งานเคร่ืองมือกลเบือ้ งต้น ใบความรู้ เครื่องเลื่อยกล สนั สกฤต ศรีกลบั แผนกวิชาชา่ งกลโรงงาน วิทยาลยั เทคนิคคเู มือง สา นั ก ง า น ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร ก า ร อ า ชี ว ศึ ก ษ า
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 เครื่องเลอื่ ยกล (Sawing Machine)เคร่ืองเลอ่ื ยกล (Sawing Machine) การเลื่อย คือ การตดั ชิ้นงานออกดว้ ยใบเล่ือยที่มีคมเลก็ ๆ หลาย ๆ คม คลา้ ยคมสิ่วหรือคมสกดัจานวนมาก เรียงกนั เป็ นแถว ฟันใบเลื่อยจะกดั ชิ้นงานพร้อม ๆ กนั ทีละหลายฟันใหเ้ ป็ นร่อง จนขาดออกจากนั การเลื่อย จาแนกเป็นการเลื่อยดว้ ยมือ (Hand Sawing) คือเป็ นงานเลื่อยชิ้นงานจานวนไม่มากและเล่ือยดว้ ยเลื่อยไฟฟ้ า (Power Hack Saw) หรือเรียกวา่ เคร่ืองเล่ือยกล (Sawing Machine) จาเป็นสาหรับงานเล่ือยชิ้นงานอุตสาหกรรม คือเล่ือยชิ้นงานจานวนมาก ท้งั ชิ้นงานขนาดเล็กและขนาดใหญ่เครื่องเลื่อยกลแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ไดด้ งั น้ีเคร่ืองเลอื่ ยกลแบ่งออกเป็ น 4 ชนิด คอื 1. เครื่องเลื่อยชกั (Power Hack Saw) 2. เครื่องเลื่อยสายพานนอน (Horizontal Band Saw) 3. เคร่ืองเล่ือยสายพานต้งั (Vertical Band Saw) 4. เคร่ืองเล่ือยวงเดือน (Radius Saw or Circular Saw) 1. เคร่ืองเลอ่ื ยชัก (Power Hack Saw) เครื่องเลื่อยแบบชกั เป็ นที่นิยมใชก้ นั อยา่ งแพร่อหลายในการเล่ือยตดั วสั ดุงานใหไ้ ดข้ นาดและความยาวตามความตอ้ งการ ระบบการขบั เคลื่อนใบเล่ือย ใชส้ ่งกาลงั ดว้ ยมอเตอร์ แลว้ ใชเ้ ฟื องเป็นตวั กลบัทิศทางและใชห้ ลกั การของขอ้ เหวยี่ งเป็นตวั ขบั เคล่ือนใหใ้ บเลื่อยเคลื่อนที่กลบั ไปกลบั มาในแนวเส้นตรงอยา่ งตอ่ เนื่องทาใหใ้ บเลื่อยสามารถตดั งานได้ รูปท่ี 1.1 เคร่ืองเลื่อยชัก (Power Hack Saw
ส่วนประกอบของเครื่องเลอ่ื ยชัก ส่วนประกอบทุกส่วนมีความสาคญั เท่ากนั เพราะจะตอ้ งทาหนา้ ท่ีร่วมกนั ตลอดเวลา ซ่ึงประกอบดว้ ยส่วนตา่ ง ๆ ดงั น้ี โครงเล่ือย (Saw Frame) มีลกั ษณะเหมือนตวั ยคู ว่า โครงเล่ือยส่วนใหญ่ทาจากเหลก็ หล่ออยา่ งดีใชส้ าหรับใส่ใบเลื่อย โครงเลื่อยจะเคล่ือนท่ีไป – มาอยใู่ นร่องหางเหยย่ี วโดยการส่งกาลงัจากลอ้ เฟื อง ดงั รูปท่ี 1.2 รูปท่ี 1.2 ส่วนประกอบของเคร่ืองเล่ือยชัก ปากกาจบั งาน (Vise) ใชจ้ บั ชิ้นงานเพอื่ ทาการเลื่อย สามารถปรับปรุงเอียงขวา-ซา้ ย ได้ขา้ งละ 45 องศา และสามารถเลื่อนปากเขา้ -ออกไดด้ ว้ ยเกลียวแขนหมุนล็อคแน่น ดงั รูปที่ 1.3 รูปท่ี 1.3 แสดงส่วนประกอบปากกาจับงาน
แขนต้งั ระยะงาน (Cut Off Gage) มีหนา้ ที่ในการต้งั ระยะของชิ้นงานที่ตอ้ งการตดัจานวนมาก ๆ เพ่ือใหช้ ิ้นงานท่ีตดั ออกมามีความยาวเทา่ กนั ทุกชิ้น ดงั รูปที่ 1.4 รูปที่ 14 แสดงการทางานของแขนต้งั ระยะงาน ระบบป้ อนตดั เคร่ืองเล่ือยชกั มีระบบป้ อนตดั 2 ชนิด คือ ชนิดใชล้ ูกถ่วงน้าหนกั และชนิดใชน้ ้ามนั ไฮดรอลิกท้งั 2 ชนิด ทาหนา้ ท่ีเหมือนกนั คือการป้ อนตดั แต่หลกั การทางานต่างกนัตรงที่ชนิดลูกถ่วงน้าหนกั อาศยั แรงดึงดูดของโลก ส่วนชนิดไฮดรอลิกอาศยั แรงดนั จากน้ามนั ไฮดรอลิก ระบบหล่อเยน็ เครื่องเลื่อยชกั มีความจาเป็นตอ้ งใชน้ ้าหล่อเยน็ เพื่อช่วยระบายความร้อนเน่ืองจากการเสียดสีระหวา่ งใบเล่ือยกบั ชิ้นงาน และยงั ช่วยยดื อายกุ ารใชง้ านของใบเลื่อยให้ยาวนาน ฐานเคร่ืองเลื่อยชกั (Base) ทาหนา้ ที่รองรับส่วนตา่ ง ๆ ของเคร่ืองเลื่อยชกั ท้งั หมด ฐานเคร่ืองเล่ือยชกั บางชนิดจะทาเป็นโพรงภายใน เพอ่ื เป็นท่ีเก็บถงั น้าหล่อเยน็ และมอเตอร์ มอเตอร์ (Motor) เคร่ืองเล่ือยชกั มีมอเตอร์ทาหนา้ ท่ีเป็นตน้ กาลงั ขบั มอเตอร์จะใชก้ บักระแสไฟฟ้ า 220 โวลตห์ รือ 380 โวลตข์ ้ึนอยกู่ บั ผผู้ ลิต สวติ ซ์เปิ ด-ปิ ด เคร่ืองเล่ือยชกั มีสวติ ชเ์ ปิ ด-ปิ ด แบบก่ึงอตั โนมตั ิ คือ สวติ ซ์เคร่ืองจะปิ ดโดยอตั โนมตั ิเมื่อใบเล่ือยตดั ชิ้นงานขาด ชุดเฟื องทด (Gear) ทาหนา้ ที่ในการทดส่งกาลงั จากมอเตอร์ไปยงั โครงเลื่อยเฟื องทดที่ใช้กบั เครื่องเล่ือยชกั มี 2 ชนิด คือ เฟื องเฉียง และเฟื องตรง มลู่ ี่ (Pulley) ทาหนา้ ที่ส่งกาลงั ผา่ นสายพานไปยงั ชุดเฟื องทด ใชก้ บั สายพานตวั วี
กลไกการทางานของเคร่ืองเล่อื ยชัก กลไกการทางานของเคร่ืองเล่ือยชกั เป็นกลไกส่งกาลงั ดว้ ยมอเตอร์ ส่งกาลงั ผา่ นเฟื องขบั ซ่ึงเป็นเฟื องทด เพอ่ื ทดความเร็วรอบมอเตอร์ และเพ่ือทดแรงขบั ของมอเตอร์ ที่ขา้ งเฟื องขบั มีจุดหมุนกา้ นตอ่ อยคู่ นละศูนยก์ บั ศูนยก์ ลางเฟื อง เพ่อื ต่อกา้ นต่อไปขบั โครงเล่ือย ใหช้ กั โครงเล่ือยเดินหนา้ และถอยหลงัได้ รูปที่ 1.5 กลไกการทางาน นา้ หนักกดโครงเลื่อย สาหรับน้าหนกั กดโครงเลื่อย ยง่ิ เลื่อนห่างออกจากหวั เครื่องมากเท่าใด จะกดใหใ้ บเลื่อยตดัเฉือนมากเท่าน้นั ดงั น้นั การเลื่อนปรับระยะน้าหนกั กด ใหส้ งั เกตการตดั เฉือนของฟังเลื่อยดว้ ย น้าหนกั กดใกลห้ วั เครื่อง = น้าหนกั กดโครงเลื่อยนอ้ ย น้าหนกั กดห่างหวั เครื่อง = น้าหนกั กดโครงเล่ือยมาก รูปท่ี 1.6 นา้ หนักกดโครงเล่ือย
ใบเลอ่ื ยเคร่ือง (Saw Blade) ใบเล่ือยเป็นอุปกรณ์ของเครื่องเลื่อยที่มีความสาคญั มาก ทาหนา้ ท่ีตดั เฉือนชิ้นงาน ใบเล่ือยเคร่ืองทาจากเหลก็ รอบสูง (HSS) มีความเขง็ แตเ่ ปราะ ดงั น้นั การประกอบใบเล่ือยเขา้ กบั โครงเล่ือยจะตอ้ งประกอบใหถ้ ูกวธิ ีและขนั สกรูใหใ้ บเล่ือยตึงพอประมาณ เพือ่ ป้ องกนั ไมใ่ หใ้ บเลื่อยหกั ส่วนตา่ ง ๆของใบเล่ือยประกอบดว้ ยความกวา้ ง ความยาว ความหนา ความโตของรูใบเลื่อย และจานวนฟันใบเล่ือยซ่ึงมีท้งั ฟันหยาบและฟันละเอียด จานวนฟันใยเลื่อยบอกเป็นจานวนฟันต่อนิ้ว เช่น 10 ฟังต่อนิ้ว 14 ฟันต่อนิ้ว แต่ที่นิยมใชง้ านทวั่ ๆ ไป คือ 10 ฟันต่อนิ้ว ดงั รูปที่ 1.7 รูปท่ี 17 ส่วนประกอบต่าง ๆ ของใบเลื่อยเคร่ืองลกั ษณะของใบเลอื่ ย 1. ความยาวของใบเลื่อย การวดั ความยาวของใบเล่ือยจะวดั จากจุดศูนยก์ ลางของรูยดึ ใบเลื่อยท้งั สอง เรียกวา่ ขนาดความยาวของใบเล่ือยจะมีขนาด 200 ม.ม. และขนาด 300 ม.ม. 2. ความกวา้ งของใบเลื่อย กวา้ ง 12.7 ม.ม. หรือ 1/2 นิ้ว 3. ความหนาของใบเลื่อย หนา 0.64 ม.ม. หรือ 0.025 นิ้ว 4. การวดั จานวนฟันของใบเล่ือย คือ วดั ระยะห่างของยอดฟันหน่ึงถึงยอดฟันหน่ึง - ในระบบเมตริก เรียกวา่ ระยะพิต Pitch (P) - ในระบบองั กฤษ จะวดั ขนาดความถ่ีห่างของฟันเลื่อยนิยมบอกเป็นจานวนฟันตอ่ ความยาว 1 นิ้ว รูปที่ 1.8 ระยะพิต
ตารางท่ี 1 ขนาดมาตรฐานใบเลอื่ ยแบบเคร่ืองเลอ่ื ยชัก ตารางที่ 2 การเลอื กใบเลอ่ื ยให้เหมาะกบั งาน
รูปร่างของฟันเล่อื ย จานวนฟัน/นิว้ ตัวอย่างวสั ดุทใี่ ช้ ช่วงยาวของแนวตัด 14, 16, 18 วสั ดุอ่อน เช่น ดีบุก มากกวา่ 40 ม.ม. ข้ึนไป ทองแดง ตะกวั่ อะลูมเนียม พลาสติก เหล็กเหนียว 22, 24 วสั ดุแขง็ ปานกลาง เช่น นอ้ ยกวา่ 40 ม.ม. ลงมา เหลก็ หล่อ เหลก็ โครงสร้าง ทองเหลือง 32 วสั ดุแขง็ มาก เช่น เหลก็ ทา แผน่ โลหะ, ท่อบาง ๆ เคร่ืองมือ เหลก็ กลา้ เจือ มุมฟันเลอ่ื ย ฟันเล่ือยแต่ละฟันมีลกั ษณะคลา้ ยกบั ล่ิม ทาหนา้ ท่ีจิกเขา้ ไปในเน้ือวสั ดุ ฟันแตล่ ะฟันประกอบดว้ ยมุมท่ีสาคญั 3 มุม ไดแ้ ก่ - มุมคมตดั () เป็นมุมคมตดั ของฟันเลื่อย - มุมคายเศษ () เป็นมุมท่ีใชด้ นั เศษโลหะออกจากฟันเลื่อย - มุมหลบ () เป็นมุมที่ทาใหล้ ดการเสียดสีระหวา่ งฟันเล่ือยกบั ชิ้นงาน และช่วยใหเ้ กิดมุม คมตดั
3 มุมรวมกนั (α β γ) 90 รูปที่ 1.9 มมุ ฟันเลื่อย คลองเลอ่ื ย (Free Cutting Action) คลองเล่ือย คือ ความกวา้ งของร่องบนวสั ดุงาน หลงั จากท่ีมีการตดั เฉือน ปกติคลองเลื่อยจะมีขนาดความหนามากกวา่ ใบเลื่อย ท้งั น้ี ถา้ ไม่มีคลองเลื่อย ขณะทาการเลื่อยใบเล่ือยกจ็ ะติด ซ่ึงเป็ นสาเหตุหน่ึงที่ทาใหใ้ บเลื่อยหกัลกั ษณะของคลองเลอ่ื ย 1. คลองเลื่อยฟันสลบั ลกั ษณะฟันเลื่อยจะสลบั ซา้ ยกบั ขวาตลอดใบเล่ือย ฟันเลื่อยลกั ษณะน้ีเหมาะ สาหรับใชก้ บั เครื่องเล่ือยกล รูปที่ 1.10 คลองเล่ือยฟันสลบั
2. คลองเล่ือยแบบฟันคล่ืน ลกั ษณะฟันเลื่อยจะเล้ือยเป็นคล่ืน ฟันเลื่อยลกั ษณะน้ีเหมาะสาหรับใชง้ าน กบั เล่ือยมือ รูปที่ 1.11 คลองเล่ือยฟันคลื่น3. คลองเล่ือยแบบตอก ลกั ษณะฟันเลื่อยจะมีมุมฟรีท้งั สองขา้ ง ฟันเลื่อยลกั ษณะน้ีเหมาะสาหรับใช้ งานกบั เล่ือยวงเดือน รูปท่ี 1.12 คลองเล่ือยแบบตอก
ทศิ ทางการตดั เฉือน การทางานของคมเล่ือยประกอบดว้ ยทิศทางท่ีสาคญั 2 ทิศ ไดแ้ ก่ ทิศทางการกดลงและทิศทางการดนั ไป ดูตามลูกศร ทิศทางท้งั 2 เป็นตวั ทาใหเ้ กิดการตดั เฉือนข้ึน แรงท่ีกระทาการกดและการดนัจะตอ้ งสมั พนั ธ์กนั ถา้ แรงใดมากเกินไปหรือฝืนอาจจะทาใหใ้ บเล่ือยหกั ได้ การประกอบใบเลอื่ ยเข้าโครงเลอื่ ย การประกอบใบเล่ือยเขา้ กบั โครงเลื่อยตอ้ งระวงั ทิศทางของฟันเล่ือย จะตอ้ งใส่ใหถ้ ูกทิศทางเนื่องจากจงั หวะถอยกลบั ของโครงเล่ือย จะเป็นจงั หวะที่ทาการตดั เฉือน เพอ่ื ตดั เฉือนชิ้นงานการประกอบใบเลื่อยตอ้ งผอ่ นตวั ดึงใบเล่ือยใหย้ นื่ ออกแลว้ ใส่ใบเล่ือยเขา้ ไปใหร้ ูของใบเลื่อยตรงกบั สลกั ร้อยท้งั 2 ขา้ งของโครงเลื่อย จากน้นั ปรับตวั ดึงใบเล่ือยใหพ้ อตึง ๆ แลว้ ปรับขยบั ใบเลื่อยใหต้ ้งั ฉากโดยการใชค้ อ้ นเคาะเบา ๆ ใหใ้ บเล่ือยแนบสนิทกบั ตวั ดึงใบเลื่อย จึงขนั ใหต้ ึงอีกคร้ังดว้ ยแรงมือ รูปท่ี 1.13 ฟันเลื่อยตดั เฉือนหน้าชิน้ งาน รูปที่ 114 การประกอบใบเลื่อย
การจับยดึ ชิ้นงานสาหรับงานเลอื่ ย การจบั งานท่ีผิดวธิ ีในกรณีชิ้นงานส้นั ปากของปากกาไม่สามารถจะจบั ชิ้นงานใหแ้ น่นได้ แรงกดของเกลียวจะดนั ชิ้นงานหลุด ถา้ ฝืนเล่ือย ใบเลื่อยจะหกั การจบั งานที่ถูกวธิ ี ปากของปากกาจะตอ้ งกดขนานกนั ท้งั 2 ปาก การจบั ชิ้นงานส้นั ใชเ้ หล็กหนุนช่วยในการจบั ดนั ปากของปากกาใหข้ นาน กดชิ้นงานแน่นเมื่อขนั เกลียวจะทาใหช้ ิ้นงานไม่หลุด รูปท่ี 1.15 การจับชิ้นงานส้ันผิดวิธี รูปท่ี 1.6 การจับชิ้นงานสั้นถกู วิธี รูปที่ 1.17 การจับยึดชิ้นงานในลกั ษณะต่าง ๆ การวดั ตดั ชิ้นงาน
การเล่ือยชิ้นงานขนาดเดียวกนั จานวนมาก ๆ ถา้ ต้งั วดั งานทุกคร้ังที่ทาการตดั จะใชเ้ วลามากและขนาดของชิ้นงานจะไมเ่ ท่ากนั มีโอกาสคลาดเคล่ือนได้ วธิ ีการแกไ้ ขในการตดั ชิ้นงานขนาดเดียวกนัจานวนมาก ๆ โดยการต้งั วดั ระยะงานชิ้นแรก แลว้ ใชแ้ ขนต้งั ระยะช่วยในการเลื่อยชิ้นงานชิ้นต่อไป รูปท่ี 1.17 การวดั ขนาดหาระยะความยาวชิ้นงาน การใช้แขนต้ังระยะ แขนต้งั ระยะ ช่วยในการวดั ชิ้นงานท่ีตอ้ งการตดั จานวนมาก ๆ ใหไ้ ดข้ นาดเดียวกนั ทุกชิ้นแขนต้งั ระยะสามารถปรับระยะได้ โดยการขนั สกรูยดึ ใหแ้ น่น และมือหมุนขนั แน่น เมื่อปรับไดท้ ี่แลว้ ตอ้ งขนัแน่นท้งั 2 จุด เพราะเม่ือดนั ชิ้นงานเขา้ มาตดั ใหม่จะเกิดการกระแทก อาจทาใหข้ นาดเปลี่ยนแปลงไปได้ รูปที่ 1.18 ส่วนประกอบแขนตงั้ ระยะข้อควรจา ไมด่ นั ชิ้นงานกระแทกเขนต้งั ระยะแรงจนเกินไป จะทาใหข้ นาดความยาวชิ้นงานท่ีตดั มีขนาดความยาวเคล่ือนไปจากท่ีต้งั ระยะไว้
ข้นั ตอนการใช้เคร่ืองเลอื่ ยชัก เคร่ืองเลื่อยชกั มีข้นั ตอนการใชด้ งั น้ี ตรวจสอบความพร้อมของเครื่องเลื่อยชกั และอุปกรณ์ ตรวจความพร้อมสภาพร่างกายของผปู้ ฏิบตั ิงาน เปิ ดสวติ ซ์เมนใหญ่ใหก้ ระแสไฟฟ้ าเขา้ เคร่ืองเล่ือยชกั ยกโครงเลื่อยคา้ งไวก้ ่อนตดั บีบจบั ชิ้นงานดว้ ยปากกาจบั งานไมต่ อ้ งแน่น ใหส้ ามารถเลื่อนปรับชิ้นงานได้ ปรับโครงเล่ือยลงใหฟ้ ันของใบเล่ือยห่างจากชิ้นงานประมาณ 10 มิลลิเมตร ต้งั ระยะความยาวชิ้นงานโดยใชบ้ รรทดั เหล็กวดั ขนาด บีบจบั ชิ้นงานดว้ ยปากกาจบั งานใหแ้ น่น ปรับแขนต้งั ระยะใหย้ าวเทา่ กบั ความยาวของชิ้นงาน เปิ ดสวติ ซ์เดินเครื่องเลื่อยชกั ทางาน คอ่ ย ๆ ปรับระบบป้ อนตดั ไฮดรอลิกให้โครงเลื่อยเล่ือนลงชา้ ๆ ปรับทอ่ น้าหล่อเยน็ ใหน้ ้าฉีดตรงคลองเลื่อยเพื่อช่วยระบายความร้อน คอยจนกวา่ เล่ือยตดั ชิ้นงานขาด การบารุงรักษาเครื่องเลอ่ื ยชัก เครื่องเลื่อยชกั เป็ นเคร่ืองจกั รกลพ้ืนฐานที่มีความจาเป็ นมาก ดงั น้นั เพอื่ ยดื อายกุ ารใชง้ านให้ยาวนานจาเป็ นจะตอ้ งมีการบารุงรักษาเครื่องดงั ต่อไปน้ี ก่อนใชเ้ คร่ืองเล่ือยชกั ทุกคร้ังควรหยอดน้ามนั หล่อล่ืนตรงบริเวณจุดที่เคลื่อนที่ หลงั เลิกใชง้ านทุกคร้ังควรทาความสะอาด และใชผ้ า้ คลุมเครื่องป้ องกนั ฝ่ นุ ละออง ควรเปล่ียนน้าหล่อเยน็ ทุก ๆ สปั ดาห์ ตรวจสอบกระบอกสูบน้ามนั ไฮดรอลิกส์วา่ ร่ัวซึมหรือไม่ ตรวจสอบ สายพาน มเู่ ล่ เฟื องทด ป๊ัมน้าหล่อเยน็ เพ่อื ใหใ้ ชง้ านไดต้ ลอด ความปลอดภัยในการใช้เคร่ืองเลอ่ื ยชัก เครื่องจกั รทุกชนิดมีประโยชน์แต่ก็มีโทษมากเช่นกนั ดงั น้นั ก่อนใชง้ านทุกคร้ังตอ้ งคานึงถึงความปลอดภยั เสมอ การใชเ้ ครื่องเลื่อยชกั ก็เช่นกนั สามารถเกิดอนั ตรายได้ เพ่ือความปลอดภยั จึงตอ้ งรู้วธิ ีใชด้ งั น้ี ก่อนใชเ้ ครื่องเลื่อยชกั ทุกคร้ังตอ้ งตรวจสอบความพร้อมของเครื่องเสมอ บีบปากกาจบั ชิ้นงานใหแ้ น่นก่อนเปิ ดสวติ ซ์เครื่องทางาน หา้ มตดั ชิ้นงานที่มีความยาวนอ้ ยกวา่ ปากของปากกาจบั งาน เพราะจะทาใหใ้ บเล่ือยหกั เมื่อตอ้ งการตดั ชิ้นงานยาว ๆ ควรมีฐานรองรับงานมารองรับปลายชิ้นงานทุกคร้ัง
ก่อนเปิ ดสวทิ ซ์เดินเครื่องเล่ือยชกั ตอ้ งยกใบเล่ือยใหห้ ่างจากชิ้นงานประมาณ 10 มิลลิเมตร การป้ อนตดั ดว้ ยระบบไฮดรอลิคมากเกินไปจะทาใหใ้ บเล่ือยหกั เหลก็ หล่อ ทองเหลือง ทองแดง และอะลูมิเนียมควรหล่อเยน็ ใหถ้ ูกประเภท ไมค่ วรกม้ หนา้ เขา้ ใกลโ้ ครงเล่ือยชกั ขณะจะเปิ ดสวติ ซ์เดินเคร่ืองเล่ือยทางาน ขณะเครื่องเลื่อยชกั กาลงั ตดั ชิ้นงานหา้ มหมุนถอยปากกาจบั งานออกเป็นอนั ขาด เพือ่ ความปลอดภยั ใหค้ ิดก่อนทาเสมอ 2. เครื่องเลอื่ ยสายพานแนวนอน (Horizontal Band Saw) เป็นเคร่ืองเลื่อยท่ีมีใบเลื่อยยาวติดต่อกนั เป็นวงกลม การเคล่ือนที่ของใบเลื่อย มีลกั ษณะการส่งกาลงั ดว้ ยสายพาน คือมีลอ้ ขบั และลอ้ ตาม ทาใหค้ มตดั ของใบเล่ือยสามารถเล่ือยตดั งานไดต้ ลอด เนื่องตลอดท้งั ใบ การป้ อนตดั งานใชร้ ะบบไฮดรอลิกส์ควบคุมความตึงของใบเล่ือย ปรับดว้ ยมือหมุน หรือใชไ้ ฮดรอลิกปรับระยะห่างของลอ้ มีโครงสร้างแขง็ แรง ตวั เคร่ืองสามารถติดต้งั ไดก้ บั พ้ืนโรงงาน รูปที่ 1.19 เครื่องเลื่อยสะพานแนวนอน 3. เครื่องเลอื่ ยสายพานแนวต้ัง (Vertical Band Saw) เคร่ืองเลื่อยสายพานแนวต้งั เป็นเครื่องเลื่อยท่ีมีใบเลื่อยเป็นแบบสายพานในแนวต้งั ซ่ึงจะหมุนตดั ชิ้นงานอยา่ งตอ่ เนื่อง ใชต้ ดั งานเบาไดท้ ุกลกั ษณะ เช่น ตดั เหลก็ แบน หรือเหล็กบางใหข้ าด หรือตดั เป็ นรูปทรงต่าง ๆ ซ่ึงเคร่ืองเล่ือยชนิดอื่น ๆ ไมส่ ามารถทาได้
รูปท่ี 1.20 ลักษณะของชิน้ งานจากการเล่ือยด้วยเครื่องเลื่อยสายพานแนวตั้งรูปที่ 1.21 เครื่องเลื่อยสายพานแนวตงั้เคร่ืองเลื่อยสายพานแตกต่างจากเครื่องเล่ือยชกั ท่ีสามารถตดั ชิ้นงานเป็นแบบต่อเน่ืองในขณะท่ีเครื่องเล่ือยชกั ทาหนา้ ที่ตดั งานเฉพาะช่วงชกั ตดั เทา่ น้นั และยงั ใชป้ ระโยชนข์ องใบเลื่อยในช่วงจากดั อีกดว้ ย คือ จะใชป้ ระโยชน์เฉพาะส่วนกลางของใบเล่ือยเท่าน้นัใบเลื่อยสายพานจะมีความหนานอ้ ยกวา่ ใบเล่ือยชนิดอื่น ๆ จึงทาใหม้ ีการสูญเสียวสั ดุนอ้ ยกวา่เล่ือยสายพานแนวต้งั ใหล้ กั ษณะเด่นในการทางานหลายประการ คลา้ ยกบั งานฉลุดว้ ยมือ ซ่ึงจะไมพ่ บในเคร่ืองเล่ือยโลหะชนิดอ่ืน ๆ เช่น งานตดั ชิ้นงานเป็นรูปทรงเรขาคณิต
รูปท่ี 1.22 ลักษณะการขบั ใบเลื่อย 4. เคร่ืองเลอ่ื ยวงเดือน (Circular Saw or Radius Saw) เคร่ืองเล่ือยวงเดือน เป็นเคร่ืองเล่ือยท่ีใบเลื่อยเป็ นวงกลม มีฟันรอบ ๆ วง สามารถตดั ชิ้นงานไดอ้ ยา่ งตอ่ เนื่อง มกั เป็นชิ้นงานบาง ๆ เช่น อะลูมิเนียม สามารถตดั งานไดท้ ้งั ลกั ษณะตรงและเอียงเป็ นมุม รูปท่ี 1.23 เครื่องเลื่อยวงเดือนความปลอดภัยในการใช้เลอ่ื ยวงเดือน- เล่ือยวงเดือนเกิดอนั ตรายไดง้ ่ายมาก ใหใ้ ส่ฝาครอบใบเลื่อยเสมอ- อยา่ ใจร้อน ออกแรงควบคุมตดั เกินพิกดั- ใหร้ ะวงั ก่อนชิ้นงานขาด ใชแ้ รงควบคุมตดั เพยี งเล็กนอ้ ย เพราะขาดง่าย- ใหห้ มนั่ ตรวจการแตก่ ร้าวของใบเล่ือย หรือการยดึ ติดคมเล่ือย
รูปท่ี 1.24 การตัดงานด้วยเคร่ืองเลื่อยวงเดือนการหล่อเยน็ ชิ้นงานขณะตดั เฉือนโลหะ รูปท่ี 1.25 การหล่อเยน็ ชิ้นงานขณะทางาน งานตดั กลึงโลหะมกั ใชใ้ บมีดในการเจาะ เซาะ เฉือนเน้ือโลหะ หรือใชห้ ินขดั ในการเจียร์เพื่อให้ชิ้นงานน้นั ไดร้ ูปร่างหรือขนาดตามท่ีตอ้ งการ ในขณะที่การเจาะเซาะหรือเฉือนหรือเจียร์น้นั ความร้อนจะเกิดข้ึนสูงมาก โดยอาจสูงถึง 7000C หรือสูงกวา่ ซ่ึงความร้อนน้ีเกิดจากการเสียดสี ระหวา่ งใบมีดกบัชิ้นงานและจากการเปลี่ยนรูปของเน้ือโลหะ (Deformation) หากความร้อนท่ีเกิดข้ึนน้ีไมไ่ ดร้ ับการระบายออกโดยเร็วก็จะเกิดการสะสมทาใหใ้ บมีดและชิ้นงานร้อนจดั ใบมีดจะสูญเสียความแขง็ และสึกหรอได้ ในที่สุดส่วนชิ้นงานอาจบิดเบ้ียวทาใหไ้ ม่ไดร้ ูปร่างหรือขนาดตามท่ีตอ้ งการและอาจเกิดการหลอมติดของเศษโลหะท่ีบริเวณปลายใบมีด ซ่ึงเรียกวา่ เกิด Built Up Edge หรือเรียกโดยยอ่ วา่ BUE ทาใหใ้ บมีดสึกเร็วและอาจถึงข้นั แตกหกั ได้
หน้าทขี่ องนา้ มันหล่อเยน็ น้ามนั หล่อเยน็ มีหนา้ ท่ีหลกั 4 ประการ คือ 1. ระบายความร้อน น้ามนั ตดั กลึงโลหะมีหนา้ ท่ีระบายความร้อนออกจากบริเวณใบมีดและชิ้นงานเพือ่ ไมใ่ หใ้ บมีดสูญเสียความแขง็ หรืออ่อนตวั อนั เนื่องมาจากความร้อน ป้ องกนั ไม่ใหเ้ กิดการหลอมติดของเศษโลหะท่ีปลายใบมีด (BUE) ทาใหส้ ามารถทางานตดั กลึงไดเ้ ร็วชิ้นงานไดข้ นาดและคุณภาพผิดตามตอ้ งการ 2. หล่อลน่ื ลดแรงเสียดทาน น้ามนั ตดั กลึงโลหะทาหนา้ ที่หล่อลื่นลดแรงเสียทานระหวา่ ง ระหวา่ งชิ้นงานกบั ใบมีด รวมท้งัเศษโลหะที่เคลื่อนที่ผา่ นหนา้ ใบมีด การตดั กลึงใชก้ าลงั นอ้ ยลง ลดการสึกหรอของใบมีดช่วยป้ องกนั การเกิดปัญหา BUE 3. ซะล้างและพาเศษโลหะ น้ามนั ตดั กลึงโลหะทาหนา้ ท่ีในการชะลา้ งและพาเศษโลหะที่เกิดจากการตดั เฉือนออกไปจากบริเวณตดั เฉือน และชิ้นงาน 4. ป้ องกนั สนิม น้ามนั ตดั กลึงโลหะทาหนา้ ท่ีป้ องกนั สนิม ใหแ้ ก่ชิ้นงานท่ีถูกตดั เฉือนใหม่ ซ่ึงผวิ โลหะส่วนน้ีมกั ไวตอ่ การเกิดสนิมมากและยงั ทาหนา้ ที่ป้ องกนั สนิม ใหแ้ ก่เครื่องจกั รและรางแท่น (Slideways) ดว้ ยนา้ มันหล่อเยน็ น้ามนั หล่อเยน็ หรือในภาษาองั กฤษวา่ “Water Emulsifiable Cutting Fluid” จะผสมน้าใชง้ านที่อตั ราส่วนผสม แตกต่างกนั ไปตามคุณสมบตั ิของน้ามนั หล่อเยน็ หรือตามความตอ้ งการใชง้ าน โดยปกติจะผสมใชง้ านยอู่ในช่วง 2% ถึง 10% ในน้า ซ่ึงนิยมแบง่ น้ามนั หล่อเยน็ ออกเป็น 3 ประเภทตาม %สัดส่วนผสมของน้ามนั หล่อล่ืนพ้นื ฐานประเภทน้ามนั แร่ในผลิตภณั ฑก์ ่อนผสมน้า คือ 1. นา้ มนั สบู่ น้ามนั หล่อเยน็ ประเภทน้ามนั สบู่ หรือเรียกในภาษาองั กฤษวา่ Soluble Oil มีองคป์ ระกอบท่ีสาคญั คือ น้ามนั หล่อล่ืนพ้นื ฐานประเภทน้ามนั แร่ (Mineral Oil) กบั สาร Emulsifier ซ่ึงทาหนา้ ท่ีให้น้ามนั แร่สามารถกระจายและอยตู่ วั ไดใ้ นน้า โดยมีสัดส่วนผสมของน้ามนั หล่อลื่นพ้ืนฐานประเภทน้ามนั แร่ในผลิตภณั ฑก์ ่อนผสมน้าประมาณ 75% หรือมากกวา่ เม่ือผสมน้าแลว้ จะมีสีขาวคลา้ ยน้านม จึงมกั ถูกเรียกอีกวา่ เป็ นน้ามนั หล่อเยน็ ประเภท “น้านม” หรือ “Milky” ท้งั น้ีเพราะน้ามนั สบู่มี % สดั ส่วนผสมของน้ามนั แร่อยสู่ ูงอนุภาคของน้ามนั แร่ท่ีกระจายอยใู่ นน้า จึงมีขนาดใหญ่เกิดการทึบแสง และมองเห็นเป็ นสีขาว
น้ามนั หล่อเยน็ ชนิดน้ามนั สบู่มีขอ้ ดีที่เด่นชดั คือ ราคาต่อลิตไม่สูง และใชง้ านไดก้ บั งานทวั่ ไปที่ไมห่ นกั หรือไม่มีความตอ้ งการพิเศษ แต่ขอ้ เสียโดยทว่ั ไป คือการอยตู่ วั ในน้า (Stability) ไม่คอ่ ยดี และมีอายกุ ารใชง้ านส้ันจนถึงอาจเกิดการหนิมไดง้ ่าย 2. นา้ มนั สังเคราะห์ น้ามนั หล่อเยน็ ชนิดน้ามนั สังเคราห์หรือเรียกในภาษาองั กฤษวา่ “Synthetic Fluid” น้ีผลิตจากน้ามนั พ้ืนฐานหรือสารเคมีท่ีมาจากการสงั เคราะห์ท้งั หมด โดยท่ีไมม่ ีสัดส่วนของน้ามนั หล่อลื่นพ้นื ฐานประเภทน้ามนั แร่ ผสมอยเู่ ลยมกั นิยมใชส้ าหรับงานเจียร์คุณภาพสูง โดยใชง้ านท่ีอตั ราส่วนผสมน้าข้นั ต่าประมาณ 2% หรืออตั ราส่วนน้ามนั ต่อน้า 1 ต่อ 49 ท้งั น้ี เพราะลกั ษณะงานเจียร์ตอ้ งการการระบายความร้อนเป็นสาคญั และไม่ตอ้ งการคุณสมบตั ิการหล่อลื่นมากนกั การท่ีไมม่ ีน้ามนั แร่อยเู่ ลย ทาใหห้ นา้ หินไม่บอดง่ายจากการท่ีเศษผงโลหะขนาดเลก็ ท่ีเกิดจากการเจียร์เกาะติดอุดหนา้ หิน ขอ้ พึงระวงั จากการใชน้ มั นั หล่อเยน็ ชนิดสังเคราะห์โดยทวั่ ไป คือ ปัญหาเรื่องสนิมท่ีมกั เกิดข้ึนกบั เคร่ืองจกั ร และร่างแทน (Slideways) โดยเฉพาะน้ามนั ในอตั ราส่วนที่สูงมาก เกิดการสิ้นเปลืองเม่ือมีการหยดุ เครื่อง หรือหากไม่เกิดสนิมก็อาจตอ้ งผสม 3. นา้ มันกง่ึ สังเคราะห์ น้ามนั หล่อเยน็ ประเภทก่ึงสังเคราะห์จะมีน้ามนั หล่อลื่นพ้นื ฐานผสมกนั ระหวา่ งน้ามนัสงั เคราะห์ และน้ามนั แร่หรือเรียกในภาษาองั กฤษวา่ “Semi Synthetic Fluld” โดยมีสัดส่วนผสมของน้ามนั แร่อยใู่ นช่วงระหวา่ ง 20% ถึง 60% ท้งั น้ีเพอ่ื ผสมผสานคุณสมบตั ิดา้ นการหล่อล่ืนท่ีดีของน้ามนั แร่กบั คุณสมบตั ิพเิ ศษท่ีตอ้ งากรของน้ามนั สงั เคราะห์ใหเ้ หมาะกบั ความตอ้ งการของการใชง้ าน น้ามนั ชนิดก่ึงสงั เคราะห์โดยทว่ั ไปเม่ือผสมน้าจะมีสีข่นุ ไมท่ ึบแสง (Translucent) เพราะมีปริมาณน้ามนั แร่ต่ากวา่ น้ามนั สบอู่ นุภาคน้ามนั ท่ีกระจายในน้าจึงมีขนาดเล็กกวา่ ยง่ิ ไปกวา่ น้นั ปริมาณสารEmulsifierท่ีตอ้ งการก็มีนอ้ ยกวา่ เม่ือเทียบกบั น้ามนั สบู่ น้ามนั หล่อเยน็ ชนิดก่ึงสังเคราะห์โดยทวั่ ไปจึงมีคุณสมบตั ิตา้ นทานแบคทีเรียในเบ้ืองตน้ ดีกวา่
Search
Read the Text Version
- 1 - 20
Pages: