พริก ชอื่ ทางวทิ ยาศาสตร์ : Capsicum spp. ชื่อสามัญ : Chili,Pepper,Sweet pepper,Hot pepper,Bird pepper,Capsicum,Paprika ชอื่ วงศ์ : SOLANACAEAC พริกเป็นพืชท่ีอยู่ในตระกูลโซลานาซีอี (Solanaceae) ซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกันกับมะเขือ มันฝร่ัง และยาสูบพืชใน ตระกูลนี้มีอยปู่ ระมาณ 90 สกุล (Genus)หรือ 2,000 ชนิด (Species) โดยทว่ั ไปเป็นได้ท้ังพืชล้มลุก ไม้พุ่ม และไม้ยืนต้นขนาด เล็กซ่ึงกระจายอยู่ท่ัวไปของโลก สาหรับพริกจัดอยู่ในสกุล Capsicum ซึ่งประกอบด้วยพืชชนิดต่างๆประมาณ 20-30 ชนิด สาหรับลกั ษณะท่ัวไปทางพฤกษศาสตรศ์ าสตรข์ องพริกมีดังน้ี ราก ระบบรากของพริกมีรากแก้ว รากหากินลึกมาก ต้นพริกท่ีโตเต็มท่ีรากฝอยจะแออกไปหากินด้านข้างในรัศมีเกิน กวา่ 1 เมตร และหย่ังลกึ ลงไปในดินเกนิ กวา่ 1.20 เมตรรากฝอยหากินของพริกจะพบอยู่อย่างหนาแน่นมากในบริเวณรอบๆ ต้น ใตผ้ วิ ดนิ ลึกประมาณ 60 เซนติเมตร ลาต้นและก่ิง ลาต้นพริกตั้งตรง สูงประมาณ 1-2.5 ฟุต พริกเป็นพืชที่มีการเจริญของกิ่งเป็นแบบ dichotomous คือ กิ่งจะเจริญจากลาต้นเพียง 1 กิ่ง แล้วแตกออกเป็น 2 กิ่ง และเพิ่มเป็น 4 ก่ิง 8 กิ่ง 16 กิ่ง ไปเรื่อยๆ และมักพบว่าต้นพริกที่ สมบูรณจ์ ะมกี ่ิงแตกขึ้นมาจากตน้ ทร่ี ะดบั ดินหลายกงิ่ จนดคู ลา้ ยกับว่ามีหลายต้นอย่รู วมท่เี ดียวกนั ดังนัน้ จึงมักไม่พบลาต้นหลักแต่ จะพบเพียงกง่ิ หลักๆเท่าน้นั ทั้งลาตน้ และก่ิงนั้นในระยะแรกจะเป็นไม้เน้ืออ่อนแต่เม่ือมีอายุมากข้ึนกิ่งก็จะยิ่งแข็งมาก แต่ก่ิงหรือ ตน้ พริกก็ยงั คงเปราะและหักง่าย เมลด็ เมลด็ พรกิ ขีห้ นมู ขี นาดคอ่ นข้างใหญ่กวา่ เมลด็ มะเขือเทศแต่มีรูปร่างคล้ายๆกันคือ มีรูปร่างกลมแบน มีสีเหลืองไป จนถึงสีน้าตาล ผิวเรียบ ผิวไม่ต่อยมีขนเหมือน เมล็ดมะเขือเทศ มีร่องลึกอยู่ทางด้านหนึ่งของเมล็ด เมล็ดจะติดอยู่กับรก โดยเฉพาะทางด้านฐานของผลพริกเมล็ดจะติดอยู่มากกว่าปลายผล ส่วนมากที่เปลือกของผล และเปลือกของเมล็ดมักมีเช้ือโรค พวกโรคใบจุด และโรคใบเห่ยี วติดมา สาหรับจานวนเมล็ดตอ่ ผลพรกิ 1 ผล จะไมแ่ น่นอน พรกิ มแี หล่งกาเนดิ ในอเมริกาเขตร้อน พันธ์ุพริกท่ีนิยมปลูกในปัจจุบันถูกนามาจากตัวอย่างท่ีเก็บมาเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เม่ือเทยี บกบั การกระจายตัวของพันธกุ รรมในธรรมชาติ พริกพนั ธุ์ปลูกแบ่งไดเ้ ป็น 3 กลุ่ม ใหญ่ ๆ ได้แก่ Capsicum baccatum และ C. pubescens R. and P. ซ่ึงแยกออกจากกันได้อย่างชัดเจนโดยลักษณะทางพฤกษศาสตร์ และอีกกลุ่มหนึ่งที่รวม ๆ กัน อยู่ปัจจุบันยอมรบั ให้แยกอีก 3 ชนิด(species) ดว้ ยกนั ไดแ้ ก่ C. annuum L., C. frutescens L. และ C. chinense Jacq.
พันธุพ์ รกิ ชนิดพันธุพ์ ริก 1. Capsicum annuum L. พริกช้ีฟ้า,พริกช้ีฟ้าใหญ่,พริกจินดา,พริกแดง,พริก เป็นชนิดท่ีปลุกมากและมีความสาคัญมาก ฟักทอง,พริกขี้หนู,พริกข้ีหนูช้ีฟ้า,พริกขี้หนูจินดา,พริก ท่ีสุดเม่ือเทียบกับพริกชนิดอ่ืน ๆ มีแหล่งดั้งเดิมอยู่ท่ี หวาน,พริกยักษ์ อเมริกากลาง พริกชนิดน้ีเห็นได้ชัดว่าแตกต่างจาก ชนดิ อ่นื ได้แก่ การท่มี ีดอกเด่ียวและผลเด่ียว ๆ และ มีกลีบดอกสีขาวเป็นสายพันธ์ุท่ีดีที่สุดเม่ือเทียบกับ ชนดิ อ่นื 2. Capsicum chinense Jacq. พริกข้ีหนู,พริกขี้หนูแดง,พริกกลาง,พริกเล็บมือนาง, เป็นพริกที่มีความสาคัญในการใช้เป็นพันธ์ุ พริกขหี้ นูหอม,พรกิ สวน,พริกใหญ่ ปลูกมากในแถบภูเขาแอนดีสในอเมริกาใต้ การ กระจายพันธขุ์ องพริกชนดิ นม้ี มี ากในบริเวณอเมซอน พริกในกลุ่มน้ีที่มีผลใหญ่เนื้อหนา ใช้รับประทานสด พริกที่เนื้อบางใช้ทาพริกแห้ง ส่วนพริกผลเล็กมีกลิ่น และรสเผ็ดจัดเชื่อว่ามีรสเผ็ดท่ีสุดในพริกที่ปลูก ท้งั หมด พริกนีไ้ มน่ ิยมในเอเชยี แถบรอ้ น 3. Capsicum baccatum L. พริกขหี้ นู พรกิ ชนิดนี้มีถ่ินกาเนิดอยู่ท่ีประเทศโบลิเวีย มีหลักฐานทางโบราณคดีของประเทศเปรูว่าพริก ชนิดนี้ C. baccatum var. pendulum จากการ รวบรวมพันธุ์พริกในประเทศไทยสงสัยว่ามีพริกชนิด น้ีปลูกอยู่สายพันธ์ุหนึ่ง พริกพวกนี้มีความแตกต่าง จากพริกชนิดอ่ืนที่มีดอกสีขาวและมีจุดสีเหลืองที่ กลีบดอกขาวในกลุ่มพริกน้ียังมี C. pendulum และ C. microcarpum ที่ถูกจัดให้อยู่ใน C. baccatum ด้วย 4. Capsicum frutescens L. พริกชฟ้ี า้ ,พรกิ เกษตร,พริกขาว เป็นพันธุ์ท่ีรู้จักกันแพร่หลายนอกจากน้ียังมี พันธ์ุผลโตอื่น ๆ อีก มีปลูกแถบทะเลแคริบเบียน ทวีปยโุ รปและทวปี เอเชยี แต่พันธุ์ท่ีนิยมปลูกในทวีป เอเชียมีผลเล็ก มีความเผ็ดมาก บางแห่งใช้พริกพวก น้ใี นการสกดั สาร 5. Capsicum pubescens Ruiz & Pavon ในประเทศไทยอาจมีพริกชนิดน้ีอยู่เพียงสายพันธุ์เดียว พริกชนิดนี้เป็นพริกท่ีปลุกบนพื้นที่สูงเนื่องจากทน เรียกว่า พริกขาวดา ต่อความหนาวได้ พบว่าปลุกอยู่ในแถบเขาแอนดีส และบนที่สูงของอเมริกากลาง แต่ก็พบพริกชนิดนี้ใน ที่ราบเช่นเดียวกันกับ C. annuum , C. baccatum และ C. chinense ผลของพริกมีเนื้อ หนา มเี ปอรเ์ ซน็ ต์ของนา้ สงู แต่มีรสเผ็ด
การจาแนกพริกตามความเผ็ด สารแคปไซซิน เป็นสารท่ีให้ความเผ็ดในพริก มีหน่วยเป็นสโควิลล์ (Scoville) โดยพริกท่ีมีความเผ็ดร้อยละ 1 จัดเป็น พรกิ ท่มี ีความเผด็ มากท่ี 100% หรือมีคา่ เทา่ กับ 175,000 สโควิลล์ ซึ่งจาแนกออกเปน็ 3 ชนิด คอื 1. พรกิ เผด็ มาก เป็นพรกิ ทมี่ ีความเผ็ดในช่วง 70,000-175,000 สโควิลล์ พบได้ในพริกขนาดเล็ก มักนามาสกัดเป็น นา้ มนั หอมระเหย เชน่ พนั ธุต์ าบาสโก 2. พริกเผ็ดปานกลาง เป็นพริกท่ีมีความเผ็ดในช่วง 35,000-70,000 สโควิลล์ พริกชนิดนี้มักนามาประกอบอาหาร เชน่ พรกิ ข้ีหนู พริกชฟี้ ้า พรกิ จินดา พริกหวั เรอื พริกสีทน พรกิ ชอ่ มข. เปน็ ต้น 3. พริกเผด็ นอ้ ยหรือไมเ่ ผด็ เปน็ พรกิ ทมี่ คี วามเผด็ ในชว่ ง 0-35,000 สโควิลล์ มกั เป็นพรกิ ที่มีขนาดใหญ่ เนื้อหนา ผลมี ลกั ษณะกลม สั้น มกั นามาสกดั เปน็ น้ามันหอมระเหย เช่น พรกิ หยวก พริกหวาน เปน็ ตน้
วธิ ีการปลูก พริกเป็นพชื ทปี่ ลูกไดท้ ่ัวไป ทัง้ พ้ืนท่ีในเขตร้อนและอบอุ่นขึน้ ไดด้ ตี ง้ั แตร่ ะดบั นา้ ทะเลจนถงึ กระท่ังความสงู กวา่ 2000 เมตร ตอ้ งการนา้ ฝนประมาณปลี ะ 600-1250 มิลลเิ มตร แตข่ ณะเดยี วกันก็สามารถทนแล้งได้ดีพอสมควร ในเขตชลประทาน ปลกู ไดต้ ลอดปี แตค่ วรปลกู ในชว่ งมกราคมถงึ กุมภาพันธ์ ซ่ึงเป็นชว่ งทีพ่ รกิ มีราคาดี สาหรบั พน้ื ทน่ี อกเขตชลประทานควรปลูก ในชว่ งฤดูฝน พรกิ ปลกู ได้ดใี นดนิ เกือบทุกชนิดแต่จะขน้ึ ได้ดีในดนิ รว่ นปนทราย ไมช่ อบพ้ืนทีท่ มี่ ีนา้ ท่วมขังหรือชนื้ แฉะ เพราะจะ ทาใหร้ ากเน่าและตายได้งา่ ย การเตรียมดิน การเตรียมดินจะมีวธิ เี ตรียมแตกตา่ งกันไปตามสภาพของดินและระดบั น้า 1) การปลูกในสภาพอาศัยน้าฝน ย้ายต้นกล้าลงแปลงปลูกท่ีเตรียมใช้ยกแปลงกว้างประมาณ 1.20 เมตร ปลูกเป็นแถวคู่ ระยะระหว่างแถวห่างกนั 80 ซม.หลมุ ละ 1 ตน้ ระยะปลูก 80x80 ซม.ใสป่ ยุ๋ คอกรองพน้ื 2) การเตรียมแปลงในเขตชลประทาน ให้คูส่งน้าอยู่ทางดา้ นหวั แปลง และคูระบายนา้ อยทู่ างท้ายแปลง แล้วปรับระดับคูส่ง นา้ ระหว่างแปลงใหม้ ีความลาดเทพอสมควร เพ่อื ความสะดวกในการให้น้า ส่วนขนาดของแปลงน้ัน ให้มีความกว้างของ แปลง 0.80 เมตร รอ่ งนา้ 0.25 เมตร ความยาวของแปลงประมาณ 20 เมตร 3) ในสภาพดินเหนียวเขตภาคกลาง มีระดับน้าใต้ดินสูง ให้ทาแปลงขนาดกว้างประมาณ 4 – 6 เมตร ความยาวไม่จากัด ขึ้นอยกู่ บั สภาพพ้นื ท่แี ละมรี ่องนา้ กว้างประมาณ 1 เมตร ลึกประมาณ 0.50 – 1 เมตร ซึ่งเหมาะสาหรับใช้เรือบรรทุก เคร่ืองสูบน้าเขา้ ไปให้น้าได้ แปลงทใ่ี ช้ปลกู ควรไมเ่ สี่ยงต่อนา้ ทว่ ม และสามารถระบายน้าไดด้ ีหากฝนตก ซึ่งให้เตรียมแปลง ดังน้ี – หากเปน็ แปลงใหม่ ควรไถตากดนิ พร้อมกาจดั วัชพชื นาน 1 สัปดาห์ – ทาการหวา่ นปุ๋ยคอกในอัตรา 2-3 ตัน/ไร่ หากดินเปน็ กรดควรใสป่ ูนขาว 100-200 กโิ ลกรัม/ไร่ พร้อมไถกลบยก ร่องแปลงสูง 20-30 เซนติเมตร กวา้ ง 40-60 เซนตเิ มตร – แปลงกว้างขนาด 30-50 สาหรับปลูกแถวเดี่ยว แปลงกวา้ ง 80-100 สาหรบั ปลูกแถวคู่ ข้ึนอยู่กับทรงพุ่มของแต่ ละพันธ์ุ – ปรบั ระดับแปลง พร้อมกาจัดวชั พืช และตากดินพรอ้ ม 2-3 วนั – การเพาะปลกู ควรปลูกใหม้ ีระยะห่างระหวา่ งต้นประมาณ 30-40 เซนตเิ มตร โดยทว่ั ไปมีวธิ กี ารปลูก 3 วิธี คือ วธิ ที ่ี 1 หยอดเมล็ด หยอดเมลด็ ลงในหลุมแปลงปลูกโดยตรงประมาณหลุมละ 3-5 เมล็ด การปลกู ในพืน้ ที่ขนาดใหญ่ควร ใช้วิธีนี้ เพราะไม่ต้องเสียเวลาและแรงงานในการย้ายกล้าลงแปลงปลูกอีกครั้งหนึ่ง แต่การปลูกวิธีน้ีต้นอ่อน หรอื เมล็ดอาจถกู มดหรอื แมลงรบกวนทาความเสียหายได้งา่ ย การปลกู วิธีน้เี ม่ือต้นพริกอายุประมาณ 1 เดือน ให้คดั ต้นท่ไี ม่แขง็ แรงออกโดยใชก้ รรไกร เพอ่ื มิให้พรกิ ต้นอนื่ ๆ กระทบกระเทือน
วธิ ีที่ 2 เพาะเมลด็ เพาะเมลด็ ให้งอกกอ่ นแลว้ นาไปหยอดในหลมุ โดยเรมิ่ จากการนาเมล็ดพรกิ แช่นา้ ท้ิงไว้ 1 คืน แล้วใช้ ผ้าท่ีชุ่มชื้นห่อเก็บไว้ในที่ร่มประมาณ 2-3 วัน เมื่อเมล็ดเริ่มงอกเป็นตุ่มเล็ก ๆ จึงนาไปปลูกในแปลง เม่ือต้น พรกิ อายไุ ด้ 1 เดือน ให้คดั ตน้ ไม่แข็งแรงท้ิงเช่นเดียวกับวิธีแรก การปลุกวิธีน้ีดีกว่าวิธีแรกเพราะการงอกของ เมล็ดจะเร็วกวา่ วธิ แี รก วิธที ่ี 3 เพาะเปน็ ต้นกลา้ เกษตรกรท่ีมีพ้ืนท่ีเพาะปลูกน้อยนิยมใช้วิธีนี้เพราะต้นพริกแข็งแรงและการสูญเสียมีน้อย ข้อเสียคือ เสยี แรงงานและเวลามาก ในกรณปี ลกู แบบต้นกลา้ เมือ่ ตน้ กลา้ มีอายุ 30-40 วนั สงู ประมาณ 15-20 เซนติเมตร มีใบจริง 5-7 ใบ และให้งดน้า ต้นกล้า 2-3 วนั กอ่ นย้ายปลูก มวี ธิ ีการปลกู ดังน้ี - เลอื กตน้ กล้าท่มี ลี ักษณะดี คือ ต้นกล้าที่มคี วามแข็งแรงปราศจากโรคและแมลงรบกวน ถ้าเป็นการยา้ ยจากแปลงเพาะ หรอื แปลงชามาลงปลกู โดยตรง ควรย้ายปลกู ในเวลาท่มี ีอากาศไมร่ ้อน ก่อนถอนกล้า 1 ชัว่ โมง ควรรดน้าในแปลงเพาะ กล้าให้ชุม่ ก่อนแล้วใชเ้ สียมแซะด้านข้างๆ แถว และควรทาในเวลาบา่ ยถึงเย็น แสงแดดไม่รอ้ นจดั เมื่อย้ายเสรจ็ ควรรด น้าในทันทีแล้วคลุมกล้าดว้ ยใบไม้ 3-4 วัน จะทาให้กลา้ ต้ังตวั เร็วข้ึน การปลกู อาจจะปลูกเปน็ แถวเดี่ยวหรือแถวคู่ 1) แถวคู่ - ใชร้ ะยะห่างระหว่างแถวคู่ 120 เซนติเมตร ระหวา่ งแถว 80 เซนตเิ มตร และระหว่างต้น 50 เซนติเมตร 2) แถวเด่ยี ว - ใช้ระยะระหวา่ งแถว 100 เซนติเมตร ระหว่างตน้ 50 เซนตเิ มตร ทง้ั สองแบบ ใน 1 ไร่จะปลูกได้ 3,200 ตน้ ภาพแสดงลกั ษณะการคลุมแปลงปลกู พรกิ
การดูแลรกั ษา การใหน้ า พริกต้องการน้าอย่างสม่าเสมอต้ังแต่เร่ิมปลูกจนถึงเก็บเก่ียว ไม่ควรให้น้ามากเกินไปเพราะจะทาให้มีน้าขังแฉะ โดยท่ัวไปแล้วจะให้น้าพริกวันละ 3 – 5 วันต่อครั้ง และควรคลุมหน้าเพื่อรักษาความชื้นของดินและลดการระเหยของน้าด้วย ฟางแห้งหรือพลาสติกสีเทาดา ไม่ควรใช้แกลบ เพราะหลังจากพรวนดินกลบโคนแกลบจะสลายตัว ทาให้พริกชะงักการ เจริญเติบโต การใสป่ ยุ๋ นอกจากการใส่ปุ๋ยรองก้นหลุมแล้ว การปลูกพริกจาเป็นต้องให้ปุ๋ยเสริมในระหว่างการเจริญเติบโตด้วย เพื่อให้ได้ คณุ ภาพและมีผลผลติ สูงขนึ้ สาหรบั ป๋ยุ เคมีท่ใี ชข้ ึน้ อยู่กบั สภาพดนิ แตล่ ะพ้นื ท่ี เชน่ - สภาพดินเหนยี ว ปุ๋ยท่ีใชค้ วรมใี นโตรเจน และโปแทสเซียมเท่ากัน ส่วนฟอสฟอรัสมีอัตราสูง เช่น สูตร12-24-12 หรือ สตู ร 13-30-15 - สภาพดินร่วน ควรใหป้ ุย๋ ทม่ี โี ปแทสเซียมสูงแต่ไมส่ ูงกวา่ ฟอสฟอรสั เช่น สตู ร 10-20-15 - สภาพดินทราย ควรใสป่ ุ๋ยท่ีมธี าตโุ ปแทสเซียมสูงกวา่ ตัวอนื่ เช่น สูตร 15-20-20,13-13-21 และ 12-12-17 โดยทัว่ ไปควรใหป้ ยุ๋ แก่พรกิ ดงั น้ี 1. ช่วงก่อนย้ายปลูก ใสป่ ุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอนิ ทรยี ์ อตั รา 4 - 5 ตนั ต่อไร่ หรือใช้แบบรองกน้ หลุมโดยใช้ปุ๋ยคอก 2 – 3 กามือ พรอ้ มปยุ๋ เคมี สตู ร 15-15-15 อัตรา 25 กโิ ลกรมิ ตอ่ ไร(่ ประมาณ 8 กรัม หรอื 1ช้อนชา) 2. ช่วงหลังยา้ ยปลกู 30 วนั ใสป่ ุ๋ยสตู ร 15-15-15 อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ ใส่แบบโรยข้างแปลงห่างจากโคนต้น 1 คืบ แลว้ พรวนดนิ ไถกลบ นอกจาดน้ีในกรณตี ้นกล้าไม่แข็งแรงให้โรยปยุ๋ ยูเรยี อตั รา 10 - 20 กิโลกริมตอ่ ไร่ 3. ช่วงหลังย้ายปลูก 60 วัน ใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 อัตรา 50 กิโลกริมต่อไร่ เพื่อไม่ให้พริกขาดสารอาหารท่ีจาเป็นต่อ การเจรญิ เติบโต เชน่ การขาดธาตโุ ปแทสเซยี มจะทาให้พรกิ ผลซีดขาว ผิวบางเมล็ดไม่สมบรูณ์
ศตั รูพชื ท่สี าคัญและวธิ ีการป้องกันกาจดั โรคพืชท่สี าคัญ โรค สาเหตุ ลักษณะอาการ การป้องกนั โรคกุ้งแห้งหรือโรคแอนแทรค เกดิ จากเชื้อรา จะพบในช่วงแก่จัดหรือ -คัดเลือกเมล็ดพันธ์ุที่ไม่เป็น โนส(Anthracnose) -Colletotrichum piperatum ผลสุก ผลจะมีจุดบุ๋ม โรค -Colletotrichum capsici เ ล็ ก ๆ สี น้ า ต า ล แ ล ะ -ไม่ควรปลูกพริกหนาแน่น ค่อยๆขยายวงกว้างไป เกินไป บนผิวพริกเป็นวงกลม -รักษาความสะอาดในแปลง หรือวงรรี ูปไข่ ปลูก -คลุกเมล็ดด้วยสารไตเทน เอ็ม 45 เพื่อทาลายเชื้อที่ติด มากบั พันธ์ุเมลด็ โรคเห่ยี วเหลือง เกดิ จากเช้อื รา ใ บ แ ก่ อ ยู่ ต อ น ล่ า ง มี -ปรับปรุงดินให้มีความเป็น (Fusarium wilt) Fusarium oxysporum อาการสีเหลือง ต่อมาใบ กรดเป็นด่าง ระหว่าง 6-6.8 โรคเห่ยี วเขียว เกดิ จากเชอ้ื รา Pseudomonas ถัดมาจะมีสีเหลืองมาก โดยการใส่ปูนขาว โรคใบจดุ solanacearum ขึ้นแล้วร่วง ต้นพริกมี -ปลกู พชื หมนุ เวียนตระกูลถว่ั เกดิ จากเชื้อรา 2 ชนิด -Cercospora sp. อาการเหี่ยว ในต้นท่ีมี -ถ้าพบเพียง 1-2 ต้นทาการ -Alteraria sp. ผลผลิต ดอกและผลจะ ถ อ น เ ผ า ท า ล า ย แ ล้ ว ใ ช่ ร่วง สารเคมีกาจัดเช้ือราเทลงใน ดนิ เหี่ยวท้ังต้น ไม่แสดง -ป้องกนั ไมใ่ หต้ ้นพริกเกิดแผล อาการใบเหลืองต้นพริก บริเวณโคนต้นและราก โดย จะเหี่ยวอยู่ 2-3 วันแล้ว พ่นสารเคมีกาจัดหนอนเจาะ จะเห่ียวตายไม่ฟื้น ถ้า ราก ถอนต้นออกมาจะพบว่า -ถอนต้นพริกที่เกิดอาการเผา รากเน่า เนื้อเยื่อในลาต้น ทาลาย เป็นสีนา้ ตาล -ป ลู ก พื ช ห มุ น เ วี ย น ท่ี ต้านทานโรคน้ี 2 ปี เช่น ขา้ วโพด ถัว่ เป็นต้น มีจุดช้าน้าขนาดเล็ก มี -ควรฉีดสารเคมีป้องกันเช่ือ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง รา ทุกๆ 5-7 วัน ขนาด 3-4 มิลลิเมตร เ น้ื อ เ ยื่ อ ต ร ง ก ล า ง มี สี น้ า ต า ล เ ป็ น ก ลุ่ ม ๆ หลังจากน้ันจะขยายมา ร ว ม กั น เ ป็ น แ ผ ล ใ ห ญ่ ส่งผลให้ต้นไม่สมบรูณ์
ผลผลติ นอ้ ย โรคใบหงกิ หรือใบด่าง เกิดจากไวรัสหลายชนิด เช่น ใบมีอาการหงิกหรือใบ -ป้องกันเพล้ียไฟ เพลี้ยอ่อน Cucumber Mosaic Virus (CMV) ด่ า ง พ บ ใ น ใ บ อ่ อ น ละไรขาว เพราะเป็นตัวนา มากกว่าใบแก่ ไวรัส -ถอนตน้ ทม่ี ีอาการทิ้งและเผา ทาลาย โรคกล้าเน่าตาย เกิดจากเช้ือรา Pythium sp. ตน้ กลา้ แห้งเหยี่ วตาย -ค ลุ ก เ ม ล็ ด พั น ธุ์ กั บ ส า ร โรคพริกเกดิ จากไสเ้ ดือนฝอย Phytopthora sp. Fusarium ป้องกันเชื้อรา sp. และ Rhizoctonia sp. -เมื่อต้นกล้าข้ึนสูงจากพ้ืนดิน แลว้ ควรฉีดสารป้องกันเช้ือรา -การใช้เชื้อรา Tricoderma โดยนามาผสมกับราข้าวและ ปุ๋ยอนิ ทรีย์ นาไปรองกน้ หลมุ เกิดจากไส้เดอื นฝอย ต้นกล้าแคระแกร็นไม่ -ควรปล่อยน้าให้ท่วมขังก่อน Meloidogyne spp. เจริญเติบโต การปลูกพริกพ่ีฆ่าไส้เดือน ฝอย -ตากดินเพ่ือทาลายไส้เดือน ฝอยและไข่ -ใช้ความร้อนช่วย เช่น การ ต้มนา้ หรืออบไอน้า แมลงและศตั รพู ืชทีส่ าคญั แมลง อาการ การป้องกัน เพลย้ี ไฟพริก เพล้ียจะทาการดูดน้าเล้ียงของต้นพริกบริเวณ -หมั่นตรวจดูเพล้ียไฟ โดยพริกดูใต้ใบหรือ เพลี้ยออ่ น ยอดอ่อนหรือใบอ่อน ยอดอ่อนจะหงิก ถ้าเกิด ส่วนอ่อนๆของพริก เช่นยอด ใบอ่อน หาก แมงวันพริก ในช่วงออกดอกดอกจะร่วง หากอาการแล้งจะ พบการระบาดควรใช้สารเคมี สาหรับ ทาความเสียหายมากกว่า 80 เปอร์เซน็ ต์ ป้องกนั และกาจดั เพลี้ยไฟ ได้แก่ คาร์บาริล เมทิโอคาร์บ โดยใช้ตามฉลากอย่าง เคร่งครัด ดูดกินส่วนอ่อนๆของต้นพริก ยอดอ่อน ทาให้ หมั่นตรวจดูยอดใบหรือยอดพริกตั้งแต่เร่ิม ต้นแคระแกรน็ ตัง้ ตัวได้ ถ้าพบก็ควรพ่นสารเคมีกาจัดทันที่ ฉีดพ่นป้องกันทุก 10 วัน จนกว่าพริกจะ โตเตม็ ท่ี -สารเคมี เช่น โตกุไธออน ฟิริมอร์ หรือ ฟอสดริล อย่างใดอยา่ งหน่ึง ตัวเตม็ วัยจะวางไข่บนผิวพริก เม่ือฝักไข่จะเข้า -การทาความสะอาดแปลงปลูกไม่ให้ทรง ไปกดั กนิ เนื้อพรกิ ภายใน พุ่มมากเกินไป -ใช้สารล่อแมลงวันตัวผู้ แขวนในแปลงพริก หรอื รอบๆแปลง
-การพ่นด้วยเหย่ือพิษ เป็นสารจาพวก Yeast Protein Hydrolyses หรือ Yeast Autolysate ทุก 4-7 วัน ในตอนเชา้ การเกบ็ เกยี่ ว พริกจะเร่ิมให้ผลผลิตได้ภายหลังจากย้ายปลูกแล้วประมาณ 2 เดือน และจะเริ่มเก็บเก่ียวผลแดงได้เมื่อมีอายุประมาณ 100 วัน และจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ทุก ๆ 10 วัน ในระยะแรกจะให้ผลผลิตน้อยแล้วจะค่อย ๆ เพ่ิมขึ้นเป็นลาดับตั้งแต่เร่ิมให้ ผลผลิตและเก็บเก่ียวได้จนกระท่ังพริกมีอายุ 7-8 เดือน ผลผลิตเฉลี่ยท่ีเก็บเกี่ยวได้แต่ละครั้งประมาณ 100 กิโลกรัมต่อไร่ หลังจากนั้นผลผลิตจะลดน้อยลงและหยุดการให้ผลผลิตในท่ีสุด แต่ถ้ามีการบารุงรักษาดีและให้น้าอย่างเพียงพอ พริกอาจจะมี อายถุ งึ 1 ปหี รอื นานกวา่ นน้ั ก็ได้ ประโยชน์ของพริก 1. พรกิ มีสารตงั้ ต้นของวติ ามนิ เอ ช่วยบารุงสายตา 2. ชว่ ยใหท้ างเดนิ หายใจโล่ง ขับเสมหะ เพราะแคปไซซนิ จะไปขยายช่องจมูกให้ใหญ่ข้ึน ทาให้เสมหะที่ข้นเหนียวจือจางลง ร่างกายสามารถขบั ออกได้งา่ ยขึ้น 3. พรกิ มี วติ ามนิ ซี สูง แต่วิตามินซีจะสลายตัวเมือ่ ถกู ความรอ้ น เพราะฉะนั้นการกนิ พรกิ สดๆ จะดีกว่าพรกิ ท่ีปรงุ สุกแลว้ 4. แคปไซซนิ ช่วยกระตนุ้ สมองส่วนกลาง ให้หลั่งสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารสร้างความสุข ทาให้เราอารมณ์ดีมากขึ้นถ้ากิน พริก 5. สาหรบั ผู้ปว่ ยหอบหดื พริกจะช่วยใหอ้ าการดขี ึ้นอย่างมาก เพราะความเผด็ จะทาให้หลอดลมขยายตัวได้ดีขึ้น ไม่หดเกร็ง 6. แคปไซซนิ ทอี่ ยใู่ นพรกิ ชว่ ยปอ้ งกนั ไม่ให้ตับสร้างคอเลสเตอรอลชนิดไมด่ ี แตส่ ง่ เสริมสร้างคอเลสเตอรอลชนิดดี 7. ลดความเสย่ี งในการเป็นโรคมะเร็ง 8. ลดความดัน และลดการอุดตันของหลอดเลอื ด การกินพรกิ เป็นประจา จะชว่ ยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น 9. พรกิ ช่วยเพมิ่ อณุ หภูมใิ นร่างกาย และช่วยในการเผาผลาญ จงึ มปี ระโยชน์ในการควบคมุ น้าหนัก 10. บรรเทาอาการปวด เชน่ ลดอาการปวดฟัน
อ้างอิง -กรมส่งเสรมิ เกษตร -https://www.baanjomyut.com/library_2/extension-3/chilli/05.html - https://puechkaset.com/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81 %E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81/
Search
Read the Text Version
- 1 - 10
Pages: