สอื่ การเรียนการสอน เร่อื ง เคร่ืองดนตรีไทย รายวิชา ศิลปศกึ ษา กลุ่มสาระการเรยี นรูศ้ ลิ ปะ (ดนตร)ี จดั ทาโดย นายวชิรวทิ ย์ หันจางสิทธิ์ ตาแหน่ง พนกั งานราชการ โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 ตาบลชา่ งเค่ิง อาเภอแม่แจ่ม จังหวดั เชียงใหม่ สานักบรหิ ารงานการศึกษาพิเศษสานกั งานการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
เครื่องดนตรีไทย เครือ่ งดนตรีไทย คือ เครื่องดนตรี ทสี่ รา้ งสรรคข์ ้นึ ตามศลิ ปวัฒนธรรมดนตรีของไทย ท่มี ีรปู แบบเอกลกั ษณ์ของความเป็นไทย ซึ่งสมั พันธก์ บั ชีวิตความเป็นอยู่และถอื วา่ เป็นส่วนหน่งึ ของชวี ติ ของคนไทย โดยนยิ มแบ่งตามอากปั กิรยิ า ของการบรรเลง คือเคร่ืองดีด เครื่องสี เคร่อื งตี เคร่ืองเป่า
เครื่องเปา่
โหวต เป็นเครอ่ื งดนตรีไทยภาคอสี านประเภทเคร่ืองเปา่ มีรูปร่างเป็นทรงกระบอก ทาจากไมก้ ู่แคนซง่ึ เปน็ ไม้ซางชนิดเดียวกับท่ีใช้ทาแคน มลี กั ษณะคล้ายกับเครื่องดนตรีกรีกโบราณ ท่ีเรยี กว่า \"Pan Pipe\" โหวดเปน็ เครื่องดนตรปี ระจาจงั หวดั รอ้ ยเอ็ดผู้คดิ คน้ พฒั นาให้โหวดมีลักษณะแบบทเี่ ห็นในปัจจุบันคอื นายทรงศกั ดิ์ ประทุมสนิ ธ์ุ อาจารย์ประจามหาวิทยาลยั มหาสารคาม
ขลยุ่ เพยี งออ เปน็ เครือ่ งดนตรไี ทย ประเภทเครื่องเปา่ ชนดิ ไมม่ ีลิ้น ทาจากไม้รวกปลอ้ งยาวๆ ด้านหนา้ เจาะรูเรยี งกนั สาหรับปิดเปิดเพ่อื เปลี่ยนเสยี ง ตรงท่ีเป่าไม่มลี ิ้นแตม่ ดี าก ซึ่งทาดว้ ยไม้อุดเหลาเป็นทอ่ นกลมๆยาวประมาณ ๒ น้วิ สอดลงไปอดุ ทป่ี ากของขลุ่ย แลว้ บากดา้ นหน่ึงของดากเป็นชอ่ งสีเ่ หลีย่ มเลก็ ๆ เราเรยี กวา่ ปากนกแก้ว เพื่อใหล้ มส่วนหน่งึ ผ่านเข้าออกทาให้เกดิ เสียงขลุ่ยลมอีกส่วนจะวงิ่ เขา้ ไปปลายขล่ยุ ประกอบกับนิ้วทปี่ ิดเปดิ บงั คับเสยี งเกดิ เป็นเสียงสูงต่าตามต้องการใตปากนกแกว้ ลงมาเจาะ ๑ รู เรยี กว่า รนู ้ิวคา้ เวลาเปา่ ตอ้ งใชห้ ัวแมม่ ือค้าปิดเปดิ ทรี่ ูนี้ บางเลาดา้ นขวาเจาะเป็นรูเย่อื ปลายเลาขลุ่ยมีรู ๔ รู เจาะตรงกันขา้ มแตเ่ หลื่อมกนั เลก็ นอ้ ย ใช้สาหรับร้อยเชือกแขวนเกบ็ หรือคล้องมอื จงึ เรียกวา่ รรู อ้ ยเชือก รวมขลยุ่ เลาหนง่ึ มี ๑๔ รูด้วยกนัรปู รา่ งของขลุย่ เมือพจิ ารณาแล้วจะเป็นเครื่องดนตรีท่ีเก่าแก่ท่ีสดุ ชนดิ หนงึ่ จากหลักฐานทพ่ี บขลุ่ยในหีบศพภรรยาเจา้ เมืองไทยท่ีริมฝงั่ แมน่ ้าฮวงเหอ ซึ่งมีหลกั ฐานจารึกศกั ราชไว้ไม่ตา่ กว่า ๒,๐๐๐ ปีปจั จบุ ันขลุ่ยมรี าคาสงู เนือ่ งจากไมร้ วกชนดิ ท่ีทาขลยุ่ มนี ้อยลงและใช้เวลาทามากจงึ ใช้วัตถุอื่นมาเจาะรูซึง่ รวดเร็วกวา่ เช่น ไม้เน้อื แข็ง ไมไ้ ผ่ ไมช้ งิ ชนั ไม้พยงุ บางครัง้ อาจทาจากท่อพลาสติกแต่คุณภาพเสยี งไม่ดเี ทา่ ขลุ่ยไม้ ขล่ยุ ทมี่ เี สียงไพเราะมากส่วนใหญ่จะเปน็ ขลยุ่ ผิวไมแ้ ห้งสนทิ ขลุ่ยใชเ้ ป่าในวงเครือ่ งสายไทย วงมโหรี และในวงปี่พาทย์ไมน้ วม วงปพ่ี าทยด์ ึกดาบรรพ์ การเทียบเสยี งขลุ่ยเพียงออกับระดบั เสยี งดนตรีสากล เสียงโดของขลุย่ เพียงออ เทียบไดเ้ ทา่ กับ เสียงทีแฟลต็ ในระดบั เสยี งทางสากล ปจั จุบนั ไดม้ กี ารทาขลยุ่ เพยี งออท่ีมีระดับเสียงเท่ากับระดับเสยี งสากล เรียกว่าขลุย่ เพียงออ ออรแ์ กนบ้าง หรอื ขลุ่ยกรวดบ้าง แตใ่ นทางดนตรสี ากลจะเรยี กเปน็ ขลุ่ยไทยหมด จะเอาระดับเสยี งมาเป็นตัวแยกขนาดเชน่ ขลยุ่ คยี ์ C, ขลุย่ คีย์ D, ขลยุ่ คยี B์ b, ขลุย่ คีย์ Gเป็นตน้
ขลุ่ยอู้ เปน็ ขลุ่ยทมี่ ีขนาดใหญ่ทีส่ ุดในบรรดาขลุ่ยทัง้ หลาย และเป็นขลยุ่ ที่มเี สียงต่าท่สี ดุ คอืต่ากวา่ เสียงโดตา่ ของขลยุ่ เพียงออ 2-3 เสยี ง ขลุย่ อู้ทามาจากไม้รวกปลอ้ งใหญ่ยาวประมาณ 60เซนติเมตร กวา้ ง 4 เซนติเมตร
ขลยุ่ หลบิ จัดเป็นขลุ่ยที่มีขนาดเลก็ ทสี่ ดุ บรรดาขลุ่ยไทยทั้งหมด มีความยาวประมาณ 25เซนติเมตร มเี สียงสงู ขลุ่ยหลบิ จะมเี สยี งสูงกว่าขลุ่ยเพยี งออออกเปน็ ค่สู ี่ คอื ถ้าปดิ รทู ัง้ หมดจะเปน็เสยี ง \"ฟา\" ในขณะทีข่ ลยุ่ เพียงออจะเปน็ เสียง \"โด\" ใช้ในการบรรเลงในวงมโหรีเคร่อื งคู่ เครือ่ งใหญ่และวงเครื่องสายเคร่ืองคู่ โดยเป็นเคร่ืองนาในวงเช่นเดียวกบั ระนาด หรือซอดว้ ง นอกจากนย้ี งั ใช้บรรเลงในวงเครอื่ งสายปีช่ วา โดยบรรเลงเป็นพวกหลงั เชน่ เดยี วกบั ซออู้
ป่ีนอก เปน็ ปที่ ีม่ ีเสียงสูงสดุ ในบรรดาเครื่องเป่าตระกลู ปีใ่ น ลกั ษณะมขี นาดเลก็ และเสยี งแหลม มีความยาวประมาณ 31 เซนตเิ มตร มึความกวา้ งประมาณ 3.5 เซนตเิ มตร มลี ักษณะบานหัวบานท้ายเช่นเดยี วกับป่ีใน บริเวณเลาปี่ที่ปอ่ งเจาะรู 6 รู ปี่นอกใช้เล่นในวงป่พี าทย์ไม้แขง็ และวงปพ่ี าทยช์ าตรี
ปใ่ี น เป็นปี่ที่มีขนาดใหญแ่ ละมเี สยี งตา่ ในบรรดาเคร่ืองเป่าทีม่ ีลนิ้ ตระกูลปใ่ี น ลักษณะเปน็ปีท่ ่อนเดียว ลาป่ที ี่ทาหน้าที่เป็นตวั ขยายเสยี งเรยี กว่า\"เลา\" เปน็ เครื่องเป่าท่ีมลี ิน้ ผสมอยู่ในวงป่ีพาทยม์ าแต่โบราณ ที่เรียกวา่ \" ปี่ใน \" ก็เพราะว่า ปี่ชนดิ น้ี เทียบเสียงตรงกบั ระดบั เสียงทีเ่ รียกว่า \"เสียงใน \" ซึง่ เป็นระดับเสยี งที่วงปีพ่ าทย์ไมแ้ ขง็ บรรเลงเปน็ พ้นื ฐาน ปี่ในใชบ้ รรเลงใน[[วงป่ีพาทยเ์ ครีอ่ งหา้ วงป่ีพาทย์เคร่ืองคู่ วงปพ่ี าทยเ์ ครื่องใหญ่ และไดใ้ ช้ประกอบการแสดงละครใน เลาป่ีทามาจากไม้ เช่น ไมพ้ ยงุ ไมช้ งิ ชนั มีความยาวประมาณ 52 เซนติเมตร ความกวา้ งประมาณ 4เซนตเิ มตร มีลักษณะหัวบานท้ายและป่องตรงกลาง เจาะรกู ลางตลอดเลา ดา้ นบนมรี ูเล็กใชเ้ สียบลิ้นป่ี ด้านล่างรูจะใหญ่ บริเวณเลาปท่ี ป่ี ่องตรงกลางจะเจาะรู 6 รู ลนิ้ ป่ีทาจากใบตาลนามาตดั ซอ้ นกัน 4 ชั้น ตดั ผูกกบั ท่อทองเหลอื งเล็กๆ เรียกว่า\"กาพวด\" ตัวเลาทาดว้ ยไมช้ ิงชัน หรือไม้พยุง กลงึ ใหป้ ่องกลาง และบานปลายทั้งสองขา้ ง ตวั เลาป่ีนอกจากจะทาดว้ ยไม้ แลว้ ยังพบปซี่ ่งึทาดว้ ยหิน เป็นของเก่าแตโ่ บราณภายในเจาะ เป็นรูกลวงตลอดหวั ท้ายมีรูสาหรบั เปิดปิดนว้ิ 6 รูโดยให้ 4 รูบนเรียงลาดับเท่ากันเวน้ ห่างพอควร อีก 2 รูอย่รู ะหว่างช่องตอนกลางของแต่ละรูตอนท้ายของเลาปี่จะมวี สั ดกุ ลมแบน ทาดว้ ยยาง หรือไม้มาเสรมิ โดยเฉพาะตอนบน สาหรับสอดใส่ลนิ้ ปี่ เรยี กว่า \" ทวนบน \" สว่ นตอนล่างจะใช้ตะกวั่ มาต่อสาหรบั ลดเลือ่ นเสียงเรียกวา่ \" ทวนล่าง \"ลนิ้ ปปี่ ระกอบดว้ ย กาพวด ทาด้วยโลหะ ลกั ษณะกลมเล็ก เรยี ว ภายในโปรง่ ข้างหนง่ึ เล็ก ขา้ งหน่ึงใหญ่ ใบตาล ใชใ้ บตาลแก่และแกร่งตดั ซอ้ น เป็น 4 ชัน้ หรือ 4 กรบี ผกู รัดดว้ ยเชอื กในลักษณะเงอื่ น\" ตะกรดุ เบ็ด \" ให้ติดกบั กาพวดทางด้านเล็กส่วน ทางด้านใหญ่จะถกั หรอื เคียนดว้ ยเส้นเลก็ ๆมขี นาดพอดกี ับรปู ี่ด้านบน (รูเปา่ ) เพอื่ สอดใส่ลนิ้ ปี่ให้แนน่
ปีช่ วา เป็นเคร่ืองเป่าชนิดหนึ่งท่มี ลี ้ิน เขา้ ใจว่าเมืองไทยรบั มาในคราวเดยี วกบั กลองแขกส่วนประกอบของปช่ี วามีดังน้ีตัวเลา ทาด้วยไม้จริงจริง แบ่งเปน็ 2ท่อน ทอ่ นแรกเรียกวา่ \"เลาปี\"่ กลงึ ใหก้ ลมเรียวยาว ภายในโปร่งตลอด ตอนโคนกลึงใหใ้ หญ่เล็กนอ้ ย มีลกู แกว้ คน่ั ท่อนบนของลาปี่ ใต้ลูกแก้วเจาะรู 7รูเรียงตามลาดับ สาหรบั ปดิ เปิด และมี\"รูนิว้ คา้ \" อยู่ด้านหลังใกลก้ บั ลกู แกว้ อีกท่อนหน่งึ เรียกว่า\"ลาโพงป่ี\"ทาดว้ ยไม้จรงิ กลึงให้กลมเรียว ปลายบานเหมือนดอกลาโพง ภายในโปรง่ ตอนกลางกลึงเปน็ลกู แก้วคัน่ ตอนบนจะหมุ้ ด้วยแผ่นโลหะบางๆ โดยรอบ สวมรับกับตัวลาปไี่ ด้พอดี ลน้ิ ปี่ ทาดว้ ยใบตาลแก่ ตดั พับซอ้ นกันเป็น 4กลีบ สอดใส่ที่ปลาย\"กาพวด\" ซึง่ ทาด้วยโลหะกลมเล็กยาว ภายในโปร่ง ผูกด้วยเชือกเส้นเล็กๆดว้ ยเง่ือนตะกรุดเบ็ด เคยี นด้วยด้ายที่โคนกาพวด เพื่อสอดใสใ่ หแ้ น่นในรปู ี่ เฉพาะล้ินปช่ี วาจะมี\"กะบงั ลม\"ซ่ึงทาดว้ ยไมห้ รอื กะลา บางกลม สาหรับรองรับริมฝปี ากขณะเป่า สาหรับตวั เลาปีช่ วา นอกจากจะทาด้วยไมแ้ ลว้ ยงั สามารถทาใหส้ วยงามด้วยงาท้ังเลา หรือทาดว้ ยไม้ประดบั งา ป่ีชวาใช้ในการบรรเลงในวงบัวลอย วงป่ีพาทย์นางหงส์ และวงเครื่องสายปชี่ วานอกจากน้ีปชี่ วายงั ใช้ในการเป่าประกอบการรากระบก่ี ระบองและการชกมวยอีกด้วย
ปม่ี อญ เปน็ เครือ่ งเป่าในตระกูลปี่ ไทยไดแ้ บบอยา่ งมาจากมอญ ป่ีชนิดนี้แบ่งเป็น 2 ทอ่ นท่อนแรกเรียกว่า\"ตวั เลา\" ทาด้วยไม้จริง กลึงใหก้ ลมเรียวยาว ภายในโปรง่ ตลอด ตอนปลายกลงึ ผายออกเลก็ น้อย ถดั ลงมากลึงเปน็ ลกู แกว้ คน่ั สาหรับผูกเชอื กโยงกบั ตวั ลาโพง ที่ตัวเลาดา้ นหน้าเจาะรู 7 รู เรียงตามลาดบั เพอื่ เปดิ ปดิ นวิ้ บงั คบั เสียง ด้านหลังตอนบนเจาะอกี 1 รเู ป็น\"รูนว้ิ คา\" อที อ่ นหนง่ึ เรียกว่าลาโพง ทาด้วยทองเหลืองหรอื สแตนเลส ลักษณะคลา้ ยดอกลาโพง แตใ่ หญ่กว่า ปลายผายบานงุม้ ข้นึ ตอนกลางและตอนปลายตีเปน็ ลูกแกว้ ตัวเลาป่ีจะสอดใส่เขา้ ไปในลาโพง โดยมีเชือกเคยี นเป็นทักษณิ าวฏั ในเงื่อน\"สบั ปลาชอ่ น\" ยึดระหวา่ งลกู แกว้ ลาโพงปีก่ ับลกู แกว้ ตอนบนของตวั เลาป่ี เพ่อื ไม่ให้หลุดออกจากกันงา่ ยๆเนอ่ื งจากวา่ ปม่ี อญมีขนาดใหญ่และยาวกวา่ ปอ่ี ืน่ ๆ ทาใหก้ าพวดของป่ีจึงต้องยาวไปตามส่วนโดยมีความยาวประมาณ 8-9 ซม. และเข่ืองกวา่ กาพวดของปี่ชวา และมีแผน่ กะบงั ลมเชน่ เดียวกับปีช่ วาและปไ่ี ฉนปี่มอญใช้เล่นในวงปี่พาทย์มอญและเล่นประกอบเพลงออกภาษาในภาษามอญ
ป่ีไฉน เปน็ ปส่ี องท่อน ถอดออกจากกันได้ ท่อนบนเรยี งยาว ปลายผายออกเล็กนอ้ ยเรียกว่า\"เลาป่ี\" ท่อนลา่ งปลายบานเรียกว่า \"ลาโพง\" ทาด้วยไมห้ รืองา ป่ีชนดิ น้เี ข้าใจว่าไดแ้ บบอยา่ งมาจากเครื่องดนตรีของอินเดีย ซ่ึงเป็นเคร่ืองเป่าท่ีทาด้วยไม้ ไทยใช้ปี่ชนดิ นี้มาตั้งแตส่ มยั สโุ ขทัย ปัจจุบันใช้ในขบวนแห่ คกู่ บั ปชี่ วา โดยจ่าปใี ชเ้ ป่านากลองชนะในกระบวนพยุหยาตรา
แคน เป็นเคร่อื งเปา่ พนื้ เมืองของชาวอีสานเหนือท่ีใช้ไม้ซางขนาดต่าง ๆ ประกอบกนั เข้าเป็นตัวแคน แคนเป็นสญั ลักษณ์ของภาคอีสาน เป็นเครอ่ื งเป่ามีล้นิ โลหะ เสียงเกดิ จากลมผา่ นลนิ้โลหะไปตามลาไมท้ ่ีเป็นลกู แคน การเป่าแคนต้องใชท้ ง้ั เป่าลมเข้าและดดู ลมออกด้วย จึงเป่ายากพอสมควร แคนมหี ลายขนาด บางขนาดมีเสยี งประสานอยู่ดว้ ยใครเป็นผูค้ ดิ ประดษิ ฐเ์ ครือ่ งดนตรที ี่เรยี กว่า \"แคน\" เป็น คนแรก และทาไมจงึ เรยี กว่า \"แคน\" นัน้ ยงัไมม่ หี ลักฐานทีแ่ น่นอนยนื ยนั ได้
ปี่จมุ เปน็ เครื่องดนตรีประเภทเครือ่ งเป่าของภาคเหนอื (ลา้ นนา) คาวา่ \"จุม\" เปน็ ภาษาล้านนาหมายถึงการชุมนุม หรอื การประชุมกนั ดงั นั้น ป่จี ุม จงึ หมายถงึ การนาปีห่ ลายๆเล่มนามาเปา่ รวมกัน ปจ่ี มุ ทาดว้ ยไมร้ วก ลาเดยี ว นามาตัดใหม้ ีขนาดส้นั ยาว เรียงจากขนาดเล็ก(ปลายไม)้ไปหาใหญ(่ โคนของลาไม้)มตี า่ ง ๆ กนั ตามระดับเสียง เรยี งจากขนาดเล็ก ซ่ึงมีระดบั สงู ไปหาขนาดใหญท่ ม่ี เี สียงต่า ดังน้ี- ปีก่ อ้ ยเลก็- ป่ีเล็ก หรือ ปีต่ ดั- ปก่ี อ้ ย- ปก่ี ลาง- ปแี่ ม่ปี่จมุ นิยมใชบ้ รรเลงประกอบการขับซอพ้ืนเมืองของลา้ นนา นยิ มกนั มากในจังหวดั เชียงใหม่เชียงราย ลาพนู ลาปาง โดยเพลงหรือทานองซอที่ใช้ปจี่ มุ บรรเลง ได้แก่ ทานองตง้ั เชยี งใหม่ จอ้ ยเชียงแสน จะปุ ละม้าย เงี้ยว พมา่ อือ่ ลอ่ งน่านกา๋ ย พระลอเดินดงประเภทของปจ่ี ุมป่จี มุ 3 ประกอบด้วย ปี่ตัด ปกี่ อ้ ย ปกี่ ลางปจี่ มุ 4 ประกอบดว้ ย ปต่ี ัด ปกี่ อ้ ย ปก่ี ลาง ป่ีแม่ปี่จมุ 5 ประกอบดว้ ย ปก่ี ้อยเล็ก ปีต่ ดั ปกี่ อ้ ย ปีก่ ลาง ปแ่ี ม่
ป่อี ้อ เปน็ ป่ีโบราณของไทยอย่างหน่ึง ตัวปี่ (เลา) ทาดว้ ยไม้รวกปล้องเดียว ไมม่ ขี ้อยาวประมาณ 24 เซนตเิ มตรเขยี นลวดลายด้วย การลนไฟใหไ้ หม้เกรยี มเฉพาะท่ตี ้องการหวั ท้ายเล่ียมดว้ ยทองเหลืองหรอื เงินเพ่ือป้องกันมิให้แตก เจาะรูสาหรบั เปิดปิด นวิ้ เรยี งตาม ลาดับด้านหน้า 7 รูและมนี ว้ี ค้าดา้ นหลงั 1 รูเชน่ เดยี วกับขลุ่ย ลน้ิ ทาดว้ ยไมอ้ ้อลาเล็กๆ เหลาให้บางยาว 5 เซนตเิ มตร ไวท้ างหน่ึงให้ กลมพนั ดว้ ยด้ายเพ่อื ให้กระชบั พอที่จะเสียบเข้าไปในเลาปี่ 1 เซนติเมตรพอดีกบั รขู องตัวป่ี อกี ทางหนึ่งผา่ เจียนเปน้ 23 ซีก ปลายมน ตดั ให้แบนเขา้ แนบประกบกวา้ งราว 2 เวนตเิ มตรนยั วา่ เปน็ เครื่องดนตรที ี่ร่วมอยู่ในวงเครอ่ื งสายมากอ่ น ต่อมาได้ใช้ขลยุ่ เพยี งออและขลุย่ หลุ่ยหลบิ เข้าผสมแทน ปี่ออ้ จึงหายไป
ปี่แน เปน็ ป่ีประเภทลน้ิ คู่ทาดว้ ยใบตาล ซ่ึงผา่ นกรรมวิธี มีรูบงั คับเสียง เช่นเดียวกบั ปใ่ี นนิยมบรรเลงในวงกลองตึ่งนง วงพาทย์เมือง เปน็ ต้น มี 2 ขนาด ไดแ้ ก่ขนาดเลก็ น้นั เรยี กว่าแนเล็ก โดยมรี ปู รา่ งคล้ายปช่ี วาแตม่ ีขนาดใหญ่กวา่ขนาดใหญเ่ รียกว่าแนหลวง มีรูปร่างคล้ายปีม่ อญ
เครื่องตี
ระนาดเอก เป็นเครอ่ื งตชี นดิ หนึ่ง ทวี่ ิวฒั นาการมาจากกรับ แต่เดิมคงใชก้ รับสองอันตีเป็นจังหวะ ต่อมากเ็ กดิ ความคดิ วา่ ถ้าเอากรบั หลาย ๆ อนั วางเรยี งราดลงไป แลว้ แก้ไขประดษิ ฐใ์ หม้ ีขนาดลดหลั่นกัน แลว้ ทารางรองอ้มุ เสยี ง และใช้เชอื กรอ้ ยไมก้ รับขนาดต่าง ๆ กันน้นั ให้ตดิ กัน และขึงไว้บนรางใชไ้ มต้ ีใหเ้ กิดเสียง นาตะกวั่ ผสมกบั ขี้ผ้งึ มาถว่ งเสียงโดยนามาตดิ หวั ทา้ ยของไมก้ รบั นนั้ให้เกิดเสียงไพเราะย่ิงข้ึน เรียกไมก้ รบั ท่ีประดษิ ฐเ์ ป็นขนาดต่างๆกนั นน้ั วา่ ลกู ระนาด เรยี กลกูระนาดทผี่ ูกตดิ กันเปน็ แผ่นเดียวกนั วา่ ผนื ระนาดเอกใชใ้ นงานมงคล เป็นเครอื่ งดนตรเี ป็นมงคลในบ้าน บรรเลงในวงปพี่ าทย์และวงมโหรี โดยทาหนา้ ที่เป็นผนู้ าวง
ระนาดทมุ้ เปน็ เครื่องดนตรที ีส่ ร้างข้นึ มาในรชั กาลท่ี 3 แห่งกรุงรตั นโกสนิ ทร์ เป็นการสร้างเลยี นแบบระนาดเอก ใชไ้ มช้ นิดเดียว กนั กบั ระนาดเอก ลกู ระนาดทุม้ มีจานวน 17 หรือ 18 ลูก ลกูต้นยาวประมาณ 42 ซม กวา้ ง 6 ซม และลดหลั่นลงมาจนถึงลูกยอด ที่มีขนาดยาว 34 ซมกวา้ ง 5 ซม รางระนาดทุ้มนั้นประดษิ ฐใ์ หม้ รี ูปร่างคล้ายหบี ไม้ แต่เว้าตรงกลางให้โค้ง โขนปดิ หัวท้ายเพอื่ เปน็ ที่แขวนผืนระนาดน้นั ถ้าหากวัดจากโขนดา้ นหน่ึงไปยังโขนอีกด้านหน่ึง รางระนาดทมุ้ จะมีขนาดยาวประมาณ 124 ซม ปาก รางกว้างประมาณ 22 ซม มเี ทา้ เตย้ี รองไว้ 4 มมุ ราง หนา้ ท่ีในวงของระนาดทุ้มนั้น ทาหนา้ ที่เดินทานองรอง ในทางของตนเองซ่งึ จะมีจังหวะโยน ลอ้ขัด ทท่ี าให้เกิดความไพเราะและเติมเต็มช่องว่างของเสียง อันเปน็ เอกลักษณ์เฉพาะตวั ของระนาดทมุ้
กรบั เป็นเครื่องดนตรีไทยชนิดหนง่ึ ซ่ึงกรบั น้ันมอี ยู่ 3 ชนดิ ดว้ ยกนั คือ กรบั คู่ กรบั พวง และกรบั เสภาประเภทของกรับกรับคู่ ทาดว้ ยไมไ้ ผผ่ ่าซกี เหลาให้เรียบและเกล้ยี งอย่าใหม้ ีเสย้ี น มีรูปร่างแบนตามซกี ไมไ้ ผ่ หนาตามขนาดของเนื้อไม้ยาวประมาณ 40 ซม ทาเปน็ 2 อนั หรอื เป็นคู่ ใชต้ ใี ห้ผวิ กระทบกันทางด้านแบนเกดิ เปน็ เสียง กรบั
กรบั พวง เปน็ กรบั ชนดิ หน่ึงตอนกลางทาดว้ ยไมบ้ างๆหรอื แผน่ ทองเหลอื ง หรืองาหลายๆอนั และทาไม้แก่น 2อนั เจาะรูตอนหวั รอ้ ยเชือกประกบไว้ 2 ขา้ งเหมอื นด้ามพดั เวลาตีใชม้ อื หนงึ่ ถือตรงหัวทางเชือกร้อย แลว้ ฟาดลงไปบนอกี ฝา่ มือหนึง่ เกดิ เปน็ เสยี งกรับข้ึนหลายเสยี ง จงึ เรียกว่ากรบั พวงใช้เป็นอานตั สญั ญาณ เช่นในการเสด็จออกในพระราชพิธขี องพระเจ้าแผน่ ดิน เจา้ พนกั งานจะรัวกรบั และใชก้ รับพวงตเี ปน็ จังหวะ ในการขบั รอ้ ง เพลงเรอื ดอกสรอ้ ยและใชบ้ รรเลงขับร้องในการแสดง นาฏกรรมดว้ ยกรบั เสภา ทาดว้ ยไมแ้ ก่น เช่นไมช้ ิงชัน ยาวประมาณ 20 ซม หนาประมาณ 5 ซม เหลาเปน็ รูป 4 เหลยี่ มแต่ลบเหลยี่ ม ออกเพอื่ มิให้บาดมือและให้สามารถกล้ิงตวั ของมนั เองกลอก กระทบกันได้โดยสะดวกใช้บรรเลงประกอบในการขับเสภา เวลาบรรเลงผขู้ บั เสภาจะใช้กรบั เสภา 2 คู่ รวม 4 อัน ถอื เรยี งกันไว้บนฝ่ามอื ของตนขา้ งละคู่ กลา่ วขบั เสภาไปพลาง มือทั้ง 2 ขา้ งก็ขยับกรบั แตล่ ะขา้ งให้กลอกกระทบกันเข้าจงั หวะ กับเสียงขับเสภา จงึ เรียกกรบั ชนดิ นวี้ ่า กรบั เสภา
โปงลาง เปน็ เครอ่ื งดนตรีประเภทเคร่ืองเคาะหรอื เครื่องตี มลี ักษณะคล้ายระนาดแต่แขวนในแนวด่งิ เปน็ ทนี่ ยิ มในภาคอีสาน บางทอ้ งถิน่ อาจเรยี กว่า หมากกลิ้งกล่อม หมากขอลอ หรอืเกราะลอ(ผู้เฒ่าผแู้ ก่ในถ่นิ ดงมลู อาเภอหนองกุงศรีเรียก \"หมากเต๋อเติน่ \") เป็นเคร่อื งดนตรีประจาจงั หวัดกาฬสนิ ธ์ุ
ฆ้องวงใหญ่ เปน็ เคร่ืองดนตรีท่วี วิ ฒั นาการมาจากฆ้องรางของอนิ โดนเี ซีย สันนิษฐานวา่ มีมาต้งั แต่สมัยสุโขทัย ส่วนประกอบของฆ้องวงใหญ่ประกอบดว้ ยลกู ฆ้องและวงฆอ้ ง ลูกฆอ้ งมี 16 ลกูทาจากทองเหลอื ง เรยี งจากลกู เลก็ ดา้ นขวา วงฆ้องสูงประมาณ 24 เซนตเิ มตร ใชห้ วายโปง่ ทาเปน็ราง ใหห้ วายเส้นนอกกบั เส้นในห่างกนั 14-17เซนตเิ มตร ใชห้ วาย 4 อนั ดา้ นล่าง 2 อนั ขดเปน็ วงขนานกนั เว้นท่ีไวใ้ หน้ กั ดนตรีเข้าไปบรรเลง ฆอ้ งวงใหญเ่ ป็นเครื่องดนตรีที่สาคญั ทีส่ ุด เพราะคนท่ีจะเล่นดนตรีในวงปพี่ าทย์ต้องมาเรียนฆ้องวงใหญก่ ่อน ฆอ้ งวงใหญท่ าหนา้ ทีเ่ ดินทานองหลัก ซึ่งถือเปน็ แม่บทของเพลง ฆอ้ งวงใหญ่ใชเ้ ล่นในวงป่พี าทย์ วงปีพ่ าทย์นางหงส์ และวงมโหรี
ฆอ้ งวงเล็ก เป็นเครอื่ งดนตรไี ทยสรา้ งในสมัยรชั กาลที่ 3 มีลักษณะเหมอื นกับฆ้องวงใหญ่แต่ลกู ฆอ้ งมีขนาดเล็กกวา่ มีลกู ฆ้อง 18 ลูก บรรเลงทานองคล้ายระนาดเอก แตต่ เี กบ็ ถี่กว่าระนาดเอกฆ้องวงเลก็ ใช้วงป่ีพาทย์ไมแ้ ขง็ วงปพ่ี าทยไ์ มน้ วม วงปี่พาทย์นางหงส์ และวงมโหรี
ฆ้องมอญเปน็ เครื่องดนตรที ี่ได้รับอทิ ธิพลมาจากมอญมลี กั ษณะต้งั โค้งข้ึนไป ไม่ต้ังราบกบัพ้นื แบบฆ้องไทย วงฆอ้ งทาจากไม้แกะสลกั ปิดทองอยา่ งสวยงาม ทางโคง้ ด้านซ้ายของผตู้ แี กะเปน็รปู ตา่ งๆตามต้องการ แต่ส่วนใหญ่จะนิยมรปู เทวดา ทางโคง้ ดา้ นขวาทาเป็นรปู ปลายหาง มีเทา้ รองตรงกลางเหมือนระนาดเอก ฆ้องมอญมีลูกฆอ้ ง 15 ลูก แตฆ่ อ้ งมอญจะไม่เรียงเสียงเหมือนฆอ้ งไทยในบางชว่ งมีการขา้ มเสยี ง เรียกเสยี งทขี่ ้ามวา่ \"หลมุ \" ฆอ้ งมอญทาหน้าทีเ่ ดินทานองเพลงเชน่ เดยี วกับฆ้องวงใหญ่ของไทย ฆอ้ งมอญมี 2 ขนาดเหมอื นกับฆอ้ งไทยคอื ฆ้องมอญใหญแ่ ละฆอ้ งมอญเล็กฆอ้ งมอญใชเ้ ล่นในวงปี่พาทย์มอญ
โหม่ง เป็นเครื่องดนตรีประเภทตชี นิดหนึ่ง ใชต้ ปี ระกอบจังหวะ โหมง่ คือ ฆ้องคู่ เสียงตา่ งกันท่เี สยี งแหลมเรียกว่า \"เสียงโหม้ง\" ที่เสียงทมุ้ เรียกว่า\"เสียงหมงุ่ \" หรือ บางครั้งอาจจะเรยี กวา่ลูกเอกและลูกทมุ้ ซึ่งมีเสียงแตกตา่ งกันเป็นคหู่ า้ แตป่ จั จุบันเปน็ คู่แปด วิธีตีโหมง่ ในวงเครื่องสายหรอื ป่พี าทย์ ผู้ตีนง่ั ขดั สมาธิ ให้โหม่งวางอยู่ตรงหนา้ จบั ไมต้ ตี ตี รง กลางปมุ่ ดว้ ยน้าหนกัพอประมาณเน่ืองจากโหม่งชนิดนมี้ ีเสยี งดงั กังวานยาวนาน จึงนยิ มตหี ่างๆ คือสองฉิ่งสอง ฉับต่อการตีโหมง่ ครั้งหน่ึง แตถ่ า้ เป็นวงกลองยาวหรือวงมงั คละ จะนยิ มตลี งทจี่ งั หวะหนัก(ฉบั )ตลอดโดยไม่เว้น
ฉ่ิง เปน็ เครอ่ื งดนตรไี ทยประเภทตี ทาดว้ ยทองเหลอื ง หล่อหนา ปากผายกลม 1 ชุด มี 2 ฝาฉง่ิ มี 2 ชนดิ คือ ฉง่ิ สาหรับวงปี่พาทย์ และ ฉิ่งทีใ่ ช้สาหรบั วงเครื่องสายและวงมโหรี ฉิง่ สาหรับวงป่ีพาทย์มีขนาดที่วัดฝ่านศนู ยก์ ลาง จากขอบขา้ งหนึง่ ไปสดุ ขอบอกี ข้างหนงึ่ กวา้ งประมาณ 6 –6.5 ซม เจาะรูตรงกลางสาหรับรอ้ ยเชอื ก เพอื่ ใหจ้ ับสะดวกขณะตี ส่วนฉิ่งสาหรบั วงเครอ่ื งสายและวงมโหรีนัน้ มขี นาดเลก็ กว่า วัดผา่ นศนู ยก์ ลางไดข้ นาดประมาณ5.5 ซม เน่ืองจากการตีฉ่งิ ตอ้ งเอาขอบของฝาขา้ งหน่ึงกระทบกับอีกฝากหน่ึง แล้วยกข้ึน ก็จะมีเสยี งดงั กังวานยาวดัง ฉ่ิง แตถ่ า้ เอาท้งั 2 ฝานน้ั กระทบและประกบกนั ไว้ จะไดย้ นิ เสยี งดังส้ันๆดัง ฉับ ดังนัน้ การเรียกช่อื เครอ่ื งดนตรีชนิดนวี้ ่า ฉง่ิ กเ็ พราะเรียกตามเสยี งท่ีเกดิ ขน้ึ น่นั เอง
ฉาบ เป็นเครอื่ งดนตรีประเภทตี ทาดว้ ยโลหะคล้ายฉง่ิ แต่หลอ่ ให้บางกว่า ฉาบมี 2 ชนิดคอื ฉาบเล็ก และ ฉาบใหญ่ ฉาบเล็กมขี นาด ทว่ี ดั ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ 12 –14 ซม ส่วนฉาบใหญม่ ีขนาดทวี่ ัดผ่าน ศนู ยก์ ลางประมาณ 24 –26 ซม เวลาบรรเลงใช้ 2 ฝามาตกี ระทบกนั ให้เกดิ เสียงตามจังหวะ เมอ่ื ฉาบทั้งสองข้างกระทบกันขณะตปี ระกบกันก็ จะเกิดเสียง ฉาบ แต่ถา้ ตีแล้วเปดิ เสียงก็จะไดย้ นิ เป็น แฉง่ แฉ่ง แฉง่ เปน็ ต้น
ฆ้องคู่ เป็นฆอ้ งท่ีมี 2 ใบมีขนาดเล็ก เสยี งตา่ ใบหนึ่ง เสียงสูงใบหนง่ึ ใช้ตกี ากบั จังหวะ ชดุหนง่ึ มสี องลกู ลกู ใหญใ่ ห้เสยี งตา่ ลกู เลก็ ใหเ้ สยี งสงู ไมต้ ีทาดว้ ย แผน่ หนงั ววั หรอื ใบหนงั ควายตัดเป็นวงกลม เจาะรูตรงกลางใสก่ ้านไม้ ใช้บรรเลงในการเชิดหนังตะลงุ และละครโนราชาตรี ชดุ หนึ่งมี 2 ลูก, ปักษใ์ ตเ้ รียก โหม่ง
กลองแขก เปน็ เคร่ืองดนตรปี ระเภทเครื่องตีทีม่ รี ูปร่างยาวเปน็ รูปทรงกระบอก ขนึ้ หนงั สองขา้ งด้วยหนังลกู ววั หรือหนังแพะ. หนา้ ใหญ่ กว้างประมาณ 20 cm เรียกว่า หนา้ รยุ่ หรอื \"หนา้ มัด\"สว่ นหน้าเลก็ กวา้ งประมาณ 15 cm เรียกวา่ หน้าต่านหรือ\"หน้าตาด\" ตวั กลองหรือหนุ่ กลองสามารถทาขึ้นไดจ้ ากไม้หลายชนดิ แต่โดยมากจะนยิ มใชไ้ มเ้ นือ้ แข็งมาทาเปน็ หนุ่ กลอง เช่นไม้ชงิ ชนัไมม้ ะรดิ ไมพ้ ยุง กระพ้เี ขาควาย ขนนุ สะเดา มะค่า มะพร้าว ตาล ก้ามปู เป็นตน้ ขอบกลองทามาจากหวายผ่าซีกโยงเรียงเป็นขอบกลองแล้วมว้ นด้วยหนงั จะได้ขอบกลองพร้อมกบั หน้ากลอง และถูกขึงให้ตึงด้วยหนังเสน้ เล็ก เรียกว่าหนงั เรียดเพื่อใช้ในการเรง่ เสียงให้หน้ากลองแตล่ ะหน้าไดเ้ สยี งที่เหมาะสมตามความพอใจ กลองแขกสารบั หนง่ึ มี 2 ลกู ลกู เสยี งสูงเรียก ตวั ผู้ ลกู เสียงต่าเรยี ก ตัวเมยี ตดี ้วยฝ่ามือทง้ั สองข้างให้สอดสลบั กนั ทงั้ สองลูกลักษณะเสียงกลองแขกตัวผู้ มเี สยี งทีส่ ูงกวา่ กลองแขกตวั เมียโดย เสียง \"ติง\" ในหน้ามัด และเสยี ง โจะ๊ ในหนา้ ตาดกลองแขกตวั เมีย มีเสียงท่ีตา่ กวา่ กลองแขกตัวผู้ โดย เสียง ทม่ั ในหน้ามดั และเสยี ง จ๊ะ ในหน้าตาดวธิ กี ารบรรเลงการบรรเลงนน้ั จะใช้มอื ตีไปทั้งสองหน้าตามแต่จงั หวะหรอื หน้าทับทก่ี านดไว้ ในหน้าเล็กหรอื หนา้ตาด จะใช้น้ิวช้ีหรือน้ิวนางในการตี เพ่ือให้เกดิ เสยี งที่เลก็ แหลม ในหนา้ มัดหรือหน้าใหญ่ จะใชฝ้ ่ามอื ตีลงไปเพอ่ื ให้เกดิ เสียงท่หี นักและแน่น ซ่ึงมวี ิธีการบรรเลงทีล่ ะเอยี ดอ่อนลงไปอกี ตามแตก่ ลวิธีที่ครอู าจารย์แต่ละทา่ นจะชแี้ นะแนวทางการปฏบิ ตั ิ
เปิงมางคอก เปน็ เครอื่ งดนตรชี นิดหน่งึ แตเ่ ดมิ เป็นเครื่องดนตรขี องชาวมอญ ใชต้ ีหยอกลอ้กบั ตะโพนมอญ มีลกั ษณะเป็นกลองขนาดต่างกัน 7 ลกู ผกู เปน็ ราวในชดุ เดียวกัน เรียงจากใหญไ่ ปหาเล็ก ตัวกลองขงึ ด้วยหนงั สองหนา้ ขึน้ หน้าดว้ ยหนงั เรยี ดโยงสายเรง่ หนังหนา้ กลองเปน็ แนวยาวตลอด เวลาบรรเลงตอ้ งตดิ ขา้ วสุกบดผสมข้ีเถ้า คอกเปิงมางทาเปน็ ร้วั 3 ช้ินติดตอ่ กนั มีตะขอแขวนลูกเปงิ เปน็ ระยะ คอกเป็นรปู เกอื บคร่งึ วงกลม เปิงมางคอกใช้บรรเลงในวงป่พี าทย์มอญ
กลองทดั เปน็ กลองสองหนา้ ขนาดใหญ่ ขนึ้ หน้าทัง้ สองขา้ งดว้ ยหนังววั หรือหนังควาย ตรึงดว้ ยหมุด หุ่นกลองทาจากไมเ้ นื้อแขง็ กลงึ ควา้ นข้างในจนเปน็ โพรง ป่องตรงกลางนดิ หน่อยหมดุ ท่ีตรงึ หนังเรียกวา่ แส้ ทาด้วยไมห้ รืองาหรือกระดกู สตั ว์ตรงกลางหุน่ กลองมีหว่ งสาหรับแขวนเรยี กว่า หูระวงิ กลองทดั มีขนาดหน้ากวา้ งเท่ากันท้งั สองขา้ ง วัดเส้นผ่าศูนยก์ ลางได้ประมาณ 46 ซม ตัวกลองยาวประมาณ 41 ซม กลองทัดมี 2 ลกู ลูกที่มีเสียงสูง ดัง ตุม เรียกวา่ ตวัผู้ และ ลูกทม่ี เี สียงต่าตดี ัง ต้อม เรยี กว่า ตัวเมีย ใชไ้ ม้ตี 1 คู่ มขี นาดยาวประมาณ 54 ซมกลองทดั ใช้บรรเลงในวงปี่พาทย์ โดยเลน่ คกู่ บั ตะโพน
กลองยาว เป็นเครื่องดนตรี สาหรับตีด้วยมือ ตวั กลองทาด้วยไม้ มลี กั ษณะกลมกลวง ขึงดว้ ยหนังมหี ลายชนิด ถ้าทาด้วยหนงั หน้าเดียว มรี ูปยาวมากใช้สะพายในเวลาตี เรียกวา่ กลองยาวหรอื เถดิ เทิงประวตั กิ ลองยาว เชือ่ กนั ว่ากลองยาวได้แบบอยา่ งมาจากพมา่ ในสมยั กรุงธนบุรี หรอื ตน้ กรุงรัตนโกสนิ ทร์สมยั ทไ่ี ทยกับพม่ากาลงั ทาสงครามกนั เวลาพกั รบ พวกทหารพม่ากเ็ ล่น \"กลองยาว\" กนั สนุกสนานพวกชาวไทยไดเ้ หน็ กจ็ าแบบอย่างมาเล่นบ้าง แตบ่ างทา่ นก็เล่าวา่ กลองยาวของพม่าแบบนี้ มีชาวพม่าพวกหนึ่งนาเข้ามาเล่นในงานทม่ี กี ระบวนแห่ เช่น บวชนาค ทอดกฐนิ เป็นตน้ และนยิ มเลน่ กันเปน็ ที่ร่ืนเริง สนกุ สนานในเทศกาลสงกรานต์ และเล่นกันแพร่หลายไปแทบทกุ หัวบ้านหวั เมือง วงหนึง่ ๆ จะใช้กลองยาวหลายลกู กไ็ ด้ เครื่องดนตรีท่ใี ช้บรรเลงร่วม มี ฉิง่ , ฉาบเล็ก, กรับ, โหมง่ เรียกการเล่นชนิดนีว้ ่า \"เถิดเทิง\" หรอื \"เทิงกลองยาว\" ที่เรยี กเชน่ น้ีเขา้ ใจว่า เรยี กตามเสียงกลองที่ตแี ละตามรปู ลกั ษณะกลองยาว
กลองสองหนา้ สนั นษิ ฐานว่าเรม่ิ นามาใชใ้ นสมัยรัชกาลที่ 2 มีลกั ษณะคล้ายลูกเปงิ มาง แต่ใหญก่ ว่า หนา้ กลองดา้ นกวา้ งเสน้ ผ่าศนู ย์กลาง 21-24 เซนตเิ มตร ดา้ นเลก็ เสน้ ผา่ ศูนย์กลาง 20-22 เซนติเมตร ตวั กลองยาว 55-58 เซนติเมตร ใชใ้ นวงป่พี าทย์เสภาและใชต้ ปี ระกอบจงั หวะการเดยี่ วเคร่อื งดนตรีตา่ งๆดว้ ย
โทน เป็นช่อื ของเครอ่ื งหนัง ท่ีขงึ หนงั หน้าเดยี ว มีสายโยงเรง่ เสียงจากขอบหนงั ถึงคอ มีหางย่นื ออกไปและบานปลาย มีชอื่ เรยี กคกู่ ันวา่ โทนทับ โดยลักษณะรปู ร่างนั้น โทนมชี อ่ื เรยี กกนั ได้ตามรปู รา่ งทีป่ รากฏ 2 ชนิดคือ โทนชาตรี และ โทนมโหรี โทนชาตรีนัน้ ตวั โทนทาด้วยไม้ขนนุ ไมส้ กั หรอื ไม้กะทอ้ นมขี นาดปากกว้าง 17 ซม ยาวประมาณ 34 ซม มีสายโยงเรง่ เสยี งใชห้ นงั เรียด ตีดว้ ยมอื ข้างหนง่ึ ส่วนอีกมือหนึ่งคอยปิดเปดิปลายหางท่ีเปน็ ปากลาโพง ชว่ ยให้เกดิ เสยี งต่างๆ ใช้สาหรบั บรรเลงประกอบการแสดงละครชาตรีและหนงั ตะลงุ และตปี ระกอบจงั หวะในวงป่ีพาทย์ หรอื วงเครื่องสาย หรอื วงมโหรที เี่ ล่นเพลงภาษาเขมร หรือ ตะลุง สว่ นโทนมโหรีน้ัน ตัวโทนทาด้วยดินเผา ด้านทีข่ ึงหนงั โตกว่า โทนชาตรี ขนาดหนา้ กวา้ งประะมาณ 22 ซม ยาวประมาณ 38 ซม สายโยงเรง่ เสยี งใชห้ วายผ่าเหลาเป็นเส้นเล็กหรอื ใชไ้ หมฟ่ันเปน็เกลียว ขึ้นหนงั ดว้ ยหนงั ลูกวัว หนังแพะ หนงั งเู หลือม หรอื หนงั งูงวงชา้ ง ใช้สาหรับบรรเลงคู่กับรามะนา โดยตขี ัดสอดสลบั กนั ตามจังหวะหน้าทบั
รามะนา เป็นกลองท่ขี งึ หนงั หนา้ เดยี ว หนา้ กลองที่ขงึ หนังผายออก ตวั กลองสั้น รูปร่างคล้ายชามกะละมงั มอี ยู่ 2 ชนิด คอื \"รามะนามโหรี\" และ \"รามะนาลาตัด\"รามะนามโหรี มขี นาดเล็ก หน้ากว้างประมาณ 26 ซม ตวั รามะนายาว ประมาณ 7 ซม หนังท่ีขึ้นหนา้ ตรงึ ดว้ ยหมดุ โดยรอบ จะเรง่ หรอื ลดเสยี งใหส้ ูงตา่ ไมไ่ ด้ แตม่ เี ชอื กเส้นหนึ่งท่ีเรียกวา่ สนับสาหรบั หนนุ ขา้ งในโดยรอบ ช่วยทาให้เสียงสูงได้ บรรเลงใช้ตดี ว้ ยฝ่ามือคูก่ ับโทนมโหรีส่วน รามะนาลาตดั มขี นาดใหญ่ หนา้ กว้างประมาณ 48 ซม. ตวั รามะนายาวประมาณ 13 ซม. ข้นึหนงั หนา้ เดยี ว โดยใชเ้ สน้ หวายผ่าซกี โยงระหวา่ งขอบปนา้ กบั วงเหลก็ ซง่ึ รองก้นใชเ้ ปน็ ขอบ ของตวัรามะนา และใชล้ ่มิ หลายๆ อันตอกเร่งเสียงระหว่างวงเหล็กกบั กน้ รามะนา รามะนาชนดิ นี้เขา้ ใจวา่ไดแ้ บบอยา่ งมาจากชวาและเข้ามาแพร่หลายในสมยั รัชกาลท่ี 5 ใชป้ ระกอบการเล่นลาตัดและลเิ กลาตดั ในการประกอบการเลน่ ลาตดั น้นั จะใชร้ ามะนาก่ลี ูกก็ได้ โดยให้คนตนี งั่ ล้อมวงและเปน็ ลูกคู่รอ้ งไปดว้ ย
กลองสะบัดชยั เป็นกลองที่มมี านานแล้วนับหลายศตวรรษ ในสมัยก่อนใช้ ตียามออกศึกสงคราม เพ่ือเป็นสิรมิ งคล และเป็น ขวัญกาลังใจให้แกเ่ หลา่ ทหารหาญในการตอ่ สู้ใหไ้ ดช้ ยั ชนะทานองทใ่ี ชใ้ นการตี กลองสะบัดชยั โบราณมี 3 ทานอง คอื ชัยเภรี, ชยั ดิถี และชนะมารการตกี ลองสะบัดชยั เปน็ ศิลปะการแสดงพ้ืนบ้านล้านนาอยา่ งหนง่ึ ซง่ึ มักจะพบเหน็ ในขบวนแห่หรืองานแสดงศิลปะพืน้ บา้ นในระยะหลังโดยทว่ั ไป ลีลาในการตมี ีลกั ษณะโลดโผนเร้าใจมกี ารใช้อวัยวะหรอื ส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย เช่นศอก เข่า ศรี ษะ ประกอบในการตีดว้ ย ทาใหก้ ารแสดงการตกี ลองสะบัดชยั เปน็ ทปี่ ระทับใจของผู้ท่ไี ด้ชม จนเปน็ ทีน่ ิยมกันอยา่ งกว้างขวางในปัจจบุ นั
กลองชาตรี เปน็ กลองสองหนา้ มีรูปรา่ งเหมือนกลองทดั ทุกอยา่ งแตข่ นาดยอ่ ส่วนเปรียบเหมอื นแม่กับลูก กลองชาตรีเป็นลกู มีเส้นผา่ นศนู ย์กลางยาวประมาณ 20 ซม. และสูง 24 ซม.ใช้เป็นคเู่ ชน่ เดียวกัน ใชท้ าหน้าทบั ในวงป่ีพาทย์เครอ่ื งหา้ หรือวงป่พี าทย์ชาตรี ประกอบการแสดงละครโนรา ใช้เล่นคกู่ ับโทนชาตรี
กลองตะโพน คอื ตะโพนทนี่ ามาตีแบบกลองทัด กลองตะโพนใชต้ ะโพน 2 ลกู เสยี งสูงและเสียงตา่ แล้วนามาตัง้ ขน้ึ แบบกลองทดั ใชไ้ ม้ระนาดนวมเป็นไม้ตี ใช้เลน่ ในวงปีพ่ าทย์ดกึ ดาบรรพ์นอกจากนย้ี งั ใช้แทนกลองทัดในวงป่ีพาทย์ไม้นวมเม่ือบรรเลงภายในอาคาร เพื่อไมใ่ ห้เสยี งดังเกนิ ไป
กลองมงั คละ เป็นเครอ่ื งดนตรีพื้นบา้ นในเขตภาคเหนอื ตอนล่าง เปน็ ท่นี ยิ มกันมานาน มี หลักฐานว่า ดนตรมี ังคละเลน่ กนั มานานนบั แต่ครง้ั กรุงสโุ ขทยั มหี ลักฐานในศลิ าจารกึ หลกั ที่ 1บันทกึ ไว้ว่า \"ท้าวหวั ราน คาบง คากลอง ดว้ ยเสียงพาทย์เสยี งพิณ เล่ือนขบั \" มีผ้ใู ห้คาอธิบายและตีความว่า คาบง คากลอง เปน็ คาโบราณทม่ี ีใช้ตั้งแต่สมัยกรงุ สุโขทัยแปลวา่ การประโคม ดงั นน้ั คาว่า คาบง คากลอง จึงหมายถงึ การตกี ลองหรือประโคมกลองทีข่ งึ ดว้ ยหนัง ซง่ึ หมายถึงกลองมงั คละการละเล่นพ้ืนบ้านท่ีเปน็ เอกลกั ษณ์ของจงั หวดั สโุ ขทยั จงั หวดั พิษณโุ ลก โดยลกั ษณะกลองมังคละน้ีมีความเหมอื นกับเคร่ืองดนตรี \"กาหลอ\" ดนตรที างพื้นถ่นิ ภาคใตแ้ ละวง \"มงคลเภร\"ี ของศรีลังกาสมเดจ็ เจา้ ฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ บันทกึ ไว้ในคราวตรวจการที่หัวเมืองพษิ ณุโลก เมอ่ื พ.ศ. 2444 ไดย้ นิ ดนตรดี ังกล่าวบริเวณวัดสะกดั น้ามนั จึงได้เรยี กมาแสดงใหด้ ู ไดใ้ หท้ ัศนะต่อดนตรี \"มงั คละ\" ว่า \"เครอ่ื งมงั คละน้เี ปน็ เครอื่ งเบญจดรุ ิยางค์แท้\"
เครื่องสี
ซอสามสาย เป็นเครอ่ื งดนตรไี ทยชนดิ หน่ึง จาพวกเครอื่ งสาย มีขนาดใหญก่ ว่าซอด้วงหรือซออู้ และมีลักษณะพเิ ศษ คอื มีสามสาย มคี ันชักอสิ ระ กะโหลกซอมขี นาดใหญ่ นับเปน็ เคร่ืองดนตรีที่มคี วามสง่างามชนิ้ หนึ่งในวงเครือ่ งสาย ผเู้ ลน่ จะอยู่ในตาแหน่งดา้ นหน้าของวง
สะล้อ เป็นเคร่อื งดนตรีพ้นื เมืองลา้ นนาชนดิ หนึง่ เป็นประเภทเคร่ืองสซี ึง่ มีท้ัง 2 สายและ 3สาย คนั ชกั สาหรับสจี ะอยู่ข้างนอกเหมอื นคนั ชักซอสามสาย สะลอ้ เรยี กอกี อยา่ งหนง่ึ ว่า ทร้อ หรอืซะล้อ มีรปู รา่ งคล้ายซออู้ของภาคกลาง ใช้ไม้แผน่ บาง ๆ ปิดปากกะลาทาหลักท่ีหวั สาหรบั พาดทองเหลอื ง ด้านหลังกะโหลกเจาะเปน็ รูปลวดลายตา่ ง ๆ เช่น รูปหนมุ าน รูปหัวใจ ส่วนดา้ นล่างของกะโหลก เจาะทะลลุ ง ขา้ งล่าง เพอ่ื สอดคนั ทวนท่ที าดว้ ยไม้ชิงชนั ยาวประมาณ 64 ซม ตรงกลางคันทวนมีรดั อกทาด้วยหวาย ปลายคันทวนด้านบนเจาะรูสาหรับสอดลกู บิด ซึ่งมี 2 หรอื 3 อัน สาหรบัขึงสายซอ จากปลายลูกบิดลงมาถงึ ดา้ นกลางของกะโหลกมีหย่องสาหรบั หนนุ สายสะล้อเพ่อื ให้เกิดเสยี งเวลาสี คันชกั สะล้อทาดว้ ยไม้ดดั เป็นรปู โคง้ ขึงด้วยหางมา้ หรอื พลาสติก เวลาสีใช้ยางสนถูทาให้เกดิ เสยี งได้ สะลอ้ ใช้บรรเลงประกอบการแสดงหรอื บรรเลงรว่ มกับบทร้องและทานองเพลงได้ทุกชนดิ เช่น เขา้ กับปใ่ี นวงชา่ งซอ เขา้ กับซงึ ในวงพืน้ เมอื ง หรอื ใช้เดย่ี วคลอรอ้ งก็ได้
ซอกันตรมึ เปน็ เครอ่ื งดนตรีของกลมุ่ ชาวไทยเชอ้ื สายเขมรและชาวไทยอีสาน เป็นเครอ่ื งสายใช้สี ทาด้วยไม้ กะโหลกซอขึงดว้ ยหนงั งหู รอื หนังจาพวกตะกวด มีช่องเสียง อย่ดู า้ นตรงข้ามหนา้ ซอ ใชส้ ายลวดมี 2 สาย คันชกั อยู่ระหว่างสาย คนั ซอยาวประมาณ 60 เซนติเมตร มีลกู บดิ อยตู่ อนนอกซอใช้รัด ดว้ ยเชือก ขนาดของซอแตกต่างกนั ไปตามความ ประสงคข์ องผูส้ รา้ งโดยทั่วไปมี 3 ขนาด คอื ขนาดเลก็ เรียก ตรวั จ้ี ขนาดกลางเรียกตรวั เอก ขนาดใหญเ่ รียกตรวับางครัง้ จะเห็นมกี ารดดั แปลงประยุกตก์ ะโหลกซอโดยใช้กระปอ๋ งหรอื ปี๊บซ่งึ อาจเรยี กแทนว่า ซอกระป๋องหรอื ซอป๊บี ได้
รอื บบั (อังกฤษ: Rebab; อาหรบั : الربابหรือ )ربابเปน็ ท่ีเขา้ ใจกนั ว่าเป็นเครอื่ งดนตรีทม่ี กี ารละเล่นกันต้งั แตใ่ นบริเวณสามจังหวดั ชายแดนใต้ มาเลเซยี สมุ าตราเหนือของประเทศอนิ โดนเี ซีย และชวา ใชใ้ นการแสดง เมาะโยง่ หรือมะโย่ง ซง่ึ การละเลน่ นี้ไมส่ ามารถระบไุ ด้ว่าเปน็เป็นศิลปะละครราในวัฒนธรรมหลวงหรอื เป็นวัฒนธรรมราษฎรข์ องคนถ่ินมลายู แต่ทป่ี ตั ตานีปรากฏหลักฐานการละเล่นนที้ ห่ี นงั สอื ฮกิ ายดั ปัตตานหี รือ พงศาวดารปตั ตานี ในสมัยคริสตศ์ ตวรรษที่ 17 รือบับมลี กั ษณะโดยรวมคล้ายกบั ซอสามสายของภาคกลาง
เครื่องดดี
จะเข้ เปน็ เครือ่ งดนตรไี ทยประเภทเครื่องดีด มี 3 สาย เข้าใจว่าได้ปรับปรุงแก้ไขมาจากพิณคือ กระจบั ปซ่ี ่งึ มี 4 สาย นามาวางดดี กบั พ้นื เพือ่ ความสะดวก จะเข้ได้นาเข้าร่วมบรรเลงอยู่ในวงมโหรีค่กู ับกระจบั ปีใ่ นสมัยรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรตั นโกสนิ ทร์ มีผนู้ ิยมเลน่ จะเข้กนั มาก ทาให้กระจบั ปคี่ ่อย ๆ หายไปในปจั จุบนั เนอ่ื งจากหาผู้เล่นเปน็ น้อย
กระจับปี่ เป็นเครื่องดนตรีประเภทดีด หรือพิณ 4 สายชนิดหนึ่ง ตวั กะโหลกเปน็ รูปกลมรีแบนท้งั หน้าหลงั มคี วามหนาประมาณ 7 ซม. ด้านหน้ายาวประมาณ 44 ซม. กว้างประมาณ 40ซม. ทาคนั ทวนเรียวยาวประมาณ 138 ซม. ตอนปลายคนั ทวนมีลักษณะ แบน และบานปลายผายโคง้ ออกไป ถา้ วดั รวมท้ังคันทวนและตัว กะโหลก จะมีความยาวประมาณ 180 ซม. มีลูกบดิ สาหรบัข้ึนสาย 4 อัน มีนมรบั นว้ิ 11 นมเท่ากบั จะเข้ ตรงดา้ นหน้ากะโหลกมีแผ่นไมบ้ างๆ ทาเปน็ หย่องคา้สายให้ตงุ ขึ้น เวลาบรรเลงใช้นิว้ หัวแม่มือกบั น้วิ ช้ี จับไม้ดดี เขี่ยสายให้เกดิ เสียง ในสมัยกรงุ ศรอี ยธุ ยา มีกล่าวไว้ในกฎมณเฑยี รบาลว่า “รอ้ งเพลงเรือ เปา่ ป่ีเป่าขล่ยุ สีซอดีดจะเข้ กระจับปีต่ โี ทนทบั โห่รอ้ งนนี่ ่นั ” ตอ่ มากน็ ามาใช้เปน็ เครื่องดีดประกอบการขบั ไม้สาหรบั บรรเลงในพระราชพธิ ี แตเ่ น่ืองจากกระจบั ป่ีมเี สียงเบา และมีนา้ หนักมาก ผดู้ ีดกระจับป่ีจะตอ้ งนง่ั พบั เพียบขวาแล้วเอาตวั กระจับปี่ วางบนหนา้ ขาข้างขวาของตน เพอ่ื ทานน้าหนัก มอื ซ้ายถือคนั ทวนมอื ขวาจบั ไมด้ ดี เปน็ ที่ลาบากมาก อาจเป็นสาเหตหุ นึ่ง ท่ีทาใหไ้ มค่ อ่ ยมผี นู้ ยิ มเลน่กระจับป่ี ในปัจจบุ นั จึงหาผู้เลน่ ไดย้ ากกระจบั ป่ี สันนิษฐานกันวา่ น่าจะมาจาก ภาษาชวา คาว่า กัจฉปิ ซ่ึงคาว่า กัจฉปิ นน้ั มีรากฐานของคาศพั ท์ ในบาลีสนั สกฤต คาว่า กจั ฉปะ ที่แปลว่า เต่า เน่ืองจากลกั ษณะของ กระจับป่นี ัน้ จะมีกะโหลกเปน็ รูปกลมรีแบนทง้ั หน้าหลงั ซึง่ มองแลว้ คล้ายกับกระดองของเต่า จาก นริ ัย พันแกน่และ ทับทิม สุกใส
ซงึ เป็นเคร่อื งดนตรปี ระเภทดีด มี 4 สาย แตแ่ บง่ ออกเป็น 2 เสน้ เส้นละ 2 สาย มีลักษณะคลา้ ย กระจบั ป่ี แตม่ ีขนาดเลก็ กวา่ ความยาวท้งั คนั ทวนและกะโหลกรวมกันประมาณ 81ซม. กะโหลกมีรปู รา่ งกลมวดั เสน้ ผา่ ศนู ย์กลางไดป้ ระมาณ 21 ซม. ทั้งกะโหลกและคันทวนใชไ้ ม้เนือ้ แข็งชน้ิ เดียวควา้ นตอนที่เป็นกะโหลกใหเ้ ปน็ โพรง ตดั แผน่ ไมใ้ ห้กลม แลว้ เจาะรตู รงกลางทาเปน็ ฝาปดิ ด้านหน้า เพอ่ื อุ้มเสยี งใหก้ ังวาน คันทวนเป็นเหล่ียมแบนตอนหน้า เพอ่ื ตดิ ตะพานหรอืนมรบั นว้ิ จานวน 9 อัน ตอนปลายคันทวนทาเป็นรูปโค้ง และขุดให้เปน็ ร่อง เจาะรูสอดลูกบดิ ขา้ งละ 2 อัน รวมเปน็ 4 อนั สอดเข้าไปในร่อง สาหรับข้ึนสาย 4 สาย สายของซงึ ใช้สายลวดขนาดเล็ก2 สาย และ สายใหญ่ 2 สาย ซงึ เปน็ เครอื่ งดดี ท่ชี าวไทยทางภาคเหนือนิยมนามาเลน่ ร่วมกบั ปซ่ี อหรือ ปจี่ ุ่ม และ สะล้อแบง่ ตามลกั ษณะได้ 3 ประเภท คือ ซึงเล็ก ซึง่ กลาง และซงึ หลวง (ซึงทมี่ ีขนาดใหญ่)แบ่งตามประเภทได้ 2 ชนิด คือ ซงึ ลูก 3 และซึงลกู 4 (แตกต่างกันทเ่ี สยี ง ลูก 3 เสียงซอลจะอยู่ดา้ นล่าง ส่วนซงึ ลกู 4 เสยี งซอลจะอย่ดู ้านบน)อธิบายคาว่า สะล้อ ซอ ซึง ท่ีมักจะพูดกนั ติดปาก ว่าเปน็ เครอ่ื งดนตรขี องชาวลา้ นนา แตท่ ่ีจริงแล้วมีแค่ ซงึ และสะล้อ เท่านั้นทีเ่ ปน็ เครือ่ งดนตรขี องชาวลา้ นนา ส่วนคาวา่ ซอในทีน่ ้ี หมายถึง การขบัซอ ซึง่ เปน็ การรอ้ ง การบรรยาย พรรณณาเป็นเร่อื งราว ประกอบกับวงป่ีจ่มุ
พณิ เปีย๊ ะ หรอื พิณเพียะ เปน็ เครื่องดนตรพี นื้ เมืองลานนาชนดิ หนึ่ง เป็นเคร่ืองดนตรีประเภทดีด ลักษณะของพณิ เปี๊ยะมีคันทวนยาวประมาณ 1 เมตรเศษ ตอนปลายคนั ทวนทาด้วยเหล็กรูปหวั ช้าง ทองเหลอื ง สาหรบั ใชเ้ ป็นทพ่ี าดสาย ใช้สายทองเหลืองเปน็ พืน้ สายทองเหลืองนจี้ ะพาดผ่านสลักตรงกะลาแล้วต่อไปผกู กบั สลกั ตรงด้านซา้ ย สายของพณิ เปี๊ยะมที ้ัง 2 สายและ 4 สายกะโหลกของพิณเป๊ยี ะทาด้วยเปลือกน้าเตา้ ตดั ครงึ่ หรือกะลามะพร้าว ก็ได้ เวลาดดี ใชก้ ะโหลกประกบติดกับหน้าอก ขยบั เปิดปิดให้เกิดเสียงตามต้องการ เชน่ เดยี วกับพิณน้าเต้าของภาคกลาง ในสมยั กอ่ นชาวเหนอื มกั จะใชพ้ ิณเปี๊ยะดีดคลอกับการขับลานาในขณะที่ไปเท่ียวสาว พิณเปยี๊ ะไมไ่ ด้รับความนิยมเท่าที่ควรเพราะเปน็ เคร่อื งดนตรีท่เี ล่นยาก
Search