Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เนื้อหาวิชา_พระพุทธศาสนา

เนื้อหาวิชา_พระพุทธศาสนา

Published by phrakhruwilat, 2020-05-08 02:23:20

Description: เนื้อหาวิชา_พระพุทธศาสนา

Search

Read the Text Version

เนือ้ หาวชิ า พระพุทธศาสนา ความหมายของศาสนา ศาสนา คือ คาสอน หรือหลักธรรม ท่ไี ดร้ ับการยอมรับ นามาปฏบิ ตั ินบั ถอื กนั เป็นสากล เปน็ ที่พงึ่ ทาง ใจของมนุษย์ องค์ประกอบของศาสนา ประกอบดว้ ย ศาสดา, คาสอน, สง่ิ เคารพ, ศาสนิกชน, ศาสนสถาน, ศาสนพิธี, สญั ลกั ษณ์ จุดประสงคข์ องศาสนาทุกศาสนา เพื่อใหค้ นเป็นคนดี ไม่ทาความชวั่ มีจิตใจทบ่ี รสิ ทุ ธ์ิ : โอวาท 3 ศาสนาทีค่ นไทยนบั ถอื 1. ศาสนาพทุ ธ ศาสดา : สมเด็จพระสัมมาสมั พทุ ธเจ้า (สมณโคดม) คัมภีร์ : พระไตรปฏิ ก สิ่งเคารพ : พระรตั นตรยั : พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ศาสนิกชน : พุทธบริษัท 4 : อุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ ภิกษุณี ศาสนสถาน : วัด ศาสนพธิ ี : เชน่ ทาบญุ ตกั บาตร เวยี นเทียน ทอดกฐนิ ฯลฯ นิกายทสี่ าคัญ : 1. นิกายเถรวาท (หนิ ยาน) : เนน้ ในคาสอนท่ีรวมได้จากการทาสงั คายนาครั้งที่ 1 2. นกิ ายอาจริยวาท (มหายาน) : เน้นในคาสอนของครบู าอาจารยแ์ ตล่ ะพระองค์ 2. ศาสนาคริสต์ ศาสดา : พระเยซู คัมภีร์ : คัมภรี ์ไบเบ้ิล สง่ิ เคารพ : ตรีเอกภาพ : พระเจ้ามี 1 เดยี ว แต่มาใน 3 รูป : พระบดิ า(พระยะโฮวาร์) พระบตุ ร (พระเยซู: พระ เมสซิยา) และ พระจติ (พระวญิ ญาณบรสิ ุทธิ์) ศาสนิกชน : นกั บวชคอื บาทหลวง มชี าวคริสต์ เป็นผนู้ บั ถือศาสนา ศาสนสถาน : โบสถ์ ศาสนพธิ ี : 1. พิธบี ัพตสิ มา (ศีลลา้ งบาป, ศลี จมุ่ ) : พธิ ีกรรมแรกของศาสนาครสิ ต์ โดยนาน้ามนต์ เจมิ ศรี ษะเด็ก โดยเชอ่ื วา่ ชีวติ เกา่ ไดต้ ายไปแล้ว และเกิดใหม่ในพระครสิ ต์ 2. พิธศี ีลมหาสนทิ : ด่มื ไวนแ์ ดง และทานขนมปัง แทนเลอื ดและเนอ้ื ของพระเยซู เปน็ พธิ ที ่ถี ือใหเ้ ราเป็นหนงึ่ เดียวกับพระเจา้ 3. ศลี กาลัง : รบั การเจิมบนหนา้ ผากเพ่ือเสรมิ สิริมงคลและสาบานว่าจะนบั ถือคริสต์ไปตลอด 4. ศลี อภยั บาป : เป็นการสารภาพบาปทีท่ าผดิ แก่พระเจา้ กับบาทหลวง 5. ศลี สมรส : เป็นศีลที่สัญญาตอนแต่งงานวา่ จะรกั กนั ไปตลอด

6. ศีลอนกุ รม : ใช้บวชเป็นบาทหลวง 7. ศลี เจมิ คนไข้ : เจิมคนไข้เพ่ือใหพ้ ระเจ้าอยู่กบั คนไข้ จะได้หายปว่ ย ข้อบงั คบั ของศาสนาครสิ ต์ บัญญัติ 10 ประการ : พระเจ้าใหแ้ กโ่ มเสสและชาวอิสราเอลไว้ เมือ่ ตอนหนีจากอยี ิปต์ เพื่อสรา้ งกาลงั ใจและสิ่ง ยดึ เหนยี่ วแก่ชาวอสิ ราเอล 1. อยา่ มพี ระเจ้าอื่นใดนอกจากเรา 2. อย่าออกพระนามพระเจา้ อยา่ งไม่สมควร 3. จงระลกึ ถงึ วนั ซะบาโตเปน็ วันบรสิ ุทธิ์ (ทกุ วันอาทติ ย์ หา้ มทาอะไร และใหเ้ ขา้ โบสถ์) 4. จงใหเ้ กียรตแิ ก่บิดามารดา 5. อยา่ ฆา่ คน 6. อยา่ ล่วงประเวณผี วั เมียคนอ่นื 7. อยา่ ลกั ทรัพย์ 8. อยา่ เปน็ พยานเท็จ 9. ห้ามโลภประเวณขี องผู้อนื่ 10. อยา่ อยากได้สิง่ ของของผู้อนื่ นิกายสาคัญของศาสนาคริสต์ 1. นกิ ายคาทอลิก : มีพระสนั ตะปาปาเป็นประมุข มบี าทหลวง เปน็ นิกายดงั้ เดิม 2. นิกายโปรแตสแตนท์ : ไม่มีบาทหลวง มีการปฏบิ ตั ทิ ีเ่ ข้มงวด 3. ศาสนาอิสลาม ศาสดา : นบมี ฮู มั หมัด คัมภรี ์ : คมั ภรี อ์ ลั กุรอาน สิง่ เคารพ : พระอลั เลาะห์ ศาสนสถาน : มสั ยิด ศาสนพธิ ี : ละหมาด, พิธีฮัจญ์ ศาสนิกชน : ไมม่ นี กั บวช มีแต่ผู้นาศาสนา เชน่ โตะ๊ อหิ มา่ ม เป็นครูสอนศาสนา เปน็ ต้น ขอ้ บังคับของศาสนาอสิ ลาม ฐานบัญญัติของศาสนาอสิ ลาม 5 ประการ 1. ต้องไมม่ ีพระเจ้าอน่ื ใดนอกจากอัลเลาะห์ 2. ละหมาด 5 เวลา 3. จ่ายซะกาด คือการบริจาคทานแก่ผูย้ ากไร้ 4. ถอื ศีลอดในเดือนเราะมะฏอน 5. บาเพ็จฮจั ญ์ ณ เมืองเมกกะ 4. ศาสนาพราหมณ์- ฮนิ ดู ศาสดา : ไมม่ ี คัมภีร์ : คัมภีรไ์ ตรเพท : ฤคเวท (คาสวดบูชาเทพเจา้ ) ยชุรเวท (คาสวดพธิ ีกรรม) สาม เวท (คาร้อง) อาถรรพเวท (มนต์คาถา) สง่ิ เคารพ : พระตรีมูรติ : พระพรหม (ผู้สรา้ ง) พระนารายณ์(พระวิศณุ : ผู้รกั ษา)พระศวิ ะ(พระอิศวร:ผทู้ าลาย) สิง่ ที่ควรรู้ : วรรณะ 4 : แบง่ คนออกเป็น 4 วรรณะ พราหมณ์ : ชนชน้ั นักบวชผปู้ ระกอบพิธกี รรม กษตั ริย์ : ชนช้นั ปกครอง แพทย์ : ชนชนั้ พอ่ ค้า ศูทร : ชนชน้ั กรรมกร จัณฑาล : คนท่เี กิดจาก

ผแู้ ตง่ งานข้ามวรรณะ ถือเป็นสง่ิ ไมด่ ี เป็นอัปมงคล อาศรม 4 : แบง่ ชวี ิตคนเป็น 4 ชว่ ง พรหมจารยี ์ : 8-15 ปี ตอ้ งเรียนหนงั สอื อยา่ งเดียว คฤหัสถ์ : 15-40 ปี ครองเรือน วานปรัส : 40-60 ปี คนแก่ มีลกู หลานแลว้ ฐานะมัน่ คง สนั ยาสี : เกนิ 60 ปี จะออกบวชไมส่ ึก พิธกี รรมพราหมณ์ในประเทศไทย : เชน่ โล้ชงิ ชา้ พธิ ีแรกนาขวญั บูชาเสาหลกั เมอื ง บรมราชาภิเษก เปน็ ต้น 5. ศาสนาซกิ ข์ ศาสดา : คุรุนารกั ทงั้ 10 พระองค์ และพระคัมภีร์ คัมภีร์ : ครุ ครนั ธสาหบิ สง่ิ เคารพ : พระวาหคุรู ขอ้ กาหนดในศาสนาซิกข์ ผู้ทีจ่ ะเข้าส่ศู าสนา ตอ้ งทาพิธี ปาหลุ คือ พธิ ลี า้ งบาป แล้วต้องรบั กะ ทั้ง 5 คือ 1. เกศ : ต้องไมต่ ัดผมเลยตลอดชีวิต 2. กังฆา : หวีขนาดเลก็ 3. กฉา : กางเกงขาส้นั 4. กรา : กาไลเหล็ก 5. กิรปาน : ดาบ แลว้ จึงเปลีย่ นช่ือ ถา้ เปน็ ผูช้ าย ลงท้ายดว้ ยสิงห์ ถา้ เป็นผูห้ ญิง ลงท้ายดว้ ย กอร์ ศาสนาพทุ ธ พุทธประวัติ พระพทุ ธเจ้า เดมิ ชื่อเจา้ ชายสทิ ธัทถะ เป็นบตุ รของพระเจา้ สุทโธทนะ กษัตรยิ ผ์ คู้ รองกรงุ กบิลพสั ด์ุ และพระนางสิรมิ หามายา ในตอนท่ีพระนางสริ ิมหามายาจะท้อง ทา่ นได้ฝนั เหน็ ช้างเผือกนาดอกบวั มาถวาย โหรจึงทานายวา่ จะมผี ยู้ งิ่ ใหญ่มาเกดิ จากนน้ั พอใกล้คลอด ท่านเดนิ ทางกลบั จากกรงุ กบิลพสั ดุ์ไปเมืองโกลิตะ เพอ่ื คลอด แต่ตอ้ งคลอดระหวา่ งทาง ณ สวนลุมพินวี นั โดยทา่ นหยุดคลอดใตต้ น้ สาละท่โี นม้ ก่งิ ลงมาให้จบั พอ ทา่ นคลอดแลว้ เจา้ ชายสิทธทั ถะสามารถเดนิ ได้เลย เป็นจานวน 7 กา้ ว แลว้ ประกาศวา่ ชาตินเี้ ปน็ ชาตสิ ดุ ท้าย จะไม่กลับมาเกดิ อกี จากนั้น พอกลับเมือง โหรต่างทานายวา่ จะไดเ้ ป็นกษตั ริย์ แต่พระโกณฑัญญะ ทานายว่า ทา่ นตอ้ งได้เป็นพระพทุ ธเจ้าอยา่ งแน่นอน จากนั้น 7 วัน พระนางสริ ิมหามายาก็สน้ิ พระชนม์ พระนางปชาบดี โคตมี นอ้ งสาว จึงมาเป็นพระมารดาเลี้ยง ในวันหน่ึงท่ีพระเจา้ สทุ โธทนะเสด็จออกพธิ ีแรกนาขวัญ เจา้ ชาย สทิ ธทั ถะกป็ ลกี ตวั จากความรื่นเรงิ ไปเจริญอานาปานสติเพียงพระองค์เดยี ว สร้างความประหลาดใจใหผ้ พู้ บเหน็ พระเจา้ สุทโธทนะเหน็ ทา่ ไมด่ ี จึงพยายามส่งเสริมเจ้าชายสทิ ธัทถะให้อยูแ่ ต่ในทางโลก ให้มปี ราสาท 3 ฤดู ไม่ให้เจอส่งิ น่าสังเวชจนอยากออกบวช สง่ เสรมิ ให้เรียนวชิ ากับสานักวิศวามติ รจนสาเร็จวิชา แล้วจดั พธิ เี ลือกคู่ ใหแ้ ต่งงานกบั พระนางพมิ พายโสธรา ในวันหนง่ึ ท่านตกใจตื่นกลางดกึ ด้วยฝันร้าย จงึ ให้นายฉันนะ พาเท่ียว เมือง ในเมอื งท่านได้พบกับเทวทูตทั้ง 4 คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ซงึ่ นา่ สังเวชไม่มที างหลกี หนพี ้นได้ และ นกั บวช ซง่ึ พยายามบวชเพื่อหาทางหลดุ พ้น ท่านจึงอยากหลดุ พ้นจากบว่ งกรรมการเวยี นว่ายตายเกิดน้ี แตแ่ ล้ว ทา่ นกม็ บี ุตร จึงต้ังช่อื วา่ ราหุล คือ บ่วงท่ีผกู มัดทา่ นไว้ แต่หลงั ราหุลเกิดไม่นาน ท่านก็ได้ออกบวช โดยทา่ นได้ข่ี มา้ กณั ฑกะ ไปกับนายฉันนะ ไปยงั แมน่ ้าอโนมาแล้วออกบวช จากนั้น ท่านไดศ้ ึกษาเรยี นรกู้ บั อาฬารดาบส

และอุทกดาบส จนบรรลุฌานขน้ั สูงสุด แตก่ ็ไม่พบหนทางตรัสรู้ ทา่ นจงึ ทดลองบาเพญ็ ทุกรกิรยิ า โดยมี ปัญจ วคั คยี ท์ ้งั 5 เป็นผู้ปรณนิบัติ แตใ่ นวันหนึง่ พระอนิ ทร์ แปลงกายมาดดี พิณใหพ้ ระองค์ฟงั พณิ สายหย่อนไป หรือ ตงึ ไป ก็ไมท่ าให้เสียงเพราะ พิณทขี่ งึ พอดี จึงจะเสียงเพราะ ทาให้ทา่ นได้พบหลัก มัชฌิมาปฏปิ ทา หรือ หลัก ทางสายกลาง คือไมป่ ฏบิ ัตเิ ครง่ จนเปน็ ทกุ ข์ และไม่หลงอยู่ในทางโลก ท่านจึงเลิกบาเพ็ญทกุ รกริ ิยา โดยได้เรม่ิ ฉันอาหาร จากทีท่ า่ นได้อดอาหารมานาน โดยไดร้ ับนมแพะจากเดก็ เลีย้ งแพะ ทาให้ปัญจวคั คีย์หมดความ ศรัทธาและหนีไป วนั หนงึ่ นางสชุ าดา ไดน้ าข้าวมธุปายาสมาถวาย พรอ้ มถาดทอง หลงั พระองค์ฉนั เสรจ็ จงึ อธษิ ฐานว่า ถ้าจะตรสั รู้ ให้ถาดลอยทวนนา้ ไป แล้วจึงโยนลงแมน่ า้ เนรญั ชรา พบว่าถาดลอยทวนน้าจริง คนื น้นั ทา่ นไดร้ ับถวายหญ้าคามาจากคนเลย้ี งมา้ จึงมาปเู ป็นอาสนะใต้ต้นพระศรมี หาโพธิ์ แลว้ อธิษฐานวา่ ถ้าไม่ตรสั รู้ จะไม่ลุกออกจากอาสนะนี้ แล้วคนื นนั้ ทา่ นก็ได้เจรญิ สตภิ าวนา พอใกลต้ รัสรู้ พญามาร ก็ส่งธดิ าท้งั 3 คือ ตณั หา ราคะ และอรดี มาก่อกวน แต่ก็ไม่เปน็ ผล พญามารจึงนาทพั มาเอง โดยบอกว่าท่ีนง่ั นี้ เปน็ ของพญามาร ให้ลุกออกเสยี พระพุทธเจ้าจึงบอกวา่ ท่ีนัง่ น้ีเป็นของทา่ นเอง โดยใหพ้ ระแม่ธรณีเป็นพยาน แลว้ พระแมธ่ รณีก็ ข้ึนมา แล้วบบี มวยผม นานา้ ท่พี ระพทุ ธเจา้ เคยกรวดน้าไว้ตลอดทกุ ชาติ ไหลพัดกองทัพพญามารไป แลว้ จากนน้ั พระพุทธเจา้ กเ็ จรญิ สตภิ าวนาจนตรสั รู้เป็นพระสมั มาสมั พุทธเจ้า แล้วทรงเสวยวมิ ุติสขุ อยู่สักพัก มี พราหมณ์ 2 คน คอื ตปุสสะและภัลลกิ ะ มาพบเหน็ เกิดความเล่ือมใส จงึ ขออาราธนาพระธรรมเป็นสรณะ เป็นอุบาสกค่แู รกของศาสนา จากน้นั จงึ หาผทู้ ่ีจะถ่ายทอดศาสนา ทา่ นคดิ ถึงอาฬารดาบสและอทุ กดาบส แต่ ท่านทง้ั สองกเ็ สียชีวิตแล้ว จงึ ไปหาปญั จวคั คียท์ ง้ั 5 ท่านทรงแสดงธรรม ที่ช่ือวา่ ธรรมจักรกปั ปวัตนสูตร ทาให้ พระอญั ญาโกณฑญั ญะ มีดวงตาเหน็ ธรรม และบรรลุโสดาบนั ขอออกบวช เปน็ พระสงฆร์ ูปแรกในศาสนา จากนนั้ ท่านจงึ ออกเผยแพร่ศาสนาในแคว้นมคธ ไปเจอกับพระยสะ ทีเ่ บ่อื ชวี ิตทางโลก อุทานวา่ “ท่นี ี่ขดั ข้อง หนอ ที่น่ีวุ่นวายหนอ” พระพุทธเจ้าจึงตอบวา่ “ที่น่ไี ม่ขัดข้องหนอ ทนี่ ่ีไม่วุน่ วายหนอ” พระยสะจงึ ได้สนทนา ธรรมกับพระพทุ ธเจ้าและขอออกบวช บดิ าของพระยสะมาเห็น ก็ได้ฟังธรรม จงึ อนุโมทนา เป็นอุบาสกคนแรก ทมี่ ีพระรัตนตรัยเปน็ สรณะ แล้วจงึ ได้ไปโปรดมารดาของพระยสะ เปน็ อบุ าสกิ าคนแรกของศาสนา จากนั้น ทา่ นและคณะ ได้ไปโปรดชฬิล 3 พี่น้อง ซ่ึงนาโดย อุรเุ วลกัสสปะ มสี าวกจานวนมาก จากนัน้ จึงได้ไปเผยแผ่ ศาสนายงั ทีต่ า่ งๆ สว่ นพระพุทธองค์ ได้ไปแสดงธรรมแก่พระเจ้าพิมพิสาร ซง่ึ เคยใหส้ ัญญาว่าหากตรสั รู้จะมา เผยแผค่ วามรู้ พระเจ้าพมิ พสิ ารได้ฟังกบ็ รรลุโสดาบัน จงึ ถวายพนื้ ทจ่ี านวนหนึ่งในป่าไผ่ ใหเ้ ปน็ ที่อยขู่ อง พระสงฆ์ กลายเป็นวัดแหง่ แรกของศาสนา คือ วัดเวฬุวนั ระหวา่ งนัน้ มมี านพนาม อปุ ติสสะ ไปพบกบั พระอัสสชิ เหน็ วา่ น่าเลือ่ มใส จึงไปถามธรรม พระอัสสชติ อบว่า “พระพทุ ธองคส์ อนไวว้ ่า ส่งิ ใดเกดิ แก่เหตุ ยอ่ ม ดบั ไปด้วยเหตุ” อุปติสสะไดฟ้ ังกบ็ รรลโุ สดาบนั จงึ ไปชวนโกลติ ะ อุปสมบทพร้อมกัน เปน็ พระสารบี ตุ ร ซ่ึงเปน็ อัครสาวกฝ่ังขวา และพระโมคคัลลานะ ซึง่ เป็นอัครสาวกฝั่งซ้าย จากนั้นทา่ นจึงได้ไปเผยแผ่ศาสนาต่อ ยังกรงุ สาวตั ถี แคว้นโกศล ทา่ นได้โปรด อนาฐบณิ ฑิกเศรษฐี ซ่งึ เป็นอุบาสกผอู้ ุปถมั ภศ์ าสนาอย่างยงิ่ อนาฐบณั ฑิก เศรษฐี ได้ไปหาที่ ซง่ึ เป็นทข่ี องเจ้าเชต ร่วมกนั สร้างเปน็ วดั ทส่ี าคญั ท่ีสุด ทเ่ี ปน็ ท่ีอยู่หลักของพระพทุ ธเจ้า คือ วัดเชตวนั ในชว่ งหน้าฝน ภกิ ษเุ ดินจารกึ แสวงบญุ ทาให้นาขา้ วเสยี หาย ชาวบา้ นร้องเรียน พระพุทธเจ้าจงึ ได้ บญั ญตั ิใหภ้ ิกษจุ าพรรษาในชว่ งหนา้ ฝน จะได้ศึกษาพระธรรมและไม่ทาใหพ้ ืชไรเ่ สียหาย แตก่ ระนน้ั นางวิสาขา ไดม้ าทาบญุ ท่วี ัด เหน็ ภกิ ษเุ ปลือยกายอาบนา้ ฝน เปน็ เร่ืองอบั อาย จึงทลู พระพุทธเจ้าขอเป็นผ้ถู วายผา้ นุ่งอาบ

นา้ ฝนแก่พระภิกษุ เปน็ ต้นกาเนดิ ของการถวายผ้าอาบนา้ ฝน จากน้ัน พระพทุ ธเจา้ ไดไ้ ปโปรดพระมารดา ยัง สรวงสวรรค์ จนมารดา บรรลโุ สดาบนั จงึ เสด็จกลับลงมา ในวนั ทเี่ สด็จลงจากสวรรค์ พญานาคตา่ งสร้างบนั ได เงนิ ทองนากให้พระพทุ ธเจา้ เสด็จลงมา ทง้ั 3 โลกเหน็ ถึงกนั หมด เรียกวนั เทโวโรหนะ จากนั้น ท่านได้เสดจ็ ไป โปรดพระเจา้ สุทโธทนะ ยังเมืองกบลิ พสั ด์ุ ในตอนนัน้ พระญาติในกรงุ ต่างทะเลาะกนั เพ่ือแย่งชิงน้าท่ีแหง้ เหือด ทา่ นจึงไปห้ามทพั มิให้ทาสงครามกนั แล้วเทศนาแก่พระญาติ จากน้นั ได้เกิดฝนโบกขรพรรษฎ์ ซ่ึงเปน็ สี แดง ตกแลว้ ใครอยากให้เปยี กก็เปยี ก ไมเ่ ปียกกไ็ ม่เปียก เป็นเรือ่ งน่าอศั จรรย์ แลว้ ท่านก็ได้พานกั อยู่บริเวณป่า แถวนั้น ในตอนเชา้ กอ็ อกบิณฑบาตในเมืองกบลิ พสั ดุ์ พระเจ้าสทุ โธทนะเห็น กเ็ กิดความละอาย จงึ ไปหา้ ม แต่ พระพทุ ธเจา้ ปฏิเสธ ขอบิณฑบาตตอ่ ไป เพราะพระองค์เป็นพระสงฆแ์ ลว้ มิใชเ่ ชอ้ื พระวงศ์ แล้วจงึ เทศนาแก่ พระเจา้ สทุ โธทนะ จากน้นั พอจะกลบั พระราหลุ กข็ อบวช เปน็ สามเณรรปู แรกของศาสนา สว่ นพระนางปชาบ ดกี ข็ อบวช แต่พระองค์ไม่อนุญาตเพราะเป็นสตรี พระนางจงึ ตามไปขอร้องถึงสามครา พระพุทธเจ้าจงึ ให้ เงอ่ื นไขว่าจะทาตามภาระท่ีทาได้ยาก 8 ประการได้หรือไม่ กท็ าได้ จึงใหบ้ วช เปน็ ภิกษุณีรูปแรกของศาสนา จากนน้ั พระพุทธศาสนากเ็ จริญงอกงาม แต่ก็มีพระเทวทัต ท่ีคอยอิจฉาและกลั่นแกล้งพระพุทธเจ้า โดยท่านทา ให้สงฆแ์ ตกแยกกัน และผลักหินมาโดนน้วิ เท้าพระพทุ ธเจา้ จนหอ้ เลอื ด ซง่ึ ถอื เปน็ อนนั ตริยกรรมท้ังคู่ จึงถกู แผ่นดินสบู เชน่ เดียวกบั นางอุบลวรรณาทแ่ี สรง้ ทาว่าท้องกับพระพุทธเจา้ ก็ถูกธรณสี บู ในทส่ี ดุ แต่ พระพุทธศาสนาก็ยังเจริญก้าวหน้าตอ่ ไป มีมานพหนุ่ม ชอื่ องคลุ ิมาร ได้รับคาสอนผดิ ๆจากอาจารยว์ า่ ตดั นิว้ คนครบ 1,000 คน จะสาเรจ็ วชิ า จนเกือบตดั นว้ิ มารดาตนเอง แต่เหลอื บไปเหน็ พระพุทธเจ้า จงึ ไลต่ าม พระพุทธเจ้า แต่ก็ไม่ทันเสียที จงึ บอกใหห้ ยดุ พระพุทธเจา้ ตรัสตอบว่า “เราหยุดแล้วแต่ทา่ นยงั ไม่หยุด” องคค์ ุ ลิมารจึงมดี วงตาเหน็ ธรรมและขอออกบวช เป็นพระอรหนั ต์ในท่ีสุด แลว้ ในวนั ขึน้ 15 ค่า เดอื น 3 ก็มีพระ อรหนั ต์ ซึ่งเปน็ เอหภิ ิกขุอุปสัมปทา (พระพุทธเจา้ บวชให้) มาประชุมพรอ้ มกันโดยมิไดน้ ัดหมาย ท่านจงึ แสดง โอวาทปาฏิโมกข์ จากนน้ั คนื นัน้ พญามารไดม้ าทวงสญั ญาทจ่ี ะปลงอายุสงั ขาร ทา่ นจึงปลงอายุสงั ขารวา่ อีก 3 เดอื นท่านจะปรนิ พิ พาน แลว้ จากนน้ั อีก 3 เดือน ท่านได้ไปยงั เมืองกุสนิ ารา นายจนุ ทะได้นิมนตใ์ ห้ฉนั สกู รมทั วะ (แกงเห็ด) ซง่ึ ย่อยยาก ท่านได้ห้ามภิกษอุ ืน่ ฉัน แล้วทา่ นฉนั เองทั้งหมด ในคนื นน้ั ท่านปวดท้องมาก ทา่ นได้ รับส่ังพระอานนท์ให้ไปบอกนายจนุ ทะวา่ อาหารท่ีมีบุญสูงสดุ มี 2 มอื้ คือ มื้อท่ฉี นั แล้วตรสั รู้ คือ ขา้ วมธปุ ายาส ของนางสุชาดา และ ม้ือท่ฉี นั แล้วปรนิ พิ พาน คือ สกู รมัทวะของนายจุนทะน้เี อง แล้วจึงเดนิ ทางต่อ ระหวา่ ง ทาง ทา่ นกระหายนา้ มาก แต่ทุกหนแห่ง นา้ ขุ่นมาก ฉันไม่ไดเ้ ลย กว่าจะได้ฉันนั้นต้องรอนานมาก สรา้ งทุกร กริ ยิ าแก่ทา่ นมาก เปน็ กรรมเก่าที่ตกตามมาชาระใหห้ มดไป แลว้ ท่านจงึ เสด็จ ณ แทน่ หินระหวา่ งตน้ รงั แลว้ นอนในทา่ ไสยยาสน์ ก่อนปรินิพพาน ได้ตอบปญั หาพระสุภัททะ แลว้ ได้บวชใหพ้ ระสภุ ัททะ เป็นพระทีเ่ ปน็ เอหภิ กิ ขุอุปสมั ปทารปู สุดท้ายแลว้ จงึ ตรัสใหพ้ ระธรรมเป็นศาสดาต่อ แล้วจงึ ฝากให้ทุกท่านดารงอยูใ่ นความไม่ ประมาท แล้วจึงเสด็จดบั ขันธป์ รนิ ิพพาน หลักธรรมในพระพุทธศาสนา อรยิ สจั 4 : ความจรงิ สูงสุด 4 ประการ เปน็ หลกั ท่ีแสดงว่า ศาสนาพทุ ธมีความเป็นเหตเุ ป็นผล ทกุ ข์ : สภาพทท่ี นได้ยาก ก็คือ สิ่งท่เี ราต้องแก้ไข

สมุทยั : คอื เหตุแหง่ ทกุ ข์ นโิ รธ : คือสภาวะท่ดี ับทุกขแ์ ลว้ คือหมดซึ่งปัญหานนั้ ๆ มรรค : คือวธิ กี ารดับทุกข์ อรยิ สัจ 4 นี้ ใช้แก้ปัญหาตง้ั แตเ่ รือ่ งเล็กๆ จนไปถงึ ปญั หาใหญอ่ ย่างการเวียนวา่ ยตายเกดิ ทาให้ สามารถบรรจหุ ลกั ธรรมต่างๆลงในอรยิ สจั 4 ได้ เชน่ ขันธ์ 5 คอื สภาพร่างกาย ก็บรรจุเข้าในทุกข์ เปน็ ต้น ขนั ธ์ 5 : กองแห่งรูปธรรมและนามธรรม => ประกอบเป็นตัวเรา รปู ขนั ธ์ : คอื รา่ งกายของเรานั่นเอง เวทนาขันธ์ : ความรู้สึกของเรา สญั ญา : ความจา สังขาร : ความปรงุ แตง่ จิต เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง วญิ ญาณ : จติ ทรี่ บั ร้คู วามรู้สึกต่างๆ ขันธ์ 5 น้ี เปน็ ของทางโลก การละได้ ก็คือตัดขาดจากทางโลก คอื นิพพาน ขันธ์ 5 จงึ เป็นปญั หาของ โลก ที่ต้องกาจัด จึงจัดในหมวดทุกข์ อบายมขุ 6: ชอ่ งทางแห่งความเสอื่ ม ตดิ สุราและของมึนเมา, เท่ยี วกลางคืน, ชอบดกู ารละเล่น, ตดิ การพนัน, คบคนชว่ั , เกยี จคร้าน นวิ รณ์ 5 : ส่งิ ขัดขวางมใิ หธ้ รรมมาสูจ่ ิต กามฉนั ทะ : ความติด พงึ พอใจในกาม พยาบาท : ความไม่พอใจจากการไมส่ มหวงั ในกาม ถีนมิทธะ : ความขี้เกียจ ท้อแท้ อุทธัจจะกุกกุจจะ : ความคิดซดั สา่ ยตลอดเวลา ฟุ้งซ่าน วิจิกจิ ฉา : ความลงั เล ความไม่แน่ใจ เม่อื เจรญิ สตภิ าวนาไป ในยามทใี่ กล้จะบรรลุธรรม นิวรณ์ท้ัง 5 จะมาขัดขวางจติ ใจมิให้บรรลุธรรม ถา้ ผา่ นนิวรณ์ทงั้ 5 ไปได้ก็จะบรรลธุ รรมในท่สี ุด เปรยี บเสมือนพญามารที่มาขัดขวาพระพุทธเจา้ มใิ หบ้ รรลธุ รรม สุข 2 : ความดับซึ่งทุกข์ สามสิ สขุ : ความสุขทางโลก เปน็ ความสุขเพียงชั่วคราว นริ ามิสสุข : ความสุขทางธรรม เปน็ ความสขุ นริ นั ดร์ คือการนพิ พาน ไตรลักษณ์ : สภาพทว่ั ไปของมนุษย์ และสิ่งท้ังปวง อนจิ จลกั ษณะ : ลักษณะไมเ่ ท่ียง เปลย่ี นไปเรือ่ ยๆ ทุกขลกั ษณะ : ลักษณะหนึ่งทนอยู่ตลอดไปไม่ได้ อนตั ตลักษณะ : ไม่ใช่ตัวตน ควบคุมไม่ได้ ไตรวฏั ฏ์ : การหมุนเวียนต่อเน่อื งของสรรพสิ่ง กเิ ลสวัฏฏ์ : วงจรแห่งกเิ ลส : ประกอบด้วย อวิชชา(ความไมร่ ู้) ตณั หา(ความอยาก) และอปุ าทาน (ความยดึ มน่ั ถอื มนั่ )

กรรมวฏั ฏ์ : วงจรแห่งกรรม : ประกอบด้วย สังขาร(การปรุงแตง่ ) และภพ(โลกอนั เป็นท่ีอยู่) วิปากวัฏฏ์ : ผลของกรรม เมอื่ มีกเิ ลส กท็ าให้เกดิ กรรม ทงั้ กรรมดีและกรรมช่วั จากน้ันกต็ ้องรบั ผลของกรรมน้ัน แล้วกเ็ กดิ กิเลส ใหม่ ไมส่ ้ินสุด หากหลุดพน้ ได้ก็จะสนู่ พิ พาน สมบัติ 4 : สิ่งท่ที าให้กรรมดสี ่งผลชดั ขึน้ คตสิ มบตั ิ : ทากรรมถกู ที่ อปุ ธิสมบัติ : ถึงพร้อมดว้ ยกายและใจที่สมบรู ณ์ กาลสมบตั ิ : ทากรรมถกู เวลา ปโยคสมบตั ิ : ความฝกั ใฝใ่ นการทากรรมดี วิบัติ 4 : ส่ิงท่ที าใหก้ รรมช่ัวสง่ ผลชัดข้ึน คตวิ ิบตั ิ : ทากรรมผิดที่ อุปธิวบิ ัติ : รา่ งกายหรือจิตใจไมอ่ านวยต่อการทากรรม กาลวบิ ัติ : ทากรรมผิดเวลา ปโยควบิ ตั ิ : ฝกั ใฝใ่ นกรรมชวั่ อกศุ ลกรรมบถ 10 : ทางแหง่ การทาความชว่ั กายกรรม 3 : กระทาช่ัวทางกาย : ฆา่ สตั ว์ ลกั ทรัพย์ ประพฤติผดิ ในกาม วจีกรรม 4 : กระทาช่ัวทางวาจา : พูดปด พูดส่อเสยี ด พูดคาหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มโนกรรม 3 : กระทาช่ัวทางใจ : คดิ อยากได้ของผอู้ นื่ คิดรา้ ยตอ่ ผู้อนื่ เหน็ ผิดจากทานองคลองธรรม กุศลกรรมบถ 10 : ทางแหง่ การทาความดี กายกรรม 3 : กระทาดีทางกาย : ไมฆ่ ่าสัตว์ ไมล่ ักทรพั ย์ ไม่ประพฤตผิ ดิ ในกาม วจกี รรม 4 : กระทาดีทางวาจา : ไม่พูดปด ไมพ่ ูดสอ่ เสยี ด ไมพ่ ดู คาหยาบ ไม่พดู เพ้อเจ้อ มโนกรรม 3 : กระทาดีทางใจ : ไมค่ ิดอยากได้ของผู้อ่นื ไมค่ ิดรา้ ยตอ่ ผูอ้ น่ื ไมเ่ หน็ ผดิ จากทานองคลอง ธรรม ปปญั จธรรม 3 : กเิ ลสทข่ี ดั ขวางไมใ่ หเ้ ขา้ ถึงความจรงิ ตัณหา : ความปรารถนา ความอยากได้ อยากเอามาเป็นของตน ทฏิ ฐิ : ความยึดมนั่ ถือมั่นในทฤษฏีหนึ่งๆ มานะ : ความถือตัว ยกตนเป็นใหญ่ ไม่ฟังใคร อัตถะ 3 : ประโยชน์ 3 ประการ ทฏิ ฐธัมมิกัตถะ : ประโยชน์ในปัจจุบัน ในโลกน้ี สัมปรายิกตั ถะ : ประโยชน์ในโลกหนา้ ชาตหิ นา้ ปรมัตถะ : ประโยชน์สงู สุด คือ นิพพาน ไตรสกิ ขา : ขอ้ ทีต่ อ้ งปฏิบตั เิ พ่ือไปสูน่ พิ พาน อธิสลี สกิ ขา : ศลี : การควบคุมความประพฤตขิ องตน

อธิจิตตสิกขา : สมาธิ : การควบคมุ จติ ใจของตน อธปิ ัญญาสิกขา : ปัญญา : การฝกึ อบรมปัญญาให้เกดิ ความรู้แจง้ โอวาท 3 : หลกั ใหญแ่ ห่งคาสอนของพระพทุ ธองค์ ทาความดี , ไม่ทาความชั่ว, ทาจติ ใจให้บริสุทธ์ิผอ่ งใส พรหมวิหาร 4 : ธรรมแหง่ พระพรหม ธรรมของผปู้ ระเสริฐ เมตตา : การอยากให้ผู้อน่ื มีความสุข กรุณา : การอยากใหผ้ ู้อน่ื พ้นจากทกุ ข์ มทุ ิตา : การยนิ ดีเมื่อผูอ้ ื่นมสี ุข อเุ บกขา : การวางเฉย พิจารณาธรรมอย่างเป็นกลาง ฆราวาสธรรม 4 : ธรรมของฆราวาสทจี่ ะให้อยอู่ ย่างเป็นสุข สจั จะ : การซื่อสตั ย์ พูดจริงทาจริง ทมะ : การฝกึ หัดดัดนสิ ยั ขม่ อบรมจติ ใจ ขนั ติ : ความอดทน มงุ่ มานะด้วยความขยัน จาคะ : ความเสยี สละ ความใจกวา้ ง ไม่เหน็ แกต่ ัว กุลจริ ฏั ฐติ ิธรรม 4 : ธรรมสาหรับดารงความมั่งคั่งของตระกลู นัฏฐคเวสนา : ของหมดรจู้ ักหามาเตมิ ไว้ ชณิ ณปฏิสังขรณา : ของเก่าชารดุ รูจ้ กั ซ่อมแซม ปรมิ ิตปานโภชนา : รจู้ ักประมาณการกนิ การใช้ อธปิ ัจจสีลวันตสถาปนา : ตัง้ ผู้มีศีลธรรมเป็นหวั หน้าครอบครวั ปธาน 4 : ความเพียร สงั วรปธาน : เพียรระวังอกศุ ลกรรมทยี่ ังไมเ่ กิด ปหานปธาน : เพยี รกาจัดอกศุ ลกรรมท่ีเกิดแลว้ ภาวนาปธาน : เพยี รทากุศลกรรมที่ยงั ไม่เกดิ อนรุ ักขนาปธาน : เพยี รรักษากุศลกรรมที่เกดิ แล้ว สังคหวตั ถุ 4 : ธรรมอนั เป็นท่ียดึ เหนยี่ วใจคน ทาน : การให้ ปยิ วาจา : การใช้คาพดู สภุ าพ ไพเราะ อัตถจริยา : บาเพญ็ สาธารณประโยชน์ สมานตั ตา : การทาตวั เสมอต้นเสมอปลาย อทิ ธิบาท 4 : รากฐานแห่งความสาเรจ็ : ใช้ในการเล่าเรียน ฉนั ทะ : ความพอใจในสงิ่ ทกี่ าลังจะทา วิรยิ ะ : ความเพียรในการกระทา จิตตะ : เอาจิตฝกั ใฝ่ในการกระทาน้ัน

วมิ งั สา : ความใตรต่ รองพิจารณาในส่ิงน้นั ให้มาก เบญจศลี - เบญจธรรม 5 : ศลี - ธรรมอนั ดงี าม เวน้ จากการฆา่ สัตว์ – มคี วามเมตตากรุณา เว้นจากการลักทรัพย์ – เล้ียงชพี ในทางสจุ รติ เวน้ จากการประพฤตผิ ดิ ในกาม – สารวมระวงั ในกาม เว้นจากการพูดปด ส่อเสยี ด เพอ้ เจ้อ – ซื่อสัตย์ เว้นจากของมึนเมา – มีสตอิ ยู่เสมอ ทศิ 6 : บุคคลประเภทตา่ งๆท่ีต้องดูแล ปรุ ัตถิมทิศ : ทิศเบ้อื งหนา้ : บิดามารดา ทกั ษิณทศิ : ทศิ เบื้องขวา : ครู อาจารย์ ปจั ฉิมทิศ : ทิศเบ้อื งหลงั : บุตรภรรยา อตุ ตรทิศ : ทิศเบอ้ื งซ้าย : มิตรสหาย เหฏฐิมทิศ : ทิศเบอ้ื งลา่ ง : คนรับใช้ แรงงาน อุปรมิ ทิศ : ทศิ เบือ้ งบน : สมณสงฆ์ สัปปุรศิ ธรรม 7 : ธรรมของสัตบรุ ุษ ธัมมัญญตุ า : การรหู้ ลักความจริง กฏเกณฑ์ อตั ถัญญตู า : การร้จู ักผลของการกระทา อตั ตญั ญุตา : รจู้ กั ประพฤติให้เหมาะสมกับฐานะและกาลงั ปัญญาของเรา มัตตญั ญตุ า : ร้จู กั พอประมาณในการบรโิ ภคปัจจยั 4 กาลญั ญุตา : รูเ้ วลาอันเหมาะสม ปรสิ ัญญุตา : รจู้ กั ชมุ ชน ปุคคลัญญตุ า : รจู้ กั ความแตกตา่ งแห่งบุคคล มรรค 8 : ทางแห่งการดับทุกข์ สัมมาทิฏฐิ : การเห็นชอบ การรใู้ นสงิ่ ท่คี วรรู้ สัมมาสังกัปปะ : การดาริชอบ คดิ ดี สัมมาวาจา : เจรจาชอบ การพดู ดี สัมมากัมมันตะ : กระทาชอบ การกระทาดี สัมมาอาชวี ะ : เล้ียงชพี ชอบ การประกอบอาชพี สุจรติ สัมมาวายามะ : พยายามชอบ การเพยี รตาม ปธาน 4 สัมมาสติ : ระลกึ ชอบ มีสติอยู่เสมอ สัมมาสมาธิ : ต้งั จิตมัน่ ชอบ ควบคมุ จิตใจตนเองใหม้ ่นั คงได้

วันสาคญั ในพระพุทธศาสนา 1. วันวสิ าขบูชา ตรงกับวันขน้ึ 15 ค่า เดือน 6 เป็นวันประสตู ิ ตรสั รู้ และปรนิ พิ พานของพระพุทธเจา้ หลกั ธรรมท่เี ก่ียวข้อง : อริยสจั 4 เปน็ ธรรมที่พระองคท์ รงตรัสรู้ได้ การปฏิบัติตน : ทาบุญ ตกั บาตร สวดมนต์ ฟังเทศน์ เวียนเทียน 2. วันอาสาฬหบชู า ตรงกับวนั ข้ึน 15 ค่า เดอื น 8 เปน็ วนั ท่มี ีพระรตั นตรัยครบ 3 พระองค์ คอื วนั ท่ีพระพทุ ธเจ้าเสดจ็ ไป โปรดปญั จวคั คีย์ที่ปา่ อสิ ปิ ตนมฤคทายวันจนทาให้ พระอัญญาโกณฑญั ญะ เกิดดวงตาเห็นธรรม ขอบวชเปน็ ภกิ ษุ ทาใหม้ ีพระรัตนตรยั ครบ 3 องค์ หลักธรรมทเ่ี กย่ี วข้อง : ธรรมจักรกัปปวตั นสตู ร การปฏิบัติตน : ทาบญุ ตักบาตร สวดมนต์ ฟงั เทศน์ เวียนเทียน 3. วันเขา้ พรรษา ตรงกับวันแรม 1 ค่าเดอื น 8 จนถงึ ขึน้ 15 คา่ เดือน 11 เป็นวันทพ่ี ระพุทธเจ้าให้พระสงฆ์อยจู่ าวัด เพอื่ ไมใ่ ห้ไปเหยยี บยา่ ทน่ี าชาวบา้ น โดยเมอ่ื จบช่วงเขา้ พรรษา จะมีพิธี ปวารณา ใหพ้ ระสงฆ์ได้ตักเตอื นกนั อกี ดว้ ย การปฏิบตั ิตน : ทาบุญ ตกั บาตร สวดมนต์ ฟงั เทศน์ ถวายผา้ อาบนา้ ฝน เทียนพรรษา 4. วันออกพรรษา ตรงกับวนั ขน้ึ 15 ค่า เดือน 11 ในบางที่ เป็นวันเทโวโรหณะ ซ่ึงเปน็ วันที่พระพทุ ธเจ้าทรงเสดจ็ ลงจาก สวรรคช์ นั้ ดาวดึงส์ ซึ่งจะมีประเพณที ี่ย่งิ ใหญใ่ นการตักบาตรขา้ วตม้ ลูกโยนท่ี จ.อุทัยธานี การปฏิบตั ติ น : ทาบญุ ตกั บาตรขา้ วต้มลูกโยน สวดมนต์ ฟังเทศน์ ฟังธรรม 5. วนั อัฏฐมีบชู า ตรงกับวนั แรม 8 คา่ เดือน 6 เป็นวันท่ถี วายพระเพลงิ พระบรมศพ พระสมั มาสัมพุทธเจา้ เหตทุ ี่ตอ้ ง รอ เพราะรอพระมหากสั สปะ และลกู ศิษย์ ที่ไปธดุ งค์ไกล กลับมาถวายบังคมลา เป็นคร้ังสดุ ท้าย แล้วไฟกล็ ุก ติดเอง จากน้ัน พระบรมสารีริกธาตุ ก็ถูกแบง่ ไปยังทีต่ ่างๆ โดยการจัดการของพระเจ้าอชาตศตั รู และมี บางสว่ นท่เี ทพยดานาไปประดิษฐาน ณ พระมหาเจดีย์จุฬามณี บนสวรรคช์ ้นั ดาวดึงส์ 6. วันมาฆบชู า ตรงกับวันขึ้น 15 ค่า เดือน 3 เปน็ วนั ปลงอายสุ งั ขารของพระพุทธเจ้า และเป็นวนั ท่ีมีพระสงฆม์ า รวมตวั กนั 1,250 รูปโดยมไิ ดน้ ัดหมาย โดยทั้งหมดเปน็ พระอรหนั ต์ และเป็นเอหิภิกขุอุปสมั ปทา คือ พระพทุ ธเจา้ บวชให้เองทัง้ สนิ้ ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ คือ หลักอนั สงู สดุ ของพระพุทธศาสนา หลักธรรมที่เกยี่ วข้อง : โอวาท 3

พธิ ีกรรมทางศาสนา การทาบญุ ในงานมงคลและอวมงคล งานมงคล คืองานท่ีเปน็ งานดี เชน่ งานบวช งานขน้ึ บ้านใหม่ งานแตง่ งาน นยิ มนิมนตพ์ ระมาเปน็ เลขคี่ เช่น 3 5 7 9 รปู เปน็ ต้น โดยในงาน ต้องมีการโยงดา้ ยสายสิญจนร์ อบพธิ ีและโต๊ะหมู่บูชา และมีอ่างนา้ มนต์ สว่ นงานอวมงคล คือ งานศพ งานทาบุญกระดูก นิยมนมิ นต์พระมาเป็นเลขคู่ เช่น 4 6 8 รปู เป็นต้น ไม่มีอา่ งน้ามนตแ์ ละการพนั ด้ายรอบโต๊ะหมบู่ ูชา การตกั บาตร การตกั บาตร หรือใส่บาตร กระทาได้โดย ยืนรอให้พระภกิ ษุมาถึง นมิ นต์พระ ถอดรองเท้า ใส่บาตรให้ เรยี บรอ้ ย นง่ั ลงรับพรจากพระเปน็ อนั เรียบร้อย ลาดบั ข้นั ตอนในการทาบญุ นมิ นต์พระ จากนั้น จัดเตรยี มสถานทีใ่ ห้เรยี บร้อย จัดโตะ๊ หมบู่ ูชา เตรยี มอาสนะ จากน้นั รบั พระสงฆ์ มายังพิธี แลว้ เชญิ ประธานจุดธปู เทียนบชู าพระรตั นตรยั กลา่ วคาบชู าพระรัตนตรัย อาราธนาศลี 5 รับศีล อาราธนาพระปรติ ร จดุ เทยี นน้ามนต์ ถวายข้าวพระพทุ ธ ประเคนข้าวพระสงฆ์ ลาข้าวพระพุทธ ถวายสงั ฆทาน กรวดน้าอุทิศส่วนกศุ ล รบั นา้ มนต์ แล้วสง่ พระกลบั วัดใหเ้ รียบรอ้ ย พระไตรปิฏกและการสงั คายนาพระไตรปฏิ ก พระไตรปฏิ กเป็นคัมภีรท์ างพระพุทธศาสนาทร่ี วบรวมคาส่งั สอนของพระพุทธเจา้ ไว้ มี 3 หมวด คอื 1. พระวนิ ยั ปฏิ ก : อธบิ ายถึงระเบียบวินัย ข้อห้าม ศลี ของพระสงฆ์ (228 ขอ้ ) ภกิ ษณุ ี (311ข้อ) สามเณร (10 ข้อ) อบุ าสก- อุบาสิกา (8 ขอ้ ) คฤหสั ถ์ (5 ขอ้ ) 2. พระสุตตันตปิฏก : วา่ ดว้ ยพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าโดยทั่วไป โดยแบ่งเป็นหมวดหมู่ โดยมี เหตกุ ารณ์และบุคคล ต้นกาเนิดแห่งพระธรรมเทศนานัน้ ๆประกอบ 3. พระอภธิ รรมปิฏก : คมั ภีร์ว่าดว้ ยหลกั ธรรมลว้ นๆ เปน็ แก่นแทแ้ ห่งธรรมชาติ การสังคายนาพระไตรปิฏก 1. กระทาท่ี ถา้ สัตยาบรรณคูหา โดยมพี ระมหากัสสปะเถระเป็นประธาน มีพระเจา้ อชาตศัตรเู ป็นผู้ อุปถัมภ์ 2. กระทาทเี่ วลกิ าราม เมอื งเวสาลี 3. กระทาที่อโศการาม แควน้ มคธ โดยในคร้ังน้ัน มพี วกเดยี รถี คือนกั บวชปลอม จานวนมาก จงึ ตอ้ งจัด สงั คายนาขึน้ เพื่อจดั การพวกเดยี รถี และส่งพระธรรมทูติ ไปเผยแผศ่ าสนารอบชมพทู วปี โดยมพี ระ เจา้ อโศกมหาราชเป็นผู้อปุ ถัมภ์ 4. กระทาทถ่ี ปู าราม ประเทศศรีลงั กา โดย พระมหินทรเถระ ซง่ึ เปน็ หัวหนา้ พระธรรมทูติสายทีม่ าเผยแผ่ ธรรม ณ ศรีลังกา เป็นการเร่ิมการเผยแผ่ธรรม ท่ศี รีลงั กา 5. กระทาทอ่ี โลกเลณสถาน ประเทศศรลี งั กา เป็นการจารึกลงบนใบลานเป็นคร้งั แรก 6. กระทา ณ ศรีลังกา เพ่ือแปลภาษาสิงหลเป็นภาษามคธ มอี รรถกถาอธิบายพุทธพจน์

7. กระทาท่ี ศรลี งั กา เพื่อเพ่ิมฏกี า คือสว่ นท่ีอธบิ ายอรรถกถาอีกที 8. กระทาในประเทศไทย โดยพระเจ้าตโิ ลกราช พระเจ้าล้านนา เพอ่ื วางรากฐานศาสนาในไทย 9. กระทาในไทย โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช ทรงชาระพระไตรปิฏกเพอื่ กา้ วสู่ ราชอาณาจกั รใหม่ 10. กระทาในประเทศไทย โดยสมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส โดยมี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัวมหาราช เป็นองค์อปุ ถมั ภ์ 11. กระทาในประเทศไทย ในสมัย พลเอกเปรม ตณิ สลู านนท์ การเผยแผศ่ าสนาในไทย ศาสนาพุทธ เขา้ มาในไทยครง้ั แรกผ่านอาณาจักรศรีวิชัย ในสมัยทราวดี ซึ่งเป็นนกิ ายมหายาน จากนน้ั ทางทราวดี ได้รบั ศาสนาพทุ ธนกิ ายเถรวาท มาจากลงั กา แลว้ ยึดถอื ใช้เร่ือยมา จนในสมยั รชั กาล ที่ 4 ทรงตัง้ นกิ ายธรรมยุติ ซ่ึงเครง่ ต่อพระวนิ ัยมาก ทาให้ปัจจบุ นั มที ั้ง 3 นกิ ายในไทย สงั เวชณียสถานท้งั 4 คือสถานท่สี าคัญทางศาสนาทั้ง 4 มเี พ่ือให้เกิดความสงั เวช คดิ ถงึ เหตุการณ์ คาสั่งสอน ณ สถานที่ นน้ั ๆ โดยประกอบด้วย 1. ลุมพนิ วี ัน ประเทศ เนปาล : คือ สวนลุมพนิ ี ซึ่งเปน็ ทป่ี ระสูตขิ องพระพทุ ธเจา้ มเี สาอโศก ซึ่งเปน็ สง่ิ ท่ี พระเจ้าอโศกมหาราชทรงทาเคร่อื งหมายไว้ว่านีค่ ือท่ีประสูติ 2. พุทธคยา ประเทศอนิ เดีย : คือ ตาบลอรุ ุเวฬาเสนานิคม รมิ ฝงั่ แม่นา้ เนรัญชรา ซ่ึงเป็นท่ีอยขู่ องต้นพระ ศรีมหาโพธิ์ ซึง่ เป็นทต่ี รัสรู้ของพระพุทธเจา้ 3. สารนาถ ประเทศอินเดีย : คือ ปา่ อิสิปตนมฤคทายวัน เปน็ ทีแ่ สดงปฐมเทศนา 4. กสุ ินารา ประเทศเนปาล : คือ สาลวโนทยาน เมืองกสุ ินารา ทป่ี รนิ ิพพานของพระพุทธเจ้า


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook