บทท่ี 3 | ความนา จะเปน 141 คมู ือครูรายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปท ่ี 5 เลม 2 • การหาคําตอบของแบบฝกหัด 3.2 ขอ 6. 4) น้ัน ครูอาจใหนักเรียนใชทฤษฎีบท 1 ในการ แกปญหาโดยใชค วามรูวา P( A′)= 1− P( A) เม่ือ S เปนปริภูมิตัวอยางซึ่งเปนเซตจํากัด และ A เปน เหตกุ ารณใด ๆ ซึ่งทําไดดังนี้ ให A แทนเหตุการณทีจ่ ะไดเหรยี ญทม่ี หี มายเลขเปนจํานวนทหี่ ารดว ย 5 ลงตวั จะได A′ แทนเหตุการณท่จี ะไดเ หรยี ญทม่ี ีหมายเลขเปนจํานวนทีห่ ารดวย 5 ไมลงตัว จาก P( A′) = 1− P( A) จะได P( A′) = 1− 1 = 4 55 ดังน้ัน ความนาจะเปนท่ีจะไดเหรียญท่ีมีหมายเลขเปนจํานวนที่หารดวย 5 ไมลงตัว เทากับ 4 5 ประเดน็ สาํ คญั เกยี่ วกบั แบบฝกหัด การหาคําตอบของแบบฝกหัดทายบทขอ 38 และ 39 ในที่น้ีใหพิจารณาวาหลอดไฟสีเดียวกัน ไมแ ตกตางกนั สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ความนา จะเปน 142 คมู ือครรู ายวชิ าเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท่ี 5 เลม 2 3.3 แนวทางการจัดกิจกรรมในหนังสือเรยี น กิจกรรม : Monty Hall Problem Monty Hall Problem เปนปญหาคณิตศาสตรซึ่งมีท่ีมาจากเกมโชวทางโทรทัศนชื่อ Let’s Make a Deal โดยออกอากาศในสหรัฐอเมริกาเม่ือ ค.ศ. 1984 – 1986 และ Monty Hall เปนพิธีกร ของรายการ กติกาของเกมโชวนี้มีอยูวา “มีประตูที่มีลักษณะเหมือนกันอยูสามบานคือประตู หมายเลข 1, 2 และ 3 โดยดานหลังประตูทั้งสามบานน้ีจะมีประตูเพียงบานเดียวที่มีรถยนตซ่ึง เปนของรางวัลใหญอยู และอีกสองบานท่ีเหลือจะมีแพะอยู ผูเขาแขงขันสามารถเลือกประตูบาน ใดกไ็ ด 1 บาน เมื่อผเู ขาแขง ขนั เลือกประตหู มายเลขใดหมายเลขหน่ึงแลวพิธีกรจะเลือกเปดประตู ที่มีแพะ 1 บาน จากประตูสองบานท่ีผูเขาแขงขันไมไดเลือก ดังนั้น ตอนนี้จะมีประตูท่ียังปดอยู สองบาน ประตบู านหนง่ึ คือประตทู ่ผี เู ขา แขงขันเลอื กและประตูอีกบานหนึ่งคือประตูท่ีผูเขาแขงขัน ไมไดเลอื ก จากนน้ั พธิ กี รบอกผูเ ขาแขงขันวา ใหโอกาสผูเขาแขงขันสามารถเปลี่ยนใจมาเลือก ประตอู ีกบานหนึง่ ได” ขัน้ ตอนการปฏบิ ตั ิ 1. จากสถานการณท่ีกําหนดให ถานักเรียนเปนผูเขาแขงขัน ควรจะเลือกเปลี่ยนประตูหรือไม เพราะเหตุใด 2. เปดเว็บไซต ipst.me/7402 3. ทดลองเลนเกม โดยคลิกเลือกประตูหมายเลข 1, 2 หรือ 3 จากน้ันโปรแกรมจะเปดประตู บานที่เหลือท่ีมีแพะอยู 1 บาน คลิกเลือกวาจะเปลี่ยนหรือไมเปล่ียนประตูตามที่ตัดสินใจ ในขอ 1 สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ความนา จะเปน 143 คมู ือครรู ายวิชาเพมิ่ เตมิ คณติ ศาสตร ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 5 เลม 2 4. ทดลองเลน เกมอยางนอย 30 คร้ัง โดยเลอื กไมเปลี่ยนประตู ใหน กั เรียนทําเครอ่ื งหมาย X ลงในตารางตามผลลพั ธท ไี่ ดจ ากการเปด ประตูท่นี กั เรยี นเลือก กรณไี มเ ปลยี่ นประตู ครงั้ ท่ี รถ แพะ คร้ังท่ี รถ แพะ ครัง้ ที่ รถ แพะ 1 11 21 2 12 22 3 13 23 4 14 24 5 15 25 6 16 26 7 17 27 8 18 28 9 19 29 10 20 30 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | ความนา จะเปน 144 คูม ือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปท ี่ 5 เลม 2 5. จากการทดลองในขอ 4 จงหาวาอัตราสวนระหวางจํานวนสมาชิกของเหตุการณที่เปดประตู แลว มรี ถยนตกบั จาํ นวนการทดลองเลนเกม 30 ครัง้ คิดเปน เทาใด 6. ทดลองเลน เกมอยางนอ ย 30 ครง้ั โดยเลอื กเปลีย่ นประตู ใหนักเรียนทําเครื่องหมาย X ลงในตารางตามผลลัพธที่ไดจากการเปดประตูที่นักเรยี นเลือก กรณเี ปลีย่ นประตู ครั้งที่ รถ แพะ คร้ังท่ี รถ แพะ ครงั้ ที่ รถ แพะ 1 11 21 2 12 22 3 13 23 4 14 24 5 15 25 6 16 26 7 17 27 8 18 28 9 19 29 10 20 30 7. จากการทดลองในขอ 6 จงหาวาอัตราสวนระหวางจํานวนสมาชิกของเหตุการณที่เปดประตู แลวมรี ถยนตกบั จํานวนการทดลองเลน เกม 30 คร้ัง คดิ เปนเทาใด 8. จากผลการทดลองขางตน นักเรียนคิดวาการเลือกเปล่ียนหรือไมเปลี่ยนประตู มีผลตอการ ไดรางวัลหรือไม เพราะเหตใุ ด 9. จากสถานการณเ กมโชว Let’s Make a Deal 9.1 การเลอื กประตูในครงั้ แรกจากประตทู ัง้ สามบาน 9.1.1 จงหาความนาจะเปน ของเหตุการณท ดี่ านหลังประตูท่ีผูเ ขาแขงขนั เลือกมีรถยนต 9.1.2 จงหาความนาจะเปนของเหตกุ ารณทด่ี า นหลังประตูท่ผี เู ขาแขงขนั เลือกมีแพะ สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ความนา จะเปน 145 คมู อื ครูรายวิชาเพม่ิ เตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปที่ 5 เลม 2 9.2 กรณีไมเปล่ียนประตู หลังจากพิธีกรเลือกเปดประตูท่ีมีแพะ 1 บาน ถาผูเขาแขงขัน ไมเปล่ียนใจในการเลอื กประตู จงหาความนาจะเปนของเหตุการณท่ีผูเขาแขงขันไดรางวัล เปน รถยนต 9.3 กรณีเปลี่ยนประตู หลังจากพธิ ีกรเลือกเปด ประตูทีม่ แี พะ 1 บาน ถา ผูเ ขาแขงขันเลือก เปลย่ี นประตู 9.3.1 กรณที ่ี 1 ดา นหลังประตูท่ผี เู ขา แขงขนั เลือกในคร้ังแรกมีรถยนต จงหาความนาจะเปนที่จะเกิดเหตุการณในกรณีนี้ และเม่ือผูเขาแขงขันเลือก เปลย่ี นประตู แสดงวาเขาจะไดรางวัลเปนอะไร 9.3.2 กรณที ี่ 2 ดา นหลังประตูทผ่ี เู ขา แขงขันเลอื กในครัง้ แรกมีแพะ จงหาความนาจะเปนที่จะเกิดเหตุการณในกรณีนี้ และเมื่อผูเขาแขงขันเลือก เปล่ยี นประตู แสดงวา เขาจะไดรางวลั เปน อะไร 9.3.3 จงหาความนาจะเปนของเหตุการณท ่ผี ูเขา แขง ขันไดร างวลั เปน รถยนต 10.จากความนาจะเปนที่ไดในขอ 9.2 และ 9.3 นักเรียนคิดวาการเลือกเปลี่ยนหรือไมเปลี่ยน ประตู มีผลตอการไดร างวลั หรือไม เพราะเหตุใด 11.คาํ ตอบทไ่ี ดในขอ 8 และ 10 สอดคลองกนั หรือไม นักเรยี นคดิ วา คําตอบในขอใดนาเชื่อถือกวา สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ความนาจะเปน 146 คมู ือครรู ายวชิ าเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชัน้ มัธยมศกึ ษาปท ี่ 5 เลม 2 เฉลยกจิ กรรม : Monty Hall Problem 1. คําตอบของนักเรียนในขอนี้อาจเปนเพียงการคาดเดาก็ได ขึ้นกับเหตุผลประกอบคําตอบ ของนักเรียน 2. – 3. – 4. กรณีไมเ ปลยี่ นประตู ครั้งท่ี รถ แพะ ครัง้ ท่ี รถ แพะ ครัง้ ท่ี รถ แพะ 1X 11 X 21 X 2X 12 X 22 X 3X 13 X 23 X 4X 14 X 24 X 5X 15 X 25 X 6X 16 X 26 X 7X 17 X 27 X 8X 18 X 28 X 9X 19 X 29 X 10 X 20 X 30 X หมายเหตุ คําตอบข้นึ อยูกับการทดลองของนักเรียน 5. จากการทดลองในขอ 4 จะไดวา อัตราสวนระหวางจํานวนสมาชิกของเหตุการณท่ีเปดประตู แลว มีรถยนตก ับจํานวนการทดลองเลนเกม 30 ครงั้ คิดเปน 7 ≈ 0.23 30 สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | ความนา จะเปน 147 คมู ือครรู ายวิชาเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปที่ 5 เลม 2 6. กรณเี ปลย่ี นประตู ครง้ั ที่ รถ แพะ ครงั้ ท่ี รถ แพะ ครั้งที่ รถ แพะ 1X 11 X 21 X 2X 12 X 22 X 3X 13 X 23 X 4X 14 X 24 X 5X 15 X 25 X 6X 16 X 26 X 7X 17 X 27 X 8X 18 X 28 X 9X 19 X 29 X 10 X 20 X 30 X หมายเหตุ คําตอบขึน้ อยกู บั การทดลองของผูเ รยี น 7. จากการทดลองในขอ 6 จะไดวา อัตราสวนระหวางจํานวนสมาชิกของเหตุการณที่เปดประตู แลว มีรถยนตกบั จํานวนการทดลองเลน เกม 30 ครง้ั คดิ เปน 20 ≈ 0.67 30 8. การเลือกเปลย่ี นหรือไมเปลี่ยนประตูมีผลตอ การไดร างวัล โดยจะมีโอกาสไดรางวัลมากกวา ถา เลอื กเปลี่ยนประตู ซ่ึงอาจพิจารณาจากอตั ราสวนในขอ 5 และ 7 หมายเหตุ 1) คาํ ตอบขนึ้ อยกู บั ผลลพั ธท ไี่ ดจากการทดลองของนักเรียนในขอ 5 และ 7 โดยครูควรให นักเรียนเปรียบเทียบคําตอบกับเพ่ือน และควรสงเสริมใหนักเรียนอภิปรายรวมกัน เพื่อใหไดขอสรุปวา จากผลลัพธที่ไดจากการทดลองของนักเรียนสวนใหญ จะเห็นวา การเลอื กเปล่ียนประตูทาํ ใหม ีโอกาสไดรางวัลมากกวาการไมเ ปลีย่ นประตู 2) การทดลองขางตนเปนตัวอยางหน่ึงในการหาความนาจะเปนเชิงการทดลอง (experimental probability) สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | ความนาจะเปน 148 คมู ือครรู ายวชิ าเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปท ่ี 5 เลม 2 9. 9.1 9.1.1 เนื่องจากผลลพั ธของการเปด ประตูจากการเลือกประตูในคร้ังแรกอาจเปนแพะ ตัวที่หนึ่ง แพะตัวที่สอง หรือรถยนต ดวยโอกาสที่เทา ๆ กัน ดังน้ัน ความ นาจะเปนของเหตุการณท่ีดานหลังประตูท่ีผูเขาแขงขันเลือกในคร้ังแรกมี รถยนตจึงเปน 1 3 9.1.2 ความนา จะเปนของเหตุการณท่ีดานหลังประตูท่ีผูเขาแขงขันเลือกในคร้ังแรกมี แพะเปน 2 3 9.2 สําหรับกรณีท่ีผูเขาแขงขันไมเปลี่ยนใจในการเลือกประตู โอกาสท่ีจะไดรางวัลขึ้นอยู กบั การเลือกประตูในคร้งั แรกเทา นัน้ ดงั นั้น ความนาจะเปนของเหตุการณที่ผูเขาแขงขัน ไดร างวลั เปน รถยนตจึงเปน 1 3 9.3 9.3.1 ความนาจะเปนท่ีจะเกิดเหตุการณในกรณีน้ี คือความนาจะเปนของเหตุการณ ท่ีดานหลังประตูที่ผูเขาแขงขันเลือกในครั้งแรกมีรถยนต ซึ่งเปน 1 (จากคําตอบ 3 ขอ 9.1.1) ในกรณีนี้ เนื่องจากดานหลังประตูท่ีผูเขาแขงขันเลือกในคร้ังแรกมี รถยนต และเม่ือผูเขาแขงขันเลือกเปล่ียนประตู แสดงวาประตูที่เหลือหลังจากที่ พิธีกรเลือกเปดประตูที่มีแพะ 1 บาน จะมีแพะ ดังน้ัน ผูเขาแขงขันจะไดรางวัล เปน แพะ 9.3.2 ความนาจะเปนท่ีจะเกิดเหตุการณในกรณีนี้ คือ ความนาจะเปนของเหตุการณที่ ดานหลังประตูท่ีผูเขาแขงขันเลือกในคร้ังแรกมีแพะ ซ่ึงเปน 2 (จากคําตอบขอ 3 9.1.2) ในกรณีนี้ เน่ืองจากดานหลังประตูท่ีผูเขาแขงขันเลือกในคร้ังแรกมีแพะ และเมื่อผูเขาแขงขันเลือกเปลี่ยนประตู แสดงวาประตูท่ีเหลือหลังจากที่พิธีกร เลือกเปดประตูท่ีมีแพะ 1 บาน จะมีรถยนต ดังน้ัน ผูเขาแขงขันจะไดรางวัลเปน รถยนต 9.3.3 เน่ืองจากผูเขาแขงขันเลือกเปล่ียนประตู แสดงวาผูเขาแขงขันจะไดรางวัลเปน รถยนต ถา ประตูทเี่ ลอื กในคร้งั แรกมีแพะ ดังนั้น ความนาจะเปนท่ีผูเขาแขงขัน จะไดรางวลั เปนรถยนตจะเทากับความนาจะเปนท่ีหาไดในขอ 9.3.2 ซ่งึ เทากบั 2 3 สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ความนา จะเปน 149 คมู อื ครรู ายวิชาเพม่ิ เตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศึกษาปท ่ี 5 เลม 2 10.จากขอ 9.2 และ 9.3 จะไดวา ความนาจะเปนที่ผูเขาแขงขันจะไดรางวัลเปนรถยนตมี คาประมาณ 0.33 และ 0.67 ตามลําดับ นั่นคือ ความนาจะเปนของเหตุการณท่ีผูเขา แขงขันจะไดรางวัลเปนรถยนตในกรณีที่เลือกเปลี่ยนประตูมากกวาความนาจะเปนของ เหตุการณที่ผูเขาแขงขันจะไดรางวัลเปนรถยนตกรณีที่เลือกไมเปล่ียนประตู ดังนั้น นักเรยี นจงึ ควรเลอื กเปลีย่ นประตู เพื่อเพิ่มโอกาสทจ่ี ะไดร างวัลเปนรถยนต 11.คําตอบในขอ 8 และ 10 สอดคลองกัน โดยคําตอบในขอ 10 นาเช่ือถือกวา เพราะพิจารณา จากความนา จะเปนเชงิ ทฤษฎี หมายเหตุ ในกรณีท่ีมีนักเรียนไดคําตอบในขอ 8 ไมสอดคลองกับคําตอบในขอ 10 ครูควรสงเสริม ใหนักเรียนอภิปรายรวมกันเพ่ือใหไดขอสรุปวา ผลลัพธที่ไดจากการทดลองอาจชวยในการ ตัดสินใจวาจะเลือกเปลี่ยนหรือไมเปล่ียนประตูได แตถาจํานวนครั้งของการทดลองนอย อาจ ใหผลลัพธทีไ่ มน าเชอ่ื ถือ สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | ความนา จะเปน 150 คมู อื ครูรายวชิ าเพม่ิ เตมิ คณติ ศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปท่ี 5 เลม 2 แนวทางการจดั กจิ กรรม : Monty Hall Problem เวลาในการจัดกจิ กรรม 50 นาที กิจกรรมนี้เสนอไวใหนักเรียนใชความรู เรื่อง ความนาจะเปน เพื่อแกปญหาในสถานการณท่ี กาํ หนด ในการทํากจิ กรรมนน้ี ักเรยี นแตล ะคูควรมีเครื่องคอมพิวเตอรอยางนอย 1 เคร่ือง โดย ครูอาจเลือกจัดกิจกรรมน้ีในหองคอมพิวเตอรก็ได กิจกรรมน้ีมีสื่อ/แหลงการเรียนรู และ ขนั้ ตอนการดําเนนิ กจิ กรรม ดังน้ี ส่ือ/แหลงการเรียนรู 1. ใบกิจกรรม “Monty Hall Problem” 2. ไฟลก จิ กรรม “Monty Hall Problem” จากเว็บไซต ipst.me/7402 ขั้นตอนการดําเนินกิจกรรม 1. ครนู ําเขา สูกิจกรรมโดยเปด สอื่ วีดิทศั นหรอื เลาเร่ืองราวสนั้ ๆ เกี่ยวกับ Monty Hall Problem 2. ครูแจกใบกิจกรรม “Monty Hall Problem” ใหกับนักเรียนทุกคนและใหนักเรียนทํากิจกรรมนี้ เปนคู โดยครูจบั คูนักเรยี นแบบคละความสามารถ 3. ครแู ละนักเรียนรวมกันอภิปรายปญหาจากสถานการณท่ีกําหนดให 4. ครูใหน กั เรยี นตอบคําถามทป่ี รากฏในขั้นตอนการปฏบิ ัตขิ อ 1 ในใบกิจกรรม พรอมใหเหตผุ ลประกอบ โดยไมตอ งคาํ นึงถึงความถูกตองของคําตอบ 5. ครูใหนักเรียนแตละคูเปดไฟลกิจกรรม “Monty Hall Problem” จากเว็บไซต ipst.me/7402 จากน้ันครชู แ้ี จงวธิ ีใชไ ฟลกิจกรรมใหนักเรียนเขาใจกอนเริ่มทํากจิ กรรมในไฟลกจิ กรรม 6. ครูใหนักเรียนทํากิจกรรมและตอบคําถามท่ีปรากฏในขั้นตอนการปฏิบัติขอ 3 – 7 ในใบ กิจกรรม ซ่ึงในระหวางท่ีนักเรียนทํากิจกรรมครูควรเดินดูนักเรียนใหทั่วถึงทุกกลุม และคอย ชแ้ี นะเมือ่ นักเรยี นพบปญหา 7. ครแู ละนักเรียนรว มกันอภปิ รายเกย่ี วกับคาํ ตอบทีไ่ ดของคําถามในข้ันตอนการปฏิบัติขอ 4 – 7 ในใบกิจกรรม จากนั้น ครูหาคาเฉลี่ยของคําตอบในขอ 5 และ 7 โดยใชขอมูลจากนักเรียนทุก คนในชัน้ เรยี น แลว ใหน ักเรยี นแตล ะคนเปรยี บเทยี บผลการทดลองของตนเองกบั คาเฉลี่ยที่ได 8. ครูใหนักเรียนตอบคําถามท่ีปรากฏในขั้นตอนการปฏิบัติขอ 8 – 11 ในใบกิจกรรม โดยให นักเรียนพิจารณาจากผลการทดลองท่ีได โดยใหนักเรียนเปรียบเทียบผลการทดลองกับ นักเรยี นคอู น่ื ๆ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | ความนา จะเปน 151 คูมอื ครรู ายวิชาเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปท ี่ 5 เลม 2 9. ครูและนักเรยี นรว มกันอภิปรายและสรุปคําตอบของคําถามท่ีปรากฏในขั้นตอนการปฏิบัติ ขอ 8 – 11 ในใบกิจกรรม ครูอาจเพิ่มเติมวาการทดลองดังกลาว เปนตัวอยางหน่ึงในการ หาความนา จะเปน ทีเ่ รียกวา ความนา จะเปนเชิงการทดลอง (experimental probability) สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ความนาจะเปน 152 คมู ือครรู ายวชิ าเพม่ิ เติมคณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 5 เลม 2 กิจกรรม : เพอื่ นรวมชะตา ในท่ีน้ี เพ่ือนรวมชะตา หมายถึง ผูท่ีเกิดวันท่ีและเดือนเดียวกัน แตไมจําเปนตองเปนปเดียวกัน โดยจะกําหนดให 1 ป มี 365 วนั นน่ั คือ ไมพ จิ ารณาผูทเี่ กดิ วนั ที่ 29 กุมภาพนั ธ ใหนกั เรียนตอบคําถามตอไปนี้ 1. ถาตองการใหมีคนอยางนอย 2 คน เปนเพ่ือนรวมชะตากัน นักเรียนคิดวาจะตอง มีคนอยางนอ ยกค่ี น 2. ถาสุมคนมา 2 คน ความนาจะเปนท่ี 2 คนนี้ เปน เพอ่ื นรว มชะตากันเปน เทาใด 3. ถาสมุ คนมา 3 คน ความนาจะเปนที่จะมีคนอยางนอย 2 คน จาก 3 คนน้ี เปนเพ่ือนรวมชะตา กัน เปน เทาใด 4. นักเรียนคิดวาความนาจะเปนที่จะมีคนอยางนอย 2 คน จาก 23 คน เปนเพ่ือนรวมชะตากัน จะมากกวา 0.5 หรือไม (โดยยงั ไมต อ งคาํ นวณ) 5. ใหนักเรียนเขียนสูตรการหาความนาจะเปนท่ีจะมีคนอยางนอย 2 คน จาก n คน เปนเพ่ือน รวมชะตากนั เมอื่ n∈{ 2, 3, 4, } 6. เปดเวบ็ ไซต ipst.me/8465 6.1 เล่ือนสไลเดอรเพ่ือปรับคา n สังเกตวาหนาจอจะปรากฏความนาจะเปนท่ีจะมีคน อยางนอ ย 2 คน จาก n คน เปนเพื่อนรวมชะตากัน 6.2 ตรวจสอบคําตอบในขอ 4 โดยเลื่อนสไลเดอรเพ่ือหาวา เมื่อ n มีคาตั้งแตเทาใดข้ึนไป จึง จะไดค วามนาจะเปนท่จี ะมีคนอยา งนอ ย 2 คน จาก n คน เปนเพื่อนรวมชะตากัน มากกวา 0.5 คาํ ตอบทไ่ี ดตรงกบั ท่ีนกั เรยี นตอบในขอ 4 หรอื ไม 6.3 อธิบายกราฟแสดงความสัมพันธระหวาง n และความนาจะเปนท่ีจะมีคนอยางนอย 2 คน จาก n คน เปนเพื่อนรว มชะตากนั 6.4 จะตองสุมคนอยางนอยกี่คน ถาตองการใหไดความนาจะเปนที่จะมีคนอยางนอย 2 คน เปนเพอ่ื นรวมชะตากนั มากกวา 0.99 สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | ความนา จะเปน 153 คมู ือครรู ายวชิ าเพ่มิ เตมิ คณติ ศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท่ี 5 เลม 2 เฉลยกิจกรรม : เพ่อื นรว มชะตา 1. เนื่องจาก ในกิจกรรมน้ีกําหนดให 1 ป มี 365 วัน ดงั นั้น ถา ตอ งการมนั่ ใจวา มคี นอยางนอย 2 คน เปน เพ่ือนรวมชะตากัน จะตองมีคนอยางนอย 366 คน 2. เมือ่ กลา วถึง “วันเกดิ ” ในกิจกรรมนี้ จะหมายถึง วันและเดอื นเกิดเทา นนั้ จากโจทย ปริภูมิตัวอยาง (S ) คือ เซตที่มีสมาชิกเปนคูอันดับของวันเกิดที่เปนไปไดท้ังหมด ของคน 2 คน จะได n(S ) = 3652 ให E แทนเหตุการณท่คี น 2 คน มีวันเกิดตรงกัน จะได n(E) = 365 ดังน้นั ความนาจะเปน ที่คน 2 คน ท่สี มุ มาจะเปน เพื่อนรว มชะตากัน คือ P=( E) 3=65 1 ซ่ึงมคี าประมาณ 0.0027 3652 365 3. จากโจทย ปริภูมิตัวอยาง (S ) คือ เซตท่ีมีสมาชิกเปนสามสิ่งอันดับของวันเกิดที่เปนไปได ท้งั หมดของคน 3 คน จะได n(S ) = 3653 วธิ ที ี่ 1 ให E1 แทนเหตกุ ารณท่ีท้งั สามคนมีวันเกิดตรงกัน จะได n( E1 ) = 365 และ P ( E1 ) = 365 3653 ให E2 แทนเหตกุ ารณท ่มี คี น 2 คน มีวนั เกิดตรงกนั สวนอกี คนมวี นั เกิดทตี่ างออกไป จะได n( E2 ) =C3, 2 × 365×1× 364 =3× 365× 364 และ P ( E2 ) = 3× 365 × 364 3653 เน่ืองจาก E1 ∩ E2 =∅ ดังนนั้ ความนาจะเปนที่จะมีคนอยางนอย 2 คน จาก 3 คน เปน เพอื่ นรวมชะตากัน คือ P( E1 ∪ E2 ) = P ( E1 ) + P ( E2 ) = 365 + 3× 365× 364 3653 3653 ซ่ึงมคี าประมาณ 0.0082 สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | ความนาจะเปน 154 คูมอื ครูรายวชิ าเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท ี่ 5 เลม 2 วธิ ีท่ี 2 ให E แทนเหตุการณท ่ีคน 3 คน ไมม ีวนั เกดิ ซ้ํากนั เลย นั่นคือ เหตุการณท่ีจะมีคนอยางนอย 2 คน จาก 3 คน เปนเพ่ือนรวมชะตากัน คอื E′ เนอื่ งจาก n(E) = 365× 364× 363 =จะได P(E) 365 × 364 × 363 ≈ 0.9918 3653 ดังนั้น ความนาจะเปนท่ีจะมีคนอยางนอย 2 คน จาก 3 คน เปนเพ่ือนรวมชะตากัน คือ P(E′) =1− P(E) ≈ 0.0082 หมายเหตุ สามสิง่ อันดบั เขยี นไดในรูป ( x1, x2, x3 ) 4. จากขอ 1 ความนาจะเปนท่ีจะมีคนอยางนอย 2 คน เปนเพ่ือนรวมชะตากัน จะเปน 1 เม่ือ มีคนต้ังแต 366 คน ขึ้นไป ดังน้ัน อาจทําใหนักเรียนหลายคนคิดวาความนาจะเปนที่จะมี คนอยา งนอ ย 2 คน จาก 23 คน (ซงึ่ นอยกวา 366 มาก) เปนเพื่อนรวมชะตากันจึงไมนาจะ มากกวา 0.5 5. ให n ∈{2, 3, 4, } จากโจทย ปริภูมิตัวอยาง (S ) คือ เซตที่มีสมาชิกเปน n สิ่งอันดับของวันเกิดที่เปนไปได ทั้งหมดของคน n คน จะได n(S ) = 365n ให E แทนเหตกุ ารณท ค่ี น n คน ไมมวี ันเกิดซาํ้ กนั เลย น่ันคือ เหตกุ ารณท จี่ ะมีคนอยางนอย 2 คน เปนเพอ่ื นรว มชะตากัน คอื E′ 365× 364 × 363×× (365 − n +1) เนือ่ งจาก ( )n E = P365,n จะได E( )P = P365,n หรอื 365n 365n ดงั นนั้ ความนาจะเปนท่จี ะมีคนอยา งนอย 2 คน เปนเพือ่ นรวมชะตากนั คอื 363 × × (365 + 1) P ( E ′) =1 − P ( E ) =1 − P365,n หรือ 1− 365 × 364 × 365n − n 365n หมายเหตุ n ส่ิงอันดบั เขียนไดในรปู ( x1, x2, , xn ) สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ความนา จะเปน 155 คูมือครูรายวิชาเพมิ่ เตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท ่ี 5 เลม 2 6. 6.1 – 6.2 เม่ือ n ≥ 23 จะไดความนาจะเปนที่จะมีคนอยางนอย 2 คน จาก n คน เปนเพื่อนรวม ชะตากัน มากกวา 0.5 6.3 กราฟแสดงความสัมพันธระหวาง n และความนาจะเปนที่จะมีคนอยางนอย 2 คน เปนเพ่ือนรวมชะตากัน เปนดงั น้ี จากกราฟ สังเกตไดวา ในชวงแรก เมื่อ n เพิ่มขึ้น จะทําใหความนาจะเปนท่ีจะมีคน อยา งนอ ย 2 คน เปน เพ่อื นรวมชะตากัน เพิ่มข้ึนอยางรวดเร็ว โดยจะเห็นวาเม่ือ n = 41 จะไดความนาจะเปนที่จะมีคนอยางนอย 2 คน เปนเพ่ือนรวมชะตากัน มากกวา 0.9 จากน้นั เม่อื n เพิ่มขน้ึ ความนา จะเปนจะคอย ๆ เพิ่มขึ้นทลี ะนอ ยจนเขาใกล 1 6.4 เมื่อ n ≥ 57 จะไดความนาจะเปนที่จะมีคนอยางนอย 2 คน เปนเพ่ือนรวมชะตากัน มากกวา หรือเทากับ 0.99 ดังนั้น จะตองสุมคนจํานวนอยางนอย 57 คน ถาตองการใหความนาจะเปนที่จะมีคน อยางนอ ย 2 คน เปนเพอื่ นรว มชะตากนั มากกวา 0.99 สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ความนาจะเปน 156 คูมอื ครูรายวชิ าเพิม่ เตมิ คณิตศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปท ่ี 5 เลม 2 แนวทางการจดั กิจกรรม : เพอ่ื นรวมชะตา เวลาในการจดั กจิ กรรม 30 นาที กิจกรรมนี้เสนอไวใหนักเรียนเช่ือมโยงและใชความรู เร่ือง ความนาจะเปน เพ่ือแกปญหาใน สถานการณท่ีกําหนด โดยกิจกรรมนี้มีส่ือ/แหลงการเรียนรู และข้ันตอนการดําเนินกิจกรรม ดังน้ี สอื่ /แหลง การเรียนรู 1. ใบกิจกรรม “เพือ่ นรว มชะตา” 2. ไฟลก จิ กรรม “เพอ่ื นรวมชะตา” จากเวบ็ ไซต ipst.me/8465 3. เครื่องคาํ นวณ ข้นั ตอนการดาํ เนนิ กจิ กรรม 1. ครูนําเขาสูกิจกรรมโดยสุมเลือกนักเรียนประมาณ 10 คน พรอมท้ังถามวันเดือนปเกิดของ แตละคน แลวใหน กั เรียนท้ังชั้นเรียนสังเกตวามีนักเรียนคนใดท่ีเกิดวันท่ีและเดือนเดียวกัน หรอื ไม 2. ครูจับคูนักเรียนแบบคละความสามารถ จากน้ันแจกใบกิจกรรม “เพ่ือนรวมชะตา” ใหกับ นักเรยี นทกุ คนแลวใหนกั เรียนศกึ ษาเก่ียวกับเพ่ือนรวมชะตาตามที่กําหนดในใบกิจกรรม จากนั้น ครูนําอภิปรายเกี่ยวกับเพ่ือนรวมชะตาตามที่กําหนดในใบกิจกรรมเพื่อใหนักเรียนทุกคนเขาใจ ตรงกัน โดยเนน ยาํ้ วากิจกรรมน้ี • กาํ หนดให 1 ป มี 365 วัน • เม่อื กลาวถึง “วนั เกิด” จะหมายถึงวนั ท่ีและเดือนเกดิ เทานั้น • ไมพิจารณาคนทีเ่ กิดวันที่ 29 กุมภาพันธ • ไมพจิ ารณากรณีที่มีฝาแฝด 3. ครูใหนักเรยี นแตละกลมุ ชว ยกนั ตอบคําถามขอ 1 – 5 ในใบกจิ กรรม โดยใหนักเรียนใชเครื่อง คํานวณตามความเหมาะสม ในระหวางท่ีนักเรียนทํากิจกรรมครูควรเดินดูนักเรียนใหท่ัวถึงทุก กลมุ และคอยชี้แนะ 4. ครูสุมเลือกกลุมนักเรียนเพ่ือตอบคําถาม และใหนักเรียนกลุมอื่น ๆ รวมกันอภิปรายเก่ียวกับ คําตอบ รวมทั้งกระตนุ ใหนักเรยี นใหเหตผุ ลประกอบคําตอบ สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | ความนา จะเปน 157 คมู อื ครูรายวชิ าเพิม่ เตมิ คณติ ศาสตร ช้นั มัธยมศกึ ษาปท ่ี 5 เลม 2 5. ครูใหนักเรียนแตละคูเปดไฟลกิจกรรม “เพื่อนรวมชะตา” จากเว็บไซต ipst.me/8465 จากนั้น ครูช้ีแจงวิธีใชไฟลกิจกรรมใหนักเรียนเขาใจกอนเร่ิมทํากิจกรรมในไฟลกิจกรรมและตอบ คําถามขอ 6.2 – 6.4 6. ครูสุมเลือกกลุมนักเรียนเพ่ือตอบคําถาม และใหนักเรียนกลุมอ่ืน ๆ รวมกันอภิปรายเก่ียวกับ คําตอบ จากน้ันครูนํานักเรียนอภิปรายเพ่ือนําไปสูขอสรุปของกิจกรรม ซ่ึงนักเรียนจะเห็น วา การคํานวณทางคณติ ศาสตรจ ะชว ยในการคาดการณไดด ีกวา การใชความรสู กึ สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | ความนา จะเปน 158 คูมอื ครรู ายวชิ าเพม่ิ เตมิ คณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปท ่ี 5 เลม 2 3.4 การวดั ผลประเมินผลระหวา งเรียน การวัดผลระหวางเรียนมีเปาหมายเพื่อปรับปรุงการเรียนรูและพัฒนาการเรียนการสอน และ ตรวจสอบนักเรียนแตละคนวามีความรูความเขาใจในเรื่องที่ครูสอนมากนอยเพียงใด การใหนักเรียน ทําแบบฝกหัดเปนแนวทางหน่ึงที่ครูอาจใชเพื่อประเมินผลดานความรูระหวางเรียนของนักเรียน ซึ่งหนังสอื เรยี นรายวชิ าเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 5 เลม 2 ไดนําเสนอแบบฝกหัดท่ี ครอบคลุมเนื้อหาท่ีสําคัญของแตละบทไว สําหรับในบทท่ี 3 ความนาจะเปน ครูอาจใชแบบฝกหัด เพ่ือวดั ผลประเมนิ ผลความรใู นแตล ะเน้อื หาไดดังนี้ เนื้อหา แบบฝกหดั การทดลองสุม ปริภมู ติ ัวอยาง และเหตุการณ 3.1 ขอ 1 – 4 3.3 ขอ 1 ความนา จะเปน 3.2 ขอ 1 – 25 กฎท่ีสาํ คญั บางประการของความนาจะเปน 3.3 ขอ 2 – 10 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | ความนา จะเปน 159 คมู ือครูรายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที่ 5 เลม 2 3.5 การวเิ คราะหแบบฝกหดั ทา ยบท หนังสอื เรียนรายวิชาเพม่ิ เตมิ คณิตศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 5 เลม 2 มีจุดมุงหมายวา เม่ือนักเรียน ไดเรียนจบบทท่ี 3 ความนา จะเปน แลวนกั เรยี นสามารถ 1. หาปรภิ ูมิตวั อยางและเหตุการณ 2. ใชค วามรูเ กยี่ วกบั ความนาจะเปนในการแกป ญ หา ซ่ึงหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 5 เลม 2 ไดนําเสนอแบบฝกหัด ทา ยบททปี่ ระกอบดว ยโจทยเ พอื่ ตรวจสอบความรหู ลังเรยี น ซ่งึ มีวัตถุประสงคเพ่ือวัดความรูความ เขาใจของนักเรียนตามจุดมุงหมาย นอกจากน้ีมีโจทยฝกทักษะท่ีนาสนใจและโจทยทาทาย ครูอาจ เลือกใชแบบฝกหัดทายบทวัดความรูความเขาใจของนักเรียนตามจุดมุงหมายของบทเพื่อ ตรวจสอบวา นกั เรยี นมคี วามสามารถตามจดุ มุงหมายเม่ือเรียนจบบทเรียนหรือไม ทั้งน้ีแบบฝกหัดทายบทแตละขอในหนังสือเรียนรายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 เลม 2 บทท่ี 3 ความนาจะเปน สอดคลอ งกบั จดุ มุง หมายของบทเรยี น ดงั นี้ จุดมงุ หมาย แบบฝก หดั ทา ยบทขอที่ 1. หาปริภมู ิตัวอยางและเหตุการณ 1 2) 2 1) – 5) 2. ใชความรูเ กยี่ วกบั ความนาจะเปนในการแกป ญหา 3 1) – 2) 4 1) – 5) 5 1) – 5) 6 1) – 3) 7 1) – 6) 8 9 1) – 3) 10 1) – 2) 11 12 สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ความนาจะเปน แบบฝกหดั ทา ยบทขอ ท่ี 160 คูมอื ครรู ายวชิ าเพ่มิ เตมิ คณติ ศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท ่ี 5 เลม 2 13 จุดมุงหมาย 14 2. ใชค วามรูเกีย่ วกับความนาจะเปนในการแกป ญหา (ตอ ) 15 1) – 2) 16 17 18 19 1) – 3) 20 21 1) – 3) 22 23 24 25 26 1) – 4) 27 28 1) – 3) 29 30 31 1) – 5) 32 33 34 35 1) – 4) สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ความนา จะเปน 161 คมู ือครรู ายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปที่ 5 เลม 2 จดุ มุงหมาย แบบฝก หดั ทายบทขอท่ี 2. ใชความรูเ กี่ยวกบั ความนาจะเปน ในการแกปญ หา (ตอ ) 36 โจทยฝ กทักษะ 37 1) – 2) โจทยทาทาย 38 39 1) – 2) 40 1) – 2) 41 42 1) – 4) 43 44 1 1) 45 46 47 สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | ความนา จะเปน 162 คูมอื ครูรายวิชาเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท ่ี 5 เลม 2 3.6 ตัวอยา งแบบทดสอบประจําบท ในสวนนี้จะนําเสนอตัวอยางแบบทดสอบประจําบทที่ 3 ความนาจะเปน สําหรับรายวิชาเพ่ิมเติม คณิตศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปที่ 5 เลม 2 ซึ่งครูสามารถเลือกนําไปใชไดตามจุดประสงคการเรียนรู ท่ตี อ งการวดั ผลประเมินผล ตวั อยางแบบทดสอบประจําบท 1. ตองการจัดชาย 3 คน และหญิง 4 คน ยืนเรียงแถวหนากระดานเพื่อถายรูป ถานายภาคิน อยูในกลุมนี้ดวย จงหาความนาจะเปนที่ทุกคนยืนเรียงแถวสลับชายหญิงและนายภาคินยืน ตรงกลาง 2. รานคา แหง หนึ่งมเี คร่ืองดืม่ 4 ชนิด ไดแ ก น้ําอัดลม นาํ้ ผลไม น้ําสมุนไพร และน้ําเปลา จงหา ความนา จะเปนที่นักเรยี นสองคนเลือกเคร่ืองด่ืมคนละ 1 ชนิด แลวไดเปนเครื่องดื่มชนิดเดยี วกนั 3. มบี ัตร 4 ใบ แตล ะใบมีตัวอักษร R, O, C และ K เขยี นกาํ กบั ไวบ ัตรละ 1 ตวั อักษร สุมหยบิ บตั ร 4 ใบ โดยหยิบทลี ะใบแลวใสค นื กอนหยบิ บัตรใบถดั ไป จงหาความนาจะเปนท่บี ัตรที่ได เรยี งตามลาํ ดบั เปนคาํ วา COOK 4. ตูข องเลนหยอดเหรยี ญตูหนง่ึ บรรจรุ ถของเลน ไว 50 คัน ที่แตกตางกนั ท้ังหมด แบงเปนสีสม แดง เขียว นํ้าเงิน และเหลือง จํานวนสีละเทา ๆ กัน ในการเลนแตละครั้งผูเลนจะหยอด เหรียญสิบบาท 1 เหรียญ และจะไดรางวัลเปนรถของเลน 1 คันเสมอ ถารวีเปนผูเลนคนแรก ของตูของเลนหยอดเหรียญตูน้ี จงหาความนาจะเปนที่รวีหยอดเหรียญสิบบาท จํานวน 5 เหรียญ เพือ่ เลน ตูข องเลน ตนู ้ี 5 คร้ัง แลวไดรถสีแดง 2 คัน รถสีเหลือง 2 คัน และรถสีนํ้าเงิน 1 คัน ตามลาํ ดับ 5. ในทางคณิตศาสตร พาลินโดรมเปนจํานวนนับที่เม่ือเขียนเลขโดดเรียงยอนกลับจากหลังไป หนาหรือจากขวาไปซาย แลวไดจํานวนเดิม เชน 8, 22, 101 จงหาความนาจะเปนที่สราง จาํ นวนนับที่มสี ามหลักจากเลขโดด 7 ตัว คอื 1, 2, 2, 3, 3, 4, 4 แลว จํานวนที่ไดเปน พาลินโดรม 6. เกมโยนลูกบอลลงกลองมกี ลองซ่ึงแบงเปนชอง 16 ชองท่ีมีขนาดเทากัน แตละชองบรรจุลูกบอล ได 1 ลกู ผูเลนจะไดโยนลูกบอล 4 ครง้ั ครงั้ ละ 1 ลูก และจะไดรางวัลเมือ่ ลูกบอลทั้งสี่ลูกอยู ในกลองตามชองในแนวเสนทแยงมุมชองละ 1 ลูก ดังรูป จงหาความนาจะเปนท่ีรติเลนเกม น้แี ลว จะไดรบั รางวัล สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | ความนา จะเปน 163 คมู ือครรู ายวชิ าเพ่มิ เติมคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปท่ี 5 เลม 2 รปู ที่ 1 กลอง รปู ที่ 2 ตําแหนงของลกู บอลในกลองตามชองท่จี ะไดรางวัล 7. มีสลาก 6 ใบ ซ่ึงมีหมายเลข −2, −1, 0, 2, 3 และ 5 หมายเลขละ 1 ใบ จงหาความนาจะเปน ทเี่ ม่ือสุมหยิบสลากขน้ึ มาพรอมกัน 2 ใบ ไดเปนสลากที่มีผลรวมของจํานวนที่เปนหมายเลข ของสลากมากกวา 2 8. มเี สอ้ื 10 สี สลี ะ 5 ตวั โดยแตละสมี ขี นาด XS, S, M, L และ XL สุมหยิบเส้อื 2 ตวั พรอ มกนั จงหาความนาจะเปนทไี่ ดเสื้อขนาดเดยี วกนั แตส ีตางกัน 9. ในการคัดเลือกนักกีฬาวายน้ําของโรงเรียนแหงหนึ่ง จํานวน 4 คน มีผูสมัคร 10 คน จงหา ความนาจะเปน ทกี่ วนิ ซ่งึ เปน หน่ึงในผูส มคั รจะไดรับคัดเลอื ก 10. แทนแกรมประกอบดวยรูปส่ีเหลี่ยมจัตุรัส 1 รูป รูปสี่เหล่ียมดานขนาน 1 รูป และรูป สามเหล่ยี มมุมฉาก 5 รูป โดยกําหนดหมายเลขใหแ ตล ะรูปเหลา น้ดี งั รปู - รปู ทม่ี พี น้ื ทีน่ อ ยท่สี ดุ มี 2 รปู คือ รูปหมายเลข 3 และ 5 - รปู ทีม่ ีพืน้ ท่ีเปน สองเทาของรปู ทม่ี ีพื้นทนี่ อยทีส่ ุดมี 3 รปู คือ รูปหมายเลข 4, 6 และ 7 - รปู ทม่ี พี ื้นท่ีเปน สเ่ี ทาของรปู ท่ีมีพน้ื ที่นอยที่สุดมี 2 รูป คือ รูปหมายเลข 1 และ 2 มีนาและเมษาสุมหยิบสลากพรอมกันจากกลองที่บรรจุสลากหมายเลข 1 – 7 ซึ่งแตละ หมายเลขแทนรูปท่ีประกอบเปนแทนแกรมดังที่อธิบายขางตน ถาผูชนะคือผูท่ีหยิบไดสลาก สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | ความนา จะเปน 164 คูมอื ครูรายวชิ าเพ่มิ เตมิ คณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปที่ 5 เลม 2 ท่ีมีหมายเลขของรูปท่ีมีพ้ืนที่มากกวา จงหาความนาจะเปนที่มีนาจะชนะ เมื่อเมษาหยิบได สลากทีม่ หี มายเลขของรูปท่ีมีพ้นื ทน่ี อ ยท่สี ุด 11. งานเลี้ยงหน่ึงมีผูมารวมงานทั้งหมด 10 คน โดยคนกลุมน้ีมีสามีภรรยา 2 คู ตองการจัดท่ีน่ังให ผูมารวมงานเปนโตะกลม 2 ตัว ตัวละ 5 ท่ีน่ัง ถาโตะกลมทั้งสองตัวนี้ไมแตกตางกัน จงหา ความนา จะเปน ทท่ี กุ โตะมคี สู ามภี รรยา เฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจาํ บท 1. ให S แทนปรภิ ูมิตัวอยา งของการทดลองสุมน้ี การจัดคน 7 คน ยืนเรยี งแถวหนา กระดานเพื่อถา ยรปู ทาํ ได 7! วิธี ดงั นนั้ n(S ) = 7! = 7 × 6 × 5× 4× 3× 2 ให E แทนเหตกุ ารณทีน่ ายภาคนิ จะไดย ืนตรงกลางและทุกคนยนื เรียงแถวสลับชายหญิง (หญงิ ) (ชาย) (หญิง) นายภาคนิ (หญิง) (ชาย) (หญงิ ) ตาํ แหนงที่ ตําแหนงท่ี ตาํ แหนงท่ี ตาํ แหนงท่ี ตําแหนงท่ี ตาํ แหนงที่ ตาํ แหนงท่ี 123 456 7 วธิ ีที่ 1 การจัดคน 7 คน ยนื เรยี งแถวถา ยรูป โดยนายภาคินยืนตรงกลาง (ตําแหนง ที่ 4) และทกุ คนยนื เรยี งแถวสลบั ชายหญงิ แบงเปน 7 ข้ันตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 จดั ใหนายภาคนิ ยนื ตรงกลาง (ตําแหนงท่ี 4) ทําได 1 วธิ ี ขั้นตอนที่ 2 เลือกหญิง 1 คน จากทั้งหมด 4 คน ใหย ืนตําแหนงท่ี 1 ทําได 4 วธิ ี ข้ันตอนท่ี 3 เลือกชาย 1 คน จากทเี่ หลือ 2 คน ใหย ืนตําแหนง ที่ 2 ทําได 2 วธิ ี ขน้ั ตอนที่ 4 เลอื กหญิง 1 คน จากท่ีเหลือ 3 คน ใหยนื ตาํ แหนง ที่ 3 ทําได 3 วธิ ี ขนั้ ตอนที่ 5 เลอื กหญงิ 1 คน จากท่เี หลือ 2 คน ใหย ืนตาํ แหนงท่ี 5 ทาํ ได 2 วิธี ขั้นตอนที่ 6 เลอื กชาย 1 คน จากท่เี หลือ 1 คน ใหย นื ตําแหนงที่ 6 ทาํ ได 1 วิธี ขั้นตอนที่ 7 เลือกหญิง 1 คน จากทีเ่ หลอื 1 คน ใหยนื ตําแหนงท่ี 7 ทําได 1 วธิ ี ดงั นนั้ n( E ) =1× 4 × 2 × 3× 2 ×1×1 =4 × 3× 2 × 2 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | ความนา จะเปน 165 คมู อื ครูรายวชิ าเพ่มิ เตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 5 เลม 2 วธิ ที ่ี 2 การจัดคน 7 คน ยนื เรียงแถวถายรปู โดยนายภาคนิ ยนื ตรงกลาง (ตาํ แหนงที่ 4) และทกุ คนยืนเรยี งแถวสลบั ชายหญงิ แบง เปน 3 ข้นั ตอน ดังน้ี ข้ันตอนที่ 1 จัดใหนายภาคินยืนตรงกลาง (ตําแหนงท่ี 4) ทาํ ได 1 วิธี ข้ันตอนที่ 2 จัดหญงิ 4 คน ใหยนื ตาํ แหนงที่ 1, 3, 5 และ 7 ทาํ ได 4! วิธี ขนั้ ตอนที่ 3 จดั ชาย 2 คน ใหย ืนตําแหนงท่ี 2 และ 6 ทาํ ได 2! วิธี ดงั นั้น n( E ) =1× 4!× 2! = 4 × 3× 2 × 2 =จะได nn((ES )) =4 × 3× 2 × 2 1 7 × 6× 5× 4× 3× 2 105 ดังนนั้ จงหาความนาจะเปนท่ีทุกคนยืนเรยี งแถวสลบั ชายหญงิ และนายภาคินยืนตรงกลาง เทา กบั 1 105 2. ให S แทนปรภิ มู ิตวั อยา งของการทดลองสมุ นี้ การเลือกเคร่อื งด่มื ของนักเรียนสองคนแบงเปน 2 ขั้นตอน ดงั น้ี ข้ันตอนที่ 1 นักเรียนคนที่ 1 เลอื กเครื่องด่ืม 1 ชนดิ จากเครอื่ งดื่มทง้ั หมด 4 ชนิด ได 4 วธิ ี ข้ันตอนท่ี 2 นักเรียนคนที่ 2 เลือกเคร่ืองดื่ม 1 ชนิด จากเคร่อื งด่ืมท้ังหมด 4 ชนดิ ได 4 วิธี ดงั นั้น n(S ) = 4× 4 =16 ให E แทนเหตุการณทีน่ ักเรียนสองคนเลือกเครื่องด่ืม 1 ชนดิ แลวไดเ ปน เครื่องด่มื ชนิดเดยี วกัน การเลือกเครอ่ื งด่ืมของนักเรียนสองคนแบงเปน 2 ขัน้ ตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 นกั เรียนคนที่ 1 เลอื กเคร่ืองด่ืม 1 ชนดิ จากเคร่อื งดื่มทง้ั หมด 4 ชนิด ได 4 วิธี ขั้นตอนที่ 2 นกั เรยี นคนที่ 2 เลอื กเคร่ืองด่ืมชนิดเดยี วกับท่นี กั เรียนคนที่ 1 เลือก ได 1 วิธี ดังนั้น n(E) = 4×1 = 4 จะได nn((ES=)) 4= 1 16 4 ดังนั้น ความนาจะเปนทน่ี กั เรียนสองคนเลอื กเครื่องดื่มคนละ 1 ชนิด แลว ไดเปน เครือ่ งดื่ม ชนดิ เดยี วกัน เทา กับ 1 4 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | ความนา จะเปน 166 คมู ือครูรายวิชาเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท ่ี 5 เลม 2 3. ให S แทนปริภมู ติ ัวอยางของการทดลองสมุ น้ี การสมุ หยิบบตั ร 4 ใบ โดยหยิบทีละใบแลว ใสค นื กอนหยิบบัตรใบถัดไปแบง เปน 4 ขัน้ ตอน ดงั นี้ ขั้นตอนที่ 1 หยบิ บตั รใบท่ี 1 จํานวน 1 ใบ จากบัตรทง้ั หมด 4 ใบ ทาํ ได 4 วิธี ขัน้ ตอนที่ 2 หยิบบตั รใบท่ี 2 จาํ นวน 1 ใบ จากบัตรทั้งหมด 4 ใบ ทาํ ได 4 วธิ ี ขั้นตอนที่ 3 หยิบบัตรใบที่ 3 จํานวน 1 ใบ จากบัตรทง้ั หมด 4 ใบ ทําได 4 วิธี ขั้นตอนที่ 4 หยบิ บตั รใบที่ 4 จาํ นวน 1 ใบ จากบัตรทงั้ หมด 4 ใบ ทําได 4 วิธี ดงั นั้น n(S ) = 4× 4× 4× 4 = 256 ให E แทนเหตุการณทสี่ มุ หยิบบัตรแลวไดบ ัตรท่เี รยี งตามลาํ ดับเปน คาํ วา COOK การสมุ หยบิ บัตรแลวไดบ ตั รท่ีเรยี งตามลําดบั เปนคําวา COOK แบงเปน 4 ขั้นตอน ดงั น้ี ขัน้ ตอนท่ี 1 หยิบบตั รใบท่ี 1 ไดเปนบัตรที่มตี ัวอักษร C ทําได 1 วธิ ี ขน้ั ตอนที่ 2 หยิบบตั รใบที่ 2 ไดเ ปนบัตรที่มีตวั อักษร O ทาํ ได 1 วิธี ขน้ั ตอนท่ี 3 หยบิ บัตรใบที่ 3 ไดเ ปนบัตรที่มีตวั อักษร O ทําได 1 วธิ ี ขน้ั ตอนท่ี 4 หยิบบัตรใบที่ 4 ไดเปน บตั รที่มตี ัวอกั ษร K ทําได 1 วิธี ดงั นัน้ n(E) = 1×1×1×1 = 1 จะได n(E) = 1 n(S) 256 ดงั นน้ั ความนาจะเปนทีส่ ุมหยิบบัตร 4 ใบ โดยหยิบทลี ะใบแลวใสค นื กอ นหยบิ บัตรใบถดั ไป แลวบตั รท่ีไดเ รียงตามลําดบั เปนคําวา COOK เทา กับ 1 256 4. ให S แทนปริภูมิตวั อยา งของการทดลองสมุ น้ี การเลน ตูของเลน หยอดเหรยี ญของรวีแบง เปน 5 ขน้ั ตอน ดงั นี้ ข้นั ตอนท่ี 1 ในการหยอดเหรยี ญเพอ่ื เลนครง้ั ที่ 1 จาํ นวนวิธีที่รวจี ะไดร ถมี 50 วธิ ี ขั้นตอนที่ 2 ในการหยอดเหรียญเพอ่ื เลนคร้ังที่ 2 จํานวนวธิ ที ร่ี วจี ะไดร ถมี 49 วธิ ี ขั้นตอนท่ี 3 ในการหยอดเหรยี ญเพ่ือเลนคร้ังท่ี 3 จํานวนวิธที ี่รวจี ะไดร ถมี 48 วิธี ขั้นตอนท่ี 4 ในการหยอดเหรยี ญเพ่อื เลน ครั้งที่ 4 จํานวนวิธที ่รี วีจะไดรถมี 47 วธิ ี ขั้นตอนท่ี 5 ในการหยอดเหรยี ญเพอื่ เลน ครัง้ ท่ี 5 จาํ นวนวธิ ที ่ีรวีจะไดรถมี 46 วธิ ี ดงั นน้ั n(S ) = 50× 49× 48× 47 × 46 ให E แทนเหตกุ ารณท ่รี วไี ดร ถสีแดง 2 คัน รถสีเหลอื ง 2 คัน และรถสีนาํ้ เงิน 1 คัน ตามลาํ ดบั สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ความนา จะเปน 167 คมู ือครรู ายวชิ าเพ่มิ เติมคณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปที่ 5 เลม 2 เนื่องจาก ตูของเลน นี้บรรจุรถของเลนสีละ 10 คนั ตอ งการไดรถสีแดง 2 คัน รถสเี หลือง 2 คนั และรถสีนํ้าเงิน 1 คนั ตามลําดบั จะไดวา การเลน ตหู ยอดเหรียญของรวีใหไดต ามเง่ือนไขที่กําหนด แบง เปน 5 ขั้นตอน ดังน้ี ขั้นตอนที่ 1 ในการหยอดเหรียญเพื่อเลน ครง้ั ที่ 1 จาํ นวนวธิ ที ีร่ วจี ะไดรถสแี ดงมี 10 วธิ ี ขน้ั ตอนท่ี 2 ในการหยอดเหรยี ญเพอ่ื เลนครั้งท่ี 2 จํานวนวิธีทร่ี วีจะไดรถสีแดงมี 9 วิธี ขนั้ ตอนท่ี 3 ในการหยอดเหรยี ญเพ่ือเลน ครั้งท่ี 3 จํานวนวิธีทร่ี วจี ะไดรถสีเหลอื งมี 10 วิธี ข้นั ตอนที่ 4 ในการหยอดเหรยี ญเพอ่ื เลน ครง้ั ที่ 4 จํานวนวธิ ที ่รี วจี ะไดรถสีเหลืองมี 9 วิธี ขัน้ ตอนท่ี 5 ในการหยอดเหรียญเพือ่ เลน คร้งั ที่ 5 จํานวนวิธที ่ีรวจี ะไดรถสนี ้ําเงนิ มี 10 วิธี ดงั น้ัน n( E) = 10× 9×10× 9×10 =จะได nn((ES )) =10 × 9 ×10 × 9 ×10 135 50 × 49 × 48× 47 × 46 423, 752 ดงั นัน้ ความนาจะเปน ทจ่ี ะไดรถสีแดง 2 คัน รถสีเหลือง 2 คัน และรถสีนํ้าเงิน 1 คัน ตามลําดับ เทา กับ 135 423, 752 5. ให S แทนปริภมู ิตวั อยา งของการทดลองสมุ น้ี การสรา งจาํ นวนนบั ท่ีมสี ามหลักจากเลขโดดที่กําหนดให แบง เปน 2 กรณี ดงั น้ี กรณที ี่ 1 เลขโดดทงั้ สามหลกั ไมซา้ํ กันเลย นําเลขโดดสามตัวทไ่ี มซ ้าํ กนั เลย จากเลขโดด 1, 2, 3 หรอื 4 มาจัดเรยี งเปน จาํ นวนนับที่มีสามหลกั ได 4×3× 2 =24 วิธี กรณที ่ี 2 มเี ลขโดดซ้าํ กัน 1 คู แบง เปน 2 ข้ันตอน ดังนี้ ข้นั ตอนท่ี 1 พจิ ารณาการเลอื กเลขโดดทซี่ ้ํากัน 1 คู ดงั น้ี เลอื กเลขโดดที่ซํ้ากัน 1 คู จากเลขโดด 2, 3 หรือ 4 ได 3 วธิ ี และเลือกเลขโดด 1 ตัว จากเลขโดด 1, 2, 3 หรือ 4 ทไี่ มซา้ํ กับเลขโดด ท่ีเลือกในข้นั ท่ี 1 ได 3 วธิ ี ดังนัน้ การเลือกเลขโดดสามตัวทซ่ี ้ํากัน 1 คู ทําได 3×3 =9 วธิ ี ขน้ั ตอนท่ี 2 นําเลขโดดในขนั้ ที่ 1 มาจดั เรยี งเปน จาํ นวนนับท่ีมีสามหลักได 3! = 3 วิธี 2! ดงั นนั้ นําเลขโดดสามตัวที่ซา้ํ กนั 1 คู มาจดั เรียงเปนจาํ นวนนบั ทม่ี สี ามหลกั ได 9× 3 =27 วธิ ี ดงั นน้ั n(S ) = 24 + 27 = 51 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | ความนา จะเปน 168 คูมือครูรายวิชาเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที่ 5 เลม 2 ให E แทนเหตุการณทจ่ี าํ นวนนับท่ีมีสามหลักเปนพาลินโดรม หลักรอย หลกั สิบ หลักหนว ย เหตุการณท ่จี าํ นวนนบั ท่มี ีสามหลักเปนพาลนิ โดรม แบง เปน 2 ขัน้ ตอน ดงั น้ี ขั้นตอนท่ี 1 เลือกเลขโดดที่ซํา้ กัน 1 คู เพ่ือเปนหลกั รอ ยและหลักหนวยของจาํ นวนนบั ทมี่ ีสามหลกั จากเลขโดด 2, 3 หรอื 4 ได 3 วิธี ข้นั ตอนท่ี 2 เลือกเลขโดด 1 ตัว จากเลขโดด 1, 2, 3 หรือ 4 ที่ไมซํ้ากบั เลขโดดทีเ่ ลอื กใน ขั้นท่ี 1 เพื่อเปน หลกั สิบของจาํ นวนนบั ท่ีมีสามหลัก ได 3 วธิ ี ดงั นน้ั n(E) = 3× 3 = 9 จะได n( ES=)) 9= 3 n( 51 17 ดังนั้น ความนาจะเปนที่สรางจํานวนนับที่มีสามหลักจากเลขโดด 1, 2, 2, 3, 3, 4, 4 แลว จาํ นวนที่ไดเ ปนพาลินโดรม เทากบั 3 17 6. ให S แทนปรภิ ูมิตัวอยางของการทดลองสุมน้ี พิจารณาการทดลองสมุ นี้เปน 4 ขัน้ ตอน ดงั น้ี ขน้ั ตอนท่ี 1 โยนลกู บอลลูกที่ 1 ลงชอ งใดชองหนึง่ ของกลอง ได 16 วิธี ขน้ั ตอนท่ี 2 โยนลูกบอลลูกที่ 2 ลงชอ งใดชองหนึง่ ของกลอง ได 16 วิธี ขั้นตอนที่ 3 โยนลูกบอลลกู ท่ี 3 ลงชองใดชอ งหนงึ่ ของกลอง ได 16 วธิ ี ข้ันตอนท่ี 4 โยนลูกบอลลกู ท่ี 4 ลงชอ งใดชองหนึง่ ของกลอง ได 16 วิธี ดงั นน้ั n(S ) =164 ให E แทนเหตกุ ารณทรี่ ติเลน เกมน้ีแลว ไดร างวัล วธิ ีที่ 1 เหตุการณทรี่ ติเลน เกมน้ีแลวไดร างวลั แบงเปน 2 กรณี ดงั น้ี กรณที ี่ 1 รติเลนเกมนแี้ ลวไดร างวลั โดยลกู บอลทั้งสีล่ กู อยูในแนวเสนทแยงมุม จากมุมบนซายไปมมุ ลา งขวา แบงเปน 4 ขัน้ ตอน ดังนี้ ข้ันตอนท่ี 1 โยนลกู บอลลกู ที่ 1 ลงชอ งใดชอ งหนึ่งในแนวเสน ทแยงมุม ทก่ี าํ หนด ได 4 วิธี ขนั้ ตอนที่ 2 โยนลกู บอลลูกที่ 2 ลงชองใดชอ งหนึ่งในแนวเสนทแยงมมุ ที่กาํ หนด ท่ีไมซาํ้ กับชองทโ่ี ยนลกู บอลลูกแรก ได 3 วิธี สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | ความนา จะเปน 169 คูม อื ครูรายวิชาเพมิ่ เติมคณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปท ี่ 5 เลม 2 ขน้ั ตอนท่ี 3 โยนลูกบอลลูกท่ี 3 ลงชอ งใดชองหนึ่งในแนวเสนทแยงมุม ท่ีกาํ หนด ท่ีไมซ ํ้ากับชองทีโ่ ยนลูกบอลลูกท่ี 1 และ 2 ได 2 วิธี ขน้ั ตอนที่ 4 โยนลูกบอลลูกท่ี 4 ลงชองใดชองหนงึ่ ในแนวเสน ทแยงมุม ท่ีกาํ หนด ที่ไมซ ้ํากับชองที่โยนลกู บอลลูกท่ี 1, 2 และ 3 ได 1 วิธี ดงั น้ัน จํานวนวิธีทรี่ ติเลน เกมนี้แลว ไดรางวลั โดยลูกบอลท้งั สีล่ ูกอยใู น แนวเสนทแยงมุมจากมมุ บนซายไปมุมลางขวาเปน 4×3× 2×1=24 วธิ ี กรณที ี่ 2 รติเลนเกมนแ้ี ลวไดร างวลั โดยลกู บอลท้ังสล่ี กู อยูในแนวเสนทแยงมมุ จากมุมบนขวาไปมมุ ลางซาย แบงเปน 4 ข้ันตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 โยนลกู บอลลูกที่ 1 ลงชองใดชองหนงึ่ ในแนวเสน ทแยงมมุ ท่ีกําหนด ได 4 วิธี ขน้ั ตอนที่ 2 โยนลกู บอลลูกที่ 2 ลงชอ งใดชองหนึง่ ในแนวเสนทแยงมุม ท่กี ําหนด ท่ีไมซ ้ํากับชอ งทโ่ี ยนลูกบอลลูกแรก ได 3 วิธี ข้นั ตอนท่ี 3 โยนลูกบอลลกู ท่ี 3 ลงชองใดชองหนง่ึ ในแนวเสนทแยงมมุ ที่กําหนด ที่ไมซํ้ากับชองที่โยนลูกบอลลูกที่ 1 และ 2 ได 2 วิธี ข้นั ตอนที่ 4 โยนลกู บอลลกู ที่ 4 ลงชองใดชอ งหน่งึ ในแนวเสน ทแยงมมุ ทีก่ ําหนด ที่ไมซ้ํากับชองที่โยนลกู บอลลูกท่ี 1, 2 และ 3 ได 1 วธิ ี ดังนน้ั จํานวนวิธีท่รี ติเลนเกมน้ีแลว ไดรางวัลโดยลูกบอลทั้งส่ีลูกอยูใน แนวเสนทแยงมุมจากมมุ บนขวาไปมุมลา งซา ยเปน 4×3× 2×1=24 วิธี ดังนั้น n(E) = 24 + 24 = 48 วิธที ี่ 2 เนื่องจาก การไดร างวัลในเกมนี้ คือ ลกู บอลทงั้ ส่ีลกู อยใู นแนวเสนทแยงมุมแนวใด แนวหนึง่ จากทีม่ ที ้ังหมด 2 แนว คอื จากมุมบนซายไปมุมลางขวา และจากมุม บนขวาไปมุมลา งซาย และแตละแนวเสนทแยงมุมมชี อ งท้งั หมด 4 ชอง จะไดวา เหตุการณท่ีรตเิ ลน เกมนีแ้ ลว ไดร างวัลแบง เปน 2 ข้นั ตอน ดงั นี้ ข้นั ตอนที่ 1 เลือกแนวเสน ทแยงมมุ ของชอง 1 แนว จากแนวเสน ทแยงมุม 2 แนว มี 2 วิธี ขน้ั ตอนท่ี 2 จัดเรียงลกู บอลที่โยนลกู ที่ 1, 2, 3 และ 4 ใหอ ยใู นชองใดชองหนึง่ ตามแนวท่ีเลือกในข้นั ท่ี 1 มี 4! = 24 วิธี ดังนั้น n(E) =2× 24 =48 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ความนา จะเปน 170 คมู อื ครรู ายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท่ี 5 เลม 2 จะได nn((=ES )) 4=8 3 164 4, 096 ดังน้ัน ความนาจะเปนท่ีรตเิ ลนเกมนแี้ ลวจะไดรับรางวลั เทากบั 3 4, 096 7. ให S แทนปรภิ ูมติ ัวอยา งของการทดลองสุมน้ี การสุมหยบิ สลากขน้ึ มาพรอมกนั 2 ใบ จากสลากทงั้ หมด 6 ใบ มี C=6, 2 =6! 15 วิธี 4!2! ดงั นั้น n(S ) =15 ให E แทนเหตกุ ารณทสี่ ุมหยบิ สลากข้ึนมาพรอ มกัน 2 ใบ ไดเ ปนสลากทมี่ ีผลรวมของ จาํ นวนท่เี ปนหมายเลขของสลากมากกวา 2 วิธที ่ี 1 เน่อื งจาก การสุมหยบิ สลากขึ้นมาพรอมกนั 2 ใบ ไดเปนสลากที่มผี ลรวมของจํานวน ทีเ่ ปนหมายเลขของสลากมากกวา 2 มี 7 วธิ ี ไดแก (−2, 5), (−1, 5), (0, 3), (0, 5), (2, 3), (2, 5) และ (3, 5) ดงั นนั้ n(E) = 7 จะได n( E) = 7 n( S) 15 ดังนั้น ความนาจะเปนท่สี ุมหยิบสลากขึ้นมาพรอมกนั 2 ใบ ไดเปนสลากท่มี ีผลรวมของ จํานวนที่เปนหมายเลขของสลากมากกวา 2 เทากบั 7 15 วธิ ีที่ 2 การสมุ หยิบสลากขึ้นมาพรอมกนั 2 ใบ ไดเ ปน สลากที่มีผลรวมของจาํ นวนที่เปน หมายเลขของสลากไมเ กิน 2 มไี ด 4 กรณี ดังน้ี กรณีที่ 1 หยิบไดส ลากท่มี หี มายเลขเปนจํานวนเตม็ ลบท้ังคู มไี ด 1 วธิ ี คอื (−2, −1) กรณที ี่ 2 หยบิ ไดส ลากที่มีหมายเลขเปน −2 และอกี หมายเลขหนึ่งเปน ศูนยห รือ จาํ นวนเต็มบวก มไี ด 3 วิธี คอื (−2, 0), (−2, 2) และ (−2, 3) กรณีที่ 3 หยบิ ไดสลากที่มหี มายเลขเปน −1 และอีกหมายเลขหนง่ึ เปนศนู ยหรือ จาํ นวนเตม็ บวก มไี ด 3 วิธี คอื (−1, 0), (−1, 2) และ (−1, 3) กรณที ี่ 4 หยบิ ไดสลากทม่ี ีหมายเลขเปน 0 และอีกหมายเลขหน่ึงเปนจํานวนเต็มบวก มไี ด 1 วิธี คอื (0, 2) ดังน้ัน การสมุ หยบิ สลากข้ึนมาพรอมกัน 2 ใบ ไดเปนสลากที่ มีผลรวมของจาํ นวนทเ่ี ปน หมายเลขของสลากไมเ กิน 2 มไี ด 1+ 3 + 3 +1=8 วิธี สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ความนา จะเปน 171 คมู อื ครรู ายวชิ าเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปท ี่ 5 เลม 2 จะไดว า n(E) = 15 − 8 = 7 จะได n( E) = 7 n( S) 15 ดังนนั้ ความนาจะเปนทสี่ มุ หยิบสลากขึ้นมาพรอมกนั 2 ใบ ไดเ ปนสลากที่มผี ลรวมของ จาํ นวนท่ีเปนหมายเลขของสลากมากกวา 2 เทา กบั 7 15 8. ให S แทนปรภิ มู ติ วั อยา งของการทดลองสมุ น้ี การสุมหยิบเส้อื 2 ตวั จากเสือ้ ทั้งหมด 50 ตัว ทําได C=50, 2 =50! 50× 49 วิธี 48!2! 2 ดังน้นั n(S=) 25× 49 ให E แทนเหตกุ ารณทห่ี ยบิ ไดเ สื้อขนาดเดยี วกนั แตส ตี า งกนั การสมุ หยิบเสือ้ 2 ตัว แบงเปน 2 ขนั้ ตอน ดงั น้ี ขนั้ ตอนที่ 1 สุม หยบิ เสือ้ 1 ขนาด จากทัง้ หมด 5 ขนาด ทําได C5,1 = 5 วิธี ขั้นตอนท่ี 2 สุมหยบิ เสอื้ 2 สีท่ีแตกตา งกนั จากทัง้ หมด 10 สี ทาํ ได C10, 2= 10! = 5× 9 วธิ ี 8!2! ดงั น้ัน n(E) = 5× 5× 9 จะได =nn((ES )) 5=× 5× 9 9 25× 49 49 ดงั นน้ั ความนาจะเปนทีไ่ ดเส้อื ขนาดเดยี วกนั แตสีตา งกัน เทา กบั 9 49 9. ให S แทนปรภิ ูมิตัวอยางของการทดลองสุมนี้ การคัดเลือกนกั กีฬาวายนํ้าจํานวน 4 คน จากผสู มัคร 10 คน ทําได C10, 4 = 10! = 10× 7 × 3 วิธี 6!4! ดังนัน้ n(S ) = 10× 7 × 3 ให E แทนเหตุการณท กี่ วินซงึ่ เปนหนง่ึ ในผสู มัครจะไดร ับคัดเลอื ก การคดั เลือกนกั กีฬาวา ยนํา้ ท่ีกวนิ ซ่ึงเปน หน่ึงในผูสมัครจะไดรับคัดเลือก แบงเปน 2 ขัน้ ตอน ดงั น้ี ขน้ั ตอนท่ี 1 เลอื กกวินเปน นกั กีฬาวา ยนา้ํ ทาํ ได 1 วิธี ขั้นตอนท่ี 2 เลือกนักกีฬาวายนา้ํ อีก 3 คน จากผสู มคั รอีก 9 คนทเี่ หลือ ทาํ ได C9, 3 = 9! = 7×4×3 วธิ ี 6!3! ดงั นั้น n(E) = 7 × 4× 3 สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ความนาจะเปน 172 คมู ือครรู ายวชิ าเพมิ่ เตมิ คณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 5 เลม 2 จะได =nn((ES )) 7=× 4 × 3 2 10 × 7 × 3 5 ดงั น้นั ความนาจะเปนทกี่ วนิ ซ่ึงเปน หน่งึ ในผสู มคั รจะไดร บั คัดเลอื ก เทา กับ 2 5 10. ให S แทนปรภิ มู ติ วั อยางของการทดลองสมุ นี้ เนื่องจาก มีนาและเมษาสุมหยบิ สลากพรอมกัน จากสลากหมายเลข 1, 2, 3, 4, 5, 6 หรอื 7 ดงั นั้น n(S ) =2 × C7, 2 =2 × 7! =42 5!2! ให E แทนเหตุการณท มี่ ีนาชนะเมษา เมื่อเมษาหยิบไดส ลากทมี่ หี มายเลขของรปู ที่มี พน้ื ทนี่ อยท่สี ุดแบงเปน 2 ข้นั ตอน ดงั น้ี ข้ันตอนที่ 1 เมษาหยบิ ไดสลากท่ีมีหมายเลขของรปู ทีม่ ีพน้ื ทนี่ อยทสี่ ุด มีได C2,1 = 2 วธิ ี ขัน้ ตอนที่ 2 มนี าหยบิ ไดส ลากท่มี หี มายเลขของรูปที่มีพื้นท่ีมากกวา มไี ด C5,1 = 5 วธิ ี ดงั น้ัน n(E) = 2× 5 = 10 จะได nn((ES=)) 1=0 5 42 21 ดังน้ัน ความนาจะเปนที่มีนาจะชนะ เม่ือเมษาหยิบไดสลากท่ีมีหมายเลขของรูปที่มีพื้นท่ี นอ ยที่สดุ เทากบั 5 21 11. ให S แทนปรภิ ูมติ ัวอยา งของการทดลองสุมน้ี การจัดคน 10 คน นั่งโตะกลม 2 ตัว ตัวละ 5 ทนี่ ่ัง แบง เปน 2 ขนั้ ตอน ดงั น้ี ขน้ั ตอนที่ 1 พิจารณาการจัดคนนัง่ โตะ กลมตวั ที่ 1 ดงั นี้ เลอื กคน 5 คน จากคนทัง้ หมด 10 คน เพอื่ น่งั โตะ กลมตวั ที่ 1 ได C10, 5 = 10! วธิ ี 5!5! และจัดคน 5 คนนี้ เพ่ือนัง่ โตะกลมตัวท่ี 1 ได 4! วธิ ี ขัน้ ตอนท่ี 2 ดงั นน้ั การจัดคนน่ังโตะกลมตวั ท่ี 1 ทาํ ได 10! × 4!=10!4! วิธี 5!5! 5!5! พิจารณาการจัดคนน่ังโตะกลมตวั ท่ี 2 ดงั นี้ เลอื กคน 5 คน จากคนทเี่ หลอื 5 คน เพ่ือนั่งโตะกลมตวั ท่ี 2 ได 1 วิธี และจัดคน 5 คนน้ี เพ่อื นัง่ โตะกลมตัวท่ี 2 ได 4! วธิ ี ดงั นัน้ การจัดคนนัง่ โตะกลมตวั ท่ี 2 ทาํ ได 1× 4!=4! วธิ ี ดังนน้ั n(S=) 10!4!× 4=! 10!4!4! 5!5! 5!5! สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | ความนา จะเปน 173 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปท ่ี 5 เลม 2 ให E แทนเหตกุ ารณที่จัดทน่ี ่ังแลวทุกโตะมีคูสามภี รรยา เหตุการณท่ีจดั ท่นี งั่ แลวทุกโตะ มีคสู ามภี รรยา แบง เปน 3 ข้ันตอน ดงั นี้ ขนั้ ตอนที่ 1 พิจารณาการจดั คนน่ังโตะ กลมตัวที่ 1 ดังนี้ เลือกคูสามภี รรยา 1 คู จากท้ังหมด 2 คู เพอื่ นัง่ โตะ กลมท่ี 1 ได 2 วิธี เลือกคนอีก 3 คน จากคน 6 คนทไี่ มใชคูส ามภี รรยา เพอ่ื นัง่ โตะกลมท่ี 1 ได C6, 3 = 6! วธิ ี และจัดคนท้ัง 5 คนนี้ เพือ่ นั่งโตะ กลมตวั ท่ี 1 ได 4! วิธี 3!3! ดงั น้นั การจัดคนน่ังโตะ กลมตัวท่ี 1 ทําได 2× 6! × 4!=2× 6!4! วิธี 3!3! 3!3! ขัน้ ตอนที่ 2 พิจารณาการจดั คนนงั่ โตะกลมตัวที่ 2 ดงั นี้ เลือกคูสามภี รรยา 1 คู จากท่ีเหลือ 1 คู เพ่อื น่งั โตะ กลมที่ 2 ได 1 วิธี เลอื กคนอีก 3 คน จากคน 3 คน ทไ่ี มใชคูสามีภรรยา เพอ่ื น่ังโตะกลมท่ี 2 ได 1 วธิ ี และจัดคนท้ัง 5 คนน้ี เพือ่ นัง่ โตะ กลมตวั ที่ 2 ได 4! วธิ ี ดงั น้นั การจดั คนนัง่ โตะ กลมตัวที่ 2 ทําได 1×1× 4!=4! วิธี ดงั นัน้ n=( E ) 2 × 6!4!=× 4! 2 × 6!4!4! 3!3! 3!3! n(E) 2 × 6!4!4! =n(S ) จะได =3!3! 10 10!4!4! 63 5!5! ดงั น้นั ความนา จะเปน ทีท่ ุกโตะ มคี ูสามีภรรยา เทากับ 10 63 สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
174 คมู อื ครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปท ่ี 5 เลม 2 เฉลยแบบฝกหัด บทท่ี 1 จํานวนเชงิ ซอน แบบฝกหัด 1.1 1. คาของ Re(z) และ Im(z) ของจาํ นวนเชงิ ซอน z ท่กี ําหนดให เปนดงั ตารางตอไปน้ี z Re( z) Im( z) 1. 2 + 3i 23 2. − 4 + 5i −4 5 1 −3 3. 1 − 3 i 22 22 −4 0 4. − 4 5. 3i 03 6. 2 − 2 2i 2 −2 2 2. 1) (−1, − 2) + (2,1) = (−1+ 2, − 2 +1) 2) = (1, −1) 3) (−1, − 2)(2,1) = ((−1)2 − (−2)1, (−1)1+ (−2)2) = (−2 + 2, −1− 4) = (0, − 5) (−2, 2) + (2, − 2) = (−2 + 2, 2 − 2) = (0, 0) (−2, 2)(2, − 2) = ((−2)2 − 2(−2), (−2)(−2) + 2(2)) = (−4 + 4, 4 + 4) = (0, 8) (−2, 3) + (1, 4) = (−2 +1, 3 + 4) = (−1, 7) (−2, 3)(1, 4) = ((−2)1− 3(4), (−2)4 + 3(1)) สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวิชาเพมิ่ เติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปท่ี 5 เลม 2 175 = (−2 −12, − 8 + 3) = (−14, − 5) 4) 3, 1 + 4, 2 = 3 + 4, 1 + 2 2 3 2 3 = 7, 7 6 3, 1 4, 2 = 3( 4) − 1 2 , 3 2 + 1 ( 4) 2 3 2 3 3 2 = 12 − 1 , 2 + 2 3 = 35 , 4 3 3. 1) (2 − 3i) + (4 − 5i) = (2 + 4) + (−3 − 5)i = 6 − 8i 2) (5 + 4i) + 3(2i − 7) = (5 + 4i) + (6i − 21) = (5 − 21) + (4 + 6)i = −16 +10i ( ) ( ) ( )3) 2 − 2i + 5 − 8i = (2 + 5) + − 2 − 8 i ( )= (2 + 5) + − 2 − 2 2 i = 7 − 3 2i 4) i (2 − i) = 2i − i2 = 1 + 2i ( )5) 2i i − 2 = 2i2 − 2i = − 2 − 2i 6) i2 (3 − 4i) = (−1)(3 − 4i) = −3 + 4i 7) (−1− i)2 = (−1− i)(−1− i) = (−1)(−1− i) + (−i)(−1− i) = 1+ i + i + i2 = 1 + 2i −1 = 2i สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
176 คูม ือครูรายวิชาเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ี่ 5 เลม 2 8) (3 + 2i)(2 + 4i) = 3(2 + 4i) + 2i (2 + 4i) 9) ( 2 − 3i)( 2 + 3i) = 6 +12i + 4i + 8i2 = 6 +12i + 4i − 8 = −2 +16i = 2 ( 2 + 3i) + (− 3i)( 2 + 3i) = 2 + 6i − 6i − 3i2 = 2+3 =5 10) (5 − 2i)(−2 + 3i) = 5(−2 + 3i) + (−2i)(−2 + 3i) = −10 +15i + 4i − 6i2 = −10 +19i + 6 = −4 +19i 4. 1) จาก 2a − 3bi = 4 + 6i จะได 2a = 4 และ ดงั น้นั a = 2 และ −3b = 6 2) จาก 2a + bi = 10 b = −2 จะได 2a = 10 และ b =0 ดังนั้น a = 5 และ b =0 3) จาก 3a + (a − b)i = 6 + i และ a − b = 1 จะได 3a = 6 จาก 3a = 6 จะได a = 2 จาก a = 2 และ a − b = 1 จะได b = 1 ดงั นัน้ a = 2 และ b = 1 4) จาก a + b − 2abi = 5 −12i จะได a+b = 5 ----------- (1) และ −2ab = −12 ab = 6 ----------- (2) จาก (1) จะได b = 5−a ----------- (3) จาก (2) และ (3) จะได a(5 − a) = 6 5a − a2 = 6 a2 − 5a + 6 = 0 สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครรู ายวิชาเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปที่ 5 เลม 2 177 (a − 3)(a − 2) = 0 นน่ั คอื a − 3 = 0 หรือ a − 2 = 0 a = 3 หรอื a= 2 ถา a = 3 จะได b = 2 ถา a = 2 จะได b = 3 ดงั น้ัน a = 3, b = 2 หรือ a = 2 , b = 3 5) จาก (a + bi)(2 + 5i) = 3 − i (2a − 5b) + (5a + 2b)i = 3 − i จะได 2a − 5b = 3 ----------- (1) และ 5a + 2b = −1 ----------- (2) (1)× 2 ; จะได 4a −10b = 6 ----------- (3) (2) × 5 ; จะได 25a +10b = −5 ----------- (4) (3) + (4) ; จะได (4a −10b) + (25a +10b) = 6 + (−5) (4a + 25a) + (10b −10b) = 1 29a = 1 a= 1 29 แทน a ดว ย 1 ใน (2) จะได 5 1 + 2b = −1 29 29 5 + 2b = −1 29 −1− 5 2b = 29 2b = − 34 29 b= − 17 29 ดงั นัน้ a = 1 และ b = − 17 29 29 สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
178 คูมอื ครรู ายวชิ าเพมิ่ เตมิ คณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปท ่ี 5 เลม 2 ( ) ( )5. 1) (1− i)3 = 13 − 3 12 (i) + 3(1) i2 − i3 = 1− 3i + 3(1)(−1) − (−i) = 1− 3i − 3 + i = −2 − 2i 2) พิจารณา ( ) ( )( ) ( )(2 + i)4 = 24 + 4 23 (i) + 6 22 i2 + 4(2) i3 + i4 = 16 + 32i + 24(−1) + 8(−i) +1 = 16 + 32i − 24 − 8i +1 = −7 + 24i และ ( ) ( )( ) ( )(2 − i)4 = 24 − 4 23 (i) + 6 22 i2 − 4(2) i3 + i4 = 16 − 32i + 24(−1) − 8(−i) +1 = 16 − 32i − 24 + 8i +1 = −7 − 24i ดงั นน้ั (2 + i)4 − (2 − i)4 = (−7 + 24i) − (−7 − 24i) = −7 + 24i + 7 + 24i = 48i 3) พจิ ารณา ( ) ( )(1+ i)3 = 13 + 3 12 (i) + 3(1) i2 + i3 = 1+ 3i + 3(−1) + (−i) และ = 1+ 3i − 3 − i (จากขอ 1)) ดงั น้ัน = −2 + 2i (1− i)3 = −2 − 2i (1+ i)3 − (1− i)3 = (−2 + 2i) − (−2 − 2i) = −2 + 2i + 2 + 2i = 4i 4) พจิ ารณา (2 + 2i)4 = 24 (1+ i)4 = 24 (1+ i)3 (1+ i) (จากขอ 2)) = 24 (−2 + 2i)(1+ i) = 16((−2 − 2) + 0) = 16(−4) = −64 ดังนั้น (−i)5 (2 + 2i)4 = (−i)4 (−i)(−64) = (−i)(−64) = 64i สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวชิ าเพิม่ เตมิ คณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 5 เลม 2 179 แบบฝก หัด 1.2 1. 1) (−8 + 3i) − 2(3 − 2i) = −8 + 3i − 6 + 4i 2) 3) = −14 + 7i 4) 5) 5(3 + i) − i (1+ i) = 15 + 5i − i +1 6) = 16 + 4i −3(2 − i) + i (2 + i) = −6 + 3i + 2i −1 = −7 + 5i −i (1+ i) − 3i (−3 − 2i) = −i +1+ 9i − 6 = −5 + 8i 1 (1+ i) − 3 (3 + 2i) = 1 + 1 i − 9 − 3i 22 22 2 = −4 − 5 i = 6 − 6i − 2 6i +12 2 ( ) ( )2 18 − 3i − 2 3i 2 + 12i = 18 − 3 6i 7) (2 + i)2 (1+ i) − (1+ i)(1− 3i)2 ( )( )= 22 + 2(2)(i) + i2 (1+ i) − (1+ i) 12 − 2(1)(3i) + (3i)2 = (4 + 4i −1)(1+ i) − (1+ i)(1− 6i − 9) = (3 + 4i)(1+ i) − (1+ i)(−8 − 6i) = (1+ i)(3 + 4i + 8 + 6i) = (1+ i)(11+10i) = (11+10i) + i (11+10i) = 11+10i +11i −10 = 1+ 21i 2. 1) 1 = 1 2 + 3i 2 − 3i 2 − 3i 2 + 3i = 2 + 3i 13 = 2+ 3i 13 13 สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
180 คมู ือครรู ายวิชาเพม่ิ เติมคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปที่ 5 เลม 2 2) 3 + 2i = 3 + 2i 2 + 3i 2 − 3i 2 − 3i 2 + 3i 3(2 + 3i) + 2i (2 + 3i) = 13 = 6 + 9i + 4i − 6 13 =i 3) 4 + 3i = 4 + 3i 1− i 1+ i 1 + i 1 − i 4(1− i) + 3i (1− i) = 2 = 4 − 4i + 3i + 3 2 = 7−1i 22 4) 2 − 2i = 2 − 2i −4i 4i 4i −4i = −8i − 8 16 = −1−1i 22 5) 2−i = 2−i 4−i 4+i 4 + i 4 − i 2(4 − i) + (−i)(4 − i) = 17 = 8 − 2i − 4i −1 17 = 7 −6i 17 17 6) i = i 2 − 6i 2 + 6i 2 + 6i 2 − 6i = 2i + 6 40 = 3+1i 20 20 สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวิชาเพิม่ เตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 5 เลม 2 181 7) (1− i)3i = 3i + 3 2+i 2+i = 3 + 3i 2 − i 2 + i 2 − i 3(2 − i) + 3i (2 − i) = 5 = 6 − 3i + 6i + 3 5 = 9 + 3i 5 = 9 + 3i 55 8) −4i (3 + 2i) + i = −12i + 8 + 1 i i 1 + i − 1 + i 1−i = −12i + 8 + i −1 2 = 15 − 23 i 22 3. 1) จาก z (1+ i) = 4 จะได z = 4 1+ i = 4 1−i 1+ i 1− i = 2 − 2i 2) จาก (2 − i)z = 4 + 2i จะได z = 4 + 2i 2−i = 4 + 2i 2 + i 2 − i 2 + i = 6 +8i 55 สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
182 คมู อื ครรู ายวชิ าเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปที่ 5 เลม 2 3) จาก (3 − i)z = 6 − 7i จะได z = 6 − 7i 3−i = 6 − 7i 3 + i 3 − i 3 + i = 5 − 3i 22 4) จาก (1+ 3i)z = −2 − i จะได z = −2 − i 1+ 3i = −2 − i 1− 3i 1+ 3i 1− 3i = −1+1i 22 5) จาก (1+ 3i)z = 1+ i จะได z = 1+ i 1+ 3i = 1+ i 1− 3i 1+ 3i 1− 3i 6) จาก = 2 −1i 55 (2 + i)z + i = 3 จะได z = 3−i 2+i = 3−i 2−i 2 + i 2 − i 7) จาก = 1−i (1+ i)2 z = 2z −1+ 3i จะได (1+ i)2 z − 2z = −1+ 3i ( )(1+ i)2 − 2 z = −1+ 3i ((1+ 2i −1) − 2) z = −1+ 3i (−2 + 2i) z = −1+ 3i z = −1+ 3i −2 + 2i สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมอื ครรู ายวิชาเพิม่ เติมคณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 5 เลม 2 183 z = −1 + 3i −2 − 2i −2 + 2i −2 − 2i z = 1− 1i 2 8) จาก z +i =3 จะได 2+i = 3−i z 2+i = (2 + i)(3−i) z z = 7+i 4. 1) ให z1= a + bi และ z2= c + di จะได z1z2 = (a + bi)(c + di) = (ac − bd ) + (ad + bc)i = (ca − db) + (cb + da)i = (c + di)(a + bi) = z2 z1 2) ให z= x + yi , z1= a + bi และ z2= c + di จะได z ( z1z2 ) = ( x + yi)((a + bi)(c + di)) = ( x + yi)((ac − bd ) + (ad + bc)i) = ( x(ac − bd ) − y (ad + bc)) + ( x(ad + bc) + y (ac − bd ))i = ( xac − xbd − yad − ybc) + ( xad + xbc + yac − ybd )i = ( xac − ybc − xbd − yad ) + ( xad − ybd + xbc + yac)i = (( xa − yb)c − ( xb + ya)d ) + (( xa − yb)d + ( xb + ya)c)i = (( xa − yb) + ( xb + ya)i)(c + di) = (( x + yi)(a + bi))(c + di) = ( zz1 ) z2 3) ให z= a + bi จะได z = a + bi = a − bi = a + bi =z สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
184 คมู ือครรู ายวิชาเพม่ิ เตมิ คณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท ่ี 5 เลม 2 4) ให z1= a + bi และ z2= c + di จะได z1 − z2 = (a + bi) − (c + di) = (a − c) + (b − d)i = (a − c) −(b − d)i = (a − bi) − (c − di) = z1 − z2 5. 1) z1 = z1 = 2−i 2) z1 − z2 = z1 − z2 = (2 + i) − (−3 − 2i) = 5 + 3i 3) z1 − z2 = z1 − z2 = z1 − z2 = (2 − i) − (−3 − 2i) = 5+i 4) z1 + z2 = (2 − i) + (−3 − 2i) = −1− 3i 5) 1 = 1 z2 z2 =1 −3 − 2i = 1 −3 + 2i −3 − 2i −3 + 2i = −3 + 2i 13 = −3+ 2i 13 13 6) z2 = −3 + 2i z1 2 + i = −3 + 2i 2 − i 2 + i 2 − i = −4+7i 55 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมือครูรายวชิ าเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที่ 5 เลม 2 185 7) 1 1 = z1 + z2 8) z1 + z2 1 6. 1) = 2) 2 + i + (−3 − 2i) 3) 4) = 1 −1− i = 1 −1+ i −1− i −1+ i = −1 + 1i 22 1 + 1 = 1 i + 1 2i i z1 z2 i 2+ −3 − = 2 1 i 2 − i + 1 2i −3 + 2i i + 2 − i −3 − −3 + 2i = 2− i + −3 + 2i i 5 13 = 11 − 3 i i 65 65 = 3 + 11 i 65 65 zz = (2 − 4i)(2 + 4i) 1(z+ z) = 20 2 = 1 ((2 − 4i) + (2 + 4i)) 1(z − z) 2 i = 1 (4) z(z+ z) 2 =2 = 1((2 + 4i) − (2 − 4i)) i = 1(8i) i =8 = (2 − 4i)((2 − 4i) + (2 + 4i)) = (2 − 4i)(4) = 8 −16i สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
186 คูม ือครรู ายวิชาเพ่ิมเตมิ คณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที่ 5 เลม 2 5) z = 2 + 4i z 2 − 4i = 2 + 4i 2 + 4i 2 − 4i 2 + 4i = −12 +16i 20 = −3+ 4i 55 6) ( z − z )i = ( z − z)i = ((2 + 4i) − (2 − 4i))i = (8i)i = −8 7) (1 − z ) z−1 = 1 − z z 1− (2 + 4i) = 2 − 4i = −1 − 4i 2 − 4i = −1 − 4i 2 + 4i 2 − 4i 2 + 4i = 14 −12i 20 = 7 − 3i 10 5 8) z −2 = (2 − 4i) − 2 i +1 1+ i = −4i 1+ i = −4i 1+ i = 4i 1−i = 4i 1+ i 1− i 1+ i สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวชิ าเพมิ่ เตมิ คณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปท่ี 5 เลม 2 187 = −4 + 4i 2 = −2 + 2i 7. ให z1 และ z2 เปน จํานวนเชงิ ซอ น โดยท่ี z1= a + bi และ z2= c + di เมอื่ a, b, c และ d เปนจาํ นวนจริง สมมตใิ ห z1z2 = 0 และ z1 ≠ 0 จะได (a + bi)(c + di) = 0 (ac − bd ) + (ad + bc)i = 0 นั่นคือ ac − bd = 0 ----------- (1) และ ad + bc = 0 ----------- (2) จาก z1 ≠ 0 จะสามารถพจิ ารณาได 3 กรณี คอื กรณี 1 ; a ≠ 0 และ b = 0 จาก (1) จะได ac = 0 ดงั นั้น c = 0 จาก (2) จะได ad = 0 ดังนั้น d = 0 กรณี 2 ; a = 0 และ b ≠ 0 จาก (1) จะได bd = 0 ดงั น้นั d = 0 จาก (2) จะได bc = 0 ดังน้ัน c = 0 กรณี 3 ; a ≠ 0 และ b ≠ 0 คูณ (1) ดวย b จะได abc − b2d =0 ----------- (3) จาก (2) ดว ย a จะได a2d + abc =0 ----------- (4) นํา (4) – (3) จะได a2d + b2d =0 ( )d a2 + b2 =0 จาก a ≠ 0 และ b ≠ 0 ดงั นั้น d = 0 จาก 1) เมื่อ d = 0 จะได ac = 0 ดงั น้ัน c = 0 จากทง้ั 3 กรณจี ะได z2 =c + di =0 ดังนั้น ถา z1z2 = 0 แลว z1 = 0 หรือ z2 = 0 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
188 คูมอื ครรู ายวชิ าเพิม่ เตมิ คณติ ศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท่ี 5 เลม 2 แบบฝกหดั 1.3 1. 1) ให z = a + bi = −16i จะได a = 0, b = −16 และ r = (−16)2 = 16 เนอ่ื งจาก b < 0 จะไดว า รากท่สี องของ −16i คือ 16 − 16 i = ±( 8 − 8i) ± 2 2 = ±(2 2 − 2 2i) ดังนน้ั รากทสี่ องของ −16i คือ 2 2 − 2 2i และ −2 2 + 2 2i 2) ให z = a + bi = 5 +12i จะได =a 5=, b 12 และ r = 52 +122 = 13 เนอ่ื งจาก b ≥ 0 จะไดวารากทส่ี องของ 5 +12i คือ 13 + 5 + 13 − 5i = ±(3 + 2i) ± 2 2 ดงั นั้น รากทีส่ องของ 5 +12i คอื 3 + 2i และ −3 − 2i 3) ให z = a + bi = 3 + 4i จะได =a 3=, b 4 และ r = 32 + 42 = 5 เนอ่ื งจาก b ≥ 0 จะไดวารากทส่ี องของ 3 + 4i คือ 5+3 + 5 − 3i = ±(2 + i) ± 2 2 ดังน้นั รากท่สี องของ 3 + 4i คอื 2 + i และ −2 − i 4) ให z = a + bi = 8 − 6i จะได a = 8, b = −6 และ r = 82 + (−6)2 = 10 เนอื่ งจาก b < 0 จะไดวา รากที่สองของ 8 − 6i คอื 10 + 8 − 10 − 8 i = ± (3 − i) ± 2 2 ดังนัน้ รากทีส่ องของ 8 − 6i คอื 3 − i และ −3 + i ให z = a + bi = 1− 2 2i จะได a = 1, b = −2 2 และ r = 2 ( )5) 12 + −2 2 =3 เนอ่ื งจาก b < 0 จะไดว ารากท่สี องของ 1− 2 2i คอื ( ) 3+1 − 3 − 1i 2 2 ± = ± 2 −i ดังน้ันรากท่สี องของ 1− 2 2i คอื 2 − i และ − 2 + i สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวิชาเพมิ่ เติมคณิตศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปท ่ี 5 เลม 2 189 2. 1) จาก x2 + 48 =0 จะได x2 = −48 x = ±4 3i ดงั นนั้ เซตคาํ ตอบของสมการน้ี คอื {4 3i, − 4 3i} 2) จาก 2x2 + 2x + 25 =0 เนอ่ื งจาก 22 − 4(2)(25) =−196 < 0 จะไดว า คําตอบของสมการนี้ คือ −2 ± −196 i −=2 ±14i −1± 7i = 4 42 ดังน้นั เซตคําตอบของสมการนี้ คอื − 1 + 7 i, − 1 − 7 i 2 2 2 2 3) จาก 2x2 + 5x +12 =0 เนอื่ งจาก 52 − 4(2)(12) =−71< 0 จะไดวา คาํ ตอบของสมการน้ี คอื −5 ± −71i = −5 ± 71i 44 ดงั นน้ั เซตคาํ ตอบของสมการนี้ คือ − 5 + 71 i, − 5 − 71 i 4 44 4 4) จาก 2x2 − 2x +1 =0 เน่ืองจาก (−2)2 − 4(2)(1) =−4 < 0 จะไดวา คาํ ตอบของสมการน้ี คือ 2 ± −4 i = 1± i 42 ดงั นัน้ เซตคําตอบของสมการน้ี คือ 1 + 1 i, 1 − 1 i 2 2 2 2 5) จาก x2 − 2x −1 =0 เนอ่ื งจาก (−2)2 − 4(1)(−1) =8 > 0 จะไดวา คาํ ตอบของสมการน้ี คือ 2 ± 8 = 1± 2 2 ดังนนั้ เซตคาํ ตอบของสมการนี้ คือ {1+ 2,1− 2} สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
190 คูมอื ครรู ายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปท ่ี 5 เลม 2 6) จาก x2 − 4x + 5 =0 เนอื่ งจาก (−4)2 − 4(1)(5) =−4 < 0 จะไดวา คาํ ตอบของสมการน้ี คือ 4 ± 2 −4 i 2±i = ดงั นน้ั เซตคาํ ตอบของสมการนี้ คอื {2 + i, 2 − i} 7) จาก x2 + x + 6 =0 เน่ืองจาก 12 − 4(1)(6) =−23 < 0 จะไดวา คําตอบของสมการนี้ คอื −1± −23i = −1± 23i 22 ดงั นน้ั เซตคาํ ตอบของสมการนี้ คอื − 1 + 23 i, − 1 − 23 i 2 22 2 8) จาก 3x2 + 5x −16 =0 เนื่องจาก 52 − 4(3)(−16) = 217 > 0 จะไดว า คําตอบของสมการน้ี คือ −5 ± 217 6 ดังนน้ั เซตคําตอบของสมการนี้ คอื − 5 + 217 , − 5 − 217 6 66 6 9) จาก 2x2 + 2x + 4 =0 เนอ่ื งจาก 22 − 4(2)(4) =−28 < 0 จะไดว า คําตอบของสมการน้ี คือ −2 ± −28 i = −1± 7i 42 ดังน้ัน เซตคําตอบของสมการนี้ คือ − 1 + 7 i, − 1 − 7 i 2 22 2 10) จาก ( x +1)2 + 49 = 0 จะได ( x +1)2 = −49 x +1 = ±7i x = −1 ± 7i ดังนน้ั เซตคาํ ตอบของสมการนี้ คือ {−1+ 7i,−1− 7i} สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414