งานนำเสนอ (1) 2020-09-27 12_43_47

นกเหงือก

ลกั ษณะ นกเงอื ก เป็ นนกป่ าขนาดใหญ ่ ทมี2 จี ดุ เดน่ คอื จะงอยปากหนาทใี2 หญแ่ ละมี โหนกทางดา้ นบนเป็ นโพรง ภายในโพรงมเี นือA เยอื2 คลา้ ยฟองนําA สว่ นใหญ่ ลาํ ตวั มสี ขี าวดาํ หางยาว ปี กกวา้ งใหญ ่ บนิ ไดแ้ ข็งแรง เวลาบนิ จะโบกปี กชา้ ๆ กนิ ผลไมเ้ ป็ นอาหารหลกั และสตั วเ์ ลอืA ยคลานเล็ก ๆ เป็ นอาหารเสรมิ ทาํ รงั ในโพรงไม ้ ตวั เมยี จะเขา้ ไปกกไขใ่ นโพรงโดยใชโ้ คลนและมูลปิ ดปากโพรงไว ้ เหลอื เพยี งชอ่ งพอใหต้ วั ผูย้ นื2 สง่ อาหารเขา้ ไปได ้ เมอื2 ลกู นกโตพอแลว้ จงึ เจาะโพรงออกมาและจากจะงอยปากและสว่ นหวั ทใี2 หญเ่ หมอื นโหนกหรอื หงอนนAัน ทาํ ใหน้ กเงอื กถกู ใชใ้ นเชงิ สญั ลกั ษณท์ างวฒั นธรรมมาแต่ โบราณ โดยใชท้ าํ เป็ นเครอื2 งประดบั ของชนเผ่าตา่ ง ๆ

ชนิด พบทว2ั โลกม ี 55 ชนิด[6]ใน 14 สกลุ (ดใู นตาราง) มกี าร แพรก่ ระจายอยใู่ นแถบเขตรอ้ น ของทวปี แอฟรกิ า และเอเชยี

ทํารงั นกเงอื ก มลี กั ษณะการทาํ รงั ทแี2 ปลกจากนกอนื2 คอื เมอื2 ถงึ ฤดกู าลทาํ รงั นกคผู่ วั เมยี จะพากนั หารงั ซงึ2 ไดแ้ ก ่ โพรงไมต้ ามตน้ ไมใ้ หญ ่ เชน่ ตน้ ยาง ที2 อยใู่ นทลี2 บั ตา เมอื2 ตวั เมยี เขา้ ไปอยใู่ นโพรง จะทาํ ความสะอาดแลว้ เรมิ2 ปิ ด ปากโพรง ดว้ ยวสั ดตุ า่ ง ๆ เชน่ ดนิ เปลอื กไม ้ ตวั เมยี จะขงั ตวั เองอยภู่ ายใน เพอื2 ออกไขแ่ ละเลยีA งลกู

แสดงความสมบูรณข์ องป่ า นกเงอื ก เป็ นดชั นีชวีA ดั ความอดุ มสมบรู ณข์ องธรรมชาตไิ ด ้ ประการหนึ2ง เนื2องจากจะอาศยั อยใู่ นป่ าหรอื พนืA ทที2 มี2 คี วามอดุ ม สมบรู ณเ์ ทา่ นัAน เนื2องจากนกเงอื กเป็ นนกขนาดใหญถ่ งึ ใหญม่ าก กนิ ทงัA ผลไมแ้ ละสตั วเ์ ป็ นอาหาร อกี ทงAั ธรรมชาตใิ นการหากนิ ตอ้ งอาศยั พนืA ทปี2 ่ าทกี2 วา้ ง และยงั เป็ นตวั แพรก่ ระจายพนั ธพุ ์ ชื ชนิดตา่ ง ๆ ในป่ าไดอ้ ยา่ งดอี กี ดว้ ย เนื2องจากเป็ นนกทกี2 นิ ผลไม ้ ชนิดตา่ ง ๆ ไดถ้ งึ 300 ชนิด และทิง* เมลด็ ไว้ตามท5ีตา่ ง ๆ

จาํ นวนลูกของนกเงือกบางชนิดตอ่ ครงั> – นกกก มเี พยี ง 1 ตวั – นกเงอื กกรามชา้ ง มเี พยี ง 1 ตวั – นกเงอื กสนี ําA ตาล มไี ด ้ 2-3 ตวั – นกแกก๊ มไี ด ้ 1-2 ตวั

การรวมฝู ง เมอื2 ฤดทู าํ รงั สนิA สดุ ลงและลกู นกเงอื กบนิ ไดเ้ กง่ แลว้ ในชว่ งฤดฝู น นกเงอื กมกั จะพากนั มารวมฝูงกนั หากนิ รวมกลมุ่ ขนาดใหญบ่ า้ ง เล็กบา้ งแลว้ แตช่ นิดของนกเงอื ก และรวมฝูงนอนตามหบุ เขาลกึ อกี ทงัA นกรนุ่ ลกู มโี อกาสจบั คกู่ บั นกเงอื กทมี2 าจากแหลง่ อนื2 ชว่ ย ใหเ้ กดิ ความหลากหลายทางพนั ธกุ รรมมากขึA

นกเงือกในประเทศไทย ประเทศไทยมนี กเงอื ก 13 ชนิด ด้วยกนั โดยในอทุ ยานแหง่ ชาตเิ ขาใหญ่ซง5ึ มี อาณาเขตสว่ นหนงึ5 อยใู่ น จงั หวดั นครราชสมี า มี 4 ชนิด ได้แก่ นกกก หรือ นกกะวะ หรือ นกกาฮงั นกเงือกสนี ํา* ตาล นกเงือกกรามช้าง หรือ นกก่กู ีM และนกแก๊ก หรือนกแกง และ เขตรักษาพนั ธ์สุ ตั ว์ป่าฮาลา-บาลา พบ 9 ใน 12 ชนิดของนกเงือกท5ีพบในไทย ได้แก่ นกเงืกปากยน่ นกเงือกชนหิน นกแก๊ก นกกก นกเงือกหวั หงอก นกเงือกปากดํา นกเงือก หวั แรด นกเงือกดํา นกเงือกกรามช้าง

ภาระของนกเงือกตอ่ สงั คมป่ า ดว้ ยลกั ษณะการดาํ รงชวี ติ ดงั กลา่ วมาแลว้ และความ หลากหลายของการกนิ อาหาร นกเงอื กจงึ เป็ นตวั กลางใน การเชอื2 มโยงดลุ ยภาพตา่ งๆ ในสงั คมป่ าเขตรอ้ นใหค้ งอย ู่ ไม่เปลยี2 นแปลง นกเงอื กอาจมอี ายยุ นื ยาวไดถ้ งึ 30 ปี แตล่ ะตวั สามารถชว่ ยกระจายเมลด็ พนั ธ์ไุ ม้มากกวา่ 100 ต้น/สปั ดาห์ หากไม้เหลา่ นี * สามารถเจริญเป็นไม้ใหญ่ได้เพียง 5 เปอร์เซน็ ต์ หนง5ึ ชีวิตของนกเงือกจะ สามารถปลกู ไม้สาํ คญั ของป่าได้ถงึ 500,000 ต้น ถ้าป่าไหนมีนกเงือกอยถู่ งึ 500 ตวั ป่าเหลา่ นนั* จะไมเ่ ป็นป่าที5สมบรู ณ์ได้อยา่ งไร

เป็ นความรกั แท”้ เพราะเมอื2 นกจบั คตู่ อ่ สกู ้ นั แลว้ จะ เชอื2 มโยงกนั แค ่ 2 ตวั ตลอดชีวิตจะใช้ชีวิตคแู่ บบ \"ผวั เดียวเมียเดียว\" แก่ เฒา่ หรือแก่กวา่ จะตายจากกนั และยงั มีลกั ษณะของหวั หน้าครอบครัวที5ดีคอย หาอาหารให้และคอยดแู ล ลกู นกและแมน่ กให้ปลอดภยั