๕๐ อายุ สภาพทีพ่ งึ ประสงค์ ประสบการณส์ าคญั พฒั นาการ ๓ – ๔ ปี 1. ระบุผลทเ่ี กดิ ขึ้นในเหตุการณ์หรอื (1) สงั เกต สารวจ หรอื ทดลองอย่าง ๔ – ๕ ปี การกระทา ง่ายเกี่ยวกับสิ่งตา่ งๆ รอบตัว แลว้ อธิบายสาเหตแุ ละผลท่ีเกิดขนึ้ เช่น ๕ – ๖ ปี 1. ระบสุ าเหตหุ รือผลที่เกิดขึ้นใน ลองใส่นา้ ตาลลงไปในนา้ สังเกตแลว้ เหตุการณห์ รือการกระทา บอกได้วา่ นา้ ตาลสามารถละลายในน้า 2. คาดเดา หรือคาดคะเนส่ิงท่อี าจจะ ได้ ฟงั และเปรียบเทียบเสยี งของสงิ่ เกดิ ขน้ึ ต่างๆ แล้วบอกได้ว่าสงิ่ ของท่ีแตกต่าง กันทาให้เกิดเสยี งตา่ งกนั ทอดไขแ่ ล้ว 1. อธิบายเชื่อมโยงสาเหตแุ ละผลที่ สงั เกตการเปล่ียนแปลงแลว้ บอกไดว้ ่า เกดิ ขึน้ ในเหตุการณห์ รือการกระทา ความรอ้ นทาใหไ้ ขส่ ุกรบั ประทานได้ ด้วยตนเอง เลน่ โยนหรอื เตะลูกบอลโดยออกแรง 2. คาดเดา หรือคาดคะเน ส่งิ ท่ีอาจจะ แตกตา่ งกนั แลว้ บอกไดว้ า่ ถ้าออกแรง เกิดขึน้ หรอื มสี ว่ นรว่ มในการลง มากลูกบอลจะไปไกล ความเห็นจากข้อมูล (2) สนทนาระหวา่ งฟงั นทิ านหรือเรอื่ ง เล่าเพื่อคาดเดาเหตุการณ์ท่ีอาจจะ เกดิ ข้นึ พร้อมบอกเหตผุ ล กอ่ นทจี่ ะฟัง เน้อื เรื่องต่อไป (3) คาดคะเนหรือตัง้ สมมติฐานก่อน ทดลอง เชน่ คาดคะเนว่าวัตถุใดจะ จมนา้ หรอื ลอยน้า คาดคะเนว่าสัตวท์ ่ี สนใจนา่ จะกินอาหารชนิดใด คาดคะเน ว่าถา้ ออกแรงในการผลกั รถของเลน่ ดว้ ยแรงที่แตกตา่ งกันจะทาให้รถของ เล่นมกี ารเคล่ือนท่ีเปน็ อยา่ งไร ตัวบง่ ชี้ ๑๐.๓ มคี วามสามารถในการคดิ แกป้ ญั หาและตัดสินใจ
๕๑ อายุ สภาพทีพ่ ึงประสงค์ ประสบการณส์ าคญั พฒั นาการ ๓ – ๔ ปี 1. ตัดสนิ ใจในเร่ืองง่ายๆ (1) บอกส่ิงท่ีสังเกตพบหรืออธบิ ายขอ้ ๔ – ๕ ปี 2. แกป้ ญั หาโดยลองผดิ ลองถูก ค้นพบจากการสังเกตสารวจ หรือทา การทดลองอย่างงา่ ยเก่ยี วกับสิง่ ต่างๆ ๕ – ๖ ปี 1. ตดั สินใจในเร่อื งง่ายๆ และเร่ิม รอบตัว เช่น สนทนาและสรปุ เก่ียวกบั เรยี นรู้ผลท่ีเกิดข้นึ สว่ นประกอบของไข่ที่ได้จากการสังเกต 2. ระบุปัญหา และแก้ปญั หาโดยลอง ไข่ของจริง สนทนาและอธบิ ายเก่ยี วกบั ผดิ ลองถูก รสชาตแิ ละส่วนประกอบของอาหารท่ี ไดจ้ ากการสังเกตและชมิ อาหารของ 1. ตัดสินใจในเรอ่ื งง่ายๆ และยอมรับ จรงิ ผลทเี่ กดิ ขนึ้ (2) สังเกตอากาศแตล่ ะวนั สนทนาและ 2. ระบปุ ญั หาสร้างทางเลอื กและเลอื ก สรุปเกย่ี วกบั สภาพอากาศในแต่ละวัน วิธีแก้ปญั หา สารวจตน้ ไม้ในบรเิ วณโรงเรยี นสนทนา และสรุปชนดิ ของต้นไมท้ ี่พบในบรเิ วณ โรงเรยี นโรงเรยี น (3) สารวจแบบรปู ของสง่ิ ต่างๆ รอบตวั สนทนาและบอกลักษณะของ แบบรูปทพี่ บ จัดกลมุ่ ส่งิ ของแล้ว สนทนาเก่ยี วกบั การจดั กลมุ่ สิ่งของวา่ จัดเปน็ กล่มุ ได้อย่างไรบ้าง โดยใช้อะไร เป็นเกณฑ์ (4) ตดั สินใจและเลอื กวธิ ีแก้ปญั หาใน ระหวา่ งเลน่ หรือในชวี ิตประจาวัน หรอื ทากิจกรรม เช่น เลน่ เกมการศกึ ษา ตา่ งๆ แกป้ ัญหาในการเล่นกับเพ่ือน แกป้ ญั หาในการแบง่ ของเล่นให้ เพยี งพอกับจานวนของเพ่ือนในกลุ่ม แกป้ ญั หาในการจดั วางหรอื เก็บสิง่ ของ ใหเ้ ปน็ ระเบยี บรว่ มกบั ครแู ละเพ่ือน วางแผนและลงมือแก้ปญั หาเก่ยี วกบั การกาจดั หรือลดปรมิ าณขยะหรือเศษ วสั ดเุ หลอื ใชก้ ารประดิษฐส์ ่ิงของหรือทา ช้นิ งานให้ไดต้ ามเงอ่ื นไข มาตรฐานท่ี ๑๑ มจี ินตนาการและความคิดสรา้ งสรรคต์ ามศักยภาพ
๕๒ ตัวบ่งชี้ ๑๑.๑ ทางานศิลปะตามจนิ ตนาการและความคิดสรา้ งสรรค์ อายุ สภาพทพี่ งึ ประสงค์ ประสบการณ์สาคญั พัฒนาการ ๓ – ๔ ปี 1. สร้างผลงานศิลปะเพอ่ื สื่อสาร (1)เล่นอิสระกับสือ่ วสั ดุ และของเลน่ ๔ – ๕ ปี ความคดิ อย่างอสิ ระ เช่น ตอ่ บล็อก ,ฉกี กระดาษสีปะติดลง ๕ – ๖ ปี 1. สรา้ งผลงานศิลปะเพื่อสื่อสาร บนกระดาษ, , พมิ พ์ภาพจากนิ้วมือ ฝ่า ความคิด ความรูส้ ึกของตนเอง มือ 1. สรา้ งผลงานศลิ ปะเพื่อส่ือสาร (2) พมิ พ์ภาพจากวสั ดุธรรมชาติ เชน่ ความคดิ ความรสู้ ึกของตนเองโดยมีการ กา้ นกลว้ ย ใบไม้ ดอกไม้ อย่างอสิ ระ (3) เลา่ เร่อื งถ่ายทอดความคิด ดดั แปลงแปลกใหมจ่ ากเดมิ ความรสู้ กึ จากช้นิ งาน ของตนเอง (4) กาดินนา้ มนั คลงึ ดนิ น้ามันเปน็ เส้น ยาว และปนั้ ดนิ น้ามนั เป็นกอ้ นกลม (5) ประดษิ ฐ์สงิ่ ของจากวสั ดุเหลอื ใช้ เชน่ ประดษิ ฐก์ ระปกุ ออมสนิ จากแกน กระดาษทิชชู ประดษิ ฐ์กระถางตน้ ไม้ จากไม้ไอติม ประดษิ ฐ์ตุก๊ ตาจากชอ้ น พลาสติก ตวั บง่ ชี้ ๑๑.๒ แสดงทา่ ทาง/เคลอื่ นไหวตามจินตนาการอยา่ งสรา้ งสรรค์ อายุ สภาพที่พงึ ประสงค์ ประสบการณ์สาคญั พัฒนาการ ๓ – ๔ ปี 1. เคลือ่ นไหวท่าทางเพ่ือสอ่ื สาร (1)แสดงทา่ ทาง เลียนแบบ เคลอื่ นไหว ความคิด ความร้สู ึกของตนเอง ประกอบการเล่านิทาน การเล่าเรื่อง ๔ –๕ 1. เคล่อื นไหวทา่ ทางเพ่ือสอื่ สาร และการร้องเพลง เช่น เต้นประกอบ ปี ความคดิ ความรูส้ ึกของตนเอง อยา่ ง เพลง เต้นประกอบเพลงรา่ งกายของ หลากหลายหรือแปลกใหม่ เรา สวสั ดี เตน้ ประกอบเพลง ครอบครัวกระตา่ ย ๕ – ๖ ปี 1. เคลอ่ื นไหวทา่ ทางเพ่ือส่อื สาร ความคดิ ความร้สู ึกของตนเองอย่าง หลากหลายและแปลกใหม่
๕๓ มาตรฐานท่ี ๑๒ มเี จตคตทิ ดี่ ีตอ่ การเรียนรแู้ ละมีความสามารถในการแสวงหาความรไู้ ด้ ตามศักยภาพ ตัวบง่ ชี้ ๑๒.๑ มีเจตคติที่ดีต่อการเรยี นรู้ อายุ สภาพท่ีพึงประสงค์ ประสบการณส์ าคญั พัฒนาการ ๓ – ๔ ปี 1. กระตอื รือรน้ ในการเขา้ รว่ มกิจกรรม (1)เล่านิทานหรอื เร่ืองทนี่ า่ สนใจ 2. สนใจฟัง เหมาะสมตามศักยภาพ เช่น เล่าปาก ๔ – ๕ ปี 1. กระตอื รือรน้ ในการเข้ารว่ มกจิ กรรม เปล่า เลา่ โดยมหี นังสอื ประกอบ เลา่ 2. สนใจเก่ยี วกับสัญลกั ษณ์หรอื โดยมภี าพประกอบ ๕ – ๖ ปี ตัวหนงั สือทพ่ี บเห็น เล่าโดยใช้สอ่ื ใกลต้ วั เลา่ โดยใช้ศิลปะ 1. กระตือรือร้นในการรว่ มกจิ กรรม เข้าช่วย ตงั้ แตต่ ้นจนจบ (2)ฝกึ ต้งั คาถามจากนิทานที่ฟังหรอื 2. สนใจหยิบหนังสอื มาอ่านส่ือความคดิ เรือ่ งทส่ี นใจ เช่น ชอบตัวละครใดมาก ทส่ี ุด ฉาก ลาดบั เหตุการณ์ ปัญหาและ วิธแี กไ้ ข ตัวบง่ ช้ี ๑๒.๒ มคี วามสามารถในการแสวงหาความรู้ อายุ สภาพทพ่ี ึงประสงค์ ประสบการณ์สาคัญ พฒั นาการ 1. ใช้ประโยคคาถามว่า “ใคร” “อะไร” (1) ฝกึ การต้งั คาถามท่ีสามารถหา ๓ – ๔ ปี ในการค้นหาคาตอบ คาตอบไดเ้ ชน่ ฝกึ แนะนาตนเอง ฝกึ แนะนาเพื่อน มากับใคร ทาอะไรอยู่ จะ ไปไหน ทาไมต้องรอ เม่ือไหร่จะเสร็จ เม่ือไหร่จะมา
๕๔ ๑.๕ ประสบการณ์สาคัญท่ีสง่ เสริมการพฒั นาทกั ษะจาเป็นเฉพาะความพิการ ๑.๕.๑ ประสบการณส์ าคัญท่สี ่งเสริมการพัฒนาทักษะจาเป็นเฉพาะความบกพร่องทางการเหน็ สภาพท่พี งึ ประสงค์ ประสบการณ์สาคัญ ๑. มคี วามสามารถในการ บูรณาการประสาทสัมผัส ที่ เหลืออยู่ในการ ดารงชวี ิต (1) มองแสงในทิศทางตา่ งๆ ๑.๑ รับรู้ตอ่ การใช้ประสาท (2) มองวตั ถุท่มี ีสีสันสดใสท่ีอยูก่ ับที่ สมั ผสั ทางการเหน็ ท่ี (3) มองตามวตั ถทุ ม่ี ีสสี นั สดใสท่เี คลอ่ื นไหว เหลืออยู่ (สาหรับบุคคล (4) มองหาวตั ถกุ าหนดให้ สายตาเลือนราง) ในการ (5) หยิบสิง่ ของท่ีมขี นาดและสที ่แี ตกต่างกนั มองสงิ่ ต่างๆรอบตวั ได้ (6) สารวจส่งิ ต่างๆรอบตัว (7) โยงเสน้ ไปตามตาแหน่งทกี่ าหนดให้ (8) มองภาพตามที่กาหนด (9) มองของจริงแล้วใหเ้ ลือกภาพที่ตรงกับสิ่งทมี่ องเห็น (10) บรรยายภาพจากสิ่งที่เห็น (11) เลียนแบบสีหนา้ ทา่ ทาง (12) บอกรายละเอียดของวตั ถุท่เี ห็น ๑.๒ รบั ร้ตู ่อการใช้ประสาท (1) บอกเสยี งจากสงิ่ ท่ีไดย้ นิ สัมผัสทางการได้ยินเสียง (2) บอกแหล่งทม่ี าของเสยี ง ตา่ งๆในสภาพแวดล้อม (3) แยกความแตกตา่ งของเสียงชนดิ ตา่ งๆ ได้ (4) บอกจังหวะของเสียง ๑.๓ รบั รู้ตอ่ การใชป้ ระสาท (1) ดมกล่ินของใชป้ ระเภทตา่ งๆ สัมผัสทางการดมกลิน่ ส่งิ (2) ดมกล่ินอาหารประเภทตา่ งๆ ตา่ งๆรอบตวั ได้ (3) ดมกลนิ่ ผลไม้ประเภทต่างๆ (4) ดมกลน่ิ ดอกไม้ประเภทตา่ งๆ ๑.๔ รบั รู้ต่อการใช้ประสาท (5) ดมกลิ่นตา่ งๆในสภาพแวดล้อม สมั ผัสทางการชิมรสส่ิง ตา่ งๆในชีวติ ประจาวนั ได้ (1) ชมิ และบอกรสชาตขิ องอาหารชนิดต่างๆ (2) ชิมและบอกชื่ออาหาร ผัก ผลไมป้ ระเภทตา่ งๆ ๑.๕ รับร้ตู อ่ การ ใช้ประสาท (3) ชิมและบอกลักษณะของอาหาร ประเภทตา่ งๆ สมั ผัสทางผิวกายสมั ผัส ส่งิ ตา่ งๆรอบตวั และใน (1) บอกช่อื สิง่ ของตา่ งๆดว้ ยการสัมผสั ทางผวิ กาย สภาพแวดล้อมได้ (2) บอกลักษณะรูปรา่ งของสิ่งต่างๆดว้ ยการสมั ผสั ทางผิวกาย (3) บอกลักษณะพนื้ ผวิ ของส่ิงตา่ งๆด้วยการสมั ผสั ทางผิวกาย (4) บอกสภาพแวดลอ้ มโดยการรับรทู้ างผวิ กาย (5) สมั ผัสสงิ่ ตา่ งๆทีม่ ีอุณหภูมิที่แตกต่างกนั (6) บอกสถานะของสงิ่ ตา่ งๆ
๕๕ สภาพท่ีพงึ ประสงค์ ประสบการณส์ าคัญ ๑.๖ รับรูต้ ่อการใชป้ ระสาท (1) เล่นเครื่องเล่นท่ีใช้การปีน ปา่ ย ห้อย โหน กระโดด (2) เลน่ เครื่องเลน่ ที่มีการเคล่ือนไหวไปในระนาบท่ีแตกต่างกัน การรบั รกู้ ารทรงตัวได้ (3) น่งั เครอ่ื งเล่นหรืออุปกรณ์ทีม่ ีการเคลอ่ื นไหว (4) ยนื ทรงตวั ในรูปแบบต่างๆ (5) เดินทรงตวั (6) หมนุ ศรี ษะและการเคลื่อนไหวไปในระนาบที่แตกตา่ งกัน (7) นง่ั ทรงตวั (8) เคลอื่ นไหวแบบราบเรียบและทิศทางต่างๆ ๑.๗ รบั ร้ตู อ่ การใช้ประสาท (1) กระโดดในรปู แบบต่างๆ การรบั รกู้ ารเคล่ือนไหว (2) เล่นเครอ่ื งเล่นท่ีมีการโหนหรือปีนป่าย เอ็นและข้อต่อได้ (3) หวิ้ ลาก ผลัก ดงึ ยก สิ่งของหรอื วตั ถุทม่ี ีน้าหนัก (4) ออกกาลังกายในท่าต่างๆ (5) คลานบนสภาพแวดลอ้ มท่แี ตกต่างกัน (6) ทาท่าประกอบเพลงทม่ี ีจงั หวะเบาๆ สบายๆ (7) เค้ียวอาหารหรือวัตถทุ ่มี ีความเหนียว (8) นวดท่ีมกี ารลงน้าหนักท่ีข้อต่อ ๑.๘ การรับรูต้ ่อการใช้ (๑) ตาแหนง่ ของภาชนะใสอ่ าหาร ประสาทสมั ผัสในการ (๒) ตาแหน่งของอปุ กรณใ์ ช้สาหรับรบั ประทานอาหาร รับประทานอาหาร ๒. การสรา้ งความคนุ้ เคยกับ (1) รับร้เู กี่ยวกับเวลา สภาพแวดลอ้ ม และการ (2) รับรู้เก่ียวกบั ทศิ ทาง เคลอื่ นไหวของคนตาบอด (3) รับร้เู กย่ี วกับระยะทาง ๒.๑ ความคิดรวบยอดท่ี (4) รบั รเู้ กยี่ วกับพ้ืนผิว เกย่ี วข้องกบั การสรา้ ง (5) รับรู้เกยี่ วกบั อุณหภมู ิ ความค้นุ เคยกบั (6) รบั รเู้ กี่ยวกับกลน่ิ สภาพแวดล้อม และการ (7) รบั รเู้ ก่ียวกบั เสยี ง เคลอ่ื นไหว (8) รบั รู้เกย่ี วกับสภาพแวดลอ้ ม (9) เรยี งลาดบั ของสถานท่ี เหตุการณ์ หรอื เวลา ๒.๒ การเดนิ ทางกับผูน้ าทาง (1) ยนื กอ่ นการเดินกับผนู้ าทางเม่ือผู้นาทาง ๒.๒.๑ การแตะนา และ (2) รับร้สู ญั ลกั ษณ์ก่อนการเดนิ ทาง (3) เล่อื นมือและจับแขนของผูน้ าทาง การจบั แขนผู้นาทาง (1) กา้ วเดินกบั ผนู้ าทาง ๒.๒.๒ การกา้ วเดินโดยมี (2) รู้จังหวะการเดินกับผนู้ าทาง ผู้นาทาง
๕๖ สภาพท่ีพึงประสงค์ ประสบการณ์สาคัญ ๒.๒.๓ การเปล่ียนข้าง (1) เลื่อนมือก่อนการเปล่ียนขา้ ง (2) จบั แขนผนู้ าทางขณะเปล่ยี นข้าง ๒.๒.๔ การหมุนกลบั ตัว (1) หมนุ ตวั เข้าหากนั (2) ยื่นมือไปจับแขนอีกข้างของผ้นู าทาง (3) ปล่อยแขนและเดินต่อ ๒.๒.๕ การตอบรบั หรือ (1) ตอบรับการนาทาง ปฏิเสธการนาทาง (2) ปฏเิ สธการนาทาง ๒.๒.๖ การเดนิ ทางแคบ (1) ใช้สญั ลักษณเ์ มอ่ื ต้องการเดินในทางแคบ โดยมีผู้นาทาง (2) จบั แขนผนู้ าทางเม่ือเดนิ ในทางแคบ (3) ก้าวเดินกบั ผ้นู าทางเมอ่ื เดนิ ในทางแคบ (4) กลับมาเดนิ ในเส้นทางปกติ ๒.๒.๗ การเดินกับ (1) ขึน้ -ลงบันไดกับผู้นาทางโดยไม่จับราว ผูน้ าทาง ขนึ้ ลงบนั ไดได้ (2) ข้ึน-ลงบันไดกบั ผู้นาทางและจบั ราวบันได ๒.๒.๘ การเดินกบั (1) เขา้ -ออกประตทู ่ีเป็นประตชู นิดผลักออกจากตัว ผนู้ าทาง ในการเขา้ -ออกประตู (2) เขา้ -ออกประตูที่เป็นประตูชนดิ เปิดเขา้ หาตวั (3) เขา้ -ออกประตูทเ่ี ปน็ ประตูชนดิ เลอื่ น ๒.๒.๙ การน่งั เก้าอี้ (1) สารวจ การจบั และการนัง่ เกา้ อ้ที ีไ่ มม่ ีพนกั พิง (2) สารวจ การจับ และการนัง่ เกา้ อ้ที ่มี ีพนักพงิ (3) นั่งเก้าอี้ที่ไมม่ ีโต๊ะ (4) น่งั เกา้ อ้ีทม่ี โี ตะ๊ ๒.๒.๑๐ การหาของ (๑) หาของบนโตะ๊ (๒) หาของทพี่ ้นื ๒.๒.๑๑ การข้ึน-ลง (๑) ขึ้นรถ ยานพาหนะ (๒) ลงรถ ๒.๒.๑๒ การเขา้ -ออก (๑) เข้าลฟิ ต์ ลิฟต์ (๒) ออกลิฟต์ ๒.๓ การเดินโดยอสิ ระใน สถานทคี่ นุ้ เคย ๒.๓.๑ การเดนิ โดยการ (1) ใชแ้ ขนในการป้องกนั ตนเองสว่ นบน ป้องกนั ตนเองสว่ นบน ๒.๓.๒ การเดินโดยการ (1) ใชแ้ ขนในการป้องกันตนเองสว่ นลา่ ง ป้องกันตนเองสว่ นลา่ ง ๒.๓.๓ การเดนิ โดยการ (1) ยนื่ มือจบั ราวในการเดนิ เกาะราว
๕๗ สภาพทพ่ี งึ ประสงค์ ประสบการณ์สาคัญ (1) ย่นื มอื แตะผนังหรอื ราวในการเดนิ ละเลาะ ๒.๓.๔ การเดินโดยการ ละเลาะ ๒.๓.๕ การเดินโดยใช้ไม้ (๑) จับไมเ้ ท้า เทา้ ขาว (๒) แกวง่ ไม้เทา้ (๓) เดนิ รว่ มกบั ไมเ้ ท้า (๔) เดินบนพื้นตา่ งระดับโดยใช้ไมเ้ ทา้ ขาว ๓. การเตรียมความพร้อม (1) เคล่ือนมือและนว้ิ มือขา้ งเดียว สัมผัสภาพนนู เสน้ นนู การอ่านอักษรเบรลล์ จดุ นนู ในทศิ ทางตา่ งๆ ๓.๑ การเคลอื่ นที่ของมอื (2) เคลอ่ื นมือและนิว้ มือทั้งสองข้างสัมผสั ภาพนนู เส้นนนู จุดนนู และน้ิวมือในการสมั ผสั ในทิศทางต่างๆ ๔. การเตรยี มความพร้อม (3) เคลื่อนมือบนเส้นจุดนนู อักษรเบรลล์ การเขยี นอกั ษรเบรลล์ (1) ร้จู ักอปุ กรณ์การเขียนอักษรเบรลล์ ๔.๑ การใสแ่ ละเลื่อน (2) ใสแ่ ละเลอ่ื นกระดาษ กระดาษ (1) จบั สไตลัส ในการเขยี น (2) กดจุดอักษรเบรลล์ ๔.๒ การจบั สไตลสั (Stylus) ในการเขียนจุด (1) อ่านอกั ษรเบรลล์ พยัญชนะภาษาไทย ๕. มคี วามสามารถในการ กล่มุ จดุ ๑, ๒, ๔, ๕ อ่าน (2) อ่านอกั ษรเบรลลพ์ ยัญชนะภาษาไทย อักษรเบรลลพ์ ยัญชนะ กลุ่มจดุ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ไทย (3) อ่านอักษรเบรลล์พยญั ชนะภาษาไทย ท่ีมีเซลลเ์ ดียวและตัวเลข กลมุ่ จดุ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๕.๑ การอา่ นอักษรเบรลล์ ไทยท่เี ปน็ พยัญชนะเซลล์เดยี ว (4) อา่ นตัวเลขอักษรเบรลล์ จานวน ๑-๑๐ และตวั เลข ๖.มคี วามสามารถในการ เขยี นอกั ษรเบรลลพ์ ยัญชนะ ไทยทีม่ เี ซลล์เดยี วและตัวเลข (1) เขียนพยัญชนะ กลุ่มจดุ ๑, ๒, ๔, ๕
๕๘ สภาพท่ีพึงประสงค์ ประสบการณส์ าคัญ ๖.๑ การเขยี นอักษรเบรลล์ (2) เขยี นพยัญชนะ กลมุ่ จดุ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ที่เป็นพยญั ชนะไทยเซลล์ล์ (3) เขียนพยญั ชนะ กลุ่มจุด ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ เดียวและตวั เลข (4) เขยี นตวั เลขอักษรเบรลล์ จานวน ๑-๑๐ ๖.๒ การเขียนอกั ษรเบรลล์ (๑) เขยี นพยัญชนะภาษาองั กฤษ A-Z ท่เี ป็นพยญั ชนะภาษาองั กฤษ (๒) เขียนพยญั ชนะภาษาองั กฤษ a-z ระดบั ๑ ๗. มีความสามารถในการใช้ ลูกคิด ๗.๑ การใชล้ ูกคดิ ในการ (1) ต้งั ค่าและอ่านค่าลูกคดิ บวกลบง่ายๆ (2) บวกจานวนท่ีมีผลลัพธไ์ ม่เกนิ สบิ (3) ลบจานวนทมี่ ตี วั ต้งั ไม่เกนิ สบิ 8. สามารถใชเ้ ทคโนโลยี สง่ิ อานวยความสะดวก เคร่ืองช่วยในการเรียนรู้ 8.๑ ใชอ้ ปุ กรณช์ ่วยในการ (1) ใช้อุปกรณ์ชว่ ยในการสอ่ื สารทางเลอื ก สอ่ื สารทางเลอื ก 8.๒ ใชอ้ ุปกรณ์ช่วยในการ (1) ใช้อปุ กรณช์ ว่ ยในการเขา้ ถงึ คอมพวิ เตอร์ เข้าถงึ คอมพวิ เตอรเ์ พื่อการ เรยี นรู้ 8.๓ ใชโ้ ปรแกรมเสรมิ (1) ใช้โปรแกรมเสรมิ ผ่านคอมพวิ เตอรเ์ พื่อชว่ ยในการเรยี นรู้ ผา่ นคอมพวิ เตอรเ์ พ่ือชว่ ยใน การเรยี นรู้ ๑.๕.๒ ประสบการณ์สาคัญที่สง่ เสรมิ การพฒั นาทกั ษะจาเป็นเฉพาะความบกพร่องทางการไดย้ ิน สภาพทพี่ ึงประสงค์ ประสบการณท์ ี่สาคัญ ๑. สามารถใช้และดแู ล เครือ่ งช่วยฟัง (1) บอกสว่ นตา่ ง ๆ ของเครอ่ื งช่วยฟงั หรือเครื่องประสาทหู เทียมจากของจริง
๕๙ สภาพท่พี งึ ประสงค์ ประสบการณ์ทสี่ าคัญ ๑.๑ บอกส่วนต่าง ๆ ของ เคร่อื งชว่ ยฟงั หรือเคร่ือง ประสาทหูเทียม (1) ใส่และถอดเคร่ืองช่วยฟังหรือเครอ่ื งประสาทหเู ทยี ม ๑.๒ ใช้เคร่อื งช่วยฟังหรือ (2) เปิด-ปดิ เครอื่ งชว่ ยฟังหรือเคร่ืองประสาทหเู ทยี ม เครือ่ งประสาทหเู ทียมได้ถูกต้อง (3) ปรบั ระดบั เสยี งเคร่ืองชว่ ยฟงั หรือเครอื่ งประสาทหเู ทยี ม (4) ตรวจสอบการทางานของเครื่องช่วยฟังหรอื เครื่องประสาทหู เทยี ม ๑.๓ ดแู ลรักษาเครื่องชว่ ย (1) ทาความสะอาดเคร่ืองชว่ ยฟงั หรอื เครอ่ื งประสาทหูเทยี ม ฟงั หรือเคร่ืองประสาทหูเทียม (2) เกบ็ รักษาเคร่ืองช่วยฟังหรอื เครื่องประสาทหเู ทยี ม ๒. สามารถใช้การไดย้ ินท่ี (1) เคาะ ดีด สี ตี เป่า เขย่า เครอื่ งดนตรี หลงเหลอื อยู่ใน (2) ฟงั เสียงจากเครื่องเล่น ชีวติ ประจาวัน (3) ฟงั เสียงจากสิ่งแวดลอ้ ม ๒.๑ รู้ว่ามเี สียง/ไม่มีเสียง (1) บอกเสยี งท่ีได้ยินจากเครื่องดนตรี (2) บอกเสยี งท่ีได้ยนิ จากเครื่องเล่น ๒.๒ บอกเสยี งท่ีได้ยิน (3) บอกเสียงท่ไี ดย้ นิ จากสง่ิ แวดล้อม (4) จาแนกเสียง ๒.๓ บอกแหลง่ ท่มี าของ (5) เปรยี บเทียบเสียง เสียง (1) ฟังเสยี งสิง่ ต่างๆ รอบตวั และบอกแหลง่ ทม่ี าเสียง ๓. สามารถเปล่งเสยี งหรือพูด (1) กาหนดลมหายใจเขา้ ออก ตามแบบ (2) กล้ัน/กกั ลมหายใจ ๓.๑ เปลง่ เสยี งคาท่ีไมม่ ี (3) เปล่งเสียงคาที่ไมม่ ีความหมายตามแบบ ความหมายตามแบบ (4) เปลง่ เสียงพยญั ชนะตามฐานการเกิดเสยี งตามแบบ (5) เปล่งเสียงสระ และเปรยี บเทียบเสียงสระสัน้ -ยาว ตามแบบ ๓.๒ พูดคางา่ ยๆ ทม่ี ี (6) เปล่งเสยี งวรรณยุกต์ และเปรียบเทยี บเสยี งวรรณยุกต์ ความหมายตามแบบ สงู -ตา่ ตามแบบ (7) จัดรูปรมิ ฝปี ากตามฐานการเกิดเสยี งตามแบบ (1) พดู เป็นคาง่ายๆเกี่ยวกับตนเองตามแบบ (2) พูดเปน็ คางา่ ยๆเกีย่ วกบั บุคคลและสถานทแ่ี วดลอ้ มตามแบบ (3) พูดเปน็ คาง่ายๆเกี่ยวกับธรรมชาติรอบตัวตามแบบ
๖๐ สภาพที่พึงประสงค์ ประสบการณ์ท่ีสาคญั (4) พูดเป็นคาง่ายๆเกี่ยวกบั สิง่ ตา่ งๆรอบตัวตามแบบ ๓.๓ พูดเป็นวลีงา่ ยๆ ตาม (1) พดู เป็นวลงี ่ายๆ ตามแบบ แบบ (1) พดู เป็นประโยคง่ายๆ ตามแบบ ๓.๔ พดู เป็นประโยคงา่ ยๆ ตามแบบ (1) อ่านริมฝปี ากและปฏิบตั ติ าม ๔. สามารถอ่านริมฝีปาก ๔.๑ อา่ นรมิ ฝปี ากและ เขา้ ใจความหมาย ๔.๒ ทารปู ปากเป็นคาที่มี (1) ทารูปปากเป็นคาที่มคี วามหมายง่ายๆ ความหมายและผู้อื่นเข้าใจได้ ๔.๓ ทารูปปากเป็นวลีงา่ ยๆ (1) ทารูปปากเป็นวลีงา่ ยๆ และผู้อนื่ เขา้ ใจได้ ๔.๔ ทารปู ปากเปน็ ประโยค (1) ทารปู ปากเป็นประโยคงา่ ยๆ งา่ ยๆ และผ้อู นื่ เขา้ ใจได้ ๕. สามารถใชภ้ าษามอื ในการ ส่ือสาร ๕.๑ ใช้ภาษาท่าทางในการ (1) จดั ทา่ และการเคลอ่ื นไหวของมือพืน้ ฐานในการใช้ภาษามอื สื่อสาร การใชส้ หี นา้ ประกอบท่าทางในการส่ือสาร ๕.๒ ใช้ภาษามอื บอกช่ือส่ิง (1) ใชภ้ าษามอื บอกช่ือบคุ คล ตา่ งๆ รอบตวั (2) ใช้ภาษามือบอกชื่ออาหาร ผักและผลไม้ (3) ใช้ภาษามือบอกช่ือสัตว์ ๕.๓ ใช้ภาษามอื เพื่อการ (4) ใช้ภาษามือบอกช่ือส่งิ ของ สนทนาและส่ือสาร (5) ใชภ้ าษามอื บอกช่ือส่งิ แวดล้อมรอบตวั (1) ใชภ้ าษามือเพื่อการสือ่ สารเก่ียวกบั ตนเอง ๖. สามารถสะกดน้ิวมอื (2) ใช้ภาษามอื เพื่อการสื่อสารเกี่ยวกบั บุคคลและสถานที่ ๖.๑ สะกดน้ิวมือพยัญชนะ (3) ใชภ้ าษามือเพอ่ื การส่อื สารเกี่ยวกบั ธรรมชาติรอบตัว (4) ใช้ภาษามือเพอ่ื การสือ่ สารเก่ียวกับส่ิงต่างๆรอบตัว ไทย (1) ฝกึ สะกดน้ิวมือพยญั ชนะไทยชุด ก ข ค ฆ (2) ฝกึ สะกดนว้ิ มือพยญั ชนะไทยชุด ต ถ ฐ ฒ ฑ ฏ (3) ฝกึ สะกดนวิ้ มือพยัญชนะไทยชุด ส ศ ษ (4) ฝกึ สะกดนวิ้ มือพยัญชนะไทยชุด พ ป ผ ภ (5) ฝึกสะกดนวิ้ มือพยญั ชนะไทยชุด ห ฮ (6) ฝกึ สะกดนว้ิ มือพยญั ชนะไทยชุด ด ฎ (7) ฝึกสะกดนิ้วมือพยญั ชนะไทยชดุ ฟ ฝ
๖๑ สภาพทีพ่ ึงประสงค์ ประสบการณท์ ่สี าคญั (8) ฝึกสะกดนิ้วมือพยญั ชนะไทยชดุ ล ฬ (9) ฝกึ สะกดนิ้วมือพยัญชนะไทยชดุ ย ญ (10) ฝกึ สะกดนว้ิ มือพยญั ชนะไทยชุด น ณ ง (11) ฝกึ สะกดนิ้วมือพยญั ชนะไทยชุด ท ธ (12) ฝกึ สะกดนิ้วมือพยัญชนะไทยชุด ฉ ช ฌ (13) ฝึกสะกดนิ้วมือพยัญชนะไทย จ ซ บ ร ม ว อ ๖.๒ สะกดนว้ิ มือ สระและ (1) สะกดนิ้วมือสระ อิ อี อึ อือ โอ ไอ ใอ สระเปล่ยี นรปู (2) สะกดนิว้ มือสระ อะ อา อุ อู เอ แอ อา ไม้ไตค่ ู้ (3) ไม้หนั อากาศ การนั ต์ ฤ และ เคร่อื งหมาย ฯ ๖.๓ สะกดน้วิ มือ วรรณยุกต์ (1) สะกดนิ้วมือ วรรณยุกต์ ๖.๔ สะกดนิ้วมือช่อื ตนเอง (1) สะกดนิ้วมือชื่อตนเอง ๖.๕ สะกดนว้ิ มือคาง่ายๆ (1) สะกดนว้ิ มือคาง่ายๆ เกี่ยวตนเอง (2) สะกดนว้ิ มือคาง่ายๆ เก่ยี วกบั บคุ คลและสถานที่แวดล้อม (3) สะกดนิ้วมือคาง่ายๆ เก่ียวกับธรรมชาติรอบตวั (4) สะกดนว้ิ มือคาง่ายๆ เก่ียวกับสิง่ ต่างๆรอบตัว ๖.๖ สะกดนว้ิ มืออักษร (1) สะกดนิ้วมืออักษรภาษาอังกฤษ A B C D E F ภาษาอังกฤษ (2) สะกดนว้ิ มืออักษรภาษาองั กฤษ G H I J K (3) สะกดนวิ้ มืออักษรภาษาอังกฤษ L M N O P 7. สามารถใชเ้ ทคโนโลยี สง่ิ (4) สะกดนว้ิ มืออักษรภาษาอังกฤษ Q R S T U อานวยความสะดวก (5) สะกดนิ้วมืออักษรภาษาอังกฤษ V W X Y Z เครื่องช่วยในการเรียนรู้ (6) 7.๑ ใช้อปุ กรณช์ ่วยในการ (1) ใช้อุปกรณ์ช่วยในการส่ือสารทางเลอื ก สอ่ื สารทางเลือก 7.๒ ใชอ้ ุปกรณ์ช่วยในการ (1) ใชอ้ ปุ กรณ์ช่วยในการเข้าถึงคอมพวิ เตอร์ เข้าถึงคอมพิวเตอรเ์ พื่อการ (1) ใชโ้ ปรแกรมเสริมผ่านคอมพวิ เตอรเ์ พื่อชว่ ยในการเรยี นรู้ เรียนรู้ 7.๓ ใชโ้ ปรแกรมเสริมผา่ น คอมพวิ เตอรเ์ พื่อชว่ ยในการ เรยี นรู้
๖๒ ๑.๕.๓ ประสบการณ์สาคัญทส่ี ง่ เสรมิ การพัฒนาทักษะจาเป็นเฉพาะความบกพร่องทางสติปญั ญา สภาพทีพ่ งึ ประสงค์ ประสบการณ์สาคญั ๑. สามารถสื่อสารไดเ้ หมาะสม กับสถานการณ์ (1) ใชภ้ าษาท่าทางบอกความต้องการ ๑.๑ สอื่ สารได้เหมาะสมกับ (2) ใชภ้ าษาไดเ้ หมาะสมกบั สถานการณ์ สถานการณ์ (3) สนทนาโต้ตอบ/เล่าเรือ่ งดว้ ยประโยคสั้นๆ ได้ ๒. สามารถดแู ลตนเองและความ ปลอดภัยในชวี ิตประจาวัน (1) ทากจิ กรรมตา่ ง ๆ ในชีวติ ประจาวันด้วยตนเอง ๒.๑ ดแู ลตนเองและความ (2) เลอื กรับประทานอาหารท่เี ป็นประโยชน์ ปลอดภยั ในชีวิตประจาวัน (3) ระมัดระวงั เรอื่ งความปลอดภัยตนเอง (4) ทางานบา้ นง่ายๆ ๓. มปี ฏิสมั พันธท์ างสังคมกับผู้อื่น อย่างเหมาะสม ๓.๑ การมีปฏสิ ัมพันธท์ าง (1) มีปฏิสมั พันธก์ ับผ้อู ื่น สงั คมกบั ผู้อืน่ อยา่ งเหมาะสม (2) เล่นกบั เพอ่ื น (3) เล่นเลยี นแบบผู้อืน่ (4) เลน่ ตามกตกิ า (5) เลน่ บทบาทสมมุติ (6) ปฏิบัตติ ามกฎกติกาทางสงั คม ๔. ร้จู ักใชท้ รพั ยากรในชมุ ชน ๔.๑ การรูจ้ กั ใช้ทรพั ยากร (1) ใช้สง่ิ ของสาธารณะอย่างเหมาะสม ในชุมชน (2) ปฏบิ ตั ติ ามข้อตกลงการใชส้ ิ่งของสาธารณะอยา่ ง เหมาะสม (3) ดแู ลรักษาสง่ิ ของสาธารณะได้อยา่ งเหมาะสม 5. สามารถใชเ้ ทคโนโลยี สง่ิ อานวยความสะดวก เครอ่ื งช่วยในการเรยี นรู้ (1) ใชอ้ ปุ กรณ์ชว่ ยในการสอ่ื สารทางเลือก 5.๑ ใชอ้ ุปกรณ์ช่วยในการ สือ่ สารทางเลือก 5.๒ ใช้อปุ กรณช์ ว่ ยในการ (1) ใชอ้ ปุ กรณช์ ว่ ยในการเข้าถงึ คอมพิวเตอร์ เข้าถึงคอมพวิ เตอร์เพ่ือการเรียนรู้
๖๓ สภาพทีพ่ ึงประสงค์ ประสบการณ์สาคญั 5.๓ ใชโ้ ปรแกรมเสริมผา่ น (1) ใชโ้ ปรแกรมเสรมิ ผา่ นคอมพวิ เตอร์เพ่ือชว่ ยในการเรยี นรู้ คอมพิวเตอรเ์ พ่ือช่วยในการเรียนรู้ ๑.๕.๔ ประสบการณ์สาคัญที่ส่งเสริมการพัฒนาทักษะจาเป็นเฉพาะความบกพร่อง ทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหวหรอื สุขภาพ สภาพท่ีพึงประสงค์ ประสบการณ์ทสี่ าคญั ๑. ดูแลสุขอนามยั ของตนเอง เพ่ือป้องกันภาวะแทรกซ้อน ๑.๑ การปอ้ งกัน ดแู ลและ (1) ใชอ้ ุปกรณ์ช่วยปอ้ งกนั แผลกดทบั รกั ษาความสะอาดแผลกดทบั (2) พลิกตะแคงตวั (3) ยกตวั ขณะอยู่ในทา่ น่ัง (4) ดแู ลและรกั ษาความสะอาดผวิ หนัง ๑.๒ บรหิ ารกล้ามเนื้อและ (1) ยดื เหยยี ดกลา้ มเนื้อ ขอ้ ต่อเพื่อคงสภาพ (2) ลงน้าหนกั (3) เพิ่มกาลังกล้ามเน้ือ ๑.๓ จัดทา่ นอน ทา่ นัง่ และ (1) จัดทา่ นอนท่ีถูกตอ้ ง ทากิจกรรมในท่าทางท่ีถกู ต้อง (2) จัดท่าน่งั ที่ถูกต้อง (3) จดั ท่าขณะทากจิ กรรมทีถ่ ูกต้อง ๑.๔ ดูแลอุปกรณ์ (1) ดแู ลและการปฏิบัติตนเมื่อใส่อปุ กรณ์เครอื่ งช่วยส่วนตัวได้ เคร่ืองช่วยสว่ นตัวได้ เช่น สายสวนปัสสาวะ ถุงขับถ่ายบริเวณหน้าท้อง ท่อ อาหาร ฯลฯ ๒. สามารถใชอ้ ุปกรณ์ เคร่อื งช่วยในการ เคล่ือนยา้ ยตนเอง (Walker รถเขน็ ไม้เท้า ไมค้ า้ ยัน ๒.๑ เคล่ือนยา้ ยตนเองใน (1) เคลื่อนยา้ ยตนเองเขา้ ไปจบั Walker การใช้อปุ กรณเ์ ครื่องช่วย (2) เคล่ือนย้ายตนเองเข้าไปนัง่ เก้าอี้รถเข็น (3) เคล่ือนยา้ ยตนเองเข้าไปจับไม้เทา้ (4) เคลื่อนยา้ ยตนเองเขา้ ไปใช้ไม้คา้ ยนั ๒.๒ ทรงตวั อยู่ในอปุ กรณ์ (1) ทรงตัวอยู่ในอุปกรณเ์ คร่ืองช่วยในการเคลื่อนยา้ ยตนเอง เครื่องช่วยและป้องกันตนเอง (2) ทรงตวั อยใู่ นอุปกรณเ์ คร่ืองช่วยในการเคล่ือนยา้ ยตนเอง ขณะเคล่อื นยา้ ยตนเองได้ เมอื่ มีแรงตา้ น (3) ทรงตัวอยู่ในอปุ กรณ์เคร่ืองชว่ ยในการเคล่ือนยา้ ยตนเอง โดยมีการถา่ ยนา้ หนักไปในทศิ ทางตา่ งๆ
๖๔ สภาพที่พึงประสงค์ ประสบการณ์ทส่ี าคญั (4) ป้องกันตนเองขณะลม้ จากการใชอ้ ุปกรณ์เคร่อื งช่วยในการ เคลื่อนย้ายตนเอง ๒.๓ เคลอื่ นยา้ ยตนเองด้วย (1) เคลื่อนย้ายตนเองโดยใชอ้ ปุ กรณ์เครอ่ื งชว่ ยบนทางราบ อปุ กรณ์เคร่อื งชว่ ยได้ (2) เคลื่อนย้ายตนเองโดยใช้อุปกรณเ์ คร่อื งช่วยบนทางลาด (3) เคลื่อนยา้ ยตนเองโดยใชอ้ ุปกรณเ์ ครอื่ งช่วยบนทางตา่ ง ระดบั ๒.๔ เกบ็ รกั ษาและดูแล (1) เก็บรักษาและดูแลอุปกรณ์เครอื่ งชว่ ยในการเคลื่อนย้าย อปุ กรณ์เคร่ืองช่วยในการ ตนเอง เคลอ่ื นย้ายตนเอง ๓. สามารถใชแ้ ละดูแลรักษา กายอุปกรณเ์ สริม กายอุปกรณ์เทียม อุปกรณด์ ัดแปลง ๓.๑ ถอดและใส่กาย (1) ถอดและใสก่ ายอปุ กรณ์เสริม อปุ กรณ์เสริม กายอปุ กรณ์เทยี ม (2) ถอดและใส่กายอุปกรณ์เทียม หรอื อุปกรณด์ ัดแปลง (3) ถอดและใสอ่ ุปกรณ์ดัดแปลง ๓.๒ ใช้กายอุปกรณเ์ สรมิ (1) ใช้กายอปุ กรณเ์ สรมิ ในการทากิจกรรม หรือเม่ือมีแรง กายอุปกรณเ์ ทยี ม หรืออปุ กรณ์ ตา้ นตา่ งๆ ดดั แปลงในการทากจิ กรรม (2) ใช้กายอปุ กรณเ์ ทียมในการทากจิ กรรมหรือเม่ือมีแรง ตา้ นตา่ งๆ (3) ใช้อุปกรณ์ดัดแปลงในการทากจิ กรรมหรือเม่ือมแี รง ตา้ นตา่ งๆ ๓.๓ เก็บรักษาและดแู ล (1) เก็บรกั ษาและดูแลกายอุปกรณเ์ สริม กายอุปกรณ์เสริม กายอุปกรณ์ (2) เก็บรกั ษาและดูแลกายอุปกรณ์เทยี ม อุปกรณ์เทียม หรืออุปกรณ์ (3) เกบ็ รักษาและดูแลอปุ กรณ์ดัดแปลง ดัดแปลง ๔. สามารถใชเ้ ทคโนโลยี สง่ิ (1) ใชอ้ ุปกรณ์ชว่ ยในการสือ่ สารทางเลือก อานวยความสะดวก (1) ใช้อปุ กรณช์ ว่ ยในการเข้าถึงคอมพิวเตอร์ เครือ่ งช่วยในการเรียนรู้ ๔.๑ ใชอ้ ุปกรณช์ ่วยในการ สอ่ื สารทางเลอื ก ๔.๒ ใช้อปุ กรณช์ ่วยในการ เข้าถึงคอมพวิ เตอร์เพื่อการ เรยี นรู้
๖๕ สภาพทพ่ี งึ ประสงค์ ประสบการณ์ที่สาคญั ๔.๓ ใชโ้ ปรแกรมเสรมิ ผา่ น (1) ใช้โปรแกรมเสริมผ่านคอมพวิ เตอร์เพื่อชว่ ยในการ คอมพิวเตอร์เพ่ือช่วยในการ เรยี นรู้ เรยี นรู้ ๕. ควบคุมอวัยวะท่ใี ช้ใน การพูด การเคีย้ ว และการ (1) เคลือ่ นไหวรมิ ฝปี าก กลนื (2) ควบคุมกลา้ มเนือ้ รอบปาก ๕.๑ ควบคุมกล้ามเนอ้ื รอบ ปาก (1) เคลอ่ื นไหวล้ินตามที่กาหนด ๕.๒ ควบคุมการใช้ล้ิน (1) เปา่ ลมออกจากปาก ๕.๓ เป่าและดูด (2) ดูดของเหลว (1) ขยับขากรรไกร ๕.4 การกลนื และเคีย้ วได้ (2) กลืนนา้ ลาย (3) กลืนอาหารข้น 5.4 การควบคุมน้าลาย (4) กลืนอาหารเหลว (5) กัดอาหารประเภทต่างๆ (6) เค้ยี วอาหารประเภทตา่ งๆ (1) ปดิ ริมฝีปาก (2) ใชร้ ิมฝปี ากคาบ (3) บริหารรมิ ฝปี าก ๑.๕.๕ ประสบการณ์สาคัญที่สง่ เสรมิ การพัฒนาทกั ษะจาเป็นเฉพาะความบกพรอ่ งทางการเรียนรู้ สภาพทพี่ ึงประสงค์ ประสบการณ์ที่สาคัญ ๑. มีความสามารถในการรับรู้ การไดย้ ิน ๑.๑ จาเสียงท่ีได้ยินใน (1) พูดตามเสียงที่ไดย้ นิ ชีวติ ประจาวัน (2) พดู ยอ้ นกลับจากเสยี งทไ่ี ด้ยนิ (3) บอกเสียงทีเ่ คยไดย้ นิ ๑.๒ จาแนกเสียงท่แี ตกต่าง (1) แยกเสยี งบคุ คล เสยี งสัตว์ เสยี งในชวี ิตประจาวนั (2) แยกเสยี งธรรมชาติ (3) แยกเสียงเหมือน- ตา่ ง ดัง – เบา ๑.๓ แยกเสยี งท่กี าหนดให้ (1) บอกเสยี งท่ีกาหนดออกจากเสยี งอน่ื ๆ ออกจากเสียงอนื่ ๆได้ ๒. มคี วามสามารถในการรับรู้ การเหน็ ๒.๑. การจาภาพทีเ่ หน็ (1) บอกภาพจากการจดจา ในชวี ติ ประจาวัน (2) บอกภาพสญั ลกั ษณจ์ ากการจดจา
๖๖ สภาพท่ีพึงประสงค์ ประสบการณท์ ีส่ าคัญ ๒.๒. การแยกวตั ถุ ภาพ ตวั (1) แยกวัตถุท่ีกาหนดให้ออกจากสง่ิ ตา่ งๆท่ีตา่ งกัน พยญั ชนะที่กาหนดให้อยใู่ นพื้น (2) แยกภาพท่ีกาหนดให้ออกจากฉากหลังที่ต่างกัน ฉากทต่ี ่างกัน (3) แยกตัวอักษรท่ีกาหนดให้ออกจากฉากหลงั ท่ตี ่างกนั (4) แยกสัญลกั ษณท์ ี่กาหนดให้ออกจากฉากหลงั ทีต่ ่างกนั ๒.๓ ตากบั มือเคล่ือนไหว (1) สร้างสรรคส์ ่ิงสวยงาม สัมพันธ์กัน (2) เขยี นภาพและการเลน่ กับสี (3) ปั้น (4) ประดิษฐ์สงิ่ ต่างๆด้วยเศษวสั ดุ (5)หยบิ จับการใชก้ รรไกร การฉีก การตดั การปะและการรอ้ ย วัสดุ ๒.๔ การบอกส่วนท่หี ายไป (1) บอกสว่ นทห่ี ายไปของรูปภาพ ของรูปภาพทก่ี าหนด (2) เติมองคป์ ระกอบของรูปภาพทีห่ ายไปใหส้ มบรู ณ์ (3) เติมสว่ นของรูปเรขาคณิตท่ีหายไป ๒.๕ บอกความสมั พันธข์ อง (1) จัดการเรียนรูค้ วามสมั พนั ธข์ องตาแหน่ง ลาดบั รูปรา่ ง คุณลักษณะตาแหนง่ ลาดับ ของสิ่งท่อี ยรู่ อบตัว ได้อยา่ งเหมาะสม รูปร่างของส่งิ ท่ีอยรู่ อบตัว (2) บอกความสมั พันธ์ของสิ่งต่างๆรอบตวั (3) บอกตาแหน่งของสิ่งต่างๆตามทีก่ าหนด (4) วางวตั ถหุ รอื ส่งิ ของตามตาแหนง่ ท่กี าหนด (5) เรยี งลาดบั รปู ร่าง ตัวเลข พยัญชนะ คาศัพท์ตามแบบ (6) ประกอบรูปรา่ งเรขาคณิตเปน็ ส่ิงของ เครื่องใช้ สัตว์ คน (7) ต่อเตมิ และการสรา้ งแบบรปู ตามจินตนาการ (8) คัดลอกรูปภาพ (9) สรา้ งภาพวาดด้วยตนเอง ๓. มคี วามสามารถในการ (1) บอกและเรียงลาดับกจิ กรรม จัดลาดบั ความคดิ (2) บอกและเรียงลาดบั เหตุการณ์ตามชว่ งเวลา ๓.๑. เรียงลาดับเหตกุ ารณ์ (3) บอกขน้ั ตอนในการเลน่ หรือการทากิจกรรม (4) เลา่ นทิ าน ขั้นตอนในการเล่นหรอื การทา (5) เล่าเรือ่ งเกยี่ วกับชีวติ ประจาวัน กจิ กรรมได้ ๔. มคี วามสามารถในการจัด (1) รบั ผดิ ชอบงานท่ีไดร้ ับมอบหมาย ระเบียบตนเอง (2) ร่วมมอื ในการทางานร่วมกบั ผู้อื่น ๔.๑ จดั การตนเองได้ ๔.๒ จัดลาดับกิจกรรม (1) จดั ลาดบั กจิ กรรมตนเองในชีวิตประจาวนั ตนเองได้ (2) ปฏบิ ัติกิจรรมประจาวนั ตามตารางทก่ี าหนด
๖๗ สภาพท่พี งึ ประสงค์ ประสบการณท์ สี่ าคญั ๕. มคี วามสามารถในการบอก ตาแหน่ง/ทิศทาง ๕.๑ บอกทิศทางหรอื (1) วางสงิ่ ของทอี่ ยู่ทางซา้ ย-ขวา บน-ล่าง หน้า-หลัง ตาแหน่งของสงิ่ ตา่ งๆ (2) บอกหรือช้ีตาแหนง่ สง่ิ ของหรือวัตถุ (3) จัดตาแหน่งของภาพ สัญลักษณ์ สงิ่ ของหรือวตั ถตุ ามที่ กาหนด (4) จัดตาแหน่งหรอื ทิศทางสิ่งของหรือวตั ถุให้อยทู่ ิศทาง เดียวกนั (5) จัดตาแหนง่ หรอื ทศิ ทางรูปภาพให้อยู่ทศิ ทางเดยี วกนั (6) บอกตาแหนง่ ทิศทางของสถานทที่ ีค่ นุ้ เคย 6. สามารถใชเ้ ทคโนโลยี (1) ใช้อปุ กรณ์ช่วยในการส่ือสารทางเลือก ส่งิ อานวยความสะดวก (1) ใช้อปุ กรณ์ช่วยในการเข้าถงึ คอมพวิ เตอร์ เคร่อื งช่วยในการเรียนรู้ 6.๑ ใชอ้ ุปกรณ์ชว่ ยในการ (1) ใช้โปรแกรมเสรมิ ผา่ นคอมพิวเตอรเ์ พื่อชว่ ยในการ เรียนรู้ สือ่ สารทางเลอื ก 6.๒ ใชอ้ ปุ กรณ์ชว่ ยในการ เขา้ ถึงคอมพวิ เตอร์เพ่ือการ เรยี นรู้ 6.๓ ใชโ้ ปรแกรมเสริมผา่ น คอมพิวเตอรเ์ พื่อชว่ ยในการ เรียนรู้ ๑.๕.๖ ประสบการณ์สาคัญท่ีส่งเสริมการพัฒนาทักษะจาเป็นเฉพาะความบกพร่อง ทางการพูดและภาษา สภาพท่ีพึงประสงค์ ประสบการณส์ าคญั ๑.สามารถควบคมุ อวัยวะใน การออกเสยี ง ๑.๑ ควบคุมอวยั วะใน (1) ควบคุมอวัยวะในปาก การพดู (2) บรหิ ารความแข็งแรงของกล้ามเน้ือทเ่ี กยี่ วข้องกับ การพูด (3) ควบคุมลมหายใจ (4) กักและพน่ ลม ๑.๒ เคล่ือนไหวอวัยวะใน (1) เคลอ่ื นไหวล้นิ การพูด (2) อ้า หบุ หอ่ ปาก (3) ยิงฟนั และพน่ ลมผา่ นไรฟัน
๖๘ สภาพทพี่ งึ ประสงค์ ประสบการณส์ าคัญ ๒. สามารถออกเสียงตาม (1) ออกเสยี งพยัญชนะตามหนว่ ยเสยี ง หนว่ ยเสยี งไดช้ ัดเจน (2) ออกเสียงตามฐานที่เกดิ เสยี งจากงา่ ยไปหายาก ๒.๑ ออกเสยี งใหช้ ดั เจน (3) ออกเสียงคาควบกล้า (4) ออกเสียงคาทขี่ าดหาย ๓. เปล่งเสียงใหเ้ หมาะสมกับ ธรรมชาตขิ องแต่ละคน (1) เปลง่ เสยี งสูงต่าประกอบจงั หวะ ๓.๑ เปลง่ เสยี งในระดับ (2) เปลง่ เสยี งพดู โดยใชค้ าง่ายๆในระยะใกล้-ไกล (3) เปล่งเสยี งดังหรือเบา เสียงที่ทาให้ผูอ้ ่ืนฟังได้ ๔. สามารถควบคุมจังหวะ (1) พดู ตามจงั หวะทก่ี าหนด การพูด (2) ออกเสียงตามจังหวะท่เี คาะ ช้า-เร็ว ๔.๑ ควบคุมจังหวะการพูด (3) กาหนดการหายใจเข้า-ออก/ท้องโป่ง-แฟบ (4) เล่าเร่อื งกับกบั ตนเอง ไดเ้ ป็นจงั หวะปกติ (5) เลา่ นทิ านสั้นๆ (๗๐-๑๐๐คาต่อนาที) ๔.๒ พูดได้คลอ่ งหรือลด (1) ผอ่ นคลายกลา้ มเนอ้ื ขากรรไกรและอวยั วะในการพดู ภาวะการติดอ่าง (2) ลากเสียงสระและพยัญชนะใหย้ าวจนสุดลมหายใจ (3) เคล่อื นไหวอวัยวะของการพดู หนง่ึ ช่วงลมหายใจ (4) หายใจและการผ่อนลมหายใจ ๔.๓ พดู เว้นวรรคตอนได้ (1) พดู หรอื เลา่ เร่ืองราวเกี่ยวกับตนเอง ถกู ต้อง (2) อา่ นข้อความโดยทาเคร่ืองหมายวรรคตอน 5. สามารถใชเ้ ทคโนโลยี (1) ใชอ้ ุปกรณ์ช่วยในการส่อื สารทางเลือก ส่ิงอานวยความสะดวก (1) ใช้อุปกรณ์ช่วยในการเข้าถงึ คอมพวิ เตอร์ เครื่องช่วยในการเรยี นรู้ 5.๑ ใช้อุปกรณช์ ว่ ยในการ สอื่ สารทางเลือก 5.๒ ใชอ้ ุปกรณ์ชว่ ยในการ เขา้ ถึงคอมพิวเตอร์เพื่อการ เรียนรู้
๖๙ สภาพที่พึงประสงค์ ประสบการณส์ าคญั 5.๓ ใชโ้ ปรแกรมเสริมผา่ น (1) ใช้โปรแกรมเสริมผ่านคอมพวิ เตอร์เพ่ือช่วยในการ คอมพิวเตอรเ์ พื่อช่วยในการ เรียนรู้ เรียนรู้ ๑.๕.๗ ประสบการณ์สาคญั ทีส่ ่งเสรมิ การพัฒนาทักษะจาเป็นเฉพาะความบกพรอ่ ง ทางพฤติกรรมหรืออารมณ์ สภาพทพี่ งึ ประสงค์ ประสบการณส์ าคญั ๑. สามารถจัดการกับอารมณ์ ของตนเอง (1) พูดสะท้อนความรู้สกึ ของตนเองและผู้อื่น ๑.๑ ควบคุมความรู้สึกหรือ (2) เล่นบทบาทสมมุติ อารมณ์ของตนเองได้ (3) ทาในสิ่งทนี่ ักเรยี นชอบ (4) ทางานศิลปะ (5) เลน่ เปน็ กลุม่ ๑.๒ แสดงออกทางอารมณ์ (1) เลน่ บทบาทสมมตุ ิ อยา่ งเหมาะสมตามสถานการณ์ (2) ทากิจกรรมดนตรี (3) ทากจิ กรรมศิลปะ (4) ฟงั นทิ านและเล่าเร่ือง (5) น่งั สมาธิ ทากิจกรรมฝกึ สมาธิ (6) ออกกาลังกาย (7) ทากิจกรรมนันทนาการ (8) ทากจิ กรรมในชุมชน (9) เดนิ เลน่ (10)ทากจิ กรรมทางสังคมร่วมกับเพื่อน ๒. สามารถควบคุมพฤติกรรม ของตนเองไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ๒.๑ ควบคมุ ตนเองในการ (1) มอบหมายงานให้ทารว่ มกับเพ่ือน ทากิจกรรมรว่ มกับเพ่อื นได้ (2) เลน่ กับเพื่อนแบบมีกติกา อยา่ งเหมาะสม (3) ปฏบิ ตั ิตนตามกฎกติกาของชั้นเรยี น (4) ฝกึ ระเบียบวินยั (5) รบั ผดิ ชอบงานที่ได้รับมอบหมาย (6) เลน่ บทบาทสมมุติ (7) ปรับตัวใหเ้ ขา้ กบั ผู้อน่ื และส่ิงแวดล้อม ๓. สามารถปรบั ตวั ในการอยู่ รว่ มกับสังคม (1) รับผิดชอบงานที่ได้รบั มอบหมาย
๗๐ สภาพทีพ่ งึ ประสงค์ ประสบการณส์ าคญั ๓.๑ การปฏิบตั ติ ามกฎกติกา (2) ปฏบิ ตั ติ ามข้อตกลงของห้องเรียนและโรงเรียน และมารยาททางสังคมไดอ้ ยา่ ง (3) ปฏบิ ตั ติ ามกติกาการเล่น เหมาะสม (4) ปฏิบตั ติ นในสถานทตี่ ่าง ๆ อย่างเหมาะสม (5) ปฏิบตั ิตนตามมารยาททางสงั คม ๑.๕.๘ ประสบการณส์ าคัญที่ส่งเสริมการพัฒนาทกั ษะจาเปน็ เฉพาะบคุ คลออทสิ ติก สภาพท่พี งึ ประสงค์ ประสบการณส์ าคัญ ๑. ตอบสนองต่อสิ่งเรา้ จาก (1) เล่นเคร่อื งเล่นที่ทาใหเ้ กิดการเปล่ยี นแปลงตาแหนง่ ของ ประสาทสมั ผัสได้ ศรี ษะ การปีนปา่ ย หอ้ ย โหน เหมาะสม (2) เล่นเคร่อื งเลน่ ที่มีการเคล่อื นไหวไปในระนาบท่ี ๑.๑ ตอบสนองต่อการ แตกตา่ งกนั ทรงตวั ได้เหมาะสม (3) นั่งเครอื่ งเลน่ หรืออปุ กรณ์ท่ีมีการเคลื่อนไหว ๑.๒ ตอบสนองต่อการ (4) ยนื ทรงตวั บนอปุ กรณห์ รอื ในรูปแบบตา่ งๆ เคล่ือนไหวกล้ามเนื้อเอ็นและ (5) เดนิ ทรงตวั ขอ้ ต่อไดเ้ หมาะสม (6) หมุนศีรษะและการเคลือ่ นไหวไปในระนาบที่แตกต่างกัน (7) เคลือ่ นไหวแบบราบเรียบและทิศทางต่างๆ ๑.๓ ตอบสนองต่อกาย (1) กระโดดในรปู แบบต่างๆ สัมผสั ได้เหมาะสม (2) เลน่ เคร่ืองเลน่ ท่ีมีการโหนหรือปีนป่าย (3) หว้ิ ลาก ผลัก ดงึ ยก ส่ิงของหรือวตั ถุท่มี ีนา้ หนัก (4) ออกกาลังกายในท่าต่างๆ (5) คลานบนสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกนั (6) ทาทา่ ประกอบเพลงทีม่ ีจังหวะชา้ หรือเรว็ (7) เค้ยี วอาหารหรอื วตั ถทุ ่ีมีความเหนยี ว (8) ลงนา้ หนักทีข่ ้อต่อ (1) เพมิ่ แรงกดลงบรเิ วณผวิ หนงั รา่ งกาย (2) กอดรัดหรือใสอ่ ปุ กรณ์ที่มกี ารลงนา้ หนักบนร่างกาย ของเด็ก (3) ทากจิ กรรมศิลปะทีใ่ ชว้ ัสดทุ ีม่ ีพน้ื ผิวหรือลกั ษณะที่ แตกต่างกนั (4) เล่นอสิ ระบนพื้นผิวหรือลกั ษณะท่ีแตกต่างกนั (5) นวดสมั ผัสแบบตา่ งๆ (6) สมั ผัสส่งิ ต่างๆทม่ี ีอณุ หภูมแิ ละลักษณะท่ีแตกตา่ งกัน
๗๑ สภาพท่ีพึงประสงค์ ประสบการณส์ าคัญ ๑.๔ ตอบสนองตอ่ การดม (1) ดมกลน่ิ สงิ่ ต่างๆ ในชีวติ ประจาวนั กล่ินไดเ้ หมาะสม (2) ไปทศั นศึกษา นอกสถานท่ีทม่ี ีกลนิ่ ตา่ งๆ (3) ปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมท่มี ีกลิ่นต่างๆ ๑.๕ ตอบสนองต่อเสยี งที่ ไดย้ ินไดเ้ หมาะสม (1) ฟงั เสยี งท่ีมีระดบั ความดังที่แตกต่างกัน (2) เล่นเคร่อื งดนตรี ๑.๖ ตอบสนองตอ่ การ (3) เคล่อื นไหวตามเสยี งเพลง เหน็ ได้เหมาะสม (4) ร้องเพลง (5) เล่นของเลน่ ที่มีเสียง (6) ทัศนศึกษานอกสถานที่ท่ีมีเสยี งต่างๆ (1) ลดแสงสวา่ งป้องกนั การหันเหความสนใจ (2) ทากจิ กรรมทอี่ ยู่ในสภาพแวดลอ้ มที่มีแสงสวา่ ง หรอื แสง สีแตกตา่ งกัน (3) เล่นของเลน่ ทต่ี ้องใชส้ ายตา (4) เลน่ ของเล่นที่มีแสงและสีสันสดใส (5) ทากิจกรรมทใี่ ชว้ สั ดทุ ่ีมแี สงสว่าง หรือแสงสี กระตนุ้ ความสนใจ ๑.๗ ตอบสนองต่อการลม้ิ (1) ชิมอาหารท่ีมรี สชาติต่างๆ รสได้เหมาะสม (2) ชมิ อาหารท่ีมีอณุ หภูมิต่างๆ (3) ชิมอาหารที่มีลักษณะต่างๆ (4) ประกอบอาหารงา่ ยๆ ๒. เข้าใจภาษาและแสดงออก (1) ปฏบิ ตั ติ ามคาสงั่ งา่ ยๆ ทางภาษาได้อยา่ งเหมาะสม (2) ปฏิบัตติ นตามตารางกจิ กรรม ๒.1 ปฏิบัตติ ามคาสงั่ ได้ ๒.๒ สอ่ื สารโดยการใช้ (1) บอกความต้องการโดยใชท้ า่ ทาง ช้รี ูปภาพหรือพูด ทา่ ทาง รูปภาพ สัญลักษณ์ (2) ตอบคาถามโดยใชท้ ่าทาง ชร้ี ูปภาพหรอื พูด คาพดู ในชีวิตประจาวนั (3) พดู โดยใช้ส่ือ (4) ใชว้ ธิ ีการสือ่ สารทางเลอื ก (5) เล่นบทบาทสมมุตเิ ก่ียวกับการสอ่ื สาร (6) ทัศนศึกษาแหลง่ เรยี นรู้ (7) ร่วมกิจกรรมกบั ผู้อ่นื
๗๒ สภาพที่พงึ ประสงค์ ประสบการณ์สาคัญ ๓. แสดงพฤตกิ รรมท่ี (1) ใช้ส่ือที่สง่ เสริมการเรียนรู้ผ่านการเหน็ เกยี่ วกับอารมณ์ เหมาะสมตามสถานการณ์ (2) บอกหรือเลือกภาพอารมณ์จากการดูภาพสถานการณ์ตา่ งๆ ๓.๑ รับรแู้ ละแสดง (3) ฟังนิทาน อารมณ์ของตนเองและบุคคล (4) ดวู ีดีทศั น์นทิ านส้ันๆ อน่ื อย่างเหมาะสม (5) เคลอ่ื นไหวตามเสียงเพลง ดนตรี (6) แสดงสหี น้า ท่าทางเกีย่ วกับอารมณห์ นา้ กระจก ๓.๒ ปฏบิ ัติตามขอ้ ตกลง (7) เล่นหรือทากิจกรรมรว่ มกบั เพ่ือน ของห้องเรียนและโรงเรยี น (8) รว่ มกจิ กรรมกับผูอ้ นื่ ในชมุ ชน (1) รว่ มกาหนดข้อตกลง กติกาและเงอื่ นไขของหอ้ งเรยี นและ ๓.๓ ปฏิบตั ติ นเหมาะสม ตามสถานการณต์ ่างๆ โรงเรยี น (2) ปฏิบตั ิตนเปน็ สมาชิกท่ีดีของหอ้ งเรยี นและโรงเรยี น 4. สามารถใช้เทคโนโลยสี ิง่ (3) ใหค้ วามรว่ มมือในการปฏบิ ัตกิ ิจกรรมต่างๆในห้องเรียน อานวยความสะดวก เครื่องชว่ ยในการเรยี นรู้ และโรงเรียน (1) ปฏิบตั ติ นตามมารยาทของสงั คม (2) แสดงบทบาทสมมุติ (3) ใช้สือ่ ที่ส่งเสรมิ การเรียนรู้ผา่ นการเห็นชบี้ อกพฤติกรรมท่ี เหมาะสม (4) รว่ มกจิ กรรมวนั สาคญั ต่างๆ (5) ศึกษานอกสถานที่ (6) ทากจิ กรรมรว่ มกบั ผู้อื่น (7) ไปในสถานทตี่ ่างๆ (8) ทากิจกรรมตามมุมตา่ งๆ 4.๑ ใชอ้ ปุ กรณช์ ่วยในการ สื่อสารทางเลอื ก (1) ใชอ้ ุปกรณ์ช่วยในการสื่อสารทางเลือก 4.๒ ใชอ้ ปุ กรณ์ชว่ ยในการ (1) ใชอ้ ปุ กรณ์ชว่ ยในการเข้าถึงคอมพวิ เตอร์ เข้าถงึ คอมพิวเตอร์เพ่ือการ เรียนรู้
๗๓ สภาพทพ่ี งึ ประสงค์ ประสบการณส์ าคญั 4.๓ ใชโ้ ปรแกรมเสรมิ ผ่าน (1) ใชโ้ ปรแกรมเสรมิ ผา่ นคอมพิวเตอร์เพ่ือชว่ ยในการเรียนรู้ คอมพิวเตอรเ์ พ่ือช่วยในการ เรยี นรู้ ๒. สาระทค่ี วรเรียนรู้ สาระที่ควรเรียนรู้ เป็นเรื่องราวรอบตัวเด็กท่ีนามาเป็นสื่อกลางในการจัดกิจกรรม ให้เด็กเกิดแนวคิดหลังจากนาสาระท่ีควรรู้น้ันๆ มาจัดประสบการณ์ให้เด็ก เพื่อให้บรรลุจุดหมาย ท่ีกาหนดไว้ ท้ังนี้ ไม่เน้นการท่องจาเนื้อหา ผู้สอนสามารถกาหนดรายละเอียดขึ้นเองให้สอดคล้องกับ วัย ความต้องการ และความสนใจของเด็ก โดยให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์สาคัญ ท้ังน้ี อาจยดื หยนุ่ เนือ้ หาได้ โดยคานงึ ถึงประสบการณแ์ ละสิง่ แวดลอ้ มในชีวติ จรงิ ของเด็ก ดงั นี้ ๒.๑ เร่ืองราวท่ีเกี่ยวกับตัวเด็ก เด็กควรเรียนรู้ช่ือ นามสกุล รูปร่างหน้าตา อวัยวะ ต่างๆ วธิ ีระวังรกั ษารา่ งกายให้สะอาดและมีสุขภาพอนามยั ทีด่ ี การรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ การระมัดระวังความปลอดภัยของตนเองจากผู้อื่นและภัยใกล้ตัว รวมทั้งการปฏิบัติต่อผู้อ่ืนอย่าง ปลอดภัย การรู้จักประวัติความเป็นมาของตนเองและครอบครัว การปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของ ครอบครัวและโรงเรยี น การเคารพสิทธิของตนเองและผอู้ ่ืน การรู้จักแสดงความคดิ เห็นของตนเองและ รับฟังความคิดเห็นของผู้อ่ืน การกากับตนเอง การเล่นและทาส่ิงต่างๆ ด้วยตนเองตามลาพังหรือกับ ผู้อ่ืน การตระหนักรู้เกี่ยวกับตนเอง ความภาคภูมิใจในตนเอง การสะท้อนการรับรู้อารมณ์และ ความรู้สึกของตนเองและผู้อ่ืน การแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกอย่างเหมาะสม การแสดง มารยาททดี่ ี การมีคุณธรรมจริยธรรม ๒.๒ เร่ืองราวเก่ียวกับบุคคลและสถานท่ีแวดล้อมเด็ก เด็กควรเรียนรู้เก่ียวกับ ครอบครัวสถานศึกษา ชุมชน และบุคคลต่างๆ ท่ีเด็กต้องเก่ียวข้องหรือใกล้ชิดและมีปฏิสัมพันธ์ ในชีวิตประจาวัน สถานท่ีสาคัญ วันสาคัญ อาชีพของคนในชุมชน ศาสนา แหล่งวัฒนธรรมในชุมชน สัญลักษณ์สาคัญของชาติไทยและการปฏิบัติตามวัฒนธรรมท้องถ่ินและความเป็นไทย หรือแหล่ง เรียนร้จู ากภมู ปิ ัญญาทอ้ งถิ่นอนื่ ๆ ๒.๓ ธรรมชาติรอบตัว เด็กควรเรียนรู้เก่ียวกับช่ือ ลักษณะ ส่วนประกอบ การเปลี่ยนแปลงและความสัมพันธ์ของมนุษย์ สัตว์ พืช ตลอดจนการรู้จักเกี่ยวกับดิน น้า ท้องฟ้า สภาพอากาศ ภัยธรรมชาติ แรงและพลังงานในชีวิตประจาวันที่แวดล้อมเด็ก รวมท้ังการอนุรักษ์ สง่ิ แวดลอ้ มและการรกั ษาสาธารณสมบัติ ๒.๔ สิ่งต่างๆ รอบตัวเด็ก เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมาย ในชีวิตประจาวัน ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการใช้หนังสือและตัวหนังสือ รู้จักชื่อ ลักษณะ สี ผิวสัมผัส ขนาด รูปร่าง รูปทรง ปริมาตร น้าหนัก จานวน ส่วนประกอบ การเปล่ียนแปลงและความสัมพันธ์
๗๔ ของสิ่งต่างๆ รอบตัว เวลา เงิน ประโยชน์ การใช้งาน และการเลือกใช้สิ่งของเครื่องใช้ ยานพาหนะ การคมนาคม เทคโนโลยีและการสื่อสารต่างๆ ท่ีใช้อยู่ในชีวิตประจาวันอย่างประหยัด ปลอดภัยและ รกั ษาสงิ่ แวดล้อม การจดั ประสบการณ์ การจดั ประสบการณ์สาหรับเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพเิ ศษ แรกเกิดถึง ๖ ปี เป็นการจัด กิจกรรมในลักษณะการบูรณาการผ่านการเล่น การลงมือกระทาจากประสบการณ์ตรงอย่าง หลากหลายโดยคานึงถึงความแตกต่างของแต่ละบุคคล ให้เกิดความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม รวมทั้งเกิดการพัฒนาทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ไม่จัดเป็นรายวิชา โดยมี หลกั การ และแนวทางการจัดประสบการณ์ ดังนี้ ๑. หลักการจัดประสบการณ์ ๑.๑ จัดประสบการณ์การเล่นและการเรียนรู้อย่างหลากหลาย เพ่ือพัฒนาเด็กโดย องค์รวม อยา่ งสมดุลและตอ่ เนอ่ื ง ๑.๒ เน้นเดก็ เปน็ สาคัญ สนองความตอ้ งการ ความสนใจ ความแตกต่างระหว่างบุคคล และบรบิ ทของสังคมที่เด็กอาศยั อยู่ ๑.๓ จัดให้เด็กได้รับการพัฒนา โดยให้ความสาคัญกับกระบวนการเรียนรู้และ พฒั นาการของเด็ก ๑.๔ จัดการประเมินพัฒนาการให้เป็นกระบวนการอย่างต่อเน่ือง และเป็นส่วนหน่ึง ของการจดั ประสบการณ์ พรอ้ มทัง้ นาผลการประเมินมาพฒั นาเด็กอยา่ งต่อเนื่อง ๑.๕ ให้พ่อแม่ ครอบครวั ชุมชน และทกุ ฝา่ ยท่ีเกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการพฒั นาเด็ก ๒. แนวทางการจัดประสบการณ์ ๒.๑ จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับจิตวิทยาพัฒนาการและการทางานของสมอง ท่ีเหมาะกบั อายุ วฒุ ภิ าวะและระดับพฒั นาการ เพอ่ื ให้เดก็ ทุกคนไดพ้ ฒั นาเต็มตามศักยภาพ ๒.๒ จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับแบบการเรียนรู้ของเด็กพิการแต่ละประเภท เด็กได้ลงมือกระทา เรียนรู้ผ่านระบบประสาทสัมผัสได้เคลื่อนไหว สารวจ เล่น สังเกต สืบค้น ทดลอง และคดิ แกป้ ัญหาด้วยตนเอง โดยมแี นวการจัดการเรยี นรู้ของเด็กพกิ ารแต่ละประเภท ดังนี้ 2.2.1 เด็กทม่ี คี วามบกพรอ่ งทางการเห็น ควรจดั การเรียนรู้ทเ่ี น้นการใช้ประสาท สัมผสั ทีเ่ หลอื อยูใ่ นการทากจิ กรรม 2.2.2 เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ควรจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นการสื่อสาร โดยการใช้ภาษามอื ภาษาทา่ ทาง การอา่ นริมฝปี าก การฝกึ พูด 2.2.3 เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปญั ญา ควรจัดการเรียนรูท้ ี่เนน้ การสอนซ้าๆ สอนจากง่ายไปยาก เปน็ ข้ันตอน และการวิเคราะหง์ าน 2.2.4 เด็กท่ีมีความบกพร่องทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหวหรือสุขภาพ ควร จดั การเรยี นรทู้ ี่เนน้ การใชเ้ ทคโนโลยีสิ่งอานวยความสะดวก 2.2.5 เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ควรจัดการเรียนรู้ที่เน้นการจา จากการเห็นและไดย้ นิ การเรยี งลาดับ การจัดระเบียบตวั เอง
๗๕ 2.2.6 เด็กท่ีมีความบกพร่องทางการพูดและภาษา ควรจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นการ ออกเสียงใหช้ ดั เจน การสอื่ สารทผ่ี ู้อ่ืนเขา้ ใจได้ 2.2.7 เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมหรืออารมณ์ ควรจัดการเรียนรู้ที่เน้น การควบคมุ พฤติกรรมและอารมณ์ของตนเอง การแสดงออกทางพฤติกรรมได้อย่างเหมาะสม 2.2.8 เด็กออทิสติก ควรจัดการเรียนรู้ที่เน้นการส่ือสาร การอยู่ร่วมกันในสังคม การตอบสนองต่อประสาทสมั ผัสท้ัง 7 2.2.9 เด็กพิการซ้อน ควรจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นตามลักษณะความพิการแต่ละ ประเภท ๒.๓ จดั ประสบการณ์แบบบูรณาการ โดยบูรณาการท้ังกจิ กรรม ทกั ษะ และสาระการ เรียนรู้ ๒.๔ จัดประสบการณ์ให้เด็กได้ริเริ่มคิด วางแผน ตัดสินใจลงมือกระทาและนาเสนอ ความคดิ โดยผ้สู อนหรือผู้จดั ประสบการณเ์ ป็นผูส้ นบั สนุนอานวยความสะดวก และเรยี นรรู้ ่วมกับเด็ก ๒.๕ จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กอ่ืนกบั ผู้ใหญ่ ภายใต้สภาพแวดล้อมท่ี เอื้อต่อการเรียนรู้ในบรรยากาศที่อบอุ่นมีความสุข และเรียนรู้การทากิจกรรมแบบร่วมมือในลักษณะ ตา่ งๆ กัน ๒.๖ จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับส่ือ เทคโนโลยี ส่ิงอานวยความสะดวก และแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลายและอยู่ในวิถีชีวิตของเด็ก สอดคล้องกับบริบท สังคม และ วัฒนธรรมทีแ่ วดลอ้ มเด็ก ๒.๗ จัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมลักษณะนิสัยท่ีดีและทักษะการใช้ชีวิตประจาวัน ตาม แนวทางหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตลอดจนสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรม และการมีวินัยให้ เป็นสว่ นหนง่ึ ของการจดั ประสบการณ์การเรียนรอู้ ย่างต่อเนื่อง ๒.๘ จัดประสบการณ์ท้ังในลักษณะที่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้าและแผนท่ีเกิดขึ้นใน สภาพจริง โดยไม่ไดค้ าดการณไ์ ว้ ๒.๙ จัดทาสารนิทัศน์ด้วยการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการและการเรียนรู้ของ เด็กเปน็ รายบคุ คล นามาไตรต่ รองและใช้ใหเ้ ปน็ ประโยชน์ตอ่ การพัฒนาเด็กและการวิจยั ในช้ันเรียน ๒.๑๐ จัดประสบการณ์โดยให้พ่อแม่ ครอบครัว และชุมชนมีส่วนร่วมท้ังการวาง แผนการสนับสนุนสอ่ื แหล่งเรียนรู้ การเขา้ ร่วมกิจกรรม และการประเมนิ พัฒนาการ ๓. การจัดกิจกรรมประจาวัน กิจกรรมสาหรับเด็กอายุแรกเกิดถึง ๖ ปี สามารถนามาจัดเป็นกิจกรรมประจาวันได้หลาย รปู แบบ เป็นการช่วยให้ผ้สู อนหรือผจู้ ัดประสบการณ์ทราบวา่ แต่ละวนั จะทากิจกรรมอะไร เมอื่ ใด และ อย่างไร ท้ังน้ี การจัดกิจกรรมประจาวันสามารถจัดได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ในการนาไปใช้ของแต่ละหน่วยงานและสภาพชุมชน ที่สาคัญผู้สอนต้องคานึงถึงการจัดกิจกรรม ให้ครอบคลุมพัฒนาการทุกด้าน การจัดกิจกรรมประจาวันมีหลักการจัดและขอบข่ายของกิจกรรม ประจาวัน ดงั น้ี
๗๖ ๓.๑ หลักการจดั กิจกรรมประจาวนั 3.1.๑ กาหนดระยะเวลาในการจัดกิจกรรมแต่ละกิจกรรมให้เหมาะสมกับวัย ของเดก็ ในแตล่ ะวนั แตย่ ืดหยุน่ ไดต้ ามความต้องการและความสนใจของเดก็ เช่น วัย ๓-๔ ปี มคี วามสนใจประมาณ ๘-๑๒ นาที วยั ๔-๕ ปี มีความสนใจประมาณ ๑๒-๑๕ นาที วยั ๕-๖ ปี มคี วามสนใจประมาณ ๑๕-๒๐ นาที 3.1.๒ กิจกรรมท่ีต้องใช้ความคิดทั้งในกลุ่มเล็กและกลุ่มใหญ่ ไม่ควรใช้เวลา ตอ่ เนอื่ งนานเกนิ กว่า ๒๐ นาที 3.1.๓ กิจกรรมที่เดก็ มีอิสระเลือกเล่นเสรี เพื่อช่วยให้เด็กรู้จักเลอื ก ตัดสินใจคิด แก้ปญั หา คดิ สรา้ งสรรค์ เช่น การเลน่ ตามมมุ การเลน่ กลางแจ้ง ฯลฯ ใช้เวลาประมาณ ๔๐-๖๐ นาที 3.1.๔ กิจกรรมควรมีความสมดุลระหว่างกจิ กรรมในหอ้ งและนอกหอ้ ง กจิ กรรม ทใ่ี ช้กล้ามเน้ือใหญ่และกล้ามเน้ือเล็ก กิจกรรมที่เป็นรายบุคคล กลุ่มย่อยและกลุ่มใหญ่ กิจกรรมที่เด็ก เป็นผู้ริเร่ิมและผู้สอน หรือผู้จัดประสบการณ์เป็นผู้ริเริ่ม และกิจกรรมท่ีใช้กาลังและไม่ใช้กาลัง จัดให้ ครบทุกประเภท ทั้งนี้ กิจกรรมที่ต้องออกกาลังกายควรจัดสลับกับกจิ กรรมที่ไม่ต้องออกกาลังมากนัก เพ่อื เด็กจะไดไ้ มเ่ หน่อื ยเกินไป ๓.๒ ขอบขา่ ยของกิจกรรมประจาวัน การเลือกกิจกรรมทีจ่ ะนามาจัดในแต่ละวันสามารถจดั ได้หลายรูปแบบ ทั้งนี้ ขนึ้ อยู่กับ ความเหมาะสมในการนาไปใชข้ องแต่ละหนว่ ยงานและสภาพชุมชน ทส่ี าคัญผสู้ อนต้องคานึงถึงการจัด กิจกรรมให้ครอบคลุมพฒั นาการทกุ ด้าน ดงั ตอ่ ไปน้ี ๓.๒.๑ การพัฒนากล้ามเน้ือใหญ่ เป็นการพัฒนาความแข็งแรง การทรงตัว การยืดหยุ่น ความคล่องแคล่วในการใช้อวัยวะต่างๆ และจังหวะการเคลื่อนไหวในการใช้กล้ามเนื้อ ใหญ่ โดยจัดกิจกรรมให้เด็กได้เล่นอิสระกลางแจ้ง เล่นเครื่องเล่นสนาม ปีนป่ายเล่นอิสระ เคล่ือนไหว ร่างกายตามจงั หวะดนตรี ๓.๒.๒ การพัฒนากล้ามเนื้อเล็ก เป็นการพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเน้ือเล็ก กล้ามเนื้อมือ-น้ิวมือ การประสานสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเน้ือมือและระบบประสาทตามือได้อย่าง คล่องแคล่วและประสานสัมพันธ์กัน โดยจัดกิจกรรมให้เด็กได้เล่นเครื่องเล่นสัมผัส เล่นเกมการศึกษา ฝึกช่วยเหลือตนเองในการแต่งกาย หยิบจับช้อนส้อม และใช้วัสดุอุปกรณ์ศิลปะ เช่น สีเทียน กรรไกร พกู่ นั ดนิ เหนียว ฯลฯ ๓.๒.๓ การพัฒนาอารมณ์ จิตใจ และปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม เป็นการ ปลูกฝังให้เด็กมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อ่ืน มีความเช่ือมั่น กล้าแสดงออก มีวินัย รับผิดชอบ ซ่ือสัตย์ ประหยัด เมตตา กรุณา เอ้ือเฟื้อ แบ่งปัน มีมารยาทและปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมไทยและ ศาสนาท่นี ับถือโดยจัดกจิ กรรมตา่ งๆ ผ่านการเล่นใหเ้ ด็กได้มีโอกาสตดั สินใจเลือก ได้รบั การตอบสนอง ความตอ้ งการ ได้ฝึกปฏิบตั โิ ดยสอดแทรกคณุ ธรรม จริยธรรม อย่างต่อเนอ่ื ง ๓.๒.๔ การพฒั นาสังคมนิสัย เปน็ การพัฒนาให้เด็กมีลักษณะนิสัยทีด่ ี แสดงออก อย่างเหมาะสมและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ช่วยเหลือตนเองในการทากิจวัตรประจาวัน มี นิสัยรักการทางาน ระมัดระวังความปลอดภัยของตนเองและผู้อ่ืน โดยรวมทั้งระมัดระวังอันตราย จากคนแปลกหน้า ให้เด็กได้ปฏิบัติกิจวัตรประจาวันอย่างสม่าเสมอ รับประทานอาหาร พักผ่อนนอน
๗๗ หลับ ขับถ่าย ทาความสะอาดร่างกาย เล่นและทางานร่วมกับผู้อ่ืน ปฏิบัติตามกฎกติกาข้อตกลง ของส่วนรวม เกบ็ ของเข้าท่ีเมื่อเล่นหรอื ทางานเสรจ็ ๓.๒.๕ การพัฒนาการคิด เป็นการพัฒนาให้เด็กมีความสามารถในการคิด แก้ปัญหาความคิดรวบยอด และคิดเชิงเหตุผลทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ โดยจัดกิจกรรมให้ เด็กได้สนทนาอภปิ รายแลกเปล่ียนความคิดเหน็ เชิญวิทยากรมาพูดคยุ กับเด็ก ศึกษานอกสถานท่ี เล่น เกมการศึกษา ฝึกการแก้ปัญหาในชีวิตประจาวัน ฝึกออกแบบและสร้างขึ้นงาน และทากิจกรรม ท้ังเปน็ กลุม่ ย่อย กลมุ่ ใหญ่ และรายบคุ คล ๓.๒.๖ การพัฒนาภาษา เป็นการพัฒนาให้เด็กใช้ภาษาส่ือสารถ่ายทอด ความรู้สึกนึกคิด ความรู้ความเข้าใจในส่ิงต่างๆ ที่เด็กมีประสบการณ์โดยสามารถตั้งคาถามในส่ิง ที่สงสัยใคร่รู้ จัดกิจกรรมทางภาษาให้มีความหลากหลายในสภาพแวดล้อมท่ีเอื้อต่อการเรียนรู้ มุ่งปลูกฝังให้เด็กได้กล้าแสดงออกในการฟัง พูด อ่าน เขียน มีนิสัยรักการอ่าน และบุคคลแวดล้อม ต้องเป็นแบบอย่างท่ีดีในการใช้ภาษา ท้ังนี้ต้องคานึงถึงหลักการจัดกิจกรรมทางภาษาที่เหมาะสมกับ เด็กเปน็ สาคัญ ๓.๒.๗ การส่งเสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ เป็นการส่งเสริมให้เด็กมี ความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ ได้ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกและเห็นความสวยงามของส่ิงต่างๆ โดยจัด กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ดนตรี การเคล่ือนไหวและจังหวะตามจินตนาการ ประดิษฐ์ สิ่งต่างๆ อยา่ งอสิ ระ เล่นบทบาทสมมติ เล่นนา้ เล่นทราย เล่นบล็อก และเล่นก่อสร้าง เทคโนโลยีสง่ิ อ้านวยความสะดวก ส่ือ และแหลง่ เรยี นรู้ การจัดการศึกษาสาหรับเด็กพิการ ต้องใช้เทคโนโลยีส่ิงอานวยความสะดวก ส่ือ และแหล่ง เรียนรู้ ที่สอดคล้องกับความต้องการจาเป็นพิเศษ ของแต่ละบุคคล รวมท้ังการใช้แหล่งเรียนรู้ต่างๆ ที่ มใี นท้องถิ่น มาใช้ประกอบในการจัดการเรียนรู้ ที่สามารถส่งเสริมและสื่อสารให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยศนู ยก์ ารศกึ ษาพเิ ศษ ควรจัดให้มอี ยา่ งเพียงพอ เพื่อพัฒนาใหเ้ ดก็ พกิ ารเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง เทคโนโลยีส่ิงอานวยความสะดวก สื่อ และแหล่งเรียนรู้น้ัน ผู้สอนสามารถจัดทาและ พัฒนาข้ึนเอง หรือพิจารณาเลือกใช้จากคู่มือรายการสิ่งอานวยความสะดวก ส่ือ บริการ และ ความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษามาใช้ประกอบในการจัดการเรียนรู้ สามารถส่งเสริมและส่ือสาร ให้เด็กพิการเกิดการเรียนรู้ โดยศูนย์การศึกษาพเิ ศษควรจัดให้มีอย่างเพียงพอ เพื่อพัฒนาให้เด็กพิการ เกดิ การเรยี นร้อู ยา่ งแท้จริงควรดาเนนิ การดงั นี้ ๑. จัดให้มีแหล่งเรียนรู้ ศูนย์ส่ือ นวัตกรรม และเครือข่ายการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ในสถานศึกษาและชุมชน เพื่อการศึกษา ค้นคว้า และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้ ระหว่างสถานศกึ ษา ท้องถิ่น ชุมชน ๒. จัดทา จัดหาเทคโนโลยีสิ่งอานวยความสะดวก ส่ือการเรียนรู้สาหรับเด็กพิการ สง่ เสริมให้ผู้สอนจดั ทา จัดหาสื่อทหี่ ลากหลาย รวมท้งั ประยกุ ต์ใช้สิ่งทม่ี ีอยู่ในทอ้ งถน่ิ เป็นส่อื การเรยี นรู้ ๓. เลือกใช้เทคโนโลยีสิ่งอานวยความสะดวก สื่อการเรียนรู้ท่ีมีคุณภาพ เหมาะสม และ หลากหลาย สอดคลอ้ งกับวธิ ีการเรยี นรแู้ ละความแตกต่างของแต่ละบุคคล ๔. ประเมินความเหมาะสมคณุ ภาพของเทคโนโลยีสิ่งอานวยความสะดวก ส่ือ ท่ีเลอื กใช้ ในการจดั การเรียนรู้
๗๘ ๕. ศึกษาค้นคว้า วิจัย เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีส่ิงอานวยความสะดวก ส่ือการเรียนรู้ ให้สอดคลอ้ งกบั การพัฒนาเดก็ พิการ ๖. จัดให้มีการกากับ ติดตาม ประเมินคุณภาพ การใชเ้ ทคโนโลยีสิ่งอานวยความสะดวก สอ่ื และแหลง่ เรยี นรอู้ ย่างสมา่ เสมอ ในการจัดทา การเลือกใช้ และการประเมินคุณภาพเทคโนโลยีสิ่งอานวยความสะดวก สื่อ และแหล่งเรยี นรทู้ ี่ใช้ในศนู ย์การศกึ ษาพเิ ศษ ควรคานงึ ถึงหลักการสาคัญ เช่น ความสอดคล้องกับ หลกั สูตร จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ การออกแบบกิจกรรมการเรยี นรู้ การจัดประสบการณ์ เป็นตน้ การประเมนิ พฒั นาการ การประเมินพัฒนาการเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ อายุแรกเกิดถึง ๖ ปี เป็นการ ประเมินพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาของเด็ก โดยใช้แบบประเมิน ที่หลากหลาย โดยนักสหวิชาชีพ รวมท้ังผู้ปกครองเป็นผู้ให้ข้อมูลและร่วมประเมิน ทั้งนี้ โดยใช้กรอบ มาตรฐาน ตัวบ่งชี้ และสภาพที่พึงประสงค์ รวมทั้งเทคโนโลยีส่ิงอานวยความสะดวก ตาม ความตอ้ งการจาเปน็ กอ่ นการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้เพอ่ื นามาใช้ในการวางแผนการจดั การศึกษา เฉพาะบุคคล ระหว่างการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เพ่ือพัฒนาและทบทวนแผนให้สอดคล้องกับ ความต้องการจาเป็นของแต่ละบุคคล และเมื่อสิ้นสุดการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ เพื่อประเมิน ความสามารถตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ท่ีกาหนดไว้ในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ทั้งนี้ นกั สหวิชาชีพและผู้ปกครองต้องร่วมกันประเมนิ คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ ตามมาตรฐานและตัวบ่งชี้ ท่กี าหนดไวใ้ นหลกั สตู รตามช่วงอายุ 1. แนวทางการประเมินพฒั นาการ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสาหรับเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ กาหนดเป้าหมาย คณุ ภาพของเด็กโดยยดึ พัฒนาการเด็กปฐมวยั ดา้ นรา่ งกาย อารมณ์ จติ ใจ สงั คม และสติปัญญา ดงั นี้ 1.1 การประเมินพัฒนาการด้านร่างกาย ประกอบด้วย การประเมินน้าหนักส่วนสูง และเสน้ รอบศรี ษะตามเกณฑ์ สุขภาพอนามยั สขุ นสิ ัยที่ดี การรจู้ กั ความปลอดภัย การเคล่ือนไหว และ การทรงตวั การเลน่ และการออกกาลังกาย และการใชก้ ลา้ มเน้ือเล็กอยา่ งประสานสมั พนั ธ์กนั 1.2 การประเมินพัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจ ประกอบด้วย การประเมิน ความสามารถในการแสดงออกทางอารมณ์อย่างเหมาะสมกับวัยและสถานการณ์ ความรู้สึกท่ีดีต่อ ตนเองและผู้อ่ืน มีความเห็นอกเห็นใจ ความสนใจ ความสามารถ และมีความสุขในการทางานศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว ความรับผิดชอบในการทางาน ความซื่อสัตย์สุจริตและรู้ สึกถูกผิด ความเมตตากรณุ า มีนา้ ใจและชว่ ยเหลอื แบ่งปนั ตลอดจนการประหยัด อดออมและพอเพยี ง 1.3 การประเมินพัฒนาการด้านสังคม ประกอบด้วย การประเมินความมีวินัย ในตนเอง การช่วยเหลือตนเองในการปฏิบัติกิจวัตรประจาวัน การระวังภัยจากคนแปลกหน้าและ สถานการณท์ ่ีเสี่ยงอันตราย การดแู ลรักษาธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล้อม การมีสมั มาคาราวะและมารยาท ตามวัฒนธรรมไทย รักความเป็นไทย การยอมรับความเหมือนความแตกต่างระหว่างบุคคล การมี ปฏิสัมพันธ์ท่ีดีกับผู้อน่ื การปฏิบัติตนเบ้ืองต้นในการเป็นสมาชิกทด่ี ีของสังคมในระบอบประชาธิปไตย อนั มีพระมหากษตั ริยท์ รงเป็นประมขุ
๗๙ 1.4 การประเมนิ พัฒนาการด้านสติปญั ญา ประกอบด้วย การประเมนิ ความสามารถ ในการสนทนาโต้ตอบและเล่าเร่ืองใหผ้ ้อู ื่นเข้าใจ ความสามารถในการอา่ น เขียนภาพ และสญั ลกั ษณ์ ความสามารถในการคิดรวบยอด การคิดเชิงเหตุผล การคิดแก้ปญั หาและตดั สินใจ การทางานศลิ ปะ การแสดงท่าทาง/เคล่อื นไหวตามจินตนาการและความคิดสรา้ งสรรค์ การมเี จตคตทิ ีด่ ีต่อการเรียนรู้ และความสามารถในการแสวงหาความรู้ 1.5 พัฒนาทกั ษะจาเปน็ เฉพาะความพกิ ารแตล่ ะประเภท 1.5.1 การประเมินทักษะจาเปน็ เฉพาะความบกพร่องทางการเหน็ ประกอบดว้ ย ความสามารถในการบรู ณาการประสาทสัมผัสที่เหลืออยู่ในการดารงชีวิต ความสามารถในการสรา้ ง ความคนุ้ เคยกบั สภาพแวดล้อม และการเคลือ่ นไหวของคนตาบอด การเตรียมความพร้อมในการอา่ น และเขียน อกั ษรเบรลล์ ความสามารถในการอ่านและเขยี นอกั ษรเบรลลพ์ ยัญชนะไทยที่มีเซลล์เดียว และตัวเลข และความสามารถในการใช้ลูกคิด 1.5.2 การประเมินทกั ษะจาเป็นเฉพาะความบกพร่องทางการไดย้ นิ ประกอบด้วย ความสามารถใชแ้ ละดูแลเคร่ืองชว่ ยฟัง ความสามารถใช้การไดย้ นิ ทหี่ ลงเหลอื อยู่ในชวี ติ ประจาวัน ความสามารถเปล่งเสียงหรอื พดู ตามแบบ ความสามารถอ่านรมิ ฝปี าก ความสามารถใช้ภาษาท่าทาง และภาษามือในการส่ือสาร และความสามารถสะกดน้วิ มือ 1.5.3 การประเมินทักษะจาเป็นเฉพาะความบกพร่องทางสติปัญญา ประกอบด้วย ความสามารถสื่อสารได้เหมาะสมกับสถานการณ์ ความสามารถดูแลตนเองและความปลอดภัย ในชวี ิตประจาวัน การมีปฏสิ ัมพนั ธท์ างสังคมกับผอู้ ื่นอย่างเหมาะสม การรูจ้ กั ใช้ทรพั ยากรในชมุ ชน 1.5.4 การประเมินทักษะจาเป็นเฉพาะความบกพรอ่ งทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหว หรือสุขภาพ ประกอบด้วย การดูแลสขุ อนามัยเพ่ือปอ้ งกันภาวะแทรกซ้อน ความสามารถใช้และดูแล รักษาอุปกรณ์เคร่ืองช่วยในการเคลื่อนย้ายตนเอง ความสามารถใช้และดูแลรักษากายอุปกรณ์เสริม กายอุปกรณ์ อุปกรณ์ดัดแปลง ความสามารถใช้เทคโนโลยีส่ิงอานวยความสะดวก เคร่ืองช่วย ในการเรยี นรู้ และการควบคุมอวัยวะทีใ่ ชใ้ นการพูด การเคีย้ ว และการกลนื 1.5.5 การประเมินทักษะจาเป็นเฉพาะความบกพร่องทางการเรียนรู้ ประกอบด้วย ความสามารถในการรับรู้การได้ยิน ความสามารถในการรับรู้การเห็น ความสามารถในการจัดลาดับ ความคดิ ความสามารถในการจัดระเบียบตนเอง และความสามารถในการบอกตาแหนง่ /ทศิ ทาง 1.5.6 การประเมินทักษะจาเป็นเฉพาะความบกพร่องทางการพูดและภาษา ประกอบด้วย ความสามารถควบคุมอวัยวะในการออกเสียง สามารถออกเสียงตามหน่วยเสียงได้ ชัดเจน สามารถเปล่งเสียงให้เหมาะสมกับธรรมชาติของแต่ละคน และความสามารถควบคุมจังหวะ การพูด 1.5.7 การประเมินทักษะเป็นเฉพาะความบกพร่องทางพฤติกรรมหรืออารมณ์ ประกอบด้วย ความสามารถจัดการกับอารมณ์ของตนเอง ความสามารถควบคมุ พฤตกิ รรมของตนเองได้ อย่างเหมาะสม และความสามารถปรับตวั ในการอยรู่ ว่ มกบั สังคม 1.5.8 การประเมนิ ทกั ษะจาเป็นเฉพาะบคุ คลออทสิ ตกิ ประกอบด้วย การตอบสนองต่อ ส่ิงเร้าจากประสาทสัมผัสได้เหมาะสม ความสามารถในการเข้าใจภาษาและแสดงออกทางภาษาได้ อยา่ งเหมาะสม และการแสดงพฤติกรรมท่เี หมาะสมตามสถานการณ์
๘๐ 2. ข้ันตอนการประเมนิ การประเมินพัฒนาการเพื่อนาไปใช้ในการวางแผนการจัดการศึกษาตามหลักสูตรปฐมวัย สาหรับเด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ ควรมีการประเมินพัฒนาการโดยใช้แบบประเมิน ท่ีหลากหลาย โดยนักสหวิชาชีพ รวมท้ังผู้ปกครองเป็นผู้ให้ข้อมูลและร่วมประเมิน ท้ังน้ีโดยใช้กรอบ มาตรฐาน ตวั บ่งชี้ และสภาพท่พี ึงประสงค์ รวมทั้งเทคโนโลยสี งิ่ อานวยความสะดวกตามความตอ้ งการ จาเปน็ ทงั้ กอ่ น ระหว่างและสิ้นสดุ การจัดประสบการณก์ ารเรียนรู้ ดังตอ่ ไปนี้ 2.1 การประเมนิ พัฒนาการในแต่ละช่วงอายุ 2.๑.๑ ศึกษาและทาความเข้าใจพัฒนาการของเด็กในแต่ละช่วงอายุทุกด้าน ได้แก่ ด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ จิตใจ ด้านสังคม และด้านสติปัญญา พิจารณากิจกรรมในการอบรมเลี้ยงดู ลักษณะความพิการของเด็กแตล่ ะประเภท การจัดประสบการณ์ที่สะทอ้ นพัฒนาการของเด็ก 2.๑.๒ วางแผนเลอื กใช้วิธกี ารและเคร่ืองมอื ที่เหมาะสมสาหรับใชบ้ ันทกึ และประเมิน พัฒนาการ โดยใช้แบบประเมินความสามารถพื้นฐาน เด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษของ ศูนย์การศึกษาพิเศษ และแบบประเมินหรือแบบทดสอบมาตรฐานของนักสหวิชาชีพ แบบบันทึก พฤติกรรม เหมาะที่จะใชบ้ ันทกึ พฤติกรรมของเด็ก การบันทึกรายวนั เหมาะกับการบันทึกกจิ กรรมหรือ ประสบการณ์ที่เกิดข้ึนในแต่ละวัน การบันทึกการเลือกของเด็กเหมาะสาหรับบันทึกลักษณะเฉพาะ และปฏิกิริยาที่เด็กมีต่อส่ิงต่างๆ รอบตัว เป็นต้น ด้วยเหตุนี้จึงเป็นหน้าที่ของพ่อแม่หรือผู้ดูแลที่จะ เลอื กใช้เคร่อื งมอื ประเมินพัฒนาการให้เหมาะสม เพื่อจะไดผ้ ลของพฒั นาการที่ถูกต้องตามพฒั นาการ 2.๑.๓ ดาเนินการประเมินและบันทึกพัฒนาการหลังจากท่ีได้วางแผนและเลือก เครื่องมือที่จะใช้ประเมินและบันทึกพัฒนาการแล้ว ก่อนจะลงมือประเมินและบันทึกจะต้องอ่านคู่มือ หรือคาอธิบายวิธีการใช้เคร่ืองมือน้ันๆ อย่างละเอียด แล้วจึงดาเนินการตามขั้นตอนที่ปรากฏในคู่มือ และบันทึกเปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษรตอ่ ไป 2.๑.๔ ประเมินและสรุป ในการประเมินและสรุปนั้นพ่อแม่ ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล จะต้องเก็บรวบรวมข้อมูลของสิ่งที่ต้องการประเมิน เช่น การประเมินพัฒนาการด้วยวิธีการสังเกต เครื่องมือท่ีใช้คือ แบบสังเกต วิธีการสนทนา เคร่ืองมือที่ใช้คือแบบบันทึกการสนทนา อาจเป็น การบันทึกการสนทนาระหว่างเด็กกับเด็ก หรือเด็กกับครู พิจารณาผลงานโดยเปรียบเทียบกับ พฒั นาการ การประเมนิ ควรประเมินหลายๆครั้ง เพอื่ ใหไ้ ด้ขอ้ มูลว่าเด็กมพี ัฒนาการอย่างไร ทาอะไรได้ มากน้อยเพยี งใด และสรุปผล 2.๑.๕ รายงานผลการประเมิน เม่ือได้ผลจากการประเมินและสรุปพัฒนาการของ เด็กแล้ว พ่อแม่หรือ ผู้ดูแลจะต้องตัดสินใจว่าจะรายงานข้อมูลนี้ไปยังผู้ใดและเพื่อจุดประสงค์อะไร และจะต้องใช้รูปแบบใด สาหรับการอบรมเลี้ยงดูตามวิถีชีวิตประจาวันโดยพ่อแม่ ผู้ดูแล มีการประเมินพัฒนาการเพ่ือเฝ้าระวังและเป็นข้อมูลในการพบแพทย์ และอาจนาไปใช้ในการอบรม เล้ียงดูและจัดประสบการณ์เพื่อส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ สาหรับผู้ดูแลเด็กในศูนย์การศึกษาพิเศษ จะต้องรายงานต่อผู้บริหารศูนย์การศึกษาพิเศษ เพื่อให้ทราบว่ากิจกรรมหรือประสบการณ์ ที่ศูนย์การศึกษาพิเศษจัดให้เด็กนั้นส่งเสริมพัฒนาการของเด็กทุกด้านได้ตามจุดประสงค์หรือไม่ เพอื่ นาไปปรบั ปรงุ แกไ้ ขการจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับเดก็ ต่อไป
๘๑ 2.1.6 ครูผู้สอนจะต้องรายงานผลของการประเมินพัฒนาการ ตามแบบรายงานผล การพัฒนาผู้เรียนไปยังผู้ปกครองเด็ก และถ้าผู้ดูแลเด็กมีข้อเสนอแนะหรือจะขอความร่วมมือจาก ผู้ปกครองเก่ียวกับการส่งเสริมพัฒนาการเด็กก็อาจเขียนเพิ่มเติมลงไปในสมุดรายงานได้ และต้อง คานงึ เสมอไม่วา่ จะใชแ้ บบรายงานใดข้อมูลควรจะมคี วามหมาย เกดิ ประโยชน์แกเ่ ด็กเปน็ สาคัญ 2.๑.7 การมีส่วนร่วมของผปู้ กครองเป็นสิง่ สาคัญมาก ผู้ดูแลเดก็ ต้องตระหนักว่าการ ทางานร่วมกับผู้ปกครองเก่ียวกับการพัฒนาเด็กเป็นเร่ืองสาคัญ ผู้ดูแลเด็กควรยกย่องผู้ปกครองท่ี พยายามมีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็ก ผู้ดูแลเด็กจะต้องต้อนรับผู้ปกครองที่มาศูนย์การศึกษาพิเศษ ขอบคุณสาหรบั ความช่วยเหลือ เขียนสมุดส่ือสารถึงผู้ปกครองเพอื่ รายงานเรอ่ื งเด็ก พูดคยุ ด้วยตนเอง ทางโทรศัพท์หรือทางแอพพลิเคชั่นทางการส่ือสารอื่นๆ สิ่งเหล่าน้ีจะทาให้ผู้ปกครองรู้สึกถึง ความสาคัญของตนเองและต้องการท่ีจะมสี ว่ นรว่ มกับผดู้ ูแลเดก็ ในการพัฒนาเด็กของตน 2.2 การประเมนิ มาตรฐาน ตวั บ่งช้ี สภาพที่พงึ ประสงค์ ผูส้ อนตอ้ งวเิ คราะหม์ าตรฐาน ตัวบง่ ชี้ สภาพท่พี งึ ประสงค์ และกาหนดส่ิงท่ปี ระเมินจากการ จดั ประสบการณก์ ารเรียนรแู้ ละการปฏิบัติกจิ วัตรประจาวนั เพอื่ วางแผนการประเมนิ พัฒนาการ ดังนี้ 2.2.1 การวเิ คราะหม์ าตรฐาน ตัวบ่งชี้ สภาพท่ีพงึ ประสงค์ การนาหลักสูตรสถานศึกษาไปสู่การจัดประสบการณ์ ได้มีการวิเคราะห์สาระ การเรียนรู้รายปีท่ีสอดคล้องของมาตรฐาน ตัวบ่งช้ี สภาพท่ีพึงประสงค์ สาระการเรียนรู้ และ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อกาหนดหน่วยการเรียนรู้ โดยการนาสภาพท่ีพึงประสงค์ที่ได้จากการ วิเคราะห์มากาหนดเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้ของหน่วยการเรียนรู้น้ันๆ และกาหนดกิจกรรมหลัก 6 กจิ กรรม ได้แก่ กิจกรรมเคล่ือนไหวและจังหวะ กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ กิจกรรมการเล่นตามมุม กิจกรรมเสริมประสบการณ์ กิจกรรมการเลน่ กลางแจง้ เกมการศึกษา 2.2.2 การกาหนดประเด็นการประเมนิ เป็นการกาหนดพฒั นาการท่ีตอ้ งการประเมิน คอื สภาพท่ีพึงประสงค์ที่นามากาหนด เปน็ จุดประสงค์การเรยี นรขู้ องหน่วยการเรยี นร้ซู ึ่งครอบคลุมพัฒนาการทง้ั 4 ดา้ น และทักษะที่จาเป็น เฉพาะความพิการ ในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ และเช่ือมโยงไปยังจุดประสงค์ของแผนการจัด ประสบการณ์ในแต่ละวัน ดังนั้นประเด็นการประเมินจึงประกอบไปด้วยจุดประสงค์ของแผนการจัด ประสบการณ์ที่สอดคลอ้ งกบั จุดประสงค์การเรยี นรู้ของหน่วยการเรียนรู้นนั้ ๆ 3. วิธกี ารและเคร่อื งมือท่ใี ช้ในการประเมินพฒั นาการ เคร่ืองมือท่ีใช้ในการประเมินพัฒนาการเด็ก ครูผู้สอนต้องวางแผนและกาหนดวิธีการ ประเมนิ ให้เหมาะสมกับกจิ กรรม ใช้การสังเกตพฤติกรรม การประเมินผลงาน/ชิ้นงาน การพูดคุย หรือ สัมภาษณเ์ ด็ก วิธกี ารทค่ี รผู ู้สอนเลอื กใช้ตอ้ งมากกวา่ 2 วิธีการ หรอื ใช้วธิ กี ารท่ีหลากหลาย เชน่ 1) การสังเกตและการบันทกึ 2) การบนั ทกึ การสนทนา 3) การสัมภาษณ์ 4) สารนิทศั น์สาหรบั เด็กเพื่อการประเมนิ พฒั นาการ 5) การประเมินการเจรญิ เตบิ โต 6) การประเมินผลงานและชิน้ งาน 7) ฯลฯ
๘๒ 4. เกณฑ์การประเมนิ ในการวัดและประเมินผลมีวธิ ีการและเกณฑ์การประเมนิ ดงั น้ี ๑. วิธีการวัดและประเมินผล ใช้การสังเกตพฤติกรรม และประเมินผลการเรียนรู้ตาม จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมของพัฒนาการแต่ละด้านที่กาหนดในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล หรอื แผนให้บรกิ ารชว่ ยเหลือเฉพาะครอบครวั ๒. เกณฑ์ในการประเมินผล ซ่ึงจะนาไปสู่การสรุปผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ดาเนินการ ประเมินจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมท่ีกาหนดในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลหรือ แผนให้บริการ ช่วยเหลือเฉพาะครอบครัว คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยมีเกณฑ์ ดังต่อไปน้ี ๑) ด้านพัฒนาการ ตัดสินคุณภาพผู้เรียนเป็น ๕ ระดับ คือ ดีเย่ียม ดีมาก ดี พอใช้ และปรบั ปรุง ๒) ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ตัดสินเป็น ๕ ระดับ คือ ดีเยี่ยม ดีมาก ดี พอใช้ และปรับปรงุ ๓) ดา้ นกิจกรรมพฒั นาผู้เรียน ใหต้ ดั สนิ เป็นผ่านและไมผ่ า่ น 5. การดาเนนิ การเก็บรวบรวมข้อมลู เม่ือผู้สอนวางแผนการประเมินพัฒนาการแล้วควรทาการสังเกตพฤติกรรมของเด็ก เป็นรายบุคคล หรือรายกลุ่ม ด้วยวิธีการท่ีหลากหลาย เช่น การพูดคุย หรือสัมภาษณ์เด็ก หรือ การประเมินผลงาน/ช้ินงาน ของเด็กอย่างเป็นระบบ เพื่อรวบรวมข้อมูลพัฒนาการของเด็ก ให้ครอบคลุมเด็กทุกคนแลว้ สรปุ ลงในแบบบันทกึ ผลการประเมนิ สภาพที่พึงประสงค์ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลผลการประเมินพัฒนาการเด็กตามสภาพที่พึงประสงค์ ผู้สอนควร เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นรายบุคคล โดยสภาพท่ีพึงประสงค์ 1 ข้อ ควรได้รับการประเมินพัฒนาการ อย่างน้อย 2 ครั้งต่อ 1 ภาคเรียน ระยะแรกควรเป็นการประเมินเพื่อความก้าวหน้า ไม่ควรเป็น การประเมินเพื่อตัดสินพัฒนาการของเด็ก ดังนั้น การเก็บรวบรวมข้อมูลผลการประเมินพัฒนาการ ตามสภาพที่พึงประสงค์จึงเป็นการสะสมเพ่ือยืนยันว่าเด็กเกิดพัฒนาการตามสภาพท่ีพึงประสงค์น้ันๆ ชดั เจนและมีความน่าเชื่อถือ 6. การสรุปผลการประเมนิ พัฒนาการเด็ก ศูนย์การศึกษาพิเศษ ควรสรุปผลการประเมินพัฒนาการเด็กรายตัวบ่งชี้ รายมาตรฐาน คุณลักษณะที่พึงประสงค์ และในภาพรวมของพัฒนาการรายด้าน ภาคเรียนละ 1 คร้ัง สาหรับ แนวทางการสรุปผลการประเมินพัฒนาการเด็กตามสภาพท่ีพึงประสงค์ในแต่ละตัวบ่งชี้ โดยคานึงถึง ปรัชญาการศึกษา และหลักการของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสาหรับเด็กท่ีมีความต้องการพิเศษ รวมท้ังการนาข้อมลู ผลการประเมนิ ไปใช้เพ่ือพฒั นาเด็กต่อไป 7. การรายงานผลการประเมินพฒั นาการและการนาขอ้ มูลไปใช้ การรายงานผลการประเมนิ พฒั นาการเป็นการสอื่ สารให้พ่อแม่ ผู้ปกครองและผู้เกี่ยวขอ้ งได้ ทราบความก้าวหนา้ ในการเรยี นรขู้ องเด็ก ซึ่งสถานศึกษาต้องสรปุ ผลการประเมินพฒั นาการและจดั ทา เอกสารรายงานให้ผู้ปกครองทราบเป็นระยะๆ หรืออย่างน้อยภาคเรียนละ 1 คร้ัง การรายงานผล
๘๓ การประเมินพัฒนาการสามารถรายงานเป็นระดับคุณภาพตามพฤติกรรมท่ีแสดงออกถึงพัฒนาการ แต่ละด้าน ที่สะท้อนมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ท้ัง 13 ข้อตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย สาหรบั เดก็ ทมี่ ีความต้องการจาเปน็ พิเศษ ศนู ยก์ ารศกึ ษาพเิ ศษ แนวทางการใชห้ ลักสตู รการศกึ ษาปฐมวัยสาหรบั เดก็ ทม่ี คี วามต้องการจาเป็นพิเศษ 1. ศกึ ษาหลกั สูตร ศึกษามาตรฐาน ตวั บ่งช้ี สภาพท่ีพึงประสงค์ ในแต่ละชว่ งอายจุ รงิ หรอื อายุพัฒนาการ ของเด็ก 2. รวบรวมข้อมลู เกี่ยวกับตัวเด็ก ประวตั ิครอบครวั ประวัตทิ างการแพทย์ ประวัติทางการศกึ ษา ประเภทความพิการ 3. ประเมนิ พฒั นาการเด็ก 3.1 แบบประเมินความสามารถพ้ืนฐาน เด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ ของศนู ยก์ ารศึกษาพเิ ศษ ต้นปีการศึกษาหรอื ตั้งแตเ่ รม่ิ เขา้ รับบริการโดยครแู ละผู้ปกครอง 3.2 ใช้แบบประเมนิ หรือแบบทดสอบมาตรฐานท่ีหลากหลาย โดยนักสหวิชาชพี 3.3 รวบรวมขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากการประเมนิ มาจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบคุ คล (IEP) 4. จดั ทาแผนการจัดการศกึ ษาเฉพาะบุคคล (IEP) 4.1 การจัดทาแผนการจดั การศกึ ษาเฉพาะบุคคล (IEP) ควรมีการแตง่ ต้ังคณะกรรมการ จดั ทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล และตรวจสอบหรือประเมินพฒั นาการ 4.2 การจัดทาแผนการจดั การศึกษาเฉพาะบคุ คล (IEP) มีองคป์ ระกอบดังน้ี 4.2.๑ ขอ้ มูลท่ัวไป 4.2.๒ ขอ้ มลู ดา้ นการแพทยห์ รอื ดา้ นสขุ ภาพ 4.2.๓ ข้อมลู ด้านการศกึ ษา 4.2.๔ ขอ้ มลู อืน่ ๆ ทจี่ าเปน็ 4.2.๕ การกาหนดแนวทางการศึกษาและการวางแผนการจัดการศึกษาพเิ ศษ 4.2.๖ ความต้องการดา้ นสงิ่ อานวยความสะดวก เทคโนโลยีสิง่ อานวยความสะดวก สอื่ บริการ และความช่วยเหลืออนื่ ใดทางการศึกษา 4.2.๗ คณะกรรมการจดั ทาแผน 4.2.๘ ความเหน็ ของบดิ า มารดา ผปู้ กครอง หรอื ผ้เู รยี น 5. จัดทาแผนการสอนเฉพาะบุคคล (IIP) นาจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม (เป้าหมายระยะส้ัน) ที่กาหนดในแผนการจัดการศึกษา เฉพาะบุคคล มาดาเนินการจัดทาแผนการสอนเฉพาะบุคคล โดยการวิเคราะห์งานหรือกิจกรรมการ เรียนรู้ ด้วยการเรียงลาดับกิจกรรมที่ง่ายไปสู่กิจกรรมท่ียากข้ึน หรือกิจกรรมท่ีเป็นรูปธรรมไปสู่ กจิ กรรมทเ่ี ป็นนามธรรม ใหเ้ หมาะสมกบั ความตอ้ งการจาเป็นพิเศษของผูเ้ รียนแต่ละบุคคล 6. จดั ทาแผนการจัดประสบการณ์ 6.1 ศกึ ษามาตรฐาน ตวั บง่ ชี้ และสภาพท่ีพึงประสงค์ ตามช่วงอายุของเด็ก เพื่อนามาจัดทา แผนการจดั ประสบการณ์ 6.2 จัดทาแผนการจัดประสบการณ์อย่างหลากหลาย ครอบคลุมสภาพท่ีพึงประสงค์ ซึ่งเปล่ยี นเปน็ จุดประสงค์การเรียนรใู้ หค้ รบทกุ สภาพทพ่ี งึ ประสงค์ในช่วงอายุจริงหรืออายุพฒั นาการ
๘๔ 7. จดั กิจกรรมการเรียนรู้ 7.1 จัดกิจกรรมตามแผนการจัดประสบการณ์โดยใช้กิจกรรมหลัก 6 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมเคล่ือนไหวและจังหวะ กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ กิจกรรมการเล่นตามมุม กิจกรรมเสริม ประสบการณ์ กิจกรรมการเล่นกลางแจ้ง เกมการศึกษา หรือใช้รูปแบบการจัดประสบการณ์ตามท่ี ศูนย์การศกึ ษาพเิ ศษกาหนดในการพฒั นาเด็ก 7.2 ในการจดั กิจกรรมให้คานึงถงึ แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) ของเด็กแต่ละ คน เพ่ือให้สอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการจาเป็นตามท่ีวางแผนไว้ 7.3 ในบางทักษะทจ่ี าเป็นเฉพาะความพิการหรือบางทักษะที่เป็นปัญหาของเด็ก อาจต้อง จัดการเรยี นการสอนเปน็ รายบคุ คล 8. ประเมินพัฒนาการ 8.1 ประเมินตามแผนการสอนเฉพาะบุคคล (IIP) ซ่ึงมี 5 ระดับ เป็นระบบตัวเลข คือ 5, 4, 3, 2, 1 และเป็น ระดับคุณภาพ คือ ดเี ยยี่ ม ดีมาก ดี พอใช้ ควรส่งเสริม อย่างน้อยภาคเรียนละ 1 ครัง้ 8.๒ ประเมินอายุพัฒนาการเมอ่ื ส้ินปีการศกึ ษา เพอื่ เปรียบเทยี บกับต้นปีการศกึ ษา 9. สรุป และรายงานผล 9.1 สรุปผลการประเมินเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาวในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะ บุคคล (IEP) และรายงานผู้บริหาร และผปู้ กครอง 9.2 สรุปผลการประเมินพัฒนาการทั้ง 4 ด้านและทักษะท่ีจาเป็นเฉพาะความพิการ ตามมาตรฐาน ตัวบ่งช้ี และสภาพที่พึงประสงค์ในช่วงอายุของเด็กทุกมาตรฐานและรายงานผู้บริหาร และผูป้ กครอง 9.3 สรุปผลการประเมินอายพุ ฒั นาการเด็ก และรายงานผบู้ ริหาร และผู้ปกครอง การสร้างรอยเชอื่ มตอ่ ระหว่างการศึกษาระดับปฐมวยั กับระดบั ประถมศกึ ษาปีที่ ๑ การสร้างรอยเชื่อมต่อระหวา่ งการศกึ ษาระดับปฐมวัยกบั ระดบั ประถมศกึ ษาปีท่ี ๑ โรงเรียน เฉพาะความพิการ หรือโรงเรียนจัดการเรียนรวม หรือศูนย์การศึกษาพิเศษในระดับที่สูงขึ้น มีความสาคัญอย่างยิ่ง ส่งผลดีต่อการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยในการปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงได้เป็น อย่างดี สามารถพัฒนาการเรียนรู้ได้อย่างราบร่ืน การเช่ือมต่อของการศึกษาระดับปฐมวัยกับระดับ ประถมศึกษาปีที่ ๑ หรือระดับที่สูงขึ้น จะประสบผลสาเร็จได้ บุคลากรทุกฝ่ายที่เก่ียวข้องต้อง ดาเนนิ การดงั ตอ่ ไปน้ี ๑. ผ้บู รหิ ารสถานศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นบุคคลสาคัญท่ีมีบทบาทเป็นผู้นาในการสร้างรอยเชื่อมต่อ ระหว่างหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานในช้ันประถมศึกษาปีที่ ๑ โดยต้องศึกษาหลักสูตรท้งั สองระดับ เพื่อทาความเข้าใจและจัดระบบการบริหารงานด้านวิชาการที่ จะเอ้ือตอ่ การเชือ่ มตอ่ การศึกษา โดยดาเนินการดงั นี้ ๑.๑ จัดประชุมผู้สอนระดับปฐมวัยและผู้สอนระดับประถมศึกษา ร่วมกันสร้าง ความเข้าใจรอยเชื่อมต่อของหลักสูตรท้ังสองระดับให้เป็นแนวปฏิบัติของสถานศึกษา เพ่ือผู้สอน ทง้ั สองระดบั จะไดเ้ ตรียมการสอนได้สอดคล้องกบั เด็กวัยน้ี
๘๕ ๑.๒ จัดหาเอกสารหลักสูตรและเอกสารทางวิชาการของท้ังสองระดับมาไว้ให้ผู้สอน และบคุ ลากรอื่นๆ ได้ศกึ ษาทาความเข้าใจ อยา่ งสะดวกและเพยี งพอ ๑.๓ จัดกิจกรรมให้ผู้สอนทั้งสองระดับมีโอกาสแลกเปล่ียนและเผยแพร่ความรู้ใหม่ๆ ร่วมกนั ๑.๔ จัดหาสื่อ วสั ดุอุปกรณ์ และจัดสภาพแวดล้อมทีส่ ง่ เสริมการสร้างรอยเชือ่ มต่อ ๑.๕ จัดกิจกรรมให้ความรู้ กิจกรรมสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ และจัดทาเอกสาร เผยแพร่ให้กับพ่อแม่ ผู้ปกครองอย่างสม่าเสมอ เพ่ือให้พ่อแม่ ผู้ปกครองเข้าใจการศึกษาทั้งสองระดับ และใหค้ วามร่วมมอื ในการช่วยเหลอื เดก็ ให้สามารถปรับตวั เข้ากบั สภาพแวดล้อมใหมไ่ ด้ดี ในกรณีที่โรงเรียนไม่มีช้ันประถมศึกษาปีที่ ๑ ในสถานศึกษาของตนเอง ผู้บริหาร สถานศึกษาควรประสานกับสถานศึกษาท่ีคาดว่าเด็กจะไปเข้าเรียน เพ่ือสร้างความเข้าใจให้พ่อแม่ ผูป้ กครอง ในการช่วยเหลือเด็กสามารถปรับตัวเข้ากบั สถานศึกษาใหม่ได้ ๒. ผูส้ อนระดับปฐมวัย ผสู้ อนระดับปฐมวัยต้องศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน การจัดการเรียน การสอนในชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๑ และสร้างความเข้าใจให้กับพ่อแม่ ผู้ปกครองและบุคลากรอื่นๆ รวมทงั้ ชว่ ยเหลอื เดก็ ในการปรับตัวกอ่ นเลือ่ นขนึ้ ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี ๑ โดยผสู้ อนควรดาเนนิ การ ดังนี้ ๒.๑ เก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กเป็นรายบุคคลเพื่อส่งต่อผู้สอนชั้นประถมศึกษา ปีที่ ๑ ซ่ึงจะทาให้ผู้สอนระดับประถมศึกษาสามารถใช้ข้อมูลนั้นช่วยเหลือเด็กในการปรับตัวเข้ากับ การเรยี นรู้ใหม่ตอ่ ไป ๒.๒ พูดคุยกับเด็กถึงประสบการณ์ท่ีดีๆ เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ในระดับช้ัน ประถมศึกษาปีท่ี ๓ เพ่ือใหเ้ ด็กเกิดเจตคตทิ ี่ดตี ่อการเรยี นรู้ ๒.๓ จัดให้เด็กได้มีโอกาสทาความรู้จักกับผู้สอน ตลอดจนการสารวจสภาพแวดล้อม และบรรยากาศของห้องเรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ ๑ ๒.๔ จดั สื่อ วัสดุอุปกรณ์ หนังสือท่ีเหมาะสมกับวัยเด็กท่ีส่งเสริมให้เด็กได้เรียนรู้และมี ประสบการณพ์ ื้นฐานทสี่ อดคลอ้ งกบั รอยเชื่อมต่อในการเรยี นระดบั ชั้นประถมศึกษาปที ่ี ๑ ๓. ผสู้ อนระดบั ประถมศึกษา ผู้สอนระดับประถมศึกษาต้องมีความรู้ ความเข้าใจในพัฒนาการเด็กปฐมวัย และมี เจตคติท่ีดีต่อการจัดประสบการณ์ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย เพ่ือนามาเป็นข้อมูลการพัฒนาการ จัดการเรียนรู้ระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๑ ให้ต่อเน่ืองกับการพัฒนาเด็กในระดับปฐมวัย โดยควร ดาเนนิ การ ดังนี้ ๓.๑ จัดกิจกรรมให้เด็ก พ่อแม่ และผู้ปกครอง มีโอกาสได้ทาความรู้จักคุ้นเคยกับ ผู้สอนและห้องเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๑ กอ่ นเปดิ ภาคเรยี น ๓.๒ จัดสภาพห้องเรียนให้ใกล้เคียงกับห้องเรียนระดับปฐมวัย โดยจัดให้มีมุม ประสบการณ์ภายในห้อง เพ่ือใหเ้ ด็กได้มีโอกาสทากิจกรรมได้อย่างอิสระ เช่น มุมหนงั สือ มุมของเล่น มุมเกมการศกึ ษา เพ่ือช่วยใหเ้ ดก็ ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี ๑ ได้ปรบั ตวั และเรยี นร้จู ากการปฏบิ ัตจิ ริง ๓.๓ จัดกิจกรรมรว่ มกนั กบั เดก็ ในการสร้างข้อตกลงเกีย่ วกับการปฏบิ ตั ติ น
๘๖ ๓.๔ จัดกิจกรรมช่วยเหลือ ส่งเสริมการเรียนรู้ให้กับเด็กตามความแตกต่างระหว่าง บุคคล ๓.๕ เผยแพร่ข่าวสารด้านการเรียนรู้และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเด็ก พ่อแม่ ผ้ปู กครอง และชมุ ชน ๔. พอ่ แม่ ผ้ปู กครอง พ่อแม่ ผู้ปกครองเป็นผู้มีบทบาทสาคัญในการอบรมเลี้ยงดูและส่งเสริมการศึกษาของ บุตรหลาน และเพ่ือช่วยบุตรหลานของตนเองในการศึกษาต่อช้ันประถมศึกษาปีที่ ๑ ควรดาเนินการ ดังนี้ ๔.๑ ศกึ ษาและทาความเขา้ ใจหลักสตู รของการศกึ ษาท้ังสองระดบั ๔.๒ จัดหาหนงั สือ อปุ กรณ์ทเ่ี หมาะสมกบั วยั เด็ก ๔.๓ มีปฏิสัมพันธ์ท่ีดีกับบุตรหลาน ให้ความรัก ความเอาใจใส่ ดูแลบุตรหลานอย่าง ใกลช้ ดิ ๔.๔ จดั เวลาในการทากิจกรรมรว่ มกับบุตรหลาน เช่น เล่านิทาน อ่านหนังสือร่วมกัน สนทนาพดู คุย ซกั ถามปัญหาในการเรียน ใหก้ ารเสริมแรงและใหก้ าลงั ใจ ๔.๕ ร่วมมือกับผู้สอนและสถานศึกษาในการช่วยเตรียมตัวบุตรหลาน เพ่ือช่วยให้ บตุ รหลานปรบั ตัวได้ดขี ึ้น การสง่ ตอ่ การส่งต่อ เป็นการประสานงานระหว่างศูนย์การศึกษาพิเศษกับหน่วยงานอ่ืนๆ ท่ีเก่ียวข้อง เพ่ือให้เด็กพิการได้รับบริการท่ีเหมาะสม เช่น บริการทางการแพทย์ บริการทางสังคม บริการทาง ศึกษา โดยประสานงานระหว่างโรงเรียนจัดการเรียนรวม โรงเรียนเฉพาะความพิการ หน่วยบริการ ของศูนย์การศึกษาพิเศษ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เมื่อเด็กพิการมีผลการพัฒนาศักยภาพผ่านตามเกณฑ์ที่กาหนด ให้ส่งต่อเข้าสู่ระบบการศึกษา ในชั้นเรียนท่ีสูงขึ้น เมื่อย้ายสถานศึกษา หรือรับบริการด้านอ่ืนๆให้ศูนย์การศึกษาพิเศษ นาส่งแผน การจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล แบบรายงานผลการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน เพื่อเป็นข้อมูลในการจัด การศกึ ษาหรอื บริการดา้ นอื่นๆต่อไป การกากบั ติดตาม ประเมนิ และรายงาน การจัดการศึกษาปฐมวัยมีหลักการสาคัญในการให้สังคม ชุมชน มีส่วนร่วมในการจัด การศึกษาและกระจายอานาจการศึกษาลงไปยังท้องถิ่นโดยตรง โดยเฉพาะสถานศึกษาหรือสถาน พัฒนาเด็กปฐมวัย ซึ่งเป็นผู้จัดการศึกษาในระดับน้ี ดังนั้น เพื่อให้ผลผลิตทางการศึกษาปฐมวัย มีคุณภาพตามมาตรฐาน คุณลักษณะท่ีพึงประสงค์และสอดคล้องกับความต้องการของชุมชนและ สังคม จาเป็นต้องมีระบบการกากับ ติดตาม ประเมินและรายงานท่ีมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ทุกกลุ่ม ทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วมรับผิดชอบในการจัดการศึกษา เห็นความก้าวหน้า ปัญหา อุปสรรค ตลอดจน การให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือ ส่งเสริม สนับสนุน วางแผน และดาเนินงานการจัดการศึกษาปฐมวัย ให้มคี ุณภาพอยา่ งแท้จริง
๘๗ การกากับ ติดตาม ประเมินและรายงานผลการจัดการศึกษาปฐมวัยเป็นส่วนหนึ่ง ของกระบวนการบริหารการศึกษา กระบวนการนเิ ทศ และระบบการประกนั คุณภาพการศึกษา ท่ีต้อง ดาเนินการอย่างต่อเน่ือง เพ่ือนาไปสู่การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาปฐมวัยสร้าง ความมั่นใจให้ผู้เกี่ยวขอ้ ง โดยตอ้ งมีการดาเนนิ การทเ่ี ป็นระบบเครือขา่ ยครอบคลมุ ท้ังหนว่ ยงานภายใน และภายนอก ในรูปแบบของคณะกรรมการท่ีมาจากบุคคลทุกระดับและทุกอาชีพ การกากับ ติดตาม และประเมินผลต้องมีการรายงานผลจากทุกระดับให้ทุกฝ่าย รวมทั้งประชาชนท่ัวไปทราบ เพื่อนา ข้อมูลจากรายงานผลมาจัดทาแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาหรือสถานพัฒนาเด็ก ปฐมวัยต่อไป
๘๘ ภาคผนวก
Search