50 ปุกกุสะเล่ือมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอถงึ พระรัตนตรัยเป็นท่พี ่ึงตลอดชวี ิต และ ได้ถวายผ้าเนื้อดีมีสีเหมอื นทอง (สิงควิ รรณ) ๒ ผนื พระพุทธองคท์ รงแนะนำ� ให้ถวาย พระอานนท์ผนื หนงึ่ พระองค์ทรงครองเอง ผนื หนง่ึ แล้วทรงแสดงธรรมใหป้ กุ กุสะ อาจหาญร่าเริงในกุศลจรยิ า เขาถวายบงั คม พระผู้มพี ระภาคแล้วจากไป พระอานนท์มองเหน็ พระฉวีวรรณของ พระพุทธองคผ์ ่องใสยิ่งนกั ผา้ นัน้ กง็ าม รุ่งโรจน์ประดจุ ถ่านไฟทีป่ ราศจากเปลว จงึ กราบทูลถึงความประหลาดใจของตน ท่เี ห็นพระผู้มีพระภาคมพี ระชนมม์ ากแลว้ ทรงพระชราแล้ว ทั้งทรงพระประชวรด้วย แตพ่ ระฉวีผุดผอ่ งยิ่งนัก
51 พระพทุ ธองค์ตรัสว่า เปน็ อยา่ งนเี้ อง ก า ร ป ริ ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ ุพ ท ธ เ ้จ า : อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ พระฉววี รรณของพระองค์ จะงามผดุ ผ่อง อย่างยงิ่ ใน ๒ กาล คอื ในวนั ท่ีจะตรัสรู้ และในวันท่ีจะปรนิ ิพพาน เสด็จต่อไปยงั แมน่ ำ�้ กกธุ า ลงสรงเสวย ตามพระอธั ยาศยั แล้ว เสด็จถึงสวนมะม่วง แหง่ หนึง่ รับสงั่ ให้พระจุนทะ พับผา้ สังฆาฏิ เป็น ๔ ชัน้ ปถู วาย เพราะทรงเหน็ดเหนอื่ ย เหลอื เกนิ บรรทมแบบสหี ไสยา (ตะแคงขวา) มพี ระสติสัมปชญั ญะ ต้ังพระทยั ว่าจะลุกขน้ึ (อุฏฐานสัญญา) ณ ตรงน้ีเอง พระพุทธองค์ทรงหวน ระลึกถึงนายจนุ ทะผ้ถู วายสูกรมทั วะ – พระกระยาหารมื้อสดุ ทา้ ย เกรงวา่ ใครๆ จะตเิ ตียนนายจนุ ทะ และนายจุนทะเอง จะร้อนใจ รบั ส่งั กบั พระอานนท์ให้บอก นายจนุ ทะว่า อยา่ ร้อนใจเกีย่ วกบั เร่อื งน้ี อาหารทีม่ อี านสิ งส์มาก มอี านสิ งสเ์ สมอกัน
52 มีอย ู่ ๒ ครัง้ คือ คร้ังหนึง่ เมอ่ื พระองค์ เสวยแล้ว ไดต้ รสั รอู้ นตุ รสัมมาสมั โพธญิ าณ (คืออาหารทนี่ างสุชาดาถวาย) และอีกคร้งั หนึ่ง เมื่อพระองค์เสวยแลว้ ปรินพิ พาน (คืออาหาร ท่ีนายจนุ ทะถวาย) สิ่งท่ีนายจุนทะทำ� น้ัน เปน็ ไปเพื่ออายุ วรรณะ สขุ ยศ และสวรรค์ และความใหญ่ยิ่งในอนาคต ตรสั ยำ�้ ว่า
53 “บุญย่อมเจริญแก่ผู้ให ้ เวรภัยย่อมไมม่ ี ก า ร ป ริ ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ ุพ ท ธ เ ้จ า : อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ แก่ผู้ส�ำรวม ผ้ฉู ลาดย่อมละบาป ผ้นู พิ พาน เพราะสนิ้ ราคะ โทสะ และโมหะ” เสดจ็ ตอ่ ไป ทรงข้ามแม่น�้ำหริ ัญวด ี ถึงสาลวันอนั เป็นท่ีพักผ่อนของมัลลกษตั ริย์ แหง่ นครกุสินารา รับสัง่ ให้พระอานนท์ ต้ังเตียงหนั ศรี ษะไปทางทศิ อดุ รระหว่าง
54 ไมส้ าละทง้ั ค่ ู ทรงบรรทมอยา่ งสีหไสยา ซอ้ นพระบาทให้เหล่ือมกันเลก็ น้อย (ไม่ใช ่ ยืดตรงจนเกร็ง) ทรงมพี ระสติสัมปชญั ญะ เวลาน้ัน ไม้สาละผลิดอกสะพรัง่ นอก ฤดกู าล รว่ งหล่นโปรยปรายลงยงั สรรี ะของ พระตถาคต ดอกไม้ทิพย์ของหอมอนั เป็น ทิพย ์ กร็ ่วงหล่นลงมาเพือ่ บชู าพระสรีระ ของพระศาสดา ดนตรที ิพยก์ ็บรรเลงอยู ่ เพื่อบชู าพระตถาคต พระผูม้ พี ระภาคเจา้ ทรงปรารภการบูชาน้ ี และตรสั กับพระอานนท์วา่ ผูท้ ีไ่ ด้ชอื่ วา่ บูชา พระองคอ์ ยา่ งแท้จริงนัน้ คอื ผูป้ ฏบิ ัตธิ รรม ปฏบิ ตั ชิ อบ หรอื ปฏิบตั ิถกู ตอ้ ง (ตามฐานะ ของตนๆ) ถา้ ทำ� ไดอ้ ยา่ งน้ัน ช่ือวา่ เคารพ นบั ถือบชู าพระองคด์ ้วยการบูชาอยา่ งย่งิ ขณะนน้ั พระอุปวาณะ ยนื ถวายงานพดั อย่ตู รงเบอื้ งพระพักตรข์ องพระศาสดา ทรงรับสั่งใหพ้ ระอปุ วาณะถอยออกไปเสยี
55 ก า ร ป ริ ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ ุพ ท ธ เ ้จ า : อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ พระอานนทส์ งสยั ว่า พระอปุ วาณะปฏิบตั ิ บำ� รุงพระศาสดามาเป็นเวลานาน เหตไุ ฉน ในวาระเช่นนพ้ี ระพทุ ธองค์จงึ รับส่งั ให้ถอย ออกไปเสยี จึงทูลถามความสงสยั นน้ั พระศาสดาตรัสว่า พวกเทวดาในหมน่ื โลกธาตุ มาเฝ้ากันมาก เพือ่ บูชาพระองคใ์ นวัน ปรนิ พิ พาน บริเวณโดยรอบ ๑๒ โยชนจ์ าก ทปี่ ระทับไป ไม่มชี ่องวา่ งแมเ้ พยี งเล็กน้อย (เท่าปลายขนทราย = ขนสตั ว์ประเภทเนอื้ ) ที่เทวดาผมู้ ีศักดิต์ า่ งๆ จะไม่สถิตอยู่ อ ภิ ญ ญ า เ ท ส ิ ต ธ ร ร ม : ธ ร ร ม ท ่ี ท ร ง แ ส ด ง ไ ว ้ เ พ ่ื อ ค ว า ม ร ู้ ย ่ิ ง คือ ส ต ิ ป ั ฏ ฐ า น ๔ ... ค ว า ม เ พ ี ย ร ช อ บ ๔ ... อิ ท ธ ิ บ า ท ๔ ... อ ิ น ท ร ี ย ์ ๕ ... พ ล ะ ๕ ... โ พ ช ฌ ง ค ์ ๗ ... ม ร ร ค ม ี อ ง ค ์ ๘ ร ว ม ๓ ๗ ป ร ะ ก า ร ( ท ้ั ง ห ม ด น ี้ เ ร ี ย ก ว ่ า โ พ ธิ ป ั ก ข ิ ย ธ ร ร ม ก ็ ม ี )
56 เทวดาเหล่านน้ั นึกต�ำหนิพระอปุ วาณะอยวู่ ่า พวกเขาต้ังใจมาถวายบงั คมพระศาสดา มาเห็นพระศาสดา แตภ่ กิ ษรุ ูปนน้ั ยืนบัง เสยี ดงั น้ี พระอานนท์ทูลถามถงึ อาการของ เทวดาเหลา่ นนั้ ว่าเป็นอย่างไร ตรัสตอบว่า เทวดาบางพวกเศรา้ โศกมาก บางพวกท่ี ปราศจากราคะแลว้ (พวกพรหมชนั้ สทุ ธาวาส ไดอ้ นาคามแี ล้ว ละกามราคะได้แลว้ ) กป็ ลง ธรรมสังเวชว่า สังขารทัง้ หลายไมเ่ ท่ยี ง จะหวังให้เทีย่ งไดอ้ ย่างไรเล่า ต่อจากนน้ั พระอานนทเ์ รม่ิ ทลู ถาม ขอ้ ขอ้ งใจตา่ งๆ ของทา่ น เพื่อวา่ เมอื่ พระ ศาสดาปรินิพพานแลว้ จะไดช้ แ้ี จงแก่ ผ้สู งสยั ได้ถกู ต้อง มตี ามลำ� ดบั ดังน้ี ๑. เร่อื งสงั เวชนยี สถาน พระอานนท ์ ทูลถามว่า เมือ่ กอ่ นนี้เม่อื ออกพรรษาแลว้ ภิกษทุ ง้ั หลายตา่ งกจ็ ารกิ มุง่ หนา้ มาเฝา้
57 พระศาสดา หลังจากพระผมู้ พี ระภาคเจา้ ก า ร ป ริ ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ ุพ ท ธ เ ้จ า : อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ปรนิ พิ พานแลว้ ภกิ ษเุ หลา่ น้ันควรจะไป ทใ่ี ด พระศาสดาตรัสตอบว่า ควรไปยงั สถานที ่ ๔ แห่ง คอื สถานทีพ่ ระองค์ ประสูต ิ สถานท่ีตรสั ร ู้ สถานท่ที รงแสดง ธรรมจักรฯ และสถานที่ปรนิ พิ พาน เม่ือจารกิ ไปยงั สถานทีเ่ หลา่ น้ ี มจี ติ เลอื่ มใส สิน้ ชีพลงกจ็ ักไปสู่สุคตโิ ลกสวรรค์ ๒. เรื่องการปฏบิ ัตเิ กีย่ วกับสตรเี พศ (มาตคุ าม) พระอานนทท์ ลู ถามวา่ ควรปฏิบตั ติ อ่ มาตคุ ามอย่างไร ตรสั ตอบว่า การไมด่ ู ไมเ่ หน็ เสียได ้ เป็นการดี ถ้าจำ� เป็นต้องดู ตอ้ งเหน็ ตอ้ งพบ ก็อย่า สนทนาด้วย ถา้ จ�ำเปน็ ต้องสนทนาด้วย ก็ใหม้ สี ติไว ้ สนทนาอย่างมสี ติ (อย่าปลอ่ ย ให้หลงใหลในรูป เสยี ง เปน็ ตน้ ของสตร)ี ๓. เรอื่ งการปฏิบตั ิในพระพทุ ธสรีระ เกย่ี วกับเร่ืองนี้ พระพุทธองค์ตรัสตอบ
58 พระอานนทว์ ่า “พวกเธออย่าได้ขวนขวาย เพ่ือบูชาสรรี ะของตถาคตเลย แตจ่ งมี ความเพยี รพยายามให้เป็นไปตดิ ต่อใน ประโยชนข์ องตนๆ จงเป็นผไู้ มป่ ระมาท ท�ำความเพยี รอยา่ งไม่หยดุ หย่อน เพ่ือให้ บรรลปุ ระโยชน์ของตนเถดิ ” ส�ำหรับสรรี ะ ของพระองคน์ ั้น ปลอ่ ยให้เปน็ หนา้ ทีข่ อง กษัตริย์ พราหมณ์ คหบดี ผู้เลือ่ มใสใน พระองคจ์ ะพึงท�ำกัน พระอานนท์ทูลถามวา่ เขาเหล่าน้นั ควรปฏิบัติตอ่ พระพทุ ธสรรี ะอย่างไร ตรสั ตอบวา่ ใหป้ ฏิบัติอยา่ งเดยี วกับท่ปี ฏิบตั ิ ต่อพระสรรี ะของพระเจา้ จักรพรรด ิ คือ ห่อดว้ ยผา้ ใหมแ่ ละซบั ดว้ ยส�ำลี ท�ำเปน็ ๕๐๐ ชนั้ แลว้ เชญิ พระสรีระลงในรางเหลก็ ซ่ึงเต็มดว้ ยนำ้� มนั ครอบด้วยรางเหลก็ ทำ� จติ กาธาน (เชงิ ตะกอน) ด้วยไม้หอมลว้ น ถวายพระเพลิงพระสรีระแล้วสร้างสถูป
59ก า ร ป ริ ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ ุพ ท ธ เ ้จ า : อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ (บรรจพุ ระอัฐิ) ไว้ท่ีหนทางใหญ่ ๔ แพรง่ สรรี ะของพระเจา้ จกั รพรรดิอนั บคุ คลพงึ ปฏิบตั อิ ย่างไร ควรปฏบิ ัตติ อ่ สรีระของ พระองค์อยา่ งน้นั จักเป็นไปเพอ่ื ประโยชน์ และความสุขแก่ผมู้ ีจติ เลอ่ื มใสบชู าสักการะ ตลอดกาลนาน ตอ่ จากน้ันไดท้ รงแสดงบุคคล ๔ จ�ำพวก ซง่ึ ควรแก่การบรรจอุ ัฐิไวใ้ นสถูป และเปน็ ท่ี บชู าสักการะของมหาชน เรยี กบุคคล ๔ จ�ำพวกนี้ วา่ ถปู ารหบคุ คล คือ พระสมั มาสัมพทุ ธเจ้า พระปจั เจกพุทธเจ้า พระสาวกของพระสมั มา- สัมพุทธเจ้า (ท่ีเปน็ พระอรยิ บุคคลโดยเฉพาะ อย่างยง่ิ คือ พระอรหนั ตสาวก) และพระเจา้ จกั รพรรดิธรรมกิ ราช ทงั้ นี้ดว้ ยเหตุผลวา่ เป็นผมู้ ีคณุ ธรรมควรแก่การบชู า และทำ� ให้ผบู้ ชู า สักการะประสบผลดนี านาประการ มคี วามสขุ และไปสู่สคุ ตสิ วรรคเ์ มอ่ื ส้ินชพี แล้ว
60 เมอื่ ไม่มีอะไรจะทูลถามแล้ว พระอานนท์ ก็ถอยออกไป ไปยนื เกาะล่ิมประต ู (ซ่ึงท�ำ เปน็ รูปศีรษะวานร - กปสิ ีส)ํ ร้องไห้อย ู่ ด้วยรำ� พงึ ว่า พระศาสดาซ่ึงเปน็ ทพ่ี ่งึ ของตน จกั ปรินิพพานเสียแลว้ ตวั ท่านเองยังไมส่ ิ้น กเิ ลสโดยสิ้นเชิง ยังมีอาสวะอย่ ู ต่อไปจกั ไดใ้ ครเป็นผูแ้ นะน�ำเพอื่ ความสิ้นกิเลส
61 เมือ่ พระอานนทห์ ายไปนาน พระศาสดา ก า ร ป ริ ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ ุพ ท ธ เ ้จ า : อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ตรสั ถามหา ภกิ ษทุ ง้ั หลายกราบทลู ว่าไปยนื รอ้ งไห้อยู ่ รับสง่ั ใหเ้ ข้าเฝ้า ตรัสปลอบใจว่า “อย่าเศรา้ โศกเสียใจไปนักเลย เราได้เคย บอกเธอไว้แล้วมใิ ชห่ รือวา่ บุคคลจะตอ้ ง พลดั พรากจากส่ิงอนั เปน็ ที่รกั ท่ีพอใจเปน็ ธรรมดา สง่ิ ทัง้ หลายไมย่ ่ังยืน ตอ้ งแตกดับ สลายเป็นธรรมดา การปรารถนาว่าจงอย่า แตกสลายอย่าดบั นน้ั ยอ่ มไมอ่ าจหวังได้ อานนท!์ เธอไดป้ ฏิบัติตถาคตดว้ ยดีตลอดมา ปฏิบตั ดิ ว้ ยเมตตาท้งั ทางกาย ทางวาจา และทางใจ ไดบ้ �ำเพญ็ ประโยชน์แก่ตถาคต มานาน อยา่ งไม่มีใครเสมอเหมอื น ไมม่ ปี ระมาณทีเดียว อานนท์! ท�ำความเพียร ต่อไปเถิด เธอเปน็ ผูม้ ีบญุ จักสิน้ กเิ ลสโดยกาล ไมน่ านนกั ” และแล้วพระผ้มู พี ระภาคได้ตรัสยกย่อง พระอานนทแ์ ก่ภิกษทุ ้ังหลายว่า “ภิกษทุ ง้ั หลาย
62 พระอรหนั ตสมั มาสมั พุทธเจ้าทง้ั อดตี และ อนาคตท่มี ภี กิ ษุอุปัฏฐากนั้น จะไมเ่ กิน พระอานนทไ์ ปไดเ้ ลย อย่างมากท่ีสดุ ก็จะได ้ ภกิ ษผุ มู้ คี ณุ สมบตั เิ พยี งพระอานนท์เทา่ นนั้ ภิกษทุ ้งั หลาย อานนทเ์ ปน็ บณั ฑติ ย่อมรจู้ ัก กาลเวลาอันควรว่า ใครควรจะเข้าเฝา้ ตถาคตเวลาใด ภิกษทุ ้ังหลาย อานนทม์ ีคุณ อนั นา่ อัศจรรย ์ ๔ ประการ คือ พุทธบรษิ ัท ทัง้ ๔ ต้องการเข้าไปหาพระอานนท ์ เมือ่ ไดเ้ หน็ พระอานนทก์ ม็ ีความชื่นชมยินดี อ ร ิ ย ธ ร ร ม ๔ ป ร ะ ก า ร คื อ อ ริ ย ศ ี ล อ ร ิ ย ส ม า ธ ิ อ ร ิ ย ป ั ญ ญ า แ ล ะ อ ร ิ ย ว ิ ม ุ ต ติ
63ก า ร ป ริ ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ ุพ ท ธ เ ้จ า : อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เม่อื พระอานนทแ์ สดงธรรมกพ็ อใจฟงั เมื่อพทุ ธบริษทั ยังไมอ่ ิ่มไมเ่ บ่อื ในการ ฟังธรรมของทา่ น พระอานนทก์ ็หยุดการ แสดงธรรม (คอื หยดุ กอ่ นทค่ี นฟังจะเบอ่ื ) ทำ� นองเดยี วกับขตั ติยบริษัท พราหมณบริษัท คหบดบี รษิ ทั และสมณบรษิ ทั ต้องการเขา้ เฝา้ พระเจ้าจกั รพรรด ิ เมอื่ ได้ เขา้ เฝ้ากม็ คี วามชนื่ ชมยนิ ด ี พอใจพระราช- ด�ำรสั ของพระเจา้ จักรพรรดิ และเมอื่ คน ท้งั หลายยงั ไม่อมิ่ ไมเ่ บอ่ื ในพระราชดำ� รสั นัน้ พระเจ้าจักรพรรดิก็หยดุ เสยี ” พระอานนทท์ ูลว่า ไม่ควรปรินพิ พาน ท่ีเมืองเลก็ เมืองนอ้ ยเชน่ กุสินาราน้ี ควรเสดจ็ ไปปรินิพพานทเ่ี มอื งใหญ่ๆ เชน่ เมืองจมั ปา ราชคฤห ์ สาวตั ถี สาเกต โกสมั พ ี หรือพาราณส ี เพอื่ กษตั ริยม์ หาศาล พราหมณ์มหาศาล และคหบดีมหาศาล ผ้เู ลือ่ มใสพระองคจ์ ะได ้ บชู าพระพุทธสรรี ะ (ให้สมพระเกียรต)ิ
64 ตรสั วา่ เมืองกสุ ินาราน้ีก็เคยเป็นเมืองใหญ่ มาแล้ว ช่อื กุสาวดี ผ้คู รองเมืองนีก้ ็เปน็ ถึง จกั รพรรด ิ พระนามว่า มหาสทุ สั สนะ นครนี้เคยมั่งคง่ั รุ่งเรือง มผี ูค้ นหนาแน่น สขุ สบายประดจุ เทพนคร ชอื่ อาลกมันทา- ราชธานี ตรัสดังนี้แล้ว ทรงใหแ้ จง้ ขา่ วแกม่ ัลล- กษตั ริย์แห่งเมืองกุสินาราวา่ พระองคจ์ กั ปรนิ พิ พานในปัจฉมิ ยามแห่งราตรีน้ี ขอใหร้ บี มาจะไดไ้ มร่ อ้ นใจภายหลังว่า พระตถาคตเจา้ เสดจ็ มาปรนิ พิ พาน ณ ดนิ แดนของตน แต่มิได้เขา้ เฝ้า มิไดเ้ ห็นพระตถาคตเปน็ คร้ังสุดทา้ ย พระอานนทถ์ อื บาตรและจวี รของตน เขา้ สเู่ มอื งกุสนิ าราแตเ่ พียงผู้เดียว เวลาน้นั มัลลกษัตรยิ ์ก�ำลังประชุมกนั อยู่ ณ สณั ฐาคาร (หอ้ งประชมุ ) เมือ่ ไดร้ บั ข่าวจากพระอานนท ์ แลว้ กเ็ ศร้าโศกเสียใจวา่ ทำ� ไมพระพุทธองค์
65ก า ร ป ริ ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ ุพ ท ธ เ ้จ า : อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ดว่ นปรินิพพานนกั ดวงตาของโลกจัก อนั ตรธานเสยี แล้ว พวกเขารบี ไปเฝา้ พระศาสดา พระอานนทค์ ิดวา่ ถา้ ให้มลั ลกษัตรยิ ์ เข้าเฝา้ ถวายบังคมทีละองคแ์ ล้วจะเสียเวลา มาก จนรงุ่ แจง้ ก็คงไมเ่ สร็จ จงึ จัดให้ เขา้ เฝ้าทลี ะสกลุ โดยล�ำดับ เพยี งปฐมยาม เทา่ นั้นกเ็ สร็จเรียบรอ้ ย ครั้งนั้น มปี ริพพาชกคนหนง่ึ ชอ่ื สภุ ทั ทะ อยใู่ นเมืองกุสนิ ารา ไดย้ ินไดฟ้ ัง จากปรพิ พาชกผเู้ ฒา่ ว่า พระอรหันตสมั มา- สัมพุทธเจา้ จะปรนิ พิ พานเสียแล้ว จงึ มาเฝ้าเพ่อื ทูลถามข้อสงสัยของตน แตพ่ ระอานนท์ขอรอ้ งวา่ อย่าได้รบกวน พระผมู้ ีพระภาคเจ้าเลย พระองคก์ �ำลัง จะปรนิ ิพพาน เสยี งขอร้องและเสียงห้าม ได้ยินถึงพระผูม้ พี ระภาค พระผ้มู คี วาม กรณุ าดจุ หว้ งมหรรณพตรสั กบั พระอานนท์ว่า ให้อนุญาตใหส้ ุภัททปรพิ พาชกเขา้ เฝา้ พระองค์
66 ได้ สุภทั ทะเขา้ เฝ้าทลู ถามวา่ ครูท้ัง ๖ คน อนั เป็นทีเ่ คารพนับถอื ของคนเป็นอันมาก มีปูรณกัสสปะเปน็ ตน้ ได้เป็นสพั พญั ญู ตรสั รู้จริงตามค�ำปฏิญาณของตนหรือไม่ พระศาสดาตรสั ห้ามเสยี วา่ อยา่ ถาม ปญั หาอย่างนเ้ี ลย ถา้ ไม่มีข้อสงสยั อน่ื พระองค์กจ็ ะแสดงธรรมใหฟ้ งั และแล้ว พระพทุ ธองค์ก็ตรสั กับสุภทั ทะว่า ในธรรมวินัยใด ไมม่ ีอรยิ มรรคประกอบดว้ ย องค์ ๘ ในธรรมวินัยนนั้ ยอ่ มไมม่ ีสมณะที ่ ๑ (พระโสดาบัน) สมณะที่ ๒ (พระสกทาคาม)ี สมณะที่ ๓ (พระอนาคามี) และสมณะที ่ ๔ (พระอรหนั ต)์ ส่วนธรรมวินัยใด มีมรรค ประกอบด้วยองค ์ ๘ ในธรรมวินยั นน้ั ยอ่ มมี สมณะท ี่ ๑-๒-๓ และ ๔ โดยล�ำดับ ก็ใน ธรรมวินัยน้ีมีอรยิ มรรค ประกอบดว้ ยองค ์ ๘ ธรรมวนิ ัยน้ีจึงมีสมณะอย่างแน่นอน ลัทธิอ่ืนๆ วา่ งจากสมณะ ผรู้ ้ทู ่วั ถึง “ดกู อ่ น สุภทั ทะ
67ก า ร ป ริ ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ ุพ ท ธ เ ้จ า : อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ถา้ ภิกษพุ งึ เปน็ อยูโ่ ดยชอบไซร้ โลกก็จะ ไม่ว่างจากพระอรหนั ต์” สภุ ัททะเลอ่ื มใสขอบรรพชาอุปสมบท ตรสั ว่า ผเู้ คยบวชในลัทธิอ่ืนมากอ่ น เมื่อประสงค์จะบวช ตอ้ งอยปู่ ริวาส ๔ เดือน ก่อน (คือ อยฝู่ ึกฝนตนเองใหเ้ คยชนิ กับ ภาวะแหง่ ผู้บวชในธรรมวินัยน)้ี แตท่ รงรู ้ ขอ้ แตกต่างแหง่ บคุ คลในเรื่องนี้ สุภัททะทลู วา่ สมัครใจจะอย่ถู ึง ๔ ป ี อย่าวา่ แต่ ๔ เดอื นเลย เมื่อทราบแนช่ ดั ดงั นน้ั พระพทุ ธองคจ์ ึง รบั สงั่ ใหพ้ ระอานนทจ์ ัดการบวชใหส้ ภุ ัททะ ทา่ นสภุ ัททะบวชแลว้ ไมน่ าน ก็ไดส้ ำ� เรจ็ เป็น พระอรหันต ์ (ในคนื นน้ั เอง) นบั เปน็ พระอรหันต์ องคส์ ดุ ทา้ ยในระหว่างทพี่ ระศาสดายังทรง พระชนม์อยู่ พระพุทธองค์ตรัสกบั พระอานนท์ต่อไปวา่ เมอื่ พระองคล์ ่วงลบั ไป ใหภ้ กิ ษทุ ั้งหลายถือเอา พระธรรมวินยั เป็นศาสดาแทน ใหภ้ ิกษอุ อ่ นกวา่
68 เรียกผแู้ ก่กว่าว่า ภันเต หรือ อายัสมา (แปลว่า ทา่ น) ให้ภิกษผุ ู้แกก่ วา่ เรยี ก ผูอ้ ่อนกวา่ ว่า อาวโุ ส (แปลวา่ คุณ) หรือจะ เรียกชอ่ื หรือโคตรกไ็ ด ้ เวลานภ้ี กิ ษุทัง้ หลาย ยงั เรยี กกนั และกันว่า อาวโุ สๆ อยเู่ สมอกนั เม่ือสงฆเ์ หน็ พรอ้ มกนั จะถอนสกิ ขาบท เล็กน้อยเสียบ้างกไ็ ด ้ และให้ลงพรหมทณั ฑ์ (การลงโทษอย่างประเสริฐ ลงโทษอย่างผใู้ หญ่) พระฉันนะ (ภิกษุผ้ดู อ้ื ) โดยการปลอ่ ย ไม่ต้องว่ากลา่ วตกั เตือนอะไร พระศาสดาตรสั ต่อไปวา่ ภกิ ษรุ ปู ใด สงสัยในพระพทุ ธเจา้ พระธรรม และ พระสงฆ ์ ก็ขอใหถ้ ามเสยี เพื่อจะได้ ไม่เสียดายภายหลงั วา่ อยูเ่ ฉพาะพระพกั ตร์
69ก า ร ป ริ ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ ุพ ท ธ เ ้จ า : อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ของพระศาสดาแล้ว มไิ ดท้ ูลถามข้อสงสยั ของตน แม้สงสยั ในมรรคหรือข้อปฏิบัติ ตา่ งๆ ก็ขอใหถ้ ามได้ พระพทุ ธองค์ตรสั ถึง ๓ คร้งั ภิกษสุ งฆ์ก็คงนง่ิ เงยี บไมม่ ใี คร ถาม พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ตรสั วา่ ทพี่ วกเธอ ไม่ถาม อาจเปน็ เพราะเคารพในศาสดากไ็ ด้ จะบอกให้เพอ่ื นถามแทนก็ได้เช่นกนั ถงึ กระน้นั ภกิ ษุทง้ั หลายก็คงนงิ่ เงยี บ พระอานนทแ์ สดงความเล่ือมใสใน สงฆว์ ่า ในภกิ ษุสงฆจ์ �ำนวนทัง้ หมดนี้ ไม่มใี ครเคลือบแคลงสงสัยในพระรตั นตรัย ในมรรคและในขอ้ ปฏิบตั เิ ลย (ชา่ งน่าอัศจรรย์ จริงๆ) พระศาสดาตรัสวา่ ทเ่ี ป็นเชน่ น ี้ กเ็ พราะในหมภู่ ิกษุสงฆเ์ หลา่ น ี้ อย่างนอ้ ยทสี่ ดุ ก็เป็นโสดาบัน เมอื่ ทุกทา่ นเงียบอยู่ พระศาสดาตรสั กับภกิ ษทุ งั้ หลายเปน็ ปจั ฉมิ โอวาทวา่
70 “ภกิ ษุทั้งหลาย บดั นีเ้ ราขอเตือนทา่ น ท้ังหลายวา่ สงั ขารท้ังหลายมคี วามเสือ่ มไป สน้ิ ไปเป็นธรรมดา ขอท่านทงั้ หลาย จงมชี ีวิตอยู่ดว้ ยความไมป่ ระมาทเถดิ ” นคี่ ือพระวาจาสดุ ท้ายของพระผ้มู ี พระภาคเจ้า ต่อไปน้เี ปน็ อาการหรอื ลลี าท่ ี พระพทุ ธเจา้ ปรนิ พิ พาน มรี ายละเอียดดังนี้ ทรงเข้าฌานท ี่ ๑ ออกจากฌานท ี่ ๑ ทรงเข้าฌานท ี่ ๒ ดงั นีเ้ รอื่ ยไป จนถงึ สญั ญาเวทยติ นิโรธ คอื สมาบัตทิ ่ดี บั สญั ญา และเวทนา พระอานนท์ถามพระอนุรทุ ธเถระ ผู้เลิศทางทิพยจักษุวา่ พระผมู้ พี ระภาค ปรินิพพานแล้วหรอื พระอนรุ ุทธะตอบว่า ยงั ไมป่ รนิ ิพพาน พระองคเ์ ขา้ สัญญาเวทยติ - นโิ รธ
71ก า ร ป ริ ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ ุพ ท ธ เ ้จ า : อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ล�ำดบั น้ัน พระศาสดาออกจากสญั ญา- เวทยิตนิโรธสมาบตั ิแล้ว เข้าฌานถอยหลงั เร่ือยมาจนถงึ ฌานที่ ๑ ออกจากฌานท ่ี ๑ เขา้ ฌานท่ี ๒ ออกจากฌานท ี่ ๒ เข้าฌาน ที่ ๓ ออกจากฌานที่ ๓ เข้าฌานท่ี ๔ ออก จากฌานท่ี ๔ แล้วเสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ พิ พาน (ส้ินลม ส้นิ พระชนม์) ในระหวา่ งฌานท ่ี ๔ กับฌานที่ ๕ นนั่ เอง เปน็ เวลาปัจฉมิ ยาม แห่งราตรี เม่ือพระผู้มีพระภาคปรนิ พิ พานแล้ว เกิดแผ่นดนิ ไหว มผี ู้กล่าวแสดงความสงั เวช สลดใจหลายทา่ นด้วยกนั ภิกษแุ ละพุทธบริษทั เหล่าอ่ืนที่ยังมกี เิ ลสอยกู่ ็ร้องไห้ครำ�่ ครวญ สว่ นผู้ท่ีปราศจากราคะส้ินกิเลสแล้ว ก็ปลง ธรรมสงั เวชวา่ สังขารทั้งหลายไมเ่ ทยี่ ง มีความ สน้ิ ความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พระอนุรุทธเถระได้ประกาศปลอบใจ พุทธบรษิ ทั มิให้เศร้าโศกคร�่ำครวญเกนิ ไป
72 ทา่ นทั้งสองคอื พระอนรุ ทุ ธะและพระอานนท์ ได้แสดงธรรมปลอบใจพทุ ธบรษิ ทั จนสว่าง เมื่อสว่างแล้ว พระอนรุ ทุ ธะขอร้องให้ พระอานนทเ์ ขา้ ไปแจ้งขา่ วการปรินพิ พาน ของพระศาสดาแก่มัลลกษัตรยิ ใ์ นเมอื ง กุสนิ ารา มลั ลกษัตริยท์ ราบความ แล้วพากันเศร้าโศก ถือดอกไม ้ ของหอมและผา้ ๕๐๐ คู่ ไปยัง สาลวนั เตรียมการเกี่ยวกบั พระพุทธสรีระอยูจ่ นเยน็ มีการบูชาพระพทุ ธสรีระดว้ ย ความเคารพอย่างยงิ่ วันท่ี ๒ ถงึ วนั ท ี่ ๖ กเ็ ชน่ เดยี วกนั พอถึงวันท่ี ๗ มลั ลปาโมกข์ (มัลลกษตั ริยช์ ั้นผใู้ หญ ่ เป็น หัวหนา้ เปน็ ประธาน) ๘ คน แต่งกายอยา่ งด ี นุ่งผา้ ใหม่
73 เตรยี มอญั เชิญพระพทุ ธสรรี ะไปถวาย ก า ร ป ริ ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ ุพ ท ธ เ ้จ า : อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ พระเพลิงนอกนครกุสนิ ารา ออกทางประตู ทศิ ทักษณิ แต่ยกพระพุทธสรรี ะไมข่ ้ึน จงึ ต้อง ถามพระอนุรทุ ธะว่าเพราะเหตุไรจงึ เป็นเช่นนน้ั
74 พระอนุรุทธะตอบวา่ เทวดาตอ้ งการ ให้นำ� พระพุทธสรีระออกทางทิศอุดร (เหนอื ) แล้วน�ำเข้ามาทางเดมิ ตั้งไว้กลางพระนครก่อน แล้วอัญเชิญออกทางทิศบรู พา (ตะวันออก) ถวายพระเพลิง ณ มกุฏพันธนเจดยี ์ ซ่ึงอย ู่ ทางทิศตะวันออกของเมอื งกุสนิ ารา มลั ลปาโมกข์ได้ปฏบิ ัติตามนนั้ นำ� พระพทุ ธสรีระไปตงั้ ณ มกุฏพันธนเจดีย์ มลั ลปาโมกข ์ ๔ องค์ เตรียมถวายพระเพลงิ แต่จดุ ไฟไม่ตดิ จดุ เทา่ ไรกไ็ ม่ตดิ จงึ เรยี นถาม พระอนรุ ุทธะ พระอนุรทุ ธะตอบว่า เปน็ ความประสงค์ ของเทวดาทจ่ี ะให้พระมหากัสสปะพระสาวก ผใู้ หญเ่ ดนิ ทางมาถึงก่อน เวลาน้พี ระมหา- กัสสปะพรอ้ มดว้ ยภิกษสุ งฆ์ประมาณ ๕๐๐ รูป กำ� ลังเดินทางมาจากเมืองปาวาสู่นครกสุ ินารา เพ่อื ถวายบังคมพระพุทธสรีระ
75ก า ร ป ริ ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ ุพ ท ธ เ ้จ า : อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ วันเดยี วกนั น้ันเอง พระมหากัสสปะ พร้อมดว้ ยภิกษุผู้เปน็ บริวารประมาณ ๕๐๐ รูป เดนิ ทางจากเมืองปาวามงุ่ หนา้ สู่กุสนิ ารา ขณะทน่ี งั่ พกั อยใู่ ตร้ ่มไม้ต้นหน่งึ เห็นอาชวี ก (นกั บวชลทั ธหิ นึ่ง) เดนิ มา มือถือดอก มณฑารพด้วย พระมหากัสสปะถามถงึ พระศาสดา อาชวี กตอบว่า ปรินิพพานมาได ้ ๗ วันแล้ว ภกิ ษทุ ้งั หลายไดฟ้ งั ข่าวนแี้ ลว้ บางพวกก็เศร้าโศกครำ�่ ครวญถึงพระศาสดา บางพวกก็ปลงธรรมสังเวช ในจ�ำนวนภกิ ษุเหลา่ น้ัน มรี ูปหนง่ึ ช่ือ สภุ ทั ทะ ผูบ้ วชเมือ่ แก่ น่งั อยู่กับภิกษทุ งั้ หลาย ดว้ ย กล่าวขึน้ ว่า จะเศรา้ โศกเสยี ใจไปท�ำไมกัน พระพทุ ธเจ้าปรินิพพานเสียกด็ ีแลว้ เมอื่ ทา่ น มชี วี ิตอย ู่ ทา่ นกเ็ บยี ดเบียนพวกเราด้วย การคอยหา้ มปรามนานาประการ บดั นี้เรา เปน็ อสิ ระแล้ว ปรารถนาจะท�ำส่งิ ใดกท็ �ำสิง่ นัน้ ไมป่ รารถนาจะท�ำสิ่งใด กไ็ ม่ตอ้ งท�ำสงิ่ นนั้
76 สว่ นพระมหากัสสปะปลอบใจภิกษุท้งั หลาย ใหค้ ลายโศกด้วยธรรม คือการพจิ ารณาวา่ เราจะต้องพลัดพรากจากสิง่ อันเป็นท่รี ักที่พอใจ เป็นธรรมดา เป็นตน้ และแลว้ ทา่ นรีบนำ� บริวารไปสูม่ กุฏพนั ธน- เจดีย ์ นอกเมืองกุสนิ ารา ทำ� ผ้าห่มเฉวียงบ่า ประคองอญั ชลเี ดนิ เวยี นขวา ๓ รอบ แล้วเปดิ พระพทุ ธสรรี ะทางพระบาทแลว้ ถวายบงั คมดว้ ยเศียรเกล้า แมภ้ กิ ษ ุ ๕๐๐ รปู ก็ทำ� เช่นนนั้ เหมอื นกนั เม่ือพระมหากัสสปะ และบริวารถวายบังคมพระพุทธสรีระแลว้ ไฟในจิตกาธานก็ลุกโพลงขน้ึ เอง เผาไหม้ พระพุทธสรรี ะ แปลกที่ไมม่ ขี ้ีเถ้าหรือเขมา่ ปลวิ ออกเลย อย่างอน่ื ไฟไหมห้ มด เหลือแต่ พระธาต ุ สำ� หรบั ผ้า ๕๐๐ ชิน้ นนั้ ไฟไหมไ้ ป เพยี ง ๒ ผืนเท่าน้นั คอื ผนื ในทส่ี ดุ กบั ผนื นอก นอกจากนั้นไฟไมไ่ หม*้ *ดูเชงิ อรรถหน้า ๗๗
77ก า ร ป ริ ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ ุพ ท ธ เ ้จ า : อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เมอื่ ถวายพระเพลิงพระพทุ ธสรีระแลว้ กม็ ีปัญหาเรอ่ื งพระบรมสารีรกิ ธาต ุ (พระอัฐิ ของพระพทุ ธเจ้า) อกี เลก็ น้อย คือ มกี ษัตรยิ ์ และผคู้ รองนครเป็นจำ� นวนมากถึง ๗ นคร ได้ส่งทูตมายงั เมืองกสุ ินาราเพื่อขอแบ่ง พระบรมสารรี กิ ธาต ุ โดยอ้างวา่ พวกเขา เลอื่ มใสพระผู้มพี ระภาคเจา้ เช่นเดียวกบั พวกมัลลกษตั รยิ ์เมอื งกสุ ินารา กษัตรยิ ์ทส่ี ง่ ราชทูตมาทง้ั ๗ นคร คือ ๑. พระเจา้ อชาตศตั ร ู แห่งนครราชคฤห์ ๒. กษตั ริย์ลจิ ฉวี แหง่ นครเวสาลี ๓. กษัตริย์ศากยะ แหง่ เมืองกบลิ พัสด์ุ ๔. กษตั ริยถ์ ลู ี แห่งเมอื งอลั ลกปั ปะ *กล่าวกันวา่ ผ้าที่ไฟไม่ไหมน้ น้ั เปน็ ผา้ ที่ทำ� ด้วย ใยหิน ผ้าชนิดน้เี ม่ือจะซักกโ็ ยนลงกองไฟ เรียกผ้าชนดิ นวี้ ่า อัคคโิ วทานทุสสะ แปลวา่ ผา้ ที่ซักดว้ ยไฟ
78 ๕. กษัตรยิ ์โกลิยะ แห่งเมืองรามคาม ๖. พราหมณ์ผคู้ รองเมอื งเวฏฐทีปกะ ๗. กษตั รยิ ม์ ลั ละ แหง่ เมืองปาวา แตเ่ จ้ามัลละแห่งเมอื งกสุ ินาราไม่ยอม แบง่ พระบรมสารรี กิ ธาต ุ อ้างวา่ พระศาสดา ตงั้ พระทัยมาปรนิ ิพพานในเมอื งของตน เร่ืองท�ำท่าจะไปกนั ใหญ ่ แต่ไดอ้ าศยั โฑณพราหมณผ์ มู้ วี าจาเฉียบแหลม ไดก้ ลา่ วเกล้ยี กลอ่ มว่า “พระศาสดาของเรา ทรงสรรเสริญขนั ติ (และเมตตา) การท่พี วกเราจะมารบราฆ่าฟันกัน เพราะแยง่ พระพทุ ธสรรี ะนนั้ หาสมควรไม่ ไม่เปน็ การดีเลย พวกเราควรจะยินยอม พรอ้ มใจกนั แบง่ พระบรมสารีริกธาตุออกเป็น ๘ สว่ น สว่ นละเท่าๆ กนั เพอื่ พระสถปู จะได้ แพรห่ ลายไปในที่ต่างๆ เพราะผ้เู ลอื่ มใส พระผ้มู พี ระภาคมีจ�ำนวนมากดว้ ยกนั ”
79ก า ร ป ริ ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ ุพ ท ธ เ ้จ า : อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เมอื่ โฑณพราหมณ์กลา่ วเช่นนี ้ พวกมัลล- กษตั ริย์กโ็ อนออ่ นผอ่ นตาม และขอให ้ โฑณพราหมณ์เป็นผู้แบง่ เมอื่ แบง่ เสร็จแล้ว โฑณพราหมณก์ เ็ อย่ ปากขอทะนาน (ตุมพะ) ทใ่ี ช้ตวงพระบรมสารรี กิ ธาตุ เพอ่ื ตนจะได้ น�ำไปบรรจุไว้ในสถูปสักการบชู าตอ่ ไป มัลลกษัตริยก์ ็ยินยอมให้ ต่อมามีเจ้าโมรยิ ะแห่งเมืองปิปผลวิ นั ทราบข่าวการปรนิ ิพพานแหง่ พระศาสดา ได้ส่งทตู ไปขอพระบรมสารรี กิ ธาตุเช่นเดยี วกนั แตไ่ มไ่ ด ้ เพราะเขาแบง่ กนั หมดแลว้ ได้แต่ พระอังคาร (ขี้เถ้า) ไป เป็นอนั ว่า พระสถูปที่บรรจพุ ระบรม- สารีริกธาตใุ นครงั้ นั้นมี ๘ แหง่ บรรจุตุมพะ คอื ทะนานทตี่ วงพระธาตุ ๑ แหง่ บรรจุพระองั คาร ๑ แหง่ รวมเป็น ๑๐ แหง่ ด้วยประการฉะนี้
“อานนท์ เราได้เคยบอกเธอไวก้ ่อนแลว้ มใิ ชห่ รอื วา่ บุคคลย่อมตอ้ งพลัดพราก จากสงิ่ อนั เป็นทรี่ ักท่ีพ่งึ เปน็ ธรรมดา จะหวงั ให้ไดด้ งั ใจเสมอไปย่อมไม่ได้ ส่ิงที่เกิดข้นึ แล้วย่อมมีการสญู สลายเป็นธรรมดา จะปรารถนาวา่ อยา่ ต้องท�ำ ลายเลย ย่อมเป็นไปไมไ่ ด้...”
“ภกิ ษุทงั้ หลาย บัดนเี้ ราขอเตอื นทา่ นทงั้ หลายวา่ สงั ขารทงั้ หลายมีความเสอ่ื มไป ส้นิ ไปเปน็ ธรรมดา ขอท่านท้งั หลาย จงมชี ีวติ อยู่ ดว้ ยความไม่ประมาทเถิด”
Search