1กลวธิ ีการพดู ปลอบใจ : กรณีศึกษานกั ศึกษามหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์วทิ ยาเขตปัตตานี ชุติกาญจน์ บุญอยู่ ศศ.ม. (ภาษาไทย), อาจารย์ มนุษยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ [email protected]บทนา กำลังใจ เป็ นกาลงั สาคญั อย่างหน่ึงในกาลงั ท้งั สามสาหรับบุคคลท่ีจะเผชิญชีวิตไปไดด้ ว้ ยดี นนั่ คือ กาลงักาย กาลงั ความคิด และกาลงั ใจ กาลงั กายหมายถึงความเป็นผมู้ ีอนามยั ดี ร่างกายแขง็ แรง เป็นกาลงั สาคญั เบ้ืองตน้กาลงั ความคิดหมายถึงการเป็ นผูม้ ีความรู้ มีปัญญาดี ส่วนกาลงั ใจหมายถึงความสามารถของดวงจิตที่เป็ นเคร่ืองควบคุมท้งั กาลงั กายและกาลงั ความคิดใหด้ าเนินไปอยา่ งเรียบร้อย กาลงั ใจจึงเป็นส่ิงท่ีสาคญั ที่จะขาดไม่ได้ หากขาดกาลงั ใจ กาลงั กายและกาลงั ความคิดกจ็ ะดอ้ ยลง (หลวงวิจิตรวาทการ, 2531: 6-7) เม่ือมีสถานการณ์ที่ทาใหท้ ุกขใ์ จ หรือมีความเครียดวติ กกงั วล บุคคลตอ้ งพยายามหาทางออกจากปัญหา ถา้ปัญหาน้นั แกไ้ ขไดย้ ากอาจตอ้ งพ่ึงพาผอู้ ื่นหรือตอ้ งการเสริมกาลงั ใจ เน่ืองจากมนุษยไ์ ม่ไดอ้ ยู่โดดเด่ียวกอ็ าจจะหวงัพ่ึงกาลงั ใจจากผูม้ ีความสัมพนั ธ์ดว้ ย ในกรณีน้ีผูอ้ ื่นจะมีบทบาทสื่อสารคลายความทุกข์ ซ่ึงเรียกว่า “การปลอบใจ”ซ่ึงเป็นการส่ือสารที่มีประโยชนใ์ นการเสริมสร้างความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบุคคลดว้ ย ในหลกั การของการสื่อสารการปลอบใจมีหลกั การสาคญั คือ 1) เป็นการส่ือสารท่ีแสดงใหเ้ ห็นสมั พนั ธภาพในเชิงอนุเคราะห์และเก้ือกูลกนั และกนั ของคนในสงั คม 2) เป็ นการแสดงให้เห็นความรักและเอาใจใส่ฉนั มนุษย์ดว้ ยกนั (affection) ซ่ึงจดั วา่ เป็นการสนองความตอ้ งการข้นั พ้ืนฐานระหวา่ งบุคคล (basic and interpersonal needs)3) เป็นส่วนหน่ึงของปฏิสัมพนั ธ์ที่แสดงใหเ้ ห็นถึงการเป็นที่ยอมรับของสังคม 4) เป็นการสื่อสารระหว่างบุคคลที่เกิดข้ึนและแสดงให้เห็นถึงการเป็ นหน่วยหน่ึงของกลุ่ม (ศกั ดา ป้ันเหน่งเพ็ชร์, 2547: 141 – 143) จากหลกั การปลอบใจขา้ งตน้ อาจกล่าวไดว้ า่ การปลอบใจน้นั มีความสาคญั และมีความจาเป็ นอยา่ งยิ่งในฐานะที่มนุษยเ์ ป็ นสัตว์สงั คม โดยทวั่ ไปการปลอบใจสามารถแสดงออกไดห้ ลายวิธี เช่น การโอบกอด การสมั ผสั การแสดงออกทางสีหนา้ แววตา และการใชภ้ าษากายเพ่ือส่ือสารใหค้ ู่สนทนารับรู้ว่าคู่ส่ือสารกาลงั ส่งกาลงั ใจให้ หรือจะแสดงดว้ ยการใชค้ าพูดไถ่ถามอาการความรู้สึกโดยระวงั ไมใ่ หค้ ู่สนทนารู้สึกอึดอดั ใจ และไม่ใชค้ าพดู ท่ีบน่ั ทอนจิตใจหรือซ้าเติม เม่ือมีการปลอบใจดว้ ยคาพูด สามารถอธิบายไดว้ า่ การปลอบใจ คือการพดู เพื่อช่วยใหผ้ ฟู้ ังรู้สึกดีข้ึน คลายจากความทุกข์ สาระสาคญั ของการพูดปลอบคือเพื่อใหก้ าลงั ใจ ซ่ึงเป็นผลต่อเนื่องของกระบวนการพูดสื่อสารเพ่ือปลอบโยนหรือบารุงขวญั อนั จะทาให้ผูฟ้ ังเกิดความรู้สึกอย่างน้อย 3 ประการ คือ 1) เชื่อมน่ั 2) กระตือรือร้น3) พร้อมจะเผชิญกบั เหตุการณ์ต่างๆ ไดม้ ากข้ึน (ศกั ดา ป้ันเหน่งเพช็ ร์, 2547: 139-140) ถา้ หากพิจารณาความหมายที่ยกมาขา้ งตน้ น้ี จะเห็นไดว้ า่ การพดู ปลอบใจจดั เป็นการกลา่ วถอ้ ยคาเพื่อแสดงเจตนาของผพู้ ูดเป็นหลกั วา่ ผพู้ ดู มีความปรารถนาดีและตอ้ งการสื่อสารเพ่ือช่วยปลอบขวญั และบารุงใจใหผ้ ูฟ้ ังไดม้ ีแรง มีสติในการเผชิญความทุกขค์ วามเศร้าน้ันๆ ได้ ในแง่น้ีการพูดปลอบใจอาจจดั เป็ นวจั นกรรมประเภทหน่ึง
2ตามท่ี เซิร์ล (Searle,1976) เห็นว่าผูพ้ ูดกระทาการกระทา 3 ประการ ในการกล่าวแสดงวจั นกรรมแต่ละคร้ัง จะประกอบดว้ ย 1) การกล่าวถอ้ ยหรือถอ้ ยคา (utterance act) คือการเปล่งเสียง 2) การนาเสนอความ (propositionalact) คือ การแสดงความหมายของคาพูด หรือถอ้ ยคาที่เปล่งออกมา และ 3) การแสดงเจตนา (illocutionary act) คือการแสดงเจตนาในการกล่าวถอ้ ยของผพู้ ดู เซิร์ลใหค้ วามสาคญั กบั การกลา่ วถอ้ ยคาและการแสดงเจตนาของผพู้ ูด เพราะเขาเห็นวา่ สองสิ่งน้ีมกั เกิดข้ึนพร้อมกนั เสมอและแยกจากกนั ไม่ได้ กล่าวคือ ทุกคร้ังที่มีการกล่าวถอ้ ยคา ผูพ้ ูดจะตอ้ งแสดงเจตนาอยูใ่ นถอ้ ยคาน้นั ๆ เสมอ เซิร์ล (1976) ไดจ้ ดั กลุ่มวจั นกรรม 5 กล่มุ โดยปรับปรุงจากแนวคิดของออสติน ดงั น้ี 1.วจั นกรรมบรรยายเหตุการณ์ (representatives) หรือวจั นกรรมบอกกล่าว (assertive) เป็ นการพรรณนาหรือบรรยายเหตุการณ์หรือสภาพรอบตวั เช่น ถอ้ ยคาบอกเล่า การรายงานข่าว การยืนยนั การพูดโออ้ วด การวิจารณ์การซุบซิบ เป็นตน้ 2.วจั นกรรมกาหนดใหท้ า หรือวจั นกรรมกลุ่มช้ีนา (directive) คือ ถอ้ ยคาท่ีผูพ้ ูดส่ัง หรือขอใหผ้ ูฟ้ ังกระทาบางอยา่ งเพ่ือประโยชนข์ องผพู้ ูด หรือท่ีผพู้ ดู คิดวา่ เป็นประโยชนต์ ่อผฟู้ ัง ซ่ึงมีพลงั วจั นกรรมหลายระดบั เช่น การออกคาสงั่ การขอร้อง การแนะนา การสอบถาม การออ้ นวอน การอนุญาต เป็นตน้ 3.วจั นกรรมผกู มดั (commissives) คือ การที่ผพู้ ูดกล่าวถอ้ ยคาท่ีตนเองเป็นผสู้ ัญญา รับประกนั ว่าจะทาสิ่งใดส่ิงหน่ึงซ่ึงเป็นการผกู มดั ตนเอง วจั นกรรมมีหนา้ ที่ส่ือการผกู มดั เช่น การสญั ญา การสาบาน การทา้ พนนั การเสนอตวั การปลอบโยน การรับรอง การแสดงความต้งั ใจ การขมขู่ เป็นตน้ 4.วจั กรรมแสดงอารมณ์ความรู้สึก (expressives) คือการท่ีผพู้ ดู กลา่ วถอ้ ยคาบ่งบอกอารมณ์ ความรู้สึก และทศั นคติของผพู้ ูดท่ีมีต่อผฟู้ ัง สาระสาคญั ของวจั นกรรมกลุ่มน้ีจะมงุ่ เนน้ ใหผ้ อู้ ื่นทราบวา่ ผพู้ ูดชอบ หรือไม่ชอบ ชื่นชมในตวั ผูฟ้ ังหรือส่ิงต่างๆ ท่ีเกี่ยวกบั ผูฟ้ ังเท่าน้นั โดยที่ผูพ้ ูดไม่มีความประสงค์จะใหผ้ ูฟ้ ังกระทาส่ิงใด เช่น การทกั ทาย การตอ้ นรับ การขอโทษ การขอบคุณ การแสดงความยนิ ดี การชม เป็นตน้ 5.วจั นกรรมประกาศ หรือวจั นกรรมกลุ่มแถลงการณ์ (declaration) คือการท่ีผพู้ ูดประกาศว่าจะทาบางส่ิงบางอย่าง ส่วนใหญ่เกิดข้ึนในบริบทท่ีเป็ นทางการ และทาให้สภาพของส่ิงของ บุคคล หรือปรากฏการณ์ต่างๆเปล่ียนแปลงไปหากใชก้ ล่าวในบริบทท่ีถูกตอ้ งและเป็ นที่ยอมรับได้ โดยท่ีคู่สนทนาและบุคคลท่ีเกี่ยวขอ้ งตอ้ งมีหนา้ ท่ีชดั เจนในบริบทดงั กล่าว เช่น การแต่งต้งั การเสนอชื่อ การกล่าวเปิ ดงาน การประกาศสงคราม การไล่ออกจากงาน เป็นตน้ เมื่อพิจารณาการจดั กลุ่มวจั นกรรมดงั กล่าว ผูว้ ิจยั พบว่า ทรงธรรม อินทจกั ร (2550: 46 – 47) จดั การพูดปลอบใจอยใู่ นวจั นกรรมกลุ่มผูกมดั โดยใหเ้ หตุผลวา่ วจั นกรรมกลุ่มผูกมดั มีคุณสมบตั ิพ้ืนฐานร่วมกบั วจั นกรรมกลุ่มช้ีนา หรือกลุ่มกาหนดใหท้ า ตามท่ีกฤษดาวรรณ และธีรนุช (2551) ใช้ แต่ถอ้ ยคากลุ่มผกู มดั กาหนดใหต้ วั ผพู้ ูดเป็นผกู้ ระทาการปลอบโยน (reassuring) เน่ืองจากเป็นการพูดเนน้ ที่ตวั ผพู้ ูดว่าตอ้ งการแสดงเจตนาดีต่อผฟู้ ัง จึงเป็นการผกู มดั ใหผ้ พู้ ูดเป็นฝ่ ายกระทา จะสงั เกตไดว้ ่า วจั นกรรม เช่น การสัญญา การเสนอตวั และการปลอบโยน ลว้ นแสดงความมีมารยาทดีของผูพ้ ูดเมื่อรับรู้ปัญหาของคู่สนทนา ผูว้ ิจยั เห็นว่าถา้ ผูพ้ ูดปลอบใจ ไม่ไดส้ ื่อสารโดยมารยาทกจ็ ะพยายามใชก้ ลวธิ ีทางภาษาสร้างกาลงั ใจแก่คู่สนทนาได้ นอกจากน้ียงั มีงานวิจยั ของ รัศมี รักงาม (2558) ท่ีศึกษาเรื่องกลวิธีการปลอบโยนผูป้ ่ วยที่ไดร้ ับการรักษาดว้ ยเคมีบาบดั ของพยาบาล รัศมีจดั ใหก้ ารปลอบโยนของพยาบาลเป็นวจั นกรรมกลุ่มช้ีนา (directives) และ วจั
3นกรรมการกล่าวแสดงความรู้สึก (expressives) โดยใหเ้ หตุผลวา่ การกล่าวถอ้ ยคาปลอบโยน ผพู้ ูดตอ้ งการให้ผูฟ้ ังปฏิบตั ิตามและคลายความทุกขล์ ดความวิตกกงั วลลง รวมท้งั เป็นการแสดงความรู้สึกของผพู้ ูดที่ปรารถนาจะใหผ้ ูฟ้ ัง(ผปู้ ่ วย) มีการอาการท่ีดีข้ึน จากท้งั หมดท่ีกล่าวมา ผูว้ ิจยั สามารถจดั ประเภทของวจั นกรรมปลอบใจออกไดเ้ ป็ น 3 กลุ่ม ไดแ้ ก่ กลุ่มผกู มดั กล่มุ ช้ีนา และกลุ่มแสดงความรู้สึก เนื่องจาก การกลา่ วถอ้ ยคาปลอบใจเป็นการพดู ท่ีเนน้ เจตนาที่ดีและเนน้การแสดงความรู้สึกของผพู้ ดู โดยการกลา่ วถอ้ ยคาปลอบใจแต่ละคร้ังน้นั พบวา่ ผพู้ ูดอาจมีการใหค้ าแนะนาหรือบอกใหผ้ ฟู้ ังกระทาบางอย่างเพราะผพู้ ูดเชื่อวา่ จะสามารถช่วยใหผ้ ูฟ้ ังคลายจากความทุกขไ์ ด้ หรืออาจมีการรับปากวา่ จะช่วยเหลือผูฟ้ ังอย่างหน่ึงอย่างใด ท้งั น้ีก็เพ่ือหวงั ให้ผูฟ้ ังรู้สึกคลายกงั วลจากความทุกขใ์ นสถานการณ์ที่ประสบอยู่เช่น “ใจเยน็ ๆ นะ ลองคิดหาวธิ ีท่ีดีท่ีสุดดู เราเป็นกาลงั ใจใหน้ ะ ถา้ เกิดมีอะไรสามารถบอกเราได้ เราพร้อมช่วยเหลือตลอด” การที่ผูพ้ ูดกล่าวว่า “ลองคิดหาวิธีที่ดีที่สุดดู” แมจ้ ะไม่ไดแ้ นะทางออกที่ชดั เจนแต่ก็ถือเป็ นคาแนะนาท่ีปรารถนาจะใหผ้ ูฟ้ ังกระทาบางอยา่ งเพื่อจะไดค้ ลายจากความทุกขใ์ จ ส่วนการกลา่ ววา่ “ถา้ เกิดมีอะไรสามารถบอกเราได้ เราพร้อมช่วยเหลือตลอด” ถอ้ ยคาน้ีเป็นการแสดงความปรารถนาที่จะช่วยเหลือผูฟ้ ัง จึงมีการกล่าวถอ้ ยคาในลกั ษณะผกู มดั ตวั ผพู้ ดู วา่ พร้อมจะช่วยเหลือ รวมท้งั มีการกล่าวแสดงความรู้สึกวา่ ผพู้ ูดจะเป็นกาลงั ใจใหผ้ ฟู้ ังดว้ ย ดงั ท่ีไดก้ ล่าวแลว้ การพูดปลอบโยนหรือปลอบใจมีความจาเป็นต่อการมีปฏิสมั พนั ธ์ระหวา่ งผพู้ ดู และผูฟ้ ังเป็นอยา่ งยง่ิ ดว้ ยเหตุผลของการอยู่ร่วมกนั ในสังคม ผวู้ ิจยั เห็นวา่ เมื่อผทู้ ี่มีความสัมพนั ธ์ที่ดีต่อกนั ประสบความทุกข์วจั นกรรมปลอบใจจะทาหน้าที่แสดงเจตนาของผูพ้ ูด การพูดปลอบใจจึงเป็ นวจั นกรรมที่มุ่งตอบสนองความตอ้ งการดา้ นจิตใจของผูฟ้ ัง เช่น ทาให้ผูฟ้ ังเกิดความเขา้ ใจความทุกข์มากข้ึน ช่วยประโลมใจผูฟ้ ังทาให้เกิดความสบายใจ และรู้สึกวา่ ตนเองปลอดภยั เพราะไม่ไดอ้ ยอู่ ยา่ งโดดเดี่ยว แมว้ า่ การพดู ปลอบใจจะเป็นการกลา่ วเพ่ือแสดงเจตนาวา่ ผพู้ ูดมีความรู้สึกปรารถนาดีต่อผฟู้ ัง แต่สงั เกตได้ว่าการพูดปลอบใจมกั จะไม่มีรูปแบบท่ีเฉพาะเจาะจงตายตวั เป็ นการพูดที่ข้ึนอยู่กบั ตวั ผูพ้ ูดเอง ซ่ึงในบทความน้ีผูว้ ิจยั จะวิเคราะห์การพูดปลอบใจว่าประกอบดว้ ยกลวิธีใดบา้ ง โดยพิจารณาจากถอ้ ยคาท่ีผูพ้ ูดใช้ เน่ืองจากผูว้ ิจยัสงั เกตวา่ เม่ือมีสถานการณ์ที่ทาใหผ้ ฟู้ ังเกิดความทุกขใ์ จ ถึงแมว้ ่าผูพ้ ูดจะมีเจตนาปลอบใจผูฟ้ ังเหมือนกนั แต่อาจกล่าวดว้ ยถอ้ ยคาท่ีแตกต่างกันได้ เช่น ในสถานการณ์ที่ผูฟ้ ังกาลงั มีความประหม่าและต่ืนเตน้ ผูพ้ ูดอาจกล่าวปลอบใจดว้ ยถอ้ ยคาวา่ 1) “สม้ ใจเยน็ ๆ นะ ต้งั สติและมีสมาธิ แกสูๆ้ นะ แกทาไดอ้ ยแู่ ลว้ ” 2) “อยา่ ตื่นเตน้ เลย ฉนั กเ็ คยเป็นมาก่อน ฉนั เป็นกาลงั ใจใหน้ ะ สูๆ้ ” 3) “ไมเ่ ป็นไร อยา่ งนอ้ ยกส็ ามารถแสดงความกลา้ ออกมายืนบนเวทีใหค้ นอื่นดูแลว้ ” ตวั อย่างที่ยกมาน้ี จะเห็นไดว้ ่าผูพ้ ูดกล่าวถอ้ ยคาท่ีแตกต่างกนั รวมถึงมีการใชก้ ลวิธีที่หลากหลาย ไดแ้ ก่การใชก้ ลวธิ ีเสริมคือการเรียกชื่อ “สม้ ” ในตวั อยา่ งท่ี 1) (ในบทความน้ีจะไม่กลา่ วถึงกลวิธีเสริม) มีการใชค้ าเพื่อลดความกงั วล “ใจเยน็ ” ในตวั อย่างที่ 1) และคาว่า “ไม่เป็ นไร” ในตวั อย่างที่ 3) มีการใชค้ าที่เสนอใหท้ าหรือไม่ทาบางอยา่ ง “ต้งั สติและมีสมาธิ แกสูๆ้ นะ” ในตวั อยา่ งท่ี 1) “อยา่ ตื่นเตน้ เลย” ในตวั อยา่ งท่ี 2) มีการใชค้ าเสริมกาลงั ใจโดยกล่าววา่ “ฉนั เป็นกาลงั ใจใหน้ ะ” ในตวั อยา่ งท่ี 2) มีการยกอุทาหรณ์ที่ตวั ผพู้ ูดเคยประสบมาก่อนว่า “ฉนั ก็เคยเป็ นมาก่อน” ในตวั อย่างท่ี 2) และมีการอธิบายโดยการผ่อนน้าหนกั ของความทุกขว์ ่า “อย่างนอ้ ยก็สามารถแสดงความกลา้ ออกมายนื บนเวทีใหค้ นอ่ืนดูแลว้ ” ในตวั อยา่ งที่ 3)
4 สังเกตไดว้ ่าในวยั รุ่นมีความใกลช้ ิดภายในกลุ่มเพื่อนมากกว่าวยั ผูใ้ หญ่ นอกจากน้ีวยั รุ่นที่เขา้ ศึกษาในระดบั อุดมศึกษาอาจมีปัญหาท่ีซบั ซอ้ นข้ึน เช่น ตอ้ งจากภูมิลาเนา ตอ้ งปรับตวั ในการเรียนท่ียากข้ึน และอาจมีปัญหาดา้ นความรักหรือการเงิน ผูว้ ิจยั จึงตอ้ งการศึกษากลวิธีการพูดปลอบใจของนกั ศึกษาว่ามีกลวิธีอย่างไรในเงื่อนไขสถานการณ์ความทุกขท์ ่ีหลากหลาย ผวู้ ิจยั กาหนดกลุ่มตวั อย่างเป็นนกั ศึกษาสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ในฐานะผใู้ ชภ้ าษาที่ใหค้ วามสาคญั กบั การสื่อสารเพ่ือคลายทุกขแ์ ละใหค้ วามสาคญั ต่อความสมั พนั ธ์ระหวา่ งเพ่ือน มกัมีการปรับทุกข์หรือระบายความทุกข์ระหว่างเพื่อนดว้ ยกนั จึงมีความน่าสนใจว่านกั ศึกษาจะมีกลวิธีในการพูดปลอบใจเพื่อนในสถานการณ์ที่แตกต่างกนั อยา่ งไรทบทวนวรรณกรรม วจั นปฏิบตั ิศาสตร์ (Pragmatics) เป็นทฤษฎีที่ใชศ้ ึกษาภาษาในชีวิตประจาวนั ของมนุษยท์ ี่เปลี่ยนแปลงไปตามบริบทและสถานการณ์ต่างๆ ท้งั ในเชิงนามธรรมและใหค้ วามสาคญั กบั การวิเคราะหก์ ลวธิ ีส่ือสารในเชิงวรรณาโดยจะศึกษาท้งั ความหมายตามรูปภาษาและความหมายท่ีไม่ตรงตามรูปภาษาดว้ ย การศึกษาความหมายท่ีไม่ตรงตามรูปภาษาน้ีจะตอ้ งอาศยั การตีความและเจตนาในการสื่อสารของคู่สนทนา รวมท้งั กลวิธีท่ีผูใ้ ชภ้ าษาใชใ้ นการกระทาส่ิงต่างๆ เช่น การแนะนา การขอร้อง การขอโทษ ซ่ึงเกิดจากแนวคิดท่ีกล่าววา่ “คาพดู ไมไ่ ดท้ าหนา้ ท่ีเพียงแค่ส่ือความเท่าน้นั แต่ยงั ทาใหเ้ กิดการกระทาอยา่ งใดอย่างหน่ึงไดอ้ ีกดว้ ย” (Austin, 1962 อา้ งถึงใน ทศั นีย์ เมฆถาวรวฒั นา, 2541) ซ่ึงออสตินเรียกแนวคิดน้ีวา่ “วจั นกรรม” (speech act) ออสตินเนน้ วา่ วจั นกรรมคือทุกถอ้ ยคาที่ทาใหเ้ กิดการกระทา โดยไมส่ นใจการกล่าวถอ้ ยคาวา่ ผพู้ ูดมีเจตนาในการพดู หรือไม่ แต่ถา้ เกิดผลของถอ้ ยคาเขากถ็ ือวา่ การกลา่ วถอ้ ยน้นั เป็นวจั นกรรม ออสตินเห็นวา่ การกลา่ วถอ้ ยคาและการแสดงเจตนาของผพู้ ูดในการกลา่ วถอ้ ยคาสามารถแยกออกจากการได้ เน่ืองจากเขาศึกษาเรื่องวจั นกรรมโดยพิจารณาเฉพาะการกล่าวถอ้ ยคาในพิธีกรรมต่างๆ เช่น การต้งั ช่ือเรือ การแต่งงาน หรือ การพนนั ที่มีรูปประโยคตายตวั และความหมายแน่นอนอยแู่ ลว้ ซ่ึงมีลกั ษณะเป็นแบบแผนตายตวั ไม่ตอ้ งอาศยั การตีความจากผฟู้ ัง ต่อมาเซิร์ล (John R. Searle) ซ่ึงเป็ นลูกศิษยค์ นสาคญั ของออสตินไดแ้ ยง้ แนวคิดของออสติน เน่ืองจากเซิร์ลเห็นว่า “จริงๆ แลว้ ถอ้ ยคาจานวนมากไม่มีกริยาแสดงวจั นกรรมแต่ผูใ้ ช้ภาษาก็ตดั สินไดไ้ ม่ยากว่าถอ้ ยคาเหล่าน้นั แสดงวจั นกรรมอะไร” (กฤษดาวรรณ หงศล์ ดารมภ์ และธีรนุช โชคสุวณิช, 2551 : 103) ซ่ึงหมายความว่าถอ้ ยคาท้งั หลายลว้ นแต่เป็นถอ้ ยคาบ่งการกระทา ไม่จากดั เฉพาะการกล่าวถอ้ ยคาเฉพาะในพิธีกรรมเท่าน้นั แต่การกลา่ วคาพูดทวั่ ๆ ไปกส็ ามารถแสดงเจตนาและบ่งการกระทาไดเ้ ช่นเดียวกนั การศึกษาเรื่องกลวิธีทางภาษาที่ผูพ้ ูดใชใ้ นบริบทสถานการณ์ต่างๆ โดยทวั่ ไปมกั ศึกษาโดยใช้แนวคิดเรื่องวจั นกรรมเพื่ออธิบายลกั ษณะการใชภ้ าษา แต่เท่าท่ีสารวจพบวา่ วจั นกรรมท่ีนกั วิจยั ใหค้ วามสนใจศึกษากนั มากมกั จะเป็นวจั นกรรมท่ีมีพลงั วจั นกรรมสูง เช่น วจั นกรรมการตาหนิ วจั นกรรมการขอโทษ วจั นกรรมการปฏิเสธวจั นกรรมการแสดงความไมเ่ ห็นดว้ ย เป็นตน้ ส่วนการกล่าวปลอบใจ แมจ้ ะมีพลงั วจั นกรรมไมส่ ูงเท่าท่ีกล่าวมา แต่กม็ ีความน่าสนใจในแง่ท่ีการใชภ้ าษาแสดงเจตนาปลอบใจ สามารถส่ือออกมาไดอ้ ยา่ งไรบา้ ง จากการรวบรวมขอ้ มูลงานวิจยั ท่ีศึกษาเรื่องการพูดปลอบใจ พบว่ามีงานวิจยั ของ รัศมี รักงาม (2558) ท่ีศึกษาเรื่องกลวิธีการปลอบโยนผูป้ ่ วยที่ไดร้ ับการรักษาดว้ ยเคมีบาบดั ของพยาบาล โดยพิจารณาจากปัจจยั ดา้ นอายุระหว่างผพู้ ูดและผฟู้ ัง ความรุนแรงของอาการอ่อนลา้ และเพศของผปู้ ่ วย ผลการวิจยั พบว่า กลวิธีในการปลอบโยน
5ผปู้ ่ วยของพยาบาลท่ีดูแลผปู้ ่ วยท่ีไดร้ ับการรักษาดว้ ยเคมีบาบดั มี 15 กลวิธี พยาบาลเลือกใชก้ ลวิธีแนะนามากท่ีสุดร้อยละ 33.05 รองลงมาคือกลวิธีการแสดงความช่วยเหลือ ร้อยละ 19.32 การใหก้ าลงั ใจร้อยละ 13.94 การพูดให้ผอ่ นคลาย ร้อยละ 12.25 และการอธิบายสาเหตุ ร้อยละ 9.61 นอกจากงานวิจยั ของรัศมีแลว้ งานวิจัยอ่ืนๆ มีการกล่าวถึงวจั นกรรมปลอบใจอยู่บ้างเล็กน้อย เช่นการศึกษาเร่ือง การตอบรับคาขอโทษในภาษาไทย ของ ภาสพงศ์ ผิวพอใช้ (2545) พบว่า การเอ่ยปลอบใจเป็ นรูปแบบหน่ึงในการแสดงความห่วงใยที่ปรากฏในวจั นกรรมการตอบรับคาขอโทษ งานวิจยั เรื่อง กลวิธีการปฏิเสธในภาษาองั กฤษของนกั ศึกษาไทยท่ีเรียนภาษาองั กฤษเป็นภาษาต่างประเทศ : การศึกษาการถา่ ยโอนทางวจั นปฏิบตั ิศาสตร์ ของ ธนพรรษ สายหรุ่น (2542) พบว่า คากล่าวปลอบใจเป็ นกลวิธีหน่ึงในการปฏิเสธขอ้ เสนอซ่ึงผูต้ อบปฏิเสธเป็นผไู้ ดร้ ับผลประโยชน์วตั ถุประสงค์การวจิ ยั เพ่ือศึกษากลวิธีการพูดปลอบใจกรณีศึกษานกั ศึกษามหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานีขอบเขตการวจิ ยั การวิจยั คร้ังน้ีจะศึกษาเฉพาะกลวิธีการพูดปลอบใจของนกั ศึกษามหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี วา่ มีก่ีกลวิธี แต่ละกลวิธีมีการปรากฏมากหรือนอ้ ยอย่างไร โดยไมไ่ ดศ้ ึกษาระดบั ความทุกขใ์ นแต่ละสถานการณ์ และไม่ไดเ้ ปรียบเทียบระหวา่ งเพศชายกบั เพศหญิงวธิ ีดาเนนิ การวจิ ยั การวจิ ยั คร้ังน้ีใชว้ ธิ ีวิจยั เชิงคุณภาพ (Qualitative Research) มีวิธีดาเนินการวิจยั ดงั น้ี 1. ศึกษาความรู้และแนวทางการศึกษาการพูดเพื่อวตั ถุประสงค์ต่างๆ จากเอกสาร หนังสือ ตาราวทิ ยานิพนธ์ดา้ นกลวธิ ีทางภาษาและวจั นกรรม 2. ผวู้ ิจยั สร้างแบบสอบถามโดยกาหนดสถานการณ์สมมุติท่ีบุคคลประสบความทุกข์ ตามแนวทางการจดักลุ่มความทุกขข์ องพุทธทาสภิกขุ 7 ลกั ษณะ (พุทธทาสภิกข,ุ 2525 อา้ งถึงใน ศกั ดา ป้ันเหน่งเพช็ ร์, 2547: 152-154)ดว้ ยเหตุที่ความคิดเร่ืองความทุกขเ์ ป็นความคิดสาคญั ในพทุ ธศาสนาซ่ึงมีจุดมุ่งหมายในการปฏิบตั ิเพื่อพน้ ทุกข์ ดงั น้ี 1) ความประหม่าและต่ืนเต้น (flight and excitement) คือ ความทุกขท์ ี่เกิดจากความไม่มน่ั ใจ กลวั ผิดพลาด ระแวงว่าตนเองจะมีขอ้ บกพร่อง หรือมีจุดดอ้ ยท่ีผอู้ ่ืนมองเห็น และขาดความเชื่อมน่ั ใน ตนเอง 2) ความผิดหวัง (disappointment) คือ ความทุกขท์ ี่มีระดบั ความรุนแรงข้ึนอยกู่ บั ความคาดหวงั ของ บุคคลผนู้ ้นั ที่มีต่อสิ่งอื่น สถานการณ์อ่ืน หรือบุคคลอ่ืน ความผิดหวงั ที่รุนแรงท่ีสุดอาจทาใหผ้ นู้ ้นั ไมอ่ ยากมีชีวติ อยตู่ ่อไป 3) ความอับอาย ละอายแก่ใจ อดสูใจ (shamefulness) คือ ความทุกขท์ ่ีเกิดจาการกระทาสิ่งที่ไม่ควร กระทา ท้งั ท่ีต้งั ใจหรือรู้เท่าไมถ่ ึงการณ์ก็ตาม ผทู้ ี่ประพฤติผดิ ไดก้ ระทาส่ิงท่ีขดั กบั วฒั นธรรมและ จรรยาบรรณ ขาดมนุษยธรรมและศีลธรรม แต่ต่อมาภายหลงั เกิดสานึกความผดิ ที่ตนไดก้ ระทามา ไมว่ า่ ดว้ ยเหตุใดกต็ าม กลบั อบั อาย ละอายแก่ใจ อดสูใจ หรือรู้สึกขายหนา้
6 4) ความวิตกกงั วล (anxiety and wariness) คือ ความทุกขจ์ ากความรู้สึกไม่แน่ใจหรือไม่มน่ั ใจในส่ิง ที่อาจจะเกิดข้ึนไดใ้ นอนาคต กล่าวคือ วติ กในสิ่งท่ียงั มาไมถ่ ึง 5) ความกลวั (fearfulness) ต่างจากความวติ กกงั วลท่ีความกลวั เกิดแต่สิ่งที่ปรากฏใหเ้ ห็นอยา่ งชดั เจน มีพยานหลกั ฐานเป็นเคร่ืองยืนยนั หรืออาจเป็นภาพลวงตาท่ีเกิดข้ึน และก่อใหเ้ กิดการรับรู้ไดโ้ ดย ทางการสื่อสารทางใดทางหน่ึงเห็นอยา่ งชดั เจน เช่น กลวั ผี กลวั อนั ตราย กลวั ตาย กลวั โรคภยั ไข้ เจบ็ กลวั ความพา่ ยแพ้ 6) ความโกรธแค้น อาฆาต พยาบาท (anger, indignation, feud) คือ ความทุกข์ท่ีเกิดจากการถูก กระทาใหไ้ ดร้ ับความไม่พอใจ อบั อาย สูญเสีย ระดบั ความรุนแรงและข่นุ เคืองทางอารมณ์อาจเริ่ม จากสภาวะอารมณ์ท่ีเบาบางก่อนแลว้ มีการพฒั นามากข้ึนเป็ นขุ่นเคือง โกรธ แคน้ จนกระทง่ั อาฆาตพยาบาทซ่ึงรุนแรงที่สุด 7) ความสิ้นหวัง (despair) คือ ความทุกข์ท้งั หลายท้ังปวงที่อาจเกิดจากความผิดหวงั มากอย่าง ต่อเน่ือง จนในที่สุดกห็ มดสิ้นความหวงั จนไม่ตอ้ งการดารงชีวติ อยใู่ นโลกน้ีอีกต่อไป ผูว้ ิจยั นาความทุกข์ 7 ลกั ษณะดงั กล่าว มาสนทนาซักถามอย่างไม่เป็ นทางการจากนกั ศึกษาทว่ั ไปท่ีไม่ใช่กลุ่มตวั อย่างเพื่อสารวจลกั ษณะของความทุกข์ที่มกั จะเกิดในช่วงวยั รุ่นว่า ความทุกข์ 7 สถานการณ์น้ีมกั จะเกิดข้ึนกบั ชีวิตของนกั ศึกษาหรืออาจเกิดข้ึนกบั บุคคลใกลช้ ิดหรือเพ่ือนที่รู้จกั กนั เมื่อไร อยา่ งไรจากน้นั จึงนามาสร้างเป็ นสถานการณ์สมมติข้ึนโดยให้ใกลเ้ คียงกับคาอธิบายลกั ษณะความทุกข์ท้งั 7 ลกั ษณะดังกล่าวให้มากท่ีสุดตวั อยา่ งคาถามในสถานการณ์ความประหม่าและต่ืนเตน้ 1. สม้ ไดร้ ับการเลือกจากเพ่อื นๆ ใหช้ ่วยเป็ นพธิ ีกรในงานเล้ียงเกษียณอายรุ าชการของอาจารย์ และสม้ ก็ เตม็ ใจรับหนา้ ท่ีน้ี เพราะคดิ วา่ ตวั เองทาได้ เม่ือถึงวนั งาน สม้ ขาดความมนั่ ใจเป็ นอยา่ งมาก เพราะไม่ไดเ้ ตรียม ตวั ใดๆ เลย เธอเกิดความประหมา่ และต่ืนเตน้ อยา่ งมาก จนกระทงั่ ร้องไหอ้ อกมาในขณะที่ยนื ทาหนา้ ท่ีอยบู่ น เวที ถ้าคณุ เป็นเพ่ือนของส้ม คุณจะมีวิธีการพดู ปลอบใจเธออย่างไร เน่ืองจากผูว้ ิจยั ตอ้ งสมมติสถานการณ์ความทุกข์ดงั ที่กล่าวมาแลว้ ผูว้ ิจยั จึงใชว้ ิธีการเก็บขอ้ มูลโดยเลือกสร้างแบบสอบถามชนิดหน่วยสร้างบทสนทนา (Discourse Construction Questionnaires) เพื่อใหก้ ลุ่มตวั อยา่ งตอบแบบสอบถามโดยการเขียนคาตอบอยา่ งอิสระ เน่ืองจากการเกบ็ ขอ้ มูลจากสถานการณ์จริงผวู้ ิจยั จะไม่สามารถควบคุมระดบั ของความทุกขใ์ นแต่ละลกั ษณะได้ เพราะเหตุการณ์ท่ีบุคคลประสบความทุกขน์ ้นั ยอ่ มแตกต่างกนั ซ่ึงอาจมีผลต่อการเลือกใชก้ ลวิธีทางภาษาในการปลอบใจ ท้งั น้ีผูว้ ิจยั ไดน้ านิยามเง่ือนไขความเหมาะสมของการปลอบโยนของ รัศมี รักงาม (2558: 47) มาปรับใหเ้ หมาะสมกบั กล่มุ ขอ้ มูลเพื่อใชเ้ ป็นเกณฑก์ ารคดั เลือกขอ้ มลู ดงั น้ีเงื่อนไข การปลอบใจวจั นกรรมประพจน์ ผพู้ ดู กลา่ วถึงเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนในอดีตหรือเหตุการณ์ปัจจุบนั ของผฟู้ ัง
7การเตรียมการ ผพู้ ูดเช่ือวา่ การกระทาน้นั จะเป็นประโยชนส์ ูงสุดต่อผฟู้ ังและช่วยใหผ้ ฟู้ ังรู้สึก ผอ่ นคลายจากความทุกขไ์ ด้ความซื่อสตั ย์ ผพู้ ูดพยายามพูดใหผ้ ฟู้ ังเกิดความรู้สึกที่ดีข้ึนเง่ือนไขพนั ธะ ผฟู้ ังน่าจะรู้สึกดีและผอ่ นคลายจากความทุกข์ 3. ผูว้ ิจยั กาหนดกลุ่มตวั อย่างในการตอบแบบสอบถามเป็ นนกั ศึกษามหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี จานวน 60 คน แบ่งเป็นเพศชาย 30 คน และเพศหญิง 30 คน เก็บขอ้ มูลช่วงเดือน ธนั วาคม 2559 จากนกั ศึกษาท่ีมาใชบ้ ริการโรงอาหารของมหาวิทยาลยั ในช่วงเวลากลางวนั เนื่องจากการตอบแบบสอบถามตอ้ งใช้เวลาอ่านและเขียนตอบประมาณ 10 – 20 นาที จึงเลือกช่วงเวลาท่ีคาดว่าเป็นเวลาที่กลุ่มตวั อย่างว่างจากภารกิจอื่นๆและเตม็ ใจใหข้ อ้ มูลมากท่ีสุด 4. ผูว้ ิจยั คดั เลือกขอ้ มูลที่ตรงตามเงื่อนไขการปลอบใจ จากแบบสอบถาม 60 ชุด ชุดละ 7 ขอ้ รวมเป็ นคาตอบ 420 คาตอบ จากน้นั นาคาตอบท้งั หมดมาแบ่งเป็นถอ้ ยคา (utterance) โดยใชเ้ กณฑก์ ารเวน้ วรรคของคาตอบในแบบสอบถามแทนคาพูดท่ีมีช่วงระยะเวลาในการหยุดเป็ นตวั แบ่งจานวนถอ้ ยคา และเน้ือความที่สมบูรณ์ มีจานวนถอ้ ยคาท้งั หมด 1,633 ถอ้ ยคา คาตอบ 1 คาตอบในแต่ละสถานการณ์อาจมีถอ้ ยคาไดม้ ากกวา่ 1 ถอ้ ยคา เช่น “สม้ / ใจเยน็ ๆ นะ /ต้งั สติและมีสมาธิ/ แกสูๆ้ นะ /แกทาไดอ้ ยแู่ ลว้ ” (ความประหมา่ ) 5. หลงั จากน้นั จะนาแต่ละถอ้ ยคามาวิเคราะห์ว่าผูพ้ ูดใชก้ ลวิธีทางภาษาแบบใด โดยพิจารณาจากท้งั รูปภาษาและเน้ือความของคาตอบโดยใชแ้ นวคิดเร่ืองวจั นกรรมและวจั นปฏิบตั ิศาสตร์ 6. สรุปผลและอภิปรายผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลผลการวจิ ยั หลงั จากท่ีผูว้ ิจยั ไดร้ วบรวมขอ้ มูลท้งั หมดที่ไดจ้ ากคาตอบในแบบสอบถาม ผูว้ ิจยั ไดน้ าขอ้ มูลที่ไดม้ าวิเคราะห์เพ่ือหาว่ากลวิธีการพูดปลอบใจของนกั ศึกษามหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานีมีท้งั สิ้นกี่กลวธิ ี ผวู้ ิจยั พบวา่ นกั ศึกษามหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ วทิ ยาเขตปัตตานี มีกลวธิ ีการพดู ปลอบใจ ท้งั หมด 7 กลวิธีดงั น้ี 1. การบอกขอ้ เสนอ 2. การอธิบาย 3. การพดู ใหผ้ อ่ นคลาย 4. การเสริมแรงทางบวก 5. การแสดงตนเป็นผรู้ ่วมทุกข์ 6. การย้าความมนั่ ใจ และ 7. การแสดงความเห็นในเชิงลบ1. การบอกข้อเสนอ กลวิธีการบอกขอ้ เสนอ หมายถึง การท่ีผพู้ ูดกล่าวแนะนาผฟู้ ังใหท้ าหรือไม่ทาบางอยา่ งในอนาคต ซ่ึงผูพ้ ูดมองวา่ อาจเป็นหนทางแกไ้ ขปัญหาใหแ้ ก่ผฟู้ ังได้ หรืออาจไม่ใช่หนทางแกไ้ ขปัญหาเป็นแต่เพียงการแนะนาทวั่ ไปที่ผพู้ ูดเลง็ เห็นวา่ จะช่วยใหผ้ ฟู้ ังรู้สึกผอ่ นคลายจากความทุกขไ์ ด้ แบ่งเป็นกลวิธียอ่ ยไดด้ งั น้ี 1.1 กล่าวเสนอตวั เอง คือการท่ีผพู้ ูดเสนอหนทางแกป้ ัญหาโดยการอาสาเป็นผแู้ กไ้ ขปัญหาใหแ้ ก่ผฟู้ ังดว้ ยความเต็มใจ รูปภาษาที่ใชม้ กั จะมีคาบ่งช้ีเกี่ยวกบั การกระทาแบบขออาสา เพื่อใหผ้ ูฟ้ ังรู้สึกเบาใจ คลายความทุกข์และความวติ กกงั วล และเห็นหนทางออกของปัญหาน้นั ๆ
8 (1) “อ๋อ แมวตวั แค่น้ี โอเคครับ ไม่เป็นไร พอดีแฟนผมก็ชอบแมวเช่นกนั นั้นเด๋ียวผมอาสาเลยี้ ง ให้ละกนั ไม่เป็นไรนะเพื่อน ไมต่ อ้ งกงั วล ปี เดียวเองสบายมาก” (ความวิตกกงั วล) (2) “ไมเ่ ป็นไรนะ ถึงเวลาของเขาแลว้ เขากต็ อ้ งไป เดยี๋ วเราจะดูแลเธอเอง” (ความสิ้นหวงั ) การกล่าวปลอบดว้ ยกลวธิ ีการเสนอตวั เองของผพู้ ดู น้นั อาจกล่าวไดว้ า่ เป็นการแสดงความเป็นมิตรท่ีจริงใจของตวั ผพู้ ดู ต่อผฟู้ ัง จากตวั อยา่ ง (1) ท่ีเกิดข้ึนในสถานการณ์ความวติ กกงั วล ผฟู้ ังเป็นทุกขเ์ ร่ืองการตดั สินใจไปเรียนต่อต่างประเทศกบั การเล้ียงสัตว์ เมื่อผูพ้ ูดกล่าวปลอบใจดว้ ยการกล่าวว่า “ผมอาสา...” ก็เสมือนว่าปัญหาน้ันมีหนทางออกท่ีแน่ชดั จึงทาใหผ้ ูฟ้ ังรู้สึกคลายทุกขไ์ ด้ ส่วนตวั อย่างที่ (2) เกิดในสถานการณ์ท่ีรุนแรงกว่าคือผูฟ้ ังสูญเสียบุคคลที่รักและรู้สึกทาใจไม่ได้ ผูพ้ ูดจึงกล่าวถอ้ ยคาที่แสดงใหเ้ ห็นถึงความจริงใจโดยเสนอความช่วยเหลือใหแ้ ก่ผฟู้ ัง โดยใชค้ าวา่ “จะดูแลเอง” 1.2 กล่าวเสนอใหท้ าหรือไม่ทาบางอยา่ ง คือการที่ผพู้ ูดใหค้ าแนะนาโดยการเสนอแนวทางแกป้ ัญหาใหแ้ ก่คู่สนทนา แบบที่ไม่อาสาแกป้ ัญหาและไม่ใช่การบีบบงั คบั เพื่อทาใหผ้ ูฟ้ ังรู้สึกอึดอดั ใจ แต่เป็นการเสนอหนทางที่จะใหผ้ ฟู้ ังคลายทุกข์ หรือหวงั ผลใหผ้ ฟู้ ังรู้วา่ ตอ้ งทาอยา่ งไรต่อไปผูพ้ ูดอาจกล่าวเสนอแนะทางเลือกมากกวา่ หน่ึงทางในการปลอบใจคร้ังหน่ึงได้ รวมท้งั การเสนอใหผ้ ูฟ้ ังไม่กระทาบางอย่างดว้ ย กล่าวคือผพู้ ูดจะใชถ้ อ้ ยคาแสดงการหา้ ม หรือแนะนาวา่ ไม่ควรทาอะไรบางอย่างที่จะส่งผลไม่ดีต่อตวั ผฟู้ ัง โดยมกั จะมีคาวา่ “อย่า” ตามดว้ ยการกระทาบางอยา่ ง เช่น (3) “เหย้ ! ใจเยน็ ๆ ก่อนดิ ทุกอย่างมนั มีทางออก แกลองเอาไปฝากไว้กับคนที่เขาจะเลยี้ งให้ซิ อย่าง นอ้ ยมนั จะไดม้ ีคนดูแล พอแกกลบั มากค็ ่อยไปรับมนั คืนมากไ็ ด้” (ความวติ กกงั วล) จากตวั อยา่ งที่ (3) ผูพ้ ูดกล่าวเสนอใหผ้ ฟู้ ังแกไ้ ขปัญหาโดยการนาเอาสตั วเ์ ล้ียงไปฝากไวก้ บั คนอ่ืน และมารับคืนหลงั จากเรียนจบกลบั มาแลว้ โดยผพู้ ดู เลือกใชค้ า “ลอง” “กไ็ ด”้ เป็นคาท่ีแสดงการเสนอใหท้ าบางอยา่ งท่ีผพู้ ูดเห็นวา่ จะสามารถช่วยแกไ้ ขความวิตกกงั วลของผฟู้ ังได้ (4) กอแก้วอย่าไปสนใจภูมิกบั แพรเลย ในเมื่อภูมิทากับเธออย่างนีเ้ ธอกอ็ ย่าไปย่งุ กับเขาเลย ปล่อยให้ เป็นเร่ืองของเวรกรรมไปเถอะ สกั วนั พวกเขากต็ อ้ งเจอเวรกรรมตามสนอง เชื่อฉนั สิ (ความโกรธแคน้ ) จากตวั อยา่ งที่ (4) ผฟู้ ังกาลงั อยู่ในอารมณ์โกรธแคน้ ท่ีถูกเพื่อนกบั คนรักหกั หลงั ผพู้ ดู จึงกลา่ วปลอบใจดว้ ยการแนะใหผ้ ฟู้ ังไมก่ ระทาบางอยา่ งโดยใชค้ าแสดงการหา้ ม “อยา่ ...เลย” เพ่ือแสดงความปรารถนาดี ไมไ่ ดแ้ สดงเจตนาหา้ มไมใ่ หก้ ระทา แต่เสนอวา่ อยา่ งน้ีไมค่ วรกระทา2. การอธิบาย กลวิธีการอธิบาย คือ วิธีการท่ีผพู้ ดู ใชค้ าพูดแสดงความคิดของตนท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั เหตุการณ์อยา่ งมีตรรกะ ผู้พูดกล่าวถอ้ ยคาใหผ้ ฟู้ ังเขา้ ใจความสัมพนั ธ์ระหว่างเหตุและผลในสถานการณ์น้นั อาจมีการช้ีผลดีผลเสียของการกระทา การพูดใหผ้ ูฟ้ ังรู้สึกว่าความทุกขน์ ้ีเป็นเรื่องเลก็ หรือเร่ืองง่าย รวมท้งั การพยายามอา้ งอิงหลกั การหรืออา้ งอิงบุคคลสาคญั ท่ีมีผลต่อการดาเนินชีวิตของผูฟ้ ังเพื่อใหผ้ ูฟ้ ังรู้สึกดีและมีสติในการตดั สินใจ ซ่ึงถือเป็นกลวิธีหน่ึงในการปลอบประโลมจิตใจของผฟู้ ังได้ จาแนกเป็นกลวธิ ียอ่ ยไดด้ งั น้ี
9 2.1 การบอกผลของการกระทา คือการที่ผูพ้ ูดอธิบายความสัมพนั ธ์ของเหตุการณ์โดยยกเอาผลของการกระทามาอธิบายวา่ การลงมือกระทาบางอยา่ งจะส่งผลอยา่ งไร เช่น (5) “อย่าโพสตเ์ ลย ถึงโพสต์ไปเขาอับอายกจ็ ริง แต่ถ้าเขาไม่สานึกมันกเ็ ท่านั้น อย่าไปสนใจคน แยๆ่ แบบน้นั เลย คนที่ทาอะไรไวม้ นั กจ็ ะไดแ้ บบน้นั แหละ เช่ือเหอะ สกั วนั มนั ตอ้ งไดร้ ับบทเรียนจากสิ่งท่ี มนั ทา” (ความโกรธแคน้ ) จากตวั อยา่ งท่ี (5) ในสถานการณ์ความโกรธแคน้ ผพู้ ูดพยายามอธิบายผลของการโพสตข์ อ้ ความวา่ ถา้ หากโพสตไ์ ปแลว้ เขา “ไม่สานึกก็เท่าน้นั ” ซ่ึงเป็นการบอกผลว่าทาไปก็ไร้ประโยชน์ แลว้ กล่าวอธิบายความคิดของตน(ผพู้ ูด)ดว้ ยวา่ บุคคลท่ีเป็นตน้ เหตุของความทุกขน์ ้นั จะไดร้ ับผลของการกระทาของเขาเองซ่ึงเป็นการอธิบายเพื่อโนม้นา้ วไม่ใหโ้ พสต์ 2.2 ยกส่ิงอื่นมาชดเชยความผิดหวงั คือ การที่ผพู้ ูดกล่าวปลอบใจโดยอธิบายดว้ ยการยกเอาผลของอีกสิ่งหน่ึงมาชดเชยความผิดหวงั ของผูฟ้ ัง เพ่ือใหผ้ ฟู้ ังรู้สึกวา่ ถึงแมจ้ ะไม่ไดส้ ่ิงท่ีใจปรารถนา แต่ก็ยงั มีอีกสิ่งหน่ึงซ่ึงดีไม่แพก้ นั ส่ิงท่ีมาชดเชยน้ีอาจเป็นความสาเร็จอย่างอื่นหรือบุคคลอ่ืนท่ีผูพ้ ูดคิดวา่ สามารถมาทดแทนความรู้สึกผิดหวงัของผฟู้ ังได้ เช่น (6) “แกไม่ตอ้ งคิดมากนะ เกียรตินิยมมนั ก็แค่ความภาคภูมิใจ แต่ไม่สามารถสอนการทางานเรา ได้ กิจกรรมต่างหากที่จะทาให้เราทางานเป็นในอนาคต” (ความผดิ หวงั ) จากตวั อยา่ งที่ (6) ผพู้ ูดกล่าวถอ้ ยคาท่ีเป็นการอธิบายโดยยกเอา “กิจกรรม” มาเพื่อชดเชยความผิดหวงั จากการพลาด “เกียรตินิยม” ของผูฟ้ ัง เป็นการปลอบใจท่ีผพู้ ูดช้ีใหเ้ ห็นสิ่งดีๆ ที่ผูฟ้ ังมีอยแู่ ลว้ และสามารถทดแทนความผิดหวงั ได้ 2.3 การผ่อนน้าหนกั ของความทุกข์ คือการท่ีผูพ้ ูดกล่าวปลอบใจผูฟ้ ังดว้ ยการให้เหตุผลเขา้ ขา้ งผูฟ้ ัง ในลกั ษณะท่ีผ่อนน้าหนกั ความทุกข์ รวมท้งั ทาให้ดูเหมือนกบั ว่าความทุกข์ท่ีเกิดกบั ผูฟ้ ังน้นั เป็ นเพียงเรื่องเล็กน้อยหรือพูดใหด้ ูคลา้ ยกบั วา่ ผฟู้ ังไม่ไดเ้ ป็นผกู้ ระทาผิดพลาดซ่ึงเป็นสาเหตุของความกลวั ท่ีเกิดข้ึน เช่น (7) “ใจเยน็ ๆ ก่อนนะแจค็ ที่ทาไปเพราะว่านายขาดสติ นายไม่ได้จงใจกระทาซักหน่อย” (ความ กลวั ) จากตวั อย่างที่ (7) ผูพ้ ูดกล่าวถอ้ ยคาปลอบใจผูฟ้ ังโดยการอธิบายดว้ ยการพูดเขา้ ขา้ งว่าผูฟ้ ังไม่ไดเ้ จตนากระทาใหเ้ กิดปัญหาซ่ึงปัญหาน้นั เป็นตน้ เหตุของความทุกข์ ผพู้ ดู จึงใชค้ าปลอบเป็นการผอ่ นน้าหนกั ความทุกขข์ องผฟู้ ังใหร้ ู้สึกเบาบางลงดว้ ยคาวา่ “ไมไ่ ดจ้ งใจกระทาซกั หน่อย” 2.4 การยกหลกั คิดให้ผูฟ้ ังตระหนกั คือการที่ผูพ้ ูดกล่าวอธิบายเหตุและผลดว้ ยคาพูดท่ีเป็ นหลกั การ อาจไม่ไดม้ ีถอ้ ยคาที่เชื่อมโยงกบั สถานการณ์ความทุกขโ์ ดยตรง แต่ผูฟ้ ังสามารถเขา้ ใจและตีความตามบริบทไดว้ า่ ผพู้ ูดไม่ไดก้ ล่าวถอ้ ยคาน้นั ลอยๆ โดยไม่ไดเ้ จตนา แมว้ ่าจะไม่ไดก้ ล่าวปลอบใจอย่างชดั แจง้ แต่มีเจตนาที่ดีท่ีจะทาให้ผฟู้ ังเขา้ ใจสถานการณ์ไดม้ ากข้ึน เช่น (8) “เรียนรู้จากสิ่งท่ีผดิ พลาด แลว้ เอามาแกไ้ ขในปัจจุบนั ใหด้ ีที่สุด” (ความผิดหวงั )
10 จากตวั อยา่ งที่ (8) ในสถานการณ์ความผิดหวงั ผูพ้ ูดกล่าวถอ้ ยคาปลอบใจโดยยกเอาหลกั คิดที่ดูมีเหตุมีผลและน่าเชื่อถือมากล่าวเพื่อหวงั จะใหผ้ ฟู้ ังมีกาลงั ใจในการดาเนินชีวิตต่อไป โดยการบอกให้ “เรียนรู้” และ “แกไ้ ข”จะไดไ้ มต่ อ้ งจมอยกู่ บั ความทุกขท์ ี่กาลงั เผชิญอยู่ 2.5 การอา้ งแนวคิดทางศาสนา ผูน้ ับถือศาสนามกั จะมีวิธีคิดที่ผูกพนั กับแนวคิดทางศาสนา แนวคิดเหล่าน้นั ถูกใชเ้ ป็ นคาสอนหรือคาปลอบใจไดใ้ นยามที่ผูฟ้ ังตอ้ งเผชิญกบั เหตุการณ์ท่ีส่งผลใหเ้ กิดความทุกข์ ความเศร้าหมอง ความผิดหวงั ฯ ผพู้ ูดจึงมกั ใชร้ ูปภาษาที่บ่งช้ีแนวคิดที่ตนเองหรือผูฟ้ ังท่ีมีประสบการณ์ร่วมกนั จากขอ้ มูลผูว้ ิจยั พบว่ากลุ่มตวั อย่างไดน้ าแนวคิดทางศาสนามาใชแ้ สดงเจตนาการปลอบใจเพ่ือให้ผูฟ้ ังไดส้ ติ ให้ผูฟ้ ังนึกถึงเคร่ืองยึดเหนี่ยวทางใจที่เป็นส่วนสาคญั ในชีวิต เช่น ผนู้ บั ถือศาสนาอิสลามจะมีการอา้ งถึงพระผเู้ ป็นเจา้ ในฐานะผู้กาหนดชีวิต ส่วนผูน้ บั ถือศาสนาพุทธจะยกหลกั อนิจจงั หลกั กรรมและวิบากกรรมมาประกอบการปลอบใจ ดงัตวั อยา่ ง (9) “ฮูดา แกตอ้ งอดทนและทาใจให้ได้นะ ทุกอย่างอัลเลาะห์กาหนดไว้หมดแล้ว ทุกคนเกิด มาแล้ว สักวนั หนึ่งกต็ ้องกลบั ไปหาพระองค์” (ความสิ้นหวงั ) จากตวั อย่างท่ี (9) จะเห็นไดว้ ่าผูพ้ ูดพยายามอธิบายโดยอา้ งอิงหลกั คิดทางศาสนาอิสลาม คือ “ทุกอย่างอัลเลาะห์กาหนดไวห้ มดแลว้ ทุกคนเกิดมาแลว้ สักวนั หน่ึงก็ตอ้ งกลบั ไปหาพระองค์” ผูพ้ ูดไดอ้ า้ งอิงถึงพระนามของพระเจา้ ซ่ึงถือเป็ นหัวใจของผูน้ บั ถือศาสนาอิสลามเพ่ือให้ผฟู้ ังไดเ้ ขา้ ใจความจริงในทศั นะทางศาสนา เพราะเหตุการณ์อาจจะรุนแรงจนผูฟ้ ังรู้สึกสิ้นหวงั ดงั น้นั ผูพ้ ูดจึงใชห้ ลกั ศาสนาเขา้ มาเพื่อเยียวยาความรู้สึกของผูฟ้ ังให้คลอ้ ยตามไปดว้ ย (10) “กอแกว้ อย่าไปสนใจภูมิกบั แพรเลย ในเม่ือภูมิทากบั เธออย่างน้ี เธอก็อย่าไปยุ่งกบั เขาเลย ปล่อยให้เป็ นเรื่องของเวรกรรมไปเถอะ สักวันพวกเขากต็ ้องเจอเวรกรรมตามสนอง เช่ือฉนั สิ” (ความ โกรธแคน้ ) ตวั อย่างท่ี (10) เห็นไดว้ ่าคาพูดท่ีเตือนสติโดยอา้ งอิงหลกั คิดทางศาสนาพุทธ คือ “ปล่อยใหเ้ ป็นเร่ืองของเวรกรรมไปเถอะ สักวนั พวกเขาก็ตอ้ งเจอเวรกรรมตามสนอง” การท่ีผูพ้ ูดกล่าวถึงเรื่องเวรกรรมตามสนองก็เป็นเพราะผูพ้ ูดอาจก็มีความเช่ือตามแนวคิดพุทธศาสนาท่ีว่า “บุคคลย่อมไดร้ ับผลของการกระทา” ผูพ้ ูดจึงนาแนวคิดเหล่าน้ีมากล่าวโดยมุ่งหวงั ว่าผูฟ้ ังอาจฉุกคิดและมีสติมากข้ึน ไม่คิดส้ัน ไม่คิดทาร้ายหรือทาลายผูอ้ ื่นเพราะความโกรธแค้นของตนเองเพราะเช่ือว่าใครทาไม่ดีก็จะได้รับผลไม่ดีตอบแทน หรือลดความกระวนกระวายในสถานการณ์ข่นุ เคืองลง 2.6 การอา้ งถึงบุคคลสาคญั คือ การท่ีผูพ้ ูดอธิบายโดยกล่าวอา้ งอิงถึงบุคคลอื่นที่มีความสาคญั และมีอิทธิพลต่อจิตใจ เพ่ือเชื่อมโยงความคิดความรู้สึกของผูฟ้ ังให้คลอ้ ยตามผูพ้ ูดไดง้ ่ายข้ึน เป็ นการกล่าวถอ้ ยคาเพื่อแสดงเจตนาเตือนสติใหผ้ ฟู้ ังตระหนกั ถึงความรักความหวงั ดีของบุคคลต่างๆ ที่มีความสาคญั ต่อผฟู้ ังมาก อยา่ งเช่นพ่อ แม่ คนรัก หรือคนในครอบครัว คนรอบขา้ ง เช่น (11) “เปร้ียวตอ้ งเปล่ียนแปลงตวั เองนะ พ่อกับแม่ของเปรี้ยวเขารอความสาเร็จของเปรี้ยวอยู่” (ความอบั อาย ละอายแก่ใจ)
11 จากตวั อยา่ งที่ (11) จะเห็นไดว้ ่าผพู้ ูดพยายามปลอบใจโดยการอธิบายและยกเอา พ่อ แม่ ของผูฟ้ ังมากล่าวเพ่ือจูงใจใหผ้ ฟู้ ังมีกาลงั ใจที่จะแกไ้ ขปัญหา เพราะมีแรงผลกั ดนั ที่เกิดจากถอ้ ยคาแสดงเจตนาเตือนสติของผพู้ ูด ซ่ึงสามารถเป็นแรงกระตุน้ ใหผ้ ฟู้ ังไมจ่ มปลกั กบั ความผิดหรือปัญหาท่ีเกิดข้ึนแต่ใหล้ กุ ข้ึนเพ่ือแกไ้ ขใหด้ ีกวา่ เดิม3. การพดู ให้รู้สึกผ่อนคลาย กลวิธีการพูดให้รู้สึกผ่อนคลาย คือ วิธีการพูดที่ผพู้ ูดพยายามกล่าวถอ้ ยคาเพื่อบรรเทาความรู้สึกทุกขข์ องผฟู้ ังใหล้ ดนอ้ ยลง จาแนกเป็นกลวธิ ียอ่ ยไดด้ งั น้ี 3.1 การกล่าวคาลดความกงั วล คือ การที่ผพู้ ูดแสดงเจตนาปลอบใจผฟู้ ังดว้ ยการกล่าวคาวา่ ใจเยน็ ไม่เป็นไร ไม่ตอ้ งกงั วล อย่าวิตก อย่าเครียด ถึงแมจ้ ะมีคาท่ีแสดงการหา้ ม “อย่า” “ไม่ตอ้ ง” อยา่ งชดั เจน แต่ผูว้ ิจยั ไม่จดัถอ้ ยคาประเภทน้ีไวใ้ นประเด็น 5.2 การเสนอใหท้ าหรือไม่ทาบางอย่าง เนื่องจากผูว้ ิจยั ตีความจากเจตนาของการส่ือสารตามบริบทวา่ ผพู้ ูดปรารถนาท่ีจะลดความรู้สึกดา้ นลบของผฟู้ ังดว้ ยการบอกวา่ “อยา่ เครียด” “อยา่ กงั วล” “ไม่ตอ้ งเครียด” “ไม่ตอ้ งกงั วล” มากกว่าเจตนาจะ “หา้ มไม่ใหก้ ระทา” ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั ผลการศึกษาของ รัศมี รักงาม(2558) และ นทั ธฤทยั สีหะเกรียงไกร (2549) ที่จดั ใหค้ าวา่ “ไม่ตอ้ ง” “ไม่” “อยา่ ” ร่วมกบั คาท่ีบอกความรู้สึกดา้ นลบ เช่น “เป็นห่วง” “คิดมาก” “กงั วล” เพ่ือเจตนาปลอบใหผ้ ฟู้ ังผอ่ นคลายจากความทุกขท์ ี่กาลงั เผชิญอยู่ เช่น (12) “ไม่เป็นไรนะส้ม เป็นเรากค็ งตื่นเตน้ ไมแ่ พก้ นั ” (ความประหม่า) (13) “สม้ ไม่เป็นอะไร ไม่ต้องกังวลนะ อย่าคิดมาก เธอทาไดอ้ ยแู่ ลว้ ใจเยน็ ๆนะ” (ความ ประหมา่ ) คาว่า “ไม่เป็ นไร” เป็ นคาที่มีหนา้ ที่หลากหลายข้ึนอยู่กบั บริบทการส่ือสาร ตามที่ทศั นีย์ เมฆถาวรวฒั นา(2554) กล่าววา่ คาวา่ ไมเ่ ป็นไร สื่อความหมายตรงได้ 3 ความหมายคือ 1) ไมไ่ ดร้ ับผลกระทบ 2) ยอมรับได้ และ 3)ไม่ตอ้ งกงั วล ส่ือความหมายทางวจั นปฏิบตั ิศาสตร์ได้ 4 ความหมาย คือ 1) ปลอบใจ 2) ปฏิเสธ 3) ใหอ้ ภยั และ 4)ตอบรับคาขอบคุณ ซ่ึง “ไม่เป็ นไร” ท่ีปรากฏในตวั อย่างท่ี (12) และ (13) น้นั เป็ นเจตนาของผูพ้ ูดที่จะกล่าวคาน้ีเพื่อใหผ้ ฟู้ ังคลายจากความวิตกกงั วล ส่วนตวั อยา่ งท่ี (13) นอกจากผพู้ ูดจะกลา่ วปลอบใจดว้ ยคาวา่ ไม่เป็นไรแลว้ ยงักล่าวถอ้ ยคาใหผ้ ูฟ้ ังผ่อนคลายโดยการกล่าวว่า “ไม่ตอ้ งกงั วล” “อย่าคิดมาก” และ “ใจเยน็ ๆ” ดว้ ย คาว่า “ใจเยน็ ”เป็ นคากล่าวปลอบใจที่มกั ปรากฏในสถานการณ์ที่ผูฟ้ ังกาลงั กระวนกระวายใจ ร้อนรนใจ เช่น ความกลวั ความโกรธแคน้ หรือความประหมา่ กไ็ ดเ้ ช่นกนั ผพู้ ดู ใชค้ าบ่งช้ี “ใจเยน็ ” เพ่ือย้งั อารมณ์ ความคิด ไมใ่ หผ้ ฟู้ ังเกิดความทุกข์มากไปกวา่ เดิม หรือไม่ใหผ้ ฟู้ ังคิดทาการใดเป็นการผลีผลามอยา่ งไมม่ ีสติ 3.2 การกล่าวคาเสริมกาลงั ใจ คือ การท่ีผูพ้ ูดกล่าวถอ้ ยคาท่ีบอกเจตนาว่าตนจะเป็ นกาลงั ใจใหผ้ ูฟ้ ัง หรือกล่าวถอ้ ยคาเพื่อเพ่ิมความรู้สึกดา้ นบวกของผูฟ้ ังให้มีกาลงั ใจข้ึน ของตนเองชดั เจนว่าตอ้ งการให้ผูฟ้ ังมีกาลงั ใจเพ่ิมข้ึน มกั มีรูปประโยคท่ีบ่งบอกใหผ้ ฟู้ ังรู้ชดั เจนวา่ ผพู้ ดู จะเป็นกาลงั ใจให้ (13) “เธอมีบทเรียนแลว้ นะ หวงั วา่ เธอจะไมท่ าแลว้ จบชา้ ไม่เป็นไรนะ ต้งั ใจเรียน เราเป็น กาลงั ใจให้นะ” (ความอบั อาย ละอายแก่ใจ) (14) “สูต้ ่อไปนะฮูดา เดย๋ี วทุกอย่างกจ็ ะดีขึน้ เองนะ” (ความสิ้นหวงั )
12 จากตวั อย่างท่ี (13) ผูพ้ ูดเจตนากล่าวเสริมกาลงั ใจผูฟ้ ังดว้ ยการบอกอย่างชดั แจง้ ว่าตนจะเป็ นกาลงั ใจให้ส่วนตวั อยา่ งที่ (14) ผพู้ ูดกลา่ ววา่ “เด๋ียวทุกอยา่ งกด็ ีข้ึนเองนะ” เป็นถอ้ ยคาที่พยายามสร้างเสริมกาลงั ใจผฟู้ ังดว้ ยการใชค้ าท่ีบ่งเวลาวา่ “เดี๋ยว” ซ่ึงมีความหมายถึงช่วงเวลาท่ีใกลจ้ ะมาถึง และใชค้ าวา่ “ดีข้ึน” เพ่ือทาใหผ้ ฟู้ ังมีความรู้สึกท่ีดีต่อสถานการณ์ที่เผชิญอยไู่ ด้ 3.3 การกล่าวคาแสดงความห่วงใย คือการแสดงความเอาใจใส่ความรู้สึกของผูฟ้ ัง ภาสพงศ์ ผิวพอใช้(2545) จดั ให้การเอ่ยปลอบใจเป็ นรูปแบบหน่ึงของการแสดงความห่วงใจในวจั นกรรมการตอบรับคาขอโทษเนื่องจากการปลอบใจเป็นการรักษาสัมพนั ธภาพระหวา่ งผูพ้ ูดกบั ผฟู้ ัง โดยเฉพาะในสถานการณ์ท่ีตอ้ งมีการเอ่ยคาขอโทษ ในงานวิจยั น้ีผูว้ ิจยั พบว่า ผูพ้ ูดกล่าวคาแสดงความห่วงใยผฟู้ ังโดยใชค้ าวา่ “โอเคนะ” แลว้ ตามดว้ ยชื่อของผฟู้ ัง จากขอ้ มลู คาตอบ การกลา่ วคาแสดงความห่วงใยลกั ษณะน้ีปรากฏเพียง 2 คร้ัง ไดแ้ ก่ (15) “โอเคนะเปรี้ยว ช่างเขา ใครจะพดู อยา่ งไรอยา่ ไปสนใจ เรารู้ตวั เรา และเรากส็ ามารถเร่ิมตน้ ใหม่กบั ชีวิตได้ อยา่ ไปซีเรียสกบั เรื่องแค่น้ี สูๆ้ โวย้ ยงั มีเพื่อนใหก้ าลงั ใจนะ” (ความอบั อาย ละอายแก่ใจ) (16) “โอเคนะแจค็ ไม่เป็นไร ปล่อยมนั พวกรุ่นพ่ีแบบน้นั อยา่ ไปนบั ถือมนั ไมต่ อ้ งกงั วลเรื่องติด เช้ืออะไรหรอก มึงยงั มีเรา มีไรปรึกษาได”้ (ความกลวั ) จากตวั อยา่ งที่ (15) และ (16) ผพู้ ูดใชค้ าวา่ “โอเคนะ” แลว้ ตามดว้ ยช่ือผฟู้ ัง ในตาแหน่งตน้ ประโยคของการสนทนา แสดงใหเ้ ห็นวา่ ผพู้ ูดกาลงั ใส่ใจและประเมินความรู้สึกของผฟู้ ังทนั ที ก่อนท่ีจะกล่าวถอ้ ยคาใดๆ ออกมา แม้คาวา่ “โอเค” จะไม่ไดม้ ีรูปเป็นคาถามที่แสดงความห่วงใยอยา่ งคาว่า “เป็นอะไรมากไหม” หรือ “เป็นอย่างไรบา้ ง”แต่จากบริบทการส่ือสารในสถานการณ์ที่ผูฟ้ ังกาลงั เผชิญกบั ความทุกขน์ ้นั ผพู้ ูดกล่าวถอ้ ยคาน้ีข้ึนมาเพื่อตอ้ งการประเมินค่าความรู้สึกของผูฟ้ ังและหวงั วา่ ความรู้สึกของผูฟ้ ังจะดีข้ึน ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั งานวิจยั ของ วีณา วฒุ ิจานงค์(2016) ที่กลา่ ววา่ คาวา่ “โอเค” ที่มีความหมายในเชิงประเมินค่าไมส่ ามารถระบุความหมายไดอ้ ยา่ งแน่ชดั เพราะแนวกาหนดในใจ (Norm) ของแต่ละคนแตกต่างกนั เกณฑใ์ นการประเมินค่าของแต่ละคนจึงยอ่ มต่างกนั เช่นบทสนทนาของครูกบั ลูกศิษยว์ ่า “ครูเพ่ิงกลบั จากงานเผาพ่อ อ.กลั ยา” ลูกศิษยบ์ อกวา่ “หา เฮ่ย ไม่รู้เรื่อง อ.กลั ยาโอเคไหมคะ”ครูตอบวา่ “โอเค”4. การกล่าวเสริมแรงทางบวก กลวิธีกล่าวคาเสริมแรงทางบวก หมายถึง การท่ีผพู้ ูดเลือกถอ้ ยคาท่ีดี คาพดู ยกยอ่ ง หรือคาชมเชย หรือคาท่ีแสดงความคาดหวงั ในส่ิงดีๆ ที่จะเกิดในอนาคตมากลา่ วใหผ้ ฟู้ ังรู้สึกบรรเทาความทุกข์ แบ่งเป็นกลวธิ ียอ่ ยได้ ดงั น้ี 4.1 การแสดงความเชื่อมน่ั ในตัวผูฟ้ ัง คือ การท่ีผูพ้ ูดแสดงความรู้สึกม่ันใจและเชื่อมนั่ ว่าผูฟ้ ังจะมีความสามารถ หรือศกั ยภาพเพียงพอที่จะทาอย่างใดอย่างหน่ึงได้ รวมท้งั การแสดงความมน่ั ใจของผูพ้ ูดที่มีต่อเหตุการณ์ท่ีผูฟ้ ังกาลงั รู้สึกทุกข์ การกล่าวแสดงความเชื่อมนั่ จะช่วยใหผ้ ูฟ้ ังเกิดกาลงั ใจ กลา้ เผชิญความจริง มีจิตใจมน่ั คง มกั ปรากฏคาบ่งช้ีวา่ “ทาได”้ “อยแู่ ลว้ ” “ฉนั เชื่อวา่ ...” อยใู่ นขอ้ ความ เช่น (17) “สม้ ใจเยน็ ๆ นะ ต้งั สติและมีสมาธิ แกสูส้ ูน้ ะ แกทาได้อย่แู ล้ว” (ความประหมา่ ) (18) “ในเมื่อเทอมน้ีผลกอ็ อกมาแลว้ ยงั ไงกส็ ูๆ้ แลว้ กนั นะ เช่ือว่ากฤษฎาจะต้องทาได้ดกี ว่าเทอมนี้ อย่างแน่นอน เราเช่ือแบบนั้นนะ” (ความผดิ หวงั )
13 จากตวั อยา่ งที่ยกมาท้งั ตวั อยา่ งที่ (17) และ (18) ผพู้ ูดกลา่ วปลอบใจดว้ ยการเสริมแรงทางบวกโดยการแสดงความเชื่อมนั่ ในตวั ผูฟ้ ัง โดยผูพ้ ูดเลือกใชร้ ูปประโยคท่ีแสดงออกถึงพลงั ความเช่ือมน่ั วา่ “ทาไดอ้ ย่แู ลว้ ” “เช่ือวา่ ...อยา่ งแน่นอน” เพ่ือเสริมแรงใหผ้ ฟู้ ังคลายใจและเกิดความมน่ั ใจในตวั เอง 4.2 การชม คือ การพูดที่ส่งผลใหผ้ ฟู้ ังรู้สึกดี ผพู้ ูดมกั ใชถ้ อ้ ยคาชมเชยหรือช่ืนชมความสามารถหรือการกระทาบางอยา่ งของผฟู้ ัง หรืออาจชมรูปร่างหนา้ ตา ท้งั น้ีมีเจตนาเพ่ือใหผ้ ฟู้ ังรู้สึกมีความมน่ั ใจในตวั เองมากข้ึน เป็นคาพดู เสริมแรงทางบวกท่ีส่งผลใหผ้ ฟู้ ังรู้สึกภาคภูมิใจและพอใจในตนเอง เช่น (19) “อย่าคิดมาก และควรบอกที่บา้ นใหร้ ู้เพราะยงั ไงครอบครัวกค็ ือพอ่ แม่ของเรา แค่เล้ียงสตั ว์ กค็ งจะไม่ใจดาเกินไป และอีกอย่างเธอกเ็ ป็นคนดี เรียนเก่ง สอบชิงทุนได้ ลองคุยกบั ท่ีบา้ น และปรึกษากนั คงจะดีข้ึน” (ความวิตกกงั วล) ตัวอย่างที่ (19) เป็ นสถานการณ์ความวิตกกังวล ผูพ้ ูดกล่าวปลอบใจโดยการชมผูฟ้ ังเพื่อให้ผูฟ้ ังเกิดความรู้สึกดา้ นบวก มน่ั ใจและพอใจ แต่เป็ นการชมโดยการกล่าวถึงบริบทอ่ืนๆ ของผูฟ้ ัง คือ “คนดี” “เรียนเก่ง”“สอบชิงทุนได”้ ไม่เก่ียวขอ้ งกบั ความทุกขท์ ่ีผฟู้ ังกาลงั เผชิญแสดงใหเ้ ห็นว่าผพู้ ูดมีความใกลช้ ิดและเอาใจใส่ต่อตวัผฟู้ ังเป็นอยา่ งดี แต่เป็นการพยายามท่ีจะทาใหผ้ ฟู้ ังรู้สึกดีและสบายใจข้ึน 4.3 การแสดงความคาดหวงั คือ การที่ผพู้ ูดกลา่ วถอ้ ยคาที่มีความหมายสื่อถึงความหวงั ความปรารถนาสิ่งท่ีดีท่ีจะเกิดข้ึนกบั ผฟู้ ังในอนาคต หรือการคาดการณ์เหตุการณ์ในทางท่ีดีเพื่อใหผ้ ฟู้ ังรู้สึกดีตามถอ้ ยคาของผปู้ ลอบใจโดยใชค้ าที่ส่ือถึงเวลาท่ียงั มาไม่ถึง ไดแ้ ก่ “คร้ังหนา้ ” “คราวหนา้ ” หรือกริยาวลี “คง” “คงจะ” “บางที” “อาจจะ”แลว้ มกั จะตามดว้ ยคาท่ีแสดงความแน่ใจ เช่นคาวา่ “แน่ๆ” “แน่นอน” “นะ” เช่น (21) “ไม่ตอ้ งร้องไห้ ไม่เป็ นไรนะส้ม เราเช่ือว่าส้มทาดีแลว้ ร้องไปก็กลบั ไปแกไ้ ขอะไรไม่ได้ แลว้ คราวหน้าส้มทาได้ดีกว่านีแ้ น่ๆ (ความประหม่า) (22) อยา่ ทาแบบน้นั เลย ปล่อยใหส้ งั คมลงโทษเขาเองแหละ ขนาดเพื่อนรักอยา่ งแกแพรยงั หกั หลงั ไดแ้ ลว้ นบั ประสาอะไรกบั คนอื่นๆละ บางครั้งแกอาจจะได้เจอกับคนท่ีดีกว่าพ่ีภูมิอีกกเ็ ป็นไปได้ (ความโกรธแคน้ ) ตวั อยา่ งท่ี (21) และ (22) ผพู้ ดู กลา่ วถอ้ ยคาปลอบใจโดยวิธีแสดงความคาดหวงั เหตุการณ์ในอนาคตโดยใช้คาบ่งเวลาว่า “คราวหนา้ ” และใชก้ ริยาวลีว่า“ทาไดด้ ีกวา่ น้ีแน่ๆ” เพ่ือใหผ้ ูฟ้ ังรู้สึกมน่ั ใจวา่ จะตอ้ งทาได้ รวมท้งั พูดคาดเดาเหตุการณ์ท่ียงั มาไม่ถึงวา่ “บางคร้ัง...อาจจะ” “กเ็ ป็นไปได”้ แมจ้ ะไมไ่ ดแ้ สดงความมนั่ ใจอยา่ งเตม็ ท่ีแต่กเ็ ป็ นการแสดงใหผ้ ฟู้ ังเห็นวา่ โอกาสยงั มีเป็นเจตนาท่ีจะเสริมความรู้สึกทางบวกใหผ้ ฟู้ ัง5. การแสดงตนเป็ นผ้รู ่วมทุกข์ กลวิธีการแสดงตนเป็นผรู้ ่วมทุกข์ เป็นวิธีการหน่ึงท่ีผพู้ ดู จะแสดงถึงความเขา้ อกเขา้ ใจถึงสถานการณ์ความทุกขท์ ี่เกิดข้ึนกบั ผฟู้ ัง ดว้ ยการแสดงตนเองเป็นผรู้ ่วมในเหตุการณ์หรือร่วมในความรู้สึก ผพู้ ดู มกั กลา่ ววา่ มีความรู้สึกทุกขแ์ บบเดียวกนั กบั ผฟู้ ัง ดว้ ยการใชค้ าบ่งช้ีการมีส่วนเกี่ยวขอ้ งว่าตนเองเขา้ ใจความรู้สึกของผฟู้ ังเป็นอยา่ งดี หรือ
14อาจแสดงว่าตวั ผูพ้ ูดเองก็เคยมีประสบการณ์ทานองเดียวกนั มาก่อน แต่ก็ยงั สามารถผ่านพน้ ไปได้ หรือยกเอาตวั อย่างท่ีเคยเกิดกบั คนรอบขา้ งซ่ึงผูพ้ ูดคิดว่าจะสามารถเป็ นอุทาหรณ์ให้แก่ผูฟ้ ังได้ รวมท้งั ผูพ้ ูดยงั กล่าวถอ้ ยคาแสดงตนเองวา่ จะอยเู่ คียงขา้ งผฟู้ ังในฐานะผทู้ ี่เขา้ ใจความรู้สึก จาแนกเป็นกลวธิ ียอ่ ยไดด้ งั น้ี 5.1 การกล่าวแสดงความเขา้ ใจ คือการที่ผพู้ ูดกล่าวถอ้ ยคาว่าตนเป็นผเู้ ขา้ ใจในความทุกขท์ ี่เกิดกบั ผฟู้ ัง ซ่ึงถือเป็ นการแสดงความจริงใจท่ีผูพ้ ูดสามารถแสดงออกได้ ที่แสดงถึงความเขา้ ใจความรู้สึกของผูฟ้ ัง หรือเขา้ ใจสถานการณ์ที่เกิดข้ึนเป็นอยา่ งดี มีการใชค้ าที่บ่งช้ีวา่ “ฉนั เขา้ ใจ” “ฉนั รู้” เช่น (23) “ร้องไหใ้ หพ้ อนะ ฉันรู้ว่าเธอเสียใจมากขนาดไหน แต่เธอคิดวา่ อรั ฟานจะมีความสุขไหมท่ี เห็นเธอเป็นแบบน้ี ถา้ เขารู้วา่ เธอกลายเป็นแบบน้ี เขากจ็ ะยิ่งเสียใจนะ ฉนั อยขู่ า้ งแกเสมอนะ” (ความสิ้น หวงั ) ในสถานการณ์ความทุกข์ หลายๆ คร้ังท่ีผปู้ ระสบความทุกขอ์ าจไม่ไดต้ อ้ งการหนทางแกไ้ ขปัญหา หรือไม่ตอ้ งการคาแนะนาจากเพ่ือน แต่ตอ้ งการ “ผฟู้ ัง” ที่ดี เพราะคาดหวงั วา่ ผฟู้ ังจะทาหนา้ ท่ี “รับฟัง” เพ่ือใหค้ ลายความทุกข์ ดงั น้ัน เมื่อผูพ้ ูดรู้สึก “อยากช่วย” ก็มกั จะแสดงการรับรู้ หรือเขา้ ใจปัญหาของผูฟ้ ังโดยการแสดงความเขา้ใจความทุกขด์ งั กลา่ วโดยใชค้ ากริยาบ่งการกระทาวา่ “ฉนั รู้” 5.2 การยกอุทาหรณ์ คือการที่ผูพ้ ูดยกเอาเหตุการณ์ท่ีเคยเกิดข้ึนแลว้ ก่อนหนา้ น้ีมาเทียบกบั เหตุการณ์ในปัจจุบนั อาจเป็ นเหตุการณ์ท่ีเคยเกิดข้ึนกบั ตวั ผูฟ้ ังเอง หรือเกิดกบั ตวั ผูพ้ ูด หรือเหตุการณ์ที่เคยเกิดกบั คนอื่นก็ได้โดยการเทียบเคียงเหตุการณ์ที่คลา้ ยคลึงกนั เพ่ือใหผ้ ูฟ้ ังรู้สึกว่าปัญหาน้ีเป็ นเร่ืองธรรมดาท่ีเคยเกิดข้ึนและสามารถแกไ้ ขได้ เช่น (24) “เธอได้ C ได้ D แต่ฉันติด E ยังไม่เครียดเลย พอ่ แม่เขารับไดแ้ หละ ค่อยๆ บอก ค่อยๆ อธิบายวา่ มนั ยาก เกรดไมใ่ ช่ทุกส่ิงทุกอยา่ งของชีวติ ” (ความผิดหวงั ) จากตวั อยา่ ง (24) ในสถานการณ์ที่ผฟู้ ังรู้สึกผิดหวงั ท่ีตนเองไม่ไดเ้ กียรตินิยม และผลการเรียนตกลง ผพู้ ูดจึงยกเอาประสบการณ์ที่ตนเองเคยไดเ้ กรด E มากล่าวเทียบเคียงให้ผูฟ้ ังรู้สึกว่า ความทุกข์ของผูฟ้ ังน้นั เป็ นเร่ืองเลก็ นอ้ ยเม่ือเทียบกบั เร่ืองของผพู้ ูด แต่ผพู้ ดู กย็ งั สามารถผา่ นเหตุการณ์ความทุกขน์ ้นั มาได้ 5.3 การกล่าวแสดงความเสียใจ คือการที่ผพู้ ดู กล่าวถอ้ ยคาปลอบใจดว้ ยการแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ร้ายท่ีเกิดข้ึนกบั ผฟู้ ัง ผูพ้ ูดใชร้ ูปประโยคที่บ่งช้ีว่า “เสียใจ” เพื่อแสดงความรู้สึกของตนเอง การกล่าวว่า “ฉนั เสียใจ”มกั เจอในเง่ือนไขสถานการณ์ความทุกขท์ ่ีค่อนขา้ งรุนแรง เช่น (25) “เราเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึน้ ด้วยนะฮูดา เธอทาใจใหไ้ ดน้ ะ ชีวติ เธอยงั คงตอ้ งดาเนินต่อไป เรา เป็นกาลงั ใจใหเ้ ธอ อดทนและต่อสูก้ บั วนั ขา้ งหนา้ นะฮูดา” (ความสิ้นหวงั ) ตวั อยา่ งท่ี (25) เป็นสถานการณ์ความสิ้นหวงั ที่ผฟู้ ังตอ้ งสูญเสียบุคคลอนั เป็นท่ีรักไปจึงทาใจไม่ได้ ผพู้ ูดจึงกลา่ วถอ้ ยคาปลอบใจโดยการบอกความรู้สึกของตนเองใหผ้ ูฟ้ ังทราบโดยใชร้ ูปประโยคท่ีชดั เจนวา่ “เราเสียใจ” เป็นการแสดงไมตรีวา่ ผพู้ ูดกร็ ับรู้และร่วมรู้สึกในความทุกขข์ องผฟู้ ังดว้ ยเช่นกนั
15 5.4 การเสนอตวั เป็ นผูอ้ ย่เู คียงขา้ ง คือการที่ผูพ้ ูดกล่าวถอ้ ยคาผูกมดั ตนเองว่าเป็นผูร้ ่วมในความทุกขข์ องผูฟ้ ัง พร้อมเสนอว่าจะอยู่เคียงขา้ ง และสู้ไปพร้อมๆ กนั เพื่อใหผ้ ูฟ้ ังรู้สึกมนั่ ใจและไม่โดดเด่ียว แต่ไม่ใช่การแนะหนทางแกไ้ ขปัญหาใหผ้ ฟู้ ัง เป็นเพียงถอ้ ยคาท่ีบอกวา่ ตนจะคอยอยขู่ า้ งๆ ผฟู้ ัง เช่น (26) “อยา่ คิดมาก คนเรามีผดิ พลาดกนั ได้ เริ่มใหม่ยงั ไม่สาย เราอย่เู คียงข้างเธอนะ สูๆ้ ไป ดว้ ยกนั ” (ความผดิ หวงั ) ตวั อยา่ งท่ี (26) ผพู้ ดู แสดงตนเป็นผรู้ ่วมในความทุกขข์ องผฟู้ ังดว้ ยการกลา่ วถอ้ ยคาในลกั ษณะการผกู มดัตนเองวา่ จะ “อยเู่ คียงขา้ ง” ผฟู้ ัง เพ่ือใหผ้ ฟู้ ังรู้สึกอุ่นใจและไม่โดดเดี่ยวสิ้นหวงั แมว้ า่ ผพู้ ูดจะไมไ่ ดเ้ สนอทางออกของความทุกขอ์ ยา่ งชดั เจนแต่การเสนอตวั วา่ จะคอยอยเู่ คียงขา้ งกม็ ีผลทาใหผ้ ฟู้ ังเกิดความรู้สึกในเชิงบวกได้6. การยา้ ความมนั่ ใจ กลวิธีการย้าความมนั่ ใจ คือ การท่ีผูพ้ ูดแสดงความจริงใจ และความมนั่ ใจของตนเอง โดยใชว้ จั นกรรมสัญญาหรือการรับปากเพื่อใหผ้ ฟู้ ังรู้สึกมีความเชื่อมนั่ หรือพูดเพ่ือใหผ้ ฟู้ ังมน่ั ใจได้ และแน่ใจโดยการใชค้ าบ่งช้ีว่า“เช่ือสิ” “เชื่อฉนั ” เพราะผพู้ ูดเองพูดโดยที่มีพ้ืนฐานความเช่ือเช่นน้นั อยแู่ ลว้ เช่น (27) มึงไม่ตอ้ งกลวั หรอก รุ่นพี่คงไมเ่ อาเรื่องน้ีไปพดู คุยสนุกปากหรอก เชื่อกู (ความกลวั ) (28) เราจะเป็นคนเล้ียงแมวใหเ้ ธอเอง เราจะรักมนั เหมือนกบั ท่ีเธอรักนะ (ความวิตกกงั วล) ตวั อยา่ งท่ี (27) เกิดในสถานการณ์ความกลวั ผพู้ ดู กลา่ วถอ้ ยคา “เช่ือก”ู หลงั จากอธิบายความคิดของตนเองต่อปัญหาที่เกิดข้ึน และย้าความมน่ั ใจใหผ้ ูฟ้ ังรู้สึกเช่ือมนั่ ในคาอธิบายน้นั ส่วนตวั อยา่ งที่ (28) เกิดในสถานการณ์ความวติ กกงั วล ผฟู้ ังกาลงั วติ กวา่ จะทาอยา่ งไรกบั แมวท่ีเล้ียงไวใ้ นขณะที่ตนเองตอ้ งไปเรียนต่างประเทศ ผพู้ ดู กล่าวถอ้ ยคาปลอบใจโดยวิธีเสนอความช่วยเหลือวา่ ตนจะเป็ นคนเล้ียงให้ และยงั กล่าวใหค้ ามนั่ สัญญาเพ่ือให้ผูฟ้ ังรู้สึกสบายใจคลายความกงั วลวา่ “จะรักมนั เหมือนกบั ที่เธอรัก”7. การแสดงความเห็นในเชิงลบ กลวิธีการแสดงความเห็นในเชิงลบ คือการท่ีผพู้ ูดประเมินค่าผอู้ ื่นหรือบุคคลท่ีเก่ียวขอ้ งในเหตุการณ์น้นั ๆในทางลบ เพ่ือทาใหผ้ ฟู้ ังรู้สึกว่าผพู้ ูดกาลงั เขา้ ขา้ งตน และผพู้ ูดมกั แสดงความเห็นเพื่อเอาใจผฟู้ ัง โดยการใชถ้ อ้ ยคาประเมินค่าเชิงลบ หรือการด่าวา่ บุคคลที่เป็นตน้ เหตุของความทุกข์ (29) “กอแกว้ แกใจเยน็ ๆ นะ เพ่ือนคนอ่ืนก็มีอีกเยอะ อย่าไปสนใจแพรเลย เค้านิสัยไม่ดี ส่วน แฟนกแ็ ค่ของนอกกาย ค่อยหาใหม่นะ หาคนท่ีดีกวา่ เดิม” (ความโกรธแคน้ ) (30) “อยา่ เสียดายเลยคนอยา่ งน้นั ปล่อยให้ควายคู่กบั ควายดแี ล้ว” (ความโกรธแคน้ ) จากตวั อยา่ งที่ (29) และ (30) จะเห็นไดว้ า่ คาพูดท่ีเป็นการตดั สิน คือ “เคา้ นิสยั ไม่ดี” และมีการเปรียบเทียบว่าบุคคลที่เป็นตน้ เหตุน้นั เป็ น “ควาย” ซ่ึงผพู้ ูดไดป้ ระเมินค่าบุคคลท่ีเป็นตน้ ตอความทุกข์อย่างคนท่ีเขา้ ใจปัญหาและตกอยใู่ นอารมณ์โกรธแคน้ แทนเพื่อน พร้อมใหก้ าลงั ใจโดยการแสดงใหเ้ ห็นวา่ ผพู้ ูดอยขู่ า้ งผฟู้ ัง
16 นอกจากน้ีพบว่าการแสดงความเห็นในเชิงลบ ยงั รวมถึงการท่ีผูพ้ ูดกล่าวถึงเหตุการณ์ที่ผ่านไปแลว้ โดยไม่ไดม้ ีเจตนาตาหนิผูฟ้ ัง แต่เป็ นการช้ีความจริงตามความคิดของผูพ้ ูดเพื่อหวงั ให้ผูฟ้ ังไดเ้ ขา้ ใจสถานการณ์และยอมรับความเป็นจริงที่เกิดข้ึน เช่น (31) “ทาใจเหอะกอแกว้ ภูมิเขาคงไม่รักแกแล้วแหละ ขนาดแกอยู่กบั เขาตลอดเขายงั ไปคบกบั แพรไดเ้ ลย ฉันว่าเขาคงไม่รักแกแล้วแหละ คนดีๆ มีอีกมากมายนะกอแกว้ ภูมิเขาคงไม่ใช่คู่แทข้ องแก หรอก คนสวยๆ แบบแกไม่นานก็หาใหม่ได้ ส่วนแพรมนั คงไม่ไดต้ ้งั ใจหรอก ถา้ แกทาใจไม่ไดก้ ็ยา้ ย ออกมากไ็ ดน้ ะ เพื่อนกนั ยงั ไงกต็ ดั ใจลาบาก” (ความโกรธแคน้ ) จากตวั อยา่ งท่ี (31) การที่ผพู้ ูดกล่าวถอ้ ยคาท่ีแสดงความเห็นในเชิงลบวา่ “คงไมร่ ักแลว้ ” ซ้าถึงสองคร้ังน้นัอาจเป็นการบอกย้าเหตุการณ์และความจริงที่เกิดข้ึนกบั ผฟู้ ังตามความคิดและความรู้สึกของผพู้ ูด แมจ้ ะดูเหมือนจะเป็นถอ้ ยคาที่ไม่ไดป้ ลอบใจ แต่ก็สามารถตีความเจตนาของผูพ้ ูดไดว้ า่ อาจจะตอ้ งการใหผ้ ูฟ้ ังเขา้ ใจปัญหาแบบคน“ตาสวา่ ง” ซ่ึงเมื่อเกิดความเขา้ ใจความทุกขก์ จ็ ะเบาบางลงสรุปผลและอภปิ รายผล บทความน้ีศึกษาเร่ือง กลวิธีการพูดปลอบใจกรณีนกั ศึกษามหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานีมีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือวิเคราะห์กลวิธีการพูดปลอบใจในเง่ือนไขสถานการณ์ความทุกข์ วา่ มีกี่กลวิธี อย่างไรบา้ ง เก็บขอ้ มูลจากกลุ่มตวั อยา่ งที่เป็ นนกั ศึกษามหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี โดยใชแ้ บบสอบถาม 60 ชุดแบ่งเป็นเพศชาย 30 และเพศหญิง 30 จานวนถอ้ ยคาท้งั หมด 1,633 ถอ้ ยคา ในจานวนน้ีจาแนกเป็ นกลวิธีเสริม 59ถอ้ ยคา ดงั น้นั จึงมีถอ้ ยคาท่ีแสดงกลวิธีท้งั สิ้น 1,574 ถอ้ ยคา ผลการวิจยั สรุปว่ากลวิธีการพูดปลอบใจปรากฏท้งั สิ้น7 กลวิธีใหญ่ 18 กลวิธียอ่ ย ดงั น้ี กลวธิ ีใหญ่ กลวธิ ีย่อย ร้อยละ ร้อยละ1.การบอกขอ้ เสนอ ของ ของ2.การอธิบาย 1.1 การเสนอใหท้ าหรือไมท่ าบางอยา่ ง กลวธิ ี กลวธิ ี 1.2 การกล่าวเสนอตนเอง ย่อย ใหญ่3.การพูดใหร้ ู้สึกผอ่ นคลาย 2.1 ยกหลกั การใหผ้ ฟู้ ังตระหนกั คิด 93.44 41.61 2.2 การผอ่ นน้าหนกั ของความทุกข์ 6.56 30.56 2.3 การบอกผลของการกระทา 33.06 2.4 การยกสิ่งอื่นมาชดเชยความผิดหวงั 32.02 15.25 2.5 การอา้ งบุคคลสาคญั 10.81 2.6 การอา้ งแนวคิดทางศาสนา 9.56 3.1 การกลา่ วลดความกงั วล 9.15 3.2 การกล่าวคาเสริมกาลงั ใจ 5.41 86.67 12.50
4.การกลา่ วเสริมแรงทางบวก 3.3 การกล่าวแสดงความห่วงใย 175.การแสดงตนเป็นผรู้ ่วมทุกข์ 4.1 การชม 4.2 การแสดงความเช่ือมนั่ 0.836.การย้าความมน่ั ใจ 4.3 การแสดงความคาดหวงั 44.44 7.437.การแสดงความเห็นในเชิงลบ 5.1 การกล่าวเสนอตนเป็นผอู้ ยเู่ คียงขา้ ง 35.90 5.2 การกลา่ วแสดงความเขา้ ใจ 19.66 5.3 การกล่าวแสดงความเสียใจ 36.84 2.41 5.4 การกลา่ วยกอทุ าหรณ์ 28.95 ไมป่ รากฏกลวิธียอ่ ย 18.42 ไมป่ รากฏกลวธิ ียอ่ ย 15.79 - 1.72 - 1.02 ผลการวิจยั สรุปไดว้ า่ เม่ือผูต้ อบแบบสอบถามตอ้ งกล่าวปลอบใจเพื่อนท่ีกาลงั ตกอยใู่ นสถานการณ์ความทุกข์ 7 สถานการณ์ ผตู้ อบแบบสอบถามในฐานะผพู้ ูดจะใชก้ ลวิธีการกล่าวปลอบใจโดยการบอกขอ้ เสนอมากท่ีสุดคิดเป็นร้อยละ 41.61 รองลงมาคือกลวิธีการอธิบาย คิดเป็นร้อยละ 30.56 กลวิธีการพูดใหร้ ู้สึกผอ่ นคลาย คิดเป็นร้อยละ 15.25 กลวธิ ีการกลา่ วเสริมแรงทางบวก คิดเป็นร้อยละ 7.43 กลวธิ ีการแสดงตนเป็นผรู้ ่วมทุกข์ คิดเป็นร้อยละ 2.41 กลวิธีย้าความมน่ั ใจ คิดเป็ นร้อยละ 1.72 และกลวิธีการแสดงความเห็นในเชิงลบ คิดเป็ นร้อยละ1.02ตามลาดบั ท้งั น้ี ในการกล่าวปลอบใจแต่ละคร้ัง ผูพ้ ูดมกั ใช้ถอ้ ยคากล่าวปลอบใจหลายกลวิธีต่อการตอบหน่ึงคาตอบ อาจเป็นเพราะว่าสถานการณ์สมมติในแบบสอบถามระบุใหผ้ ตู้ อบแบบสอบถามมีสถานะความสัมพนั ธ์กบัผูท้ ี่กาลงั ประสบความทุกขใ์ นระดบั เพ่ือน ดงั น้นั ผูต้ อบแบบสอบถามจึงกล่าวปลอบใจแบบคนท่ีเขา้ ใจปัญหา และคาดหวงั วา่ ผฟู้ ังหรือเพื่อนจะคลายจากความทุกขไ์ ด้ จึงใชห้ ลายกลวิธีพร้อมๆ กนั ผลการศึกษาเรื่องกลวิธีการพูดปลอบใจ กรณีศึกษานักศึกษามหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ท่ีพบว่ากลวิธีการบอกข้อเสนอมีปรากฏมากที่สุด ผูว้ ิจัยคิดว่าน่าจะมีปัจจัยมากจากตัวแปรเรื่องความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งผพู้ ูดกบั ผฟู้ ังและระดบั ความสนิทสนม กลา่ วคือ การที่แบบสอบถามระบุใหผ้ พู้ ูดมีสถานภาพเป็ นเพื่อนกับผูฟ้ ังน้ัน มีผลทาให้กลุ่มตัวอย่างเลือกใช้กลวิธีการบอกข้อเสนอในการปลอบใจ เนื่องจากความสัมพนั ธ์ในแบบเพ่ือน ผพู้ ูดจะสามารถเขา้ ใจสถานการณ์ความทุกขแ์ ละเหตุการณ์ที่เป็นตน้ ตอของความทุกข์ได้ง่ายกว่าความสัมพันธ์แบบอื่น ในสถานการณ์จริงเม่ือเพื่อนประสบเหตุแห่งความทุกข์ ถา้ เป็ นบุคคลที่มีความสมั พนั ธ์อนั ดีต่อกนั ก็ย่อมจะมาขอคาปรึกษาจากเพื่อน หรือแมก้ ระทงั่ การปรึกษาในรูปแบบของการเล่าเพ่ือระบายความอดั อ้นั ตนั ใจก็ตาม ผพู้ ูดย่อมสามารถถือวิสาสะในการกล่าวแนะนาว่าผฟู้ ังควรทาหรือไม่ควรทาอะไรตามความคิดของตวั เอง ซ่ึงผูฟ้ ังอาจจะรับขอ้ เสนอหรือไม่รับขอ้ เสนอก็ได้ เพราะไม่ใช่การบีบบงั คบั ว่าจะตอ้ งปฏิบตั ิตามขอ้ เสนอน้นั รวมท้งั การเสนอตนเป็นผชู้ ่วยเหลือผฟู้ ังดว้ ยเช่นกนั ประเดน็ น้ีมีความสอดคลอ้ งกบั งานวิจยัของ รัศมี รักงาม (2558) ตรงที่กลวธิ ีส่วนใหญท่ ่ีผพู้ ูดเลือกใชใ้ นการปลอบใจผูฟ้ ังซ่ึงกาลงั ประสบความทุกข์ คือการบอกขอ้ เสนอหรือการใหค้ าแนะนาวา่ ผฟู้ ังควรทาหรือไม่ควรทาอะไร รวมท้งั การท่ีผพู้ ดู เสนอตนเองเป็นผชู้ ่วยเหลือผูฟ้ ัง ซ่ึงตรงกบั วิธีการท่ีพยาบาลเลือกใชก้ ล่าวปลอบโยนผูป้ ่ วยมากท่ีสุด คือ กลวิธีการแนะนา รองลงมาคือการ
18เสนอความช่วยเหลือ เนื่องจากอาชีพพยาบาลจาเป็นตอ้ งใหค้ าแนะนาการปฏิบตั ิตวั ของผปู้ ่ วยอยูแ่ ลว้ จึงมกั จะมีการใชค้ าแนะนาเพื่อแสดงเจตนาปลอบโยนมากท่ีสุด นอกจากน้ียงั พบว่า กลวิธีการปลอบใจ เป็ นกลวิธีหน่ึงที่ปรากฏในการศึกษาเร่ือง กลวิธีการปฏิเสธในภาษาองั กฤษของนกั ศึกษาไทยที่เรียนภาษาองั กฤษเป็ นภาษาต่างประเทศ : การศึกษาการถ่ายโอนทางวจั นปฏิบตั ิศาสตร์ ของ ธนพรรษ สายหรุ่น (2542) ซ่ึง ในงานวิจยั ของธนพรรษ น้นั พบวา่ คากล่าวปลอบใจเป็นกลวิธีหน่ึงในการปฏิเสธขอ้ เสนอซ่ึงผูต้ อบปฏิเสธเป็ นผูไ้ ดร้ ับผลประโยชน์ เช่น สถานการณ์ที่คนสวนเสนอชดใชค้ ่ากระถางดอกไมท้ ่ีแตก ผตู้ อบแบบสอบถามจะใชก้ ลวิธีการกลา่ วปลอบใจวา่ “ไม่เป็นไรหรอก อย่ากงั วลไปเลยนะ” “ไมต่ อ้ งหรอก นิดหน่อยเอง” “ไม่เป็นไรหรอก คราวหลงั ระวงั แลว้ กนั อย่าคิดมากเลย” และรวมถึงงานวิจยั ของ ภาสพงศ์ผิวพอใช้ (2545) ที่ศึกษาการตอบรับคาขอโทษในภาษาไทย ก็พบว่ากลวิธีการปลอบใจเป็ นรูปแบบหน่ึงของการแสดงความห่วงใยในการตอบรับคาขอโทษ เช่น “ไม่เป็นไรหรอก อย่าคิดมากนะ” “ทาใจให้สบายเถอะน่า” และบทความวิจยั เร่ือง กลวธิ ีการกลา่ วขดั แยง้ ในวรรณกรรมภาคใต้ : ตามแนววจั นปฏิบตั ิศาสตร์ ของ จุไรรัตน์ รัตติโชติ, สุพตั รา อินทนะ และเรืองเดช ปันเขื่อนขตั ิย์ (2560) กลา่ วถึงกลวิธีการปลอบใจไวว้ า่ การปลอบใจจะเกิดข้ึนในสถานการณ์ท่ีมีการกระทาที่เสียหายเท่าน้นั และพบเป็นจานวนนอ้ ย สอดคลอ้ งกบั งานของ ธนพรรษ สายหรุ่น (2542) จากการศึกษา สามารถกล่าวไดว้ ่ากลวิธีการพูดปลอบใจเป็ นการกล่าวถอ้ ยคาเพ่ือปฏิสัมพนั ธ์เชิงบวกในระดบั บุคคลหรือกลุ่มบุคคล เป็นการกล่าวถอ้ ยคาของผพู้ ูดที่มีเจตนาดี มีความปรารถนาดีต่อผูฟ้ ังซ่ึงกาลงั ประสบความทุกข์ ดงั น้นั จึงพบวา่ ผพู้ ูดมกั เลือกใชถ้ อ้ ยคาท่ีแสดงเจตนาปลอบใจผฟู้ ัง เพ่ือแสดงใหเ้ ห็นถึงความเห็นอกเห็นใจระหว่างเพื่อน ดว้ ยเจตนาใหผ้ ูฟ้ ังรู้สึกผ่อนคลายความทุกข์ ผูพ้ ูดจึงเลือกใชถ้ อ้ ยคาท่ีส่งเสริมความสัมพนั ธ์และรักษาความสุภาพ ถึงแมผ้ ูฟ้ ังจะไม่สามารถพิสูจน์ไดว้ ่าเป็ นจริงหรือเท็จ หรือผูพ้ ูดรู้สึกอย่างที่พูดจริงหรือไม่ ผูฟ้ ังจะตอ้ งอาศยั การตีความน้าเสียง หรือการแสดงออกทางสีหนา้ แววตาของผฟู้ ังประกอบ แต่ท้งั น้ีก็ยงั พบว่า กลุ่มตวั อย่างบางส่วนเลือกใชก้ ลวิธีการแสดงความเห็นในเชิงลบปะปนมากบั คาตอบเพื่อแสดงการปลอบใจดว้ ย เช่น “ผูช้ ายเห้ียๆ ไม่ตอ้ งไปสนใจ” “ผหู้ ญิงหนา้ ไม่อายไม่ตอ้ งไปคบใหอ้ ายคน” “ผีเน่ากับโลงผุสมกันแลว้ ” “ปล่อยให้ควายคู่กับควายดีแล้ว” เป็ นต้น ซ่ึงส่วนใหญ่พบในสถานการณ์เดียวกัน คือสถานการณ์ที่ 6 เป็ นสถานการณ์ท่ีผูฟ้ ังถูกเพ่ือนกบั คนรักหักหลงั จึงมีความโกรธแคน้ มาก ผูพ้ ูดมกั แสดงความคิดเห็นในเชิงลบโดยการตดั สินคุณค่าของคนที่หกั หลงั ผูฟ้ ังว่าเป็ นคนไม่ดี การท่ีผูพ้ ูด “กลา้ ” ที่จะกล่าวโดยใชค้ าบริภาษบุคคลท่ีเก่ียวขอ้ งไดน้ ้นั หมายความไดว้ ่าอาจมีความรู้สึกร่วมทุกข์ไปกบั ผูฟ้ ังและมีความสนิทสนมมากในระดบั หน่ึงจนถึงข้นั ท่ีใชค้ าพูดรุนแรงเพื่อแสดงเจตนาปลอบใจ อีกนยั หน่ึงก็เป็ นการแสดงให้เห็นว่าผูพ้ ูดเขา้ ขา้ งผฟู้ ัง และตดั สินโทษอีกฝ่ ายหน่ึงนนั่ เอง การใชก้ ลวิธีน้ีอาจเป็นวิธีการที่ทาใหผ้ ฟู้ ังรู้สึกดีข้ึนไดเ้ พราะรู้สึกวา่ ตนเองเป็นฝ่ ายถกู และมีคนเขา้ ขา้ ง นอกจากน้ีการกล่าวปลอบใจยงั มีความสัมพนั ธ์กบั บริบทสงั คมและวฒั นธรรมของผูพ้ ูดและผูฟ้ ังดว้ ย การที่ผูพ้ ูดจะกล่าวถอ้ ยคาออกมาเพ่ือเจตนาทาใหผ้ ูฟ้ ังคลายจากความทุกขจ์ ึงมกั มีการพยายามยกเอาคาพูดที่เป็ นหลกัปรัชญา ศาสนา มาอธิบายใหผ้ ูฟ้ ังไดแ้ ง่คิดหลายประการ เช่น “ผา่ นมาแลว้ ใหแ้ ลว้ ไป” “คนเราผดิ พลาดกนั ได”้ “ไม่มีใครหนีความตายพน้ ” “คนเราเกิดมาตอ้ งตายทุกคน” “เป็นบททดสอบของพระเจา้ ” “เดี๋ยวเวรกรรมกต็ ามสนอง”
19เป็นตน้ การท่ีผพู้ ูดกล่าวถอ้ ยคาเช่นน้ีก็หมายความวา่ ผูพ้ ูดกบั ผฟู้ ังมีความรับรู้เรื่องเหล่าน้ีร่วมกนั แมผ้ พู้ ูดจะนบั ถือคนละศาสนากบั ผฟู้ ังกส็ ามารถที่จะกล่าวคาปลอบใจโดยอา้ งถึงศาสนาของผฟู้ ังได้เอกสารอ้างองิกฤษดาวรรณ หงศล์ ดารมภ์ และธีรนุช โชคสุวณิช. 2551. วจั นปฏบิ ตั ศิ าสตร์. กรุงเทพฯ : โครงการเผยแพร่ผลงาน วชิ าการ คณะอกั ษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั .จุไรรัตน์ รัตติโชติ, สุพตั รา อินทนะ และเรืองเดช ปันเข่ือนขตั ิย.์ 2560. “กลวธิ ีการกล่าวขดั แยง้ ในวรรณกรรม ภาคใต้ : ตามแนววจั นปฏิบตั ิศาสตร์”, รมยสาร. 12(มกราคม – มิถุนายน), 11 – 26.ทรงธรรม อินทจกั ร. 2550. แนวคดิ พืน้ ฐานด้านวจั นปฏบิ ตั ศิ าสตร์. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์.ทศั นีย์ เมฆถาวรวฒั นา. 2541. “วจั นกรรมการขอโทษในภาษาไทย”. อกั ษรศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชา ภาษาศาสตร์ ภาควชิ าภาษาศาสตร์ บณั ฑิตวิทยาลยั จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . (สาเนา) . 2554. “การวเิ คราะห์ความหมายแบบครอบคลมุ ของคาสาคญั ทางวฒั นธรรม “ไม่เป็นไร” “เกรงใจ” และ “ขอโทษ” ในภาษาไทยตามแนวทฤษฎีอภิภาษาเชิงอรรถศาสตร์ธรรมชาติ”. ปริญญาดุษฎี บณั ฑิต สาขาวชิ าภาษาศาสตร์ ภาควชิ าภาษาศาสตร์ บณั ฑิตวทิ ยาลยั จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . (สาเนา)ธนพรรษ สายหรุ่น. 2542. “กลวิธีการปฏิเสธในภาษาอังกฤษของนักศึกษาไทยที่เรี ยนภาษาอังกฤษเป็ น ภาษาต่างประเทศ : การศึกษาถ่ายโอนทางวจั นปฏิบัติศาสตร์”. อักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา ภาษาศาสตร์ ภาควิชาภาษาศาสตร์ คณะอกั ษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . (สาเนา)นทั ธฤทยั สีหะเกรียงไกร. 2549. “กลวิธีการปฏิเสธเพ่ือปกปิ ดความจริงของวยั รุ่น”. อกั ษรศาสตรมหาบณั ฑิต สาขา ภาษาไทย ภาควชิ าภาษาไทย บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั ศิลปากร. (สาเนา)พุทธทาสภิกข.ุ 2525. ห้าสิบปี สวนโมกข์. สุราษฎร์ธานี : สวนโมกขพลาราม.ภาสพงศ์ ผิวพอใช.้ 2545. “การตอบรับคาขอโทษในภาษาไทย”. อกั ษรศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าภาษาไทย ภาควชิ าภาษาไทย คณะอกั ษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . (สาเนา)รัศมี รักงาม. 2558. “กลวิธีการปลอบโยนผปู้ ่ วยที่ไดร้ ับการรักษาดว้ ยเคมีบาบดั ของพยาบาล”. ศิลปศาสตรมหา บณั ฑิต สาขาภาษาศาสตร์ประยกุ ต์ ภาควิชาภาษาศาสตร์ บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. (สาเนา)วิจิตวาทการ, หลวง. 2531. กาลงั ใจ. พิมพค์ ร้ังท่ี 8. กรุงเทพฯ : วิคตอรี่เพาเวอร์พอยท.์วีณา วฒุ ิจานงค.์ 2016. “หนา้ ท่ีทางวจั นปฏิบตั ิศาสตร์ของคาวา่ “โอเค” ในบทสนทนาภาษาไทย” Journal of Community Development Research (Humanities and Social Sciences). 9(2), 115-127.ศกั ดา ป้ันเหน่งเพช็ ร์. 2547. “การปลอบใจ” , ใน ประมวลสาระชุดวชิ า ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร หน่วยที่ 8 – 15. นนทบุรี : มหาวทิ ยาลยั สุขโขทยั ธรรมาธิราช. 135 – 173.Austin, John L. 1962. How to do Things with Words. Oxford University Press.Searle, John R. 1976. “A classification of illocutionary acts”, Language in Society. 5(Apr) 1-23.
Search
Read the Text Version
- 1 - 19
Pages: