บทท$ี 5 ชีวภาค (Biosphere)
กาํ เนิดของส,งิ มีชีวติ บนโลก ส,ิงมีชีวิตมีจุดกําเนิดหลังจากกําเนิดโลกมาแล้ว 1,100 ล้านปี ซากของส,ิงมีชีวิตท,ีหลงเหลืออยู่ในหินถือว่าเป็ นประวัติศาสตร์ของ ชีวิต ลักษณะรูปร่ างเป็ นแบบง่ายเหมือนกับเซลล์ของแบคทีเรียท,ี พบกันอยู่ในทุกวันนีN วัดขนาดเส้ นผ่ านศูนย์ กลางได้ 1 – 2 ไมโครเมตร เซลล์เด,ียวนีมN ีโครงสร้างภายในเพียงเล็กน้อยและไม่มี ระยางค์ เรียกว่า โปรคารีโอท (Prokaryotes) ซ,ึงเป็ นภาษากรีก หมายถึง ไม่มีนิวเคลียส นักวิทยาศาสตร์ เช,ือว่า โปรคารีโอท คือ แบคทเี รีย
แบคทีเรียท)ีสังเคราะห์แสงได้มีความสําคัญมากในประวัติศาสตร์ ของ ชีวิตบนโลก ช)ือ ไซยาโนแบคทีเรีย (Cyanobacteria) บางครังH เรียก สาหร่ ายสี เขียวแกมนําH เงิน (Blue – green alage) แบคทีเรียชนิดนีมH ีลักษณะคล้ายเม็ด คลอโรฟิ ลล์ท)ที าํ หน้าท)ชี ่วยสังเคราะห์แสงในพืชบวกกับเม็ดสี นําH เงนิ หรือสีแดง ไซยาโนแบคทเี รียผลิตก๊าซออกซเิ จนจากกจิ กรรมสังเคราะห์แสง มันมีบทบาทสําคัญในการเพ2ิมปริมาณความเข้มข้นของก๊าซออกซิเจน ในบรรยากาศของโลกจากเดมิ ท2เี คยมีปริมาณต2าํ กว่าร้อยละ 1 เพ2มิ ขนึH เป็ นร้อย ละ 21 หมุนเวียนอยู่ในบรรยากาศ โลก ไซยาโนแบคทเี รียยังช่วยการ สะสมหนิ ปนู ขนาดมหาศาลบนผิว โลกและในทะเลด้วย
• ไซยาโนแบคทเี รีย จดั อยู่ในกลุ่มส<งิ มีชีวติ เซลล์เดยี ว • มีโครงสร้างเซลล์แบบเรียบง่าย • ไม่มีเย<ือห้มุ นิวเคลียส (โพรคาริโอต) • ทาํ ให้สารพนั ธุกรรมกระจายอยู่ในเซลล์ มีการเจริญแบบแบ่งตวั • ซ<งึ โลกสมัยแรกมีอุณหภมู ริ ้อนจดั ไม่มีออกซเิ จน มีแต่คาร์บอนไดออกไซด์ และสารหรือธาตุท<เี กดิ จากการระเบดิ ของภเู ขาไฟ เช่น ไนโตรเจน มีเทน แอมโมเนีย เป็ นต้น • แต่ด้วย ไซยาโนแบคทเี รีย เป็ นส<ิงมีชีวติ ท<มี ีความสามารถในการปรับตวั ได้ สูงมาก เช่น สร้างเมือกห่อห้มุ เซลล์ และในเซลล์จะมีถุงลมเพ<อื ช่วยการ ลอยตวั หาสภาวะท<เี หมาะสมในการสังเคราะห์แสง มีเมด็ สีช่วยในการ ต่อต้านแสงอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทติ ย์ เป็ นต้น จงึ ทาํ ให้สามารถมีชีวติ ในสภาพแวดล้อมในโลกเม<ือ T.V พนั ล้านปี ได้ • ภายในเซลล์ของ ไซยาโนแบคทเี รีย มีสารคลอโรฟิ ลล์เป็ นองค์ประกอบ จงึ สังเคราะห์แสงผลติ ออกซเิ จนออกมายังพนืX โลก
ยุคของส)งิ มีชีวติ ดกึ ดาํ บรรพ์ พรีแคมเบยี น (Precambrian) เป็ นช่ วงเวลานับตั?งแต่ โลกถือ กําเนิดขึน? มาจนถึง EFE ล้านปี ก่อน ใน บรมยุคอาร์ คีโอโซอิกและโพรเทอโรโซอิก ซ)ึงปรากฏฟอสซิลให้เห็นน้ อยมาก หิน ตะกอนท)ีเก่ าแก่ ท)ีสุ ดพบท)ีกรี นแลนด์ มี อายุ O,QRR พันล้ านปี ฟอสซิลท)ีดึกดํา บ ร ร พ์ ท)ี สุ ด คื อ แ บ ค ที เ รี ย โ บ ร า ณ อายุ O.E พนั ล้านปี
แคมเบรียน (Cambrian) เป็ นยุคแรกของมหายุคพาเลโอโซอกิ (Paleozoic) ในช่วง KLK – 490 ล้านปี ก่อน เกดิ ทวีปใหญ่รวมตวั กันทางขัวX โลกใต้ เป็ นยุคของ แบคทเี รียและสาหร่ายสีเขียว บนพนืX ดนิ ยังว่างเปล่า สัตว์มีกระดอง อาศัยอยู่ในทะเล ได้แก่ ไทร์โลไบต์ หอยสองฝา ฟองนําX และหอย ทาก พชื ส่วนใหญ่เป็ นสาหร่ายทะเล เป็ นต้น ไทร์ โลไบต์
ออร์โดวเิ ชียน (Ordovician) อยู่ในช่วง <=>–443 ล้านปี ก่อน ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์เพNมิ ขนึQ อย่างรวดเร็ว สโตรมาโทไลต์ลดน้อยลง เกิดประการัง ไบรโอซัว และ ปลาหมึก สัตว์ทะเลแพร่พันธ์ุขึนQ สู่บริเวณนําQ ตืนQ เกิดสัตว์มีกระดูกสัน หลังขึนQ เป็ นครังQ แรก คือ ปลาไม่มีขากรรไกร เกิดสปอร์ของพืชบกขึนQ ครังQ แรก ไบรโอซัว
ไซลูเรยี น (Silurian) อยใ4ู นชว4 ง 443–417 ล>านปAก4อน เกิดสิ่งมีชีวิตใต>ทะเลลึกซึ่งใช>พลังงาน เคมีจากภูเขาไฟใต>ทะเล (Hydrothermal) เป[นธาตุอาหาร เกิดปลามี ขากรรไกรและสัตวบ` กขึ้นเปน[ ครัง้ แรก บนบกมีพชื ที่ขยายพนั ธด`ุ >วยสปอร` ปลามีเกราะในคาบไซลเู รยี น
ดีโวเนยี น (Devonian) อยู3ในช3วง 417 –354 ล?านปBก3อน อเมริกาเหนือ กรีนแลนดJ สก็อต แลนดJ รวมตัวกับยุโรป เปQนยุคของปลาดึกดำบรรพJ ปลามีเหงือกแพร3พันธุJเปQน จำนวนมาก เกิดปลามีกระดอง ปลาฉลาม หอยฝาเดียว (Ammonite) และ แมลงขึ้นเปQนครงั้ แรก บนบกเร่มิ มีพชื ทข่ี ยายพนั ธJดุ ?วยเมลด็ และมปี bาเกดิ ข้ึน แอมโมไนต(
คารบ$ อนิเฟอรัส (Carboniferous) อยใ<ู นชว< ง 354 – 295 ลIานปKก<อน เปMนยุคของปPาเฟQนขนาดยักษ$ ปกคลุมหIวย หนอง คลองบึง ซึ่งกลายเปMนแหล<งน้ำมันดิบที่สำคัญใน ป_จจุบัน มีการแพร<พันธุ$ของแมลง และสัตว$ครึ่งบกครึ่งน้ำ เริ่มมีวิวัฒนาการ ของสัตว$เลอ้ื ยคลาน กำเนิดไมIตระกลู สน ป\"าคารบ& อนิเฟอรสั
เพอรเ% มยี น (Permian) เปน4 ยคุ สุดทา: ยของมหายคุ พาเลโอโซอิก ในชFวง 295 – 248 ล:านปOกFอน เปลอื ก โลกทวีปรวมตัวกันเป4นทวีปขนาดใหญFชื่อ \"พันเจีย\" (Pangaea) ในทะเลมีแนว ประการังและไบโอซัวร% บนบกเกิดการแพรFพันธุ%ของสัตว%เลื้อยคลานที่มีลักษณะคล:าย สัตว%เลี้ยงลูกด:วยนม ในปลายยุคเพอร%เมียนได:เกิดการสูญพันธุ%ครั้งยิ่งใหญF (Mass extinction) สิ่งมีชีวิตทั้งบนบกและในทะเลหายไปร:อยละ 96 ของสปOชีส% นับเป4นการ ปดh มหายุคพาเลโอโซอกิ สัตวเ% ลือ้ ยคลานในคาบเพอรเ% มยี น
ไทรแอสสิก (Triassic) เป3นยุคแรกของมหายุคเมโสโซอิก ในชAวง 248 – 205 ลKานปLกAอน เป3น การเริ่มตKนของสัตวPพวกใหมA ๆ สัตวPเลื้อยคลานที่มีลักษณะคลKายสัตวPเลี้ยง ลูกดKวยนม ถูกแทนที่ดKวยสัตวPที่เป3นตKนตระกูลไดโนเสารP ผืนแผAนดินไมAอุดม สมบูรณPตAอการเจริญเติบโตของพืช พืชพรรณสAวนใหญAจึงเต็มไปดKวยสน ปรง และเฟรc นP ไดโนเสารย) ุคแรก
จแู รสสิก (Jurassic) เป3นยุคกลางของมหายุคเมโสโซอกิ ในชCวง 205 –144 ลLานปMกCอน เป3น ยุคที่ไดโนเสารSครองโลก ไดโนเสารSบินไดLเริ่มพัฒนาเป3นสัตวSปMกจำพวก นก ไมLในปZายังเป3นพืชไรLดอก หอยแอมโมไนตSพัฒนาแพรCหลายและ วิวัฒนาการไปเป3นสตั วจS ำพวกปลาหมกึ ไดโนเสารค) รองโลก
ครเี ทเชยี ส (Cretaceous) เป5นยคุ สุดท9ายของมหายุคเมโสโซอิก ในชวE ง 144 – 65 ล9านปNกEอน สิ่งมีชีวิตท่ี เกิดขึ้นใหมE ได9แกE งู นก และพืชมีดอก ไดโนเสารYวิวัฒนาการให9มีนอ ครีบหลัง และ ผิวหนังหนาสำหรับป_องกันตัว ในปลายคาบครีเทเชียสได9เกิดการสูญพันธุYครั้ง ยิ่งใหญE ไดโนเสารYสูญพันธุYไปหมดสิ้น สิ่งมีชีวิตอื่นสูญพันธุYไปประมาณร9อย ละ 70 ของสปNชีสY สันนิษฐานวEา ดาวหางพุEงชนโลกที่คาบสมุทรยูคาทานในอEาว เม็กซิโก เหตุการณYนี้เรียกวEา \"K-T Boundary” ซึ่งหมายถึงรอยตEอระหวEาง ยคุ ครเี ทเชยี สและยุคเทอเชยี รี การสญู พนั ธ,ุของไดโนเสาร,
เทอเชียรี (Tertiary) เปน2 ยคุ แรกของมหายุคเซโนโซอกิ อยูBในชวB ง 65 - 1.8 ลLานปMกอB น แผนB ธรณี อเมริกาเคล่อื นเขLาหากนั แผBนธรณีอินเดยี เคล่ือนที่เขLาหาแผนB ธรณเี อเซียทำใหเL กดิ เทือกเขาหิมาลัยและทร่ี าบสงู ทิเบต ยคุ เทอเชยี รีแบงB ออกเป2น 2 สมัยคอื พาลโี อจีน และนโี อจนี Ø พาลโี อจนี (Paleogene) เป2นสมยั แรกของยคุ เซโนโซอิก อยูBในชวB ง 65 – 24 ลาL นปMกBอน สัตวเd ล้ยี งลกู ดLวยนมแพรBพันธแdุ ทนที่ไดโนเสารd มีทัง้ พวกกนิ พชื และกนิ เนอื้ บนบกเต็มไปดLวยปาh และทBุงหญาL ในทะเลมปี ลาวาฬ Ø นโี อจีน (Neogene) อยใBู นชวB ง 24 – 1.8 ลLานปMกBอน เป2นชBวงเวลาของสตั วd รBนุ ใหมซB งึ่ เปน2 บรรพบรุ ษุ ของสตั วใd นปnจจุบนั รวมท้งั ลงิ ยนื สองขาซึ่งเปน2 บรรพ บรุ ุษของมนษุ ยd (Homo erectus)
สตั วเ% ล้ยี งลูกดว/ ยนมยคุ แรก
ควอเทอนารี (Quaternary) เป5นยคุ สุดท:ายของยคุ โซโนโซอิก อยCูในชCวง 1.8 ลา: นปJกอC น จนถึงปจN จุบัน แบCงออกเปน5 2 สมัยคอื ไพลสWโตซีนและโฮโลซนี Ø ไพลสWโตซีน (Pleistocene) อยCูในชCวง 1.8 ลา: นปJ – 1 หมน่ื ปJ เกิดยุค นำ้ แข็ง รอ: ยละ 30 ของซีกโลกเหนอื ปกคลุมดว: ยนำ้ แข็ง ทำให:ไซบีเรยี และ อลาสกาเชื่อมตอC กัน มเี สอื เข้ยี วโค:ง ชา: งแมมมอท และหมีถ้ำ บรรพบรุ ุษของ มนุษยไW ด:อบุ ตั ิขน้ึ ในสายพันธWุ โฮโมเซเปJยนสW (Homo sapiens) เม่ือประมาณสองแสนปทJ ่ีแล:ว Ø โฮโลซนี (Holocene) นบั ตงั้ แตCส้ินสดุ ยคุ นำ้ แข็งเมอื่ 1 หมนื่ ปJทแี่ ล:วจนถงึ ปNจจุบนั เป5นสมัยที่มนุษยรW :ูจกั การทำเกษตรกรรม เล้ยี งสตั วW และ อุตสาหกรรม ปาo ในยโุ รปถกู ทำลายหมดสิน้ ปoาฝนเขตรอ: นกำลงั จะหมดไป
ระบบนิเวศ (ECOSYSTEM)
!. ความหมายของระบบนิเวศ (Ecosystem) ระบบนิเวศเป็ นหน่ วยทCีสําคัญทCีสุดในการศึกษาความสัมพันธ์ ระหว่างสCิงมีชีวิตและสCิงแวดล้อม เพราะประกอบไปด้วยสCิงมีชีวิต หลากหลายชนิด มีการแลกเปลCียนสสาร แร่ ธาตุ และพลังงานกับ สCิงแวดล้อม โดยผ่านห่วงโซ่อาหาร(food chain) มีลาํ ดบั ของการกนิ เป็ น ทอด ๆ ทําให้สสารและแร่ ธาตุมีการหมุนเวียนไปใช้ในระบบจนเกิด เป็ นวัฏจักร ทาํ ให้มีการถ่ายทอดพลังงานไปตามลําดับขันd เป็ นช่วงๆใน ห่วงโซ่อาหารได้ การจําแนกองค์ประกอบของระบบนิเวศ ส่วนใหญ่จะจําแนกได้ เป็ นสององค์ ประกอบใหญ่ ๆ คือ องค์ ประกอบทCีมีชีวิตและ องค์ประกอบทCไี ม่มีชีวติ
!. องค์ประกอบของระบบนิเวศ 2.4 องค์ประกอบท7มี ีชีวติ (biotic component) ได้แก่ 2.1.1 ผู้ผลติ (producer or autotrophic) ได้แก่ ส7งิ มีชีวติ ท7สี ร้าง อาหารเองได้จากสารอนินทรีย์ ส่วนมากจะเป็ นพชื ท7มี ีคลอโรฟิ ลล์ 2.1.2 ผู้บริโภค (consumer) ได้แก่ ส7งิ มีชีวติ ท7ไี ม่สามารถสร้าง อาหารเองได้ (heterotroph) ส่วนใหญ่เป็ นสัตว์ท7กี นิ ส7งิ มีชีวติ อ7ืนเป็ น อาหาร เน7ืองจากสัตว์เหล่านีมd ีขนาดใหญ่จงึ เรียกว่า แมโครคอนซูมเมอร์ 2.1.3 ผู้ย่อยสลายซาก (decomposer, microconsumer) ได้แก่ ส7ิงมีชีวติ ขนาดเลก็ ท7สี ร้างอาหารเองไม่ได้ เช่น แบคทเี รีย เหด็ รา (fungi) และแอกทโี นมัยซีท ทาํ หน้าท7ยี ่อยสลายซากส7งิ มีชีวติ ท7ตี ายแล้วในรูปของ สารประกอบโมเลกุลใหญ่ให้กลายเป็ นสารประกอบโมเลกุลเลก็ ในรูป ของสารอาหาร (nutrients) เพ7อื ให้ผู้ผลติ นําไปใช้ได้ใหม่อีก
!.! องค์ประกอบท/ไี ม่มีชีวติ (abiotic component) ได้แก่ 2.2.1 สารอนินทรีย์ (inorganic substances) ประกอบด้วยแร่ธาตุและ สารอนินทรีย์ซ/งึ เป็ นองค์ประกอบสาํ คัญในเซลล์ส/งิ มีชีวติ เช่น คาร์บอน ออกซเิ จน คาร์บอนไดออกไซด์ และนํา\\ เป็ นต้น สารเหล่านีม\\ ีการหมุนเวียน ใช้ในระบบนิเวศ เรียกว่า วัฏจกั รของสารเคมีธรณีชีวะ (biogeochemical cycle) 2.2.2 สารอนิ ทรีย์ (organic compound) ได้แก่สารอนิ ทรีย์ท/จี าํ เป็ นต่อชีวติ เช่น โปรตนี คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และซากส/งิ มีชีวติ เน่าเป/ื อยทบั ถมกันใน ดนิ 2.2.3 สภาพภมู อิ ากาศ (climate regime) ได้แก่ปัจจยั ทางกายภาพท/มี ี อทิ ธิพลต่อส/งิ แวดล้อม เช่น อุณหภมู ิ แสง ความชืน\\ อากาศ และพนื\\ ผิวท/อี ยู่ อาศัย (substrate) ซ/งึ รวมเรียกว่า ปัจจยั จาํ กัด (limiting factors)
!. ระดบั การกนิ อาหาร (trophic levels) !.< ระดบั การกนิ อาหาร และห่วงโซ่อาหาร (trophic level and food chain)
!.# สายใยอาหาร (food web)
!.! ปฏสิ ัมพนั ธ์ระหว่างประชากรต่างชนิดกัน (Interspecific Interactions in Community) สKิงมีชีวติ ทงัN หลายในสังคมต้องมีปฏสิ ัมพนั ธ์กัน อาจมีทงัN พKงึ พาและ แก่งแย่งกัน ความสัมพนั ธ์ในรูปแบบต่างๆทาํ ให้สKงิ มีชีวติ มีวถิ ชี ีวติ ทKี แตกต่างกันซKงึ แบ่งได้เป็ น ! แบบใหญ่ ๆ ได้แก่ - การแก่งแย่ง (competition) - การล่าเหยKอื (predation) - ภาวะอยู่ร่วมกัน (symbiosis) ซKงึ แต่ละแบบทาํ หน้าทKเี ป็ นองค์ประกอบของสKงิ แวดล้อมเพKอื ปรับ ตวั ด้านววิ ัฒนาการ ผ่านการคัดเลือกทางธรรมชาติ การเรียนรู้ถงึ ความสัมพนั ธ์ของสKงิ มีชีวติ ในรูปแบบต่าง ๆ ทาํ ให้เข้าใจถงึ การ เปลKียนแปลงประชากรในสKงิ แวดล้อมได้ดขี นึN
การรวมตวั กัน( mobbing) นกกาสองตวั กาํ ลังร่วมกันขับไล่เหย?ียวซ?งึ มักจะมากนิ ไข่ และทาํ ลายลูกอ่อน
การพรางตวั (camouflage) กบใบไม้สีนํา> ตาลดาํ ทาํ ตวั ให้กลมกลืนกับสีของใบไม้แห้งบนพนื> ป่ า
สีสดใสสดุดตาของกบพษิ ลูกธนู (poison arrow frogs) ผู้ล่าทงัF หลาย รู้พษิ สงทJผี ิวหนังของกบพวกนีเF ป็ นอย่างดี ซJงึ นายพรานแถบอเมริกาใต้ ใช้ลูกดอกจุ่มพษิ นีเF พJอื ปลดิ ชีพสัตว์เลียF งลูกด้วยนมขนาดใหญ่
4. ความสัมพนั ธ์แบบการอยู่ร่วมกัน (symbiotic relationships) การอยู่ร่วมกันเป็ น ปฏสิ ัมพนั ธ์ระหว่างสปี ชีส์ ซSงึ สปี ชีส์หนSึง เรียกว่า symbiont อาศัยอยู่บนอีกสปี ชีส์หนSึง ซSงึ เรียกว่า โฮสต์ (host) มี X แบบ คือ - แบบปรสติ (parasitism) สSงิ มีชีวติ หนSึงได้ประโยชน์ในขณะทSี อีกฝ่ ายหนSึงได้รับอันตราย - แบบภาวะพSงึ พา (mutualism) เป็ นความสัมพนั ธ์ทSสี Sิงมีชีวติ 2 ชนิดจาํ เป็ นต้องอาศัยอยู่ร่วมกัน ถ้าแยกจากกันจะไม่สามารถดาํ รงชีวติ อยู่ได้
(ก) (ข) (ก) พยาธิตวั ตดื (Taenia pisiformis) สามารถทาํ ให้เกดิ การอุดตนั ในลาํ ไส้ (ข) ส่วนหวั และตะขอของพยาธิตวั ตดื ใช้ยดึ เกาะลาํ ไส้เพPอื ดดู อาหารจาก ผนังลาํ ไส้ของโฮสต์
(ก) (ข) (ก) ภาวะพ+งึ พา ระหว่างต้นอะเคเซียซ+งึ ให้ท+อี ยู่และนํา@ หวานท+ปี ลายใบกับ มด มดคอยป้องกันศัตรู และเชือ@ ราท+อี ยู่ใกล้ ๆ กับต้นอะเคเซีย (ข) ปเู สฉวน ให้ดอกไม้ทะเลยดึ เกาะและพาเคล+ือนท+ี ส่วนดอกไม้ทะเล ช่วยพรางตาต่อศัตรูและช่วยล่อเหย+ือเน+ืองจากมีเขม็ พษิ
ไลเคนบนเปลือกไม้ เป็ นการอยู่ร่วมกันของ รา กับ สาหร่าย โดยรา ให้ท?อี ยู่อาศัยและความชืนD ส่วน สาหร่าย ช่วยสังเคราะห์อาหาร
5. ภาวะองิ อาศัยหรือภาวะเกือ3 กูล (commensalism) 5.1 เป็ นการอยู่ร่วมกันของสIงิ มีชีวติ 2 ชนิด ทIฝี ่ ายหนIึงได้ประโยชน์ ส่วนอีกฝ่ ายไม่ได้และไม่เสียประโยชน์ เช่น - กล้วยไม้กับต้นไม้ กล้วยไม้ได้อาศัยต้นไม้ใหญ่เป็ นทIอี ยู่ แต่ ไม่ได้หยIงั รากลกึ ลงไปในลาํ ต้นเพIอื แย่งอาหาร จงึ ทาํ ให้ต้นไม้ใหญ่ไม่ได้ ประโยชน์แต่กไ็ ม่เสียประโยชน์ - ปลาฉลามกับเหาฉลาม (shark sucker) เหาฉลามได้กนิ เศษ อาหารทIเี หลือของปลาฉลาม โดยไม่ทาํ อันตรายต่อปลาฉลาม ปลา ฉลามจงึ ไม่ได้ประโยชน์และไม่เสียประโยชน์ด้วย - แมงดาทะเลกับหนอนตวั แบน หนอนตวั แบนได้กนิ เศษอาหาร ของแมงดาทะเลเนIืองจากอาศัยอยู่ตามเหลือกของแมงดาทะเล ส่วน แมงดาทะเลกไ็ ม่ได้ประโยชน์และไม่เสียประโยชน์
5.2 เป็ นการอยู่ร่วมกันของส7งิ มีชีวติ 2 ชนิด ท7ฝี ่ ายหน7ึงเสีย ประโยชน์ อีกฝ่ ายหน7ึงไม่ได้ประโยชน์แต่กไ็ ม่เสียประโยชน์ (Amensalism) แบ่งได้ 2 พวก ดงั นีR - แบคทเี รียกับราเพนิซลิ เลียม สารท7รี าสร้างขนึR มีผลยับยงัR การ เจริญเตบิ โตหรือทาํ ลายแบคทเี รียได้ แต่แบคทเี รียกไ็ ม่ ทาํ ให้ราไม่ได้ ประโยชน์แต่กไ็ ม่เสียประโยชน์ - ต้นไม้ใหญ่กับต้นไม้เล็ก ต้นไม้เลก็ มีการเจริญเตบิ โตไม่เตม็ ท7เี พราะถกู ต้นไม้ใหญ่แย่งนําR อาหาร แสง และอากาศ แต่ต้นไม้เล็กไม่ทาํ ให้ต้นไม้ ใหญ่เสียประโยชน์หรือได้ประโยชน์แต่อย่างใด
ประเภทของระบบนิเวศ ระบบนิเวศ แบ่งเป็ นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ 2 แบบ คือ ระบบนิเวศบน บกและระบบนิเวศในนําB ระบบนิเวศแบบต่าง ๆ ในทFนี ีจB ะกล่าวถงึ ระบบนิเวศ 4 แบบเท่านันB คือ 1. ระบบนิเวศแหล่งนําB จดื 2. ระบบนิเวศในทะเล 3. ระบบนิเวศป่ าชายเลน 4. ระบบนิเวศป่ าไม้
1. ระบบนิเวศแหล่งนํา2 จดื 1.1 ความสาํ คัญ เป็ นแหล่งอาศัยของสัตว์นํา2 และพชื นํา2 , เป็ นแหล่ง อาหารทHสี าํ คัญของมนุษย์และสัตว์ต่างๆเป็ นแหล่งทHใี ห้นํา2 ในการอุปโภค บริโภค และทาํ การเกษตร 1.2 ตวั อย่างสHิงมีชีวติ ในแหล่งนํา2 จดื พชื เช่น จอก สาหร่าย แหน สัตว์ เช่น หอย ปลาต่างๆ กุ้ง 1.3 สHงิ มีชีวติ ในแหล่งนํา2 ผู้ผลติ ได้แก่ พชื ต่างๆ ซHงึ ในแหล่งนํา2 มีทงั2 ทHเี ป็ นพวกแพลงก์ ตอน (Plankton) สาหร่ายต่างๆ เฟิ ร์น และพชื ดอก ผู้บริโภค ได้แก่ พวกแพลงก์ตอนสัตว์ แมลงต่างๆ และสัตว์ พวกกนิ ซากอนิ ทรีย์ ผู้ย่อยสลาย มีทงั2 พวกแบคทเี รีย เหด็ รา
1.4 ปัจจยั ท+มี ีผลต่อการดาํ รงชีพ ปัจจยั ต่างๆ ตามธรรมชาติ ได้แก่ แสง อุณหภมู ิ ปริมาณก๊าซออกซเิ จน ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ปริมาณแร่ธาตุ ความขุ่นใสของนําP ปัจจยั ทางชีวภาพ ได้แก่ ชนิด และปริมาณของส+งิ มีชีวติ แต่ละชนิด ปัจจยั ท+เี กดิ จากการกระทาํ ของมนุษย์ ได้แก่ การใช้ยาฆ่าแมลง ซ+งึ เม+ือ ชะล้างลงสู่แหล่งนําP จะไปทาํ ลายส+งิ มีชีวติ ใน นําP บางชนิด ทาํ ให้มีผลกระทบต่อ การถ่ายทอดพลังงานและสมดุลทางธรรมชาตใิ นแหล่งนําP 1.5 ระบบนิเวศแหล่งนําP จดื มี 2 ระบบ คือ ก. ชุมชนในแหล่งนําP น+ิง ผู้ผลติ คือ พชื ท+มี ีรากยดึ อยู่ในพนืP ดนิ ใต้ท้องนําP เช่น พวก กก บวั กระจดู นอกจากนีP ยังมีแพลงก์ตอนพชื และพชื ลอยนําP ต่างๆ เช่น สาหร่าย ไดอะตอม แหน จอก เป็ นต้น ผู้บริโภค คือ ส+งิ มีชีวติ ท+เี กาะอยู่ตามท้องนําP แพลงก์ตอน และส+งิ มีชีวติ ท+ี เกาะอยู่ตามต้นไม้ หรือใบไม้ของพชื นําP เช่น หอยโข่ง หอยขม ไฮดรา พลานาเรีย
ข. ชุมชนในแหล่งนํา/ ไหล - เขตนํา/ ไหลเช6ียว (Rapid Zone) เป็ นบริเวณท6กี ระแสนํา/ ไหลแรง ก้น ลาํ ธารสะอาด ไม่มีการสะสมของตะกอนใต้นํา/ เหมาะกับการดาํ รงของส6งิ มีชีวติ พวกท6สี ามารถเกาะตดิ กับวัตถุใต้นํา/ ได้ หรือคืบคลานไปมาได้สะดวก หรือ พวกท6ี สามารถว่ายนํา/ ท6สี ู้ความแรงของกระแสนํา/ ได้ จะไม่พบแพลงก์ตอน - เขตนํา/ ไหลเอ6ือย (Pool Zone) เป็ นบริเวณท6มี ีความลกึ และความเร็ว ของกระแสนํา/ ลดลง มีการตกตะกอนของอนุภาคใต้นํา/ การทบั ถมของตะกอน มาก เหมาะกับพวกท6ขี ุดรูอยู่และพวกท6วี ่ายนํา/ ไปมาได้อย่างอสิ ระ รวมทงั/ แพลงก์ ตอนด้วย 1.6 การปรับตวั ของส6งิ มีชีวติ ในชุมชนแหล่งนํา/ ไหลแรง - สามารถเกาะตดิ แน่นกับพนื/ ท6ผี ิวอาศัยอยู่ หรือซุกซ่อนตวั ตามวัตถุใต้นํา/ - มีโครงสร้างสาํ หรับเกาะหรือดดู ตดิ กับพนื/ ผิวอย่างม6ันคง - สามารถสกัดเมือกเหนียวใช้ยดึ เกาะ เช่น หอย - มีรูปร่างเพรียวเพ6อื ลดความต้านทานของกระแสนํา/ - ชอบว่ายทวนนํา/ อยู่เสมอ
2. ระบบนิเวศในทะเล 2.1 ความสาํ คัญ เป็ นแหล่งทรัพยากรธรรมชาตทิ Dใี หญ่ทDสี ุด 2.2 สภาพแวดล้อมของทะเล มีผลทาํ ให้สDงิ มีชีวติ มีการปรับตวั ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของทะเลดงั นีL - ทะเลและมหาสมุทรมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลและ ตดิ ต่อกันตลอด ทาํ ให้สDงิ มีชีวติ ในแต่ละแห่งไม่เหมือนกันขนึL อยู่กับ อุณหภมู ิ ระดบั ความเคม็ และระดบั ความลกึ - กระแสนําL ในมหาสมุทรมีการหมุนเวียนเชDือมต่อกัน กระแสนําL ทDเี คลDือนทDจี ากส่วนลกึ จะพาเอาแร่ธาตุทDอี ยู่ก้นทะเลขนึL มาสู่ ผิวนําL ทาํ ให้แพลงก์ตอนพชื ได้รับอาหารอุดมสมบรู ณ์ - ทะเลมีคลDืนและนําL ขนึL นําL ลง คลDืนและนําL ขนึL นําL ลง ทาํ ให้มี ผลต่อการดาํ รงชีวติ ของสDงิ มีชีวติ บริเวณชายฝDัง
2.3 ส'ิงมีชีวติ ในทะเล - แพลงก์ตอน มีทงั; แพลงก์ตอนพชื และสัตว์ เช่น ไดอะตอม กุ้งเคย ตวั อ่อนของเพรียงหนิ และยังมีพวกสาหร่าย เช่น สาหร่ายสี เขียว สาหร่ายสีเขียวแกมนํา; เงนิ - ส'งิ มีชีวติ ท'วี ่ายนํา; เป็ นอสิ ระ เช่น พวกปลาต่างๆ เต่า หมกึ ปลาวาฬ ปลาโลมา - ส'งิ มีชีวติ หน้าดนิ พบอยู่ท'วั ไป เช่น ฟองนํา; ปะการัง เพรียงหนิ หอยนางรม ดอกไม้ทะเล ปลิงทะเล ดาวทะเล หอยแครง พลับพลงึ ทะเล
2.4 ระบบนิเวศในทะเลมี 3 ชุมนุม (1) ชุมชนหาดทราย เป็ นบริเวณท?ไี ม่เหมาะกับการอาศัยของ ส?งิ มีชีวติ ในทะเลท?วั ไป เพราะมีสภาพแวดล้อมท?รี ุนแรง ส?งิ มีชีวติ จงึ มีการ ปรับตวั ดงั นีO - มีผิวเรียบ ลาํ ตวั แบนราบกับพนืO ทราย เพ?อื สะดวกแก่ การแทรกตวั หนีลงทราย เช่น หอยต่างๆ เหรียญทะเล - ลดขนาดของส่วนต่าง ๆ ลง เพ?อื ต้านทานกับทรายท?ถี กู คล?ืนซัดเป็ นประจาํ เช่น ปู - ทนความแห้งแล้งได้ดี - เคล?ือนไหวได้อย่างรวดเร็ว เพ?อื สามารถหลบหลีกศัตรู ได้อย่างรวดเร็ว - ชอบฝังตวั หรือขุดรูอยู่ในทราย
(2) ชุมชนหาดหนิ เป็ นบริเวณท6ปี ระกอบไปด้วยหนิ เป็ นส่วนใหญ่ ส6ิงมีชีวติ มีการปรับตวั ดงั นีD - มีความคงทน และทนทานต่อการเปล6ียนแปลงอุณหภมู ิ โดยจะมีสาร เคลือบพวกเจลลาตนิ รักษาความชืนD และป้องกันการระเหยของนําD - สามารถดดู ซมึ นําD เอาไว้ใช้เวลานําD ลงได้ เช่น พวกไลเคน - มีสารห้มุ ตวั เพ6อื ช่วยในการแลกเปล6ียนก๊าซได้ดี (3) ชุมชนแนวปะการัง ประกอบด้วยปะการังหลายชนิด มีรูปร่างต่าง ๆ กัน ประกอบด้วย แคลเซียมคาร์บอเนต (CO3) ซ6งึ การ สร้างปะการังจะมีมากหรือน้อยขนึD อยู่กับ อุณหภมู ิ และแสงสว่าง บริเวณท6มี ีแสงมากจะมีปะการังมาก เพราะปะการังส่วนใหญ่เจริญได้ดเี ม6ืออยู่รวมกับ สาหร่าย ปะการังสืบพนั ธ์ุได้โดยการแตกหน่อเช6ือม ตดิ กัน
3. ระบบนิเวศป่ าชายเลน 3.1 ความสาํ คัญ เป็ นแหล่งอาศัยและขยายพนั ธ์ุสัตว์นําD เป็ นตวั กลางทาํ ให้เกดิ ความสมดุลระหว่างทะเลกับบก เป็ นแหล่งพนั ธ์ุไม้ต่างๆ ทMมี ีความสาํ คัญทางเศรษฐกจิ หลาย อย่าง เป็ นแหล่งอาหารทMอี ุดมสมบรู ณ์ เป็ นฉากกาํ บงั ลม ป้องกัน การชะล้างทMรี ุนแรงทMเี กดิ จากลมมรสุม และเป็ นเสมือนกาํ แพงป้องกันการพงั ทลายของดนิ รากของพนั ธ์ุไม้ช่วยกรอง สMงิ ปฏกิ ูลต่าง ๆ ในนําD
3.2 ลักษณะของป่ าชายเลน ป่ าชายเลน เกดิ จากการทบั ถมของตะกอนบริเวณปากแม่นําA ประกอบไปด้วยทราย โคลน และ ดนิ บริเวณทGตี ดิ กับปากแม่นําA เป็ นดนิ เหนียว ถดั ไปเป็ นดนิ ร่วนและบริเวณทGลี กึ เข้าไปจะมีทรายมากขนึA นอกจากนีA บริเวณต่างๆ ของป่ าชายเลนยังแตกต่างในด้านของความเป็ น กรด-เบส ความเคม็ รวมทงัA ความสมบรู ณ์ของดนิ ซGงึ วัดได้จากปริมาณของ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) โปแตสเซียม (K) 3.3 ลักษณะของสGงิ มีชีวติ ในป่ าชายเลน - พชื จะมีรากคาํA จุน เพGอื ช่วยพยุงลาํ ต้นไม่ให้ล้ม เมGืออยู่ในดนิ เลน เมลด็ พชื จะงอกตงัA แต่อยู่บนต้นแม่ - มีโครงสร้างของใบทGที าํ ให้สามารถเกบ็ สะสมนําA ได้มาก และมี โครงสร้างทGปี ้องกันการสูญเสีย นําA โดยการคายนําA
3.4 ส'งิ มีชีวติ ท'อี าศัยตามชายฝ'ังป่ าชายเลน - พชื ได้แก่ โกงกาง แสมดาํ โปรงขาว โปรงหนู รังกะแท้ ชะคราม ตะบนู ตนี เป็ ดทะเล ตาตุ่มทะเล ปรงทะเล เทยี นทะเล ลาํ พู ลาํ แพน ถ'วั ขาว ผักเบยีO ทะเล เป็ นต้น - สัตว์ท'อี ยู่ตามรากพชื เช่น ปู หอยต่างๆ - สัตว์ท'อี ยู่ตามหน้าดนิ ตามชายเลน ได้แก่ ปลาตนี ปเู สฉวน ปู แสม ทากทะเล หอยขีนO ก กุ้ง ดดี ขัน ปูก้ามดาบ - สัตว์ในดนิ ได้แก่ ไส้เดอื นทะเล หอยฝาเดยี ว
4. ระบบนิเวศป่ าไม้ 4.1 ความสาํ คัญ - แหล่งรวมพนั ธ์ุไม้และสัตว์ป่ าต่าง ๆ ช่วยกาํ บงั ลมพายุ - แหล่งต้นนําF ลาํ ธาร ทาํ ให้ฝนตกตามฤดกู าล - ช่วยควบคุมอุณหภมู บิ นโลก ช่วยรักษาความชุ่มชืนF ของผิวดนิ และอากาศ - ผลติ ก๊าซออกซเิ จน (O2) และใช้ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)แหล่งสะสม ป๋ ุยธรรมชาติ - ลดความรุนแรงของนําF ป่ าและ การพงั ทลายของหน้าดนิ ท_เี กดิ จากกระแส นําF ไหลบ่า
4.2 ลักษณะของป่ าไม้และสังคมส8งิ มีชีวติ ในป่ าของประเทศไทย เช่น ป่ าพรุ (Freshwater swamp forest) พบตามท8ลี ุ่มในภาคใต้ เป็ นป่ าท8มี ีนําX จดื ขังอยู่ตลอดปี และนําX มีความเป็ นกรดสูง ลักษณะของป่ าแน่นทบึ พนั ธ์ุไม้ส่วนใหญ่ เป็ นไม้ขนาดเลก็ เช่น หวาย หมากแดง เป็ นต้น ป่ าสนเขา (Coniferous Forest Biomes) เป็ นป่ าเขียวตลอดปี ประกอบด้วย พชื พรรณพวกท8มี ีใบเรียวเลก็ เรียวยาว ขนึX อย่างหนาแน่น มียอดปกคลุมทบึ ตลอด ปี ไม่มีการผลัดใบ แสงผ่านลงมาถงึ พนืX ดนิ น้อย ดนิ เป็ นกรด ขาดธาตุอาหาร ส8ิงมีชีวติ ท8พี บ เช่น แมวป่ า หมาป่ า หมี เม่น กระรอก และนก ป่ าดบิ ชืนX (Tropical Rain Forest Biomes) เป็ นป่ าท8มี ีฝนตกตลอดปี พชื เป็ น พวกใบกว้างไม่ผลัดใบปกคลุมหนาแน่น มีอุณหภมู แิ ละความชืนX พอเหมาะต่อการ เจริญเตบิ โตของพชื ประกอบด้วยไม้ยืนต้นนานาชนิด พนืX ดนิ มีต้นไม้ขนึX กระจดั กระจาย เพราะได้รับแสงไม่เพยี งพอ พนั ธ์ุไม้ท8พี บ ได้แก่ ไม้ยาง ไม้ตะเคียน บริเวณ พนืX ดนิ เป็ นพวกเฟิ ร์น หวาย ไม้ไผ่และเถาวัลย์
ปา\" พรโุ ต)ะแดง จ.นราธวิ าส ปา\" สนเขา เขตรกั ษาพนั ธสุ; ตั ว;ปา\" ภูหลวง จ.เลย
Search
Read the Text Version
- 1 - 47
Pages: