาจ เพราะเขามีเครื่องมือไง แต่ประชาชนที่ออกมาต่อสู้ ไม่ได้มีเคร่ืองมือ เราอาจจะลืมไปว่า เมื่อมีการยึดอานาจในปี ๒๕๔๙ -๒๕๕๗ แล้วน้ัน มันก็มีการนิรโทษกรรม ให้กับผู้กระทา การยดึ อานาจ ฉะน้ันในรอบ ๑๕ ปมี านี้ มกี ารนิรโทษกรรมไปแลว้ สองคร้ัง แต่เปน็ การนิรโทษกรรมแก่คนกลุ่มเดียว แล้วทาไมคนที่เหลือถึงจะไม่ได้รับการนิรโทษกรรม ในเมื่อเป็นการกระทาผิดที่มีแรงจูงใจทางการเมือง เหมอื นกัน ผมมองเห็นแบบน้ี ช่วงจังหวะเวลาขณะนี้ เป็นช่วงท่ีเหมาะสมที่จะพูดเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะว่า ๑. เหตุการณ์มันนานพอสมควรแล้ว เกือบ ๑๕ ปีเต็ม ๒. เหตุการณ์มันก็ห่างกับการนิรโทษกรรมคร้ังสุดท้าย ที่ก่อให้เกิดปัญหา ๖ ปีเต็ม จะ ๗ ปีด้วยซ้าไป ๓. สถานการณ์ของประเทศในขณะนี้ ต้องยอมรับความจริงว่า เรากาลังเผชิญกับวิกฤตที่ในช่วงชีวิตเราไม่เคยเจอมาก่อน โควิด-19 ยังไม่จบ หลายคนพูดว่าวิกฤตที่กาลัง จะเผชิญมันจะใหญ่เหมือนวิกฤตเศรษฐกิจโลกในช่วงปี ๑๙๓๐ ต่อให้เรามีพละกาลังของประเทศที่พร่ังพร้อม แต่ละคนก็จะเผชิญกับความยากลาบากไปอีก ๑-๒-๓ หรือ ๔ปี ตามศักยภาพแต่ละคน กว่าวงรอบเศรษฐกิจ จะกลบั มาปกติ

๒๐ ดังน้ัน ถ้าเปรียบประเทศเหมือนคนเดินทางไกล เวลาเราต้องฝ่าอุปสรรค ขวากหนาม ต้องปีนเขา ลุยห้วย สัมภาระท่ีเราแบกมา ก็ต้องปลดปล่อย ในส่ิงที่มันไม่จาเป็น ผมเห็นว่าความขัดแย้งรอบ ๑๕ ปีทีผ่ า่ นมา เราควรจะปลดปล่อยมันไปได้ ในระดับสาคัญ ขณะที่รัฐบาล ตามมติคณะรัฐมนตรี วันท่ี ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๓ นี้เอง ก็มีมติให้ปรับปรุง แผนปฏิรูปประเทศ จะเห็นว่ามีการตั้ง คณะกรรมการปฏิรูปประเทศชุดใหม่ที่เพ่ิงประกาศเม่ือวันท่ี ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๓ และจะเสร็จสิน้ ใน ๗๐-๘๐ วันจากนไี้ ป รวมถงึ นา่ จะมีการปรบั ปรงุ แผนยทุ ธศาสตร์ชาติ ผมคิดว่านายกฯ ก็มีส่ิงที่อยู่ในใจท่าน ท่ีประกาศนโยบายรวมไทยสร้างชาติ เวลาแถลงข่าวท่านก็จะติดป้าย รวมไทยสร้างชาติท่ีโพเดียมทุกสัปดาห์ ซึ่งนอกจากเสนอเรื่องน้ีและปรับแผนต่าง ๆ คิดว่ามันต้องมีปฏิบัติการ ทางการเมอื งเรื่องใหญ่ ๆ ทที่ าให้เกดิ การรวมไทยสร้างชาติได้จรงิ ๆ ก็คือประเดน็ ทผี่ มอภปิ รายไปเนื่องในวาระ ยุทธศาสตร์ชาติปี ๒๕๖๒ ซ่ึงมันเป็นแผนแม่บทด้านความม่ันคง แผนแม่บทย่อยด้านความสงบของประเทศ และมีการกล่าวเรื่องความปรองดองเอาไว้ ผมก็เห็นเราพูดความปรองดองมานานวันแล้ว ไม่ได้มีรูปธรรม ที่ชัดเจนมากนัก ถึงเวลาแล้วที่จะใช้กฎหมายนิรโทษกรรมเป็นกุญแจดอกสาคัญ ท่ีจะไขเข้าไปสู่เส้นทางเดิน แห่งความปรองดอง ไม่ได้แปรว่านิรโทษกรรมเสร็จแล้ว มันจะปรองดองกันได้ทันทีหรือทั้งหมด แต่ว่ามันจะ เปน็ การเปิดประตูนาไปสู่สง่ิ อนื่ ตอ่ ไป ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๗๐ ติดตาม เสนอแนะ เรง่ รดั การปฏิรูป ประเทศ และการดาเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ ผมเสนอว่า ยุทธศาสตร์ชาติและปฏิรูปประเทศท่ีมีรวม ๆ แล้ว เป็นร้อยเป็นพันแผน ประเด็นสาคัญท่ีสุดก็คือการเมืองต้องมีเสถียรภาพ การเมืองต้องมั่นคงและเป็น ประชาธิปไตยท่ีคนเห็นพ้องต้องกันมากท่ีสุด ความขัดแย้งมีได้ แต่ต้องอยู่ภายในกรอบ สิ่งเหล่าน้ีมันจะไม่ สามารถมีทางเป็นจริงได้เลย วิสัยทัศน์ในยุทธศาสตร์ชาติเขียนว่า เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แต่คนกลุ่มหน่ึง ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ถูกท้ิงไว้กับศาล ถูกทิ้งไว้กับคดี ถูกทิ้งไว้กับคุกตาราง และไม่เฉพาะคนกลุ่มนี้เท่าน้ัน คนกลุ่มนี้ เขามีแฟนคลับ มีผู้ติดตาม มีคนศรัทธา เชื่อถือเขา จานวนนับล้าน นับสิบล้านคน ถ้าเราสามารถปลดปล่อย พันธนาการตรงนี้ได้ น่ีคือก้าวสาคัญท่ีจะนาไปสู่การปรองดองได้ ส่วนจะไม่ให้เกิดแบบปี ๒๕๕๖ ๒๕๕๗ ได้อย่างไร ผมเสนอเร่ืองน้ีต่อนายกรัฐมนตรี ในฐานะนายกรัฐมนตรี หัวหน้าฝ่ายบริหาร ในฐานะนายกฯ เป็นประธานยุทธศาสตร์ชาติ ในฐานะนายกฯเป็นประธาน ปยป. ป.ปฏิรูป ย.คือยุทธศาสตร์ และป.ตัวสุดท้าย คือปรองดอง ล่าสุดนายกรัฐมนตรี เสนอเร่ืองรวมไทยสร้างชาติ ผมเสนอเร่ืองนิรโทษกรรมครั้งนี้คนท่ีจะทาได้ สาเร็จ คือ นายกรัฐมนตรี ท่านต้องตกผลึก ตัดสินใจ และประกาศเป็นเจตจานงทางการเมืองต่อประชาชน มันถึงเวลาท่ีต้องมารวมไทยสร้างชาติกันแล้ว มันถึงเวลาที่พลังทุกส่วนที่อาจจะเห็นต่างกันทางการเมือง ท่ีตอนนี้กย็ ังเหน็ ต่างกันอยู่ ละ วาง ความต่างน้นั เพอ่ื ให้ประเทศชาตกิ ้าวพ้นวกิ ฤตทีก่ าลังจะเกดิ ขน้ึ น้ใี ห้ได้ แต่เน่ืองจากรัฐบาลมีเสียงข้างมากในสภาฯ ไม่ปริ่มน้าแล้ว แม้จะมาจากหลายพรรค แต่นวัตกรรมการเสนอร่างพระราชบัญญัติท่ีเกี่ยวข้องกับการปฏิรูปประเทศตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๗๐ ให้เสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ตามมาตรา ๒๗๐ ซง่ึ จะมชี อ่ งทางพิเศษ จะมีการพิจารณาร่วมกันของทั้งสองสภา คอื สภาผูแ้ ทนราษฎรและวุฒิสภา ซง่ึ จะมหี ลกั ประกันว่าหลกั การของกฎหมายจะไมแ่ ปรเปล่ียนในขั้นพิจารณา ในสภา ใน ส.ส. รัฐบาลก็มีเสียงข้างมาก ใน ส.ว. ส่วนใหญ่ก็สนับสนุนรัฐบาลอยู่แน่นอน เหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้น ในปี ๒๕๕๖ ถ้าเราย้อนไปดู มีการพูดถึงกฎหมายนิรโทษกรรมกันมากหลายแนวทาง แต่ไม่มีใครคัดค้าน แบบจริงจงั นะครับ จนเม่ือคณุ วรชยั เหมะเสนอรา่ งขึ้นมาในฐานะ ส.ส. ก็ไมม่ ีใครคัดค้านในหลักการ เพราะมัน ไม่ใช่การเหมาเข่งสุดซอยไปถึงคดีที่เก่ียวข้องกับคอร์รัปช่ัน ผู้นาท่ีเก่ียวข้องกับปัญหาได้อยู่นอกประเทศ ได้ประโยชน์โดยตรง เหตุท่ีมันเกิดข้ึนเพราะมีคาแปรญัตติของคุณประยุทธ์ ศิริพานิชย์ ในมาตรา ๓-๔ ซึ่งมัน จะไปพลิกหลักการของกฎหมายฉบับนี้ที่มุ่งเรื่องการนิรโทษกรรมผู้ชุมนุมทางการเมือง คดีที่ดาเนินการ

๒๑ ตรวจสอบโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทาท่ีก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เป็นอันหลุดหมด แล้วก็เกิดเหตุในสภาผแู้ ทนราษฎร เหมือนเสียงข้างมากดึงดัน เกิดการลงมติกลางดึกวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตรงนี้เราต้องเข้าใจว่าตัวหลักการของร่างเดิมคนไม่ได้ค้าน อาจจะมีรายละเอียดท่ีคนกาลังหารือในช้ัน กรรมาธกิ าร ทม่ี นั เกิดเหตุใหญ่ข้ึนมาเพราะไปแปรญตั ติ กระบวนการพิจารณาตามมาตรา ๒๗๐ แห่งรัฐธรรมนูญ ถ้ารัฐบาลเสนอเข้ามาในฐานะ ร่างพระราชบัญญัติทเ่ี กยี่ วกับการปฏริ ูปประเทศ มันพิจารณาใน ๒ สภาร่วมกัน ไม่ต้องห่วงการแปรเปล่ียนของ เสียงในสภาผู้แทนราษฎร เพราะต้องมีวุฒิสภาท่ีต้องยืนตามหลักการของรัฐบาล หลักการท่ีว่าผมเสนอไว้กว้าง ๆ ๔ ขอ้ แต่รายละเอยี ดกอ็ ยใู่ นวิสยั ที่ต้องไปยกรา่ งกนั ขน้ึ มา หลักการที่ ๑ ก็คือ เป็นการนิรโทษกรรมจากการชุมนุมทางการเมืองหรือที่เก่ียวเนื่องกับ การชุมนุมทางการเมืองโดยตรงในช่วง ๑๕ ปีที่ผ่านมา ข้อน้ีเห็นได้ชัดว่าไม่รวมคดีอาชญากรรมร้ายแรง ไม่รวมคดีเก่ียวกับการคอร์รัปช่ัน แน่นอนไม่รวมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ ด้วย เพราะไม่มี การชมุ นุมเกย่ี วกบั ประเด็นนี้ หลักการท่ี ๒ เป็นการนริ โทษกรรมแกผ่ ู้ทีเ่ ขา้ สู่กระบวนการยตุ ธิ รรมแลว้ ไปว่าคดีจะตดั สิน เสรจ็ ไปแลว้ หรืออย่รู ะหวา่ งการต่อสูข้ ้นั ตอนใดกต็ าม หลกั การท่ี ๓ ไมไ่ ดต้ ัดสทิ ธิบ์ คุ คลท่ีไม่ได้เข้าสู่กระบวนการหรือหนีคดีไป สามารถได้สิทธิ์ได้ แต่ต้องกลับสู่กระบวนการที่ยุติธรรมกอ่ น หลักการที่ ๔ กฎหมายนิรโทษกรรมฉบับนี้น่าจะแตกต่างจากฉบับอ่ืน น่าจะมี คณะกรรมการพิเศษขึ้นมาเพ่ือตัดสิน แยกแยะ ออกกฎเกณฑ์ท่ีเป็นกฎหมายลาดับรองว่าอะไรเข้าข่ายไม่เข้าข่าย เช่นข้อ ๑ อะไรที่เกี่ยวเน่ืองกับการชุมนุม สื่อมวลชนรายงานข่าวเกี่ยวกับการชุมนุมและมีคดีเก่ียวกับการมี อันน้ีเก่ียวไหมเป็นต้น อันนี้ยกตัวอย่าง หรือคนหนีคดี จะต้องเข้ามาและอยู่ในเง่ือนไขใด ผมยังนึกไม่ออกว่า ถ้าไปเขียนในกฎหมายหลักมากเกินไปมันจะเยอะเกินไปหรือเปล่า อาจจะครอบคลุมไม่หมดน่าจะต้องมี คณะกรรมการชดุ นขี้ ้นึ มา ตวั คณะกรรมการใครจะเปน็ กอ็ ย่ใู นวสิ ยั ท่จี ะออกแบบกนั ได้ ผมเชอื่ ว่าถา้ เปน็ ไปตาม หลักการ ๔ ประการน้ี แล้วนาเสนอโดยนายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ในตาแหน่งมานานกว่า ๖ ปี เหลืออีก ๓ ปี จะครบวาระ ถือวา่ ทา่ นมีบารมีเพียงพอ การนาของท่านในชว่ งโควิด ก็ทาใหท้ า่ นมีบารมีมากขนึ้ ในระดับสาคัญ ทีเดียว เม่ือท่านนาเสนอเข้ามาสู่รัฐสภาตามมาตรา ๒๗๐ มีการอภิปรายในวาระที่ ๑ และการต้ังกรรมาธิการ แก้ไขปรับปรุง ในข้ันที่ ๒ จะประกอบด้วยตัวแทนจากทุกภาคส่วน ผ่านพรรคการเมืองต่างๆ ผ่านวุฒิสภา ซ่ึงอาจจะถูกมองว่าเป็นอนุรักษ์นิยม เป็นฝ่ายอดีตข้าราชการอะไรก็แล้วแต่ แต่ทุกคนจะเข้ามามีสัดส่วน ในกรรมาธิการตามโควตา เวทีตรงน้ีนอกจากจะพิจารณาแก้ไขกฎหมายตามคาแปรญัตติท่ีเข้ามาแล้ว ยังต้องทาหน้าที่ฟังความเห็นประชาชนตามมาตรา ๗๗ นอกจากน้ันมันยังเปิดโอกาสให้ผู้คนจากสองสภา ที่อาจจะมองด้วยอคติต่อกัน แม้แต่ฝ่ายค้านและรัฐบาล ได้อยู่ในเวทีปิดท่ีจะพูดคุยกัน อาจจะไม่ใช่ เร่ืองกฎหมายอย่างเดียว อาจจะทาความเข้าใจกันเร่ืองอ่ืนๆ เพื่อท่ีจะนาไปสู่การแก้ปัญหาความปรองดอง ท่ียากขน้ึ ไปอกี ในขน้ั ตอ่ ไป นายกรัฐมนตรี ถือเป็นผู้นาทางการเมืองท่ีมีอานาจตามกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญ และท่ี สาคัญก็คือผมว่าท่านมีบารมีมากพอสมควร ถ้าพูดอย่างไม่อคติต่อกัน และเรื่องที่จะพาประเทศไปสู่ การแก้ปัญหาท่ียากย่ิงข้ึนไป การเปล่ียนแปลง การปฏิรูป การปฏิบัติตามแผนยุทธศาสตร์ชาติท่ีวางไว้ อยา่ งสวยงามก็ตามแต่ ถ้าท่านทาตรงน้ีบารมที า่ นจะเพมิ่ มากขึ้น ท่านจะไดใ้ จ ได้ใจแมแ้ ตค่ นท่ีคิดตา่ งกบั ท่าน จากแผนแม่บทยุทธศาสตร์ชาติ คิดว่าการนิรโทษกรรมมันจะเป็นจุดคานงัดของสังคม จุดหนึ่ง ใครจะมาลดทอนบารมีของท่านก็ยาก เพราะท่านกาลังทาสิ่งท่ียาก ยอมรับว่าท่านจะไม่ทาก็ได้ ยึดถือ

๒๒ ว่ากฎหมายตอ้ งเปน็ กฎหมาย การปรองดองไม่เก่ียวกับการนิรโทษ ตามทห่ี ลายคนก็อาจจะคดิ อยา่ งนี้ ถา้ จะคิด อย่างน้ีผมว่าไม่มีปัญหาอะไร สังคมก็ไม่ได้วิบัติไปในช่วงข้ามคืน แต่ว่าท่านนายกฯ ท่านกาลังเสียโอกาส ครั้งสาคัญนะ นี่มันคือช่วงหัวเล้ียวหัวต่อจากช่วงนี้ถึงปลายปีนี้ ถ้าทาตรงนี้ได้ ป้ายที่ท่านเขียนว่า “รวมไทยสร้างชาติ” มันจะไม่ใช่แค่ป้าย แต่มันคือจุดเร่ิมต้นท่ีจะเดินหน้าไปสู่ความจริงได้ คนที่ทาอย่างนี้ได้ ไม่อยากจะพูดว่ามันจะยกระดับตัวท่านไปสคู่ วามเป็นรัฐบุรุษหรอื ไม่ แต่มันมีโอกาส เพราะมันเป็นการทาเร่ือง ท่ียาก และทาเรอื่ งที่ตอ้ งใชค้ วามกล้าหาญ และผมไม่คดิ ว่ามนั จะทาไดด้ ้วยการที่ ส.ส. หรอื ประชาชนเข้าช่ือกัน เสนอรา่ งกฎหมาย มันทาได้แต่โอกาสสาเร็จมันยาก ใชเ้ วลายาวนาน อยากเหน็ นายกรฐั มนตรีออกมาจับเขา่ พูดคยุ กับประชาชนด้วยภาษากายภาษาใจของท่าน ถ้าท่านตกผลึกที่จะทากฎหมายนิรโทษกรรม ท่านก็ต้องเล่าให้ประชาชนบ้างว่ากาลังทากฎหมายท่ียากลาบาก ที่สุดในช่วงชีวิตของประเทศ คุณทาข่าวอยู่คุณก็รู้ว่าช่วง ๓ ปีน้ี อารมณ์ของคนมันกดดันนะครับ และความ กดดันแบบนี้มันเปลี่ยนแปรผันได้เร็ว กรณีทหารอียิปต์เป็นตัวอย่างโดยเฉพาะในโลกออนไลน์ เพราะฉะนั้น ความม่ันคงท่ีดูเหมือนท่านนายกฯจะม่ันคงอยู่ในปัจจุบัน ผมว่ามันยังไม่ใช่ของจริง ด้วยความเคารพนะครับ ท่านนายกฯจะเห็นด้วยเห็นต่างไม่รู้ มันต้องสร้างรากฐานด้วยนโยบาย หรือการปฏิบัติการทางการเมืองที่เป็น เรือ่ งใหญ่จรงิ ๆ และผมเช่ือว่าเรอื่ งนเ้ี ป็นเรอื่ งทีค่ ้างคาใจของสังคมมานาน ๗. นายสรุ ยิ ะใส กตะศลิ า ให้ความเห็นว่าบริบททางการเมืองของสังคมเปล่ียนไปมากพวกเราเคยอยู่ในสนาม การต่อสู้ซ่ึงเป็นตัวละครหลักของบริบททางการเมืองช่วงทศวรรษกว่าที่ผ่านมาพวกเราแบ กรับทุกอย่างเข้าสู่ กระบวนการทาอย่างตรงไปตรงมา กระทง่ั ปลายน้าตดิ คุกตดิ ตะราง เม่อื วานก็ไปช้ีแจงกรรมาธิการของวุฒิสภา ชุดแก้ปัญหาความเหล่ือมล้าว่าอยู่ในคุกเป็นอย่างไร อยู่อย่างไรก็อธิบายให้ฟังปัญหาในคุกเยอะ เม่ือพูดถึง ระบบยุติธรรมไม่ใช่คาพิพากษาเท่าน้ันต้องไปต่อในคุกในตารางกรรมาธิการขนาดนั้น จะทาเสนอรัฐบาล เฉพาะกรณีการบ้านการเมืองจะยังไม่ไปเร่ืองนิรโทษกรรม คิดว่า ยืนของทุกคนท่ีหารือเรื่องนี้เกือบ ๒๐ คร้ัง และพบผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ท้งั อดีตนายกรัฐมนตรี อดตี ประธานวุฒิ สภากรรมาธิการยกร่างธรรมนูญ อดตี ตลุ าการ ศาลรัฐธรรมนูญ คณะทตู สื่อมวลชนอาวุโสผู้ นาทางสงั คมประมาณกว่า ๒๐ เวที ความเห็นที่หนง่ึ มองวา่ วิกฤตกิ ารเมืองทผ่ี า่ นมาหนักหนาสาหสั แลว้ เพ่ิมเหตกุ ารณท์ างโควิด เข้าไปอีก ถามต่อว่าประเทศจะไปกันต่ออย่างไรมันไปยากแล้วปรับคณะรัฐมนตรีคร้ังปัญหาการอยู่ที่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ บวกกับวิกฤตโควิด เฟสสองจะมาเมื่อไหร่จะเอาอยู่แบบเบ็ดเสร็จไหมวัคซีนตกลงปีน่าจะปลายปีหน้าทุกอย่าง มีความเส่ยี งหมดความเสีย่ งแบบนี้ประเทศจะผา่ นไปได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝา่ ยเราเรยี กวา่ ปรองดอง สามัคคีรวมไทยสร้างชาติแบบที่นายกรัฐมนตรใี ช้ หรือหลอมรวมตามแนว ดร. อาทิตย์ฯ ใช้ แต่ความหมายคือ เราปล่อยให้บ้านเมืองเผชิญหน้ากันแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด ท่ีสาคัญท่ีสุดเราต้องยอมรับความจริงกันว่าทศวรรษใหม่ จากน้ีไปความขัดแย้งใหม่เกิดข้ึนเช่นการเดินขบวนของหนุ่มสาวนิสิตนักศึกษารอบใหม่โจทก์เปล่ียนไปแล้ว คนรุ่นใหม่สมัยน้ีโตมาอีกแบบหน่ึงความฝันความอ่านทางการเมืองก็อีกแบบหนึ่ง ฉะนั้นถ้าเราไม่พยายามถอดฟืน ลดอุณหภูมิทางการเมืองผมเป็นห่วงมันอาจผสมโรงกันจนสุดท้ายคุมกันไม่อยู่แล้วจะเป็นปัญหาท่ีหนักกว่า ๑๐ กว่าปีท่ีผ่านมาท่ีพวกเราเผชิญกันก็ได้ฉะน้ันการตั้งหลักคิดเร่ืองรวมไทยสร้างชาติผมและคุณจตุพรและ พ่ีน้อง นปช. เองพ่ีน้องเสื้อเหลือง กปปส. อีกหลายกลุ่มคุยกันไม่เป็นทางการคิดว่านโยบายนายกรัฐมนตรี เร่ืองรวมใจไทยสร้างชาติหน้าจะเป็นเป้าหมายเดียวกันกับเร่ือง การปรองดองได้ส่วนรูปแบบจะเป็นอย่างไร คงต้องยกยอดให้ท่ีประชุมว่ากันไปพวกผมอยู่ในฐานะที่มีส่วนได้ เสียการไปพูดเร่ืองนี้คุณจตุพรกับผมแทบจะทา MOU ว่าจะไมพ่ ดู เร่ืองนี้กันเพราะว่าเราคิดวา่ เร่ืองนี้ต้องเคารพความเห็นของสังคม เวทีไหนเชญิ ไปแลกเปล่ียน ก็ยนิ ดี

๒๓ ประเด็นที่สอง เร่ืองความเกลียดชังท่ีแสดงออกผ่านส่ือโซเชียลหรือผ่านการเคล่ือนไหว หลากหลายในขณะนี้คิดว่าเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงมากเมื่อวานส่ือมวลชนวิทยุช่องหนึ่งสัมภาษณ์ผม และถามวา่ ในฐานะท่ีมีบทเรียนในการต่อสู้ทีผ่ ่านมาพอจะมีอะไรแนะนาน้องน้องได้ไหมผมบอกว่าแนะนาไม่ได้ เพราะวิธีการเคล่ือนไหวคนละแบบกับที่พวกผมทา เร่ืองโซเชียลผมไม่ถนัดเล่นเป็นแต่ท้ายแถวและ วิธีแสดงออกคนละเรื่อง ภาษาคนละอย่างเร่ืองเฮดสปีด เรื่องความหยาบคายก้าวร้าวพวกผมระมัดระวังที่สุด อยูแ่ ลว้ ความรุนแรงไม่ได้แสดงออกทางรา่ งกายทางวาจาด้วยเปน็ เร่ืองละเอียดอ่อนทจี่ ะไปแนะนาให้ความเห็น ถ้าไม่ฟังก็โดนด่ากลับขอโนคอมเม้นต์ดีกว่า เรื่องนี้เป็นเร่ืองหน่ึงที่ต้องช่ืนชมกรรมาธิการด้วยท่ีขณะน้ี ประธานคณะกรรมาธิการประธานคณะอนุความสาคญั ขยายกรอบของคณะอนนุ ้ีมาพจิ ารณาเรื่องนี้ด้วย ประเด็นที่สาม มิติความสัมพันธ์ของพวกเรากับพ่ีน้องเส้ือแดงคนติดคุกกันมาแล้วไม่ใช่ ให้เราติดคุกแล้วมาบอกว่าพอแล้วคุณจตุพรในอุดมคติทางการเมืองอนาคตอาจทางานด้วยกันหรือเผชิญหน้า กันอีกเราผ่านเรือนจามาเห็นคนเจ็บคนตายพวกเราขึ้นโรงขึ้นศาลลุงจาลองทุกวันนี้ผมต้องทาหน้าที่ ไปสืบพยานแทนแล้วเพราะความจา จาไม่ได้แล้วปีนทาเนียบเมื่อไหร่ถูกตารวจตีตรงไหน ปิดเวทีดาวกระจาย วนั ไหนชวี ิตตอนนมี้ แี ต่สอนหนังสือกับขึน้ ศาลแบ่งเวลาแค่น้นั น่ันเป็นหน้าท่ีความรับผิดชอบทต่ี ้องพสิ จู น์คาถาม ท่ีออกจากเรือนจาคือเสื้อแดงติดคุกมากกว่าเสื้อเหลืองคดีหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ ๔ ชั่วโมงทาไมติดคุกสามปี เสื้อเหลืองยึดทาเนียบสามเดือนทาไมโดนแค่แปดเดือนถ้าเปรียบเทียบแบบไม่รับผิดชอบอะไรมันตอบยาก แต่คดีแพ่งท่ีโดนพ่ีตู่โดน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ พ่ีตู่บอกพ่ีอายใสเพราะใสโดนเกือบ ๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ แล้วแต่ ตกชะตากรรมเดียวกันโดนดาเนินคดีอายัดบัญชีสักพักนาไปสู่การล้มละลายไม่นับความผิดทางการเมืองสิทธ์ิ ที่จะเลือกตั้งสิทธ์ิท่ีจะดารงตาแหน่งทางการเมือง ๑๐ ปีคนอาจจะลืมประเด็นนี้ไปคนที่เห็นต่างทางการเมือง ถา้ ไม่ถงึ ข้นั ถือปนื มาไล่ยงิ กันความผิดทเี่ กิดไม่ได้เป็นความชั่วในตวั เองผมคดิ ว่าไมค่ วรเอาเขาไปขังคุก ไม่วา่ สีใด มากกว่านั้นเอาไปปะปนกับนักโทษข่มขืนฆ่าคนตายนอนปนกันอยู่เม่ือวานก็แจ้งทางรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และกรรมาธิการของวุฒิสภาว่าอาจจะต้องแยกเรือนจาของคนท่ีโดนคดีทางการเมืองกับคดีอาญาออกให้ เบ็ดเสร็จความคิดปรารถนาของคนต่อเรือนจากับโรงพยาบาลเหมือนกันคือทาหน้าท่ีบาบัดคนและปล่อยคน กลับสู่สังคมแต่กระบวนการ บาบัดของคุกกับโรงพยาบาลคนละเรื่องกันโดยโรงพยาบาลยังแย่ผู้ป่วยผ่าตัด ฉุกเฉินออกไปคืนแรกผมต้องนอนกับหนุ่มท่ีเพิ่งตีเมียตายด้วยไม้เบสบอลผมก็เสียวสันหลังมาเล่าให้คุณจตุพร ฟังกห็ ัวเราะกนั ไปแต่ความสาคัญท่ีอยู่ในนั้นยากเกินบรรยายนะครับเราตดิ ออกมาก็ไม่อยากให้เพื่อนติดแต่นี่คือ ตัวอยา่ งหน่ึงที่จดุ ทพ่ี วกเราคุยกนั ได้ทกุ เรอ่ื งและถ้าจะบอกว่าเห็นต่างทุกเร่ืองไมจ่ ริง . ของ นปช. และพันธมิตร และ กปปส มีจุดเดียวกัน คือไม่ต้องการเร่ืองการทุจริตต้องการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนผมพูดตลอด ว่าเวลามอง นปช. อย่ามองแต่แกนนามองพันธมิตรก็อย่ามองแต่แกนนาต้องมองการลุกขึ้นต่อสู้ของชาวบ้าน มีการศึกษาก็ตน่ื ตัวมาชุมนุมถือเป็นสิทธิ์พ้ืนฐานสรา้ งประชาธิปไตยของประชาชนคันต้นโจทก์ก็สาคญั คือจะทา ให้พลังบวกกลายเป็นพลังแผ่นดินรับมือกับทุกอย่างอย่างไรท้ังโควิด ปัญหาการชุมนุมรอบใหม่ท่ีวิเคราะห์ยาก มารู้ท้ังรู้ว่าคิดอะไรกันแต่มันเกินกว่าจะพูดกันได้ในบางเรื่องได้แต่ห่วงใยสังคมถึงวันนี้ผมขอบคุณกรรมาธิการ ล่วงหน้าท่ีเห็นความสาคัญจะพักดันไปไกลแค่ไหนผมก็คุยกันว่าฝ่ายการเมืองทาเต็มที่แล้วไปไม่ได้ต่อไป เป็นหน้าท่ีของประชาชนท่ีจะต้องปรองดองในหมู่ประชาชนแต่ยังคิดไม่ออกว่าจะทาอย่าง ไรก็ยินดีมารับฟัง และแสดงความคดิ เห็นตอ่ กรรมาธิการทุกทา่ น ๘. นายสาราญ รอดเพชร กล่าวต่อที่ประชุมวา่ ทผ่ี ่านมาไม่เคยให้สัมภาษณเ์ ร่ืองแบบน้ีเพราะมีส่วนได้เสยี ในคดีเยอะ ทั้งแพ่งทั้งอาญา บางคนมองด้วยความเห็นใจ บางคนมองว่ายอมจานนหมดราคา พูดไปก็มีแต่เสียแต่วันน้ี พูดจากหัวใจจริงฟังคุณคานูณอภิปรายในสภาวันนั้น คุณคานูณไม่มีส่วนได้เสียแต่มองปัญหาใจกลางของ

๒๔ ประเทศคือกล้าโพสต์ว่าเรามาถึงจุดท่ีต้องทาอะไรบางอย่างโน้มเอียงมาทางรัฐบาลว่า เราต้องการตัดสินใจ ทางการเมืองหรอื ทางการบรหิ ารราชการแผ่นดินเพื่อรวมใจไทยสรา้ งชาติขอสรุปความเหน็ ตามเอกสารชว่ งแรก กล่าวถึงสาเหตุความขัดแย้งในห้วงทศวรรษเศษท่ีผ่านมาและบอกว่าจริง ๆ การรัฐประหารสองคร้ังสุดท้าย ทั้ง ๑๙ กันยา ๔๙ และ ๒๒ พฤษภา ๕๗ ต้นเหตุสาคัญมาจากปัญหาการบริหารบ้านเมืองการทุจริตโกงกิน การจาบจ้วงสถาบัน การขาดธรรมาภิบาลนามาซ่ึงการชุมนุมของประชาชนอีกฝ่ายชุมนุมอีกฝ่ายเกิดขึ้นจาก การเมืองหรืออะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายมีการห้าหั่นกันจบลงด้วยการรัฐประหารครั้งแรก ๑๙ กันยา ๔๙ เพราะพันธมิตรชุมนุม ๒๐ กันยา อีกคร้ัง ๒๒ พฤษภา ๕๗ กปปส ชุมนุม ผมก็เข้าร่วมเลยโดนคดีเยอะ ๒๒ พฤษภา ๕๗ ผมนักข่าวความมั่นคงสมยั พลเอกเปรมฯ สมยั ปี ๒๓ ปี ๒๕ ผมทาขา่ วมาแลว้ ปี ๕๗ ถา้ บก๊ิ ตู่ ไม่ออกมายุติความขัดแย้งมีโอกาสจะเกิดสงครามทางการเมือง น่ันคือรัฐประหารเข้ามาเข้ามาแล้วทาได้ หรอื เปล่าอยู่ยาวเกนิ ไปหรือเปล่าแต่มองเฉพาะจุดที่เขา้ มาจะปฏริ ูปจะปรองดองจะสมานฉันท์ หลังปี ๕๗ แล้ว ปี ๕๘ พบกับคุณสุริยะใส พ่ีน้องเสื้อแดง นปช. เราอยู่ภายใต้ความร่วมมือของศูนย์ปรองดองของกองทัพบก กองทัพบกจะให้ไปพบประกันสร้างความรู้ความเข้าใจแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซ่ึงกันและกัน หอประชุมกองทัพบก วภิ าวดกี ็ไปทางกองทพั สรา้ งความปรองดองในช้ันตน้ นาไปสู่การสร้างความปรองดองสมานฉนั ท์ แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งเราน้ันยังไม่ถึงหูนายกรัฐมนตรี ส่วนสมัยสภาปฏิรูปแห่งชาติ ของท่านอเนก เหล่าธรรมทัศน์ ทารายงาน มีการสอบถามความเห็นเพื่อถามข้อมูลออกมาเป็นสามแนวทางซ่ึงเห็นด้วยกับรายงานชุดน้ันต้องให้อภัย การนริ โทษกรรมดีดตี อนทา้ ยของรายงานไม่คืนอายที่จะพูดว่าถึงเวลาแลว้ ทต่ี ้องใช้ความกล้าหาญสมัยพลเอกเปรม ใช้คาสั่งนายกรัฐมนตรีท่ี ๖๖ / ๒๕๒๓ คนป่าคืนเมืองเหตุการณ์จบจริงตรง ๒๕๓๒ พลเอกชาติชายฯ ออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ผู้ท่ีคาดหวังเหตุการณ์ก็ฆ่าคนตายเสียงปืนแตก ๒๕๒๕ เสียงปืนจบลง แต่ปี ๒๕๒๓ พลิกฟ้าคว่าแผ่นดิน เพราะมีคาสั่งสานักนายกรัฐมนตรีรัฐบาลควรเดินแนวทางแบบน้ีแล้ว จะนาไปสู่ความกล้าหาญในการตรากฎหมายคนจะได้อานิสงส์จะต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธ รรมแต่ต้องยกเว้น คนโกงบ้านกินเมืองคดีทุจริตคดีอาญาร้ายแรงไม่ควรได้รับอานิสงส์การตรากฎหมายการนิรโทษกรรม มีการปฏิรูปยุทธศาสตร์ชาติเวลาอย่างเดียวเยียวยาไม่ได้ทั้งหมดความเกลียดชังต้องสลายโรงเล่ือยคือปัญหา บา้ นเมอื งอีกหลายด้าน ๙. นายพิภพ ธงไชย กล่าวว่าขอเสนอการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของแอฟริกาใต้ใช้เวลากว่า ๓๐ ปีสามารถ ลดความเกลยี ดชัง มผี วิ ดามากทุกวนั น้ียงั ลามไปท่ีอเมริกา ท่ีระวนั ดามกี ารฆ่ากัน ที่ประเทศไทยคือแก้ไขปัญหา ความขัดแย้งคือสมัยพลเอกเปรม ท่ีออกคาส่ังสานักนายกรัฐมนตรีที่ ๖๖ / ๒๕๒๓ ประเด็นท่ีออกคาส่ัง จะขจัดความขัดแย้งและความเกลียดชังในพรรคคอมมิวนิสต์ท่ีมีความกับการปกครองประเทศกลับมาคิดถึง ความขัดแย้งในช่วง ๑๐ ปีท้ังสามฝ่ายพันธมิตร นปช. และกปปส เราได้พูดเร่ืองปรองดองและนิรโทษกรรม ทาไมไม่ใชก้ ระบวนการทางกฎหมายการทาผิดกฎหมายใหญ่ คอื ทหารคือการฉีกรัฐธรรมนูญ ถ้าหาไดม้ ีอานาจ นริ โทษกรรมตวั เองทุกครัง้ แตน่ ้อยครง้ั ท่จี ะนริ โทษกรรมประชาชน รฐั บาลนายกอภิสทิ ธิ์ไดร้ ิเร่ิมตามแอฟริกาใต้ ได้ต้ังคณะกรรมการมีคุณอานันต์ ปันยารชุน มีหมอประเวศ วสี และมีอดีตอัยการสูงสุดโดยเฉพาะทีมของ อาจารย์คณิต เป็นการตั้งโดยคาส่ังนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีเท่านั้นเม่ือรัฐบาลยุบสภาก็สลายไปผิดกับ ของบาทหลวงตูตู้ ของแอฟริกาแนวคิดของรัฐบาลไทยแทนที่จะทาแบบแอฟริกาใต้โดยให้ผู้ชุมนุมเข้าไปหา ความจริงในศาลค้นหาความจริงจุดอ่อนเราคือคดีอาญาเข้าไปท้ังท่ีธรรมนูญทุกฉบับได้บอกว่าประชาชนมีสิทธิ์ ชุมนุมอย่างสงบและสันติ แต่เวลานาประชาชนที่ต่อสู้ใช้คดีอาญาหมดเลย ท้ังท่ีใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ใช้คดีอาญาผลักผู้ชุมนุม ไม่สามารถแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองได้เลยยกเว้นคดีทาเนียบพลตรีจาลอง มีโอกาสได้แสดงเจตนารมณ์ของพันธมิตรว่าเค้ายึดทาเนียบรัฐบาลด้วยเจตนารมณ์ทางการเมืองอะไรแต่ศาล

๒๕ ไม่เอาเร่ืองนี้มาพิจารณาใช้คาว่าบุกรุกได้ปรึกษากับด็อกเตอร์กิตติศักด์ิ ปกติ บอกบางทีอาจต้องมีการ แก้กฎหมายให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิ์ชุมนุมโดยสงบสันติภายใต้สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญให้กระบวนการ พจิ ารณานาเรื่องสทิ ธใิ นการชมุ นุมโดยสงบและนามาใช้ในศาล ๑. เสนอเร่ืองระเบียบวิธีการพจิ ารณาคดชี มุ นมุ ตามสิทธติ ามรัฐธรรมนญู ๒. ช่วงน้ีโชคดที ม่ี กี ารเปดิ ประเด็นการปรองดองแบบนิรโทษกรรม แนวทางการกระทาผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ นามาใชไ้ มไ่ ด้ ๓. กระบวนการอานาจรัฐใช้กระบวนการศาลตลอดโดยตารวจที่เป็นหัวหน้าพนักงาน สอบสวนบอกว่าพวกผมเป็นผู้ก่อการดีถูกปลด กปปส เมื่อมีการตัดสินคดีบ้านพลเอกเปรมมีคนพยายาม พูดบิดเบือนว่า ๔ ช่ัวโมงติดคุกส่ีปีตกเลยโดนคดีแพ่งด้วยและถูกตัดสิทธิ ทุกอย่างห้าปีการติดคุกติดตะราง ไม่ได้เปล่ียนความเกลียดชังประเด็นไม่รถโทษยกเลิกโทษนะวันนี้ต้องพิจารณาเร่ืองการปองดองนิรโทษกรรม เพื่อพุ่งเป้าไปท่ีการสลายความเกลียดชังใช้วิธีไหนก็ได้ไม่นิรโทษกรรม พักคดีก่อนก็ได้ถ้าต้ังกรรมาธิการร่วม ระหว่างวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาจะเป็นการประสานความปรองดองยิ่งขึ้นและสถาบันหลัก กจ็ ะเป็นสถาบันของทุกฝ่ายทุกสี ๑๐. นายประสาร มฤคพิทักษ์ ไม่มีส่วนได้เสียมีแต่ผลได้ กับคาสั่งสานักนายกรัฐมนตรีท่ี ๖๖ /๒๕๒๓ เข้าป่าห้าปี คืนเมืองปี ๒๕๒๔ ด้วยนโยบาย ๖๖ / ๒๕๒๓ และได้รับนิรโทษกรรมตามมาสมัยพลเอกชาติชายทาให้ ไม่โดนคดีทางการเมืองแนวทางการปรองดองมีเปิดสไลด์ สร้างสานสามัคคีธรรม สังคมไทยขัดแย้งหรือ ความแตกต่างทางการเมืองมา ๑๐ ห้าปีแล้วการต่อสู้เรียกร้องที่มีมวลชนขนาดใหญ่จะมีความสูญเสียผู้ต้องหา คดีปี ๔๘ และปี ๕๗ ติดคุกพ้นโทษ เสียชีวิตมาแล้ว ดีก่อการร้ายบาดเจ็บพิการทนทุกข์ทรมานถูกยึดทรัพย์ ศรัณยูวงษ์กระจ่าง จาลองศรี เทิด ภูมิ ใจดี ถูกล้มละลายทาธุรกรรมทางการเงินไม่ได้รัฐประหารทุกครั้ง มีการนิรโทษกรรมให้กับขณะท่ีทาการรัฐประหารคาส่ังสานักนายกรัฐมนตรีท่ี ๖๖ / ๒๕๒๓ ทาให้กลับบ้าน โดยไม่มีความผิดใดใดความเห็นต่างทางการเมืองไม่ควรเอาเป็นเอาตายควรใช้เมตตาธรรมนาทางวิธีการ ต้องวางกรอบเกณฑ์ให้ทุกภาคส่วนยอมรับเปิดโอกาสให้เป็นกฎหมายปฏิรูปสามารถ เสนอต่อทุกภาคส่วน ภารกจิ นี้อย่ทู ่ีนายกรฐั มนตรแี ละรฐั บาล เสนอใหน้ ายกฯรัฐมนตรีใช้ความกล้าหาญทางจริยธรรม ตน้ ปที ีผ่ ่านมา มีคดีนายแพทย์ ระวี มาศฉมาดล และนายสมเกยี รติ พงษ์ไพบูลย์ กลุ่มแกนนากองทัพประชาชนและเครือข่าย ปฏิรูปพลังงานไทย ที่เข้าไปยึด ปตท กระทรวงพลังงานศาลตัดสินให้ชดใช้ ๑๐๐ กว่าล้าน น้ันแต่ทุกภาคส่วน ชว่ ยกันสดุ ท้าย ปตท ไม่เอาผดิ ๑๑. นายจตพุ ร พรหมพันธุ์ กล่าวว่า ผมเหมือนหลายคนใครชวนไปคุยเร่ืองปรองดอง ความสมานฉันท์ให้เกิดข้ึน ภายในชาติจะไปร่วมทุกคร้ังคราว สังคมไทยมีบทเรียนมากมายท่ียากสุดคือ ทาให้คนดีกัน สมัครสมานสามัคคีกัน สงิ่ ที่ง่าย คือ ความขดั แย้ง ความคิดทีแ่ ตกตา่ งทางการเมืองในชว่ งเวลาหนึ่งทาใหแ้ สดงออกตามสิทธเิ สรีภาพ กรณีผมกับท่านพุทธอิสระ ท่านเข้าตามไปอยู่ในคุก สุดท้ายมาเจอกัน ทางเรือนจาจัด พื้นท่ีพิเศษให้คุยกัน ๓ เดือน สรุปความว่าเพราะเรายืนกันคนละมุม เรามองภาพเดียวกันจึงเห็นไม่เหมือนกัน ทุกอย่างตา่ งมีความเอือ้ อาทร ผกู พนั กันจนทกุ วนั น้ี ในการพูดคุยก่อนยึดอานาจ ผม คุณสุเทพ นปช และ กปปส สุดท้ายก่อนยึดอานาจผม เช่ือว่าการพูดคุยกันคือทางออกที่ดีที่สุด ประวัติศาสตร์สังคมไทย ๑๐ กว่าปีท่ีผ่านมา การพูดเร่ือง ความปรองดองเป็นการทาให้ไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีใครทาสาคัญไม่ได้ เน่ืองจากคู่ขัดแย้งแก่ผู้มีอานาจไม่ทาจริง

๒๖ ในหลวงรัชกาลท่ี ๑๐ มีพระบรมราโชบายหลายคร้ังเรอ่ื งความรัก ความสามัคคี ความปลอดภัยของคนในชาติ แนวทางแหง่ ความสงบ สดุ ทา้ ยข้อสรปุ มคี วามเหน็ แตกตา่ งกนั ความขัดแยง้ บางคนย่ิงตา่ งกนั ก่อนออกคาส่ังสานักนายกรัฐมนตรีท่ี ๖๖/๒๕๒๓ ผา่ นการพูดคุยจากทุกฝ่ายเสียงปืนแตกท่ี บ้านนาบัว ปัจจุบันความขัดแย้งท่ีน่ากลัวกว่าหากเก่ายังอยู่ใหม่น่ากลัวกว่า เวลาที่ฝ่ายใดติดคุกอย่าสะใจ อย่าต้ังคาถามว่าใครติดคุกมากกว่ากัน น้อยกว่ากัน เพราะควรต้ังความเช่ือว่าการต่อสู้ทางการเมืองไม่ควร ต้องมีใครติดคุกหรือตาย บาดเจ็บ แต่ระบบความยุติธรรมปฏิบัติกับคนชุมนุมกับคนก่ออาชญากรรม สังคมน้ี ไม่ควรอยู่ท่ามกลางความเกลียดชัง ปัญหาทางเศรษฐกิจจะหนักท่ีสุด หากยังไม่คิดออกนอกกรอบเราจะเจอ วิกฤตการณท์ ี่ยากทสี่ ุด การจะคิดเร่ืองอะไร วางหลักไว้อยา่ เอาตวั บคุ คลมาเปน็ ประเด็น เร่ืองกรณีมาตรา ๑๑๒ มีกรณีมากมาย หลังจากรัชกาลท่ี ๑๐ ไม่ดาเนินคดี ๑๑๒ ใด ๆ ทงั้ นี้ และคดที เ่ี กดิ ข้ึนก่อนหน้าน้ี ถ้าตารวจยังไม่ส่งั ฟ้องไม่ฟ้อง ถ้าอยใู่ นกระบวนการศาลกต็ ดั สินยกฟ้องมีพรรคพวก ถูกดาเนินคดี ๑๑๒ ไม่ประสงค์จะสู้คดีก็แจ้งศาลว่าสารภาพศาลไปหารือกลับมาถึงสานักพระราชวัง อ่านคาตัดสิน ในคาวินิจฉัยแสดงให้เห็นว่าท่านไม่ประสงค์จะเอาความใด ๆ ในการอ่านคานิจฉัยบอกว่า “แม้ว่าจาเลยจะให้ การรับสารภาพ ศาลก็มิอาจจะลงโทษจาเลยได้ และคดี ๑๑๒ อื่น ๆ ไม่ไม่ส่งฟ้องและเวลาพระราชทานอภัยโทษ มีมาตราแนบท้าย ๑๑๒ ไม่มีบัญชีแนบท้ายเลย มีอีกหลายกรณีท่ีเล่าไม่ได้ ณ ที่น้ี คดีอาญาท่ีเกี่ยวเน่ืองกับ คดีการเมืองอดีตคอมมิวนิสต์ทั้งฆ่า ท้ังเผา การให้ต้องใจใหญ่ ให้สังคมสบายใจด้วย คู่ขัดแย้งเดิมจะซวย ค่ขู ัดแย้งใหม”่ ๑๒. นายชวลิต วิชยสทุ ธิ์ “ชวลติ ” ช้ี ถงึ เวลา \"ปรองดอง\" ร่วมกนั สรา้ งบา้ น แปลงเมอื ง ผมศึกษาและประทับใจหลักคิดของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในการเสนอนโยบาย “การเมืองนาการทหาร” ต่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในขณะน้ัน จนออกมาเป็นคาสั่ง สานักนายกรัฐมนตรี ที่ ๖๖/๒๓ เร่ือง นโยบายการเมืองนาการทหาร สามารถยุติสงครามภายในที่คนไทย รบราฆ่าฟันกันเองมานานนับสิบปีลงได้ ส่งผลให้เกิดผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย นาคนออกจากป่าสู่อ้อมอก ของครอบครัว ญาตพิ น่ี อ้ ง รว่ มพฒั นาบ้านเมืองมาจนทุกวันน้ี การรฐั ประหารเม่ือ ๒๒ พ.ค.๕๗ ขอ้ อา้ งประการหน่ึง นอกเหนือจากการรักษาความสงบเรยี บร้อยในบ้านเมืองก็ คอื การสร้างความปรองดองของคนในชาติ ผมเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหาร ที่บัดน้ีมาเป็น นายกรัฐมนตรีรอบท่ีสอง ควรแสดงภาวะผู้นา เม่ือเรียนผูก ก็ควรเรียนแก้ปัญหาของประเทศ ไหน ๆ ก็มี ผู้จุดประเดน็ ขา่ วการสรา้ งความปรองดองข้ึนมาอกี ครงั้ ในฐานะทผี่ มให้ความสาคัญกับเรื่องนี้มานานเพราะการ สร้างความปรองดองของคนในชาติ คือ หวั ใจของการสรา้ งชาติ สร้างแผน่ ดนิ ดงั กล่าวขา้ งตน้ หลักคิดของผมในเร่ืองนี้ก็ คือ ผู้นาประเทศควรน้อมนาคุณธรรมทางศาสนามาใช้ในการ สร้างความปรองดองของคนในชาติ โดยคุณธรรมทางศาสนาท่ึสาคัญน้ัน ได้แก่ \"อภัย และเมตตา\" เพ่ือให้อภัย และเมตตาแกบ่ ุคคลทตี่ อ้ งคดกี ารเมือง และคดอี าญาท่เี ก่ียวเนอื่ งกับการเมือง ยกเวน้ คดีทจุ รติ แต่กระบวนการ กล่าวหาว่า ผู้ใดทุจริต กระบวนการนั้นก็ต้องยืนอยู่บน \"หลักนิติธรรม\" ถึงจะได้รับการยอมรับจากนานา อารยประเทศ ท่ีสาคัญไดร้ ับการยอมรบั จากผู้ถูกกล่าวหา ขณะน้ีท่ัวโลกเกิดวิกฤตจากการระบาดของไวรัสโควิด ส่งผลเสียหายต่อประเทศชาติ และประชาชนมหาศาลท้ังทางด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะจะมีคนตกงานนับสิบล้านคน ธุรกิจต่าง ๆ ปิดกจิ การมากมาย ดังนั้น การสร้างความปรองดองของคนในชาตใิ นหว้ งเวลาน้จี งึ เป็นหว้ งเวลาท่ีเหมาะสมที่สุด เพอ่ื ระดมกาลงั ความคิด สตปิ ญั ญาจากทุกภาคสว่ นมาช่วยกนั แก้ปัญหาและพัฒนาชาติบา้ นเมือง

๒๗ ผมเห็นวา่ \"มะมว่ งสกุ แล้ว\" ไมอ่ ่อน จนเปรย้ี ว และถา้ ปลอ่ ยใหส้ ุกเกนิ ไป กจ็ ะเน่า จาก https://www.thansettakij.com/content/politics/๔๓๘๘๗๘ ชวลติ ปัดเสนอนิรโทษเหมาเขง่ ย้าเรยี กร้องความปรองดองในชาติ วันท่ี ๒๐ ม.ิ ย. ๒๕๖๓ เวลา ๑๒:๕๐ น. “ชวลิต วิชยสุทธิ์” เช่ือไม่มีผู้นาประเทศคนไหนไม่อยากเห็นบ้านเมืองสงบสุข ปฏเิ สธเสนอนิรโทษกรรมเหมาเขง่ และรัฐบาลแหง่ ชาติ นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส. นครพนม พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ช่วงเดินทางกลับพื้นที่ นครพนม ชาวบ้านเชียร์แนวคิดการสร้างความปรองดองของคนในชาติเพียบ ไปทางไหนก็มีแต่คนสนับสนุน ผมเชื่อโดยสุจริตใจว่า ไม่มีผู้นาประเทศคนไหนไม่อยากเห็นบ้านเมืองของตนเองสงบสุข เลิกแบ่งฝัก แบ่งฝ่าย แต่ก็ไม่ใช่เออออห่อหมก ร่วมมือกันกินบ้าน กินเมือง ยังต้องทาหน้าท่ีตรวจสอบ ถ่วงดุลซึ่งกันและกัน ตามระบอบประชาธิปไตย อย่างไรกต็ าม ก็คงต้องทาความเขา้ ใจกบั นักวิชาการบางท่านทเ่ี ห็นว่า ผมไดเ้ รยี กรอ้ ง ให้รัฐบาลนิรโทษกรรมแบบ\"เหมาเข่ง\" และเรียกร้องให้มี\"รัฐบาลแหง่ ชาติ\" นั้น เป็นการกล่าวเกินเลยความจรงิ ไปมาก จึงขอปฏิเสธมา ณ ท่นี ้ี “เหมาเขง่ ” เปน็ วาทกรรมทบ่ี ดิ เบือน ไมเ่ ป็นความจรงิ ต้ังแต่อดีตจนถงึ ปัจจบุ ัน เพราะไม่มี ประเทศไหนในโลกท่ีจะนิรโทษกรรมคดีทุจริต มีแต่นิรโทษกรรมคดีการเมือง และคดีอาญาที่เกี่ยวเ น่ือง การเมือง ในข้อเท็จจริง ผมเขียนบทความลง fb สองวันติดกัน ในวันที่๑๘ และ ๑๙ มิ.ย.๖๓ เรียกร้องให้รัฐบาลสร้างความปรองดองของคนในชาติ ด้วยการนิรโทษกรรมผู้ต้องคดีการเมือง และคดีอาญา เก่ียวเนื่องการเมือง ยกเว้นคดีทุจริตท่ีกระบวนการกล่าวหาต้องยืนอยู่บนหลักนิติธรรม ไม่มีส่วนไหนเลย ที่ขอนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง และไม่มีข้อความใดเลยท่ีขอให้มีรัฐบาลแห่งชาติ ซึ่ง fb ของผมทั้งสองวัน ดังกล่าวก็ยงั อยู่ ไม่ได้ลบบทความแตอ่ ยา่ งใด สามารถตรวจสอบได้ ผมเป็น ส.ส.ที่มาจากการเลือกต้ังตามระบอบประชาธิปไตย จึงไม่อาจไปเรียกร้องให้มี รฐั บาลแห่งชาตไิ ด้ “ทักษณิ ” อายคุ รบ ๗๑ ขอบคณุ คนอวยพรวันเกิด โพลช้ีคนอยากเปลีย่ นผูบ้ ริหารประเทศ พร้อมเทคะแนนใหพ้ รรคการเมืองใหม่ ส่วนการนิรโทษกรรมผู้ต้องคดีการเมือง และคดีอาญาท่ีเกี่ยวเน่ืองการเมือง ยกเว้น คดีทุจริต ท่ีผมเสนอความเห็นไว้ นั้น ไม่ใช่การนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งแน่นอน ไม่มีประเทศใดในโลก จะนริ โทษกรรมคดที ุจริตได้ ขอเรียนว่า ประเทศที่ประสบความสาเร็จในการสร้างความปรองดองของคนในชาติ ผู้บริหารของประเทศนั้น ให้ความสาคัญกับการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ละอคติส่วนตน มองประโยชน์ ความสามคั คีของคนในชาติเปน็ สาคญั ส่วนการนิรโทษกรรมคดีการเมือง และคดีอาญาท่ีเก่ียวเน่ืองการเมือง หลักคิดก็คือ ความเห็นทางการเมืองท่ีแตกต่างกันไม่ใช่อาชญากรรมร้ายแรงที่จะอภัยกันไม่ได้ ยกตัวอย่าง ในอดีต มีประชาชนท่ีมีความเห็นต่างทางอุดมการณ์ทางการเมืองจนถึงข้ันจับอาวุธรบ ราฆ่าฟันกันนานนั บสิบ ปี มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บล้มตายจานวนมาก สุดท้ายสงครามกลางเมืองยุติลงได้ด้วยการให้อภัยต่อกัน รัฐบาล ในขณะน้ันท่ีมี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ออกคาส่ังสานักนายกรัฐมนตรี ที่ ๖๖/๒๓ เรื่อง นโยบายการเมอื งนาการทหาร สง่ ผลใหเ้ กิดผู้ร่วมพัฒนาชาตไิ ทย บา้ นเมอื งก็กลบั มาสคู่ วามสงบสุข

๒๘ ดังน้ัน ณ สถานการณ์ปัจจุบัน หากผู้นาประเทศเข้าใจหลักคิดการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ในบ้านเมืองที่หมักหมมมากว่า ๑๐ ปี แล้วตัดสินใจให้อภัยต่อกัน ผมม่ันใจว่า ก็จะเกิดความปรองดองขึ้น ในบ้านเมือง ซ่ึงจะส่งผลให้ทุกภาคส่วนต่าง ๆ ร่วมมือกันแก้ไขวิกฤตของชาติที่กาลังประสบอยู่ในขณะน้ี ให้ผ่านพน้ ไปได้ด้วยดี ผมเช่ือว่า ไม่มีผู้นาประเทศคนไหนไม่อยากเห็นบ้านเมืองของตนเองสงบสุข ถึงเวลา ที่เหมาะสมท่ีสุดแล้วท่ีจะสร้างความปรองดองของคนในชาติ ดังท่ีผมเคยกล่าวไว้ว่า มะม่วงสุกแล้ว หวานกาลังดี ไมอ่ อ่ นจนเปรี้ยว แต่ถา้ ปลอ่ ยใหเ้ นิ่นนาน ก็จะเนา่ จาก https://www.posttoday.com/politic/news/๖๒๖๔๘๘ จาก Facebook Chavalit Vichayasuthi - ชวลติ วชิ ยสุทธ์ิ “ชวลิต” แนะ “พล.อ.ประยุทธ์” ผงเข้าตา ต้องให้คนที่หวังดีกับบ้านเมืองเขี่ยให้/ ชี้ผู้นา ควรใชค้ ุณธรรมข้นั สงู คอื \"เมตตา และอภัย\" แกป้ มปัญหาความขดั แย้ง นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส. นครพนม พรรคเพ่ือไทย กล่าวว่า ตนเคยให้ความเห็นแนะ พล.อ.ประยุทธ์ จนั ทรโ์ อชา นายกรัฐมนตรี ว่า \"เมื่อคดิ เรยี นผูก ก็ตอ้ งเรียนแก\"้ ไปเมือ่ ไมน่ านมานี้ เม่ือมีปัญหาเพ่ิมเติม ซับซ้อนขึ้น จึงขอให้ความเห็นถึงแนวทางร่วมกันแก้ไขปัญหา บ้านเมือง กล่าวคือ ในการรัฐประหารเมื่อ ๒๒ พ.ค.๕๗ เหตุผลสาคัญประการหน่ึงก็คือ สร้างความปรองดอง ของคนในชาติ หลังจากน้ันก็มีกระบวนการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ หมวดปฏิรูปประเทศ มาตรา ๒๕๗ และ ในยุทธศาสตรช์ าติ แต่ทีผ่ ่านมา นับแต่ปี ๒๕๕๗ ถึงปัจจบุ ัน ไมม่ ีความคบื หน้าใด ๆ ในด้านการสร้างปรองดองของคนในชาติแต่อย่างใด ท้ัง ๆ ท่ีเป็นประเด็นสาคัญย่ิงต่อการ รวมพลังสร้างชาติ การอยู่ในอานาจท่ีนานเกินวาระปกติ มีปัญหาให้แก้มากมาย หลายประการ อาจทาให้ การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมืองจัดอยู่ในลาดับรอง ท้ัง ๆ ท่ีเป็นปัญหาหลักของบ้านเมืองที่ควรได้รับ การคลี่คลายตามรัฐธรรมนูญ ยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายรัฐบาลท่ีวางไว้จนละเลยเรื่องสาคัญ เพราะการ สร้างความปรองดองของคนในชาตินับเป็นปัจจัยสาคัญยิ่งในการรวมพลังทุกภาคส่วนร่วมกันแก้ไขปัญหา และพัฒนาชาติ บ้านเมือง ดังกล่าวข้างต้น ณ สถานการณ์ปัจจุบัน ปัญหาสะสมมากข้ึน ๆ ถึงอย่างไรก็ไม่พ้น ความรับผิดชอบของท่านในฐานะผู้นาด้านการบริหารประเทศ เม่ือท่านคิดเรียนผูก ก็ต้องคิดเรียนแก้ แก้ทีละปม กล่าวคอื ปมแรก ควรแก้รัฐธรรมนญู ท่ีวางกติกาไวเ้ พ่ือการสืบทอดอานาจ ปมนี้ตรงกับข้อเรียกร้อง ทัง้ ของประชาชนทว่ั ไป และนกั เรยี น นิสิต นักศึกษา นบั เป็นปัญหาพน้ื ฐานสาคญั ยงิ่ ท่ีตอ้ งแก้ทนั ที นายกรัฐมนตรีต้องชัดเจนถึง time line ของกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญ ไปจนถึง ห้วงเวลาเสียสละละวางอานาจ เมื่อรัฐธรรมนูญแก้ไขแล้วเสร็จ ก็ควรยุบสภาทันที แล้วจัดให้มีการเลือกต้ัง ทั่วไปภายใต้กติกาใหม่ที่ประชาชนมีส่วนร่วม โปรดอย่าเช่ือผู้ที่เสนอแนะให้ยื้อเวลาแก้รัฐธรรมนูญให้นานท่สี ุด เพราะท่ามกลางความขัดแย้ง และแก้ไขปัญหาใด ๆ ไม่ได้ ยิ่งอยู่นาน ประเทศย่ิงเสียหาย โดยเฉพาะปัญหา ทางด้านเศรษฐกิจซงึ่ หนกั หนาสาหัส ปมที่สอง ความขัดแย้งทางการเมืองที่มีมาแต่ในอดีต ตั้งแต่ปี ๒๕๔๘ เป็นต้นมา รัฐบาล ไดป้ ัดฝ่นุ ประชุมคณะกรรมการ ปยป.คร้งั แรกในปนี เี้ มื่อวนั ท่ี ๑๙ มถิ นุ ายน ๒๕๖๓ ท่ีผ่านมา อยา่ งนอ้ ยนบั เป็น จุดเร่มิ ต้นที่ไดเ้ หน็ การเตรียมการตามนโยบายของรฐั บาลทีไ่ ด้แถลงไว้ต่อสาธารณะในส่วนของฝ่ายนิตบิ ัญญัติ ผมในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษา ทบทวน ปฏริ ปู กฎหมาย ในคณะกรรมาธิการ การกฎหมาย การยุตธิ รรม และสทิ ธมิ นุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ไดอ้ าสาเป็นส่วนหนงึ่ ในการศึกษา เสนอแนะ แนวทางสร้างความปรองดองของคนในชาติ ด้วยความสนใจงานดา้ นนม้ี าช้านาน

๒๙ ขณะน้ีอยู่ในข้ันตอนระหว่างดาเนินการศึกษา ฯ ซ่ึงเมื่อดาเนินการศึกษาแลว้ เสร็จ ก็จะได้ เสนอขอความเห็นชอบจากคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน ตามข้ันตอน จากน้ันเม่ือคณะกรรมาธิการ ฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบ ก็จะได้เสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความ เห็นชอบรายงานและข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการ ฯ เพื่อส่งไปยังรัฐบาลรับไปพิจารณาตามที่เห็นสมควร ตอ่ ไป ท้ังน้ี เมื่องานสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ ของสภาผู้แทนราษฎรกับฝ่ายบริหาร ในคณะกรรมการ ปยป.มาประสานสอดคล้องกัน ก็จะเป็นความชอบธรรมในการอธิบายต่อสังคมในการ สรา้ งความปรองดองของคนในชาตทิ ี่ยดื เยอ้ื ยาวนานมากวา่ ๑๕ ปี สาเร็จไปไดเ้ ปลาะหนึง่ ปมที่สาม ปัญหาการชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองของนักเรียน นิสิต นักศึกษาในปัจจุบัน ซ่ึงกระจายไปทั่วประเทศ โดยมีข้อเรียกร้อง ๓ ข้อ น้ัน ในการแก้ปัญหาที่ละเอียดอ่อน ขอให้ใช้หลักสันติวิธี ทุกฝา่ ยควรอดทน และระมัดระวังอย่างย่ิงที่อาจมกี ารสร้างสถานการณ์แทรกซ้อนจากผู้ไมห่ วังดีขึน้ ได้ ปัญหานี้ ควรจบโดยเร็ว ที่รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี ควรลงมาพบกับผู้ร้องด้วยตนเอง อย่างผู้ปกครองพบลูก หลาน ด้วยหลักเมตตาธรรมและประเด็นท่ีสามารถแก้ไขได้ในทันที คือ การให้ความเช่ือม่ันในกระบวนการ แก้รัฐธรรมนูญท่ีประชาชนมีส่วนร่วม (ตั้ง ส.ส.ร.) โดยกาหนด time line ให้ชัดเจนดังกล่าวข้างต้น ก็จะเป็น การแสดงความจริงใจกับประชาชนในการคืนอานาจอธิปไตยให้ประชาชนอย่างแทจ้ รงิ ในกระบวนการแก้ปัญหาความขดั แยง้ ที่กล่าวมาดงั กล่าวข้างต้น รัฐบาลโดยนายกรฐั มนตรี ควรน้อมนาคณุ ธรรมข้นั สูง คือ เมตตาและอภัย เป็นหลกั คดิ ในการแก้ปญั หา เมื่อท่านมีเมตตาและอภัยต่อผู้อื่น ท่านย่อมได้รับเมตตาและอภัยกลับคืนเป็นการตอบแทน สงั คมก็จะสงบสขุ รว่ มกันฝ่าฟนั วกิ ฤตเศรษฐกจิ และพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหนา้ สบื ไป ๑๓. ศาตราจารย์ธีรยุทธ บุญมี ชี้วิกฤติโควิดส่งสัญญาณ ไว้เน้ือเช่ือใจกันสูงมาก แนะต่อ ยอดสูก่ ารปรองดอง ๑๕ ก.ค.๖๓ - เวลา ๑๓.๐๐ น. ที่มหาวิทยาลัยรังสิต มีการจัดงาน RSU FORUM โดย ศาตราจารย์ธีรยุทธ บุญมี อาจารย์ประจาวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต บรรยายหัวข้อ “Post Covid-19” กบั อนาคตสงั คมไทย ศาตราจารย์ธีรยุทธ กล่าวตอนหนึ่งว่า \"ผมเข้าใจได้ว่าอารมณ์ท่ีรุนแรงของสังคม ต่อกรณี ทหารอียิปต์และลูกทูตซูดาน เพราะคนไทยได้เสียสละ และเช่ือฟังภาครัฐอย่างมีวินัยเม่ือเกิดเหตุเชน่ น้ีก็เข้าใจ อารมณ์ความรู้สึกของประชาชนได้ อย่างไรก็ตามผลงานของ ศบค. ก็ได้รับการชื่นชม ท่ีใช้การส่ือสารแบบ ข้อมลู วชิ าการมีทว่ งทา่ ทด่ี สี ถานการณ์โควดิ ศาตราจารย์ธีรยุทธ กล่าวว่า ท่ัวโลกยังน่าเป็นห่วงเราไม่ควรคาดการณ์กันว่าทุกอย่าง จะกลับมาปกติในเร็ววันน้ี แต่ต้องเผ่ือใจไว้อาจจะประมาณ ๒ ปีหรือมากกว่านั้น และหลังโควิด เราควร ทาอะไรที่มากกว่า new normal จะตอ้ งสร้าง new paradigm สร้างกระบวนทัศน์กันใหม่ เพราะสถานการณ์ เปลย่ี นไปทกุ บริบทไม่วา่ จะเป็นมิตทิ างเศรษฐกจิ สงั คมการเมือง การศึกษา วฒั นธรรม “แต่ช่วงวิกฤติโควิด มีสัญญาณท่ีดีเกิดข้ึนในสังคมไทยคือ เกิด trust หรือความไว้วางใจ กันสูงมากกว่าที่ผ่าน ๆ มา ซ่ึงไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตั้งแต่มีความขัดแย้งตลอดทศวรรษท่ีผ่านมา คาถามคือว่า เราจะเอา trust หรอื ความไวว้ างใจ ไปต่อยอดหรือขบั เคลื่อนเพอื่ ปฏิรปู สว่ นอนื่ ๆ กนั ได้อย่างไร” อาจารย์ประจาวิทยาลัยนวัตกรรมสังคมมหาวิทยาลัยรังสิต ยกตัวอย่าง เช่น เรื่องการ ปรองดองหรือการนิรโทษกรรมก็คิดกันต่อได้ในเร่ืองน้ี ซึ่งผมเห็นด้วยว่ามัน ถึงเวลาแล้วที่จะนิรโทษกรรม แต่กาหนดเงือ่ นไขทที่ กุ ฝา่ ยรบั กนั ได้ มีการตอ่ ตา้ นน้อยท่สี ดุ เพราะเราไม่รวู้ ่าจากนี้ไปเราต้องเจออะไรกันอกี

๓๐ นอกจากน้ี อาจารย์ธีรยุทธ เผยว่า ตนจะหาโอกาส ประเมินการเมือง และผลงานรัฐบาล อย่างเป็นทางการ อาจจะต้นเดือนหน้าน.้ี บ๊กิ ูต่ ดนั \"นิรโทษกรรม\" คดีการเมอื ง ปลดล็อกประเทศ เว้นทุจรติ ๑๗ Jun ๒๐๒๐ ฐานเศรษฐกจิ พล.อ.ประยุทธ์ เดินเครื่องปรองดอง เตรียมออก “กฎหมายนิรโทษกรรม” มอบทีมงาน รวบรวมข้อมูลคดีชุมนุมทางการเมือง คาดออกเป็นกฎหมายได้ปลายปีน้ี “ประสาร-พล.อ.เอกชัย” หนนุ ออกเป็น พ.ร.บ. ดงึ ทกุ ฝ่ายร่วมปรองดอง “โคทม” ช้เี ปน็ เวลาท่เี หมาะสม รัฐบาล โดย พล.อ.ประยทุ ธ์ จันทร์โอชา นายกรฐั มนตรแี ละรัฐมนตรวี า่ การกระทรวงกลาโหม เตรียมดาเนินการออก กฎหมายนิรโทษกรรม “คดีชุมนุมทางการเมือง” เพื่อนาประเทศไปสู่การปรองดอง อันถือเป็นพันธกิจหนึ่งท่ีต่อเนื่องมาจากต้ังแต่สมัยยึดอานาจการปกครอง ในปี ๒๕๕๗ และได้มีการตั้ง คณะกรรมการหลายชุดขึ้นมาศึกษาแนวทาง การสร้างความปรองดอง ขณะเดียวกันก็ถือเป็นนโยบายสาคัญ ของรฐั บาลชดุ ปจั จุบันดว้ ย แหล่งข่าวระดับสูงจากทาเนียบรัฐบาล เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ขณะนี้ พล.อ. ประยุทธ์ ได้มอบหมายให้ “ทีมปฏิบัติการลับ” ไปรวบรวมรายช่ือบรรดาผู้ท่ีเกี่ยวข้องในคดีการเมือง ทั้งในชั้นศาล และการดาเนนิ คดีทั้งหมดเพือ่ นามาพจิ ารณาประกอบการตัดสินใจในการนริ โทษกรรม ทาความรจู้ กั \"นิรโทษกรรม\" คอื อะไร เบื้องต้นจะเป็นการนิรโทษกรรมให้กับคดีท่ีมีแรงจูงใจทางการเมือง ท่ีไม่รวมถึงคดีทุจริต และ คดีความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ หรือ ความผิดต่อสถาบันพระมหากษัตรยิ ์ สาหรับช่วงเวลาที่จะนาไปสู่การออกกฎหมายนิรโทษกรรมนั้น แหล่งข่าวกล่าวว่า อาจจะ ดาเนินการในชว่ งกลางปี หรือไม่กป็ ลายปนี ี้ ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้พูดคุยกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ และอดีต แกนนา กปปส.แล้ว ด้านแหล่งข่าวจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ แกนนารัฐบาล ได้พยายามประสานงานและติดต่อเพ่ือดึงพรรคเพ่ือไทย เข้ามาร่วมทีมรัฐบาลเพื่อเข้าสู่การเป็นรัฐบาล ปรองดองมาแลว้ เมอื่ ๒-๓ เดอื นก่อน หนนุ นริ โทษกรรม นายประสาร มฤคพิทักษ์ อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และคณะกรรมการศึกษา แนวทางการสร้างความปรองดอง ของสปช. กล่าวถึงเร่ืองน้ีว่า เรื่องแบบน้ีต้องอาศัยความพยามยามทุกภาคส่วน รวมทงั้ ภาครัฐบาล ถา้ รัฐบาลไมข่ ยบั ตัวในเร่ืองนี้ โอกาสใหเ้ ป็นไปไดย้ ากเหมอื นกัน “ผมเข้าใจดีว่า เรื่องแบบนี้ต้องอาศัยเวลา จะเร่งเหมือนมะม่วงบ่มแก๊ซไม่ได้ ต้องให้สังคม เกิดความสุกงอมข้ึนมาพร้อม ๆ กันด้วย เราจะไปเร่งเวลามันก็ไม่ได้ จะวางเฉยก็ไม่เหมาะ จะก่อให้เกิดความ ปรองดองได้ตอ้ งมตี ัวกฎหมายออกมา ถา้ อารมณ์ของผูค้ นไม่ต้อนรบั กฎหมาย กอ็ อกมาไม่ได้” อย่างไรก็ตาม นายประสาร ชี้ว่า ถ้าจะมีการนิรโทษกรรม สมควรออกเป็น พ.ร.บ เพราะถ้า เป็นพระราชกาหนด (พ.รก) จะละเลยบทบาทความสาคัญของ ส.ส และถ้าออกมาเป็น พ.ร.ก. อาจดูคับแคบไปหนอ่ ย ในแงข่ องการยอมรบั “เรื่องการปรองดองควรเป็นความพยายามของทุกภาคส่วน ไม่ว่าภาคการเมืองท้ังฝ่ายค้าน รฐั บาล ส.ส. ส.ว. ภาคประชาชน หรอื บรรดากลุ่มที่เป็นผ้แู ทน สีเหลอื ง สแี ดง กลุ่มสีธงชาติ หรอื กล่มุ ไหนก็แล้ว

๓๑ เราควรใช้ความพยายามเพ่ือนาไปสู่บรรยากาศการปรองดอง สร้างความรู้สึกร่วมกันในการที่จะก่อให้เกิด ความปรองดอง” นายประสาร กล่าวด้วยว่า นักการเมืองควรคานึงถึงทิศทางท่ีจะก่อให้เกิดความปรองดอง โดยมเี ง่ือนไขท่ีสามารถจะรบั กนั ได้อยา่ งกวา้ งขวาง คือ ๑. ไมย่ กคดใี ห้คนทีผ่ ดิ ดา้ นคอรร์ ปั ชนั คนไม่ควรไดอ้ านิสงคค์ ือ คนทุจริต ๒. คนทีผ่ ดิ มาตรา ๑๑๒ คือละเมดิ สถาบัน และ ๓. ผ้ทู ผ่ี ดิ อาญารา้ ยแรง ประเภทที่ทาให้ถึงแกช่ วี ิต หรือประเภททาใหถ้ งึ แก่ทรัพย์สนิ และชีวิต รนุ แรงถงึ เลอื ดถึงเนอ้ื นอกน้ันเป็นความผิดลหุโทษ ความผิดจราจร ผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาชุมนุม และถูกจบั ไป ตอ้ งได้ยกเวน้ ชเี้ ป็นเวลาทีเ่ หมาะสม ด้านพล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ ผู้อานวยการสานักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า และอดีตผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) กล่าวว่า เห็นด้วยและเป็นจังหวะเวลาท่ีเหมาะสม เพ่ือจะสร้าง ความสามคั คีปรองดองในสงั คมไทย ซงึ่ เปน็ เรอื่ งทไ่ี ด้พยายามผลักดนั กนั มานานแลว้ ส่วนความกังวลว่าอาจเป็นชนวนความขัดแย้งขึ้นใหม่นั้นพล.อ.เอกชัย ย้าว่า จะไม่เกิดข้ึน เพราะไมใ่ ช่การนริ โทษกรรมเหมาเขง่ แต่มีการทาอยา่ งเป็นขั้นตอน มีรายละเอยี ดทชี่ ัดเจน ส่วนกรอบเวลาคอื คดที างการเมืองทเี่ กิดขึน้ นับแตก่ ารยึดอานาจของคมช. เม่อื ๑๙ กนั ยายน ๒๕๔๙ ซึ่งคณะกรรมการเพ่ือสรา้ งความปรองดองในชดุ สนช.เสนอใหน้ ิรโทษกรรมถงึ ปี ๒๕๕๗ แต่เพอื่ ให้ครอบคลุมถึง ความผิดจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองหลังจากน้ัน เช่น การเคลื่อนไหวของกลุ่มอยากเลือกต้ัง เป็นต้น เห็นวา่ ครง้ั นคี้ วรจะขยายให้ถงึ วนั ยกเลกิ พ.ร.ก.ฉกุ เฉนิ ฯ เพ่ือจดั การเลือกต้งั ครั้งลา่ สุด” พล.อ.เอกชยั ยา้ ว่า “เวลานีเ้ หมาะสมท่ีสดุ แล้ว เพราะเพ่ือไทยกม็ ไี ปอยกู่ ับพลงั ประชารฐั แกน นาท้ังพันธมิตรฯ นปช. หรือ กปปส. ก็ถูกตัดสินไปอยู่ในคุกแล้ว และจะเจอกันอีกหลายคดี ถึงเวลาท่ีน่าจะทา เร่อื งนีเ้ พือ่ ใหส้ ังคมคนื สคู่ วามปรองดองเสยี ที” “โคทม”แนะต้ังต้นใหม่ นายโคทม อารียา ผอ.ศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความเห็นว่า ถ้ามีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมเช่ือว่าจะมีผลบวกต่อการเมืองไทย แต่ต้องมีคาอธิบายระดับหนึ่ง ให้ดูด้วยว่า กรณมี คี นคา้ นค้านด้วยเหตผุ ลใด ใหแ้ ลกเปลยี่ นกนั ดวู ่าอะไรเปน็ อะไร และคดิ ว่าช่วงหลงั โควดิ ไม่ระบาดจะเป็น โอกาสดี ซ่งึ ตอนนห้ี ลายคนโดนคดตี า่ งๆ อยากจะใหพ้ ลิกหน้ากระดาษเพอื่ ตั้งตน้ ใหม่แลว้ เดนิ หน้าต่อ “เร่ืองนริ โทษกรรมจะสาเร็จไม่ได้ ถ้ารฐั บาลไมเ่ อาดว้ ย รัฐบาลต้องเป็นคนตัดสนิ ใจเลย” ยา้ ตอ้ งใจบริสทุ ธ์ิ ขณะท่ีนายสติธร ธนานิธิโชติ ผอ.สานักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า กล่าววา่ มองในแงค่ วามปรองดองของประเทศ กพ็ อได้ ซึ่งตอ้ งดดู ้วยวา่ นิรโทษกรรมใครบา้ งที่คนเห็นตรงกันคือ ควรนริ โทษกรรมคนเข้าร่วมชุมนุมด้วยใจบรสิ ุทธิ์ ไม่ใชแ่ กนนาหรือผู้ที่ก่อเหตุมีคดีอาญาต้องแยกแยะเป็นเรื่อง ๆ และถ้าจะนริ โทษกรรมควรเริม่ จากม็อบปี ๒๕๔๘ จนถึงปจั จุบนั ” นายสติธร กล่าวว่า หากดาเนินการควรเป็นรูปแบบของพ.ร.บ.จะได้ผ่านสภาใช้เวทีรัฐสภา เพราะถ้าออกเป็น พ.ร.ก. จะต้องเป็นกรณีฉุกเฉิน และต้องดูให้ชัดว่านิรโทษกรรมแค่ไหน ไม่สุดซอยหรือไม่ เหมารวม คนพอจะรับได้

๓๒ หนา้ ๑ ฐานเศรษฐกิจ ฉบบั ท่ี ๓,๕๘๔ วนั ที่ ๑๘ - ๒๐ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๕๖๓ นายพีระศกั ดิ์ พอจติ สมาชกิ วฒุ สิ ภา(ส.ว.) ๑๕ ก.ค. ๖๓ - กล่าวถึงกรณีนายคานูณ สิทธิสมาน ส.ว. เสนอให้รัฐบาลเร่งตรากฎหมาย นิรโทษกรรมประชาชนจากความผิดท่ีเกิดขึน้ หรือเก่ียวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง ต้ังแตป่ ี ๒๕๔๘-๒๕๖๓ วา่ เห็นด้วยกับทุกเเนวทางท่ีดาเนินการเพ่ือหวังขจัดความขัดเเย้งในบ้านเมือง ต้องยอมรับความจริงว่าท่ีผ่านมา และในขณะนี้ยังมีความขัดเเย้งอยู่จนทุกวันนี้ก็ยังปรองดองกันไม่ได้ ต้องถามว่าเราชอบอยู่ในสถานการณ์ แบบน้ีหรือไม่ เพราะท่ีผ่านมาไม่ว่าจะมีการชุมนุมทางการเมือง มีการจราจลกลางเมือง มีการรัฐประหาร หรือมีเลอื กต้ังแล้วกต็ าม แตบ่ ้านเมืองก็ยังปรองดองกันไม่ได้ ซงึ่ การนริ โทษกรรมอาจเปน็ ส่วนหน่ึงในการทาให้ ความขดั เเยง้ ลดลงกไ็ ด้ “คดีการเมืองควรจะมีการพิจารณานิรโทษกรรมให้ แต่ทว่าเมื่อมีการพูดเร่ืองนิรโทษกรรม หลายคนอาจต้ังคาถามว่าการนิรโทษกรรมควรครอบคลุมถึงนายทักษิณ ชินวัตร และน.ส.ย่ิงลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ทั้งสองคนหรือไม่ ผมมองว่า วันนี้อย่าเพ่ิงเร่ิมเจาะจงที่ตัวบุคคล ไม่อย่างน้ันเด๋ียวก็วงเเตก ไม่ได้เริ่มพูดคุยหาทางออกให้ประเทศเดินหน้ากันเสียที ดังนั้น จะต้องต้ังหลักพูดคุยถึงขอบเขตว่าการนิรโทษ ควรครอบคลมุ กลุ่มใด และช่วงเวลาใดเสยี กอ่ นจะดีกวา่ ” นายพรี ะศักด์ิ กล่าว จาก https://www.thaipost.net/main/detail/๗๑๕๓๐

๓๓ ภาคผนวก ข รวมรปู ภาพจากงานรบั ฟงั ความคิดเหน็

๓๔ การจดั งานคณะกรรมการญาตวิ ีรชนพฤษภา ๓๕ จดั เสวนา “การผนกึ ทุกภาคสว่ น ร่วมวางอนาคตประเทศไทย”

๓๕ การประชมุ คณะอนกุ รรมาธกิ าร


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook