ปญหาระบบประสาท สัมผสั ในผู้สูงอายุ (ตอนที 2 ปญหาเกยี วกับการได้ยิน) อาจารย์นงนุช เชาวน์ศิลป
บทที่ 5 ปัญหาเกี่ยวกบั ประสาทสัมผสั ในผสู้ ูงอายุและการดูแล ตอนท่ี 2: ปญั หาการไดย้ นิ และการทรงตวั นงนชุ เชาวนศ์ ลิ ป์ ปัญหาเก่ียวกบั การได้ยนิ การทรงตัว (เวยี นศีรษะ บา้ นหมนุ ) ปญั หาการได้ยินในผสู้ ูงอายุ เป็นปัญหาทีพ่ บได้บ่อยเป็นอันดับ 3 ของโรคเร้ือรังต่าง ๆ ที่เกิดในผู้สูงอายุ โดยพบได้ถึงร้อยละ 25-40 ของผู้ท่ีมีอายุมากกว่า 65 ปี และมีอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นตามวัย กล่าวคือ อุบัติการณ์ ของผู้สูงอายุที่มีประสาทหูเสื่อมตามวัย พบได้ตั้งแต่ร้อยละ 40-60 ในผู้ที่มีอายุมากกว่า 75 ปีและเพิ่มสูงขึ้น มากกว่าร้อยละ 80 ในผู้ท่ีมีอายุมากกว่า 85 ปี โดยธรรมชาติแล้วการได้ยินจะค่อย ๆ เสื่อมลงตามวัย การได้ยิน บกพร่องของผู้สงู อายุจะมีลกั ษณะแบบค่อยเป็นค่อยไป และเสอ่ื มเทา่ กนั ทงั้ 2 ข้างในชว่ งความถส่ี ูง ซง่ึ จะวินจิ ฉัย ในผู้ที่มีอายุเกิน 50 ปีและไม่มีสาเหตุอื่นที่ทำให้การได้ยินบกพร่อง ผู้ป่วยอาจมาพบแพทย์ เนื่องจากมีเสียง รบกวนในหแู ละมักมีปัญหาฟังไมร่ ู้เรื่องหรือได้ยินเสียงแต่จับใจความไมไ่ ด้ร่วมดว้ ย ซ่งึ เป็นผลจากความเสื่อมของ ระบบประสาทสว่ นกลางตามวยั นอกเหนือไปจากหูชั้นในเส่อื ม ทำให้มีปญั หาในการได้ยนิ มากกว่าผูท้ ่ีมีการได้ยิน บกพรอ่ งในระดบั เดียวกันทีม่ ีอายนุ ้อยกว่า ภาวะประสาทหูเสอ่ื มตามวัย (Presbycusis) การสูญเสียการไดย้ ิน ทุก ๆ 1 ปี hair cell ใน organ of corti จะเสื่อมลงไปตามอายุ โดยรับเสียงได้ ลดลง 1,000 Hz ตอ่ ปี เนื่องจากหลอดเลอื ดที่ไปเล้ียงภายในหูมภี าวะตบี แคบขึน้ หรอื บางรายอยู่ในสิ่งแวดล้อม ท่เี สียงดงั นาน ๆ ภาวะประสาทหูเสื่อมตามวัย (Presbycusis hearing loss) เป็นปัญหาเก่ียวกับการได้ยินที่พบได้บ่อย ที่สดุ ทำให้ผ้สู ูงอายมุ ปี ญั หาหตู งึ ฟงั ไมช่ ดั เจนถงึ ระดับเสียงทด่ี งั ข้ึน หูตงึ หูหนวก (ear deafness) หมายถึง ภาวะการได้ยินเสียงลดลง อาจเป็นเพียงเล็กน้อย หรือไม่ได้ยินเลย (หูหนวกสนิท) มีสาเหตุ ได้มากมาย เช่น แก้วหูทะลุ หูอักเสบ โรคเมเนียส์ หูหนวกมาแต่กำเนิด ซึ่งมักจะมีอาการเป็นใบ้ร่วมด้วย พิษ จากยา (เช่น สเตรปโตไมซนิ คานา่ ไมซิน เจนตาไมซิน) หูตึงในคนสูงอายุ หตู ึงจากอาชพี เป็นต้น สาเหตุ สามารถแบ่งตามสาเหตุไดเ้ ป็น 3 ชนิด คอื
1. การสูญเสียการได้ยินชนิดการนำเสียงบกพร่อง (Conductive hearing loss) มีสาเหตุมา จากความผิดปกติของหูชั้นนอกและหูชั้นกลาง (แต่ประสาทหูยังดีอยู่) ทำให้มีความผิดปกติในการส่งผา่ นคล่ืน เสียงไปยังส่วนของหูชั้นใน สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้ยาหรือการผ่าตัด (โดยปกติคลื่นเสียงจากภายนอกเมื่อ ผ่านเขา้ ไปในช่องหูจะไปกระทบกบั เย่ือแกว้ หู แล้วมีการส่งต่อและขยายเสยี งไปยังสว่ นของหูชน้ั ในต่อไป) ส่วน ใหญส่ าเหตุมกั เกดิ จาก • เยื่อแก้วหูทะลุ (Ruptured eardrum) ผู้ป่วยจะมีอาการหูตึงเกิดขึ้นในทันทีภายหลังการ ได้รับบาดเจบ็ • ขี้หูอุดตัน (Cerumen impaction) ทำให้เกิดอาการหูตึงได้แบบชั่วคราว เมื่อเอาขี้หูออกก็ สามารถกลับมาไดย้ ินเปน็ ปกตอิ กี คร้งั • หูชั้นกลางอักเสบหรือหูน้ำหนวก (Otitis media) ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องอาจทำ ให้หหู นวกได้ • ภาวะมีนำ้ ขังอยู่ในหูช้นั กลาง (Serous otitis media) • ท่อยูสเตเชียนทำงานผิดปกติ (ท่อยูสเตเชียนเป็นท่อที่เชื่อมต่อระหว่างหูชั้นกลางและโพรง หลังจมกู ) • โรคหินปูนในหูชั้นกลาง (Otosclerosis) ทำให้กระดูกใหม่งอกขึ้นมา ซึ่งมักงอกขึ้นมายึด กระดูกโกลน ทำให้การสั่นของกระดูกผิดปกติและส่งผลให้เกิดอาการหูตึง โรคนี้เป็นโรคที่ถ่ายทอดทาง กรรมพนั ธไุ์ ด้ พบในผหู้ ญิงมากกว่าผู้ชาย การรกั ษาตอ้ งทำการผ่าตัดหรือใส่เครื่องช่วยฟัง • กระดูกหูชั้นกลางหักหรือหลุดจากอุบัติเหตุ เกิดจากการได้รับอุบัติเหตุอย่างรุนแรงที่ศีรษะ ทำใหผ้ ปู้ ่วยมีอาการหูออ้ื หตู ึงทนั ทีหลงั เกิดอุบัติเหตุ การรกั ษาต้องอาศัยการผ่าตัด • สาเหตุอื่น ๆ เช่น หูพิการแต่กำเนิด สิ่งแปลกปลอมเข้าหูทำให้เกิดการอดุ ตันในช่องหู แก้วหู อกั เสบ เย่ือแกว้ หหู นา มเี ลือดออกในหูช้ันกลาง ฯลฯ 2. การสูญเสียการได้ยนิ ชนิดประสาทรับเสียงบกพร่อง (Sensorineural hearing loss) เปน็ ชนิดท่ี พบได้บ่อยที่สุด มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของส่วนหูชั้นใน ประสาทรับเสียง ไปจนถึงสมอง ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ เรารบั รู้และเข้าใจเสยี งต่าง ๆ ความผิดปกติบริเวณน้จี ะทำให้ไดย้ ินเสียงแตฟ่ ังไม่รู้เร่ือง สว่ นใหญจ่ ะทำให้เกิดภาวะหู ตงึ หหู นวกถาวร ไมส่ ามารถรักษาใหห้ ายได้ และบางโรคอาจทำให้เกดิ อนั ตรายถึงชีวิตได้ โดยสาเหตมุ กั เกิดจาก • ประสาทหูเสื่อมตามวัย/หูตึงในผู้สูงอายุ (Presbycusis hearing loss) เป็นสาเหตุที่พบได้ บ่อยทีส่ ดุ (80% มักเกิดจากสาเหตุน)ี้ มสี าเหตมุ าจากเซลล์ขนในหชู ้นั ในและเสน้ ประสาทหูค่อย ๆ เสื่อมไปตาม อายุ โดยเฉพาะเซลล์ขนส่วนฐานของคอเคลียจะเสื่อมไปก่อน ทำให้สูญเสียการได้ยินช่วงเสียงแหลมเมื่ออายุ มากขึ้น การเสื่อมนั้นจะลามไปถึงช่วงความถี่กลางสำหรับฟังเสียงพูด ทำให้ผู้สูงอายุเริ่มหูตึง ฟังไม่ชัดเจนถึง ระดบั เสยี งท่ีดงั ขึ้น และมักบ่นวา่ ไดย้ ินเสียงแต่ฟังไม่รเู้ ร่ือง นน่ั เปน็ เพราะเซลล์ขนแปลสัญญาณผิดเพ้ียนไป ทำ ให้สมองอ่านสัญญาณไม่ออก โดยมากผู้ป่วยจะเริ่มแสดงอาการเมื่ออายุได้ประมาณ 60 ปีขึ้นไป ในผู้ชายจะมี โอกาสเปน็ มากกวา่ และมีความรนุ แรงกว่าผู้หญงิ การใสเ่ ครอ่ื งชว่ ยฟังจะชว่ ยใหไ้ ด้ยนิ ได้ 2
• ประสาทหูเสื่อมเฉียบพลัน (Acoustic trauma) เป็นการเสื่อมของเส้นประสาทหูที่เกิดจาก การได้ยินเสียงที่ดังมากในระยะเวลาสั้น ๆ หรือได้ยินเพียงครั้งเดียว เช่น การได้ยินเสียงฟ้าผ่า เสียงระเบิด เสยี งปืน เสียงพลุ หรอื เสียงประทัด เปน็ ตน้ • ประสาทหูเสื่อมแบบค่อยเป็นค่อยไป (Noise-induced hearing loss) จากการได้ยินเสียง ดงั ระดบั ปานกลางหรือดังเกิน 85 เดซเิ บลข้ึนไปเป็นเวลานาน ๆ (เสียงสนทนาปกตจิ ะดงั ประมาณ 60 เดซิเบล และเสียงจากเครื่องเจาะถนนจะดังประมาณ 120 เดซิเบล) เช่น ผู้ที่ทำงานในโรงงาน, ทหาร/ตำรวจที่ต้อง ฝึกซ้อมการยิงปืนเป็นประจำ, เสียงดังจากเครื่องจักรหรือยวดยานพาหนะต่าง ๆ, เสียงเพลงหรือเสียงดนตรีที่ ดังเกินควรที่ฟังผ่านหูฟัง, เสียงในงานคอนเสิร์ตที่ดังมาก ๆ เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเสียงความถี่สูง ๆ (เสียงสูง) มักทำให้เกิดอาการหูตึงได้ เนื่องจากเซลล์ประสาทหูถูกคลื่นเสียงทำลายไปอย่างถาวรและไม่มี ทางแก้ไขใหก้ ลับคนื มาดีได้เหมือนเดิม ผู้ปว่ ยมกั จะมีอาการเรมิ่ จากการได้ยินเสยี งสงู (เช่น เสยี งกระดง่ิ ) สเู้ สียง ต่ำ (เช่น เสียงเคาะประตู) ไม่ได้ ถ้ายังอยู่ในที่ที่มีเสียงดังเช่นเดิม อาการหูตึงจะค่อย ๆ เป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถงึ ขนั้ หูหนวกได้ แตถ่ า้ เลิกอยใู่ นท่ีท่ีมเี สยี งดงั ๆ อาการหูตงึ กจ็ ะค่อย ๆ ทเุ ลาไปไดเ้ อง • ประสาทหูเสื่อมแต่กำเนิด เช่น การขาดออกซิเจนขณะอยู่ในครรภ์หรือระหว่างคลอด, การ ติดเชือ้ แต่กำเนิดหรอื หลงั คลอด เชน่ ซฟิ ลิ สิ หัด หัดเยอรมนั คางทมู อีสกุ อใี ส ไขห้ วดั ใหญ่ ปอดอักเสบ (มักเกิด จากมารดาติดเชื้อหัดเยอรมันในขณะตั้งครรภ์หรือใช้ยาที่มีฤทธิ์ทำลายประสาทหูทารกในครรภ์ ในรายที่หู หนวกแตก่ ำเนิด หากไมไ่ ด้รับการรักษาฟน้ื ฟูเดก็ มักจะใบร้ ว่ มด้วย) • หชู ้ันในอักเสบ (Labyrinthitis) • โรคเมเนยี ส/์ นำ้ ในหูไมเ่ ท่ากนั (Meniere’s disease) ภาวะแทรกซ้อนของโรคนสี้ ่วนใหญ่จะ ไม่รุนแรงและอาจหายเองได้ แต่มีส่วนน้อยที่อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการหูตึงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนหูหนวกสนิทได้ ส่วนการรกั ษา แพทยจ์ ะทำการรกั ษาด้วยยา ถา้ ไมไ่ ดผ้ ลอาจต้องทำการผ่าตัด • โรคเนื้องอกประสาทหู (Acoustic neuroma) ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการหูตึงขึ้นทีละน้อยหรือ เกดิ ขึน้ อยา่ งฉับพลันก็ได้ • โรคซฟิ ลิ ิส (Syphilis) ซ่ึงในระยะท้ายของโรคหรือระยะแฝงจะทำใหผ้ ู้ปว่ ยมีอาการตามระบบ ตา่ ง ๆ ของร่างกาย เชน่ ตาบอด หหู นวก ใบหนา้ ผิดรูป กระดูกผุ • การได้รับอุบัติเหตุของหูชั้นใน ซึ่งอาจเกิดจากการถูกตบตี การได้รับการกระแทกอย่างรุนแรง บริเวณกกหูหรือถกู ตบตบี ริเวณด้านหลงั ศีรษะ ทำใหก้ ระดูกหูชน้ั ในแตกรา้ วและสง่ ผลให้เกิดอาการหตู งึ ชนิดประสาท หูเส่ือมในระดับเล็กนอ้ ยถึงหูหนวกได้ ทงั้ น้ีขน้ึ อยู่กบั ความรนุ แรงของอบุ ตั ิเหตุและลักษณะการแตกรา้ วของกระดกู • การผ่าตดั หูแล้วมกี ารกระทบกระเทอื นตอ่ หูชนั้ ใน • การมีรรู ่วั ติดต่อระหวา่ งหชู ้ันกลางและหูชัน้ ใน (Perilymphatic fistula) • การใช้ยาที่มีพิษต่อประสาทหู (Ototoxic drug) เป็นระยะเวลานาน เช่น ซาลิไซเลต (Salicylate), อะมิโนไกลโคไซด์ (Aminoglycoside), ควินิน (Quinine), แอสไพริน (Aspirin), สเตรปโตมัยซิน (Streptomycin), กานามัยซิน (Kanamycin), เจนตามัยซิน (Gentamicin), โทบรามัยซิน (Tobramycin) เป็นต้น 3
โดยส่วนใหญ่จะเป็นกับหูทั้งสองข้าง อาการจะเป็นทีละน้อยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ยาบางชนิดจะทำให้มีอาการ เพียงช่วั คราว เมอื่ หยดุ ยาแล้วอาการจะค่อย ๆ ดขี ึ้นหรอื คงเดิมได้ แตย่ าบางชนดิ ก็ทำใหม้ ีอาการถาวร รักษาไมห่ าย • สาเหตุทางกรรมพันธ์ุ เชน่ โรคหูตงึ จากกรรมพันธุ์ • สาเหตุจากโรคทางกาย เช่น โรคโลหิตจาง, โรคเกล็ดเลือดสูงผิดปกติ, โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคทีม่ รี ะดบั กรดยรู ิกในเลือดสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูงหรอื ต่ำ โรคเบาหวาน โรคไต เป็นต้น • สาเหตุที่เกิดในสมอง (Central hearing impairment) ทำให้ผู้ป่วยได้ยินเสียง แต่ไม่สามารถ แปลความหมายได้ จึงไม่สามารถเข้าใจความหมายของเสียงทีไ่ ด้ยินและไม่สามารถตอบโต้กลับไปได้ เช่น โรคของ เส้นเลือด (เช่น เส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบตัน), โรคความดันโลหิตสูง, เลือดออกในสมองจากไขมันในเลือดสูง, โรคเนอื้ งอกในสมอง (เน้อื งอกของประสาทหู และ/หรอื ประสาทการทรงตวั ) 3. การสูญเสียการได้ยินชนิดการรับฟังเสียงบกพร่องแบบผสม (Mixed hearing loss) เป็น ภาวะที่เกิดจากความผิดปกติในการนำเสียงบกพร่องร่วมกับประสาทรับเสียงบกพร่อง ซึ่งพบในโรคที่มีความ ผิดปกตขิ องหูชั้นนอกและหชู น้ั กลาง ร่วมกบั ความผดิ ปกตขิ องหูชน้ั ใน โรคทพี่ บ เชน่ • โรคหูนำ้ หนวกเร้ือรังทล่ี ุกลามเข้าไปในหูช้นั ใน • โรคในหชู ้นั กลางของผู้สงู อายทุ ่ีมีปญั หาประสาทรับเสียงเสือ่ มด้วย • โรคหนิ ปนู เกาะกระดกู โกลนและมีพยาธิสภาพในหชู ั้นในร่วมด้วย (Cochlear otosclerosis) อยา่ งไรก็ตาม มีผู้ที่หตู งึ หรอื หูหนวกจำนวนไมน่ อ้ ยทีแ่ พทย์อาจตรวจไม่พบสาเหตกุ ็ได้ อาการของหูตึง หูหนวก จะมีอาการที่การได้ยินลดลงจนถึงไม่ได้ยินเลยก็ได้ โดยอาจมีอาการเกิดขึ้นกับหูเพียงข้างเดียวหรือ ท้งั สองขา้ งกไ็ ด้ ท้ังนีข้ น้ึ อยกู่ บั สาเหตุที่เป็น คนที่หูตึงข้างเดียวจะมีปัญหาในการฟังและลำบากในการหาทิศทางของเสียง ส่วนคนที่หูตึงทั้ง สองขา้ งจะมปี ัญหาทางการได้ยินในระดบั ทแี่ ตกต่างกนั ไป ทัง้ นข้ี ึน้ อยกู่ บั ระดับความผดิ ปกตขิ องการสญู เสียการ ได้ยินว่าเป็นมากน้อยเพียงใด เช่น ถ้าหูตึงน้อยจะไม่ได้ยินเสียงพูดเบา ๆ หรือเสียงกระซิบ หูตึงปานกลางจะ ไมไ่ ดย้ นิ เสียงพดู ปกติ หตู ึงมากจะไม่ไดย้ นิ เสียงพดู ดัง ๆ หูตึงรนุ แรงจะไดย้ ินเสียงตะโกนเพียงเล็กน้อย แตไ่ ด้ยิน ไม่ชัด แต่ถา้ หหู นวก การตะโกนก็ไม่ชว่ ยทำใหไ้ ด้ยินเสียงแตอ่ ย่างใด นอกจากนี้ อาการหูตึงหูหนวกอาจเกิดร่วมกับอาการอื่น ๆ ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่เป็น เช่น ปวดศรี ษะ มไี ข้ เวยี นศีรษะ มสี ารคดั หลงั่ จากหู เปน็ ใบ้ การจำแนกระดับหตู ึง หูหนวก พิจารณาจากค่า “เดซิเบล” (decibel - dB) ซึ่งเป็นหน่วยวัดระดับความดังของเสียง ค่าเดซิเบลจะ เพ่ิมขึน้ ตามเสยี งทดี่ ังมากขึ้น ในคนทก่ี ารได้ยินปกติจะไดย้ ินเสียงในระดบั 25 เดซิเบลหรือเบากว่าน้ันได้ แต่ในคน หูตึงจะไม่ได้ยินเสียงที่เบากว่าระดับ 25 เดซิเบล โดยสามารถแบ่งระดับความผิดปกติออกได้เป็น หูตึงน้อย หูตึง ปานกลาง หูตึงมาก หตู งึ รนุ แรง และหหู นวก ดังตารางที่ 1 4
ระดับการได้ยิน ระดับความผิดปกติ ลกั ษณะอาการ -10-25 dB การได้ยินปกติ ไดย้ ินเสยี งพดู กระซบิ เบา ๆ 26-40 dB หูตงึ นอ้ ย ไม่ได้ยินเสียงพูดเบา ๆ แต่ไดย้ ินเสียงพูดปกติ และอาจต้องใช้เครื่องช่วย ฟังบางโอกาส เช่น ตอนเรยี นหนังสอื 41-55 dB หูตึงปานกลาง ไม่ได้ยินเสียงพูดปกติ ต้องพูดดังกว่าปกติจึงจะได้ยิน และจำเป็นต้องใช้ เครอ่ื งชว่ ยฟงั ขณะพูดคุย 56-70 dB หตู ึงมาก ไมไ่ ดย้ ินเสียงพดู ทด่ี ังมาก และจำเป็นต้องใช้เคร่ืองช่วยฟงั ตลอดเวลา 71-90 dB หูตงึ รนุ แรง ตอ้ งตะโกนหรือใชเ้ คร่ืองขยายเสียงจงึ จะได้ยิน แต่ได้ยินไม่ชัด มากกวา่ 90 dB หหู นวก การตะโกนหรอื ใชเ้ ครอื่ งขยายเสยี งก็ไม่ได้ยินและเข้าใจความหมาย ตารางที่ 1 ระดับหูตงึ หหู นวก วิธีการสังเกตอาการหตู ึง หหู นวก สามารถสงั เกตว่ามภี าวะหูตงึ หรอื ไม่ดว้ ยวิธีการง่าย ๆ คือ 1. ฟังเสียงกระซบิ หรือเสียงถนู ้วิ ระหว่างน้ิวหวั แมม่ อื กับน้วิ ชใ้ี กล้ใบหู ซ่ึงปกติเสยี งกระซบิ จะได้ ยนิ ดงั ประมาณ 30 เดซิเบล แตถ่ า้ ไม่ได้ยินให้สงสัยวา่ อาจมีปัญหาการไดย้ นิ 2. ไปตรวจวดั สมรรถภาพการได้ยนิ ทีโ่ รงพยาบาล ซงึ่ การตรวจจะใช้เวลาเพียง 10-15 นาที ผตู้ รวจจะให้เราฟงั เสียงพูดหรือเสยี งบรสิ ทุ ธทิ์ ค่ี วามถี่ตา่ ง ๆ ผา่ นทางหฟู งั หรือใช้อปุ กรณ์พเิ ศษผ่านทางกระดูก ก็จะทำให้ทราบผลได้ทันทีภายหลงั การตรวจ การวินิจฉัยหตู งึ หหู นวก 1. แพทย์จะทำการซักประวัติอย่างละเอียดเกี่ยวกับการสูญเสียการได้ยินและสาเหตุต่าง ๆ ที่ เป็นไปได้ที่อาจทำให้เกิดอาการ เช่น ระยะเวลาที่เริ่มเกิดอาการหูอื้อ หูตึง ลักษณะอาการที่เป็นเกิดขึ้นทันที หรือเป็น ๆ หาย ๆ หรือค่อย ๆ เป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ประวัติการได้ยินเสียงดัง เช่น เสียงระเบิด เสียงปืน เสียง พลุ เป็นต้น การมีอาการทางหูและอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มีเสียงรบกวนในหู เวียนศีรษะ มีอาการชา ใบหน้า เดนิ เซ เปน็ ตน้ ประวัติการใชย้ าและโรคประจำตวั ประวตั ิคนในครอบครัวที่เป็นโรคหูตงึ 2. แพทย์จะทำการตรวจหูอย่างละเอียด ทั้งหูชั้นนอก ช่องหู แก้วหู หูชั้นกลาง และบริเวณรอบ หขู องผูป้ ว่ ย รว่ มกบั การตรวจมูกและคอ นอกจากนัน้ ก็จะตรวจระบบประสาท เส้นประสาทสมองต่าง ๆ 3. การตรวจพเิ ศษตา่ ง ๆ ได้แก่ การตรวจการไดย้ ิน (Audiogram) เพือ่ ยืนยนั และประเมินระดับ ความผิดปกติของการสูญเสียการได้ยนิ การตรวจวัดสมรรถภาพของหูชั้นกลาง (Tympanogram) การตรวจดู คลื่นของเส้นประสาทรับเสียงและก้านสมอง (Evoke auditory response) ในรายที่สงสัยว่ามีความผิดปกติ ของเส้นประสาทรับเสียง 5
4. ถา้ ยังไมพ่ บสาเหตหุ รือในรายทีแ่ พทย์สงสยั ว่าจะมีเน้ืองอก อาจจำเป็นต้องทำการตรวจ เอกซเรยส์ นามแมเ่ หล็กไฟฟ้า (CT/MRI) 5. นอกจากน้อี าจมีการตรวจเลือด เบาหวาน โรคไต ไขมนั คอเรสเตอรอล ความเขม้ ข้นของเมด็ เลือดแดง เชื้อซฟิ ิลิสหรอื ภมู ิคุ้มกนั ของร่างกาย ฯลฯ การรักษา แพทย์จะให้การรักษาไปตามสาเหตทุ ต่ี รวจพบ ซ่งึ แบ่งเปน็ การรกั ษาด้วยยาและการผ่าตัด • การผ่าตดั หแู ล้วมีการกระทบกระเทือนต่อหูชน้ั ใน • เมื่อมีอาการหูตึงหูหนวกเกิดขึ้นหรือเกิดร่วมกับอาการอื่น ๆ ดังที่กล่าวมา ควรรีบไปพบ แพทย์หูคอจมูกที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป เพราะบางสาเหตุอาจ รักษาให้หายและหูกลบั มาไดย้ ินเป็นปกติได้ • ถ้าหูตึงไม่มาก ยังพอได้ยินเสียง และไม่รบกวนคุณภาพชีวิตประจำวันมากนัก คือ ยังพอสื่อสาร กบั ผูอ้ นื่ ไดอ้ ยู่หรอื เป็นกบั หูเพียงขา้ งเดียว แตอ่ กี ขา้ งยงั ดีอยู่ อาจไมต่ อ้ งรกั ษา เพยี งแตต่ ้องทำใจยอมรับ • ถ้าหูตึงมาก ไม่ค่อยได้ยินเสียง โดยเฉพาะในรายที่เป็นกับหูทั้ง 2 ข้าง และรบกวนคุณภาพ ชีวิตประจำวันมาก คือไม่สามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้ และเกิดจากสาเหตุที่ไม่สามารถแก้ไขได้แล้ว ควรฟื้นฟู สมรรถภาพการได้ยนิ ด้วยการใช้เครื่องช่วยฟงั • ถ้าหูตึงเกิดจากประสาทหูเสื่อมตามวัย ควรป้องกันไม่ให้ประสาทหูเสื่อมมากขึ้น โดยการ หลกี เล่ียงเสียงดัง, รักษาหรอื ควบคมุ โรคที่เป็นปัจจัยเสย่ี งใหด้ ี (เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสงู ไขมันในเลือด สูง โรคกรดยูริกในเลือดสูง โรคซีด โรคเลือด โรคไต), หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีพษิ ต่อประสาทหู, ระมัดระวังการเกิด อุบัติเหตุหรือการกระทบกระเทือนบริเวณหู, หลีกเลี่ยงการติดเชื้อของหูหรือการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ สว่ นบน, ลดอาหารเคม็ หรือเคร่ืองด่ืมบางประเภทท่ีมีสารกระตุ้นประสาท (เชน่ ชา กาแฟ น้ำอัดลม รวมถึงการสูบ บหุ ร)่ี , ออกกำลงั กายอยา่ งสม่ำเสมอ ลดความเครียด และนอนหลบั พักผ่อนให้เพยี งพอ เป็นต้น • ส่วนใหญ่ที่สูญเสียการได้ยินชนิดการนำเสียงบกพร่องจากโรคของหูชั้นนอกและหูชั้นกลาง เช่น เยื่อแก้วหูทะลุ ภาวะน้ำขังในหูชั้นกลาง ช่องหูตีบตัน กระดูกหูผิดรูปหรือเลื่อนหลุด และโรคที่ทำให้เกิด การสูญเสียการได้ยินชนิดการนำเสียงบกพร่อง แพทย์สามารถให้การรักษาด้วยยาหรือการผ่าตัดแก้ไขให้ได้ ยินดีขึ้นได้ (ยาที่อาจทำให้การได้ยินดีขึ้นบ้าง คือ ยาขยายหลอดเลือดที่ช่วยเพิ่มเลือดไปเลี้ยงหูชั้นในมากขึ้น และยาบำรงุ ประสาทหู) • ในรายที่ประสาทหูเสื่อมหรือเกิดจากความผิดปกติของหูชั้นใน การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุ และอาจจะต้องให้การรักษาอย่างต่อเนื่อง ในรายที่มาพบแพทย์ช้า การรักษามักจะไม่ค่อยได้ผลดี และส่วน ใหญจ่ ะรักษาไม่ได้ จำเปน็ ตอ้ งใชเ้ ครอ่ื งชว่ ยฟงั • ในรายที่ประสาทหูเสื่อมแบบเฉียบพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ อาจมีโอกาสรักษาให้คืนกลับสู่ ปกติไดใ้ นช่วงเดือนแรก ๆ แตห่ ากยังไม่ฟ้นื คืนภายใน 3 เดอื นแรก กจ็ ะมโี อกาสน้อยมากทีจ่ ะหายเป็นปกติ ใน ผทู้ มี่ ีประสาทหเู สอื่ มเกิน 6 เดอื น ควรพจิ ารณาใช้เครื่องชว่ ยฟัง 6
• สำหรบั เครอ่ื งช่วยฟังจะมีอยดู่ ้วยกันหลายชนิดและมีกลไกการทำงานท่ตี ่างกันไป (ปัจจุบันใน ประเทศมใี ห้เลือกใช้เพยี ง 2 ชนิดแรก) เชน่ 1) เครอื่ งช่วยฟังแบบใส่ในช่องหู (Conventional hearing aids) เป็นเครือ่ งชว่ ยขยายเสียง ใหด้ ังขึน้ โดยเสียงจะเดนิ ทางผ่านอวัยวะรับการไดย้ ินตามเส้นทางการเดินของคลนื่ เสียงปกติ 2) ประสาทหูเทียม (Cochlear implant) เป็นเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ที่ทำด้วยสายไฟฟ้า เล็ก ๆ ที่มีการรับเสียงและแปรเสียง แล้วส่งสัญญาณเข้าไปกระตุ้นประสาทการได้ยินเข้าไปที่สมอง ทำให้ สามารถแปลเสียงนั้นออกมาได้ โดยประสาทหูเทียมจะถูกฝังเข้าไปในกระดูกก้นหอยที่อยู่ในหูชั้นในโดยการ ผ่าตัดหลังหูกรอเอากระดูกหลังหูออกและทำการฝังเครื่องเอาไว้ที่หลังหูด้านนอกกะโหลกศีรษะ แล้วต่อกับ เครื่องภายนอกด้วยระบบแม่เหล็กไฟฟ้า ทำให้กระตุ้นเสียงเข้าไปข้างใน (มักใช้ในรายที่ประสาทหูเสื่อมอย่าง รนุ แรงทเี่ รียกวา่ หูหนวกหรอื หเู กอื บหนวก เพราะการใส่เคร่ืองช่วยฟงั มกั ไม่ไดผ้ ล) 3) เครื่องช่วยฟังชนิดฝังที่กะโหลกศีรษะ (Bone-anchored hearing aid - BAHA) สัญญาณเสียงจะทำให้เครื่องสั่นเบา ๆ เพื่อกระตุ้นให้หูชั้นในซึ่งอยู่ในกะโหลกศีรษะส่งสัญญาณกระตุ้น เสน้ ประสาทรับเสยี งตอ่ ไป 4) เครื่องช่วยฟังชนิดฝังที่หูชั้นกลาง (Middle ear implantable device) จะแปลง สญั ญาณเสยี ง ทำให้ชน้ิ สว่ นของเคร่อื งซง่ึ ฝงั ตดิ อย่กู ับกระดูกหูขยบั และสง่ ต่อสญั ญาณเขา้ หชู ้ันในสูเ่ สน้ ประสาท รับเสยี งและสมองตามลำดบั 5) เครื่องช่วยฟังชนิดฝังที่หูชั้นกลาง (Middle ear implantable device) จะแปลง สัญญาณเสียง ทำใหช้ น้ิ สว่ นของเคร่อื งซึง่ ฝังตดิ อยกู่ บั กระดูกหูขยับและส่งต่อสญั ญาณเขา้ หชู ้นั ในส่เู สน้ ประสาท รบั เสียงและสมองตามลำดบั ทั้งนี้ยังไม่มียาที่ช่วยแก้ไขการเสื่อมการได้ยินทั้งการนำเสียงและประสาทรับเสียงบกพร่อง เพื่อใหก้ ารไดย้ ินกลบั คืนมาไดท้ ้ังหมด การใชย้ าเพื่อรักษาโรคจากการตดิ เชื้อโรคตามระบบ รวมท้ังการหลีกเลี่ยง ปจั จยั เสยี่ ง เช่น เสียงดงั การใชย้ าทมี่ ีพษิ ตอ่ หู จะเปน็ เพียงการช่วยป้องกันไม่ให้เกิดภาวะหูหนวกหตู ึงข้ึนเท่านนั้ การป้องกนั การป้องกันโดยทั่วไป คอื การหลีกเล่ียงปัจจยั เสยี่ งต่าง ๆ ทที่ ำลายหู ได้แก่ 1. หลีกเล่ยี งเสยี งดังมาก ๆ หรอื การไดย้ ินเสียงดังเป็นเวลานาน ผู้ที่มีอาชีพทีต่ ้องได้ยินเสียงดัง เป็น เวลานาน ๆ ควรสวมเครื่องป้องกันในขณะที่อยู่ในที่ทำงาน ไปพบแพทย์เพื่อทำการทดสอบการได้ยินเป็นระยะ ๆ และหากเร่ิมมีอาการหตู งึ เกิดข้ึน ควรเลิกทำงานในสถานท่ีเดิมและย้ายไปทำงานในสถานท่ที ่ีไม่มีเสยี งดงั แทน 2. ถ้าเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคไต โรคกรดยูริกในเลือดสูง โรค ซีด และโรคเลือด ต้องควบคุมโรคให้ดีเพราะโรคเหล่าทำให้เลือดไปเลี้ยงประสาทหูน้อยลง ทำให้ประสาทรับ เสียงเสือ่ มมากหรอื เรว็ ขนึ้ กว่าทค่ี วรจะเปน็ 3. หลกี เลย่ี งอบุ ัตเิ หตุหรือการกระทบกระเทือนบริเวณหู 7
4. หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีพิษต่อประสาทหู เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ไม่ควรซื้อยาใด ๆ มาใช้เองโดยไม่ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร ถ้าได้รับยาจากแพทย์แล้วมีอาการหูตึงควรรีบกลับไปพบแพทย์ทันที เพอื่ ทแ่ี พทย์จะได้ปรบั ยาที่เหมาะสม 5. หลกี เล่ยี งการตดิ เชอื้ ของหูหรือการติดเช้ือในระบบทางเดนิ หายใจสว่ นบน 6. ลดอาหารเค็ม หรือเครื่องดื่มบางประเภทที่มีสารกระตุ้นประสาท เช่น กาแฟ ชา เครื่องด่ืม น้ำอัดลม (มีสารคาเฟอีน) งดการสูบบุหรี่ (มีสารนิโคติน) สารคาเฟอีน และนิโคติน ทำให้เลือดไปเลี้ยงประสาทหู นอ้ ยลง ทำให้ประสาทรบั เสียงเส่ือมมากหรือเร็วขึ้นกวา่ ท่ีควรจะเป็น 7. พยายามออกกำลังกายสม่ำเสมอ ลดความเครยี ด วติ กกังวล และนอนหลับพกั ผ่อนให้เพียงพอ โรคนำ้ ในหชู ั้นในไมเ่ ทา่ กัน (เมเนยี ส์ : Meniere's Disease) คือกลุ่มอาการทป่ี ระกอบดว้ ย หตู งึ สญู เสียการได้ยนิ เสียงดังในหู และเวียนศรี ษะบ้านหมนุ โดยเชอื่ วา่ สาเหตุมาจากความผดิ ปกติของหชู ้นั ใน สว่ น endolymphatic hydrops สว่ นมากเกดิ ข้ึนโดยไม่ทราบสาเหตุ บางคนอาจเกดิ หลังได้รับบาดเจบ็ หรือเป็นซิฟลิ สิ ส่วนมากจะเป็น เพียงขา้ งเดยี ว อาจเปน็ ทั้งสองข้าง ประมาณ 10-15% โรคนีพ้ บได้น้อย อายทุ พ่ี บสูงสดุ คือ 40-70 ปี และจะ เพิม่ ขน้ึ ตามอายุทีม่ ากขึน้ แต่อาจพบในเดก็ ได้ พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ปจั จยั ที่ทำใหเ้ กิดโรค Meniere’s disease เกิดจากหลายปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิด hydrops เช่น trauma, acute otitis media, labyrinthitis, congenital inner ear deformity, idiopathic process แต่ไม่สัมพันธ์กับการเกิดอาการ ของผสู้ งู อายุเสมอไป และโรคนม้ี ักถูกกระตุ้นด้วยปัจจัยหลาย ๆ อยา่ ง ซึง่ กระต้นุ ให้เกิด symptomatic hydrops นั่นคือเมื่อมีการเพิ่มความดันของของเหลวในหูชั้นใน ส่วนที่ควบคุมเกี่ยวกับการทรงตัว (ลาบิรินท์) ทำให้เซลล์ ประสาทในส่วนนั้นถูกทำลาย เป็นเหตุให้เสียความรู้สึกเกี่ยวกับการทรงตัว นอกจากน้ี เซลล์ประสาทส่วนที่ทำ หน้าท่เี ก่ียวกับการได้ยินในบริเวณใกล้เคียงก็ถูกทำลายดว้ ย เป็นเหตุใหม้ ีอาการหูตึงร่วมดว้ ย ลักษณะอาการทางคลินิก - Stage I เปน็ ช่วงแรกของโรค อาการเด่นคือ vertigo อาจมีคลนื่ ไส้อาเจยี น มีเสยี งดังในหู (tinnitus) อาจพบอาการของ vagal disturbance เช่น pallor and sweating ในบางรายอาจมีอาการนำคือ fullness หรอื pressure ในหหู รือศีรษะโดยอาการเป็นต้ังแต่ 20 นาทถี ึงหลายชัว่ โมง มกั ไมม่ ีอาการทางการได้ยิน มักเป็น ๆ หาย ๆ - Stage II การไดย้ นิ เร่ิมบกพร่อง อาจเปน็ ต่อเน่ืองหรือเป็น ๆ หาย ๆ โดยเป็นแบบ sensorineural hearing loss เร่มิ ทคี่ วามถต่ี ่ำ ในชว่ งนี้ความรุนแรงของอาการเวียนศรี ษะอาจมเี ล็กน้อยถึงรุนแรงได้ - Stage III การได้ยินจะแย่ลงและเป็นอยู่ตลอด อาจเป็นทั้งสองข้าง โดยอาการเวียนศีรษะจะดี ขนึ้ และมกั หายไป เหลือเพียงความรสู้ กึ ไมม่ ั่นคง (unsteady) โดยเฉพาะในทีม่ ืด 8
อาการตามชนิด 1. ชนิด vestibular Meniere’s disease มอี าการเวยี นศรี ษะแบเฉยี บพลนั ไมพ่ บการสญู เสีย การไดย้ นิ 2. ชนิด cochlear Meniere’s disease มีการสูญเสียการได้ยนิ รสู้ กึ เหมือนหูอื้อ มเี สียงดังในหู ไม่ พบอาการเวียนศีรษะ 3. ชนดิ classic Meniere’s disease มีอาการเวยี นศรี ษะ มีการสูญเสยี การไดย้ ินและมีเสียงดังในหู อาการแทรกซ้อน สว่ นมากจะเป็นไม่รนุ แรง และอาจหายไดเ้ อง สว่ นนอ้ ยอาจหูตงึ มากขนึ้ เรอ่ื ย ๆ จนหหู นวกสนิท อาจเป็นเพียงขา้ งเดยี ว หรอื สองขา้ ง ซ่งึ ไม่มีทางรักษาให้หายได้ ผู้สงู อายุที่มีอาการรุนแรง อาจเป็นคนชอบวิตก กงั วล และเปน็ ไมเกรนร่วมดว้ ย (อาการวิงเวยี นมักหายไปภายหลังท่หี ูหนวกสนิท) ผสู้ ูงอายุอาจประสบ อบุ ตั เิ หตุ ขณะที่เกดิ อาการวงิ เวียนรนุ แรง การรักษา - ให้ยาระงบั อาการเวยี นศรี ษะ เช่น Dramamine Phenergan - ใหย้ าขยายหลอดเลือด เช่น Stugeron, Cinnarizine - ใหย้ าขับปัสสาวะ เชน่ HCTZ - ให้ยาบำรุงประสาท เชน่ Vit B CO .B12 - ถ้าการรักษาทางยาไม่ไดผ้ ล ผู้สงู อายุมีอาการทรมานมาก อาจต้องทำผา่ ตัด Labyrinthectomy ซ่งึ จะทำให้หหู นวกถาวร หรือทำ endolymphatic subarachnoid shunt เพ่ือเช่ือมระหว่าง endolymphatic sac กับ subarachnoid space เพ่ือระบายนำ้ ออก หรือฉีดยาเข้าสหู่ ูชัน้ กลาง ( intratympanic injection) - ใหค้ ำแนะนำในเรื่อง 1) อย่าเครียด พักผ่อนใหเ้ พยี งพอ อาจต้องใชย้ าระงับประสาท 2) แนะนำเร่ืองอาหาร ไดแ้ ก่ โปรตีนสงู มเี กลอื น้อย ลดอาหารประเภทคาเฟอีน นิโคติน งดแอลกอฮอล์ งดการสบู บุหรี่ เลอื กรบั ประทานอาหารทมี่ โี ปแทสเซยี มสงู เชน่ กลว้ ย ส้ม เป็นตน้ โรคตะกอนหนิ ปนู ในหูช้ันในหลดุ (Benign Paroxysmal positional Vertigo: BPPV) เป็นอาการเวยี นศีรษะที่พบขณะหนั ศีรษะไปอยู่ในท่าใดทา่ หน่ึง เปน็ อยู่นาน 5-10 วินาที และจะหายไป ถา้ หันศีรษะไปดา้ นอื่น สาเหตุ เกิดจากมีแคลเซ่ียมสะสมอยู่ในบริเวณ cupula ของ posterior semicircular canal เม่ือมีการเคลื่อนไหว ของศีรษะจะทำให้แคลเซยี มเคล่ือนท่ีก่อให้เกิดการกระตุ้นต่อ ampulla ทำให้เกิดการเวยี นศรี ษะ ปัจจัยส่งเสริม ได้แก่ จากกการเสือ่ มตามวยั อุบัตเิ หตุ โดยเฉพาะบรเิ วณศีรษะ การอักเสบของหชู น้ั กลาง การผ่าตัดหู Vestibular neuritis 9
ลักษณะทางคลินกิ ผ้สู งู อายุมักมีอาการเม่ือมีการเคล่อื นไหวของศรี ษะในแนวแรงดงึ ดูดโลก ซึ่งจะทำใหเ้ กิดการเคล่ือนไหว ของแคลเซียมท่ีcupula ของ posterior semicircular canal ผูส้ งู อายุจะมีอาการเวียนศีรษะแบบหมนุ ตามดว้ ย คลืน่ ไส้อาเจียน อาการเวยี นศรี ษะจะเป็นไม่นานมักเป็นแค่วินาทแี ลว้ หายไป จะกระตุ้นให้เกิดได้อีกโดยทำท่าเดิม แต่จะไมร่ นุ แรงเท่าครงั้ แรก การรกั ษา • ใหย้ าระงบั อาการคล่ืนไส้อาเจียน • ใหย้ าระงบั อาการเวียนศีรษะ • หลีกเลยี่ งจากทา่ ทก่ี ระตนุ้ ให้เกดิ อาการ • ทำกายภาพบำบดั • ทำผา่ ตัด posterior semicircular canal occlusion, singular nerve neurectomy คำแนะนำการปฏบิ ัติตวั 1) ควรนอนศรี ษะสงู หรอื ใช้เตยี งนอนปรับระดับใหศ้ ีรษะสูง 2) หลีกเล่ียงการเคล่ือนไหวท่ีทำให้เกดิ อาการ 3) หลีกเลีย่ งการนอนท่ีเอาหดู ้านท่กี ระตุน้ ให้เกิดอาการลง 4) สอนการทำกายบรหิ ารศรี ษะ 5) ขณะมีอาการไมค่ วรปีนที่สงู ไมค่ วรดำนำ้ หรือเดินบนกระดานแผ่นเดียวเพราะจะเกิดอันตราย บทสรุป การสูญเสียการได้ยินในผู้สูงอายุ มีผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิต การทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ โดยเฉพาะการตดิ ต่อสื่อสาร ทัง้ ยงั ทำใหเ้ กิดการเปลยี่ นแปลงทางอารมณ์ เช่น ความวิตกกงัวล ซมึ เศร้า แยกตัว ออกจากสังคม ความมั่นใจในตนเองลดลง ต้องการพึ่งพาผู้อื่นมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงของหูชั้นกลาง ส่งผล เกี่ยวกับความสามารถในการทรงตัวของร่างกายและ อาการเวียนศรี ษะ บ้านหมุน ก่อให้เกิดอุบัตเิ หตุหกลม้ ได้ ดังนั้นจงึ ไม่ควรน่งิ นอนใจ เม่ือพบวา่ ผสู้ ูงอายุมีปัญหาการได้ยิน ควรปรกึ ษาแพทย์ หู คอ จมกู เพ่อื หาสาเหตุ เอกสารอา้ งองิ ณฐั ฐติ า เพชรประไพ. (2556). เอกสารคำสอนวชิ า 702203 การพยาบาลผู้ใหญ่ 1. คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี. พชิ ิต สทิ ธไิ ตรย์ และคณะ. (2553). ตำรา หู คอ จมูก สำหรับเวชปฏบิ ัติทัว่ ไป. เชยี งใหม่: Trick Think. มณี รัตนไชยานนท์ และคณะ. (2553). เวชศาสตร์ทนั ยุค 2553. กรุงเทพฯ: คณะแพทยศาสตรศ์ ิริราช พยาบาล มหาวิทยาลยั มหดิ ล. 10
เมดไทย (Medthai). (2017). จอประสาทตาเส่อื ม อาการ สาเหตุ การรกั ษาโรค. เขา้ ถงึ ได้จาก https://medthai.com/ สบื ค้น เมื่อ 16 มกราคม 2564 วสี ตุลวรรธนะ. (2552). ตำราจักษพุ ยาธวิ ิทยา. ภูเก็ต: หจก.เวลิ ดอ์ อฟเซ็ท. ศรสี นุ ทรา เจมิ วรพิพัฒน.์ (2552). การพยาบาลหู คอ จมูก (ฉบบั ปรบั ปรงุ ครั้งท่ี 1). กรุงเทพฯ: ธนาเพรส. ศกั ด์ชิ ยั วงศกิตตริ ักษ์ และ กิตตชิ ัย อัครพิพัฒน์กุล. (2551) ตำราพยาบาลเวชปฏิบัตทิ างตา. กรงุ เทพฯ: หมอ ชาวบา้ น. สัญญา ปลิ กศริ ิ. (2552) จกั ษุวทิ ยาพ้นื ฐาน. กรงุ เทพ: ไทยวฒั นาพานิช. สรุ เกียรติ อาชานานุภาพ. (2553) “หตู งึ /หูหนวก (Hearing loss/Deafness)”. ตำราการตรวจรักษาโรค ท่วั ไป เล่ม 2. กรงุ เทพ: โฮลิสติก พบั ลชิ ช่ิง. เอ้อื งพร พิทักษส์ งั ข์. (2554). การพยาบาลและหัตถการทางตา. กรงุ เทพฯ: ศริ ิวฒั นาอนิ เตอรพ์ ริ้นท.์ Christensen Kockrow. (2011). Foundations and Adult Health Nursing. Missouri: Mosby Elsevier. 11
Search
Read the Text Version
- 1 - 12
Pages: