CELL , TISSUES AND SKIN SYSTEM Anatomy
ระบบเซลล์เน้ือเย่ือและผวิหนงั เซลล(Cell) หนวยเล็กทส่ีดุของสิ่งมชีีวติ โดยเซลล(cell)มาจากคำวาCellaในภาษาละติน มีความหมายวาหองเล็กๆเซลลสามารถเพม่ิจำนวน เจริญเติบโตและตอบสนองตอส่งิเราได เซลลบางชนิดเคล่ือนท่ีไดดวยตัวเองเชนอสจุิ สวนประกอบของเซลล 1.เย่อืหมุเซลล(cellmenbrane) 2.ไซโทพลาสซมี(cytoplasm) 3.นวิเคลยีส(nucleus) เซลลและออรแกเนลลสรปุใน10นาที
cellmembrane nucleus nucleolus lcyystoospolamsem mitochondria endoplasmic golgibody เย่อืrหetiมุcuเluซmลล(cellmenbrane) พบในเซลลส่ิงมีชวีิตทุกชนดิยกเวนไวรสั เยอื่หุมเซลลทำใหเซลลคงรูปคงอยไูดและ เปนเย่อืเลือกผานคอืมคีุณสมบตัิยอมให สารบางชนดิผานเขาออกเทาน้นัควบคมุ การเขาออกของสารตางๆจากส่ิงแวดลอม เขาสเูซลล นวิเคลียส(Nucleus) มลีกัษณะคอนขางกลมอยบูรเิวณกลาง เซลลประกอบดวยเยือ่หมนวิเคลยีสและ นวิคลโีอพลาซมึซึ่งเปนสวนทอ่ียูภายใน เยื่อหุมนวิเคลยีสทำหนาที่ควบคมุการ ทำงานตางๆภายในเซลลแบงเซลล และบรรจสุารพนัธกุรรมDNA https://pansci121.wordpress.com
https://sites.google.com/site/tobitenzo/home/si-tho-phla-sum ไซโทพลาซึม(cytoplasm) 1.Lysosome suicidebagsถุงนี้แตกจะทำให digestiveenzymeออกมาทำลายเซลล 2.Endoplasmicreticulum Roughendoplasmicreticulum ทำหนาท่ีสังเคราะหribosome Smoothendoplamicreticulum ทำหนาท่ีสังเคราะหcholesterlและควบคมุmetabolism ของไขมันทำลายหรอืเปลย่ีนแปลงยาในรางกาย 3.Golgiapparatus ทำหนาทขี่นสงและลำเรยีงสารโปรตีนสรางสารคดัหลง่ั 4.mitochondria ทำหนาท่เีปนแหลงสรางพลังงานของเซลลนำออกซิเจนมา เผาผลาญสารอาหารและสรางATPทเี่ปนพลงังานใหเซลล
เนอ้ืเยอื่(Tissue) ในรางกายประกอบดวยเนอื้เยอ่ืพ้ืนฐาน4ประเภท เนอ้ืเย่ือเหลานี้รวมตัวกันเปนโครงสรางและอวยัวะตางๆ เนื้อเยือ่บผุวิ(Epithelium) เปนเนือ้เย่ือที่ประกอบไปดวยชนั้ของเซลลทป่ีกคลุม พนื้ผิวของอวยัวะตางๆเชนพน้ืผิวของผวิหนงั และบผุวิทางเดนิอาหารมีหนาที่ปกปองจากสิง่แวดลอม ภายนอกหลง่ัสารและดูดซมึสาร เนื้อเย่ือเกย่ีวพนั(Connectivetissue) ทำหนาท่ีเปนโครงรางยึดสวนตางๆเขาไวดวยกนั เชนเลือดหรอืกระดูก เน้อืเยือ่กลามเนื้อ(Musculartissue) เปนเน้อืเย่ือสวนท่ีชวยใหอวยัวะตางๆ ของรางกายเคลอ่ืนไหวได เน้ือเยอ่ืประสาท(nervoustissue) ทําหนาทตี่ดิตอประสานงานระหวางอวยัวะ ภายในและระหวางรางกายกบัส่ิงแวดลอม ภายนอก
เนื้อเยื่อบุผิว(Epithelium) เนอ้ืเยอ่ืบผุวิเปนเนอ้ืเยอื่ทปี่กคลุมผวินอกรางกาย หรอืผวิทออวัยวะภายในมีหนาท่ีรบัความรสูึกเชน ท่ีผิวหนังเกย่ีวกับการดดูซึมเชนเยอ่ืบผุิวทางเดนิอาหาร การสรางสารและการหล่ังสารเชนทตี่อมน้ำลายและ ตอมเหง่ือ เซลลเยือ่บุผิวมลีักษณะแตกตางกัน3แบบคือ รปูรางแบนบาง(squamous) รูปลูกบาศก(cubic) ลกัษณะเปนแทงหรือรปูทรงสงู(column) กลมุเซลลเหลานีจ้ะจัดเรียงตัวกันบนฐาน(basement)ชั้นเดียว (simpleepithelium)หรือหลายช้ัน(stratifiedepithelium)และอาจ พบลักษณะการจัดเรยีงตวัของเซลลหลายชน้ัเทียม (pseudostratifiedepithelium)คอืเซลลเรียงตวัช้นัเดียวอยูบนฐาน แตมองเห็นเหมือนเปนหลายช้นัเนอ่ืงจากเซลลมคีวามสูงแตกตางกัน เชนเยือ่บุผวิท่หีลอดลมและอาจพบเยือ่บผุิวแบบหลายชน้ัยดืหยุน (transitionalepithelium)ซง่ึเปนเยื่อบุผวิทจ่ีดัเรียงตวัหลายชนั้แต เนอื่งจากเซลลมรีปูรางไมแนนอนข้ึนอยกูบัการยืดหดตวัของอวยัวะ พบทผี่นังดานในของกระเพาะปสสาวะโดยเมอื่กระเพาะปสสาวะวาง จะอยูในสภาพหดตัวเซลลมรีปูรางเหลย่ีมลูกบาศกและซอนกนัหลาย ช้ันเม่อืกระเพาะปสสาวะเตม็จะอยใูนสภาพขยายตวัเซลลมีรปูราง แบนบางและเรยีงตวันอยช้นันอกจากนี้อาจพบขนเซลล(cilia) เซลลตอมหลั่งสารตางๆท่เีซลลเยือ่บุผวิดวยเชนเยือ่บผุวิภายใน กลองเสยีงบางสวนและผิวดานบนของเพดานออน(softplate) ทางดานชองจมกูเปนตน
เนื้อเย่ือเกยี่วพัน(Connectivetissue) เน้ือเยื่อเกี่ยวพันเปน เน้ือเยอ่ืท่ีพบแทรกอยู ระหวางเน้ือเยือ่ชนดิอ่นืๆ พบท่ัวรางกายทำหนาท่ี พยุงและยดืเหน่ยีวให เนอื้เยือ่เหลาน้นัคงรปูhttps://sites.google.com/site/kaywiphakhsastr/bth-thi-2-sell-laea-neuxyeux และอยรูวมกันไดและสรางภูมติานทานใหรางกายประกอบดวย เซลลเรียงกนัอยหูางๆอยูในสารระหวางเซลล(matrix)ทม่ีีปริมาณ มากสารระหวางเซลลประกอบดวยเสนใยและสารประกอบท่มีี ลักษณะใสและมีความหนืด เซลลในเนื้อเย่อืเกีย่วพนั Fibroblast เปนเซลลท่ีทำหนาท่ีสรางเสนใยชนิดตางๆ Adiposecellเปนเซลลทสี่ะสมไขมนั Macrophage มหีนาทท่ีำลายสิ่งแปลกปลอม Mastcell เปนเซลลท่ีมีรูปรางกลมหรอืรูปรีภายในมีแกรนลู ยอมตดิสมีวงเขมบรรจอุยูเซลลมาสตทำหนาท่ีสรางสารheparin และhistamine plasmacell ทำหนาท่สีรางแอนตบิอดีทม่ีีความสำคัญในระบบภมูิ คุมกัน whitebloodcellorleukocytesเปนเซลลท่แีทรกเขามาในเนือ้เยื่อ เก่ยีวพนัจากเสนเลือดทำหนาท่ทีำลายสงิ่แปลกปลอมทีเ่ขามาใน รางกาย เนือ้เย่ือเกยี่วพนั
เสนใยในเน้ือเย่อืเก่ียวพนั เสนใยในเน้อืเยือ่เกี่ยวพนัมอียดูวยกัน3ชนดิไดแก Collagenfiberมีลักษณะเปนเสนเหนยีวแขง็แรง อยูรวมกันเปนมัดใหญ Elasticfiber เปนเสนใยที่มคีวามยดืหยนุมาก แตกเปนแขนงยอยสงไปเชอ่ืมกับแขนงของเสนอน่ื Reticularfiberมลีกัษณะคลายเสนใยคอลลาเจน แตเปนเสนบางกวากระจายอยูทั่วไปเสนใยชนดินีจ้ะมองไม เห็นถายอมดวยสียอมเนือ้เยือ่ท่ัวไปตองยอมดวยสีsilverstain เนือ้เย่ือเกยี่วพนั(Connectivetissue)เปนเนอื้เย่ือทีพ่บแทรกอย ท่ัวไปในรางกายทำหนาท่ียดึเหน่ยีวหรือพยุงอวัยวะใหคงรปู อยไูดลักษณะของเนือ้เยือ่ชนดิน้ีคือตวัเซลลและเสนใยกระจายอยู ในสารระหวางเซลลทีเ่รียกวาเมทริกซ(matrix)ซง่ึเสนใยท่พีบไดแก –เสนใยคอลลาเจน(collagenfiber) –เสนใยอลิาสตกิ(elasticfiber) –เสนใยรางแห(reticularfiber เนื้อเยอื่เกี่ยวพนัแบงเปน4กลมุไดแก เน้ือเย่อืเกยี่วพันสมบูรณ(connectivetissueproper) กระดูกออน(cartilage) กระดูกแข็ง(bone) เลือด(blood) ประเภทของเนื้อเยือ่เก่ียวพนั
เสนใยในเน้ือเย่อืเก่ียวพนั เสนใยในเน้อืเยือ่เกี่ยวพนัมอียดูวยกัน3ชนดิไดแก Collagenfiberมีลักษณะเปนเสนเหนยีวแขง็แรง อยูรวมกันเปนมัดใหญ Elasticfiber เปนเสนใยที่มคีวามยดืหยนุมาก แตกเปนแขนงยอยสงไปเชอ่ืมกับแขนงของเสนอน่ื Reticularfiberมลีกัษณะคลายเสนใยคอลลาเจน แตเปนเสนบางกวากระจายอยูทั่วไปเสนใยชนดินีจ้ะมองไม เห็นถายอมดวยสียอมเนือ้เยือ่ท่ัวไปตองยอมดวยสีsilverstain เนือ้เย่ือเกยี่วพนั(Connectivetissue)เปนเนอื้เย่ือทีพ่บแทรกอย ท่ัวไปในรางกายทำหนาท่ียดึเหน่ยีวหรือพยุงอวัยวะใหคงรปู อยไูดลักษณะของเนือ้เยือ่ชนดิน้ีคือตวัเซลลและเสนใยกระจายอยู ในสารระหวางเซลลทีเ่รียกวาเมทริกซ(matrix)ซง่ึเสนใยท่พีบไดแก –เสนใยคอลลาเจน(collagenfiber) –เสนใยอลิาสตกิ(elasticfiber) –เสนใยรางแห(reticularfiber เนื้อเยอื่เกี่ยวพนัแบงเปน4กลมุไดแก เน้ือเย่อืเกยี่วพันสมบูรณ(connectivetissueproper) กระดูกออน(cartilage) กระดูกแข็ง(bone) เลือด(blood) ประเภทของเนื้อเยือ่เก่ียวพนั
เน้อืเย่อืประสาท(nervoustissue) เนอื้เยอ่ืประสาทประกอบดวย 1.เซลลประสาท(neuron)ทำหนาทร่ีบัสงกระแสประสาท 2.เซลลเก่ียวพันประสาท(neuroglia)มหีนาที่สนับสนนุการ ทำงานของเซลลประสาทเชนยึดเหนี่ยหรือคำ้จุนเซลลประสาท ซอมแซมบาดแผลท่เีกดิข้ึนกับเซลลประสาทเปนตน เซลลประสาทแตละเซลลประกอบดวย ตวัเซลลซ่งึอยใูนชัน้สีเทา(greymatter)ของระบบประสาทไขสันหลัง และระบบประสาทสวนกลางเซลลประสาทมลีกัษณะกลมขนาดใหญ มนีิวเคลยีสอยูตรงกลาง แขนงประสาทแบงเปน2พวกคอื –เดนไดรต(dendrite)ทีเ่ปนแขนง ประสาทขนาดสั้นทำหนาทร่ีบั กระแสประสาท(impulse) เขาสตูวัเซลล https://sites.google.com/site/bodysystemrabbrangkay/rab –แอกซอน(axon)เปนแขนงประสาทลักษณะยาวไมมแีขนงแตกออก ใกลกับตัวเซลลแอกซอนทำหนาที่นำกระแสประสาทออกจากตัวเซลล การทำงานของเซลลประสาท
ผิวผนัง(SKIN) ผวิหนังเปนอวยัวะหอหุม รางกายภายนอกทั่วๆไป มพีื้นทที่่วัรางกายประมาณ 1.17-1.95ตารางเมตร มีความหนาในบรเิวณตางๆ ไมเทากนับริเวณท่ีหนามาก ทส่ีดุไดแกฝามือและฝาเทา ผวิหนังมีตอมเหง่อืและ ตอมไขมนัรวมอยูดวย นอกจากน้นัผวิหนัง สามารถบงบอกอายุของ คนไดอีกดวย หนาทขี่องผวิหนัง 1หอหุมรางกายและปองกันอนัตรายทจ่ีะเกิดขึ้นกับอวัยวะภายใน 2ควบคมุอณุหภมูิของรางกายชวยทาํใหความรอนในรางกายคงท่ี อยูเสมอโดยปองกนัไมใหความรอนเสียไปเม่ืออากาศหนาวและชวย ระบายความรอนออกนอกรางกายดวยการขับเหงือ่เม่อือากาศรอน 3ขับถายของเสียออกจากรางกายเชนการขับเหง่ือ 4รบัความรสูกึตางๆเน่ืองจากมปีระสาทรบัความรสูกึอยทูผ่ีวิหนัง เชนความรอนความเย็นการสัมผสัความเจบ็ปวดเปนตน
โครงสรางของผวิหนัง https://askthescientists.com/th/skin-layers/ ผิวหนงัแบงออกเปน2ชน้ัคือชน้ันอกเปนหนงักําพรา สวนช้นัในเปนหนังแท หนังกาํพรา(Epidermis) เปนช้ันนอกสุดของผิวหนงัมีลักษณะบางมากประมาณ0.04-1.60มลิลเิมตร หนงักาํพราไมมหีลอดเลือดมาเลี้ยงแตไดรับสารอาหารและถายเทของเสยีโดยการแพรผาน หนังแทประกอบดวยเนื้อเยอื่บุผวิซอนกันอยูเซลลผิวหนงัในชน้ันี้เรียงตัวกันเปนช้นัๆเซลล ใหมถกูสรางจากชั้นลางสดุจะเคลอื่นตัวขึ้นสูช้นับนเรอื่ยๆระหวางท่เีคลื่อนตวัขน้ึสูชน้ับน จะมีการเปลย่ีนรปูรางและองคประกอบกลายเปนเซลลแบนที่ตายแลวเรียงอดักันแนนใน ช้ันบนสุดในชั้นน้ีประกอบดวยโปรตีนชนดิหน่งึชื่อวาเคราตนิ(Keratin)คลายคลึงกับทพ่ีบ ในเล็บและผมทําหนาท่เีคลือบผิวหนงัเซลลช้นันจี้ะมกีารหลุดลอกออกไปเองและถกูแทนที่ โดยเซลลใหมจากชั้นลางที่เคลื่อนตัวข้ึนมาแทนท่ีสวนช้นัลางสดุจะพบเซลลที่มีหนาท่ี ในการผลติสผีวิ(Melanocyte)ซง่ึจะชวยสรางสารท่ีทาํใหเกดิสีผิวทีผ่ิวหนงั
หนงักําพรา(Epidermis) เปนชั้นของผิวหนงัที่อยูใตหนงักําพรามีความหนามากกวาหนังกําพราประกอบดวย เนอ้ืเยอ่ืเกี่ยวพัน(Connectivetissue)ทอดไปมาในทศิทางตางๆทาํใหผวิหนงัมีความเหนยีว ลดการกระแทกจากแรงดงึตางๆหนังแทยดึตดิกบัเยือ่ฐาน(Basementmembrane)ของ หนังกําพราอยางแนนหนาในชัน้หนงัแทจะมีปลายประสาทรับความรูสึก ตอมเหง่ือ(Sweatgland)รากขน(Hairfollicle)ตอมไขมนั(Sebaceousgland) และหลอดเลือด(Bloodvessel)หลอดเลือดในชัน้หนังแทมปีระโยชนในการใหอาหารมาเลีย้ง และขับของเสีย หนงัแทแบงออกเปนชัน้ตางๆดังนี้ https://ngthai.com/science/17234/integumentarysystem/ BloodVessel(เสนเลือด)ท้ังเสนเลอืดแดงและเสนเลอืดดำในผิวหนงันั้น เกบ็เลอืดประมาณ5%ของปรมิาณเลือดท้งัหมดสามารถหดตวัเพ่ือสงเลอืดไป เล้ียงรางกายไดหากเกดิภาวะฉกุเฉินซง่ึควบคมุโดยระบบประสาทอตัโนมตัิ NerveEnding(เสนประสาท)ซง่ึท่ีผวิหนังเรามีเสนประสาทรบัความรูสกึมากมายตางๆกัน เชนรับอณุหภูมิรับแรงกดหรือรับความเจบ็ปวดซ่งึเสนประสาทเหลานที้ำงานจาก ตวักระตนุทแ่ีตกตางกันครบั SweatGland(ตอมเหง่ือ)ใชขบัเหงอื่เพ่อืรกัษาสมดลุนำ้และอุณหภมูิของรางกาย SebaceousGland(ตอมไขมัน)ทำหนาท่ใีนการหลั่งsebumออกมาตามรูขมุขน เพอ่ืใหความชุมชนื้แกผิวหนงัเพอ่ืการกนันำ้และปองกันแบคทีเรียซงึ่ตอมไขมนัน้พีบ ทกุสวนยกเวนฝามอืและฝาเทาครบั
อนุพนัธผวิหนงั นอกจากผิวหนงัสวนตางๆแลวยงัมอีวยัวะอืน่ๆทเ่ีกี่ยวของกับผวิหนงัอกีไดแกเลบ็ ผมหรือขนตอมเหง่ือตอมนํามันดงัรายละเอยีดตอไปน้ี 1.เล็บ(Nail) เล็บเปนอวยัวะท่เีปลย่ีนแปลงมาจากหนังกําพรา พบไดบรเิวณปลายน้วิของคนและสัตวเล้ยีงลกูดวยนม ทาํหนาทีป่องกนัปลายนวิ้และชวยในการหยิบจบั แกะเกาและขวนเลบ็มีลกัษณะแขง็และใสมองเห็นสี ของเลือดใตเล็บเปนสีชมพูประกอบดวยสวนตางๆ ไดแก https://supitchajeep.wixsite.com/nails-nourished/blank-2 1ปลายเลบ็(Freeedge)คอืสวนทย่ีน่ืพนนวิ้ออกไป 2ตวัเล็บ(Nailplate)คอืสวนของปลายเลบ็ทอี่ยปูลายนวิ้มีลกัษณะเปนแผนบางๆรูปตัวย(ูU) สชีมพอูอนๆ 3ฐานเลบ็(Nailbed)คอืสวนของผิวหนังทอี่ยูใตเลบ็ 4รากเลบ็(Nailroot)คือสวนท่อียบูรเิวณโคนเลบ็อยใูตผวิหนังซ่งึเลบ็จะงอกออกมาจากรากเลบ็ 2.ตอมน้ำามัน(Sebaceousgland) ตอมน้ำมนัจะอยทู่ชีัน้ของหนังแทซึ่งมีอยทูั่วรางกายยกเวนฝามอืและฝาเทามมีากท่ผีิวหนงั ของศีรษะและหนาทําหนาทข่ีับสารคลายนาํมันเรยีกวาซีบมั(Sebum)มลีกัษณะออนนมุ และลืน่ชวยใหผมหรอืขนไมแหงชวยหลอลนื่หนังกําพราปองกันผิวแหงปองกนัการสูญเสีย นำ้ออกจากรางกายตอมนํามนัสวนใหญจะมีทอเปดเขาดานขางของรากขนแตกม็บีางแหงทม่ีี ทอเปดออกสูผิวหนังโดยตรงเชนริมฝปากอวัยวะเพศบนจมกูเปนตนกรณีท่ทีอเกิดการอดุตัน หรือเกิดการอักเสบนาํมันจะออกไมไดทําใหเกดิสิว(Acne)เนื่องจากไขมันเปนอาหารของ แบคทเีรียบางชนิดจึงทาํใหเกิดเปนตมุหนองได
3.ตอมเหงอื่(Sweatgland) ตอมเหงอ่ืมลีักษณะปนทอยาวทอดผานหนังกาํพราลงไปถงึสวนของหนงัแทตอนลางของ ทอเปนสวนของตอมซึง่มีลักษณะเปนทอขดกันเปนวงไปมาเหมือนกลjุมดาย ทําหนาท่ีขับเหงือ่สวนตอนบนของทอมีหนาที่นาํเหงอื่ออกท่ผีวิหนงัตอมเหงอื่พบไดทว่ัไป ของรางกายบริเวณทม่ีตีอมเหง่อืจํานวนมากไดแกรักแรฝามือและฝาเทาสวนบริเวณท่ี ไมมีตอมเหงอ่ืไดแกริมฝปากสวนภายในของใบหูบริเวณเลบ็เปนตน เหงื่อ(Sweat)มสีวนประกอบสารตางๆคือน้ำโซเดยีมคลอไรดยเูรีย(Urea) ยูรคิแอซดิ(Uricacid)และเครอาตินนิ(Creatinine)มฤีทธิเ์ปนกรดตอมเหง่อืสามารถ กรองเอาของทร่ีางกายขบัออกมาเปนเหง่ือท้ังยงัชวยยับยั้งการเจรญิเติบโตของเชอื้โรค ทีจ่ะผานเขาไปใตผิวหนงัตอมเหงอ่ืสามารถเปลยี่นแปลงรปูไดเพ่อืประโยชน สําหรับการทําหนาทปี่องกันอนัตรายตางๆใหแกรางกายไดแกตอมสําหรบัสรางขี้หู ตอมสรางขีต้าเปนตน 4.ขน(Hair) ผมหรอืขนเกดิจากเซลลของผวิหนงัช้นั หนงักาํพรางอกลกึลงไปในช้ันของหนงัแท สวนท่ีโผลพนขึ้นมาอยูเหนือผวิหนังเรยีก กานขน(Hairshaft)สวนท่ีอยใูนแองใต ผวิหนงัเรยีกรากขน(Hairroot)ตอนลาง ของรากขนเปนรปูกระเปาะมีหนงัแทย่นื มาอยูเรยีกวาแฮรพะพลิลา(Hairpapilla) ซ่งึมปีลายประสาทและหลอดเลอืดมาเลยี้ง จาํนวนมากทรี่ากขนมีปลอกหุม2ชน้ั เรยีกวาขมุขน(Hairfollicle)ในแอง ของขมุขนจะมทีอของตอมนํามัน (Sebaceousgland)หลายทอมาเปน ออกขนแตละเสนมีกลามเนื้อเรียบ (Arrectorpilimuscle)มายึดโดยปลายขาง http://topicstock.pantip.com/woman/topicstock/2010/03/Q9029080/Q9029080.htmlหน่ึงติดอยูกบัโคนขนเมือ่กลามเน้อืน้ีหดตวั จะดึงโคนขนเขามาใหขนต้งัขนึ้เรยีกวา“ขนลกุ”
Search
Read the Text Version
- 1 - 16
Pages: