Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Published by Pop Link, 2019-10-04 02:37:10

Description:

Search

Read the Text Version

เร่อื ง วัสดุในชีวิตประจาํ วัน ด.ญ สกุ ญั ญา คําศรีสุข ชัน้ ม.2/5 เลขท่ี 37 เสนอ คุณครู ภทั ราวรรณ อุทธสงิ ห

สารบัญ 2 3 ไมธรรมชาติ 4 ไมประกอบ 5 โลหะกลมุ เหล็ก 6 โลหะนอกกลุมเหลก็ เทอรโ มพลาสตกิ 7 8 เทอรด มเชตตพี้ ลาสตกิ 9 ยางธรรมชาติ 10 ยางสังเคราะห อา งองิ

ไมธรรมชาติ ไมเ ป็นวัสดจุ ากธรรมชาติท่มี นุษยรจู กั นํามาใชน านแลว ในสมัยโบราณเม่อื ยังไมยังมี ปรมิ าณมากและมีราคาถูก มนุษยจ ะนําไมจากธรรมชาตมิ าสรางทอ่ี ยอู าศยั และเคร่อื งมอื เคร่ืองใชต า งๆ ตอ มาเม่อื ประชากรมจี ํานวนเพ่ิมมากข้นึ กย็ งิ่ มีการนําไมจ ากธรรมชาตมิ าใช ประโยชนมากข้นึ สงผลใหป าไมถ ูกทําลายและปรมิ าณของไมจ ากธรรมชาติ

ไมป ระกอบ ผลิตภณั ฑจากไมท ี่ยอ ยเป็นชิน้ ไสเป็นฝอย หรอื แยกเป็นเสนใย แลวนํามาอดั รวมกันเขา เป็นชิน้ เป็นแผน ทัง้ นี้ โดยจะมีวตั ถุเช่ือม ประสานดว ยหรอื ไมก ็ได จัดเป็นอุตสาหกรรม ท่ใี ชไ มขนาดเล็ก ตลอดจนเศษไมปลายไมใ ห เป็นประโยชนอยา งสําคญั ไมประกอบอาจ แบงออกไดเป็น ๓ พวก คอื แผนชนิ้ ไมอัด แผน ใบไมอ ดั และแผนฝอยไมอ ัด ทําข้นึ โดยการสับ หรือไสไมใ หเ ป็นชิน้ เลก็ ๆ คัด ใหไดขนาดสม่ําเสมอเป็นพวกๆ ผสมกาวแลว อดั เขาเป็นแผน เพ่อื ใหไ ดผลิตภณั ฑท ี่มีคณุ ภาพดี อาจใชช นิ้ ไมท่ีมขี นาดตา งๆ โรยสลับกนั เป็นชัน้ ๆ เฉพาะชนั้ ท่ีเป็นผวิ หน า ใชช นิ้ ไมข นาดเล็ก และ ผสมกาวใหม ีปริมาณมากเป็นพเิ ศษ จะทาํ ใหได แผนทีแ่ ข็งแรง และชิน้ ไมไมหลดุ ลอนงา ยเม่ือนํา ไปใชงาน

โลหะกลมุ เหล็ก เป็นวัสดุทีม่ ีกาํ ลังรับการรับแรงสงู มคี วามคงทน ตลอดอายุการใชง านหากมกี ารบาํ รุงรกั ษาทีด่ ี และมี รปู ทรงมาตราฐานท่ีเมน ยําไมเปลย่ี นแปลงงา ย จงึ ถูก นํามาใชง านในดานตาง ๆ เชน ทาํ เป็นเคร่อื งมอื กสิกรรม เคร่ืองมือชา ง ใชในงานกอ สรา ง หรอื ใชใน งานอุตสาหกรรมเป็นตน จงึ จดั ไดวา โลหะเหล็กมี ความสาํ คัญตอมนษุ ยมากเพราะนอกจากจะสราง ความเจรญิ ใหกับโลกแลวยังเป็นสวนประกอบของ อาวธุ ยโุ ทปกรณทมี่ นษุ ยนํามาฆา ฟันกนั อีกดว ย

โลหะนอกกลุมเหลก็ โลหะนอกกลมุ เหล็ก หมายถงึ  โลหะท่ี ไมมเี หล็กเป็นองคประกอบสวนใหญ เชน ทองแดง, อะลมู เิ นียม, แมกนีเซยี ม, สังกะสี ฯลฯ ในทาง วิศวกรรมและอตุ สาหกรรมจะใชโ ลหะ นอกกลุมเหลก็ ในปริมาณท่นี  อยกวา โลหะในกลุมเหล็ก ทงั้ นี้เน่ืองเพราะ ราคาท่ีสงู กวา ของโลหะนอกกลุมเหล็ก นัน่ เอง ดงั นัน้ จึงมกั ใชง านโลหะนอก กลุม เหล็กในกรณีท่ีจําเป็น

เทอรโมพลาสติก เทอรโมพลาสตกิ  (Thermoplastic) หรอื เรซนิ เป็น พลาสตกิ ที่ใชก ันแพรห ลายท่สี ุด ไดร ับความรอ นจะออน ตัว และเม่ือเยน็ ลงจะแข็งตัว สามารถเปล่ยี นรูปได พลาสติกประเภทนี้โครงสรา งโมเลกลุ เป็นโซต รงยาว มี การเช่อื มตอระหวา งโซพอลิเมอรน อย มาก จึงสามารถ หลอมเหลว หรือเม่ือผา นการอดั แรงมากจะไมท าํ ลาย โครงสรา งเดิม ตวั อยาง พอลเิ อทลิ นี พอลิโพรพลิ นี พอลิ สไตรีน มสี มบตั ิพิเศษคอื เม่อื หลอมแลว สามารถนํามา ข้นึ รปู กลบั มาใชใหมได ชนิดของพลาสตกิ ใน ตระกลู เท อรโ มพลาสติก

เทอรด มเชตตพี้ ลาสติก เทอรโ มเซตตงิ พลาสติก (Thermosetting plastic) เป็นพลาสตกิ ที่มสี มบัตพิ เิ ศษ คอื ทนทานตอ การเปล่ียนแปลงอุณหภมู ิและทน ปฏิกิรยิ าเคมไี ดด ี เกิดคราบและรอยเป้ือนได ยาก คงรปู หลังการผา นความรอนหรอื แรงดัน เพยี งครงั้ เดยี ว เม่ือเย็นลงจะแข็งมาก ทน ความรอ นและความดัน ไมออนตวั และ เปลย่ี นรูปรางไมไ ด แตถา อณุ หภูมิสูงก็จะ แตกและไหม

ยางธรรมชาติ ยาง คือวสั ดุพอลิเมอรทีป่ ระกอบดวย ไฮโดรเจนและคารบ อน ยางเป็นวสั ดทุ มี่ ีความ ยืดหยุนสงู  ยางที่มีตน กาํ เนิดจากธรรมชาติจะ มาจากของเหลวของพืชบางชนิด ซ่ึงมีลักษณะ เป็นของเหลวสีขาว คลา ยน้ํานม มสี มบัติเป็น คอลลอยด อนุภาคเลก็ มตี ัวกลางเป็นน้ํา ยาง ในสภาพของเหลวเรียกวาน้ํายาง ยางท่ีเกิด จากพชื นี้เรยี กวา ยางธรรมชาติ ในขณะ เดียวกนั มนุษย ...

ยางสังเคราะห ยางสังเคราะหไ ดม กี ารผลิตมานานแลว ตงั้ แต ค.ศ. 1940 ซ่งึ สาเหตทุ ่ีทําใหมีการผลิตยางสงั เคราะหข้ึนในอดตี เน่ืองจากการ ขาดแคลนยางธรรมชาตทิ ่ีใชใ นการผลติ อาวุธยทุ โธปกรณและ ปัญหาในการขนสง จากแหลง ผลิตในชวงสงครามโลกครงั้ ที่ 2 จนถงึ ปัจจบุ นั ไดม ีการพฒั นาการผลิตยางสงั เคราะหเพ่ือใหได ยางที่มคี ณุ สมบตั ิตามตองการในการใชงานทีส่ ภาวะตาง ๆ เชน ทสี่ ภาวะทนตอน้ํามัน ทนความรอน ทนความเย็น เป็นตน การ ใชง านยางสังเคราะหจ ะแบง ตามการใชง านออกเป็น 2 ประเภท คือ[1][2]ยางสําหรับงานทวั่ ไป (Commodity rubbers) เชน IR (Isoprene Rubber) BR (Butadiene Rubber)ยางสําหรับงาน สภาวะพิเศษ (Specialty rubbers) เชน การใชงานในสภาวะ อากาศรอ นจดั หนาวจดั หรือ สภาวะที่มกี ารสัมผสั กบั น้ํามัน ไดแก Silicone, Acrylate rubber เป็นตน การผลิตยาง สังเคราะหเ ป็นจะผลิตโดยการทําปฏกิ ริ ิยาพอลิเมอไรเซ ชนั  (polymerization) ซ่งึ การพอลเิ มอไรเซชนั คือ ปฏิกิริยา การเตรียมพอลเิ มอร (polymer) จากมอนอเมอร  (monomer) โดยพอลเิ มอร  ในทีน่ ี้คอื ยางสงั เคราะหทต่ี องการผลติ ในสว น ของมอนอเมอรค ือสารตัง้ ตน ในการทําปฏกิ ริ ยิ านัน่ เอง [3]

อา งองิ โดยทวั่ ไป การอางอิง คอื การอา งถึงบางสง่ิ หรอื การอธบิ ายบางสิง่ หรอื สิ่งท่แี สดงถงึ ความเกย่ี วขอ งกันระหวางสองสิง่ ความ เก่ียวขอ งกนั ระหวางสองส่ิงนัน้ อาจเป็น หนังสอื สถานที่ หรอื บทคดั ยอ เชน  ขอ มลู , ความคดิ  หรือความจํา สงิ่ ที่ เป็นสิ่งอางอิง เรยี กวา  ผถู ูกอางอิงความ หมายของการอา งอิง มคี วามหมายตาง กนั ในแตละการใชง าน ดงั นี้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook