คำนำ ประเทศจีนมีประวตั ิศาสตร์ที่ยาวนานนับหลายพนั ปี และมีวฒั นธรรมที่น่าสนใจ วฒั นธรรมจีนนอกจากแสดงถึงความเจริญกา้ วหนา้ ท้งั ทางดา้ นวตั ถุและพฒั นาการทางสังคมของประเทศจีนแลว้ ยงัสะทอ้ นถึงวถิ ีชีวติ และแนวความคิดของประชาชนจีนดว้ ย ประเทศจีนมีประวตั ิศาสตร์ยาวนาน ประชาชนจีนต้งั แต่สมยั โบราณจนถึงปัจจุบนั ตอ้ งเผชิญกับ ปัญหาและอปุ สรรคต่างๆนานา ท้งั ท่เี กิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และจากการกระทาํ ของมนุษย์ จึงตอ้ งหาทางดิน้ รนต่อสูเ้ พ่ือความอยรู่ อด ในช่วงเวลาทผี่ า่ นมา นกั ปรัชญาและนกั คิดผูย้ งิ่ ใหญ่ในสมยั ต่างๆของจีนไดพ้ ยายามขบคิดปัญหาต่างๆท่ีมนุษยเ์ ผชิญ และไดม้ าซ่ึงความคิดและคาํ สอนที่มีคุณค่า ในการดาํ เนินชีวิต ประเทศจีนยงั มีศิลปะ หัตถกรรมและสิ่งปลูกสร้างทางวตั ถุจาํ นวนมาก มรดก ทางวัฒนธรรมของจีนท่ีตกทอดมาจนถึงปัจจุบนั จึงมีอยู่มากมายและหลากหลาย การเขา้ ใจถึง วฒั นธรรมจีนนอกจากทาํ ใหเ้ รามีความรู้มากข้ึนแลว้ ยงั มีประโยชน์ต่อการดาํ เนินชีวิตและการติดต่อ สมาคมกบั คนจีนซ่ึงมีจาํ นวนมากถึงหน่ึงในหา้ ของประชากรโลกดว้ ย นางสาวรัชดาพร กลอนสัน (ผจู้ ดั ทาํ )
สารบญั หน้าเรื่อง 1 9第一课 : 汉字的文化与演变 17 วฒั นธรรมกบั ววิ ฒั นาการอกั ษรจีน 23 32第二课 :中国服饰文化 วฒั นธรรมกบั การแต่งกายของคนจีน第三课 :中国饮食文化 วฒั นธรรมกบั อาหารจีน第四 课 :中国传统文化 วฒั นธรรมกบั ประเพณีจีน第五课 :中国文化与宗教 วฒั นธรรมกบั ศาสนาและความเชื่อจีน
จุดประสงค์ในการเรียนรู้ 第一 :วฒั นธรรมกบั วิวฒั นาการอกั ษรจนี เพ่ือใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รียนรู้เกี่ยวกบั วฒั นธรรมทางภาษา ววิ ฒั นาการของอกั ษรจีน เพ่ือใหผ้ เู้ รียนไดร้ ับความรู้เกี่ยวกบั เขียนตวั อกั ษรในภาษาจีน 第二 :วฒั นธรรมกบั การแต่งกายของคนจนี เพ่ือใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รียนรู้เกี่ยวกบั วฒั นธรรมการแต่งกายของแต่ละราชวงศข์ องประเทศจีน เพ่ือใหผ้ เู้ รียนไดร้ ับความรู้เก่ียวกบั จุดเด่นของการแต่งกายของประเทศจีน และสร้างสรรค์ผลงานในการวาดรูป 第三 :วฒั นธรรมกบั อาหารจนี เพ่อื ใหผ้ เู้ รียนรู้จกั อาหารจีนและนาํ ไปประยกุ ตใ์ ชก้ บั การทาํ อาหารไทยได้ เพื่อใหผ้ เู้ รียนไดร้ ับความรู้เกี่ยวการทาํ อาหาร กรรมวิธีต่างๆของการทาํ อาหารจีน 第四 :วฒั นธรรมกบั ประเพณจี นี เพอื่ ใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รียนรู้เกี่ยวกบั วฒั นธรรมดา้ นประเพณีต่างๆของประเทศจีน เพื่อใหผ้ เู้ รียนไดน้ าํ มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการแสดงละครเกี่ยวกบั เทศกาลสาํ คญั และประเพณีต่างๆ ของประเทศจีน
第五:วฒั นธรรมกบั ศาสนาและความเช่ือของจนี เพื่อใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รียนรู้เกี่ยวกบั วฒั นธรรมดา้ นประเพณีต่างๆของประเทศจีน เพือ่ ใหผ้ เู้ รียนเห็นถึงความเปรียบเทียบระหวา่ งความเช่ือดา้ นศาสนาและความ เช่ือของประเทศจีนและประเทศไทย
1
2 生词 生词 拼音 意思 文化 Wénhuà วฒั นธรรม 汉字 Hànzì อกั ษรจีน 演变 ววิ ฒั นาการ甲骨文 Yǎnbiàn อกั ษรเจี่ยก่เู หวิน 金文 Jiǎgǔwén อกั ษรจินเหวิน 大篆 Jīnwén อกั ษรตา้ จว้ น 小篆 Dàzhuàn อกั ษรเสี่ยวจว้ น 隶书 อกั ษรล่ีซู Xiǎozhuàn 草书 Lìshū อกั ษรเฉ่าซู 楷书 อกั ษรข่ายซู 行书 Cǎoshū อกั ษรสิงซู 真书 Kǎishū อกั ษรจริง 史籀 Xíngshū หนงั สือโจว้石鼓文 Zhēn shū ตวั หนงั สือจารึก钟鼎文 Shǐ zhòu ชื่อเรียกอกี อยา่ งหน่ึงของอกั ษรจินเหวนิ Shígǔwén Zhōngdǐngwén
3วฒั นธรรมกบั ววิ ัฒนาการภาษาจีนความเป็ นมาของอกั ษรจนี ตวั อกั ษรจีนเป็นตวั อกั ษรท่ีมีการใชม้ าเป็นเวลานานทสี่ ุด ใชก้ นั ในพ้ืนทกี่ วา้ งขวางทส่ี ุดและมีจาํ นวนคนท่ีใชก้ ็มากทสี่ ุดในโลก การสร้างและการใชต้ วั อกั ษรจีนไม่เพยี งแต่ไดท้ าํ ใหว้ ฒั นธรรมจีนพฒั นาไปเท่าน้นั หากยงั ไดส้ ่งอทิ ธิพลอยา่ งลึกซ้ึงต่อการพฒั นาวฒั นธรรมโลกดว้ ย ในเขตพ้ืนทโี่ บราณทมี่ ีประวตั ิยาวนานห่างจากปัจจุบนั กว่าหกพนั ปี เช่น ซากสถานท่ีโบราณป้ันโพเป็นตน้ ก็ไดค้ น้ พบเคร่ืองหมายขีดเขียนมาก กว่า50ชนิด และมีการเรียบเรียงอยา่ งเป็นระเบียบ และมีกฎเกณฑท์ ่ีแน่นอน เครื่องหมายเหล่าน้ีมีลกั ษณะเป็นตวั อกั ษรแบบง่ายๆ ตวั อยา่ งการเขียนภาษาจนั ที่เก่าแก่ท่ีสุด ซ่ึงเป็นจารึกบนกระดูกววั และกระดองสตั ว์ หรือเรียกว่า อกั ษรเจ่ียก่เู หวิน (甲骨文) ภาพที่ 1.1 อกั ษรเจ่ียก่เู หวนิ
4ววิ ฒั นาการอกั ษรจนี 汉字的演变 ภาพท่ี 1.2 อกั ษรเจี่ยก่เู หวนิ 1.อกั ษรเจี่ยกู่เหวิน (甲骨文) เป็ นอกั ษรโบราณท่ีมีอายุเก่าแก่ท่ีสุดของจีนเท่าที่มีการคน้ พบในปัจจุบนั ส่วนมากอยใู่ นรูของบนั ทึกการทาํ นายท่ีใชม้ ีดแกะสลกั หรือจารลงบนกระดองเต่าหรือกระดูกสัตว์ ปรากฏแพร่หลายในราชสาํ นกั ซางเม่ือ 1,300 – 1,100ปี ก่อนคริสตกาล ลกั ษณะของตวั อกั ษรส่วนใหญ่เป็นอกั ษรภาพ2.อกั ษรจินเหวิน ( 金文)เป็นอกั ษรทีใ่ ชใ้ นสมยั ซางต่อเน่ืองถึงราชวงศโ์ จว(1,100 – 771 ปี ก่อนคริสตศกั ราช) มีช่ือเรียกอีกอยา่ งหน่ึงว่า 钟鼎文 หมายถึงอกั ษร ที่หลอมลง ภาพที่ 1.3 อกั ษรจินเหวิน สลกั บนภาชนะบนภาชนะทองเหลืองหรือสาํ ริด เน่ืองจาก ตวั แทนภาชนะสาํ ริด ในยคุ น้นั ไดแ้ ก่ 鼎 เป็นภาชนะคลา้ ยกระถางมีสามขา ใชแ้ สดงสถานะทางสังคมของคนในสมยั น้นั และตวั แทนจากเคร่ืองดนตรีท่ีทาํ จากโลหะ คือ 钟 หรือระฆงั ดงั น้นั อกั ษรท่ีสลกั หรือหลอมลงบนเครื่องใช้ จึงใชโ้ ลหะ ลกั ษณะของตวั อกั ษรน้ีมีลายเสน้ ท่หี นา ร่องลายเสน้ ราบเรียบท่ีไดจ้ ากการหลอม
53.อกั ษรตา้ จว้ น (大篆 ) สมยั ช่วงของราชวงศ์เซี่ย ราชวงศ์ชาง และราชวงศโ์ จวเป็ นยุคท่ีใหค้ วามสาํ คญั กับการเรียบเรียง ผลงานวรรณกรรม วรรณคดี โดยจดั ทาํ หนังสือประวตั ิศาสตร์ เรียกว่า หนังสือโจว้ (史籀) โดยใช้ อกั ษรตา้ จว้ น เป็นอกั ษรท่ีใชใ้ นการจารึกในหนงั สือ ลกั ษณะของตวั อกั ษรน้ี ไดเ้ ป็ นสัญลกั ษณ์ที่จารึก บนหิน เรียกว่า ตวั หนงั สือจารึก (石鼓文) กลายเป็นสัญลกั ษณ์อกั ษรทจี่ ารึกบนศิลาและยงั คงมีให้ เห็นในปัจจุบนั ภาพที่ 1.4 อกั ษรตา้ จว้ น4.อกั ษรเสี่ยวจว้ น (小篆) ภายหลงั จากจิ๋นซีฮ่องเตไ้ ดร้ วมแผน่ ดินจีนเขา้ ดว้ ยกนั ในปี ค.ศ. 221 แลว้ ก็ทาํ การปฏิรูประบบตวั อกั ษรคร้ังใหญ่ โดยการสร้างมาตรฐานรูปแบบตวั อกั ษรที่ เป็ นหน่ึงเดียวกนั ทวั่ ประเทศ กล่าวกนั ว่า ภายใตก้ ารผลกั ดนั ของมหาเสนาบดี หลี่ซือ ไดม้ ีการนาํ เอาตวั อกั ษรด้งั เดิมของรัฐฉิน (อกั ษรจว้ น) มาปรับให้เรียบ ง่ายข้ึน จากน้ันเผยแพร่ออกไปทวั่ ประเทศ ขณะเดียวกัน ก็ยกเลิกอกั ษรท่ีมี ลกั ษณะ เฉพาะจากแวน่ แควน้ อน่ื ๆในยคุ สมยั เดียวกนั อกั ษรท่ีผ่านการปฏิรูปน้ี รวมเรียกว่าอกั ษรเส่ียวจว้ นหรือจว้ นเลก็ ถือเป็นอกั ษรท่ีใชท้ ว่ั ประเทศจีน ภาพท่ี 1.5 อกั ษรเส่ียวจว้ น
65.อกั ษรล่ีซู (隶书) ภาพท่ี 1.6 อกั ษรลี่ซู ขณะที่ยคุ สมยั ฉินประกาศใชอ้ กั ษรจว้ นเลก็ อยา่ งเป็นทางการพร้อมกนั น้นั ก็ปรากฏว่ามีการใชอ้ กั ษรลีซ่ ู(隶书 ควบคู่กนัไป โดยมีการประยกุ ตม์ าจากการเขยนอกั ษรจว้ นอยา่ งง่าย อกั ษรลี่ซู ทาํ ใหอ้ กั ษรจีนกา้ วเขา้ สู่ขอบเขตของอกั ษรสญั ลกั ษณ์อยา่ งเตม็ รูปแบบ อาจกล่าวไดว้ า่ เป็นกระบวนการของการเปล่ียนรูปจาก อกั ษรโบราณท่ยี งั มีความเป็นอกั ษรภาพสู่ อกั ษรจีนทใี่ ชใ้ นปัจจุบนั ภาพที่ 1.7 อกั ษรข่ายซู 6.อกั ษรข่ายซู (楷书) เรียกอกี อยา่ งหน่ึงว่า 真书(อกั ษรจริง)หรือ 正书(อกั ษรบรรจง)เป็นอกั ษรจีนรูปแบบ มาตรฐานใชก้ นั อยา่ งแพร่หลายในปัจจุบนั เป็น เสน้ สัญลกั ษณ์ท่ี หลดุพน้ จากรูปแบบอกั ษรภาพของตวั อกั ษรยคุ โบราณอยา่ งสิ้นเชิง
7.อกั ษรเฉ่าซู (草书) 7 ภาพท่ี 1.8 อกั ษรเฉ่าซู ต้งั แต่กาํ เนิดมีตวั อกั ษรจีนเป็นตน้ มา อกั ษรแต่ละรูปแบบลว้ นมีวิธีการเขียนแบบตวั หวดั ท้งั สิ้น จวบจนถึงราชวงศฮ์ นั่ อกั ษรหวดัจึงไดร้ ับการเรียกขานว่า อกั ษรเฉ่าซู(草书 ( คาํ ว่า เฉ่า ในภาษาจีนหมายถึง อยา่ งลวก ๆหรืออยา่ งหยาบ) อกั ษรเฉ่าซู เกิดจากการนาํ เอาลายเส้นท่มี ีแต่เดิมมายน่ ยอ่ เหลือเพยี งขีดเส้นเดียว 8.อกั ษรสิงซู 行书 เป็นรูปแบบตวั อกั ษรทอ่ี ยกู่ ่ึงกลางระหวา่ งอกั ษรข่ายซูและอกั ษรเฉ่าซูอกั ษรเฉ่าซู เกิดจากการเขียนอกั ษรตวั บรรจงทเี่ ขียนอยา่ งหวดั หรืออกั ษรตวั หวดั ท่เี ขียนอยา่ งบรรจง อาจกล่าวไดว้ า่ เป็นตวั อกั ษรก่ึงตวั หวดั และก่ึงบรรจง อกั ษรสิงซู กาํ เนิดข้ึนในราวปลายราชวงศฮ์ น่ั ตะวนั ออก รวบรวม เอาปมเด่นของอกั ษรข่ายซูและเฉ่าซูเขา้ ดว้ ยกนั ภาพท่ี 1.9 อกั ษรสิงซู
8 กจิ กรรมการเรียนรู้ใหน้ กั เรียนเขียนอกั ษรจีนตามรูปตอ่ ไปน้ี ใหถ้ ูกตอ้ ง甲骨文 金文 大篆 隶书 楷书
9
10 生词 生词 拼音 意思历代服饰 Lìdài fúshì เคร่ืองแต่งกายในประวตั ิศาสตร์ 王朝 Wángcháo ราชวงศ์ 秦代 ราชวงศฉ์ ิน 汉代 Qíndài ราชวงศฮ์ นั่ 宋代 Hàndài ราชวงศซ์ ่ง 隋代 Sòngdài ราชวงศส์ ุย 唐代 Suídài ราชวงศถ์ งั 明代 Tángdài 新革命 Míngdài ราชวงศห์ มิง Xīn gémìng ยคุ ปฏิวตั ิซินไฮ่
11วัฒนธรรมกบั การแต่งกายของคนจนี ประวตั ิศาสตร์ของประเทศจีนมีมานานถึง 5 พนั ปี วฒั นธรรมเส้ือผา้ เครื่องแต่งกายของชาวจีนก็มีมายาวนานไม่แพก้ นั ซ่ึงในระยะเวลา 5 พนั ปี มาน้นั ชาวจีนไดร้ ับอทิ ธิพลเคร่ืองแต่งกายจากชนกลุ่มนอ้ ยเผา่ ต่าง ๆ ในประเทศจีน รวมถึงวฒั นธรรมการแต่งกายเส้ือผา้ ของชาวต่างชาติ ผสมผสานกนั จนเป็ นลกั ษณะพิเศษของการแต่งกายชาวจีนในยุคน้นั ๆ ซ่ึงการแต่งกายของชาวจีนน้นั มีความเปลี่ยนแปลงอยา่ งต่อเน่ือง และดูเหมือนว่าจะมีการพฒั นาต่อไปอยา่ งไม่หยดุ ย้งัวฒั นธรรมการแต่งกายแต่ละยุคสมยั ของชาวจีน ( 历代服饰 )สมยั ราชวงศ์ฉิน (秦代 221-220 ปี ก่อนคริสต์ศักราช) ภาพที่2.1 เส้ือผา้ กษตั ริยส์ มยั ฉิน สมยั ฉิน (秦 221-220 ปี ก่อนคริสต์ศกั ราช) เส้ือผา้ เคร่ืองแต่งกายสมยั ฉินไดร้ ับอิทธิพลจากแนวคิดอ๋นิ หยาง(( 阴阳)ความสมดุลของสรรพส่ิง กฎแห่งความสมดุลของธรรมชาติ) เน่ืองจากยุคสมยั ฉินค่อนข้างจะส้ัน ด่งั น้ันสีของเส้ือจะเป็ นการผสมผสานระหว่างสีเส้ือผา้ ที่ฉินซีฮ่องเตเ้ ป็ นผกู้ าํ หนดและสีเส้ือผา้ ตามประเพณีจารีตของยคุ จา้ นกว๋ั เส้ือผา้ ผชู้ ายสมยั ฉินเป็ นลกั ษณะเส้ือคลุมยาว ฉินซีฮ่องเตไ้ ดก้ าํ หนดใหใ้ ชส้ ีดาํ เป็ นหลกั ในการตดัเยบ็ สําหรับเส้ือผา้ พิธีการ โดยเช่ือว่าสีดาํ เป็ นสีท่ีคู่ควรแก่การไดร้ ับความเคารพ ขา้ ราชการยศระดบั3 ข้ึนไปใหใ้ ชส้ ีเขียวประกอบในการตดั เยบ็ ประชาชนทวั่ ไปใชส้ ีขาวประกอบในการตดั เยบ็ เส้ือผา้ผหู้ ญิง ฉินซีฮ่องเตไ้ ม่ไดม้ ีการกาํ หนดสีในการตดั เยบ็ เน่ืองจากท่านช่ืนชอบสีสันความสวยงามของเส้ือผา้ ทน่ี างสนมในวงั สวมใส่ จึงเนน้ เส้ือผา้ ทมี่ ีสีสันสวยหรู
12สมยั ราชวงศ์ฮ่ัน (汉代 202 ปี ก่อนคริสตศักราช –ค.ศ. 8) สมยั ราชวงศฮ์ นั่ (汉 202 ปี ก่อนคริสตศกั ราช – ค.ศ. 8) เส้ือผา้ สมยั ฮน่ั จะประกอบดว้ ย เส้ือคลุมยาว เส้ือลาํ ลองแบบ ส้นั กระโปรง (ผหู้ ญิง) และกางเกง (ผชู้ าย) ภาพท่ี2.2 เส้ือผา้ กษตั ริยส์ มยั ฮนั่ ในยคุ น้ีผา้ ท่มี ีลกั ษณะการถกั ทอไดร้ ับความนิยมเป็ นอยา่ งมาก ดงั น้นั คนท่ีมีเงินในสมยั น้นั จะสวมใส่เส้ือผา้ ที่ทาํ จากผา้ แพรต่วน ซ่ึงมีความสวยงามมาก โดยทว่ั ไปผูช้ าย จะสวมเส้ือส้ัน กางเกงขายาวและหากฐานะยากจน จะสวมเส้ือแขนส้นั ทต่ี ดั เยบ็ ดว้ ยผา้ หยาบ ในส่วนของผูห้ ญิงในสมยั ฮน่ั เส้ือผา้ มีต้งั แต่เป็นลกั ษณะเส้ือและกระโปรงต่อกนั (กี่เพา้ ) และแยกเส้ือกระโปรงเป็ น 2 ชิ้น กระโปรงจะ มากกระโปรงที่มีช่ือเสียงมากทสี่ ุดในสมยั น้นั คือ “กระโปรงลายเทพสถิต ระดบั ช้นั ของขา้ ราชการในสมยั ฮน่ั จะมีหมวกและสายประดบั ยศเป็นสญั ลกั ษณ์ในการแบง่ ช้นั ของขุนนาง ซ่ึงสมยั น้นั ตาํ แหน่งอคั รเสนาบดีเป็นขุนนางตาํ แหน่งสูงสุด
13 สมยั ราชวงศ์สุย และสมยั ราชวงศ์ถงั (隋唐 ค.ศ. 581-ค.ศ. 907)ภาพท่ี 2.3 เส้ือผา้ สมยั ราชวงศส์ ุย และสมยั ราชวงศถ์ งั (隋唐 ค.ศ. 581-ค.ศ. 907)สมยั สุยและถงั เส้ือผา้ ของสมยั ราชวงศส์ ุยและสมยั ราชวงศถ์ งั มีรูปแบบเส้ือผา้ ที่ มีความใกลเ้ คียงกนั สูง เส้ือผา้ ตน้ สมยั ราชวงศส์ ุยค่อนขา้ งจะเรียบง่ายเส้ือผา้ ยงั คงมีลกั ษณะ ภาพท่ี 2.4 เส้ือผา้ ผหู้ ญิงสมยั สุย กี่เพา้ หรือเส้ือคลุมยาว เมื่อกษตั ริยส์ ุยหยางข้ึน ครองราชยไ์ ดเ้ กิดการ เปลี่ยนแปลงข้ึนในสงั คม ซ่ึงส่งผลใหเ้ ส้ือผา้ ในยคุ สมยั ดงั กล่าวไดม้ ี การปรับเปล่ียนรูปแบบใหส้ วยงามข้ึนเช่นกนั สมยั ราชวงศซ์ ่ง ( 宋代 ค.ศ.960 - ค.ศ.1279) สมยั ราชวงศซ์ ่ง ( 宋 ค.ศ.960 - ค.ศ.1279) แบบเส้ือผา้ สมยั ราชวงศซ์ ่งยงั คงไดร้ ับอิทธิพลตกทอดมาจากสมยั ถงั แต่เน่ืองจากสมยั น้นั แนวความคิดปรัชญา(ของสาํ นกั ขงจ้ือ) เฟื่ องฟู พฤติกรรมของผคู้ นส่วนใหญ่คลอ้ ยตามแนวคาํ สอนของท่านขงจ้ือ มีรสนิยมช่ืนชมในความเป็ นธรรมชาติ ส่งผลใหแ้ บบเส้ือผา้ ของผคู้ นในสมยั ราชวงศซ์ ่งไม่เนน้ ลวดลายสีฉูดฉาด เคร่ืองแต่งกายเส้ือผา้ ของขา้ ราชการจะเป็นเส้ือคลุมยาว แขนเส้ือใหญ่ สวมหมวกประจาํ ตาํ แหน่ง มีการแบ่งสีเส้ือผา้ เพ่ือบ่งบอกยศตาํ แหน่ง ในส่วนของเส้ือผา้ สตรี เป็นลกั ษณะเส้ือคลุมตวั ใหญ่และยาว ช่วงคอตรง ผา้ ในส่วนรักแร้ท้งั สองขา้ งตดัแยกออกจากกนั หรือเรียกอีกอยา่ งหน่ึงว่า “เส้ือกกั๊ สมยั ซ่ง” แบบเส้ือผา้ น้ีไดร้ ับความนิยมในหมู่นางสนมในวงั และสตรีทว่ั ไปในสมยั น้นั ภาพที่ 2.5 เส้ือกกั๊ สมยั ซ่ง
14สมยั ราชวงศ์หมงิ (明代 ค.ศ.1368 - ค.ศ.1645)สมยั ราชวงศห์ มิง (ค.ศ.1368 - ค.ศ.1645) ในสมยั ราชวงศห์ มิง หรือสมยั แมนจูไดใ้ หค้ วามสาํ คญั กบัการฟ้ื นฟูวฒั นธรรมของชาวฮน่ั ดงั น้นั เครื่องแต่งกายจะมีกล่ินอาย การผสมผสานระหวา่ งสมยั ฮน่ัถงั และซ่ง เส้ือผา้ ชายจะเนน้ เส้ือคลุมยาว เป็นหลกั ขา้ ราชการจะเนน้ สวมใส่ชุด “ป่ ฝู ู” (补服)สวมหมวกผา้ แพรบาง (乌纱帽) สวมเส้ือคอกลม ลายผา้ ตรงกลางเส้ือคลุมยาวบ่งบอกถึงยศตาํ แหน่งทางราชการ สมยั น้นั ผชู้ ายทว่ั ไปยงั นิยมสวมหมวกผา้ แบบสีเหล่ียมอกี ดว้ ย ในส่วนของชุดแต่งกายสตรี สวมเส้ือกนั หนาวทีม่ ีซบั ในแบบจีน (袄) พกผา้ คลุมท่ีมีไวพ้ าดไหล่สีแดง(霞披)หรือพดั และสวมกระโปรงเป็นตน้รูปแบบเส้ือผา้ ส่วนใหญ่ เช่น เส้ือกกั๊ ยาว ยงั คงลอกเลียนมาจากสมยั ราชวงศถ์ งั และราชวงศซ์ ่ง นางในสมยั ราชวงศห์ มิงนิยมสวมใส่เส้ือผา้ ทดี่ ูน่าเล่ือมใส สวมเส้ือก๊กเป็นชุดนอก แขนเส้ือแลดูเขา้ รูปกระโปรงจีบขา้ งในสวมกางเกงขายาว ในสมยั ราชวงศห์ มิงหญิงสาวเร่ิมนิยมพนั เทา้ ใหเ้ ลก็ หรือเรียกกนัวา่ “เทา้ กลีบดอกบวั ” ภาพที่ 2.6 เครื่องแต่งกายผหู้ ญิงสมยั ราชวงศห์ มิง
15 ยุคปฏวิ ตั ิซินไฮ่ (新革命 ค.ศ.1911-ค.ศ.1949) ในยคุ น้ีเครื่องแต่งกายของชาวจีนนบั วนั ยงิ่ เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ วฒั นธรรมการแต่งกายแบบชาวตะวนั ตกเร่ิมเขา้ มา ทาํ ใหไ้ ม่วา่ จะเป็นชุดเส้ือคลุมยาวหลวมของผชู้ าย ก่ีเพา้ ผหู้ ญิง เส้ือกก๊ักางเกงและกระโปรง ลว้ นถกู ดดั แปลงผสมผสานระหว่างแบบเส้ือตะวนั ตกและแบบเส้ือจีน อกี ท้งั ในยคุ ดงั กล่าวยงั ไดถ้ ือกาํ เนิดแบบเส้ือใหม่ในยคุ น้นั คือ ชุดจงซานชุดนกั เรียน นกั ศึกษา ซ่ึงไดร้ ับความนิยมกนั อยา่ งกวา้ งขวาง ปัจจุบนั แมว้ ฒั นธรรมการแต่งกายของชาวจีนจะไม่สามารถคงความเป็ นรูปแบบเอกลกั ษณ์เครื่องแต่งกายประจําชาติได้อย่างประเทศในแถบอินเดีย เนื่องจากได้รับเอาค่านิยมแบบเส้ือผา้ จากชาวตะวนั ตกมาเป็ นส่วนใหญ่ แต่เราก็ยงั คงไดพ้ บเห็นแบบแฟชน่ั ท่ีบ่งบอกความเป็ นเอกลกั ษณ์ของชาวจีน เช่น ปกเส้ือคอจีน ก่ีเพา้ เป็ นตน้ ซ่ึงยงั เป็ นที่นิยม คงความสวยงามและเป็ นแบบเส้ือที่ไม่มีวนัตาย ภาพท่ี 2.7 เคร่ืองแต่งกายกี่เพา้
16 กจิ กรรมกำรเรียนรู้ให้นกั เรียนวาดภาพการแต่งกายของประเทศจีนที่ช่ืนชอบ พร้อมทงั้ บอกยคุ สมยั และลกั ษณะของการแตง่ กาย……………………………………………………………………………………...………………………………………………………………………......................
17
18 生词 生词 意思 饮食 拼音 อาหาร中国菜 อาหารจีน Yǐnshí มณฑลซานตง 山东 Zhōngguó cài มณฑลเสฉวน 四川 มณฑลเจียงซู 江苏 Shāndōng มณฑลกวางตุง้ 广东 Sìchuān อาหารเจอ้ เจียง 浙江 Jiāngsū มณฑลฮุยโจว 徽州 Guǎngdōng มณฑลฝโู จว 福州 Zhèjiāng มณฑลหูหนาน 湖南 Zhōu huì Fúzhōu กวา่ งซี 广西 Húnán เกาะไหหลาํ 海南 Guǎngxī Hǎinán
19วฒั นธรรมกบั อำหำรจีน ความกวา้ งใหญ่ไพศาลของประเทศจีนทาํ ใหแ้ ต่ละภูมิภาคมีวฒั นธรรมการกินและประเภทอาหารท่ีแตกต่างกนั ข้ึนกับสภาพภูมิประเทศ สภาพภูมิอากาศ ประวตั ิศาสตร์ แหล่งวตั ถุดิบ และธรรมเนียมเรื่องการกินต้งั แต่อดีตที่แตกต่างกนั ไป ปัจจยั ต่างๆ ผ่านระยะเวลาอนั ยาวนานจนเกิดเป็ นอาหารจีน 4กลุ่มใหญ่ ไดแ้ ก่ อาหารซานตง อาหารเสฉวน อาหารเจียงซู และอาหารกวางตุง้ เม่ือถึงปลายราชวงศ์ชิง อาหารเจอ้ เจียง อาหารฮกเก้ียน อาหารหูหนาน และอาหารอนั ฮุย เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดงั ข้ึน จึงถูกจดัใหเ้ ป็นอาหาร 8 กลุ่มใหญ่ (八大菜系) ดงั น้ีภาพที่ 3.1 ปลิงทะเลเคี่ยวตน้ หอม 1. อาหารซานตง (魯) มีถิ่นกาํ เนิดในแถบมณฑลซานตง (山东 ) มีประวตั ิความเป็นมายาวต้งั แต่ปลายสมยั ราชวงศซ์ าง จุดเด่นของอาหาร ซานตงคือการแฝงสรรพคุณในการรักษาโรค มกั ใชเ้ กลือปรุงรสเพ่ือชู รสชาติเดิมของวตั ถุดิบ ทาํ ให้มีรสชาติเคม็ นอกจากน้ียงั ใส่ตน้ หอม ขิง และกระเทยี มเพือ่ เพิ่มความหอม 2. อาหารเสฉวน (川菜) มีถ่ินกาํ เนิดในแถบมณฑลเสฉวน (四川) อา ห า ร เ ส ฉ ว น โ ด ด เ ด่ น ข้ึ น ม า ใ นส มัย ร า ช ว ง ศ์ ฉิ นแ ล ะ ร า ช ว ง ศ์ฮ่ัน ตะวนั ตก มีรสชาติท่ีเขม้ ขน้ ดว้ ยเครื่องปรุงรส ใส่น้าํ มนั ปริมาณมาก นิยมทาํ ใหม้ ีกลิ่นหอมของปลา เผด็ ร้อน เผด็ ชา และเปร้ียวภาพท่ี 3.2 เน้ือเสน้ หอมกลิ่นปลา 3. อาหารเจียงซู (苏菜) มีถ่ินกาํ เนิดในแถบมณฑลเจียงซู (江苏) พ้ืนท่ีในแถบน้ีค่อนขา้ งอุดมสมบูรณ์ วตั ถุดิบประกอบอาหารจึงมีความ หลากหลายโดยเฉพาะอาหารทะเล รสชาติอาหารเนน้ ไปทางหวานภาพที่ 3.3 หมเู หลี่ยมอบ
ภาพที่ 3.4 ไก่ตม้ สบั 20 4. อาหารกวางตุ้ง (粤菜) มีถิ่นกําเนิดในแถบมณฑลกวางตุ้ง (广东) กวางสี (广西) และไหหลาํ (海南) อาหารกวางตุง้ ใช้ วตั ถุดิบและเคร่ืองปรุงรสหลากหลายตามฤดูกาล เนน้ รูป รส กล่ิน และ สี อาหารบางชนิดคลา้ ยกบั อาหารจีนในไทย เน่ืองจากไดร้ ับอิทธิพล โดยตรง 5. อาหารเจ้อเจียง (浙菜) มีถิ่นกาํ เนิดในแถบมณฑลเจ้อเจียง (浙江) มกั ใชว้ ตั ถุดิบที่สดใหม่โดยเฉพาะอาหารทะเล ปรุงรสเพียง เล็กน้อยเพื่อคงรสชาติด้ังเดิมของวตั ถุดิบเอาไว้ บางชนิดมีรสชาติ เขม้ ขน้ภาพที่ 3.5 กุง้ ผดั ชาหลงจิ่งภาพท่ี 3.6 กุง้ น้าํ เกลือ 6. อาหารฮกเก้ียน (闽菜) มีถ่ินกําเนิดในแถบฝูโจว (福州) เน่ืองจากลกั ษณะทางภูมิศาสตร์ของฝูโจวตอนเหนือเป็ นภูเขา ตอนใต้ ติดทะเล จึงมีวตั ถุดิบจาํ พวกของป่ า เช่น เห็ด หน่อไม้ และอาหารทะเล 7. อาหารหูหนาน (湘菜) มีถ่ินกาํ เนิดในแถบมณฑลหูหนาน (湖南) ใชว้ ตั ถุดิบค่อนขา้ งหลากหลาย ส่วนใหญ่รสชาติเผด็ ร้อน เคม็ และมีปริมาณน้าํ มนั มากภาพท่ี 3.7 หูฉลามตุ๋น
21 8. อาหารอนั ฮุย (徽菜) มีถิ่นกาํ เนิดในแถบเมืองฮุยโจว (徽州 ) ต้งั แต่สมยั ราชวงศ์ซ่งเหนือ อาหารอนั ฮุยจะใชว้ ตั ถุดิบที่สดใหม่ เน้น เทคนิคเรื่องความแรงของไฟและกรรมวธิ ีที่หลากหลายภาพท่ี 3.8 ปลาหมกั
22 กจิ กรรมการเรียนรู้1.จงตอบคาํ ถามต่อไปน้ีใหถ้ ูกตอ้ ง 1. อาหารจีนแบ่งออกเป็นกี่กลุ่มใหญ่ อะไรบา้ ง …………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………. 2. อาหารซานตงมีถิ่นกาํ เนิดในแถบมณฑลใด จุดเด่นของอาหารซานตงมีลกั ษณะอยา่ งไร …………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… 3. อาหารที่ใชว้ ตั ถุดิบและเครื่องปรุงรสหลากหลายตามฤดูกาล เนน้ รูป รส กลิ่น และสี อาหารบาง ชนิดคลา้ ยกบั อาหารจีนในไทย คืออาหารใด …………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………..2. ใหน้ กั เรียนแบ่งกลุ่ม5-6 คน ศึกษาการทาํ อาหารไทยและอาหารจีน ข้นั ตอนการทาํ อาหาร แลว้ นาํสร้างสรรคป์ ระกอบอาหารเป็นเมนูอาหารท่นี กั เรียนสนใจ
23
24 生词 生词 意思 春节 เทศกาลตรุษจีน元宵节 拼音 เทศกาลโคมไฟ端午节 เทศกาลไหวบ้ ะ๊ จ่าง中秋节 Chūnjié เทศกาลไหวพ้ ระจนั ทร์ Yuánxiāo jié ขนมไหวพ้ ระจนั ทร์ 月饼 Duānwǔ jié Zhōngqiū jié Yuèbǐng
25 6 วฒั นธรรมกบั ประเพณจี ีน นอกเหนือจากความรู้ในเร่ืองของประวตั ิพระ และพิธีกรรมต่างๆ ที่สหายเราใหค้ วามสนใจเป็นพิเศษแลว้ ผมเห็นวา่ ในเรื่องของวฒั นธรรมและประเพณีต่างๆ ของจีนที่ถือปฏิบตั ิกนั มาก็นบั เป็นองค์ความรู้หน่ึงที่สหายเราจะไดร้ ่วมกนั ศึกษาเรียนรู้ อนั จะทาํ ให้เราไดท้ ราบถึงประวตั ิความเป็ นมาและความหมายที่ซ่อนเร้นไวใ้ นประเพณีต่างๆ จึงขอเชิญสหายไดร้ ่วมกนั คน้ ควา้ และบนั ทึกไวเ้ ป็ นองค์ความรู้ของเวบ็ ไซตน์ ้ีใหเ้ กิดความรู้ที่กวา้ งขวางยงิ่ ข้ึน อนั จะสามารถอาํ นวยประโยชน์ให้กบั ผคู้ นในวงกวา้ งต่อไป เทศกาลตรุษจนี (春节) วนั ตรุษจีน หรือ วนั ข้ึนปี ใหม่ของจีน มีความน่าสนใจเป็นอยา่ งยง่ิ ในวฒั นธรรมอื่นๆ ความปรารถนาสิ่งที่เราหวงั ว่าจะไดป้ รับปรุง หรือท่ีเราคิดทาํ เม่ือเริ่มตน้ ในปี ใหม่ มาถึงตอนน้ีถา้ ไม่ถูกลืมก็ถูกยดั ลงกล่องใส่ตูป้ ิ ดตายและแปะหนา้ ตูว้ า่ ไม่แน่ เอาไวท้ าํ ปี หนา้ แลว้ กนั อยา่ งไรกด็ ี ความหวงั ก็คงยงั ไม่สูญไปท้งั หมดเพราะโอกาสท่ีสองกาํ ลงั มาถึงแลว้ กบั การฉลองวนั ปี ใหม่จีนหรือท่ีเรารู้จกั กนั ว่าตรุษจีนในวนั ท่ี 1 กุมภาพนั ธ์ ตรุษจีนน้ันคลา้ ยคลึงกบั วนั ปี ใหม่ในประเทศทางตะวนั ตก ร่องรอยของประเพณี และพิธีกรรมความเป็ นมาของการฉลองตรุษจีน น้ันมี มานานกว่าศตวรรษ จริงๆแลว้ นานมาก จนไม่สามารถยอ้ นกลบั ไปดูว่าเริ่มตน้ ฉลองมาต้งั แต่เม่ือไร เป็ นที่รู้จกั และจาํ ไดท้ วั่ ไปว่าเป็ น การฉลองเทศกาลฤดูใบไมผ้ ลิ และการฉลองเป็นเวลานานถึง 15 วนั การเตรียมงานฉลองส่วนใหญ่จะเร่ิมหน่ึงเดือนก่อนวนัตรุษจีน (คลา้ ยกบั วนั คริสตม์ าสของประเทศตะวนั ตก) ตามตาํ นาน เมื่อฤดูหนาวใกลจ้ ะผา่ นไป ฤดูใบไมผ้ ลิเวียนมาใกล้ เหนียน ก็จะออกมาทาํ ร้ายผคู้ นเพือ่ ป้องกนั การมาของ เหนียน ทุก ๆ ครัวเรือนจึงต่างสะสมเสบียงอาหาร และกบั ขา้ วจาํ นวนหน่ึงไว้ในบา้ น เมื่อถึงตอนค่าํ ของวนั ท่ี 30 เดือน 12 กจ็ ะปิ ดประตูและหนา้ ต่างเอาไว้ ไม่หลบั ไม่นอนตลอดคืนเพื่อต่อสู้กบั เหนียน จนกระทงั่ ถึงรุ่งเชา้ ก็จะเป็ นวนั ข้ึน 1 ค่าํ เดือน 1 เม่ือ เหนียน กลบั ไปแลว้ ทุก ๆครัวเรื อนก็จะเปิ ดประตูออกมาแสดงความยินดีต่อกัน ท่ีโชคดีไม่ได้ถูก เหนียน ทําร้าย
26 ต่อมาพบว่า เหนียน มีจุดอ่อน มีอยคู่ ร้ังหน่ึง เมื่อ เหนียน มาถึงหมู่บา้ นแห่งหน่ึง มีเดก็ กลุ่มหน่ึงกาํ ลงัหวดแส้เล่นกัน เม่ือ เหนียน ไดย้ ินเสียงแส้ดงั เปร้ียงปร้างก็เลยตกใจเผ่นหนีไป เมื่อ เหนียน ไปถึงหมู่บา้ นอีกแห่งหน่ึง เห็นมีชุดเส้ือผา้ สีแดงตากอยหู่ นา้ บา้ นของครอบครัวหน่ึง สีแดงฉูดฉาดน้นั ทาํ ให้เหนียน ตกใจและเผ่นหนีไปอีก เม่ือ เหนียน มาถึงหมู่บา้ นแห่งที่สาม ปรากฏว่าไปพบเห็นกองเพลิงกองหน่ึงบนถนน แสงเพลิงทเ่ี จิดจา้ ทาํ ให้ เหนียน ตอ้ งเผน่ หนีไป เมื่อวนั ส่งทา้ ยตรุษจีนเวยี นมาอีกคร้ังหน่ึง ทุก ๆ ครัวเรือนจึงต่างนาํ กระดาษสีแดงมาติดไวบ้ นประตูหนา้ บา้ น แขวนโคมไฟสีแดง พร้อมกบั จุดประทดั และตีฆอ้ งรัวกลองอยา่ งต่อเน่ือง เม่ือ เหนียน มาถึงในตอนเยน็ เห็นทุก ๆ ครัวเรือนมีแสงไฟสว่างไสว มีเสียงประทดั ดงั สนนั่ จึงตกใจเผน่ หนีกลบั เขา้ ป่ าไป และไม่กลา้ ออกมาอาละวาดอีก ทุก ๆ คนจึงผา่ นพน้ คืนแห่งอนั ตรายไปอย่างปลอดภยั เม่ือฟ้าสางแลว้ ผคู้ นจึงออกมาจากบา้ น กล่าวคาํ อวยพรซ่ึงกนั และกนั อย่างมีความสุข พร้อมกบั การนาํ อาหารออกมารับประทานร่วมกนั อยา่ งสนุกสนาน
27เทศกาลโคมไฟ (หยวนเซียวเจ๋ีย) (元宵节) เทศกาลโคมไฟ คือ เทศกาลฉลองในวนั ท่ี 15 เดือน 1 ตามปฏิทินจนั ทรคติ เป็ นสัญลกั ษณ์ของวนัสุดทา้ ยในการฉลองเทศกาลปี ใหม่ของจีนตามปฏิทินทางจนั ทรคติ ในเทศกาลโคมไฟ เด็กๆ จะถือโคมไฟกระดาษ ออกไปวดั กนั ในตอนกลางคืน และพากนั ทายปริศนาท่ีอยบู่ นโคมไฟ เรียกวา่ ไชเติงหมี ในสมยั โบราณ โคมไฟจะทาํ เป็นรูปแบบง่ายๆ จะมีเพียงแต่ของกษตั ริย์ และขุนนางเท่าน้นั ที่จะมีโคมไฟท่ีหรูหราใหญ่โต แต่ในสมยั ปัจจุบนั , โคมไฟไดถ้ ูกประดบั ประดาดว้ ยรูปแบบที่ซบั ซ้อนมากข้ึน ตวั อยา่ งเช่น มกั จะทาํ โคมไฟเป็นรูปสัตวต์ ่างๆ โคมไฟมกั จะทาํ เป็นสีแดงเพ่ือเป็นสัญลกั ษณ์ของความโชคดี ในเดือนแรกของปฏิทินจนั ทรคติเรียกว่า เดือนหยวน และในสมยั ก่อนเรียกเวลากลางคืนว่า เซียวในภาษาจีนกลาง ดงั น้ัน ในประเทศจีนวนั น้ีจึงถูกเรียกว่า เทศกาลหยวนเซียว ในวนั ท่ี 15 ของเดือนแรกในปี จนั ทรคติน้ีเป็ นวนั ที่พระจนั ทร์เต็มดวง ตามประเพณีของลทั ธิเต๋าวนั ที่ 15 ในเดือนแรกของปฏิทินจนั ทรคติ เรียกวา่ ซ่างหยวน ตรงกบั คาํ เรียก \"เทพแห่งฟ้า\" \" ท่านเป็นผทู้ ี่ชอบแสงสว่าง และวตั ถุแห่งความสุข ดงั น้นั ผคู้ นจึงไดแ้ ขวนโคมไฟสีสันสวยงามนับพนั ๆ เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณท่าน ในปัจจุบนั ผูค้ นจะมีการละเล่นแกป้ ริศนาที่อยู่ในโคมไฟ และกินขนมบวั ลอยในเทศกาลหยวนเซียว เรียกว่า ขนมทงั หยวน และครอบครัวก็มีการมารวมตวั กนั อยา่ งมีความสุข ตามตาํ นาน ว่ากนั ว่าเม่ือนานมาแลว้ เป็นยคุ ที่มีสัตวร์ ้ายมากมายเที่ยวทาํ ร้ายผคู้ น ทาํ ใหม้ นุษยต์ อ้ งรวมตวั กนั ต่อสู้ กระทง่ั วนั หน่ึง ไดม้ ีวหิ คสวรรคบ์ นิ หลงมายงั โลก แลว้ ถูกบรรดานายพรานพล้งั มือฆ่าตาย จนทาํ ใหเ้ งก็ เซียนฮ่องเตท้ รงพโิ รธ มีราชโองการใหเ้ หล่าขุนพลสวรรคเ์ ดินทางมาเพื่อปล่อยเพลิงเผาทาํ ลายมนุษยแ์ ละทรัพยส์ ินท้งั หลายใหห้ มดสิ้น ในคืน 15 ค่าํ เดือนอา้ ย
28 ในคร้ังน้นั ธิดาผขู้ องเงก็ เซียนฮ่องเต้ เกิดสงสารไม่อาจทนเห็นผคู้ นตอ้ งประสบเภทภยั จึงแอบขี่เมฆบินลงมายงั โลกมนุษย์ เพ่ือเตือนภยั ล่วงหนา้ เมื่อน้นั จึงมีผเู้ ฒ่าคนหน่ึงไดเ้ สนอแผนการว่า ในคืนวนั14 ค่าํ -16 ค่าํ เดือนอา้ ย ให้ทุกคนแขวนโคมประดบั จุดประทดั เสียงดงั พร้อมกบั จุดพลุ เช่นน้ีแลว้เงก็ เซียนฮ่องเตจ้ ะเขา้ ใจวา่ คนบนโลกถูกเผากนั หมดแลว้ ทกุ คนต่างเห็นดว้ ย แลว้ แยกยา้ ยกนั ไปเตรียมการตามแผนน้นั ในวนั 15 ค่าํ เม่ือเงก็ เซียนฮ่องเตท้ รงทอดพระเนตรลงมา ทรงเห็นวา่ บนโลกนอกจากแดงเถือกไปหมดแลว้ ยงั มีเสียงดงั โหวกเหวก ต่อเนื่องเป็นเวลา 3 วนั จึงคิดว่าโลกไปถูกไฟเผาไปแลว้ เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ในคร้ังน้ี ทาํ ใหท้ ุกปี เม่ือถึง 15ค่าํ เดือนอา้ ย ทุกๆบา้ นกจ็ ะมีการแขวนโคมไฟ และจุดประทดั เพ่อื ระลึกถึงวนั ดงั กล่าว
29เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง หรือ ตวนอ่เู จ๋ีย (端午节) เทศกาล วนั ไหวข้ นมจ่าง ( บะ๊ จ่าง ) หรือ เทศกาลตวนอเู่ จ๋ีย เป็นเทศกาลท่ีสืบทอดกนั มาแต่โบราณของประเทศจีน ตรงกบั วนั ที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินทางจนั ทรคติ หรือ “โหงวเหว่ยโจ่ว” เป็นการระลึกถึงวนั ที่ คุกงว้ น หรือ ชีหยวน หรือ จู กวีผูร้ ักชาติแห่งรัฐ นอกจากน้ีในประเทศจีน บริเวณแม่น้าํ ฉางเจียง ( แยงซีเกียง ) , ฮ่องกง, ไตห้ วนั , มาเก๊า ยงั มีการละเล่น แข่งเรือมงั กร ( Dragon Boat Festival )จดั อยา่ งยิ่งใหญ่ในวนั น้ีดว้ ย ทางรัฐบาลจีนยงั กาํ หนดให้วนั ข้ึน 5 ค่าํ เดือน 5 น้ีเป็ น วนั กวีจีน อีกดว้ ยเนื่องจากชีหยวน นบั เป็นอกี ผหู้ น่ึงท่เี ป็นกวีคนสาํ คญั ของจีน ตามตาํ นานเล่าว่า ชีหยวนเป็ นขุนนางที่มีความซื่อสัตย์ ยึดถือคุณธรรม กลา้ พูดกล้าทาํ ชอบช่วยเหลือชาวบา้ น ต่อมาถูกเหล่าขุนนางกังฉินกลน่ั แกลง้ จนถูกปลดตาํ แหน่ง และเนรเทศออกจากแควน้ ฉู่ รัฐฉินจึงถือโอกาสเขา้ โจมตีรัฐฉู่จนล่มสลาย ชีหยวนมีใจรักชาติแต่ไม่อาจทาํ สิ่งใดได้ จึงกระโดดแม่น้าํ เปาะล่อกงั ( บางตาํ ราวา่ เป็นแม่น้าํ แยงซีเกียง ) ตายในวนั ข้ึน 5 ค่าํ เดือน 5 น้นั เอง ชาวบา้ นที่รู้เร่ืองการตายของชีหยวน ระลึกถึงความดีจึงไดอ้ อกเรือเพ่ือตามหาศพ ในขณะท่ีคน้ หาพวกเขากเ็ ตรียมขา้ วปลาอาหารไปโปรยลงแม่น้าํ ดว้ ย นยั ว่าเพ่ือล่อใหส้ ัตวน์ ้าํ มากิน จะไดไ้ ม่ไปกดั กินซากศพของชีหยวน หลงั จากน้นั ทุกปี เม่ือครบรอบวนั ตาย ชาวบา้ นจะนาํ เอาอาหารไปโปรยลงแม่น้าํเปาะล่อกงั เม่ือทาํ มาไดส้ องปี ก็มีชาวบา้ นผูห้ น่ึงฝันเห็นชีหยวนท่ีมาในชุดอนั สวยงาม กล่าวขอบคุณเหล่าชาวบา้ นที่นาํ เอาอาหารไปโปรยให้เพื่อเซ่นไหว้ แต่เขาบอกว่าอาหารถูกเหล่าสัตวน์ ้าํ กินเสียจนหมด เน่ืองจากบริเวณน้นั มีสัตวน์ ้าํ อาศยั อยมู่ ากมาย ชีหยวนจึงแนะนาํ ใหน้ าํ อาหารเหล่าน้นั ห่อดว้ ยใบไผ่ หรือใบจากก่อนนาํ ไปโยนลงน้าํ ในปี ต่อมาชาวบา้ นต่างก็ทาํ ตามที่ชีหยวนแนะนาํ ชีหยวนก็ไดม้ าเขา้ ฝันชาวบา้ นอกี ว่าไดก้ ินมากหน่อย แต่ก็ยงั คงโดนสัตวน์ ้าํ แยง่ ไปกินได้ ชาวบา้ นตอ้ งการให้ชีหยวนไดก้ ินอาหารทพ่ี วกเขาเซ่นใหอ้ ยา่ งอ่มิ หนาํ สาํ ราญจึง ไดถ้ ามชีหยวนว่าควรทาํ เช่นไรดี จึงไดค้ าํ แนะนาํว่าเวลาท่ีจะนาํ อาหารไปโยนลงแม่น้าํ ให้ตกแต่งเรือเป็ นรูปมงั กรไป เม่ือสัตวน์ ้าํ ท้งั หลายไดเ้ ห็นก็จะนึกวา่ เป็นเคร่ืองเซ่นของพญามงั กร จะไดไ้ ม่กลา้ เขา้ มากิน ประเพณีการแข่งเรือมงั กร และประเพณีการไหวข้ นมจา้ ง ( บะ๊ จ่าง ) จึงเกิดข้ึน
30เทศกาลไหว้พระจนั ทร์ (中秋节) เทศกาลไหวพ้ ระจนั ทร์ หรือ เทศกาลกลางฤดูใบไม)้ เป็นเทศกาลตามวฒั นธรรมจีนท่ีมีข้ึนในกลางฤดูใบไมร้ ่วง เพ่ือเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยว จะมีข้ึนในคืนวนั เพญ็ เดือน 8 ตามปฏิทินจนั ทรคติ(กนั ยายนตามปฏิทินสากล) ในเทศกาลน้ี ชาวจีนจะเฉลิมฉลองดว้ ยการไหวด้ วงจนั ทร์ในเวลากลางคืน ในบางประเทศ เช่นสิงคโปร์ หรือเวยี ดนาม จะจดั เป็นประเพณีใหญ่ มีการเฉลิมฉลองดว้ ยโคมไฟสีแดง เป็นสีสันยามค่าํคืน หรือบางแห่งอาจมีการเชิดมงั กร[4] ท้งั น้ีจะมีชื่อเรียกต่างกนั ออกไปตามแต่ทอ้ งถ่ิน นอกจากน้ีแลว้ ยงั มีขนมชนิดหน่ึง เรียกว่า \"ขนมไหวพ้ ระจนั ทร์\" (月饼) ทีม่ ีสนั นิษฐานกลมคลา้ ยขนมเคก้ ทาํ จากแป้ง มีไส้ต่าง ๆ เป็นธญั พืช ใชเ้ ซ่นไหวแ้ ละรับประทานกนั จนเป็ นเอกลกั ษณ์สาํ หรับเทศกาลน้ี ที่มาของเทศกาลน้ี เกี่ยวกบั เทพปกรณมั จีนทเ่ี ล่าถึง เทพธิดาแห่งดวงจนั ทร์ ที่ชื่อ \"ฉางเอ๋อ\" (嫦娥)ซ่ึงเป็นหญิงคนรักของโฮวอ้ี นกั ยงิ ธนูแห่งสวรรค์ ทใ่ี ชธ้ นูยงิ ดวงอาทิตยต์ กลงไปถึง 9 ดวงจากท้งั หมด10 ดวง ซ่ึงเป็นการกระทาํ ที่ฝ่าฝืนบญั ชาสวรรค์ จึงโดนลงทณั ฑ์ให้ไปใชช้ ีวิตธรรมดาเช่นมนุษยท์ วั่ ไปบนโลกมนุษยก์ ับฉางเอ๋อ แต่แลว้ โฮวอ้ีก็ถูกคนสนิททรยศฆ่าตาย ส่วนฉางเอ๋อ นางไดด้ ่ืมน้าํ อมฤตเพอื่ ท่จี ะมีชีวติ อมตะ แลว้ เหาะกลบั ไปยงั ดวงจนั ทร์อกี คร้ังตามลาํ พงั ดว้ ยความเศร้าสร้อย ในยคุ ของฮนั่เหวินต้ี (漢文帝) แห่งราชวงศ์ฮน่ั ไดท้ รงพระสุบินว่า พระองค์ลอยข้ึนไปเที่ยวชมพระราชวงั บนดวงจนั ทร์ และไดพ้ บกบั ฉางเอ๋อกาํ ลงั ร่ายรําอยู่อย่างงดงาม ในสุบินน้นั พระองค์ทรงเพลิดเพลินและเกษมสาํ ราญเป็นอยา่ งยง่ิ กระทง่ั เม่ือต่ืนพระบรรทมและโปรดให้สุบินน้นั เป็ นความจริง จึงมีรับสั่งให้นางสนมแต่งตวั และร่ายรําเลียนแบบเทพธิดาฉางเอ๋อทพี่ ระองคไ์ ดพ้ บเจอมา จนแพร่หลายไปสู่ราษฎรและเป็ นประเพณีมา ซ่ึงในอดีต ชาวจีนโดยเฉพาะหญิงสาวจะสวดขอพรจากฉางเอ๋อเพ่ือท่ีขอให้มีความเยาวว์ ยั และงดงามตลอดไปดุจดง่ั นาง นอกจากน้ีแลว้ ยงั มีอกี ตาํ นานหน่ึงท่เี ก่ียวกบั ประวตั ิศาสตร์ ขณะที่ชาวฮน่ั ถูกปกครองอยา่ งกดขี่จากชาวมองโกล (ราชวงศห์ ยวน) ไดม้ ีการก่อกบฏข้ึนของชาวฮน่ั ดว้ ยการแอบส่งสาสน์บอกต่อ ๆ กนั ในไส้ขนม ความว่า คืนน้ีเมื่อเวลายาม 3 ใหท้ ุกบา้ นจดั การสงั หารทหารมองโกลให้หมด อนั เป็นท่ีมาของขนมไหวพ้ ระจนั ทร์
31 กจิ กรรมการเรียนรู้ให้นกั เรียนแบง่ กลมุ่ 5-6คน ศกึ ษาเก่ียวกบั ตานานของเทศกาลของจีน พร้อมแสดงบทบาทสมมติหน้าชนั้ เรียน
32
33生词 生词 意思 ศาสนา宗教 拼音 ความเชื่อ信仰 เทพเจา้ ,สิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิ神明 Zōngjiào เล่าจ้ือ Xìnyǎng ขงจ้ือ老子 Shénmíng ศาสนาพทุ ธ孔子 Lǎozi ลทั ธิขงจ้ือ佛教 Kǒngzǐ儒教 fójiào ลทั ธิเต๋า rújiào道教 dàojiào
34วฒั นธรรมกบั ศาสนาและความเชื่อของจนีความเชื่อด้งั เดิมที่ชาวจีนรับมาจากบรรพบรุ ุษท่ีสาํ คญั คือ ภาพท่ี 5.1 ภาพหยนิ หยาง1. ลทั ธิขงจ้ือ เป็ นคาํ สอนที่มีความสําคัญ ซ่ึงอธิบายความสัมพนั ธ์ระหว่างคนในสังคมไวอ้ ย่างชัดเจน คือความสมั พนั ธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกหลาน ความสัมพนั ธ์ระหว่างสามีภรรยา ความสัมพนั ธ์ระหว่างพ่ีนอ้ ง หรือผใู้ หญ่กบั ผเู้ ยาว์ ความสมั พนั ธ์ระหว่างครอบครัวกบั ครอบครัว นอกน้นั ยงั มีรายละเอียดอ่ืนๆท่เี กี่ยวกบั ความสัมพนั ธข์ องผคู้ นในระดบั ต่างๆ ท่ีสาํ คญั คือ การเนน้ ความกตญั ํูกตเวทีต่อพ่อแม่ และบรรพบรุ ุษ2. ลทั ธิเต๋า เป็นคาํ สอนทางปรัชญา ที่ว่าดว้ ยชีวิตกบั ธรรมชาติ สอนให้บุคคลดาํ เนินชีวิตโดยไม่ฝื นธรรมชาติรู้จกั ตนเอง เอาชนะตนเอง รู้จกั พอ สอนใหร้ ู้จกั สันโดษ สอนว่า การปกครองท่ีดีน้นั ไม่ควรใชอ้ าํ นาจมาก ไม่ควรมีกฎระเบยี บมาก ให้เป็นไปโดยธรรมชาติ เหมือนชีวิตในครอบครัวเดียวกนั ต่อมาเต๋าได้ปรับตวั ผสมผสานกบั พุทธศาสนานิกายมหายานในจีน ทาํ ให้เกิดมี ไตรสุทธิ หรือพระผบู้ ริสุทธ์ิท้งัสาม คือ เล่าจ๊ือ พ่อนโกสี (เทพผสู้ ร้างโลก) และเงก็ เซียนฮ่องเต้ เป็นตน้3. พทุ ธศาสนามหายาน นอกจากจะช้ีทาง เพอ่ื การพน้ ทุกข์ เหมือนคาํ สอนของพุทธศาสนา ฝ่ ายเถรวาท ยงั มีการผสมผสานกบั ความเชื่ออ่ืนๆ มีพระพุทธเจา้ และพระโพธิสัตว์ จาํ นวนมากมาย พระพุทธเจา้ องค์สาํ คญั ที่สุด คือพระอมิตาภะ และพระโพธิสัตวอ์ งค์สาํ คญั ท่ีสุด คือ พระอวโลกิเตศวร หรือกวนอิม หัวใจการปฏิบตั ิธรรม คือ ตอ้ งมีท้งั ปัญญา และกรุณา ควบคู่กนั ไป เนน้ การละความเห็นแก่ตวั และทาํ ประโยชน์แก่ส่วนรวม ซ่ึงเป็นทมี่ าขององคก์ รการกุศลต่างๆ เช่น มูลนิธิป่ อเต๊กต๊ึง โรงพยาบาลหวั เฉียว ถนน ศาลาโรงธรรม เป็นตน้
354. การนบั ถือเทพเจา้ เป็นความเช่ือทเี่ ก่าแก่ที่สุดทบ่ี รรพบรุ ุษไดถ้ ่ายทอดมา มีเทพเจา้ ประจาํ สถานท่ี ทะเลภูเขา ป่ า แม่น้าํบา้ นเรือน ประจาํ อาชีพ เทพเจา้ ช้นั สูงที่มีคุณธรรมเป็นเลิศ ไดแ้ ก่ เทพเจา้ กวนอู เจา้ แม่ทบั ทิม เป็นตน้เทพเจา้ ช้นั สูงสุด ไดแ้ ก่ พระพทุ ธเจา้ พระโพธิสัตว์ และเทพเจา้ ท่ีถือว่า เป็นเซียนต่างๆ เช่น โป๊ ยเซียนเป็นตน้ จะมีศาลเจา้ ขนาดต่างๆ สร้างไวใ้ นชุมชน หรือสถานทต่ี ่างๆ เพอื่ การสักการะ ประเพณีสําคญั ของชาวจีนที่ยงั เหลืออยู่ และไดร้ ับการปฏิบตั ิอย่างสม่าํ เสมอ มีหลายประเพณีดว้ ยกนั เช่น ตรุษจีน สารทจีน เชง้ เมง้ เทศกาลกินเจ เป็นตน้ พิธีกรรมสําคญั ในแต่ละช่วงชีวิต ไดแ้ ก่พิธีรับขวญั เดก็ พธิ ีแต่งงาน พธิ ีแซยดิ ครบรอบปี เกิดสาํ คญั เช่น ครบห้ารอบ หรืออายุ ๖๐ ปี พิธีกงเต๊กหรือพิธีศพใหผ้ ูล้ ่วงลบั โดยจดั เครื่องในพิธีที่ประกอบดว้ ย กระดาษรูปทรงสมบตั ิในบา้ น เคร่ืองใช้ต่างๆ เพอื่ อทุ ิศใหผ้ ตู้ าย ภาพท่ี 5.2 ภาพขงจ้ือ
36 กจิ กรรมการเรียนรู้ใหน้ กั เรียนศึกษาเพิ่มเติมเก่ียวกบั ศาสนาและความเชื่อของจีนและศาสนาและความเชื่อของไทย แลว้นาํ มาเปรียบเทยี บวา่ มีความเหมือน หรือแตกต่างกนั อยา่ งไรศาสนาและความเช่ือของจีน……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………ศาสนาและความเช่ือของไทย…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….ความเหมือน……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………ความแตกต่าง………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………............................................
บรรณานุกรม มหาวิทยาลยั ครูหนานจิง,มหาวทิ ยาลยั ครูอนั ฮุย.(2550) ความรู้ทวั่ ไปเก่ียวกบั ประวตั ิศาสตร์จีน/วิทยาลยั ภาษาจีนปักกิ่ง : โรงพิมพส์ ุขภาพใจ.กรุงเทพมหาวทิ ยาลยั ครูหนานจิง,มหาวทิ ยาลยั ครูอนั ฮุย (2550) ความรู้ทว่ั ไปเกี่ยวกบั ธรรมประเทศจีน/วิทยาลยั ภาษาจีนปักก่ิง : โรงพิมพส์ ุขภาพใจ.กรุงเทพ ปกหลงั
Search
Read the Text Version
- 1 - 42
Pages: