Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Maka

Maka

Published by tananda.chu, 2019-02-13 01:14:23

Description: Maka

Search

Read the Text Version

ประวตั ิวนั มาฆบูชา วันมาฆบูชา (บาลี: มาฆปูชา; อักษรโรมัน) เป็ นวันสาคัญของชาวพุทธเถรวาทและวันหยุดราชการในประเทศไทย\"มาฆบูชา\" ย่อมาจาก \"มาฆปูรณมีบูชา\" หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะตามปฏิทินอินเดีย หรือเดือน 3 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย (ตกช่วงเดือน กมุ ภาพนั ธ์หรือมนี าคม) ถ้าปี ใดมเี ดอื นอธกิ มาส คอื มเี ดอื น 8 สองหน (ปี อธกิ มาส) กเ็ ลอ่ื นไปทาในวนั เพญ็ เดอื น 3 หลงั (วนั เพญ็ เดอื น 3) วนั มาฆบูชาได้รับการยกย่องเป็ นวนั สาคญั ทางศาสนาพทุ ธ เนื่องจากเหตุการณ์สาคญั ท่ีเกดิ ขนึ้ เมอ่ื 2,500 กว่าปี ก่อน คอื พระโคตมพทุ ธเจ้าทรงแสดง โอวาทปาติโมกข์ท่ามกลางทีป่ ระชุมมหาสังฆสันนิบาตคร้ังใหญ่ในพระพทุ ธศาสนา คัมภีร์ปปัญจสูทนีระบุว่าคร้ังน้ันมีเหตุการณ์เกดิ ขนึ้ พร้อมกนั 4 ประการ คอื พระภิกษุ 1,250 รูป ได้มาประชุมพร้อมกนั ยงั วดั เวฬุวนั โดยมไิ ด้นัดหมาย, พระภิกษุท้งั หมดน้ันเป็ น \"เอหภิ ิกขอุ ปุ สัมปทา\" หรือผู้ได้รับ การอปุ สมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง, พระภิกษุท้ังหมดน้ันล้วนเป็ นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา 6, และวนั ดังกล่าวตรงกบั วนั เพญ็ เดือน 3ดังน้ัน จึง เรียกวนั นีอ้ กี อย่างหนึ่งว่า \"วนั จาตุรงคสันนิบาต\" หรือ วนั ทม่ี กี ารประชุมพร้อมด้วยองค์ 4 เดิมน้ันไม่มีพธิ ีมาฆบูชาในประเทศพุทธเถรวาท จนมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) พระองค์ได้ทรงปรารภถึง เหตุการณ์คร้ังพุทธกาลในวนั เพญ็ เดือน 3 ดังกล่าวว่า เป็ นวนั ทเี่ กดิ เหตุการณ์สาคัญยง่ิ ควรประกอบพธิ ีทางพระพุทธศาสนา เพอ่ื เป็ นทต่ี ้ังแห่งความ ศรัทธาเลอ่ื มใส จึงมพี ระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชกศุ ลมาฆบูชาขึน้ การประกอบพระราชพธิ ีคงคล้ายกบั วนั วิสาขบูชา คอื มีการ บาเพญ็ พระราชกศุ ลต่าง ๆ และมกี ารพระราชทานจุดเทยี นตามประทปี เป็ นพทุ ธบูชาในวดั พระศรีรัตนศาสดารามและพระอารามหลวงต่าง ๆ เป็ นต้น ในช่วงแรก พธิ มี าฆบูชาคงเป็ นการพระราชพธิ ีภายใน ยงั ไม่แพร่หลายทว่ั ไป ต่อมา ความนิยมจดั พธิ มี าฆบูชาจึงได้ขยายออกไปทว่ั ราชอาณาจกั ร

ปัจจุบัน วันมาฆบูชาได้รับการประกาศให้เป็ นวันหยุดราชการในประเทศไทยโดยพุทธศาสนิกชนท้ังพระบรมวงศานุวงศ์พระสงฆ์และประชาชน ประกอบพธิ ีต่าง ๆ เช่น การตักบาตร การฟังพระธรรมเทศนา การเวยี นเทยี น เป็ นต้น เพอ่ื บูชาราลกึ ถงึ พระรัตนตรัยและเหตุการณ์สาคญั ดงั กล่าวทถ่ี อื ได้ว่า เป็ นวนั ทพี่ ระพทุ ธเจ้าประทานโอวาทปาฏโิ มกข์ซึ่งกล่าวถงึ หลกั คาสอนอนั เป็ นหัวใจของพระพทุ ธศาสนา ได้แก่ การไม่ทาความช่ัวท้งั ปวง การ บาเพญ็ ความดใี ห้ถึงพร้อม และการทาจติ ของตนให้ผ่องใส เพอื่ เป็ นหลกั ปฏบิ ัตขิ องพทุ ธศาสนิกชนท้งั มวล นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2549 รัฐบาลไทยได้ประกาศให้วนั มาฆบูชาเป็ น \"วนั กตัญญูแห่งชาติ\" เนื่องจากในสังคมไทยปัจจุบัน หญิงสาวมักเสียตัวในวนั วาเลนไทน์ หลายหน่วยงานจึงพ ยายามรณรงค์ให้วนั มาฆบูชาเป็ นวนั แห่งความรัก (อนั บริสุทธ์ิ) แทน

เหตุการณ์สาคญั ทเี่ กดิ ในวนั มาฆบูชาตามพุทธประวตั ิ จาตุรงคสันนิบาต กลุ่มป่ าไผ่ร่ มรื่น ในกลุ่มโบราณสถานวัดเวฬุ วันมหา วหิ าร สถานที่พระพุทธองค์ ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ คัมภีร์ สุ มังคลวิลาสิ นี อรรถกถามหาปทานสูตร ระบุว่าหลังจากพระพุทธเจ้าเทศนา \"เวทนา ปริคคหสูตร\" (หรือทีฆนขสูตร) ณ ถา้ สูกรขาตา เขาคิชฌกูฎ จบแล้ว ทา ให้พระสารีบุตรได้บรรลอุ รหัตตผล จากน้ันพระองค์ได้เสด็จทางอากาศ ไปปรากฏ ณ วดั เวฬุวนั มหาวหิ าร ใกล้กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ แล้วทรง ประกาศโอวาทปาติโมกข์แก่พระภิกษุจานวน 1,250 รูป โดยจานวนนี้ เป็ นบริวารของชฏิลสามพนี่ ้อง 1,000 รูป และบริวารของพระอคั รสาวก 250 รูปคัมภีร์ปปัญจสูทนีระบุว่า การประชุมสาวกคร้ังน้ันประกอบด้วย \"องค์ประกอบอศั จรรย์ 4 ประการ\" คือวันดังกล่าวตรงกบั วันเพญ็ เดือน 3 พระภิกษุท้งั 1,250 องค์น้ัน ได้มาประชุมกนั โดยมไิ ด้นัดหมายพระภิกษุเหล่าน้ันเป็ นพระอรหันต์ทรงอภิญญา 6พระภิกษุเหล่าน้ันไม่ได้ปลงผมด้วย มดี โกน เพราะพระพทุ ธเจ้าประทาน \"เอหิภิกขอุ ปุ สัมปทา\" ด้วยพระองค์เองดงั น้ันจึงมคี าเรียกวนั นีอ้ กี คาหนึ่งว่า \"วนั จาตุรงคสันนิบาต\" หรือ

วนั ทม่ี กี ารประชุมพร้อมด้วยองค์ 4 ดังกล่าวแล้วด้วยเหตุการณ์ประจวบกบั 4 อย่าง จงึ มชี ื่อเรียกอกี ช่ือหนึ่งว่า จาตุรงคสันนิบาต (มาจากศัพท์บาลี จา ตุร+องฺค+สนฺนิปาต แปลว่า การประชุมอนั ประกอบด้วยองค์ประกอบท้งั ส่ีประการ) หลงั จากพระพทุ ธเจ้าตรัสรู้แล้ว 9 เดือน (45 ปี ก่อนพทุ ธศักราช) มผี ู้เข้าใจผิดว่าเหตุสท่ีพระสาวกท้งั 1,250 รูป มาประชุมพร้อมกนั โดยมไิ ด้นัดหมายน้ัน เพราะวนั เพญ็ เดือน 3 ตามคติพราหมณ์เป็ นวนั พธิ ีมหาศิวา ราตรีเพอ่ื บูชาพระศิวะ พระสาวกเหล่าน้ันซึ่งเคยนับถอื ศาสนาพราหมณ์มาก่อนจึงได้เปลยี่ นจากการรวมตวั กนั ทาพธิ ีชาระบาปตามพธิ ีพราหมณ์ มา รวมกนั เข้าเฝ้ าพระพุทธเจ้าแทนแต่ความคดิ นี้ไม่ตรงกบั ข้อเทจ็ จริง เพราะพระศิวะเป็ นเทพทช่ี าวฮินดูเริ่มบูชากนั ในยคุ หลงั พทุ ธกาล คือต้ังแต่ พ.ศ. 800 เป็ นต้นมา

ประทานโอวาทปาติโมกข์ ดูบทความหลกั ท:่ี โอวาทปาตโิ มกข์ พระพทุ ธเจ้าเมอื่ ทอดพระเนตรเห็นมหาสังฆสันนิบาตอนั ประกอบ ไปด้วยเหตุอศั จรรย์ดังกล่าว จึงทรงเห็นเป็ นโอกาสอนั สมควรทจี่ ะ แสดง \"โอวาทปาติโมกข์\" อันเป็ นหลักคาสอนสาคัญท่ีเป็ นหัวใจ ของพระพุทธศาสนาแก่ท่ีประชุมพระสงฆ์เหล่าน้ัน เพื่อวาง จุดหมาย หลักการ และวิธีการ ในการเข้าถึงพระพุทธศาสนาแก่ พระอรหนั ตสาวกและพทุ ธบริษทั ท้งั หลาย พระพทุ ธองค์จงึ ทรง แสดงโอวาทปาฏิโมกข์เป็ นพระพุทธพจน์ 3 คาถากึ่ง ท่ามกลางมหาสังฆสันนิบาตน้ัน มีใจความดังนี้ พระพุทธพจน์คาถาแรกทรงกล่าวถึง พระ นิพพาน ว่าเป็ นจุดมุ่งหมายหรืออุดมการณ์อันสูงสุดของบรรพชิตและพทุ ธบริษัท อันมีลกั ษณะท่ีแตกต่างจากศาสนาอ่ืน ดังพระบาลีว่า \"นิพฺพาน ปรม วทนฺติ พุทฺธา\"พระพทุ ธพจน์คาถาทสี่ องทรงกล่าวถงึ \"วิธีการอนั เป็ นหัวใจสาคญั เพอ่ื เข้าถงึ จุดมุ่งหมายของพระพทุ ธศาสนาแก่พทุ ธบริษทั ท้งั ปวงโดยย่อ\" คอื การไม่ทาความช่ัวท้งั ปวง การบาเพญ็ แต่ความดี และการทาจิตของตนให้ผ่องใสเป็ นอสิ ระจากกเิ ลสท้งั ปวง ส่วนนีเ้ องของโอวาทปาฏิ โมกข์ท่ีพุทธศาสนิกชนมักท่องจากนั ไปปฏิบัติ ซ่ึงเป็ นเพยี งหนึ่งคาถาในสามคาถากึง่ ของโอวาทปาฏิโมกข์เท่าน้ันส่วนพระพุทธพจน์คาถาสุดท้าย ทรงกล่าวถึงหลกั การปฏิบัติของพระสงฆ์ผู้ทาหน้าที่เผยแผ่พระศาสนา 6 ประการ คือ การไม่กล่าวร้ายใคร, การไม่ทาร้ายใคร , การมีความสารวมใน ปาตโิ มกข์ท้งั หลาย, การเป็ นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ,การรู้จกั ทน่ี ั่งนอนอนั สงดั และบาเพญ็ เพยี รในอธิจติ

สถานทส่ี าคญั เนื่องด้วยวนั มาฆบูชา (พทุ ธสังเวชนียสถาน) เหตุการณ์สาคัญทเ่ี กดิ ในวนั มาฆบูชา เกดิ ภายในบริเวณทต่ี ้ังของ \"กลุ่มพทุ ธสถานโบราณวดั เวฬุวันมหาวิหาร\" ภายในอาณาบริเวณของวัด เวฬุวันมหาวิหาร ซ่ึงลานจาตุรงคสันนิบาตอนั เป็ นจุดท่เี กดิ เหตุการณ์สาคญั ในวันมาฆบูชาน้ัน ยงั คงเป็ นที่ถกเถียงและหาข้อสรุปทางโบราณคดีไม่ ได้มาจนถึงปัจจุบัน วดั เวฬุวนั มหาวหิ าร \"วัดเวฬุวันมหาวิหาร\" เป็ นอาราม (วดั ) แห่งแรกในพระพุทธศาสนา ต้ังอยู่ใกล้เชิงเขาเวภารบรรพต บนริมฝั่งแม่นา้ สรัสวดีซึ่งมีตโปธาราม (บ่อน้า ร้อนโบราณ) คน่ั อยู่ระหว่างกลาง นอกเขตกาแพงเมอื งเก่าราชคฤห์ (อดีตเมอื งหลวงของแคว้นมคธ) รัฐพหิ าร ประเทศอนิ เดียในปัจจุบัน (หรือแคว้น มคธในสมยั พทุ ธกาล)

วดั เวฬุวนั ในสมัยพุทธกาล เดมิ วดั เวฬุวนั เป็ นพระราชอทุ ยานสาหรับเสดจ็ ประพาส ของพระเจ้าพมิ พสิ าร เป็ นสวนป่ าไผ่ร่มร่ืนมรี ้ัวรอบและ กาแพงเข้าออก เวฬุวนั มอี กี ช่ือหน่ึงปรากฏในพระสูตรว่า \"พระวหิ ารเวฬุวนั กลนั ทกนิวาปสถาน\"หรือ \"เวฬุวนั กลนั ทกนิวาป\" (สวนป่ าไผ่สถานทสี่ าหรับให้เหยอ่ื แก่กระแต) พระเจ้าพมิ พสิ ารได้ถวายพระราชอทุ ยานแห่งนีเ้ ป็ นวดั ในพระพทุ ธศาสนาหลงั จากได้สดบั พระธรรมเทศนาอนุปุพพิกถาและจตุราริยสัจจ์ณ พระราชอุทยานลฏั ฐิวัน (พระราชอุทยานสวนตาลหนุ่ม) โดยในคร้ังน้ันพระองค์ได้บรรลุพระ โสดาบัน เป็ นพระอริยบุคคลในพระพทุ ธศาสนา และหลงั จากการถวายกลนั ทกนิวาปสถานไม่นาน อารามแห่งนีก้ ไ็ ด้ใช้เป็ นสถานท่ีสาหรับพระสงฆ์ ประชุมจาตุรงคสันนิบาตคร้ังใหญ่ในพระพทุ ธศาสนา อนั เป็ นเหตุการณ์สาคญั ในวนั มาฆบูชา

วดั เวฬุวนั หลงั การปรินิพพาน หลังพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน วัดเวฬุวันได้รับการดูแลมาตลอด โดยเฉพาะมูลคันธกุฎีที่มีพระสงฆ์เฝ้ าดูแลทาการปัดกวาดเช็ดถูปูลาดอาสนะ และปฏิบัติต่อสถานท่ี ๆ พระพุทธเจ้าเคยประทับอยู่ทุก ๆ แห่ง เหมือนสมัยท่ีพระพุทธองค์ทรงพระชนม์ชีพอยู่มิได้ขาด โดยมีการปฏิบัติเช่นนี้ ตดิ ต่อกนั กว่าพนั ปี

แต่จากเหตุการณ์ย้ายเมืองหลวงแห่งแคว้นมคธหลายคร้ังในช่วง พ.ศ. 70 ท่ีเริ่มจากอามาตย์และราษฎรพร้อมใจกันถอดกษัตริย์นาคทัสสก์แห่ง ราชวงศ์ของพระเจ้าพมิ พสิ ารออกจากพระราชบัลลงั ก์ และยกสุสูนาคอามาตย์ซ่ึงมเี ชื้อสายเจ้าลจิ ฉวใี นกรุงเวสาลแี ห่งแคว้นวชั ชีเก่า ให้เป็ นกษตั ริย์ต้ัง ราชวงศ์ใหม่แล้ว พระเจ้าสุสูนาคจึงได้ทาการย้ายเมอื งหลวงของแคว้นมคธไปยงั เมืองเวสาลีอนั เป็ นเมืองเดิมของตน และกษัตริย์พระองค์ต่อมาคือ พระเจ้ากาลาโศกราช ผู้เป็ นพระราชโอรสของพระเจ้าสุสูนาค ได้ย้ายเมอื งหลวงของแคว้นมคธอกี จากเมอื งเวสาลไี ปยงั เมอื งปาตลบี ุตร ทาให้เมอื งรา ชคฤห์ถูกลดความสาคญั ลงและถูกทงิ้ ร้าง ซ่ึงเป็ นสาเหตุสาคญั ทท่ี าให้วดั เวฬุวนั ขาดผู้อปุ ถัมภ์และถูกทงิ้ ร้างอย่างสิ้นเชิงในช่วงพนั ปี ถดั มา[16] โดยปรากฏหลกั ฐานบันทึกของหลวงจีนฟาเหียน ทไ่ี ด้เข้ามาสืบศาสนาในพุทธภูมิในช่วงปี พ.ศ. 942–947 ในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าจันทรคุปต์ท่ี 2 (พระเจ้าวกิ รมาทติ ย์) แห่งราชวงศ์คุปตะ ซึ่งท่านได้บันทกึ ไว้ว่า เมอื งราชคฤห์อยู่ในสภาพปรักหกั พงั แต่ยงั ทนั ได้เห็นมูลคนั ธกฎุ วี ดั เวฬุวนั ปรากฏอยู่ และยังคงมีพระภิกษุหลายรูปช่วยกนั ดูแลรักษาปัดกวาดอยู่เป็ นประจา แต่ไม่ปรากฏว่ามีการบันทึกถึงสถานท่ีเกดิ เหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตแต่ ประการใด

แต่หลงั จากน้ันประมาณ 200 ปี วดั เวฬุวนั กถ็ ูกทิง้ ร้างไป ตามบันทกึ ของพระถงั ซาจั๋ง ซ่ึงได้จาริกมาเมอื งราชคฤห์ราวปี พ.ศ. 1300 ซึ่งท่านบันทกึ ไว้ แต่เพยี งว่า ท่านได้เห็นแต่เพยี งซากมูลคนั ธกฎุ ีซึ่งมกี าแพงและอฐิ ล้อมรอบอยู่เท่าน้ัน (ในสมยั น้ันเมอื งราชคฤห์โรยราถงึ ทส่ี ุดแล้ว พระถงั ซาจ๋งั ได้แต่ เพยี งจดตาแหน่งทต่ี ้ังทศิ ทางระยะทางของสถูปและโบราณสถานเก่าแก่อน่ื ๆ ในเมอื งราชคฤห์ไว้มาก ทาให้เป็ นประโยชน์แก่นักประวตั ิศาสตร์และนัก โบราณคดใี นการค้นหาโบราณสถานต่าง ๆ ในเมอื งราชคฤห์ในปัจจุบนั ) จุดแสวงบุญและสภาพของวดั เวฬุวนั ในปัจจุบัน ปัจจุบันหลงั ถูกทอดทิง้ เป็ นเวลากว่าพนั ปี และได้รับการบูรณะโดยกองโบราณคดีอินเดียในช่วงท่ีอินเดียยังเป็ นอาณานิคมของอังกฤษ วัดเวฬุวัน ยงั คงมเี นินดนิ โบราณสถานทย่ี งั ไม่ได้ขดุ ค้นอกี มาก สถานทสี่ าคญั ๆ ทพ่ี ทุ ธศาสนิกชนในปัจจุบันนิยมไปนมสั การคอื \"พระมูลคนั ธกฎุ \"ี ทปี่ ัจจุบันยงั ไม่ได้ทาการขุดค้น เนื่องจากมีกุโบร์ของชาวมุสลมิ สร้างทับไว้ข้างบนเนินดิน, \"สระกลันทกนิวาป\" ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลอินเดียได้ทาการบูรณะใหม่ อย่างสวยงาม, และ \"ลานจาตุรงคสันนิบาต\" อนั เป็ นลานเลก็ ๆ มีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปยนื ปางประทานพรอยู่กลางซุ้ม ลานนีเ้ ป็ นจุดสาคัญท่ี ชาวพทุ ธนิยมมาทาการเวยี นเทยี นสักการะ (ลานนีเ้ ป็ นลานทก่ี องโบราณคดีอนิ เดยี สันนิษฐานว่าพระพทุ ธองค์ทรงแสดงโอวาทปาฏโิ มกข์ในจุดนี)้

จุดทเี่ กดิ เหตุการณ์สาคญั ในวนั มาฆบูชา (ลานจาตุรงคสันนิบาต) ถึงแม้ว่าเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตจะเป็ นเหตุการณ์สาคญั ยง่ิ ท่เี กดิ ในบริเวณวัดเวฬุวนั มหาวหิ าร แต่ทว่าไม่ปรากฏรายละเอยี ดในบันทกึ ของสมณ ทูตชาวจนี และในพระไตรปิ ฎกแต่อย่างใดว่าเหตุการณ์ใหญ่นีเ้ กดิ ขนึ้ ณ จุดใดของวดั เวฬุวนั รวมท้งั จากการขดุ ค้นทางโบราณคดกี ไ็ ม่ปรากฏหลกั ฐาน ว่ามีการทาเครื่องหมาย (เสาหิน) หรือสถูประบุสถานที่ประชุมจาตุรงคสันนิบาตไว้แต่อย่างใด (ตามปกติแล้วบริเวณที่เกิดเหตุการณ์สาคัญทาง พระพุทธศาสนา มักจะพบสถูปโบราณหรือเสาหินพระเจ้าอโศกมหาราชสร้างหรือปักไว้เพ่ือเป็ นเครื่องหมายสาคัญสาหรับผู้แสวงบุญ) ทาให้ใน ปัจจุบนั ไม่สามารถทราบโดยแน่ชัดว่าเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตเกดิ ขนึ้ ในจุดใดของวดั ในปัจจุบันกองโบราณคดีอินเดียได้แต่เพียงสันนิษฐานว่า \"เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดในบริเวณลานด้านทิศตะวันตกของสระกลันทกนิวาป\" (โดย สันนิษฐานเอาจากเอกสารหลกั ฐานว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีพระสงฆ์ประชุมกนั มากถึงสองพนั กว่ารูป และเกิดในช่วงที่พระพุทธองค์พ่งึ ได้ทรงรับ ถวายอารามแห่งนี้ การประชุมคร้ังน้ันคงยงั ต้องนั่งประชุมกนั ตามลานในป่ าไผ่ เน่ืองจากเสนาสนะหรือโรงธรรมสภาขนาดใหญ่ยงั คงไม่ได้สร้างขนึ้ และโดยเฉพาะอย่างยงิ่ ในปัจจุบันลานด้านทิศตะวันตกของสระกลนั ทกนิวาป เป็ นลานกว้างลานเดียวในบริเวณวดั ท่ีไม่มีโบราณสถานอนื่ ต้ังอยู่) โดย ได้นาพระพุทธรูปยืนปางประทานพรไปประดิษฐานไว้บริเวณซุ้มเล็ก ๆ กลางลาน และเรียกว่า \"ลานจาตุรงคสันนิบาต\" ซ่ึงในปัจจุบันก็ยังไม่มี ข้อสรุปแน่ชัดว่าลานจาตุรงคสันนิบาตทแ่ี ท้จริงอยู่ในจุดใด และยงั คงมชี าวพุทธบางกลุ่มสร้างซุ้มพระพทุ ธรูปไว้ในบริเวณอน่ื ของวดั โดยเช่ือว่าจุดที่ ตนสร้างน้ันเป็ นลานจาตุรงคสันนิบาตทแี่ ท้จริง แต่พุทธศาสนิกชนชาวไทยส่วนใหญ่กเ็ ช่ือตามข้อสันนิษฐานของกองโบราณคดีอนิ เดียดงั กล่าว โดย นิยมนับถือกนั ว่าซุ้มพระพุทธรูปกลางลานนี้เป็ นจุดสักการะของชาวไทยผู้มาแสวงบุญจุดสาคญั 1 ใน 2 แห่งของเมืองราชคฤห์ (อกี จุดหนึ่งคือพระ มูลคนั ธกฎุ บี นยอดเขาคชิ ฌกูฏ)

กจิ กรรมทพี่ ทุ ธศาสนิกชนพงึ ปฏิบตั ิในวนั มาฆบูชา วนั มาฆบูชา พุทธศาสนิกชนชาวไทยนิยมทาบุญตักบาตรในตอนเช้า และตลอดวนั จะมีการบาเพญ็ บุญกุศลความดอี น่ื ๆ เช่น ไปวดั รับศีล งดเว้นการ ทาบาปท้งั ปวง ถวายสังฆทาน ให้อสิ ระทาน (ปล่อยนกปล่อยปลา) ฟังพระธรรมเทศนา และไปเวยี นเทยี นรอบโบสถ์ในเวลาเยน็ โดยก่อนทาการเวยี น เทยี นพทุ ธศาสนิกชนควรร่วมกนั กล่าวคาสวดมนต์และคาบูชาในวนั มาฆบูชา โดยปกตติ ามวดั ต่าง ๆ จะจดั ให้มกี ารทาวตั รสวดมนต์ก่อนทาการเวยี น เทียน ซ่ึงส่วนใหญ่นิยมทาการเวียนเทียนอย่างเป็ นทางการ (โดยมีพระภิกษุสงฆ์นาเวียนเทียน) ในเวลาประมาณ 20 นาฬิกา โดยบทสวดมนต์ท่ี พระสงฆ์นิยมสวดในวนั มาฆบูชาก่อนทาการเวยี นเทยี นนิยมสวด (ท้งั บาลแี ละคาแปล) ตามลาดบั ดังนี้ บทบูชาพระรัตนตรัย (บทสวดบาลที ี่ขนึ้ ต้นด้วย:อรหัง สัมมา ฯลฯ) อะระหงั สัมมาสัมพทุ โธ ภะคะวา, พทุ ธงั ภะคะวนั ตัง อภวิ าเทม.ิ (กราบ) สวากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม, ธมั มงั นะมสั สาม.ิ (กราบ) สุปะฏปิ ปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สังฆงั นะมาม.ิ (กราบ) พระผู้มพี ระภาคเจ้า, เป็ นพระอรหนั ต์ดับเพลงิ กเิ ลสเพลงิ ทุกข์สิ้นเชิง ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ข้าพเจ้าขออภวิ าทพระผู้มพี ระภาคเจ้า, ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบกิ บาน (กราบ) พระธรรมเป็ นธรรมทพ่ี ระผู้มพี ระภาคเจ้า, ตรัสไว้ดีแล้ว , ข้าพเจ้าขอนมสั การ พระธรรม (กราบ) พระสงฆ์สาวกของพระผู้มพี ระภาคเจ้า, ปฏบิ ัติดแี ล้ว ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระสงฆ์ (กราบ)

บทสรรเสริญพระพทุ ธคุณ สวดทานองสรภญั ญะ (บทสวดสรภญั ญะท่ีขนึ้ ต้นด้วย:องค์ใดพระสัมพทุ ธ ฯลฯ) องค์ใดพระสัมพทุ ธ สัมพทุ ธการุญ- ตัดมูลเกลศมาร สุวสิ ุทธสันดาน หนึ่งในพระทยั ท่าน บ มหิ ม่นมหิ มองมวั ราคี บ พนั พวั กเ็ บิกบานคอื ดอกบวั องค์ใดประกอบด้วย สุวคนธกาจร โปรดหมู่ประชากร พระกรุณาดังสาครม ชี้ทางบรรเทาทกุ ข์ ละโอฆกนั ดาร ชี้ทางพระนฤพาน และชี้สุขเกษมสานต์ พร้อมเบญจพธิ จกั - อนั พ้นโศกวโิ ยคภัยษุ เห็นเหตุทใี่ กล้ไกล จรัสวมิ ลใส กาจัดนา้ ใจหยาบ กเ็ จนจบประจักษ์จริง สัตว์โลกได้พง่ึ พงิ สันดานบาปแห่งชายหญงิ ข้าขอประณตน้อม มละบาปบาเพญ็ บุญ

บทสรรเสริญพระพุทธคุณ (บทสวดบาลที ่ีขนึ้ ต้นด้วย:อติ ปิ ิ โส ฯลฯ) อติ ิปิ โส ภะคะวา อะระหงั สัมมาสัมพทุ โธ, วชิ ชาจะระณะสัมปันโน, สุขโต โลกะวทิ ู, อนุตตะโร ปรุ ิสสะทมั มะสาระถิ,สัตถา เทวะมะนุสสานัง, พทุ โธ ภะคะวาติ (กราบ) เพราะเหตุอย่างนีๆ้ พระผู้มพี ระภาคเจ้าน้ันเป็ นผู้ไกลจากกเิ ลส และตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ เป็ นผู้ถึงพร้อมด้วยวชิ ชาและจรณะเป็ นผู้ไปแล้วด้วยดี เป็ นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็ นผู้สามารถฝึ กบุรุษทส่ี มควรฝึ กได้อย่างไม่มใี ครยงิ่ กว่า เป็ นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ท้งั หลาย เป็ นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม เป็ นผู้มคี วามเจริญ เป็ นผู้จาแนกธรรมส่ังสอนสัตว์ดังนี.้ บทนมสั การนอบน้อมบูชาพระพทุ ธเจ้า (นะโม ฯลฯ ๓ จบ) นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต, อะระหะโต, สัมมาสัมพทุ ธสั สะ (๓ จบ ) ขอนอบน้อมแด่พระผู้มพี ระภาคเจ้า พระองค์น้ัน ซ่ึงเป็ นผู้ไกลจากกเิ ลส เป็ นผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง โดยชอบ (กราบ) บทสรรเสริญพระธรรมคุณ (บทสวดบาลที ีข่ นึ้ ต้นด้วย:สวากขาโต ฯลฯ) สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, สันทฏิ ฐิโก, อะกาลโิ ก, เอหิปัสสิโก, โอปะนะยโิ ก, ปัจจัตตงั เวทติ พั โพ วญิ ญูหี ติ (กราบ) พระธรรม ทพ่ี ระผู้มพี ระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว เป็ นสิ่งทผ่ี ู้ศึกษาและปฏบิ ตั พิ งึ เห็นได้ด้วยตนเอง เป็ นส่ิงทปี่ ฏบิ ตั ไิ ด้ และให้ผลได้ ไม่จากดั กาล เป็ นส่ิงทค่ี วรกล่าวกบั ผู้อนื่ ว่าท่านจงมาดูเถิด เป็ นสิ่งทค่ี วรน้อมเข้ามาใส่ตวั เป็ นส่ิงทผี่ ู้รู้พงึ รู้ได้เฉพาะตน ดงั นี้

บทสรรเสริญพระธรรมคุณ สวดทานองสรภญั ญะ (บทสวดสรภญั ญะทขี่ นึ้ ต้นด้วย:ธรรมมะคอื คุณากร ฯลฯ) ธรรมะคอื คุณากร ส่วนชอบสาธร ดุจดวงประทปี ชัชวาล แห่งองค์พระศาสดาจารย์ ส่องสัตว์สันดาน สว่างกระจ่างใจมล ธรรมใดนับโดยมรรคผล เป็ นแปดพงึ ยล และเก้านับท้งั นฤพาน สมญาโลกอดุ รพสิ ดาร อนั ลกึ โอฬาร พสิ ุทธ์พิ เิ ศษสุกใส อกี ธรรมต้นทางครรไลนามขนานขานไข ปฏบิ ัตปิ ริยตั ิเป็ นสอง คอื ทางดาเนินดุจครอง ให้ล่วงลปุ อง ยงั โลกอดุ รโดยตรง ข้าขอโอนอ่อนอตุ มงค์ นบธรรมจานง ด้วยจติ และกายวาจาฯ (กราบ)

บทสรรเสริญพระสังฆคุณ (บทสวดบาลที ขี่ นึ้ ต้นด้วย:สุปฏิปันโน ฯลฯ) สุปะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, อชุ ุปะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สามจี ิปะฏปิ ันโน ภะ คะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะททิ งั , จตั ตาริ ปรุ ิสะยุคานิ อฏั ฐปรุ ิสปคุ คะลา, เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย, ปาหุเนยโย, ทกั ขเิ นยโย, อญั ชะลกี ะระณโี ย, อนุตตะรัง ปญุ ญกั เขตตัง โลกสั สาติ (กราบ) พระสงฆ์สาวกของพระผู้มพี ระภาคเจ้า หมู่ใด, ปฏบิ ัตดิ แี ล้ว พระสงฆ์สาวกของพระผู้มพี ระภาคเจ้า หมู่ใด, ปฏบิ ตั ิตรงแล้ว พระสงฆ์สาวกของพระผู้มพี ระภาคเจ้า หมู่ใด, ปฏบิ ตั ธิ รรมเป็ นเครื่องออกจากทกุ ข์แล้ว พระสงฆ์สาวกของพระผู้มพี ระภาคเจ้า หมู่ใด, ปฏบิ ตั ิสมควรแล้ว ได้แก่ บุคคลเหล่านีค้ อื คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ นับเรียงตวั บุรุษได้ ๘ บุรุษ น่ันแหละพระสงฆ์สาวกของพระผู้มพี ระภาคเจ้า ท่านเป็ นผู้ควรแก่สักการะทเ่ี ขา นามาบูชา เป็ นผู้ควรแก่สักการะทเ่ี ขาจดั ไว้ต้อนรับ เป็ นผู้ควรรับทกั ษณิ าทาน เป็ นผู้ทบี่ ุคคลทวั่ ไปควรทาอญั ชลี เป็ นเนือ้ นาบุญของโลก ไม่มนี าบุญอน่ื ยง่ิ กว่า ดังนี้ (กราบ)

บทสรรเสริญพระสังฆคุณ สวดทานองสรภญั ญะ (บทสวดสรภญั ญะทข่ี นึ้ ต้นด้วย:สงฆ์ใดสาวกศาสดา ฯลฯ) สงฆ์ใดสาวกศาสดา รับปฏบิ ัติมา แต่องค์สมเดจ็ ภควนั ต์ เหน็ แจ้งจตุสัจเสร็จบรรลุทางทอี่ นั ระงับและดบั ทุกข์ภัย โดยเสด็จพระผ้ตู รัสไดร ปัญญาผ่องใส สะอาดและปราศมวั หมอง เหินห่างทางข้าศึกปอง บ มลิ าพอง ด้วยกายและวาจาใจ เป็ นเนือ้ นาบุญอนั ไพศาลแด่โลกยั และเกดิ พบิ ูลย์พนู ผล สมญาเอารสทศพล มคี ุณอนนต์ อเนกจะนับเหลอื ตรา ข้าขอนพหมู่พระศรา- พกทรงคุณา-นุคุณประดุจราพนั ด้วยเดชบุญข้าอภวิ นั ท์ พระไตรรัตน์อนั อดุ มดเิ รกนิรัติศัย จงช่วยขจดั โพยภยั อนั ตรายใดใด จงดบั และกลบั เสื่อมสูญ (กราบ)

จากน้ันจุดธูปเทยี นและถือดอกไม้เป็ นเครื่องสักการบูชาในมอื แล้วเดินเวียนรอบปูชนียสถาน 3 รอบ โดยขณะทีเ่ ดินน้ันพงึ ต้ังจิตให้สงบ พร้อมสวด ระลกึ ถึงพระพุทธคุณ ด้วยการสวดบทอติ ิปิ โส (รอบท่หี น่ึง) ระลกึ ถึงพระธรรมคุณ ด้วยการสวดสวากขาโต (รอบทีส่ อง) และระลกึ ถึงพระสังฆคุณ ด้วยการสวดสุปะฏปิ ันโน (รอบทสี่ าม) จนกว่าจะเวยี นจบ 3 รอบ จากน้ันนาธูปเทยี นดอกไม้ไปบูชาตามปูชนียสถานจึงเป็ นอนั เสร็จพธิ ี

การกาหนดให้วนั มาฆบูชาเป็ นวนั สาคญั ทางพุทธศาสนาในประเทศไทย การประกอบพธิ ีในวันมาฆบูชาได้เริ่มมขี ึน้ ในสมยั พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เน่ืองจากพระองค์ทรงเลง็ เห็นว่าวันนีเ้ ป็ นวนั คล้าย วนั ทเ่ี กดิ เหตุการณ์สาคญั ในพระพทุ ธศาสนา คอื เป็ นวนั ทพ่ี ระพทุ ธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏโิ มกข์ ฯลฯ ควรจะได้มกี ารประกอบพธิ บี าเพญ็ กศุ ลต่าง ๆ เพอ่ื ถวายเป็ นพทุ ธบูชา โดยในคร้ังแรกน้ันได้ทรงกาหนดเป็ นเพยี งการพระราชพธิ ีบาเพญ็ กศุ ลเป็ นการภายใน แต่ต่อมาประชาชนกไ็ ด้นิยมนาพธิ ีนี้ไป ปฏบิ ัตสิ ืบต่อมาจนกลายเป็ นวนั ประกอบพธิ สี าคญั ทางพระพทุ ธศาสนาวนั หน่ึงไป เนื่องจากในประเทศไทย พทุ ธศาสนิกชนได้มกี ารประกอบพธิ ีในวันมาฆบูชาสืบเน่ืองมาต้ังแต่สมยั รัชกาลที่ 4 และนับถือกนั โดยพฤตนิ ัยว่าวันนีเ้ ป็ น วนั สาคัญวนั หนึ่งในทางพระพุทธศาสนาของประเทศไทยมาต้ังแต่น้ัน[21] โดยเมอื่ ถึงวนั นี้พทุ ธศาสนิกชนจะร่วมใจกนั ประกอบพธิ ีบาเพญ็ กศุ ลต่าง ๆ กนั เป็ นงานใหญ่ ดังน้ันเมื่อถึงในสมยั พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์จึงทรงประกาศให้วนั มาฆบูชาเป็ นวนั หยุดนักขัตฤกษ์[1] สาหรับชาวไทยจะได้ร่วมใจกนั บาเพญ็ กศุ ลในวนั มาฆบูชาโดยพร้อมเพรียง ในปัจจุบันยงั คงปรากฏการประกอบพธิ ีมาฆบูชาอยู่ในประเทศไทยและประเทศทีเ่ คยเป็ นส่วนหนึ่งของประเทศไทย เช่น ลาว และกมั พูชา (ซึ่งเป็ น ส่วนท่ไี ทยได้เสียให้แก่ฝรั่งเศสในสมัยรัชกาลที่ 5) โดยไม่ปรากฏว่ามีการประกอบพธิ ีนีใ้ นประเทศพุทธมหายานอนื่ หรือประเทศพุทธเถรวาทนอกนี้ เช่น พม่า และศรีลังกา ซ่ึงคงสันนิษฐานได้ว่า พิธีมาฆบูชานี้เริ่มต้นจากการเป็ นพระราชพิธีของราชสานักไทยและได้ขยายไปเฉพาะในเขต ราชอาณาจกั รสยามในเวลาน้ัน ต่อมาดนิ แดนไทยในส่วนทเี่ ป็ นประเทศลาวและกมั พูชาได้ตกเป็ นดนิ แดนในอารักขาของฝรั่งเศส และได้รับเอกราชใน เวลาต่อมา พทุ ธศาสนิกชนในประเทศท้งั สองทไี่ ด้รับคตินิยมการปฏิบัติพิธีมาฆบูชาต้ังแต่ยงั เป็ นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรสยาม คงได้ถือปฏิบัติ พธิ ีมาฆบูชาอย่างต่อเนื่องโดยไม่ได้มกี ารยกเลกิ จึงทาให้คงปรากฏพธิ มี าฆบูชาในประเทศดังกล่าวจนถงึ ปัจจุบนั

วนั มาฆบูชาในปฏทิ นิ สุริยคติ ปี ชวด 4 มนี าคม พ.ศ. 2539 21 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2551 8 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2563 9 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2552 25 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564 ปี ฉลู 22 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2540 28 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2553 15 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2565 18 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2554 5 มนี าคม พ.ศ. 2566 ปี ขาล 11 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2541 7 มนี าคม พ.ศ. 2555 23 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2567 25 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2556 12 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2568 ปี เถาะ 1 มนี าคม พ.ศ. 2542 14 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2557 3 มนี าคม พ.ศ. 2569 4 มนี าคม พ.ศ. 2558 21 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2570 ปี มะโรง 19 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2543 22 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2559 10 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2571 11 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2560 27 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2572 ปี มะเส็ง 8 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2544 1 มนี าคม พ.ศ. 2561 17 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2573 19 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2562 7 มนี าคม พ.ศ. 2574 ปี มะเมยี 26 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2545 ปี มะแม 16 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2546 ปี วอก 5 มนี าคม พ.ศ. 2547 ปี ระกา 23 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2548 ปี จอ 13 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2549 ปี กนุ 3 มนี าคม พ.ศ. 2550

การประกอบพธิ ีทางศาสนาในวนั มาฆบูชา พระราชพธิ ี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั ภูมพิ ลอดุลยเดชทรงบาเพญ็ พระราชกศุ ลเนื่องในวนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา ณ วดั พระศรีรัตนศาสดาราม พระราชพธิ ีบาเพญ็ พระราชกศุ ลในวนั มาฆบูชานี้ โดยปกติ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวภูมพิ ลอดุยเดช เป็ นองค์ประธานในการพระราชพธิ ีบาเพญ็ พระราชกุศล และบางคร้ังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์เสด็จแทน โดยสถานที่ประกอบพระราชพธิ ีจะจัดในวัดพระศรีรัตน ศาสดาราม สานักพระราชวงั จะออกหมายกาหนดการประกาศการพระราชพธิ ีนี้ให้ทราบทวั่ ไปเป็ นประจาทุกปี ในอดีตจะใช้ช่ือเรียกการพระราชพธิ ี ในราชกิจจานุเบกษาแตกต่างกัน บางคร้ังจะใช้ช่ือ \"การพระราชกุศลมาฆบูชาจาตุรงคสันนิบาต\" หรือ \"การพระราชกุศลมาฆบูชา\" หรือแม้ \"มาฆบูชา ส่ วนในรัชกาลปัจจุบัน สานักพระราชวังจะใช้ช่ือเรียกหมายกาหนดการท่ีชัดเจน เช่น \"หมายกาหนดการ พระราชกุศลมาฆบูชา พทุ ธศักราช ๒๕๒๒\"

รายละเอยี ดการประกอบพระราชพธิ ีนี้ในพระราชนิพนธ์พระราชพธิ ีสิบสองเดอื นของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ได้มพี ระบรมราชาธิ บายเกย่ี วกบั การพระราชพธิ ีในเดือนสาม คอื พระราชพธิ ีบาเพญ็ กศุ ลในวนั มาฆบูชาไว้ มใี จความว่า “เวลาเช้า พระสงฆ์วัดบวรนิเวศและวัดราชประดิษฐ ๓๐ รูป ฉันในพระอุโบสถวดั พระศรีรัตนศาสดาราม เวลาค่าเสด็จออกทรงจุดธูปเทียนเครื่อง นมัสการแล้ว พระสงฆ์สวดทาวตั รเยน็ เหมือนอย่างทว่ี ดั แล้วจึงได้สวดมนต์ต่อไป มีสวดคาถาโอวาทปาฏิโมกข์ด้วย สวดมนต์จบทรงจุดเทยี นราย ตามราวรอบพระอโุ บสถ ๑,๒๕๐ เล่ม มีประโคมด้วยอกี คร้ังหนึ่ง แล้วจึงมเี ทศนาโอวาทปาฏิโมกข์กณั ฑ์ ๑ เป็ นเทศนาท้งั ภาษามคธและภาษาสยาม เครื่องกณั ฑ์จวี รเนือ้ ดผี นื หนึ่ง เงิน ๓ ตาลงึ และขนมต่าง ๆ เทศน์จบพระสงฆ์สวดมนต์รับสัพพี ๓๐ รูป” ในรัชกาลต่อมาได้มกี ารลดทอดพธิ ีบางอย่างออกไปบ้าง เช่น ยกเลกิ การถวายภัตตาหารพระสงฆ์ในเวลาเช้า หรือการจุดเทียนราย 1,250 เล่ม เป็ นต้น แต่กย็ ังคงมีการบาเพ็ญพระราชกุศลในวัดพระศรีรัตนศาสดารามเหมือนเคย โดยในบางปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชจะทรง ประกอบพธิ ีบาเพญ็ พระราชกุศลมาฆบูชาและทรงเวยี นเทียนรอบพุทธศาสนสถานเป็ นการส่วนพระองค์ตามพระอารามหลวงหรือวดั ราษฎร์อนื่ ๆ บ้าง ตามพระราชอธั ยาศัย[28] ซ่ึงการพระราชพธิ ีนี้เป็ นการแสดงออกถึงพระราชศรัทธาอนั แน่นแฟ้ นในพระพุทธศาสนา ขององค์พระมหากษัตริย์ ไทยผู้ทรงเป็ นเอกอคั รพทุ ธศาสนูปถัมภ์มาต้งั แต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

พธิ ีสามัญ การประกอบพธิ ที างพระพทุ ธศาสนาเน่ืองในวนั มาฆบูชาของพทุ ธศาสนิกชนชาวไทย โดยทวั่ ไปนิยมทาบุญตักบาตร ฟังพระธรรมเทศนา เวยี นเทยี น รอบอโุ บสถหรือสถูปเจดีย์พทุ ธสถานต่าง ๆ ภายในวัด เพอ่ื เป็ นการระลกึ ถึงวันคล้ายวันท่เี กดิ เหตุการณ์สาคัญของพระพุทธศาสนาในวัน ขนึ้ 15 ค่า เดือน 3พุทธศาสนิกชนชาวไทยนิยมนับถือเอาวันนี้เป็ นวนั สาคญั ในการละเว้นความชั่ว บาเพญ็ ความดี ทาใจให้ผ่องใส ตามแนวทางพระบรมพทุ โธ วาท โดยมีแนวปฏิบัติในการประกอบพิธีในวันมาฆบูชาคล้ายกับการประกอบพิธีในวนั วสิ าขบูชา คือมกี ารต้ังใจบาเพญ็ กศุ ลทาบุญตักบาตรฟังพระ ธรรมเทศนาและเจริญจิตตภาวนาในวนั นี้ เมอ่ื ตกกลางคนื กม็ ีการเวยี นเทยี นถวายเป็ นพทุ ธบูชาตามอารามต่าง ๆ และอาจมกี ารบาเพญ็ ปกณิ ณกะกุศล ต่าง ๆ ตลอดคนื ตามแต่จะเห็นสมควร การประกอบพธิ ีวนั มาฆบูชาในปัจจุบันนีน้ อกจากการเวยี นเทยี น ทาบุญตักบาตร ในวนั สาคญั แล้ว ยงั มหี น่วยงานภาครัฐ องค์กรทางศาสนา และภาค ประชาชน ร่วมกนั จัดกจิ กรรมต่าง ๆ ขนึ้ มากมาย เพอ่ื เป็ นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและประชาสัมพนั ธ์กจิ กรรมทางพระพุทธศาสนาต่าง ๆ ให้แก่ ประชาชน เช่น กจิ กรรมสัปดาห์เผยแผ่พระพทุ ธศาสนาวนั มาฆบูชา ณ ท้องสนามหลวง หรือตามวดั ในจงั หวดั ต่าง ๆ เป็ นต้น


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook