บทที่ 8 คล่นื และคลื่นเสยี ง คล่ืนท่ีนักศกึ ษาจะไดเ รียนในบทน้คี อื คลน่ื กล ซ่งึ เปน คลนื่ ท่ีตองอาศยั ตัวกลางในการเคล่อื นที่ สิ่งท่ี คลนื่ นําไปดวยพรอมกบั การเคลอ่ื นที่คือพลังงาน พลังงานเคลื่อนที่ผา นตวั กลางตาง ๆ จะมีปรมิ าณตา ง ๆ กัน ไปในแตละกรณี เชน พลงั งานของคล่ืนในทะเลขณะท่ีพายจุ ะมคี ามากกวาพลงั งานที่เกดิ จากคลื่นเสียงท่ีเรา ตะโกนออกไป 8.1 ชนดิ ของคล่นื เราสามารถแบงคลืน่ ออกเปน 2 ชนิดเมือ่ พิจารณาจากลักษณะการเคลอ่ื นท่ขี องอนภุ าคตวั กลางขณะ คลื่นเคลือ่ นทผ่ี า น คอื คลน่ื ตามยาว และ คลืน่ ตามขวาง คล่นื ตามยาว เปน คล่นื ท่อี นุภาคของตัวกลางสั่นในแนวเดียวกบั การเคล่ือนที่ของคล่นื ตัวอยางคลน่ื ตามยาว เชน คล่ืนในสปริง คลื่นเสยี ง เปน ตน รูปที่ 8.1 คลืน่ ตามยาวในสปรงิ คล่ืนตามขวาง เปน คลนื่ ท่อี นุภาคของตัวกลางสนั่ ในแนวตั้งฉากกับแนวการเคลอื่ นท่ีของคล่นื ตวั อยา งคลื่นตามขวาง เชน คล่ืนในเสนเชือก เปนตน รูปที่ 8.2 คลื่นตามขวางในสปริง เมือ่ พิจารณาลักษณะของการทําใหเกดิ คลื่น เราอาจแบง คลืน่ ออกเปนคลนื่ ดลและคล่ืน ตอ เน่อื ง โดยคลืน่ ท่ีเกดิ จากการส่นั ของแหลง กําเนิดคลื่นในชวงเวลาสน้ั ๆ หรอื การไปรบกวนแหลงกําเนดิ คลื่นเพียงครงั้ เดยี ว เรยี กคลนื่ นว้ี า คลื่นดล และถาแหลงกําเนิดคล่ืนส่ันตอเนื่องหรือการรบกวนแหลงกาํ เนิด คล่นื อยา งตอเนื่อง เรยี กคลืน่ ที่เกดิ ขึ้นวา คลน่ื ตอเน่ือง
ฟสิกสเบ้ืองตน 78 8.2 สวนประกอบของคลนื่ เมือ่ พจิ ารณาสว นประกอบของคลน่ื จะเห็นลักษณะทางกายภาพท่สี าํ คัญของคล่นื 3 ประการ คือ ความยาวคลนื่ ความถ่ีและอัตราเร็วของคล่ืน นอกจากนีค้ ลืน่ ยังมีองคป ระกอบอื่น ๆ อกี ดงั ตอไปน้ี รูปท่ี 8.3 สวนประกอบของคลนื่ ความยาวคลื่น หมายถึงระยะที่นอ ยที่สุดระหวางจดุ 2 จดุ บนคลนื่ ท่มี ลี ักษณะการเคล่ือนท่ี เหมือนกนั ทุกประการ เราใชส ัญลกั ษณ λ แทนความยาวคล่นื มีหนวยเปน เมตร ความถ่ีของคล่ืน หมายถึงจาํ นวนคลนื่ ท่ีผา นจุด ๆ หน่งึ ในหนึง่ หนวยเวลาหรือจํานวนรอบที่ แหลงกาํ เนดิ คล่ืนหรอื ตวั กลางส่ันไดในหนง่ึ หนว ยเวลา ใชสัญลกั ษณ f มหี นวยเปน รอบตอ วินาที หรือ เฮริ ตซ (Hz) คาบของคล่นื หมายถงึ ชว งเวลาทีค่ ลื่นเคลื่อนทไ่ี ด 1 ความยาวคล่นื หรือเวลาทแี่ หลงกําเนิดคลืน่ หรอื ตัวกลางที่คล่ืนเคลอื่ นทผ่ี า นครบ 1 รอบ ใชส ัญลกั ษณ T มีหนว ยเปนวินาที แอมพลิจูด หมายถงึ ขนาดของการกระจัดสูงสุดของอนุภาคของตวั กลางท่ีคลน่ื ผา นจากตําแหนง สมดุลเดมิ ใชส ัญลักษณ A มีหนวยเปน เมตร อัตราเร็วคลื่น หมายถงึ ระยะทางทค่ี ลืน่ เคล่ือนที่ไดใ น 1 หนว ยเวลา ใชสญั ลกั ษณ v มหี นว ยเปน เมตร/วินาที 8.2.1 ความสมั พนั ธร ะหวา งความถ่แี ละคาบของคลน่ื เม่ือพิจารณาจากความหมายของคาบและความถี่ของคลื่น จะไดความสัมพนั ธด ังน้ี 1 T = f (8.1) (8.2) เน่อื งจากในเวลา T วินาที คลน่ื เคล่อื นทีไ่ ดระยะทาง λ เมตร ระยะทาง ดังน้นั จาก อตั ราเรว็ = เวลา ดังนน้ั v = fλ สาํ หรบั นกั ศกึ ษาคณะสถาปต ยกรรมศาสตร/เทคโนโลยสี อ่ื สารมวลชน
ฟสิกสเ บอื้ งตน 79 ตวั อยางท่ี 8.1 คล่นื ตอ เน่อื งขบวนหนง่ึ มีความถี่ 90 เฮิรตซ ขณะเวลาหนึ่งมลี กั ษณะดังรูป ถาแกน x และ แกน y แทนระยะทางในหนวยเซนตเิ มตร จงหาแอมพลจิ ดู ความยาวคลน่ื คาบ อตั ราเร็วของคลนื่ ตามลําดบั วิธที ํา จากรปู วัดคา แอมพลจิ ดู ของคล่ืนไดเทา กบั 1 เซนติเมตร คาความยาวคลน่ื ได 2 เซนตเิ มตร หาคาบของคล่ืน 1 f T = แทนคา T = 1 90 = 0.011 s ดงั นั้นคาบของคลืน่ เทา กับ 0.011 วินาที หาอตั ราเรว็ ของคล่นื แทนคา v = fλ v = (90)(2 × 10-2) = 1.8 m/s คําตอบ อตั ราเร็วของคลนื่ มคี าเทากบั 1.8 เมตรตอวนิ าที 8.2.2 เฟสของคลนื่ เฟสของคล่ืนเปนการบอกตาํ แหนง ตาง ๆ บนคล่ืน โดยบอกเปน มมุ ในหนวยองศาหรือเรเดียน ลักษณะของคลื่นสามารถนาํ มาเขียนในรูปของคลน่ื รูปไซนไ ด ดงั นัน้ ตําแหนงตา ง ๆ บนคลืน่ รปู ไซนจ ึงระบุ ตําแหนง เปนมุมในหนวยองศาหรือเรเดยี นได ซึ่งมมุ 1 เรเดยี นเทยี บไดเทากับ 57.3 องศา มมุ 360 องศา เทียบไดเทากับ 2π เรเดียน รปู ท่ี 8.4 ความสมั พนั ธร ะหวางมุมเรเดยี นกบั องศา เราสามารถเปรียบเทียบลักษณะการเคลือ่ นที่ของอนภุ าคตวั กลาง ณ 2 ตาํ แหนงขณะคล่นื ขบวนหนง่ึ เคล่อื นทผ่ี า นไดวา 2 ตําแหนง นั้น มเี ฟสตรงกนั หรือเฟสตรงขา มกันได สาํ หรบั นกั ศึกษาคณะสถาปต ยกรรมศาสตร/เทคโนโลยสี อ่ื สารมวลชน
ฟส กิ สเ บ้ืองตน 80 รปู ที่ 8.5 ตําแหนง ตา ง ๆ บนคลืน่ รูปไซน พิจารณารปู ท่ี 8.5 จะเห็นวา จุด A กบั จดุ B อยูห างกนั 1 ความยาวคล่ืน มเี ฟสตา งกนั 360 องศา หรอื 2π เรเดียน เรากลาวไดว าจดุ A และ จุด B มีเฟสตรงกัน สาํ หรบั จุด A กับจดุ C อยหู า งกัน 2 เทา ของ ความยาวคลืน่ มีเฟสตา งกัน 720 องศาหรือ 4π เรเดียน จุด A กบั จดุ C กม็ ีเฟสตรงกนั เม่ือพิจารณาจุด A กบั จุด X อยูหา งกัน λ/2 มเี ฟสตา งกัน 180 องศาหรอื π เรเดียน สาํ หรบั จดุ A กบั จดุ Y อยหู า งกัน 3λ/2 มเี ฟสตางกัน 540 องศาหรอื 3π เรเดยี น เราเรยี กวาจุด A มเี ฟสตรงขามกบั จุด X และจดุ A กม็ ีเฟสตรงขามกับจดุ Y ดังนน้ั สรุปไดว า จุดสองจุดทอ่ี ยูหา งกนั λ, 2λ , 3λ , ........... จะมเี ฟสตรงกัน สาํ หรับจดุ สองจุดที่ อยหู า งกนั λ/2 , 3λ/2 , 5λ/2 , ........... จะมีเฟสตา งกัน 8.3 สมบัตขิ องคล่ืน คลื่นมีสมบตั ิ 4 ประการไดแก การสะทอ น การหักเห การเลีย้ วเบน และการแทรกสอด 8.3.1 การสะทอ นของคล่นื คณุ สมบตั ิประการหน่งึ ของคล่ืน คือ การสะทอน ลกั ษณะการสะทอ นเปน ไปตามสภาพของคล่ืน การสะทอ นเกิดจากคลนื่ เคล่อื นท่ีไปกระทบส่ิงกีดขวางแลวเคลื่อนที่กลับมาในตัวกลางเดมิ ในการสะทอ นของ คลืน่ รังสีตกกระทบ เสนปกติ และรงั สสี ะทอน อยใู นระนาบเดียวกัน โดย มุมตกกระทบ ( θi ) = มุมสะทอ น ( θr ) รังสีตกกระทบ เสน ปกติ รังสีสะทอน หนาคล่นื ตกกระทบ θi θr หนาคล่นื สะทอ น รปู ท่ี 8.6 การเคล่ือนที่ของคล่ืนตกกระทบและคล่นื สะทอน สาํ หรบั นกั ศึกษาคณะสถาปตยกรรมศาสตร/เทคโนโลยสี อื่ สารมวลชน
ฟสิกสเบือ้ งตน 81 8.3.2 การหกั เหของคลืน่ เมื่อคลืน่ เคลื่อนที่ผา นเขาไปในตวั กลางท่ีเปลี่ยนไปจากเดมิ ความเร็ว และความยาวคลน่ื จะ เปลีย่ นไป มีผลทําใหทิศการเคลือ่ นที่เบนไปจากแนวเดมิ ปรากฏการณน เี้ รยี กวา “การหกั เห” รังสี เสนปกติ รังสีหักเห เสนปกติ หนาคลื่น หนาคล่ืน λ1 λ2 ตัวกลางท่ี 1 ตัวกลางท่ี 2 (โปรง) (โปรง) θ1 θ2 θ2 λ2 θ λ1 1 หนาคลื่น หนาคล่ืน ตัวกลางที่ 2 ตัวกลางที่ 1 (ทึบ) รังสีหักเห (ทึบ) รังสี (ก) (ข) รปู ที่ 8.7 (ก) คล่นื เดินทางจากตัวกลางที่โปรง ไปยังตวั กลางท่ีทึบกวา (ข) คลน่ื เดินทางจากตัวกลางท่ที ึบไปยังตัวกลางทโ่ี ปรงกวา จากรูปท่ี 8.7 (ก) เมื่อคลื่นเดนิ ทางจากตัวกลางทโ่ี ปรงเขาไปยังตัวกลางที่ทึบ คล่ืนเบนเขาหาเสน ปกติ ความเร็ว และความยาวคล่นื หักเหในตัวกลางท่ี 2 มีคาลดลง ในกรณกี ลบั กนั จากรปู ที่ 8.7 (ข) เม่อื คลืน่ เดนิ ทางจากตัวกลางท่ีทึบเขา ไปยังตวั กลางทีโ่ ปรง คลนื่ เบนออกจาก เสนปกติ ความเรว็ และความยาวคลน่ื หักเหในตัวกลางท่ี 2 มคี าเพ่ิมข้ึน นยิ ามให “ดัชนีหกั เห (n)” หมายถึง อตั ราสวนระหวา งความเร็วของแสงในสุญญากาศ (c) ตอ ความเรว็ ของแสงในตวั กลางใด ๆ (v) ดงั นัน้ ดัชนหี ักเหของตัวกลางที่ 1 คอื n1 = c v1 ดัชนีหกั เหของตัวกลางท่ี 2 คอื n2 = c v2 ดังนนั้ n1 = v2 (8.3) n2 v1 สําหรบั นักศึกษาคณะสถาปตยกรรมศาสตร/เทคโนโลยีสื่อสารมวลชน
ฟส ิกสเ บอ้ื งตน 82 ตัวกลางท่ี 1 จากรปู ท่ี 8.8 ไดค วามสัมพันธดังน้ี (โปรง) sin λ1 รังสี เสน ปกติ θ1 = AB หนาคลื่น λ2 θ1 A θ1 λ1 sin θ 2 = AB λ θ2 B ดงั น้ัน θ 2 2 หนา คลื่น sin θ1 λ1 sin θ 2 λ2 รังสีหักเห = ตวั กลางที่ 2 (ทบึ ) รปู ที่ 8.8 ภาพขยายของรปู ที่ 8.7 (ก) เนอ่ื งจากรังสหี ักเหและรงั สตี กกระทบมคี วามถ่ีเทากนั ดังนน้ั f = f1 = f2 และจาก λ= v f ดังนนั้ สมการดานบนเปน sin θ1 = v1 = n2 sin θ 2 v2 n1 สมการทีไ่ ดเรยี กวา “กฎของสเนลล” มคี วามสมั พันธ ดงั นี้ sin θ1 = λ1 = v1 = n2 (8.4) sin θ2 λ2 v2 n1 ท่ีนาสนใจอีกประการหน่ึงก็คือกรณีของรูปที่ 7.7 (ข) มีความเปน ไปไดวา ถา θ1 มีมมุ ท่ีเหมาะสมจน ทําให θ2 มีมมุ เทา กบั 90o คลนื่ หักเหจะเกดิ การสะทอ นกลับหมด ในกรณีนเี้ รยี ก θ1 วา “มมุ วกิ ฤติ” ใช สญั ลกั ษณเปน θc พจิ ารณาจากกฎของสเนลล ดังนี้ sin θ1 = λ1 = v1 = n2 sin 90 o λ2 v2 n1 หรอื θ1 = sin −1 ⎝⎜⎜⎛ n2 ⎟⎟⎞⎠ n1 ดงั นั้น มุมวกิ ฤติ คือ θc = sin −1 ⎝⎜⎛⎜ n2 ⎠⎟⎟⎞ (8.5) n1 สําหรบั นักศึกษาคณะสถาปต ยกรรมศาสตร/เทคโนโลยสี อ่ื สารมวลชน
ฟส กิ สเ บื้องตน 83 ตัวอยางที่ 8.2 คล่นื ผวิ น้ํามคี วามถี่ 12 เฮริ ตซ เคลื่อนท่ีจากบริเวณนาํ้ ลึกเขาสูบรเิ วณน้าํ ต้ืน ดวยความเร็ว 0.18 เมตรตอวนิ าที โดยหนาคล่นื ตกกระทบทํามมุ 45 องศา กับเสนรอยตอ น้าํ ลกึ กับน้ําตื้น ก) เมื่อคลืน่ เคล่ือนที่ผานเสนรอยตอน้ําลึกกับน้ําตื้น มมุ หกั เหเปนเทาใด กําหนดความยาวคลนื่ ใน นํา้ ตื้นเทา กับ 1.0 เซนติเมตร ข) ความถ่ขี องคล่ืนในนาํ้ ตืน้ เทากับก่เี ฮิรตซ วธิ ที ํา ก) จากส่ิงท่ีโจทยกาํ หนดให สามารถหาความยาวคล่ืนบริเวณนํ้าลึกได จาก v = fλ ดงั น้นั λ = v f 0.18 = 12 = 1.5 ×10−2m sin θ1 หามุมหักเห θ2 จาก sin θ2 = λ1 แทนคา sin 45D = λ2 sin θ2 1.5 ×10−2 sinθ2 = 1.0 ×10−2 0.471 θ2 ≈ 28D ∴ มุกหกั เหมีคาประมาณ 28 องศา ข) ความถี่บรเิ วณนา้ํ ตนื้ เทา กับ 12 เฮริ ตซ เน่ืองจากเปน แหลง กําเนิดคล่นื เดียวกัน 8.3.3 การแทรกสอดของคลืน่ เม่ือคลนื่ ตอ เนอื่ งจากแหง กาํ เนิดคล่ืนสองแหลงเดนิ ทางมาพบกันจะเกิดการซอ นทับของคลน่ื เรียก ปรากฏการณน้วี า การแทรกสอดของคลืน่ เพ่ือใหก ารพิจารณางา ยขึน้ สมมติวา มีคลื่นเพียง 2 ขบวนเขา มาอยู ในบรเิ วณเดียวกัน โดยคลน่ื ทั้งสองมคี วามถ่ีเทากัน และมีเฟสตรงกนั หรือเฟสตางกนั คงที่ การทําใหค ลน่ื สอง ขบวนมีความถี่และเฟสเทา กนั ทาํ ไดโ ดยใหค ล่ืนท้ังสองเกิดจากแหลงกาํ เนดิ อาพันธ (coherent source) การ แทรกสอดของคลน่ื ท่เี สริมกนั จนมีแอมปลิจูดมากสุด เรียกวา “ปฏบิ ัพ” (antinode) ถา คลน่ื หักลางกนั จนมีแอม ปลิจดู ตาํ่ สดุ หรือเปน 0 เรยี กวา “บัพ” (node) ลักษณะการแทรกสอดจะเปน ไปตามรูปท่ี 8.9 สาํ หรบั นกั ศกึ ษาคณะสถาปตยกรรมศาสตร/เทคโนโลยีสือ่ สารมวลชน
ฟส กิ สเบือ้ งตน 84 ทองคล่นื ปฎิบัพที่ยอดคลน่ื ปฎิบพั ทีท่ อ งคลื่น บพั ทองคลืน่ ยอดคลนื่ S1 S2 ยอดคล่ืน แหลงกาํ เนิดอาพันธ รปู ท่ี 8.9 การแทรกสอดของคล่ืนนาํ้ ท่เี กิดจากแหลงกําเนดิ อาพันธ 2 แหลง คือ S1 และ S2 8.3.4 การเลีย้ วเบนของคลนื่ คลื่นมีลักษณะพิเศษประการหน่ึง คือ ทุกจุดบนหนาคล่ืนถือใหเปนตนกําเนิดคล่ืนใหมได ปรากฏการณน ี้เรยี กวา “หลกั ของฮอยเกนส” ถาคลื่นเคลื่อนที่ผานส่ิงกีดขวาง คล่ืนสวนที่กระทบส่ิงกีดขวางจะ สะทอนกลับ สวนคล่ืนท่ีผานไปไดจะแผจากขอบของส่ิงกีดขวางไปจนถึงดานหลังส่ิงกีดขวาง ปรากฏการณนี้ เรียกวา “การเลยี้ วเบน” คล่ืนเลีย้ วเบนยังคงมีความยาวคลื่น ความถี่ และอัตราเรว็ เทา เดมิ คลน่ื เล้ียวเบน สงิ่ กดี ขวาง รปู ท่ี 8.10 คล่ืนเล้ียวเบนออกจากสลิตเด่ียว 8.4 ธรรมชาติของเสียง ชวี ิตประจําวันเราจะไดย ินเสยี งจากแหลง กําเนิดเสียงตา ง ๆ อยตู ลอดเวลา การไดยินเสยี งของเรา เกดิ จากหไู ดรับพลังงานจากการสั่นของแหลง กําเนิดเสียงผา นโมเลกุลของอากาศ ลกั ษณะการเคลือ่ นทข่ี อง โมเลกลุ ของอากาศจะอยูใ นรูปของคลืน่ ตามยาว มีผลทําใหค วามดันของอากาศบรเิ วณทีม่ ีการถายทอด พลังงานมคี าเปลี่ยนแปลงไปจากความดนั ปกติ บริเวณทีม่ คี วามดันมากกวาปกตเิ ราเรยี กวา สว นอดั สว น บริเวณท่ีมีความดนั นอยกวาปกติเราเรยี กวา สว นขยาย สําหรับนกั ศกึ ษาคณะสถาปตยกรรมศาสตร/เทคโนโลยสี อ่ื สารมวลชน
ฟสิกสเบอื้ งตน 85 8.5 การเคล่อื นทีข่ องเสียงผา นตวั กลาง เม่ือคลน่ื เสียงเคล่อื นท่ีผา นตัวกลางหนึ่งไปยงั อีกตัวกลางหน่ึง ความถีข่ องคล่นื เสยี งจะมีคา คงตวั เทากบั ความถขี่ องแหลง กาํ เนิดเสียง สวนอัตราเรว็ ของเสยี งในตวั กลางหนึ่ง ๆ จะคงตัว เมื่ออุณหภูมิของ ตวั กลางน้ันคงตัว ดังแสดงในตารางตอไปนี้ ตารางท่ี 8.1 แสดงอัตราเร็วของเสียงที่ตัวกลางตา ง ๆ ทอี่ ุณหภมู ติ า ง ๆ ตัวกลาง อัตราเรว็ (เมตร / วินาที) แกส 331 อากาศ (0o C) 343 อากาศ (20o C) 1286 ไฮโดรเจน (0o C) 317 ออกซิเจน (0o C) 972 ฮีเลียม (0o C) ของเหลว (25o C) 1493 1143 นา้ํ 1533 เมทลิ แอลกอฮอล นา้ํ ทะเล ของแข็ง 5100 3560 อะลมู เิ นยี ม 5130 ทองแดง 1322 เหลก็ ตะก่ัว จากอัตราเร็วของเสียงในอากาศพบวา อัตราเร็วของเสียงมีความสัมพันธก บั อุณหภมู ิของอากาศ โดย เปน ไปตามสมการ vt = 331 + 0.6t (8.6) เม่ือ vt เปน อตั ราเรว็ ของเสียงในอากาศที่อุณหภูมิ t ใด ๆ มหี นว ยเปน เมตร/วินาที t เปนอุณหภูมขิ องอากาศมหี นว ยเปนองศาเซลเซยี ส ตวั อยางท่ี 8.3 คนงานซอมทางรถไฟเคาะรางรถไฟ ปรากฏวา ผทู ่อี ยูหางออกไประยะหนึ่ง ไดยนิ เสียงเมื่อ เวลาผา นไป 2.0 วนิ าที ถาผูฟงแนบหูกบั รางรถไฟ เขาจะไดย ินเสยี งกอนหรอื หลงั กวานี้เทาใด และเขาอยหู า ง จากคนงานรถไฟเปนระยะทางเทาใด กาํ หนดให อณุ หภูมขิ ณะน้นั เทากับ 15 oC และอตั ราเร็วของเสยี งในเหล็กเทากบั 5130 เมตร/วินาที วธิ ีทาํ หาอัตราเร็วของเสียงในอากาศขณะอุณหภมู ิ 15 oC จากสตู ร vt = 331 + 0.6t ดังนัน้ vt = 331 + 0.6 (15) = 340 m/s สาํ หรับนกั ศึกษาคณะสถาปตยกรรมศาสตร/เทคโนโลยีส่ือสารมวลชน
ฟส ิกสเบอ้ื งตน 86 หาระยะหา งจากผสู ังเกตถงึ คนงาน ระยะทาง เวลา จาก อัตราเร็ว = ระยะทาง = (340 m/s)(2 s) = 680 m ดงั น้ันระยะหา งจากผสู ังเกตถึงคนงานเทา กับ 680 เมตร หาเวลาทเ่ี สยี งใชในการเคล่อื นท่ใี นรางรถไฟ ระยะทาง จาก อัตราเร็ว = เวลา = 0.13 s เวลา = 680 m 5130 m / s ถาเราแนบหกู ับรางรถไฟจะไดย ินเสยี งเรว็ กวา เสยี งผานอากาศ = 2 – 0.13 = 1.87 วินาที 8.6 สมบตั ขิ องเสียง ถาเราตะโกนภายในหองประชมุ ใหญ ๆ จะไดยินเสียงท่ีตะโกนออกไปสะทอนกลบั เพราะเสียงที่ ตะโกนไปกระทบผนังหอ ง เพดาน และพืน้ หอง แลวเกิดการสะทอนกลบั มา ทําใหเราไดย ินเสียงอกี ครง้ั หน่ึง แสดงวาเสยี งมีสมบัตกิ ารสะทอน ซ่ึงเปน สมบัติทส่ี าํ คัญของคลนื่ ปกติเสยี งทผี่ านไปยังสมองจะติดประสาทหูประมาณ 1/10 วินาที ดงั นั้นเสียงท่ีสะทอ นกลบั มาสหู ูชา กวา เสยี งทต่ี ะโกนออกไปเกิน 1/10 วนิ าที หูสามารถแยกเสียงตะโกนและเสียงที่สะทอนกลบั มาได เสียง สะทอ นเชน น้เี รียกวา เสียงสะทอนกลบั (echo) จากสมบตั ิของเสยี งดังกลาว นักฟสกิ สไ ดนาํ มาสรางเครอ่ื งมือที่เรยี กวา โซนาร ซงึ่ ใชหาตําแหนง ของ สงิ่ ท่ีอยใู ตทะเล โดยสง คลืน่ ดลของเสียงทม่ี ีความถส่ี ูงจากใตทองเรือ เมื่อกระทบส่ิงกดี ขวาง เชน หนิ โสโครก ฝูงปลา หรอื เรือใตน้าํ ท่ีมีขนาดใหญกวา หรอื เทา กับความยาวคล่ืนเสียง กเ็ กิดการสะทอ นของเสียงกลบั มายัง เครอ่ื งรับบนเรือ จากชว งเวลาท่ีสงคลน่ื เสียงออกไปและรับคลน่ื สะทอนกลับมา ใชคํานวณหาระยะทางระหวาง ตาํ แหนง ของเรือกับสิ่งกีดขวางได ตัวอยา งที่ 8.4 เรอื ลาํ หนงึ่ จอดอยใู นหมูเ กาะที่มีหนาผาสูง เมือ่ เปดหวูดคนในเรอื ไดย นิ เสยี งภายหลังเปดหวูด 1 นาที ถามวาเรืออยูหา งจากหนา ผาก่ีเมตร (ถา ความเรว็ เสยี งเทากบั 335 เมตร/วินาท)ี 1 วธิ ที าํ ระยะหา งจากเรอื ถึงหนา ผา = ความเร็วของเสียง × 2 เวลาทเี่ สียงเดินทางไปกลบั = 335 m/s × 1 × 60 s 2 = 10,050 m คําตอบ เรอ่ื อยูหางจากหนา ผา 10,050 เมตร สําหรับนกั ศกึ ษาคณะสถาปต ยกรรมศาสตร/เทคโนโลยสี ่อื สารมวลชน
ฟสกิ สเ บือ้ งตน 87 เม่อื คลื่นเสยี งเดินทางจากตวั กลางหนง่ึ ผานเขาไปยงั อกี ตัวกลางหน่งึ จะเกดิ การหักเห ตวั อยางการ หกั เหของเสียงทเ่ี กิดขน้ึ ตามธรรมชาตซิ งึ่ อาจสังเกตเห็นได เชน การเห็นฟา แลบแตไมไ ดย ินเสยี งฟารอง ทั้งน้ี เนื่องจากคล่นื เสียงเคลอ่ื นที่ผานอากาศรอ นไดเร็วกวา อากาศเย็น ซ่ึงเราทราบแลววาชั้นของอากาศเหนือ พนื้ ดินมีอุณหภูมไิ มเ ทา กัน ย่งิ สูงข้ึนไปอุณหภูมิของอากาศย่ิงลดลง ดงั นน้ั ในที่สูง ๆ จากพ้ืนผวิ โลก อัตราเร็ว ของเสยี งจึงนอยกวาบริเวณใกลผิวโลก ขณะที่เกดิ ฟา แลบและฟา รอ งในตอนกลางวันคล่ืนเสยี งจะเคล่อื นที่จาก อากาศตอนบนซงึ่ เย็นกวา มาสูอากาศบริเวณใกลพืน้ ดินซึง่ รอ นกวา ทําใหเกิดการหักเหของเสียงฟา รอ งกลับ ข้ึนไปในอากาศตอนบน ถา เสียงเกิดการหกั เหกลบั ขนึ้ ไปท้ังหมด เราจะเหน็ ฟา แลบแตไมไ ดยนิ เสียงฟารอ ง ปรากฏการณข างตน นแ้ี สดงวา เสียงมีสมบัติการหักเห นอกจากนแี้ ลว เสียงยังมีสมบัติการเล้ยี วเบน ในชีวิตประจําวนั เราจะพบการเล้ยี วเบนของเสียง เชน การไดย ินเสยี งทีม่ มุ ตึก เปน ตน 8.7 คล่ืนน่ิง คลืน่ นงิ่ เปน ปรากฏการณก ารแทรกสอดที่เกดิ จากการซอ นทบั ระหวา งคลื่นสองขบวนซ่ึงเคลอื่ นท่ี สวนทางกนั โดยท่คี ลืน่ ท้ังสองมีความถ่ี ความยาวคล่ืน และแอมพลิจูดเทา กัน สําหรับกรณีคลื่นเสียงสามารถ เกดิ คลืน่ น่ิงได โดยสามารถศึกษาไดจ ากกการนําเอาลาํ โพงมาวางไวเหนือพื้นโตะ และใชทอรับฟงเสียง ณ ตาํ แหนงตา ง ๆ ตามแนวด่ิงระหวา งลาํ โพงกับพ้ืนโตะ ขณะทเี่ สียงจากลําโพงเคล่อื นทไี่ ปกระทบพน้ื โตะ จะเกิด การสะทอ น และเสยี งทสี่ ะทอนจากพืน้ โตะจะไปซอนทบั กับคลื่นเสยี งท่ีมาจากลําโพง ทาํ ใหเ กิดการแทรดสอด มีลักษณะเปน คลนื่ น่ิง เมือ่ ฟงเสียง ณ ตําแหนงตา ง ๆ จะไดยนิ เสียงดังและคอ ยสลับกนั ตาํ แหนงท่ีไดย นิ เสยี ง ดังแสดงวามกี ารแทรกสอดแบบเสริมเรียกตาํ แหนงนวี้ า ปฏบิ พั ซ่งึ คอื ตาํ แหนง A ดงั รูปท่ี 8.11 และตําแหนงท่ี ไดยนิ เสียงคอ ยแสดงวา มกี ารแทรกสอดแบบหักลา งเรียกตําแหนงนว้ี า บัพ ซ่ึงคือตําแหนง N ดังรูป 8.11 รูปท่ี 8.11 คลน่ื น่ิงของเสยี ง สําหรบั นักศกึ ษาคณะสถาปตยกรรมศาสตร/เทคโนโลยีสื่อสารมวลชน
ฟส ิกสเ บ้ืองตน 88 8.8 การไดยิน เสียงทเ่ี ราไดย นิ จะดังหรือคอ ยข้ึนอยกู ับพลังงานของเสยี งทม่ี าถงึ ผฟู ง อตั ราการถายโอนพลังงาน เสียงของแหลงกาํ เนดิ คือปรมิ าณพลงั งานเสยี งทสี่ งออกมาแหลง กาํ เนิดในหนึง่ หนวยเวลา ซึ่ง เรยี กวา กาํ ลงั เสียง มีหนวยเปนจลู ตอวินาที หรือ วัตต ในกรณีที่ระยะทางเทากันผฟู งจะไดยินเสียงจาก แหลงกาํ เนิดเสียงทมี่ ีกําลังมากดังกวาแหลงกําเนิดเสียงทีม่ ีกาํ ลงั นอ ย 8.8.1 ความเขม เสยี ง เราอาจพิจารณาไดว า หนา คลนื่ ของเสยี งท่ีออกจากแหลงกาํ เนิดเสียงมกี ารแผห นาคลนื่ ออกเปน รูปทรงกลม โดยมีจุดกําเนิดเสียงอยูทจ่ี ุดศูนยก ลางของทรงกลม กําลงั ของคลนื่ เสียงทแี่ หลง กําเนิดเสียง สงออกไปตอหนงึ่ หนว ยพืน้ ทข่ี องหนาคลน่ื ทรงกลม เรยี กวา ความเขม เสียง ถา กาํ หนดใหกําลงั เสียงจาก แหลงกําเนิดเสียงมคี าคงตัว ความเขม เสียง ณ ตําแหนงตา ง ๆ หาไดจาก P I = 4πR 2 (8.7) เมอื่ I เปน ความเขม เสยี ง ณ ตาํ แหนง ตาง ๆ มีหนวยเปนวัตตตอตารางเมตร P เปน กาํ ลังเสียงของแหลงกําเนดิ เสยี งมีหนว ยเปนวตั ต R เปนระยะระหวางแหลง กาํ เนิดเสยี งกับตําแหนง ท่จี ะหาความเขม เสยี งมีหนว ย เปน เมตร ถา กําลงั เสียงจากแหลง กําเนดิ มีคาคงตวั สามารถสรุปไดว า 1 I ∝ R2 ตัวอยางท่ี 8.5 เคร่ืองยนตเครื่องหน่ึงมกี ําลังเสียง 100 วัตต ความเขมเสียงทีร่ ะยะหา ง 10 เมตรมคี าเทาใด วธิ ที าํ จาก I = P 4πR 2 100 W I = 4 22 ×10 2 m 2 × 7 = 8 × 10-2 W/m2 คําตอบ ความเขมเสียงทรี่ ะยะหา ง 10 เมตรมีคา เทา กบั 8 × 10-2 วัตตตอตารางเมตร หูมนุษยสามารถตอบสนองความเขม เสยี งต่ําสุดที่ 10-12 วัตตต อ ตารางเมตร ซึ่งจะไดย ินเสียงคอ ย ทสี่ ดุ และความเขมเสียงมากท่ีสดุ ท่ีหมู นุษยสามารถทนฟงไดมคี าความเขมเทากับ 1 วัตตตอ ตารางเมตร ซง่ึ จะไดยินเสียงดงั ท่ีสดุ อาจเปนอันตรายตอ หูได สําหรบั นกั ศึกษาคณะสถาปตยกรรมศาสตร/เทคโนโลยีส่อื สารมวลชน
ฟส กิ สเบื้องตน 89 8.8.2 ระดบั ความเขมเสยี ง การบอกความดังของเสยี งนยิ มบอกในรูปของระดับความเขม เสียง ในหนวยเดซิเบล (dB) โดยเสียง คอยสุดท่ีหูมนุษยไดย นิ คือ 0 dB และเสียงดงั สดุ ทห่ี ูมนษุ ยสามารถทนฟงไดและอาจเปนอนั ตรายตอ หมู ีคา เทากับ 120 dB การวดั ระดับความเขม เสยี งจะใชเครื่องมอื ทช่ี อื่ วา Sound meter ซ่งึ เปนเครื่องมอื ท่ีสามารถอา น ระดบั ความเขมเสยี งเปนเดซิเบลดงั แสดงในรูปที่ 8.12 รปู ท่ี 8.12 ตวั อยา งเคร่อื งวัดระดบั ความเขม เสียง (Sound meter) ความสัมพนั ธร ะหวางความเขม เสยี งและระดับความเขม เสยี ง ความเขมเสียงและระดบั ความเขม เสียงมีความสัมพันธดังสมการ 8.8 L = 10 log⎝⎛⎜⎜ I ⎠⎟⎟⎞ (8.8) I0 เมื่อ I เปนความเขม เสียงท่ีตอ งการวัด มหี นวยเปน วัตตตอ ตารางเมตร I0 เปน ความเขมเสยี งทคี่ อ ยที่สุดทม่ี นุษยไดย ิน มหี นว ยเปนวตั ตตอ ตารางเมตร L เปนระดับความเขม เสยี ง มีหนวยเปน เดซิเบล ตวั อยางที่ 8.6 เสยี งมคี วามเขม 10-5 วตั ตต อตารางเมตร จะมีระดับความเขมเสียงเทาใด วิธีทาํ จาก L = 10 log⎜⎜⎝⎛ I ⎠⎞⎟⎟ I0 = 10 log ⎜⎜⎛⎝ 10 −5 ⎠⎞⎟⎟ 10 −12 = 10 log 107 = 70 dB คําตอบ ระดับความเขม เสยี งมีคา 70 เดซเิ บล สําหรับนักศึกษาคณะสถาปต ยกรรมศาสตร/เทคโนโลยสี อ่ื สารมวลชน
ฟส กิ สเบ้ืองตน 90 8.8.3 ระดบั เสยี ง การไดย ินเสยี งของมนุษยนอกจากข้ึนอยกู ับความเขมเสยี งแลวยงั ขึ้นกับความถขี่ องคล่ืนเสียงอีก ดว ย ความถเ่ี สียงตาํ่ สุดท่มี นษุ ยสามารถไดย ินคือ 20 เฮริ ตซ และความถี่สงู สุดท่ีสามารถไดยินคอื 20,000 เฮริ ตซ เสยี งท่ีมีความถตี่ าํ่ กวา 20 เฮิรตซ เราเรยี กวา คล่นื ใตเสยี งหรอื อินฟราซาวด ซึ่งเกดิ จากแหลงกําเนดิ เสยี งขนาดใหญ เชน การส่ันสะเทอื นของสิ่งกอ สราง สวนเสียงท่มี ีความถสี่ ูงกวา 20,000 เฮิรตซ เราเรยี กวา คลน่ื เหนือเสียงหรือ อัลตราซาวด นอกจากน้ีแหลง กําเนิดเสียงตา ง ๆ ก็ใหเสยี งท่มี ีชวงทมี่ ีความถีต่ างกัน ออกไป ดงั แสดงตอไปนี้ เสียงที่มีความถี่นอ ยคนทว่ั ไปเรียกวาเสียงทมุ สว นเสยี งท่ีมคี วามถีส่ งู คนทวั่ ไปเรยี กวา เสียงแหลม การแบงระดับจะใชความถีใ่ นการแบง การแบงเสยี งดนตรีทางวทิ ยาศาสตรแ สดงดงั ตารางที่ 8.2 ตารางท่ี 8.2 แสดงการแบงเสียงดนตรีทางวิทยาศาสตร ระดับเสยี งดนตรี C D E F G(ซอล) A B C/ (โด) (เร) (ม)ี (ฟา) (ลา) (ท)ี (โด) ความถ่(ี Hz) 256 288 320 341 384 427 480 512 สําหรบั นักศกึ ษาคณะสถาปต ยกรรมศาสตร/เทคโนโลยีส่อื สารมวลชน
ฟส ิกสเ บื้องตน 91 8.8.4 คุณภาพเสยี ง ความถี่เสยี งตาํ่ สดุ ทอี่ อกมาจากแหลงกาํ เนดิ เสียงใด ๆ เรียกวา ความถม่ี ลู ฐาน ของแหลงกาํ เนิด เสียงน้ันหรือฮารม อนกิ ที่ 1 สําหรับความถ่ีอ่นื ๆ ทอ่ี อกมาพรอมกันแตมีความถี่เปนจาํ นวนเทา ของความถ่ีมูล ฐาน เชน เปน 2 เทา ของความถ่มี ูลฐานเรียกวา ฮารม อนิกท่ี 2 บางทเี รียกวา โอเวอรโ ทนที่ 1 ในขณะที่ แหลงกาํ เนิดเสียงตาง ๆ สั่น จะใหเสยี งซ่ึงมีความถค่ี วามถี่มลู ฐานและฮารมอนกิ ตาง ๆ ออกมาพรอมกัน เสมอ แตจํานวนฮารม อนกิ และความเขมเสยี งของแตล ะฮารมอนิกสจ ะแตกตางกันออกไป จงึ ทาํ ใหลกั ษณะ คลื่นเสียงแตกตางกนั สําหรับแตละแหลงกําเนิดเสยี งที่ตางกัน เรียกวา มี คณุ ภาพเสียงตา งกัน 8.8.5 มลภาวะของเสียง บรเิ วณใดทีม่ ีระดบั ความเขมเสียงท่ที าํ ใหหแู ละสภาพจิตใจของผูฟงผดิ ปกติ ถือวาเสยี งในบริเวณนั้น เปน มลภาวะของเสียง กระทรวงมหาดไทยไดก าํ หนดมาตรฐานความเขมเสียงของสถานประกอบการเพ่ือ ไมใหเ กดิ อนั ตรายแกค นงานและผูที่อยูใ กลเคยี งดังตาราง เวลาในการทาํ งาน ระดับความเขมเสยี งท่ีลูกจางไดรับติดตอกัน (ช่วั โมงตอ วนั ) ไมเ กนิ (เดซเิ บล) นอ ยกวา 7 91 7-8 90 มากกวา 8 80 8.8.6 หกู บั การไดยิน หูแบง ออกเปน 3 สวน คือ หูสวนนอก หูสว นกลาง หูสว นใน ดังรปู รูปที่ 8.13 สว นประกอบของหู ภายในหสู วนกลางจะมที อเลก็ ๆ ติดกบั หลอดลม ซึง่ จะทําหนาที่ปรบั ความดันอากาศทง้ั สองดาน ของเยอ่ื แกวหใู หเทากันตลอดเวลา ถา ความดันทงั้ สองขางของเย่ือแกว หไู มเ ทา กันจะทําใหเ กิดอาการหูอื้อ หรือ ปวดหู หสู วนในมสี วนสาํ คญั ตอ การรับฟงเสียง สวนทเี่ ปนทอ กลวงขดเปนรูปคลา ยหอยโขงเรียกวา คลอ เคลยี ภายในทอน้ีมเี ซลขนอยเู ปน จาํ นวนมากทําหนา ทรี่ ับรกู ารส่ันของคลืน่ เสียงทีผ่ านมาจากหูสว นกลาง พรอมทงั้ สงสญั ญาณการรบั รูผานโสตประสาทไปยังสมอง สมองจะทําหนา ทแ่ี ปลงสัญญาณทีไ่ ดร ับ ทาํ ใหเ รา ทราบเกยี่ วกับเสยี งทไ่ี ดย นิ สาํ หรบั นักศึกษาคณะสถาปตยกรรมศาสตร/เทคโนโลยสี ือ่ สารมวลชน
ฟสิกสเ บอ้ื งตน 92 8.9 ปรากฏการณของเสียง 8.9.1 บตี ส บตี สเกิดจากการแทรกสอดของคลนื่ เสียงจากแหลงกาํ เนดิ สองแหลง ท่ีมีความถี่ตา งกันไมม าก เราจะ ไดยนิ เสยี งเปนเสียงที่ดงั คอยสลับกนั ไป โดยปกตหิ ูมนุษส ามารถจาํ แนกบตี สซ่ึงมคี วามถ่ีไมเกนิ 7 เฮิรตซ ถาแหลง กาํ เนิดเสยี งสองแหลงมีความถี่ตา งกันไมเ กนิ 7 เฮริ ตซเม่อื มาซอนทบั กนั จะทาํ ใหเกดิ บตี ส จาํ นวนครงั้ ของเสียงดังทไี่ ดยินในหนง่ึ วินาที เรียกวา ความถีบ่ ีตส ซึง่ หาไดจาก ความถี่บตี ส = Δf = |f1 – f2| เมอ่ื f1 และ f2 เปนความถ่ีของแหลงกําเนดิ เสียงท้งั สอง รปู ท่ี 8.14 การซอ นทบั ระหวางคลนื่ เสียงจากแหลง กําเนิดสองแหลงมผี ลทาํ ใหเกดิ บีตส 8.9.2 การกาํ ทอน เมื่อเราใหว ัตถุสั่นหรือแกวง อยางอิสระ วัตถจุ ะมีความถใ่ี นการสั่น เราเรียกวาความถนี่ ้วี า ความถ่ี ธรรมชาติ การสนั่ อยางอสิ ระในกรณีนีค้ ือ การทเี่ ราออกแรงเพียงครง้ั เดียวแลวปลอยใหวตั ถุเกิดการสน่ั แตถา เราออกแรงหลาย ๆ ครัง้ ความถ่ขี องแรงที่เราใหแกว ตั ถจุ ะมีผลตอการส่นั ของมนั ปรากฏการณท ีเ่ ราใหแรงแก วตั ถุ โดยความถ่ีของแรงทเ่ี ราใหเทา กับความถี่ธรรมชาตขิ องวตั ถุ เราเรียกปรากฏการณน ้วี า การส่ันพอ ง หรือ การกาํ ทอน (resonance) เมื่อเกดิ การกําทอนขน้ึ วัตถุจะมีการสั่นแบบรุนแรง กลาวคือ การสน่ั ของวัตถุ จะมแี อมพลิจูดมากทีส่ ดุ เม่ือเทียบกับการส่นั ดวยความถ่อี ืน่ ๆ ปรากฏการการกาํ ทอนของเสยี ง คือปรากฏการณท ่ีเสียงเคลอ่ื นที่ผานตวั กลางแลวอนุภาคของ ตัวกลางมกี ารสั่นดว ยความถี่เดียวกบั ความถ่ขี องแหลง กําเนดิ เสยี ง ถาเราใหคลื่นเสียงเคล่อื นที่ผานอากาศที่ อยใู นทอ กําทอนซงึ่ มีปริมาตรตางๆ กัน ณ ตําแหนงทเ่ี กดิ การกาํ ทอนเราจะไดยนิ เสียงดังท่ีสุด ในขณะที่เกิด การกําทอนของเสียงในทอ กําทอนจะมีการแทรกสอดระหวางคลื่นเสียงจากแหลง กําเนิดกบั เสียงท่ีสะทอ นจาก ทอกาํ ทอน ทําใหเกดิ คล่ืนนิ่งขน้ึ และระยะทางระหวา งตาํ แหนงถดั กนั ทไี่ ดยนิ เสียงดังสองครั้งจะเทากับ ครึง่ หนึ่งของความยาวคล่นื เสยี ง ดงั รูปที่ 8.15 สําหรับนักศึกษาคณะสถาปตยกรรมศาสตร/เทคโนโลยสี ่ือสารมวลชน
ฟส กิ สเ บื้องตน 93 (ก) (ข) รูปที่ 8.15 ระยะทอี่ นุภาคสั่นออกจากตาํ แหนงเดมิ กบั ตาํ แหนง บนทอ กาํ ทอน ขณะเกดิ การกําทอนของเสียง 8.9.3 ปรากฏการณด อปเพลอรข องเสยี ง ปรากฏการณด อปเพลอรเปน ปรากฏการณทีเ่ กิดขึ้นไดก ับคลืน่ ทุกชนดิ เชน คลน่ื กล คลน่ื แมเ หลก็ ไฟฟา เปน ตน ปรากฏดอปเพลอรเปน ปรากฏการณที่ความถี่ของคลนื่ ปรากฏตอผูสังเกตเปลย่ี นไป จากความถเ่ี ดมิ ซ่งึ เปน ผลมาจากแหลง กําเนิดคลน่ื เคลอ่ื นที่หรอื ผสู ังเกตเคล่อื นท่ี หรอื ท้ังแหลงกาํ เนดิ คลน่ื และผูสงั เกตเคล่ือนท่ี สําหรับคลืน่ เสียง ขณะแหลงกําเนดิ เสียงเคลอ่ื นที่ ความยาวคล่นื ที่อยูด า นหนา แหลง กําเนดิ เสยี งจะ สน้ั ลงและความยาวคล่ืนดา นหลงั แหลงกาํ เนดิ เสยี งจะยาวข้ึน เม่ือเทยี บกับความยาวคลนื่ เสียงขณะท่ี แหลงกาํ เนดิ เสียงอยกู ับที่ ดังนน้ั ถาผสู ังเกตอยดู า นหนาแหลง กําเนิดเสียง จะไดย ินเสียงที่มีความถ่ีสูงกวา ความถ่ีของแหลงกําเนิดเสียง ดังรูปที่ 8.16 (ก) ละถา ผูส ังเกตอยูดานหลังแหลง กําเนิดเสียง จะไดย นิ เสยี งที่มี ความถต่ี า่ํ กวา ความถี่ของแหลงกาํ เนดิ เสียง ดังรปู ท่ี 8.16 (ข) (ก) แหลงกําเนิดเสียงเคล่ือนที่เขา หาผูสังเกต (ข) แหลง กําเนิดเสียงเคล่ือนที่ออกจากผสู งั เกต รปู ท่ี 8.16 ปรากฏการณด อปเพลอรของเสียง ในทางกลับกัน ถา แหลงกาํ เนิดเสียงอยนู ่ิง แตผูสังเกตเคล่ือนท่ีเขาหาหรือออกหา งจากแหลงกําเนิด เสียง ผูสังเกตจะไดยนิ เสยี งที่มีความถี่เปลีย่ นไปความถขี่ องแหลงกําเนิดเสียงเชนกัน โดยผสู ังเกตจะไดย นิ เสยี งทีม่ คี วามถ่ีสงู ข้นึ เมือ่ เคลอ่ื นทเี่ ขาหาแหลง กําเนิดเสียง และผสู งั เกตจะไดยนิ เสียงมีความถีต่ า่ํ ลงเมอ่ื ผฟู ง เคลือ่ นท่ีออกหา งจากแหลงกําเนิดเสียง สําหรบั นักศกึ ษาคณะสถาปตยกรรมศาสตร/เทคโนโลยีสอ่ื สารมวลชน
ฟสิกสเ บอื้ งตน 94 8.9.4 คล่นื กระแทก คลืน่ กระแทกเกิดขน้ึ เมื่อแหลงกําเนดิ เสียงเคลือ่ นท่ีดว ยอัตราเร็วมากกวา อตั ราเร็วของคลืน่ เสียง หนา คลืน่ จะอดั ตวั กันในลกั ษณะทีเ่ ปนหนาคลื่นวงกลมเรยี งซอนกันไป โดยแนวหนา คลื่นที่อัดตัวกนั มีลกั ษณะ เปนรปู ตวั V ดังรปู ที่ 8.17 รปู ที่ 8.7 ลกั ษณะหนา คล่ืนกระแทก ในกรณที เี่ ครือ่ งบนิ เคลื่อนท่ดี ว ยอตั ราเรว็ มากกวาอตั ราเร็วของเสียง เปน ผลทําใหเ กดิ เสียงดงั คลาย เสยี งระเบิด ในบริเวณที่คลื่นกระแทกนเี้ คล่อื นท่ีผา นอาจทําใหกระจกหนาตางแตกราวได เสยี งทเี่ กดิ ขนึ้ เรียกวา ซอนิกบมู ภาพเคร่อื งบินไอพน F-18 บินผานทะลุกาํ แพงเสยี ง หรือบินเรว็ เหนือเสียง จะเหน็ คล่ืนกระแทก เกดิ ขนึ้ เปนแนวกรวยอยทู างดา นหลัง สาํ หรบั นกั ศึกษาคณะสถาปตยกรรมศาสตร/เทคโนโลยีสอื่ สารมวลชน
ฟสกิ สเบ้ืองตน 95 แบบฝก หดั บทท่ี 8 1. คลืน่ กลเกดิ ขึ้นไดอยา งไร 2. คลน่ื ตามยาวและคลน่ื ตามขวางแตกตางกันอยางไร 3. คลืน่ ตามรูปขา งลาง กราฟเสนเตม็ และเสนประเปนรปู รางของคล่ืนที่เวลา t = 0 และ t = 0.2 วินาที ตามลาํ ดบั ถามวา คล่ืนน้ี ก. มีความยาวคล่ืนเทาใด ข. มีความเร็วเทาใด ค. มีความถเี่ ทา ใด ง. มคี าบเทาใด 4. คลื่นนํา้ เคลอ่ื นท่ีเขากระทบฝงนบั ได 15 ลูกคลืน่ ทกุ ๆ 10 วนิ าที ถา ระยะระหวางสนั คล่ืนท่ีตดิ กันเทากับ 3 เมตร คล่ืนนํา้ นี้จะมคี วามเร็วเทา ใด 5. คล่นื ในตัวกลางหนึ่ง ถา เพมิ่ ความถ่ีเปน 2 เทา ความยาวคลน่ื จะเปน เทาใด 6. คล่ืนขบวนหน่งึ มีระยะจากสันที่ 1 ถงึ สนั ที่ 5 ยาว 10 เซนตเิ มตร และมคี วามถ่ี 50 เฮริ ตซ จงหาอัตราเร็ว ของคลืน่ 7. คลืน่ เคล่อื นท่จี ากตัวกลางหนง่ึ ไปยังอีกตัวกลางหนงึ่ โดยมีมุมตกกระทบ 30 องศา จะเกิดมุมหกั เห 45 องศา ถา คลืน่ นี้มมี มุ ตกกระทบ 45 องศา จะเกิดมุมหักเหเทา ใด 8. บอลลูนเคลื่อนทขี่ น้ึ ดว ยความเร็วสมํ่าเสมอ 20 เมตรตอ วินาที ขณะท่อี ยูสูงจากพนื้ ดนิ ระยะหนงึ่ ไดส ง คลื่น เสียงความถี่ 1000 เฮิรตซ ลงมา และไดรับสัญญาณเสียงที่สะทอ นกลับเม่ือเวลา 4 วนิ าที จงหาวา ขณะทส่ี ง คลื่นเสียง บอลลูนอยูสงู จากพื้นเดิมเปน ระยะเทาไร ถาความเร็วเสยี งเทากบั 350 วินาที 9. โรงงานผลติ ผลไมกระปองแหง หน่งึ ตอ งการคดั ขนาดของผลไมใ นขณะกําลังไหลผา นมาตามรางน้าํ โดย อาศัยการสะทอนของเสยี งจากเครือ่ งโซนาร โดยตองการแยกผลไมที่มขี นาดใหญกวาและเล็กกวา 7.5 เซนตเิ มตร ออกจากกนั จงหาความถ่ที ีเ่ หมาะสมของคลื่นจากโซนาร (ความเรว็ ของคล่ืนเสียงในนํา้ = 1500 เมตรตอวนิ าท)ี 10. ผขู บั รถยนตค นั หนง่ึ กําลังเปด รายการวิทยฟุ งรายการจากสถานหี นง่ึ อยู ในขณะทร่ี ถกําลงั ว่งิ เขาหาตกึ ใหญข า งหนาดวยความเร็ว 1 เมตรตอวินาที สญั ญาณวิทยุเงยี บหายไป 2 ครง้ั ใน 3 วนิ าที ถา สถานวี ิทยุอยูใ น ทิศทตี่ รงไปขางหลังรถ คลืน่ วิทยนุ ัน้ จะมคี วามยาวคลื่นเทา ไร สาํ หรบั นกั ศึกษาคณะสถาปตยกรรมศาสตร/เทคโนโลยีส่ือสารมวลชน
ฟสิกสเบื้องตน 96 11. ในการปรบั เทยี บเสียเปยโนท่รี ะดับเสยี ง C โดยเทียบกับสอ มเสยี งความถ่ี 256 เฮิรตซ ถาไดยินเสยี งบีตส ความถ่ี 3 คร้ังตอ วนิ าที ความถ่ีทเี่ ปนไปไดข องเปยโนมคี าเทา ใด 12. แมลงตวั หนึ่งบนิ หนใี นแนวเสนตรงดว ยความเรว็ 0.1 เมตรตอวนิ าที จากคนๆหน่งึ ซง่ึ ยืนนิ่งในท่โี ลง อยาก ทราบวา คนนน้ั จะไดยินเสยี งการบินของแมลงนั้นอยไู ดน านกวี่ ินาที กําหนดให อัตราพลงั งานเสียงท่แี มลงนน้ั สง ออกมาในขณะทีบ่ นิ มีคาเทากับ 4π × 10−12 วตั ต ท้งั นก้ี าํ หนดใหด วยวา สียงเบาที่สดุ ทม่ี นุษยไ ดย ินมี ความเขมเสียงเปน 10−12 วัตต 13. ใหนกั ศึกษาทําการทดลองเสมอื จรงิ เร่ืองการเกดิ บตี สที่ http://www.rmutphysics.com/charud/virtualexperiment/explorescience/beats/tonebeats1.htm การทดลองน้ี เรม่ิ ตนใหกดลําโพง ที่ 400 Hz ใหอ ยูใ นสภาวะ on ฟงเสียงความถ่ี ตอไปใหกดลาํ โพง ท่ี 401 Hz ใหอยูในสภาวะ on ทดลองนับความถี่ โดยใชน าฬิกาจบั เวลาใน 20 วินาที วา เกดิ เสียงดัง เปนจังหวะกีค่ ร้ัง นาํ คาท่ไี ดหารดว ย 20 บนั ทึกไวในชองความถบ่ี ีตส 14. ใหนักศึกษาทาํ การทดลองเสมือนจริงเร่ือปรากฏการณดอปเปลอร ที่ http://www.rmutphysics.com/charud/virtualexperiment/virtual1/doppler/19537/java/Dopplerthai.html ใหนักศึกษาตอบคาํ ถามทายการทดลองสงอาจารย สําหรับนกั ศึกษาคณะสถาปตยกรรมศาสตร/เทคโนโลยีส่ือสารมวลชน
ฟส ิกส 1(ภาคกลศาสตร( หนังสอื อิเลก็ ทรอนิกส ฟส กิ ส 1 (ความรอ น) ฟสกิ ส 2 กลศาสตรเ วกเตอร โลหะวทิ ยาฟสิกส การทดลองเสมอื น ฟสิกส 2 (บรรยาย( แบบฝกหัดกลาง เอกสารคําสอนฟส ิกส 1 ฟสกิ สพศิ วง ความรูรอบตวั แกป ญ หาฟสิกสดวยภาษา c ทดสอบออนไลน สอนฟส ิกสผานทางอินเตอรเน็ต หนา แรกในอดีต เอกสารการสอน PDF วีดโี อการเรยี นการสอน แบบฝก หดั ออนไลน แผนใสการเรยี นการสอน กจิ กรรมการทดลองทางวิทยาศาสตร บทความพิเศษ พจนานุกรมฟสกิ ส สุดยอดสิง่ ประดษิ ฐ ธรรมชาตมิ หศั จรรย ตารางธาตุ)ไทย1) 2 (Eng) การทดลองมหัศจรรย ลับสมองกับปญ หาฟส ิกส สูตรพืน้ ฐานฟสิกส แบบฝกหัดโลหะวิทยา ดาราศาสตรร าชมงคล ความรรู อบตัวท่ัวไป แบบทดสอบ อะไรเอย ? ทดสอบ)เกมเศรษฐี( คดปี รศิ นา ขอสอบเอนทรานซ เฉลยกลศาสตรเวกเตอร คาํ ศัพทประจําสัปดาห ผไู ดร ับโนเบลสาขาฟส ิกส การประดิษฐแของโลก นักวทิ ยาศาสตรไทย นักวิทยาศาสตรเทศ ดาราศาสตรพ ิศวง การทาํ งานของอปุ กรณทางฟสกิ ส การทาํ งานของอุปกรณตา งๆ
การเรยี นการสอนฟสกิ ส 1 ผา นทางอินเตอรเน็ต 1. การวัด 2. เวกเตอร 3. การเคลอ่ื นทแ่ี บบหนง่ึ มิติ 4. การเคล่ือนที่บนระนาบ 5. กฎการเคลือ่ นทีข่ องนวิ ตัน 6. การประยกุ ตกฎการเคลือ่ นท่ีของนวิ ตนั 7. งานและพลังงาน 8. การดลและโมเมนตมั 9. การหมุน 10. สมดุลของวัตถุแข็งเกรง็ 11. การเคลื่อนที่แบบคาบ 12. ความยืดหยนุ 13. กลศาสตรข องไหล 14. ปรมิ าณความรอ น และ กลไกการถา ยโอนความรอน 15. กฎขอทหี่ นงึ่ และสองของเทอรโ มไดนามิก 16. คณุ สมบัติเชิงโมเลกุลของสสาร 17. คล่ืน 18.การส่นั และคล่ืนเสยี ง การเรยี นการสอนฟสกิ ส 2 ผา นทางอินเตอรเน็ต 1. ไฟฟาสถติ 2. สนามไฟฟา 3. ความกวา งของสายฟา 4. ตัวเกบ็ ประจแุ ละการตอ ตัวตานทาน 5. ศกั ยไฟฟา 6. กระแสไฟฟา 7. สนามแมเ หลก็ 8.การเหนี่ยวนาํ 9. ไฟฟากระแสสลบั 10. ทรานซิสเตอร 11. สนามแมเ หลก็ ไฟฟา และเสาอากาศ 12. แสงและการมองเหน็ 13. ทฤษฎสี มั พัทธภาพ 14. กลศาสตรค วอนตัม 15. โครงสรา งของอะตอม 16. นิวเคลยี ร การเรยี นการสอนฟสกิ สท่วั ไป ผานทางอนิ เตอรเน็ต 1. จลศาสตร )kinematic) 2. จลพลศาสตร (kinetics) 3. งานและโมเมนตัม 4. ซิมเปลฮารโมนิก คลื่น และเสียง 5. ของไหลกับความรอ น 7. แมเ หล็กไฟฟา 6.ไฟฟาสถติ กับกระแสไฟฟา 9. ทฤษฎสี มั พทั ธภาพ อะตอม และนวิ เคลยี ร 8. คลื่นแมเ หลก็ ไฟฟา กบั แสง ฟส กิ สร าชมงคล
Search
Read the Text Version
- 1 - 22
Pages: