Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ปฏิบัติการทางเทคโนโลยีการศึกษา

ปฏิบัติการทางเทคโนโลยีการศึกษา

Description: ปฏิบัติการทางเทคโนโลยีการศึกษา

Search

Read the Text Version

ค�ำ น�ำ หนงั สือเลน่ นม้ี เี นอื้ หาสาระเกย่ี วกับราวิชา ปฏบิ ัตกิ ารทางเทคโนโลยีการศกึ ษา จัดทำ�ข้นึ เพอ่ื ใช้ ประกอบการเรยี นการศกึ ษา ซ่ึงกลา่ วถงึ 5 ทกั ษะความรสู้ �ำ คญั ในรายวชิ าของ ปฏิบตั กิ ารทางเทคโนโลยี การศึกษาโดย 5 ทกั ษะความร้ทู ส่ี �ำ คัญคอื อเิ ลก็ ทรอนิกส์พ้ืนฐาน พนื้ ฐานโทรทัศน์ การถา่ ยรูปและจกั แสง การออกแบบกราฟกิ เบอ้ื งตน้ และคอมพิวเตอร์พื้นฐาน โดยผูจ้ ัดทำ�หนังสือเลน่ นหี้ วังวา่ ผทู้ ี่สนใจ หรอื ตอ้ งการหาความรู้ของรายวชิ าจะไดรบั ความรไู้ มม่ ากก็น้อยแลว้ สามารถนำ�ไปประยุกต์ใชไ้ ด้ในชีวติ ประจำ�วนั ทกั ษ์ดนัย ประดษิ กุล



สารบญั บทที่ 1 อเิ ลก็ ทรอนิกส์เครอื่ งเสยี ง 3 - ท่มี าของอเิ ล็กทรอนิกส์ 4 - เครือ่ งมือเครอ่ื งใชท้ างอเิ ล็กทรอนกิ ส์ 11 - การบัดกรี 13 - การถอนบัดกรี 15 - ลำ�โพง เครอ่ื งขยายเสยี ง 25 บทท่ี 2 โทรทัศน์ การถา่ ยทำ� 35 - ความหมายและหนา้ ท่ขี องโทรทศั น์ 43 - การเขยี นสตอรบี่ อร์ด 37 บทที่ 3 การถ่ายภาพและจัดแสง 55 - การจดั ภาพเบ้อื งตน้ 56 - การจดั ไฟ 65 บทท่ี 4 การออกแบบเบ้อื งตน้ ผ66 - กราฟฟกิ คืออะไร - พ้นื ฐานการออกแบบ บทที่ 5 คอมพิวเตอร์เบ้อื งตน้ - คอมพวิ เตอร์คอื อะไร - อุปกรณ์คอมพิวเตอร์



บทที่ 1 อเิ ล็กทรอนกิ ส์เครอ่ื งเสยี ง

ที่มาของอิเลก็ ทรอนิกส์ ประวตั ิศาสตรห์ น้าแรกของวงการอเิ ล็กทรอนกิ ส์ น่าจะ เรมิ่ มาจากการประดษิ ฐ์หลอดรงั สีคาโธดของเซอร์ วิล เลียม ครกุ ส์ ในปี ค.ศ. 1875 อันนำ�ไปสู่การค้นพบรงั สี เอ็กซ์โดย เรินทเ์ กน ในปี ค.ศ. 1895 และการคน้ พบ อิเลก็ ตรอนโดย ทอมสัน ในปี ค.ศ. 1897 จากนน้ั ใน ปี ค.ศ. 1904 เฟลมิง ไดป้ ระดษิ ฐ์หลอดไดโอดข้ึนเปน็ ครง้ั แรก ซ่งึ ก็เปน็ พ้นื ฐานของอุปกรณอ์ ิเล็กทรอนกิ ส์ทกุ ชนดิ จากนัน้ อีก 2 ปีต่อมา ฟอเรสต์ กส็ ามารถประดษิ ฐ์ หลอดไตรโอดซง่ึ สามารถควบคุมกระแสการไหลของ อเิ ลก็ ตรอนได้ ถดั มาอกี 13 ปี คอื ในปี ค.ศ. 1919 ชอตตก์ ี คดิ คน้ หลอดสญุ ญากาศแบบหลายขวั้ นอกจาก นัน้ เขายังไดพ้ ฒั นาทฤษฎีทใ่ี ช้อธบิ ายการไหลของ อเิ ลก็ ตรอนและหลมุ ในอปุ กรณอ์ ิเลก็ ทรอนกิ ส์ 3 บทที่ 1 อเิ ลก็ ทรอนิกสเ์ คร่ืองเสยี ง

เคร่อื งมือเคร่อื งใชท้ างอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ 4บทท่ี 1 อิเลก็ ทรอนิกสเ์ ครื่องเสยี ง

ตัวตา้ นทาน 1) ตัวตา้ นทานคงที่ 2) ตัวต้านทานทเ่ี ปลย่ี นค่าได้ ( Fixed Value Resistor ) ( Variable Value Resistor ) เปน็ ตัวต้านทานท่มี คี ่าความ เป็นตวั ตา้ นทานทีเ่ มอ่ื หมนุ แกนของ ต้านทานของการไหลของกระแส ตวั ตา้ นทาน แลว้ คา่ ความตา้ นทาน ไฟฟ้าคงที่ มีสัญลักษณท์ ใี่ ช้ใน จะเปลีย่ นแปลงไป นิยมใชใ้ นการ วงจร คอื ซง่ึ สามารถอา่ นคา่ ความ ควบคมุ คา่ ความต่างศักยไ์ ฟฟ้า ต้านทาน ( Voltage ) ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ไดจ้ ากแถบสีทค่ี าดอยบู่ นตวั ความ เช่น การเพม่ิ – ลดเสยี งในวิทย์หรือ ตา้ นทาน มหี นว่ ยเป็นโอห์ม ( Ω ) โทรทศั น์ เปน็ ต้น แถบสที อ่ี ยบู่ นตวั ตา้ นทานโดยสว่ น มากจะมี 4 แถบ และมีแถบสที ีช่ ิด 3) ตวั ตา้ นทานไวแสง กันอยู่ 3 สี อีกสีหน่ึงจะอยู่ ห่างออก หรือ แอลดีอาร์ ( LDR ) ไปทปี่ ลายขา้ งหนงึ่ การอา่ นค่าจะ ย่อมาจาก Light Dependent ตวั ตา้ นทานคงที่ เร่ิมจากแถบสีทอ่ี ยู่ชดิ กันก่อนโดย Resistor เป็นตัวตา้ นทานปรับค่า ตวั ตา้ นทานท่ี แถบที่อยู่ดา้ นนอกสดุ ใหเ้ ปน็ แถบสี ได้ โดยค่าความต้านทานขึ้นอยูก่ บั เปลี่ยนคา่ ได้ ท่ี 1 และสถี ดั ไปเปน็ สที ่ี 2, 3 และ 4 ปริมาณแสงท่ีตกกระทบ ถา้ แสงท่ี ตวั ตา้ นทานไวแสง ตามล�ำ ดบั สีแต่ละสจี ะมรี หัสประจ�ำ ตกกระทบมปี รมิ าณมาก LDR จะมี แตล่ ะสี คา่ ความต้านทานต�ำ่ 5 บทท่ี 1 อิเล็กทรอนกิ ส์เครื่องเสียง

ตัวเกบ็ ประจุ ตวั เกบ็ ประจเุ ป็นอุปกรณอ์ เิ ล็กทรอนิกสช์ นดิ หน่ึงท่ที �ำ หน้าทส่ี ะสมประจุไฟฟ้าหรอื คายประจไุ ฟฟ้าให้กบั วงจร หรอื อุปกรณอ์ ืน่ ๆ ตัวเกบ็ ประจุบางชนดิ จะมีขวั้ คือขัว้ บวก และขวั้ ลบ ดงั นัน้ การต่อตวั เกบ็ ประจใุ นวงจร ตอ้ งตอ่ ให้ถูกขว้ั และ ต้องทราบค่าของตวั เกบ็ ประจุด้วยวา่ เหมาะสมกบั วงจรอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์นนั้ ๆ หรือไม่ ซ่ึงค่าความจขุ องตัวเก็บ ประจุจะมีหน่วยเปน็ ฟารดั ( Farad ) ใช้ตัวอกั ษรย่อคือ F แต่ตัวเกบ็ ประจทุ ีใ่ ช้กนั ทวั่ ไปมักมหี น่วยเปน็ ไมโครฟา รดั ( µ F ) ซ่งึ 1 F มีค่าเทา่ กบั 10 6 µ F ตวั เก็บประจุมดี ้วยกันหลายแบบหลายขนาด แตล่ ะแบบจะมีความ เหมาะสมกับงานท่ีแตกตา่ งกัน ตัวเกบ็ ประจุโดยทั่วไปแบ่งเป็น 2 แบบ ได้แก่ 1) ตัวเก็บประจชุ นิดคา่ คงที่ 2 ) ตวั เกบ็ ประจเุ ปลย่ี นค่าได้ ( Variable Value Capacitor ) เปน็ ( Fixed Value Capacitor ) เปน็ ตวั ตวั เกบ็ ประจทุ ส่ี ามารถปรบั คา่ ความจไุ ด้ โดยท่วั ไปมักใชใ้ นวงจร เก็บประจทุ ไี่ ดร้ บั การผลติ ใหม้ คี ่าคงท่ี ปรบั แตง่ สัญญาณทางอเิ ล็กทรอนิกส์ หรือพบในเคร่ืองรบั วิทยุซง่ึ ใช้ ไมส่ ามารถเปลย่ี นแปลงคา่ ความจุได้ แต่ เป็นตวั เลอื กหาสถานีวทิ ยุ ตวั เกบ็ ประจุชนดิ นี้สว่ นมากเปน็ ตวั เกบ็ จะปรบั ค่าความจุให้เหมาะสมกบั วงจร ประจุชนดิ ใชอ้ ากาศเปน็ สาร ไดอเิ ลก็ ทรกิ และการปรับค่าจะท�ำ ได้ ไดโ้ ดยนำ�ตัวเกบ็ ประจหุ ลายๆ ตวั มาตอ่ โดยการหมนุ แกน ซง่ึ มโี ลหะหลายๆ แผ่นอยบู่ นแกนนนัน้ เมอ่ื หมนุ กนั แบบขนานหรอื อนกุ รม แกนแผ่นโลหะจะเล่ือนเขา้ หากันท�ำ ให้ค่าประจเุ ปลย่ี นแปลง ตวั เกบ็ ประจุชนิดค่าคงทีื่ ตัวเก็บประจเุ ปลยี่ นค่าได้ 6บทที่ 1 อิเล็กทรอนกิ สเ์ คร่อื งเสียง

ไดโอด/ทรานซิสเตอร์ ทรานซสิ เตอรเ์ ป็นอปุ กรณอ์ ิเล็กทรอนิกสท์ ี่ ทำ�จากสารกึ่งตัวนำ� ทรานซสิ เตอรแ์ ต่ละชนิดจะมี 3 ขา ไดโอดเปน็ อุปกรณอ์ เิ ลก็ ทรอนกิ สท์ ีท่ �ำ ได้แก่ จากสารก่ึงตวั นำ� ช่วยควบคุมให้กระแส -ขาเบส ( Base : B ) ไฟฟ้าจากภายนอกไหลผา่ นไดท้ ิศทาง -ขาอมิ ิตเตอร์ ( Emitter : E ) เดยี ว และป้องกนั กระแสไฟฟา้ ไหลยอ้ น -ขาคอลเลก็ เตอร์ ( Collector : C ) หากแบง่ ประเภท กลบั จากอปุ กรณ์กับถา่ นไฟฉายข้วั บวก ( ของทรานซิสเตอรต์ ามโครงสร้างของสารทนี่ �ำ มาใช้จะ + ) และแคโทด ( Cathode : K ) ต้อง แบง่ ได้ 2 แบบ คือ ตอ่ กับถ่าน ไฟฉายข้ัวลบ ( - ) การต่อได โอเข้ากับวงจรตอ้ งตอ่ ให้ถูกขว้ั ถ้าตอ่ ผดิ 1) ทรานซิสเตอร์ชนดิ พเี อ็น 2) ( NPN ) มสี ัญลกั ษณ์ ข้วั ไดโอดจะไมย่ อมให้กระแสไฟฟา้ ไหล พี ( PNP ) มสี ัญลกั ษณใ์ น ในวงจรเป็น เป็น ผา่ น ท�ำ ใหเ้ คร่อื งใช้ไฟฟ้าท�ำ งานในวงจร วงจรเปน็ เปน็ ทรานซสิ เตอร์ ทรานซสิ เตอรท์ ่ีจ่ายไฟเข้าท่ี ไมไ่ ด้ซง่ึ สญั ลกั ษณ์ของไดโอดในวงจร ท่ีจา่ ยไฟเขา้ ทขี่ าเบสให้มี ขาเบสให้มีความตา่ งศักย์สูง ไฟฟา้ เปน็ ไดโอดบางชนิดเมือ่ มกี ระแส ความตา่ งศักยต์ ำ่�กว่าขาอมิ ติ กว่าขาอิมติ เตอร์ ไฟฟ้าไหลผา่ นจะให้แสงสวา่ งออกมา เตอร์ เราเรยี กว่าไดโอดเปล่งแสง หรือ แอลอี ดี ( LED) ซง่ึ ย่อมาจาก Light Emitting ทรานซสิ เตอรเ์ ปน็ อุปกรณซ์ ึ่งถกู ควบคมุ ด้วยกระแส ไฟฟา้ ที่ผ่านขา B หรือเรยี กวา่ กระแสเบส น่นั Diode คือ เมอื่ กระแสเบสเปลย่ี นแปลงเพยี งเล็กนอ้ ยก็ จะทำ�ใหก้ ระแสไฟฟา้ ในขา E (กระแสอมิ ติ เตอร)์ และกระแสไฟฟ้าในขา C (กระแสคอลเล็กเตอร)์ เปลยี่ นแลงไปด้วย ซ่งึ ทำ�ใหท้ รานซสิ เตอรท์ ำ�หน้าที่ เปน็ สวติ ช์ปดิ หรอื เปดิ วงจร โดยถา้ ไมม่ ีกระแส ไฟฟ้าผา่ นขา B กจ็ ะทำ�ให้ไม่มกี ระแสไฟฟ้าผา่ นขา E และ C ดว้ ย ซ่งึ เปรียบเสมือนปดิ ไฟ (วงจรเปดิ ) แตถ่ ้าใหก้ ระแสไฟฟ้าเพียงเลก็ น้อยผา่ นขา B จะ สามารถควบคมุ กระแสไฟฟา้ ท่มี ากกว่า ใหผ้ า่ นทรานซสิ เตอร์แล้วผา่ นไปยงั ขา E และผ่าน ไปยังอุปกรณ์อ่นื ทีต่ อ่ จากขา C ไดโอด ทรานซิสเตอร์ 7 บทที่ 1 อิเล็กทรอนิกส์เครอื่ งเสียง

2)ตวั เก็บประจุ(Capacitor) มลั ตมิ ิเตอร์ ในดา้ นการทำ�งานหรอื การสร้างรวมไปถงึ กระบวนการ ซ่อมแซมอปุ กรณอ์ ิเลก็ ทรอนกิ ส์ก็จ�ำ เปน็ ที่จะต้องมีเคร่อื งมอื ท่ีจะ เปน็ ตัวชว่ ยในการทำ�งานต่างๆให้ท�ำ งานไดอ้ ยา่ งสะดวกและถูกต้อง จงึ จ�ำ เปน็ ที่จะตอ้ งมีเครือ่ งมอื อปุ กรณ์ต่อไปนี้ มัลติมเิ ตอร์แบบเข็ม มลั ติมิเตอร์แบบตวั เลข หรอื ระบบ สโคปมิเตอร์ - มัลติมิเตอรแ์ บบเข็ม (analog ดติ ิตอล - เคร่ืองมืดวดั ชนิดน้ีจะสามารถ multimeter, AMM) เคร่ืองมือวัด - เป็นเครื่องมอื วดั ทพี่ ัฒนาต่อมา วดั คา่ ออกมาเป็นกราฟ มองเหน็ แบบนเี้ ป็นเคร่ืองมอื วัดรนุ่ เก่าแต่ยัง จากเครื่องวัดแบบเข็ม แต่จะมกี าร ได้ โดยทวั้ ไปสโคปมเิ ตอรจ์ ะมรี าคา มกี ารใช้งานอยทู่ ่วั ไปปกตแิ ล้วมลั ติ ใช้งานงา่ ยกวา่ เพราะเปน็ ตวั เลข แพง และมที ้งั แบบทเี่ ป็นอนาลอ็ ก มิเตอรแ์ บบนจ้ี ะ สามารถ ท�ำ การ แสดง และ การปลอดภยั การการ และแบบทีเ่ ปน็ ดติ ิตอล ซึง่ สามารถ วัดค่าตา่ งๆได้ เชน่ ความตา่ ง วดั ผดิ ขั้วมมี ากกว่า และอาจจะมี เก็บบนั ทึกคา่ ได้ ความจ�ำ เป็นของ ศกั ยก์ ระแสตรง / ความตา่ งศกั ย์ ฟงั กช์ ั่นการใชง้ านหรอื คา่ ท่ีต้องการ การใช้ งานสโคปคืองานท่ีตอ้ งการ กระแสสลับ / ปรมิ าณกระแสตรง วดั มาก กว่าแบบเขม็ และบางรนุ่ ท่จี ะจะเหน็ สญั ญาณอเิ ล็กทรอนิกส์ / ความตา้ นทานไฟฟ้า อาจจะสามารถแสดงเปน็ กราฟ ต่างๆ และบนั ทึกค่าวัดไดด้ ้วย มลั ติมเิ ตอรแ์ บบเขม็ มัลตมิ เิ ตอร์แบบตัวเลข สโคปมิเตอร์ หรอื ระบบดิติตอล 8บทที่ 1 อเิ ล็กทรอนิกสเ์ ครอ่ื งเสยี ง

เครื่องมืออิเล็กทรอนิคส์ ในงานทางอิเล็กทรอนิกส์จะมเี ครื่องมอื ใชง้ านนอกเหนอื จากเครืองมอื วัดดังต่อไปนี้ คมี / ไขควง แบบตา่ งๆ คมี จะใช้ในการตดั ขา หรอื งอขาอปุ กรณ์ การตัดสายไฟขนาดเลก็ ดังน้นั เราควรจะมี ไว้ประจ�ำ กายเสมอโดย เฉพาะนกั อิเล็กทรอนกิ สท์ ช่ี อบประกอบชดุ คิท คีมพวกนจี้ ะมีทั้งคมี ตดั คีบหนีบเป็นต้น และราคาไมแ่ พงมากข้นึ อยกู่ ับคณุ ภาพของตวั คีมเอง สว่ นไขขวงโดยมากจะใช้ ในการขันอปุ กรณบ์ างพวกเช่น ตวั ต้านทานเกอื กมา้ หรอื ใชข้ นั นอ็ ตกล่องตา่ งๆสำ�หรับใชช่ ดุ คิท 9 บทท่ี 1 อเิ ลก็ ทรอนกิ สเ์ ครือ่ งเสยี ง

หวั แรง้ /ตะกว่ั หวั แร้งมใี ว้ส�ำ หรบั การบัดกรีอุปกรณ์อิเล็กทรอนกิ ส์ ลง ตะกว่ั บดั กรี บนบอร์ดหรอื แผน่ วงจร การบัดกรีสายไฟกับคอนเน็กเตอร์ แบบ -ตะกัวบัดกรใี ช้ในการบดั กรีงาน ต่างๆ เปน็ ตัน หวั แรงที่เราเห็นในท้องตลาดจะมีด้วยกนั หลาย ท่ัวไป โดยจะมใี หเ้ ลอื กใช้หลาย แบบ คือ แบบ ตามความเหมาะกบั การใช้ 1. หัวแรง้ แบบวัตต์คงท่ี หัวแรงแบบนี้คา่ ก�ำ ลังวตั ต์จะ งาน โดยสามารถ สอบถามจาก ไม่สามารถปรบั คา่ ความรอ้ นได้ พนักงานขายหรืออา่ นจากคมู่ ือการ 2. หัวแรงปืน หัวแรง้ แบบนสี้ ามารถเปลย่ี นก�ำ ลังวัตต์ ใช้งาน ใหส้ ูงข้นึ ได้โดยการกดปมุ่ ทดี่ ดู ตระกั่ว 3. หวั แร้งทสี่ ามารถเปลย่ี นหัวได้ แบบนีจ้ ะมรี าคาสูง -ใชใ้ นการดูดกระกั่วท่ีไม่ต้องการ และจะสามารถเลอื กหัวที่เหมาะสมในการบัดกรีงานตา่ งๆ ออกจากตัวอปุ กรณ์ ซ่ึงจะใช้ตอน เปล่ียนอุปกรณ์ 10บทที่ 1 อิเล็กทรอนกิ ส์เครือ่ งเสยี ง

การบดั กรี การบัดกรี (soldering) เปน็ วธิ กี ารหนึง่ ที่ใช้ในการเชอื่ มตอ่ ลายทองแดงของแผ่นวงจรพิมพ์ซึ่งท�ำ หนา้ ทเี่ สมอื นสายไฟ เขา้ กับขาของอปุ กรณ์อเิ ล็กทรอนกิ ส์ รวมถึงเชื่อมต่อสายไฟ หรือสายสญั ญาณตา่ งๆ เข้ากับปล๊กั คอนเนก็ เตอร์ หรอื จุดตอ่ ตา่ งๆ โดยมหี วั แร้งทำ�หน้าทีห่ ลอมตะก่วั เพ่ือเช่อื มลายทองแดง และขาของอุปกรณ์ใหแ้ น่น ดังน้นั การบดั กรกี ค็ อื การหลอม โลหะเพื่อเช่ือมต่อโลหะ 2 จดุ หรือมากกวา่ เข้าดว้ ยกนั ในทีน่ ้ี คือ ลายทองแดงหรอื สายไฟกบั ขาของอุปกรณ์ โดยใชต้ ะก่วั เป็นตวั ประสานจุดต่อ 11 บทท่ี 1 อเิ ลก็ ทรอนกิ สเ์ ครื่องเสยี ง

การบัดกรี เริ่มต้นด้วยการเตรยี มแผน่ วงจรพิมพท์ ี่พร้อมสำ�หรับการบดั กรีติดต้งั อุปกรณ์ รวมถึงเครอ่ื งมอื พื้นฐานและอปุ กรณ์ท้งั หมดทใ่ี ชใ้ นการบัดกรี ขัน้ ตอนการบดั กรมี ดี งั น้ี 1. เสยี บหวั แร้งขนาด 25 ถงึ 30 วัตต์ เข้ากบั ไฟบ้าน (แต่ถ้าหากใช้ กับลวดบัดกรแี บบไม่มตี ะก่ัวผสม แนะน�ำ ใหใ้ ช้ขนาด 40 ถึง 65 วัตต์ หรือใชแ้ บบท่มี ปี มุ่ ปรับกำ�ลงั ไฟสูง) รอประมาณ 5 นาที เพื่อให้ปลาย หวั แรง้ มีความรอ้ นพอเหมาะส�ำ หรบั การบดั กรี โดยให้น�ำ หวั แรง้ เสยี บไว้ กับทวี่ างหัวแร้งเพ่อื เตรยี มพร้อมรอการใชง้ าน 2. เสยี บขาอุปกรณเ์ ข้ากับแผน่ วงจรพิมพ์ โดยถ้า เป็นตวั ต้านทาน ต้องทำ�การดัดขาให้พอดกี บั จุดบัดกรี และงอขากลับเลก็ น้อย เพื่อ ปอ้ งกันมิใหต้ วั ตา้ นทานหลุดออกจากแผน่ วงจรพมิ พ์ 3. น�ำ หวั แรง้ แตะไว้ทขี่ าของอุปกรณ์ประมาณ 2 – 3 วินาท 4.  น�ำ ลวดบดั กรมี าจที้ ี่ขาของตวั ตา้ นทานจะเหน็ ลวดบดั กรเี ริ่ม หลอมละลายเพอ่ื เช่อื มขาอุปกรณ์และจดุ บัดกรเี ข้าด้วยกนั สังเกตจุด บัดกรจี ะเกิดความเงางาม มีลักษณะคลา้ ยรูปทรงกรวย 5.  ใช้คีมตัดขาของอุปกรณ์ทีย่ ื่นเกนิ จากจดุ บดั กรีออกไป 12บทท่ี 1 อิเลก็ ทรอนกิ สเ์ ครือ่ งเสยี ง

บทที่ 1 อเิ ลก็ ทรอนกิ สเ์ คร่ืองเสียง การถอนบัดกรี ลวดซบั ตะกว่ั (Desoldering Wick Remover) ดดู ตะกว่ั (Desoldering pump) มีลกั ษณะเปน็ ลวดทองแดงถกั เปน็ ผืน มี ทด่ี ดู ตะกั่วเปน็ เครอื่ งมอื ทมี่ ีจำ�หน่ายในร้าน ใหเ้ ลือกใชห้ ลายขนาด โดยพจิ ารณาจากความ ขายเคร่อื งมืออเิ ล็กทรอนกิ ส์ทั่วไปเชน่ เดยี ว กวา้ งของลวสดซบั เป็นหลัก ขนาดทน่ี ยิ มใช้งาน กบั หวั แร้ง มลี กั ษณะเป็นกระบอก ซึง่ ภายในมี คอื กว้าง 2.5 มลิ ลิเมตรขนึ้ ไป การใช้งานจะ ลกู สูบและมีก้านออกมาทางทา้ ยของกระบอก ตอ้ งนำ�ปลายของลวดซับตะก่วั ทาบลงบนจดุ ที่ เวลาใช้งานจะต้องกดท่ีก้านทอ่ี อกมาดา้ นหลงั ตอ้ งการถอนบัดกรี แล้วใชป้ ลายของหัวแรง้ จที้ ี่ เขา้ ไปจนสลกั ถูกบงั คบั เมอ่ื พรอ้ มสำ�หรบั การ ลวดซับตะกวั่  ตะกั่วจะละลายติดลวดซับตะก่วั ดูดตะกวั่ ทบ่ี ริเวณใกลก้ ับมือจับจะมปี ุ่มกดเพื่อ ออกมาจนหมดหรือเกอื บหมด ปลดสลกั เม่อื กดแลว้ ลกู สบู จะคืนตัวกลับอย่าง รวดเร็วจากสปรงิ ที่อยู่ภายในพร้อมกับดดู ตะก่วั เขา้ ไปดว้ ย ลวดซับตะกั่ว ดดู ตะก่ัว 13 บทท่ี 1 อิเลก็ ทรอนิกสเ์ ครอ่ื งเสียง

บทท่ี 1 อิเล็กทรอนกิ ส์เครอื่ งเสยี ง การใช้ลวดซบั ตะกั่วในการถอนบัดกรี การถอนบัดกรีด้วยทด่ี ูดตะกว่ั แสดงในรปู น�ำ ปลายของลวดซบั ตะกั่วทาบ การใช้งานทีด่ ดู ตะกว่ั ในการถอนบดั กรีต้องใช้ คู่กบั หวั แรง้  โดยใช้หัวแร้งเป็นตวั ละลายตะก่วั ลงบนจุดท่ีต้องการถอนบดั กรี แลว้ ใชป้ ลายของ ในต�ำ แหนง่ ท่ีตอ้ งการถอนบัดกรี จากนัน้ กดปุ่ม หวั แร้งจี้ท่ีลวดซบั ตะก่ัว ตะกัว่ จะละลายตดิ ลวด สลกั บนที่ดูดตะกั่วเพอื่ ดูดตะกว่ั ออก ซบั ตะก่วั ออกมาจนหมดหรอื เกือบหมด จากนั้น ขอ้ ดคี อื ไมส่ นิ้ เปลือง เน่ืองจากลวดบัดกรีทถ่ี ูก ก็สามารถน�ำ อปุ กรณท์ ่เี ราต้องการถอนออกได้ ดดู ออกจะเขา้ ไปอยูใ่ นกระบอกของท่ดี ดู ตะก่วั ส�ำ หรบั วธิ กี ารนี้มีขอ้ ดคี อื  ลวดบดั กรจี ะนำ�ออก เม่ือดดู จนเต็ม เพยี งถอดฝาปิดออก แล้วน�ำ เศษ ไปจนเกือบหมด ถา้ ใชล้ วดซบั ตะกวั่ ทีม่ ีคุณภาพ ลวดบัดกรไี ปทง้ิ ก็สามารถน�ำ กลบั มาใช้งานตอ่ ด ี ขอ้ เสียคอื คอ่ นข้างสน้ิ เปลอื ง เน่อื งจากเม่อื ไปได้ เหมาะสำ�หรบั จุดบดั กรขี นาดไม่ใหญน่ ัก ซบั ลวดบดั กรแี ล้ว ตอ้ งตดั ส่วนท่ซี บั ลวดบัดกรี ควรใชก้ ับจุดบดั กรที ีม่ ีขนาดพอๆ กับปลายของ น้นั ทง้ิ ไป เพือ่ จะใช้งานต่อไปได้ ทำ�ให้ลวดซับ ท่ดี ดู ตะกั่วหรอื เลก็ กวา่ ตะก่ัวเป็นอปุ กรณส์ นิ้ เปลืองอยา่ งหน่งึ ขอ้ เสยี คอื เม่อื ใช้งานทดี่ ดู ตะกว่ั ไประยะหนึ่ง จะมเี ศษลวดบดั กรีตกค้างอยู่ภายใน จะตอ้ ง ถอดฝาปิดออกมาท�ำ ความสะอาด ซงึ่ ข้ันตอน นีต้ อ้ งระมดั ระวัง เพราะอาจมีเศษลวดบัดกรีท่ี เป็นละอองเล็กๆ หลดุ ออกมาด้วย ผใู้ ชง้ านตอ้ ง ระมัดระวงั อย่าเผลอสดู ดมเขา้ ไป ลวดซบั ตะก่ัว ดดู ตะกัว่ 14บทท่ี 1 อิเลก็ ทรอนิกส์เครอื่ งเสยี ง

บทที่ 1 อเิ ลก็ ทรอนิกสเ์ ครื่องเสียง ลำ�โพง การแบ่งลำ�โพงตามลักษณะการตอบสนองความถี่ของคลืน่ เสียง 3 ชนิด คือ - ล�ำ โพงเสียงทุ้ม (Woofer) - ลำ�โพงเสยี งกลาง (Mid- - ล�ำ โพงเสียงแหลม (Tweet- เป็นลำ�โพงกรวยกระดาษ range / Squawked) เปน็ er) เปน็ ล�ำ โพงกรวยรูปโดม แบบไดนามิก ขนาดใหญ่ ลำ�โพงท่ตี อบสนอง ความถ่ี ขนาดเล็ก แบบไดนามกิ ซ่งึ มเี สน้ ผา่ ศูนยก์ ลาง ตงั้ แต่ ในช่วงกลางๆ เป็นล�ำ โพง มีเสยี งแหลม ตอบสนอง 6 นิว้ ข้ึนไป มีความไวตอ่ กรวยกระดาษ แบบไดนามิก ความถี่ประมาณ 5,000 การสัน่ สะเทอื น ตอบสนอง เส้นผา่ ศนู ย์กลาง 4 &ndash Hz ขึ้นไป มีเสน้ ผา่ ศูนยก์ ลาง ความถ่เี สียงในช่วง 20 - 6 น้ิว ตอบสนองความถ่ี ประมาณ 2 - 3 นิ้ว 250 Hz เสยี งในชว่ งประมาณ 500 - 5,000 Hz 15 บทที่ 1 อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์เคร่อื งเสยี ง

บทที่ 1 อเิ ลก็ ทรอนิกส์เคร่ืองเสียง การแบง่ ล�ำ โพงตามลกั ษณะการใชง้ าน ได้ 3 ประเภท คือ - ล�ำ โพงใช้ภายในอาคาร - ล�ำ โพงใชภ้ ายนอกอาคาร - ล�ำ โพงใช้ภายในและ (Indoor speaker) ใช้ตดิ ต้ัง (Outdoor speaker) โดย ภายนอกอาคาร เปน็ ล�ำ โพง ภายในอาคาร ส่วนมากนยิ ม มากมักเปน็ ลำ�โพงที่มแี ผน่ ทส่ี ามารถใชไ้ ด้ทงั้ ภายในและ ใช้เป็นลำ�โพงกระดาษเพื่อ ส่นั เป็นพวกโลหะหรือ ภายนอกอาคาร ซึง่ มิได้เนน้ ใหไ้ ด้เสียงที่ชดั เจนนมุ่ นวล ไฟเบอร์ เพือ่ ให้ความคม ให้มีเสียงและความคงทน เนือ่ งจากการฟงั เสียงภายใน ชัดของเสียงสงู สามารถส่ง ที่ดีมาก แต่เน้นเป็นกลางๆ อาคารหากมเี สียงไมน่ มุ่ นวล กระจายเสียง ไปให้ผฟู้ งั ท่ีอยู่ ส่วนใหญจ่ ะมเี สยี งกลาง หรือมีเสยี งแทรกอาจท�ำ ให้ ไกลๆ ไดย้ ินได้ แตผ่ ฟู้ งั ท่ีอยู่ (Midrange) ใส่ในต้ลู �ำ โพง เสยี สมาธใิ นการฟังได้ ล�ำ โพง ใกล้จะร�ำ คาญเสยี งทอ่ี อกมา รูปยาวๆ หรือสูง ประมาณ ท่ใี ช้ภายในอาคารน้นี ยิ มใช้ ล�ำ โพงประเภทนี้ เปน็ ล�ำ โพง 4 - 12 ตวั เหมาะสำ�หรับ เปน็ ล�ำ โพงตู้ อาจเป็นแบบตง้ั ทมี่ คี วามแขง็ แรงทนแดดทน งานโฆษณา การกระจาย โต๊ะ ตดิ ผนงั หรอื เป็นแบบฝงั ฝน อันได้แก่ ลำ�โพงปากแตร เสยี ง ใชใ้ นหอ้ งประชุมใหญ่ ไว้บนฝา้ เพดานเลยก็มี หรอื ลำ�โพงฮอร์น (Horn) เป็นตน้ 16บทที่ 1 อเิ ลก็ ทรอนกิ สเ์ ครอื่ งเสยี ง

บทท่ี 1 อิเล็กทรอนกิ สเ์ คร่ืองเสยี ง ระบบขยายเสียง ระบบขยายเสียง ประกอบด้วยสว่ นส�ำ คัญ 3 ส่วน คอื - ภาคสญั ญาณเข้า (Input Signal) - ภาคขยายสญั ญาณ (Amplifier) - ภาคสญั ญาณออก (Output Signal) ภาคสัญญาณเข้า (Input Signal) เปน็ ภาคทที่ �ำ หนา้ ที่ เปลี่ยนคลนื่ เสยี งให้เป็นคลื่น ไฟฟ้าความถเ่ี สยี ง เชน่ ไมโครโฟนหรืออีกนยั หน่งึ ภาคสัญญาณเข้า เป็นอปุ กรณ์ประเภทเคร่อื งเสียง เช่น เครือ่ งเล่นแผ่นเสยี ง 17 บทที่ 1 อิเล็กทรอนิกสเ์ ครอื่ งเสียง

บทที่ 1 อิเลก็ ทรอนิกสเ์ ครอื่ งเสยี ง ภาคขยายสญั ญาณ (Amplifier) - ภาคขยายสญั ญาณ (Amplifier)เป็นภาคที่รับสัญญาณไฟฟ้าความถเ่ี สียง จากภาคสญั ญาณเขา้ แล้วนำ�ไปขยายสญั ญาณใหม้ คี วามแรงข้ึนเพ่ือเตรยี มสง่ ต่อไปยงั ภาคสญั ญาณออก ภาคขยายสญั ญาณเป็นภาคทร่ี บั สัญญาณไฟฟา้ ความถี่เสียง จากภาคสญั ญาณเข้า แลว้ น�ำ มาปรับแต่งและ ขยายสัญญาณใหม้ คี วามแรงข้นึ เพอ่ื เตรยี มสง่ ต่อไปยัง ภาคสัญญาณออก ภาคขยายแบง่ ออกเปน็ 2 วงจร คือ วงจรก่อนการขยาย และ วงจรขยายกำ�ลัง - วงจรก่อนการขยาย (Pre amplifier) เนือ่ งจากสัญญาณทถ่ี กู สง่ เข้ามาจากภาคสญั ญาณ เข้ามีความแตกต่างกนั มากบ้างน้อยบ้าง เชน่ ไมโครโฟน เคร่ืองบันทึกเสียง เคร่อื งเลน่ คอมแพ กดิสก์ เปน็ ต้น ดังนั้นภาคกอ่ นการขยายจะชว่ ยใน การปรับแต่งเสยี งใหม้ ีสญั ญาณมากนอ้ ยพอๆ กนั ก่อนจะสง่ ไปวงจรขยายกำ�ลัง - วงจรขยายก�ำ ลัง (Power Amplifier) ทำ�หน้าที่ รบั สญั ญาณจากวงจรกอ่ นขยาย (Pre Amplifi- er) เข้ามาเพอื่ ท�ำ การขยายให้มีก�ำ ลงั แรงเพ่มิ ขึ้น อุปกรณ์ทีใ่ ชใ้ นข้ันตอนนี้ กไ็ ดแ้ ก่ เคร่ืองขยายเสยี ง (Amplifier) นน่ั เอง 18บทที่ 1 อิเล็กทรอนิกสเ์ ครอ่ื งเสยี ง

บทท่ี 1 อเิ ล็กทรอนิกส์เคร่ืองเสยี ง เครอ่ื งขยายเสยี ง นิยมแบ่งชนดิ ตามกำ�ลงั ของการขยายเสยี ง คือ การแบง่ ตามความดังของ ภาคขยาย เช่นเครือ่ งขยายเสยี งทน่ี ิยมใชก้ นั มกี ำ�ลงั ตั้งแต่ 10 วตั ต์ ไปจนถึง หลายร้อยวตั ต์ เลยทเี ดยี ว กำ�ลงั วตั ตข์ องเครื่องขยายเสยี งจะบอกถงึ ความดงั ที่ออกทางลำ�โพงกล่าวคอื เคร่อื งขยายเสยี งทีม่ ีก�ำ ลัง 200 วัตต์ จะดังกวา่ เคร่ืองขยายเสยี งท่ีมกี �ำ ลงั 150 วัตตน์ ั่นเอง สว่ นประกอบดา้ นหลงั ของเคร่ืองขยายเสียง ไดแ้ ก่ - ช่องรับสัญญาณเขา้ ใชเ้ สยี บ Jack ต่อสญั ญาณท่ีมาจากภาค สญั ญาณเขา้ เช่น ไมโครโฟน เคร่ืองเลน่ แผน่ เสยี ง เป็นต้น - จุดส�ำ หรบั ตอ่ สญั ญาณออก ใชต้ อ่ สายเพ่ือส่งกำ�ลังไฟฟา้ ความถ่ี เสียงไปยงั ภาคสัญญาณออก อนั ไดแ้ ก่ ลำ�โพง น่ันเอง - สายไฟฟา้ เข้าเครื่อง เป็นสายตอ่ เพอ่ื ใช้ไฟฟา้ ภายในบ้าน ซ่ึงใน ประเทศไทยจะใช้ไฟฟ้า 220 Volts สว่ นประกอบด้านหน้าของเคร่ืองขยายเสียง ไดแ้ ก่ - ปุ่มควบคุม (Control Knobs) Mic.1 Mic.2 Mic.3 เปน็ ปมุ่ ควบคุมการรับสัญญาณไฟฟา้ ความถเี่ สียง จากไมโครโฟน แตล่ ะตัวเพือ่ ทำ�การปรับความดังของไมโครโฟนแต่ละตวั แยกอิสระจากกนั - ป่มุ ควบคุม Phono เปน็ ปุ่มควบคุมสัญญาณทม่ี าจากเครื่องเล่นแผน่ เสียง (Phonograph) - ปมุ่ ควบุคม Aux. เป็นปมุ่ ควบคุมสญั ญาณท่ีมาจาก Auxiliary เช่นเคร่ืองบนั ทกึ เสียงที่มีการขยาย สญั ญาณก�ำ ลังต�ำ่ มาก่อนแล้ว หรอื อาจใช้ควบคมุ อุปกรณร์ บั สญั ญาณเข้าอ่นื ๆ ท่ีไมม่ ีป่มุ ควบคุมอยดู่ า้ น หน้าดว้ ย - ปมุ่ ควบคมุ การปรบั แต่งเสยี งท้มุ (Bass) และแหลม (Treble) หรือปมุ่ Tone Control ใชเ้ พ่อื ปรับเสยี ง ทุ้มแหลม ของเสยี งใหม้ ากขนึ้ ในเครื่องขยายเสยี งบางรุ่นอาจรวม ปุม่ ปรบั แต่ทุ้มแหลมนีไ้ วใ้ นปุ่มเดยี วกนั กเ็ ป็นได้ - ปุม่ ควบคมุ การขยายกำ�ลงั (Master volume) ทำ�หนา้ ทคี่ วบคุมสัญญาณให้มีเสยี งดงั เบา กอ่ นจะออก ทางลำ�โพง ซงึ่ ปุ่มนีจ้ ะท�ำ หนา้ ที่ร่วมกับปมุ่ อืน่ ๆ ทกุ ปมุ่ ข้างตน้ ด้วย ดงั นั้นการท่ปี รับป่มุ Master volume ดงั เบา กจ็ ะทำ�ให้เสียงท่อี อกทางล�ำ โพงดังเบาตามปมุ่ นี้เปน็ สำ�คญั - สวติ ชไ์ ฟฟา้ (Switch) ใช้เปิด (On) เมือ่ ตอ้ งการเริ่มใชง้ าน และใชป้ ิด (Off) เมือ่ เลกิ ใช้งาน - หลอดไฟหนา้ ปัด (Pilot lamp) หลอดไฟฟา้ แสดงใหท้ ราบว่า มีไฟฟ้าเขา้ เครอ่ื งฯ หรอื ไม่ 19 บทที่ 1 อเิ ลก็ ทรอนกิ สเ์ คร่อื งเสียง

บทท่ี 1 อเิ ลก็ ทรอนิกสเ์ ครื่องเสียง ภาคสัญญาณออก (Output Signal) ภาคสัญญาณออก (Output Signal)เป็นภาคทท่ี ำ�หน้าทร่ี ับสัญญาณไฟฟ้า ความถีเ่ สียงทไ่ี ด้ รับ การขยาย จากภาคขยายสญั ญาณ (Amplifier) น�ำ มาเปล่ยี น เปน็ คลน่ื เสียง อปุ กรณ ข์ องภาคสญั ญาณ ออก ไดแ้ ก่ ล�ำ โพงภาคสัญญาณออก ภาคสัญญาณออก เปน็ ภาคท่เี ปลยี่ นพลังงานไฟฟ้าความถีเ่ สียง เปน็ พลงั งานเสียง ซึง่ ไดแ้ ก่ ลำ�โพง ล�ำ โพงมกี ารแบง่ ประเภท ไดห้ ลายลักษณะ เชน่ การแบ่งตามลกั ษณะ โครงสร้าง ภายในของล�ำ โพง การแบง่ ตามลักษณะ การตอบสนองความถี่ของคลน่ื เสียง การแบง่ ตาม ลักษณะการใช้งาน ลักษณะของเครอ่ื งขยายเสยี งทด่ี ี - มชี ่องรบั สญั ญาณเข้าหลายวงจรและหลายชอ่ ง เพ่อื สามารถเลอื กใช้ใหเ้ หมาะสม - มีก�ำ ลังขยายสงู โดยท่ไี มม่ ีเสียงเพ้ียน (Distortion) และเสยี งฮมั (Hum) - สามารถขยายเสยี งไดท้ กุ ชว่ งความถข่ี องเสยี ง ตงั้ แต่ 20 - 20,000 ไซเคิลอย่างสม�่ำ เสมอ - ให้ความไพเราะ ชัดเจน (high fidelity) - สามารถปรบั เสียงทุ้มและเสียงแหลมไดม้ าก - สามารถเคลื่อนยา้ ยสะดวก - สามารถต่อเขา้ กับเครอ่ื งมอื อืน่ ๆ ท่นี ยิ มใช้กนั ทั่วไปได้สะดวก - บำ�รุงรักษาและซอ่ มแซมง่าย - มคี วามทนทานและปลอดภยั ในการใช้ - มีจุดส�ำ หรับสญั ญาณออกท่ีจะเลอ่ื นให้เหมาะกับความตา้ นทานของล�ำ โพงหลายชดุ 20บทที่ 1 อิเลก็ ทรอนกิ ส์เครอ่ื งเสยี ง



บทท่ี 2 โทรทัศน์ การถ่ายท�ำ

ทีวดี จิ ิทลั ทีวดี ิจติ อล (Digital TV) คอื ทีวีท่รี องรับการออกอากาศในรปู แบบดจิ ิตอล ให้สัญญาณภาพและ เสียง ทีม่ คี ณุ ภาพดกี ว่าแบบอนาล็อก และใช้คลืน่ ความถท่ี ่มี อี ย่ไู ดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพมากขึน้ โดยดิจติ อลทวี ี จะใช้สัญญาณดิจิตอลท่ถี กู บบี อดั และเข้ารหสั ที่มคี ่าเปน็ “0” กับ “1” เท่านั้น ซึ่งในหนงึ่ ช่วงคลนื่ ความถ่จี ะ สามารถนำ�มาสง่ ไดห้ ลายรายการโทรทัศน์ พร้อมสญั ญาณภาพและเสยี งท่ีมีความละเอียดคมชัดมากย่งิ ขนึ้ ซึ่ง ปจั จบุ ัน ในต่างประเทศท้ังในยุโรป แอฟริกา และเอเชยี ได้เริม่ เปล่ียนมาใช้สญั ญาณโทรทัศนแ์ บบทีวีดจิ ิตอล แล้วมากกว่า 38 ประเทศ 23 บทท่ี 2 โทรทศั น์และการถา่ ยท�ำ

อุปกรณก์ ารถ่ายท�ำ รายการโทรทศั น์ แคม่ กี ลอ้ ง / ไมค์ / คอมพิวเตอร์เพื่อตัดตอ่ แค่นี้ก็สามารถสร้างรายการไดแ้ ลว้ การสร้างรายการทวี ีเบ้อื งต้น ความร้เู บ้ืองตน้ ของการผลิตรายการโทรทัศน์ ดร.บญุ รักษ์ บุญญะเขตมาลา เคยกลา่ วว่า “ภาพยนตร”์ เป็นศลิ ปะแขนงท่ี 7 ที่รวมเอา ศลิ ปะทงั้ 6 แขนง วรรณกรรม จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปตั ยกรรม ดนตรี ละคร ไวด้ ว้ ยกัน โทรทศั น์ กค็ ือการต่อยอดของ ภาพยนตร์ ทอ่ี าศยั วิทยาการและนวตั กรรมสมยั ใหม่ เขา้ มาเป็นเคร่ืองมือ แทนฟิลม์ ภาพยนตรน์ ั่นเอง 24บทที่ 2 โทรทัศน์และการถา่ ยทำ�

ความหมายและหน้าที่ ความหมายและบทบาทหนา้ ทต่ี า่ งๆของทีมผลติ รายการ 1. ผู้อำ�นวยการผลิต Excutive Producer เป็นผูบ้ ริหารระดับสงู มหี นา้ ที่ การจัดรา่ ง จัดท�ำ ควบคุมงบประมาณการผลิต เปน็ แหล่งสนบั สนนุ ดา้ นการหางบประมาณ และดูแลรับผิดชอบเร่อื งคา่ ใชจ้ า่ ย ตา่ งๆ ถ้าในระดับองคก์ ร มตี �ำ แหนง่ เทียบเท่ากับ CEO 2. ผคู้ วบคมุ การผลติ Producer ดูแล ควบคมุ และบริหารการผลิตรายการ ในทุกดา้ น เป็นผู้มี อำ�นาจตดั สินใจสงู สดุ ในการผลติ รายการโทรทศั น์ 3. ผชู้ ่วยผคู้ วบคุมการผลติ Co-producer เป็นผชู้ ว่ ยของProducer ในดา้ นต่างๆ 4. ผสู้ รา้ งสรรค์รายการ Creative พฒั นาและสรา้ งสรรคร์ ปู แบบการนำ�เสนอรายการให้นา่ สนใจ 5. Script-writer รอ้ ยเรยี งเนือ้ หา ผลิตบทสำ�หรับพธิ ีกร และรายการ 6. ประสานงาน Co-ordinator มีหนา้ ท่ตี ิดตอ่ ประสานงาน ท้ังภายนอก (แขกรบั เชญิ / สถานท่ี / อาหาร ฯลฯ) และภายใน (ฝา่ ยต่างๆ) ใหท้ ำ�งานได้อยา่ งราบรนื่ และสมั พนั ธ์กัน 7. ศิลปกรรม ดูแล ผลติ และออกแบบฉาก และบรรยากาศให้เป็นไปตามเน้ือหาในรายการ 8. ชา่ งภาพ Cameraman 9. ผู้ก�ำ กบั เทคนิค ( Technical Director ) 10. ช่างกล้อง ( Camera Operators ) 11. ช่างเทคนิคดา้ นแสง ( Lighting Technician) หรือ ผู้ก�ำ กบั แสง 12. ช่างเทคนิคดา้ นภาพ ( Video Engineer ) หรือ ผูก้ ำ�กบั ภาพ 13.ชา่ งเทคนคิ ด้านเสียง ( Audio Engineer ) หรือผู้ก�ำ กบั เสยี ง 14.ช่างเทคนคิ ผคู้ วบคมุ การตดั ตอ่ ( Videotape Editor ) 15.ผ้ชู ว่ ยประสานงานการผลิต ( Production Assistant ) 16.ผู้ก�ำ กบั เวที ( Floor or Stage Manager ) 25 บทที่ 2 โทรทัศนแ์ ละการถา่ ยทำ�

ปจั จยั และองคป์ ระกอบทจี่ ะตอ้ งคำ�นงึ ทกุ ครั้ง ในกระบวนการผลิตรายการโทรทัศน์ (4 M + 1 T) - คน (MAN) - อุปกรณ์ (MATERIAL) - งบประมาณ (MONEY) - การจดั การ (MANAGEMENT) - เวลา (TIME) ขน้ั ตอนการผลิตรายการ บันได 3 ข้นั ( 3 P ) Pre- Production ข้นั ตอนการเตรียมงาน Production ข้นั ตอนการผลิตรายการ Post-Production ขั้นตอนเรยี บเรยี งและล�ำ ดับรายการ กอ่ นเป็นช้นิ งาน หัวใจของการผลิตรายการ 1. เขยี นบท 2. ถ่ายทำ� 3. ก�ำ กับ 4. ตัดต่อ 26บทที่ 2 โทรทัศนแ์ ละการถ่ายทำ�

บทท่ี 2 โทรทัศนแ์ ละการถา่ ยท�ำ ขัน้ เตรียมการ PRE-PRODUCTION 1. วางแผน (Plan) กำ�หนดเรือ่ งราว เน้อื หา ทตี่ อ้ งการจะผลติ โดยยึดหลัก 5 W + 2H - Who กลมุ่ เปา้ หมายเป็นใคร / รายการตอบสนองคนกลมุ่ ไหน - Why วัตถปุ ระสงค์ในการผลติ รายการ - What จะผลติ รายการอะไร xประเภทไหน - Where ก�ำ หนดสถานทใ่ี นการถา่ ยท�ำ รายการ (ในสตดู โิ อ / ภายนอก ) ออกอากาศชอ่ งทางไหน ตดั ตอ่ ที่ไหน - When จะเริ่มผลิตเม่อื ไหร่ / ออกอากาศเมอื่ ไหร่ เวลาไหน ให้ตรงกบั กลุ่มเป้าหมาย / จะใช้เวลาในการ ผลิตเทา่ ใด - How จะผลติ รายการอยา่ งไร ก�ำ หนดรายละเอียดในการผลติ - How Much ใชง้ บประมาณเทา่ ไหร่ 2. หาข้อมลู เตรียมเนอ้ื หา โดยค้นหาไดจ้ าก - เอกสาร - บคุ คล / แหลง่ ข่าว - สถานทจี่ ริงท่ีจะไปถา่ ยทำ� แล้วน�ำ มารวบรวม สงั เคราะห์ จดั ท�ำ และเรยี บเรียงเนือ้ หา ให้เป็นโครงร่างรายการ 3. จดั ท�ำ สครปิ ท์ / บท เรม่ิ จากวางประเด็น (Concept) => แก่นของเรือ่ ง (Theme) => เคา้ โครงเร่ือง (Plot / Treatment) => (Outline Script / Synopsis) => บทโทรทศั น์ (Full Script) => บทภาพ (Story board) 4. ประสานงาน กับสว่ นต่างๆ ทั้งภายใน (ทมี งาน) และภายนอก (สถานท่ี / พิธีกรหรือผู้แสดง) 27 บทท่ี 2 โทรทศั นแ์ ละการถ่ายทำ�

บทท่ี 2 โทรทศั นแ์ ละการถ่ายทำ� ขนั้ ตอนผลิตรายการ PRODUCTION สถานทก่ี ารถา่ ยทำ�นอกสตดู โิ อ แบ่งตามลักษณะการทำ�งานได้เปน็ 3 รูปแบบ 1. ENG (Electronic News Gethering) เปน็ การถ่ายท�ำ โดยใช้กล้องเด่ยี ว เหมาะส�ำ หรบั งานท่ี ต้องการความคล่องตัว ใช้ทมี งานในหารถ่ายทำ�ไมม่ ากนัก เช่น ข่าว สารคดี 2. EFP (Electronic Field Product) เป็นการถา่ ยท�ำ ที่ใช้กลอ้ งมากกวา่ 1 ตัว ต่อสายเคเบลิ้ จาก กลอ้ งไปสูเ่ ครือ่ งผสมสัญญาณ (Mixer) เพอื่ ท�ำ การเลือกภาพ ให้ได้ภาพท่หี ลากหลาย ไดอ้ ย่างต่อเนอ่ื ง เหมาะกบั งานประเภท สนทนา สาธติ หรือภิปราย 3. Mobile Unit เป็นการถ่ายทำ�ทมี่ ลี กั ษณะคล้ายกบั EFP และการถา่ ยท�ำ ในสตูดโิ อ โดยอกุ รณ์การ ควบคุม จะติดตง้ั อย่ใู นรถทีเ่ รียก OB (Outsid Broadcasting) สว่ นใหญจ่ ะใช้ในงานที่มีการถา่ ยทอดสดตา่ งๆ การเตรยี มการถา่ ยทำ� - เตรียมและตรวจเชค็ อุปกรณ์ - จดั เตรยี มฉากและพนื้ ท่ีทจี่ ะใช้ - จดั เตรียมแสง และเสียง - จดั วางตำ�แหนง่ กลอ้ ง - ซกั ซ้อมทมี งานทุกฝา่ ย - ซ้อมการแสดง - ถา่ ยท�ำ จรงิ ตามท่ไี ดท้ ำ�การซักซอ้ มกบั นกั แสดงไวแ้ ล้ว **** ควรจะมกี ารถ่ายทำ�เผื่อไวห้ ลังจากถ่ายท�ำ เสร็จสน้ิ แลว้ เพือ่ ประโยชนใ์ นการตัดตอ่ ในการเลือกภาพ หรือ แทรกภาพ (Insert / Cut away) **** 28บทที่ 2 โทรทัศนแ์ ละการถา่ ยทำ�

บทที่ 2 โทรทศั น์และการถา่ ยทำ� ความเข้าใจเร่ืองภาพ ขนาดภาพ 1. Extreme Long Shot ( ELS) เป็นขนาดภาพทว่ี า้ งมาก สว่ นใหญ่จะใชเ้ พอ่ื แนะนำ�สถานท่ี แสดงภาพรวม ทัง้ หมดของฉากนัน้ ๆ 2. Long Shot ( ELS) ภาพกว้าง ท่เี จาะจงสถานที่มากขึ้น เพ่อื แสดงความสำ�คญั ของภาพ 3. Medium Shot (MS) ภาพระยะปานกลาง เปน็ ภาพวตั ถุในระยะปานกลางเพือ่ ตัดฉากหลงั และรายละ เอียดอ่ืนๆทไี่ มจ่ ำ�เปน็ ออกไป และเนน้ เรื่องราวท่เี ราต้องนำ�เสนอ รายละเอียดจะเหน็ มากมากขน้ึ เชน่ ภาพครง่ึ ตวั 4. Close Up (CU) ภาพระยะใกล้ เปน็ ภาพท่ตี ดั ฉากหลงั ออกท้งั เพอ่ื เน้นในสิ่งทีเ่ ราต้องการน�ำ เสนอ เชน่ สหี น้า แผลทข่ี า ทีม่ ือกำ�ลังเขยี นหนงั สอื เป็นต้น ส่วนใหญเ่ ปน็ ภาพท่ใี ชส้ ่ือดว้ ยภาษากาย มากกว่าการส่อื ด้วยการ พูด 5. Extreme Close Up (ECU) ภาพใกล้มาก จะเนน้ เจาะจง เฉพาะจุดที่ส�ำ คัญเทา่ นั้น เช่น เฉพาะแววตา ปาก เพือ่ แสดงอารมณ์ของภาพ มมุ ภาพ - ภาพมุมสงู / มุมกด - ใหค้ วามรสู้ กึ กดดัน หรือตกตต่�ำ ของตวั ละคร - ภาพระดบั สายตา – เป็นท่วั ไป คลา้ ยแทนสายตาผชู้ ม ภาพมุมต�่ำ / มุมเงย – ใหค้ วามรู้สึกยิง่ ใหญ่ มีพลงั อำ�นาจ 29 บทที่ 2 โทรทัศนแ์ ละการถา่ ยทำ�

บทที่ 2 โทรทศั นแ์ ละการถ่ายทำ� มมุ ภาพจะลกั ษณะท่ถี ่าย เพื่อบอกเนอื้ หา และลกั ษณะภาพทีถ่ า่ ย เช่น - ภาพท่ีถ่ายจากมุมสงู (aerial shot / bird’s eyes view) - ภาพครึ่งอก (Bust Shot) - ภาพเอียง (Canted Shot) - ภาพถา่ ยขา้ มไหล่ (Cross Shot / X Shot) - ภาพเตม็ ตัว (Full Shot) - ภาพบุคคล 2 คนคร่ึงตัว (Two Shot / Double Shot ) ลกั ษณะของภาพ ภาพแบบออฟเจคตฟี (Objective Shot) เปน็ การถ่ายภาพในลกั ษณะแทนสายตาของผ้ชู ม ภาพแบบซับเจคตีฟ (Subjective Shot) เปน็ การถา่ ยภาพในลักษณะกลอ้ งจะตั้งอยู่ในตำ�แหนง่ แทน สายตาของผ้แู สดง การแพนกลอ้ ง (Panning) หมายถึง การเคล่อื นทข่ี องกลอ้ งตามแนวนอนไปทางซา้ ย หรอื ไปทางขวา โดยกลอ้ งยงั อยู่ ณ จุดเดมิ การทิล้ ท์ (Tilting) หมายถงึ การเคลอ่ื นกล้องตามแนวดิ่ง จากลา่ งขึน้ บน และจากบนลงลา่ ง โดยกล้องยงั อยู่ ณ จุดเดมิ เพือ่ ใหเ้ ห็นวัตถุตามแนวตงั้ เชน่ ภาพอาคารสงู 30บทท่ี 2 โทรทัศน์และการถา่ ยทำ�

บทที่ 2 โทรทัศน์และการถา่ ยท�ำ การซมู (Zooming) หมายถงึ การเปลีย่ นความยาวโฟกสั ของเลนส์ ในขณะทีถ่ ่ายภาพโดยการใชเ้ ลนส์ซูม ท�ำ ให้มมุ ภาพ เปลีย่ นไป ถา้ เปล่ยี นความยาวโฟกสั สัน้ ลง มุมจะกวา้ ง แตถ่ ้าปรบั ความยาวโฟกัสให้ยาว มมุ ภาพจะแคบลง ดังนั้นการซูมจะ ช่วยเปลี่ยนขนาดของวัตถใุ ห้ใหญข่ ้ึน (Zoom In) หรือเปลีย่ นขนาดของวัตถใุ หเ้ ลก็ ลง(Zoom Out)ได้โดยตงั้ ขาต้งั กล้องไมต่ ้องขยบั เปลีย่ นต�ำ แหน่งกล้องไป การดอลลี่ (Dolling) หมายถึง การเคลอ่ื นกล้อง เข้าหาวัตถุ เรียกวา่ Dolly in หรอื การเคล่ือนไหวกล้องออกจากวตั ถุ เรยี กวา่ Dolly out การดอลล่ี (Dolly) จะคล้ายซมู (Zoom) ความลึกของภาพจะมากกว่าการซมู การแทรค (Trucking / Tracking ) หมายถึง การเคลอื่ นกล้องไปด้านซา้ ยหรือขวาใหข้ นานกับวตั ถุ การแทรค็ จะคล้ายกบั การแพน แต่จะให้ความ ร้สู ึกเคล่อื นผชู้ มเคลอ่ื นที่ เพราะฉากจะมกี ารเปลย่ี นแปลงตามการเคล่อื นกล้อง การอาร์ค (Arking) หมายถงึ การเคลอื่ นกลอ้ งในแนวเปน็ รปู ครึ่งวงกลม การเครน (Booming / Craning) หมายถงึ การเคลอ่ื นกล้องแนวต้งั ข้นึ ลง 31 บทท่ี 2 โทรทศั นแ์ ละการถ่ายทำ�

บทท่ี 2 โทรทัศนแ์ ละการถา่ ยทำ� การดี โฟกสั (De focus) หมายถึงการปรบั เลนส์ภาพท�ำ ใหเ้ บลอกอ่ นท่ีเปลย่ี นภาพแลว้ กลบั มาชดั อีกครง้ั (ส่วนใหญจ่ ะใชใ้ นกรณี เปน็ ความนกึ คดิ ของตวั ละคร) การชิพ โฟกสั (Shift focus) หมายถงึ การปรบั ความคมชดั ของภาพ จากจุดหนงึ่ ไปยังอกี จุดหน่งึ เพื่อใหผ้ ชู้ มสนใจตรงจุดทเี่ ราโฟกัส น่ันเอง สติลชอ็ ต (Still Shot) หมายถงึ การถา่ ยภาพโดยไมเ่ คลอ่ื นกล้อง ใช้มากในการถา่ ยทำ�รายการทัว่ ไป เป็นภาพท่ีเห็นกันโดย ทว่ั ไป ความตอ่ เนอ่ื ง และสมจริง แกนสนทนา หรือแกน 180 องศา (Axis Line / Conversation Line / 180. Line ) หมายถึง เส้นสายตาระหว่างคูส่ นทนา มีเพอ่ื ปอ้ งกันการสบั สนของผู้ชม นน่ั คือ ไม่ว่าจะย้ายกล้องไปทิศทาง ใด กไ็ มค่ วรจะขา้ มเส้นสมมตเิ สน้ น้ี เพราะถ้าถ่ายข้ามเสน้ 180 น้ี จะทำ�ให้ ภาพทอี่ อกมา จะเป็นมมุ กลับกนั ยกเว้นกรณที ี่ถา่ ย Shot เดียวตอ่ เนอ่ื ง แลว้ เคล่อื นกล้องขา้ มเส้น 180 นไ้ี ป 32บทท่ี 2 โทรทัศนแ์ ละการถ่ายท�ำ

บทที่ 2 โทรทศั น์และการถา่ ยท�ำ องค์ประกอบภาพ กฎ 3 ส่วน: เปน็ การแบ่งเฟรมภาพ ออกเป็น 3 สว่ นทั้งแนวตั้งและแนวนอน เพือ่ เป็นแนวในการทจ่ี ะเน้นส่งิ ที่ เราต้องการจะสื่อ เสน้ น�ำ สายตา เสน้ ทแยงมมุ เส้นสามเหลยี่ ม เส้นรัศมี ความสมดุลของภาพ แสงพืน้ ฐานในการถา่ ยท�ำ รายการโทรทศั น์ Key light Fill light Back light 33 บทท่ี 2 โทรทศั นแ์ ละการถ่ายทำ�

บทที่ 2 โทรทศั น์และการถา่ ยท�ำ ขั้นหลงั การผลิตรายการ POST PRODUCTION เป็นกระบวนการสดุ ทา้ ยก่อนที่จะเผยแพรส่ สู่ าธารณชน เป็นนำ�เอาภาพที่ไปถ่ายทำ� มาเรียบเรยี งตดั ตอ่ ส่วนท่ีเกินหรอื ไมต่ อ้ งการออก หรอื เอาภาพทีต่ อ้ งการมาแทรก มีการใสส่ ีสันความนา่ สนใจด้วยการใชเ้ อฟเฟ็ค ต่างๆ ใส่กราฟฟคิ ต่างๆ ขึ้นชอ่ื ใส่ดนตรี เสยี งพากย์ ไตเตลิ้ โดยรปู แบบของการตัดตอ่ จะมี 2 รูปแบบ คอื Linar เปน็ การตดั ต่อ โดยการใช้สายสญั ญาณ เป็นตัวสง่ สญั ญาณจากเครื่องเล่นเทป มายงั เครอ่ื งผสมสญั ญาณ ภาพ (Mixer)และสร้างเอฟเฟคพเิ ศษ (SEG.) กอ่ นที่จะออกไปสเู่ คร่ืองบันทึกเทป เรียกโดยทัว่ กันว่า A/B Roll Non-linar เป็นการตัดต่อโดยใชโ้ ปรแกรมคอมพวิ เตอร์ โดยการนำ�เอาภาพทีถ่ ่ายท�ำ มาลงในฮาร์ทดสิ ก์ แล้วใช้ โปรแกรมท�ำ การตัดตอ่ ทำ�การตัดตอ่ เมอ่ื เสร็จแลว้ กถ็ า่ ยสญั ญาณสู่เครอ่ื งบนั ทกึ เทป 34บทที่ 2 โทรทัศน์และการถา่ ยท�ำ

การเขียนสตอรีบ่ อรด์ การเขยี นสตอรบี่ อร์ด สตอร่ีบอร์ด (Story Board) ความหมายของสตอร่บี อร์ด(Story Board) สตอรี่บอร์ด คอื การเขยี นภาพนง่ิ และข้อความเพ่ือกำ�หนดแนวทางในการถ่ายทำ�หรอื ผลิตภาพเคลือ่ นไหวใน รปู แบบตา่ งๆ เชน่ ภาพยนตร์ โฆษณา การต์ นู สารคดี เป็นต้น เพ่อื ก�ำ หนดการเลา่ เรอ่ื ง ลำ�ดับเร่อื ง จัดมมุ กล้อง กำ�หนดเวลา ซึ่งภาพทีว่ าดไมจ่ ำ�เป็นจะตอ้ งละเอียดมาก แค่บอกองค์ประกอบสำ�คญั ๆ ได้ มกี ารระบถุ งึ ตำ�แหนง่ ของตวั ละครทีม่ คี วามสมั พนั ธก์ ับฉากและตัวละครอน่ื ๆ กรอบแสดงภาพและมมุ กล้อง แสงเงา เปน็ การสเกตซภ์ าพ ของเฟรม (Shot) ต่างๆ จากบท เปรียบเสมอื นการวาดการต์ ูนในกรอบส่ีเหล่ียมแตล่ ะชอ่ ง สว่ นประกอบของสตอร่ีบอรด์ (Story Board) สตอรี่บอร์ด จะประกอบไปด้วยชุดของภาพ Sketches ของ shot ตา่ งๆ พร้อมค�ำ บรรยายหรอื บทสนทนา ในเรอ่ื ง ซงึ่ อาจจะท�ำ การเขียนเรื่องย่อและบทกอ่ น หรือ Sketches ภาพกอ่ นกไ็ ด้ แลว้ จงึ ค่อยใสค่ �ำ บรรยายลงไป อาจมบี ทสนทนาหรือไม่มีบทสนทนาก็ได้ และสำ�หรบั การก�ำ หนดเสยี งในแตล่ ะภาพต้องพิจารณาวา่ ภาพและเสียง ไปดว้ ยกนั ไดห้ รอื ไม่ ไมว่ ่าจะเป็นเสียงดนตรี เสียงธรรมชาติหรือเสียงอนื่ ๆ 35 บทที่ 2 โทรทศั นแ์ ละการถา่ ยท�ำ

บทที่ 2 โทรทศั น์และการถา่ ยทำ� แนวทางในการเขียนสตอรี่บอร์ด ควรศึกษาการหลกั การเขยี นเนือ้ เรอ่ื ง บทบรรยาย การกำ�หนดมมุ กลอ้ ง ศลิ ปะในการเลา่ เร่อื ง ซึง่ ไม่วา่ จะเปน็ นิทาน นยิ าย ละครหรอื ภาพยนตร์ ลว้ นแลว้ แต่มีลกั ษณะการเลา่ เรื่องคลา้ ยๆ กัน น่นั คอื การเลา่ เร่อื งราวของธรรมชาติ มนษุ ยห์ รอื สตั ว์ ทเ่ี กดิ ข้นึ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ณ สถานทีใ่ ดสถานท่ี หน่งึ เสมอ ดงั น้นั องค์ประกอบท่ีส�ำ คัญท่ีจะขาดไปเสียไม่ได้กค็ ือ ตัวละคร สถานทแ่ี ละเวลา ส่ิงสำ�คญั ในการเขียนบทก็คอื การเรม่ิ คน้ หาวัตถดุ ิบหรอื แรงบันดาลใจ ใหไ้ ดว้ ่า เราอยากจะพูด จะน�ำ เสนอ อะไร ตัวเราเองมีแนวความคิดเกย่ี วกับเรื่องนัน้ ๆ อย่างไร ซึง่ แรงบนั ดาลใจเหลา่ น้ันจะถูกน�ำ ใชใ้ นการ ก�ำ หนด สถานการณ์ ตวั ละคร สถานท่แี ละเวลา ของเรือ่ งราว เทคนิคในการเขยี นบทหรือเน้ือเรอ่ื ง 1. ตอ้ งมีการบรรยายสภาพและบรรยากาศของสถานท่ี หรือการพรรณนาภาพอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง เพอื่ นำ�ความคดิ ของผูอ้ า่ นใหซ้ าบซ้งึ ในทอ้ งเรอ่ื ง ให้เห็นภาพฉากท่ีเราวาดดว้ ยตัวอักษรนัน้ ใหช้ ัดเจน 2. การวางโครงเร่ืองมกี ารด�ำ เนินเรอ่ื งตง้ั แตเ่ รมิ่ น�ำ เร่ืองจนถงึ ปลายยอดเรอ่ื ง หรือท่ีเรียกว่า ไคลแมกซ์ (Climax) และจบเรอื่ งลงโดยใหผ้ อู้ า่ นเข้าใจและมีความรู้สกึ ตามเนือ้ เรอ่ื ง 3. การจัดตัวละครและให้บทบาทแก่ตวั ละครทีส่ �ำ คัญในเรอื่ ง เพอ่ื แสดงลักษณะนสิ ยั อยา่ งหน่งึ อยา่ งใด ทีก่ อ่ ให้เกิดเรื่องราวต่างๆ ขน้ึ 4. การบรรยายเรอ่ื ง แบบการมีตวั ตนที่เขา้ ไปอยู่ในตัวเรอื่ ง และการเปน็ บุรุษท่สี าม ได้แก่ ตวั ละครแสดงบทบาทของตนเอง เป็นวิธที ่ดี ีท่ีสุด 5. การเปดิ เรอื่ ง อาจใช้วิธีการใหต้ ัวละครสนทนากนั การบรรยายตัวละคร การวางฉากและการ บรรยายตัวละครประกอบ การบรรยายพฤติกรรมของตัวละครแตล่ ะตัวละคร ก็ได้ 36บทที่ 2 โทรทัศนแ์ ละการถา่ ยทำ�

บทท่ี 2 โทรทัศน์และการถา่ ยท�ำ การจัดทำ�สตอร่บี อรด์ การทำ�สตอรี่บอร์ดเปน็ การสรา้ งตารางขึ้นมาเพือ่ รา่ งภาพลงไปตามล�ำ ดบั ขั้นตอนของเร่ืองตงั้ แต่ต้นจนจบ เพื่อ ให้มองเหน็ ภาพรวมของงานทีจ่ ะลงมือท�ำ และหากมสี ่งิ ท่ตี ้องแกไ้ ขเกิดขึน้ ก็จะสามารถแกไ้ ขเปลี่ยนแปลงปรบั ปรงุ ได้ หรอื ท�ำ สตอร่ีบอรด์ ใหมไ่ ด้ การทำ�สตอรบี่ อรด์ นั้นโดยหลักแล้ว จะเปน็ ตน้ แบบของการนำ�ไปสร้างเป็นภาพจริง เหตกุ ารณ์จรงิ และจะเปน็ ตวั กำ�หนดการทางานในขั้นตอนอ่ืนๆ ไปในตวั ดว้ ย เชน่ การเสียงพากย์ การใสเ่ สยี ง ดนตรี เสยี งประกอบอน่ื ๆ หรอื เทคนคิ พเิ ศษต่างๆ การท�ำ สตอรีบ่ อร์ดจึงเปน็ การรา่ งภาพ พรอ้ มกับการระบรุ าย ละเอียดต่างๆ ทีจ่ ำ�เป็นท่จี ะตอ้ งทำ�ลงไป หลกั การเขียนสตอรบ่ี อรด์ รูปแบบของสตอร่ีบอรด์ จะประกอบไปดว้ ย 2 ส่วนคือ ส่วนภาพกับสว่ นเสยี ง โดยปกตกิ ารเขียนสตอร่ีบอร์ด ก็ จะวาดภาพในกรอบสีเ่ หล่ยี ม ตอ่ ด้วยการเขยี นบทบรรยายภาพหรือบทการสนทนา และสว่ นสุดทา้ ยคอื การใสเ่ สยี ง ซงึ่ อาจจะประกอบดว้ ยเสียงสนทนา เสียงบรรเลง และเสยี งประกอบต่างๆ 37 บทที่ 2 โทรทศั นแ์ ละการถา่ ยทำ�

บทท่ี 2 โทรทศั น์และการถา่ ยทำ� สง่ิ สำ�คัญที่อยภู่ ายในสตอร่บี อรด์ ประกอบด้วย ตวั ละครหรอื ฉาก ไม่วา่ จะเปน็ คน สัตว์ สิง่ ของ สถานท่หี รือตัวการต์ นู และที่สำ�คัญ คอื พวกเขากำ�ลงั เคล่อื นไหวอย่างไร มมุ กล้อง ทั้งในเรอ่ื งของขนาดภาพ มุมภาพและการเคลื่อนกล้อง เสียงการพดู กนั ระหวา่ งตวั ละคร มเี สยี งประกอบหรือเสยี งดนตรีอย่างไร วิธีการเขียนสตอรบ่ี อร์ด สตอรบ่ี อรด์ (Story Board) คือการเขียนกรอบแสดงเร่อื งราวท่ีสมบูรณข์ องภาพยนตร์หรอื หนงั แตล่ ะเร่ือง โดยมีการแสดงรายละเอียดทีจ่ ะปรากฏในแต่ละฉากหรือแต่ละหนา้ จอ เช่น ขอ้ ความ ภาพ ภาพเคล่ือนไหว เสยี ง ดนตรี เสียงพูดและแตล่ ะอย่างนัน้ มลี ำ�ดับของการปรากฏว่าอะไรจะปรากฏข้ึนก่อน-หลงั อะไรจะปรากฏพร้อมกนั เป็นการออกแบบอย่างละเอียดในแต่ละหน้าจอกอ่ นทจี่ ะลงมือสร้างเอนิเมชันหรอื หนังขึน้ มาจรงิ ๆ ขอ้ ดีของการทำ� Story Board ช่วยใหเ้ นื้อเร่ืองลน่ื ไหล เพราะไดอ้ ่านทวนตง้ั แต่ต้นจนจบกอ่ นจะลงมือวาดจริง ช่วยให้เน้อื เร่ืองไมอ่ อกทะเล เพราะมีแผนการวาดกำ�กับไว้หมดแลว้ ชว่ ยกะปริมาณบทพูดให้พอดแี ละเหมาะสมกับหน้ากระดาษและบอลลูนนน้ั ๆ ชว่ ยใหส้ ามารถวาดจบได้ในจ�ำ นวนหน้าทกี่ ำ�หนด (สำ�คัญสุด!) 38บทที่ 2 โทรทศั น์และการถ่ายทำ�

บทที่ 2 โทรทัศน์และการถา่ ยท�ำ ข้นั ตอนการทำ� Story Board 1. วางโครงเร่ืองหลกั ไม่ว่าจะเป็น Theme, ตัวละครหลัก, ฉาก ฯลฯ 1.1 แนวเรอื่ ง 1.2 ฉาก 1.3 เนอ้ื เรอ่ื งย่อ 1.4 Theme/แกน่ (ขอ้ คดิ /ส่งิ ทตี่ ้องการจะส่อื ) 1.5 ตวั ละคร ส่งิ ส�ำ คญั คอื กำ�หนดรปู ลักษณ์ของตวั ละครแตล่ ะตัวให้โดดเดน่ ไม่คล้ายกนั จนเกนิ ไป ควร ออกแบบรปู ลักษณข์ องตวั ละครให้โดดเด่นแตกตา่ งกัน และมองแล้วสามารถส่ือถึงลกั ษณะนสิ ัยของตวั ละครได้ ทนั ที 2. ล�ำ ดับเหตุการณ์คร่าว ๆ จุดส�ำ คัญคอื ทุกเหตกุ ารณ์จะเป็นเหตเุ ป็นผลซงึ่ กนั และกัน เหตุการณ์กอ่ นหน้าจะท�ำ ใหเ้ หตุการณต์ อ่ มามนี �้ำ หนกั มากข้นึ และตอ้ งหา จดุ Climax ของเรือ่ งใหไ้ ด้ จุดน้จี ะเป็นจดุ ท่นี ่าต่นื เต้นทีส่ ดุ ก่อนที่จะเฉลยปมทกุ อย่างใน เรือ่ ง การสร้างปมให้ผู้อ่านสงสยั ก็เป็นจุดส�ำ คญั ในการสร้างเรื่อง ปมจะทำ�ใหผ้ ู้อา่ นเกิดค�ำ ถามในใจและคาดเดาเนื้อ เรื่องรวมถงึ ตอนจบไปต่าง ๆ นานา 3. กำ�หนดหนา้ 4. แต่งบท เป็นขนั้ ตอนสุดทา้ ยก่อนลงมอื วาดสตอรีบ่ อรด์ ควรเขียนบทพดู และบทความคิดที่จะใชเ้ ขยี นลงในหนังออกมา โดยละเอียดเพ่ือทจี่ ะได้กำ�หนดขนาดของบอลลูนและจัดวางลงบนหนา้ กระดาษได้อย่าเหมาะสม 5. ลงมอื เขียน Story Board !!!! 39 บทท่ี 2 โทรทัศนแ์ ละการถา่ ยท�ำ

บทที่ 2 โทรทศั นแ์ ละการถ่ายท�ำ 40บทท่ี 2 โทรทศั นแ์ ละการถ่ายท�ำ



บทที่ 3 การถ่ายภาพและจัดแสง

บทท่ี 3 การถา่ ยภาพและจดั แสง การถา่ ยภาพเบ้อื งต้น BASIC PHOTOGRAPHY พื้นฐานการถ่ายภาพทค่ี วรรู้ รวมพ้ืนฐานการถา่ ยภาพครบเคร่ืองในอลั บ้มั เดียว เร่ิมต้นไดง้ ่าย อา่ นคนเดียวก็ได้ พยายามท�ำ ใหเ้ ข้าใจง่ายทส่ี ุด แล้ว เร่ิมตง้ั แต่เร่ืองรูรบั แสง, ความเร็วชัตเตอร,์ ISO, ทางยาวโฟกัส , คอมโพซชิ ่ัน และโหมดการถ่ายภาพ คือ พยายามอธบิ ายให้งา่ ยท่สี ุด แล้วก็ให้ทกุ คนทอ่ี ยากถ่ายภาพเรม่ิ ตน้ ได้ง่ายทสี่ ดุ ครับ หวังว่าจะเปน็ ประโยชนส์ ำ�หรบั คนท่อี ยากเริม่ ตน้ ถ่ายภาพนะครบั APERTURE – รูรบั แสง เรื่องของรูรับแสง เลนส์ทีร่ รู บั แสงกว้าง แสงจะเข้าทก่ี ลอ้ งมาก ถา่ ยภาพกลางคืนได้ดคี รบั และทีส่ ำ�คญั คือทำ�ให้ เกิดเอฟเฟคทช่ี อบมากคือหนา้ ชัดหลงั เบลอ ส่วนรูรับแสงแคบ คือตรงกันขา้ ม ภาพจะเข้าทก่ี ลอ้ งนอ้ ยลง แตจ่ ะไดเ้ อฟเฟคท่เี กดิ การชดั ลกึ คือภาพชดั ทั้งภาพ เลย เหมาะกบั การถา่ ยภาพวิวทิวทัศน์ครับ พน้ื ฐานการถา่ ยภาพ เร่อื งรรู ับแสง SHUTTER SPEED – ความเรว็ ชตั เตอร์ วา่ กนั ดว้ ยเร่ืองของความเร็วชัตเตอร์ ความเรว็ ชัตเตอร์หลักเลยคอื เราใช้จบั ภาพทเี่ คล่ือนไหวให้น่งิ ครับ แตก่ ผ็ ลก ระทบเหมือนกนั คือเมอื่ ความเร็วชัตเตอรเ์ ราเพิม่ ข้ึน แสงจะเขา้ กล้องน้อยลง เพราะงนั้ การใชค้ วามเร็วชตั เตอร์ท่ีสูง ควรใช้ในสถานที่ ทีอ่ ยูก่ ลางแจ้ง มีแสงมากครบั เพื่อจะไดไ้ มต่ อ้ งเพ่ิม ISO แต่ Speed Shutter ท่ีชา้ ลงจะท�ำ ใหเ้ ราเกบ็ แสงไดม้ ากข้นึ และกเ็ ป็นอีกเทคนิคหนง่ึ ท่ีเราใช้ในการลากแสงไฟ น่นั เองดงั นน้ั การจะใช้ชตั เตอรเ์ ทา่ ไหรน่ น้ั ไม่มกี ฎตายตัวนะครับ อยกู่ บั ว่าเราอยากได้ภาพแบบไหน และเราก�ำ ลงั เจอสถานการณ์ไหนน่ันเองครบั Shutter Speed - ความเร็วชัตเตอร์ 43 บทที่ 3 การถา่ ยภาพและจดั แสง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook