สงิ ส�ร�สัตว์มานษุ ยวิทยาว่าดว้ ยสตั วแ์ ละสตั วศ์ ึกษา “Animals are good to think with.” —Claude Lévi-Strauss ภาพถ่าย โคลด เลวี สโทรสส์ที่มา: http://centrefortheaestheticrevolution.blogspot.ca/ 2010/03/tristes-tropiques-some-works.html ( 12 )
ภาพถา่ ยโคลด เลว ี สโทรสส ์ (ค.ศ. 1908–2009) นกั มานษุ ยวทิ ยาชาวฝรงั่ เศสทมี่ ชี อื่ เสยี งทสี่ ดุ ในศตวรรษที่ 20 ขณะยนื อยรู่ มิ ฝงั่ แมน่ าำ้รโิ อ มาชาโด (Rio Machado) ประเทศบราซลิ เมอื่ เดอื นพฤศจกิ ายนค.ศ. 1938 นั้นอาจจะเป็นที่คุ้นตากันอยู่บ้าง หากสังเกตภาพนี้ให้ละเอียดขึ้นไปอีกก็จะเห็น “สิ่งมีชีวิตตัวน้อย” เกาะอยู่ที่ข้อเท้าขวาของเขา โคลด เลวี สโทรสส์ เขยี นราำ ลกึ ถงึ เหตกุ ารณช์ ว่ งนนั้ อกี ยสี่ บิ กวา่ปีต่อมาว่า “สิ่งมีชีวิตตัวน้อย ที่ผมตั้งชื่อให้ว่า ลูซินด้า นั้นไม่เคยหา่ งกายผมเลย จนกระทั่งผมออกจากประเทศบราซิล” (“The littlecreature, whom I christened Lucinda, will not leave my sideuntil my departure from Brazil.”) [Saudades do Brasil: A Photo-graphic Memoir (1995) แปลโดย Sylvia Modelski] นักคติชนวิทยาและนักมานุษยวิทยา ออกจะคุ้นเคยกับการมองเห็นความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างมนุษย์กับสัตว์และการก้าวข้ามกลับไปกลับมา โดยเฉพาะเรื่องเล่าในนิทานปรัมปราหรือในพิธีกรรม สำาหรับโคลด เลวี สโทรสส์ เมื่อได้วิเคราะห์เรื่องราวและเรอื่ งเลา่ เกยี่ วกบั สตั ว์ในนทิ านปรมั ปราของชนพนื้ เมอื งหลายแหง่ เขาพบว่า รูปลักษณ์ของสัตว์หรือพฤติกรรมบางอย่างจะมีส่วนช่วยอธิบายปัญหาข้อขัดแย้งที่แก้ไม่ตกในความสัมพันธ์ของมนุษย์กับ ( 13 )
หน้ากาก Transformation mask สมบัติของพิพิธภัณฑ์ เก บรองลี่ กรุงปารีสภาพบน หน้ากากปิด ที่มา: http://keywordsuggest.org/gallery/852706.htmlภาพล่าง หน้ากากเปิด ที่มา: https://www.khanacademy.org/humanities/ap-art-history/indigenous-americas/a/transformation-masks ( 14 )
สภาพแวดลอ้ มทางธรรมชาติ สว่ นในพธิ กี รรมและการแสดง หนา้ กากรูปสัตว์เชื่อมโยงกับความเชื่อเกี่ยวกับวิญญาณและบรรพบุรุษของมนุษย์(ในชุมชน) เช่น หน้ากากแปลงกาย (Transformation maskหรือ tatltatlumtl—หน้ากากที่เปิดได้) ของชาวอินเดียนควาคิอุต์ล(kwakiutl) ในเขตบริติชโคลัมเบีย แคนาดา ซึ่งเป็นหน้ากากรูปอีกาที่ซ่อนหน้ากากรูปมนุษย์ไว้ภายใน ใช้สวมใส่เพื่อประกอบพิธีกรรม“หน้ากากแปลงกาย” เผยแสดงอดีตอันไกลโพ้นเมื่อครั้งกาำ เนิดโลกที่โลกของมนุษย์และโลกของสัตว์ซ้อนเหลื่อมกัน หน้ากากนี้เป็นตัวแทนพลังอำานาจของบรรพบุรุษและความเป็นหนึ่งเดียวกันของวิญญาณบรรพบุรุษในตำานานกับมนุษย์ สำาหรับชาวอินเดียนควา-คิอุต์ล มนุษย์และอีกามีคุณสมบัติร่วมกัน คือความอยากรู้อยากเห็น ความเจ้าเล่ห์ และความละโมบ นกฟินช์และนกมอกคิงเบิร์ดจากหมู่เกาะกาลาปากอส ทำาให้ชาร์ลส ดาร์วิน (Charles Robert Darwin ค.ศ. 1809–1882) สนใจกำาเนิดของสิ่งมีชีวิตที่พบได้เฉพาะถิ่น และนำาไปสู่คำาถามสำาคัญ“พระเจา้ มิได้สรา้ งสรรพสัตว์ให้เสร็จสิน้ สมบรู ณ์ไปด้วยพระองค์เองหรอกหรือ?” หลงั จากทร่ี สู้ กึ อาย เมอ่ื มองเหน็ ดวงตาของแมวทจ่ี อ้ งมองตวั เขาขณะทเี่ ปลอื ยเปลา่ นกั ปรชั ญาอยา่ งแดรร์ ดิ า (Jacques Derrida ค.ศ.1930–2004) เขยี นบทความทนี่ าำ ไปสกู่ ารตงั้ คาำ ถามในเชงิ อภปิ รชั ญาไว้ในบทความ “The Animal That Therefore I Am (More to Follow)” สว่ นนกั ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรม อยา่ งโรเบริ ต์ ดารน์ ตนั (Robert ( 15 )
Darnton ค.ศ. 1939–) วิเคราะห์และให้คำาอธิบายถึงสาเหตุของการสังหารหมู่แมวจำานวนมากโดยบรรดาคนงานฝึกหัดในโรงพิมพ์แห่งหนึ่งย่านกรุงปารีส ไว้ในบทความที่มีชื่อเสียงของเขา “WorkersRevolt: The Great Cat massacre of the Rue Saint-séverin” และต่อมาตีพิมพ์รวมเล่มในหนังสือ The Great Cat Massacre: AndOther Episodes in French Cultural History (1984) ดว้ ยสาเหตนุ ้ี สาำ หรบั นกั มานษุ ยวทิ ยาเชน่ โคลด เลวี สโทรสส์ แลว้ “สิ่งมีชีวิตชนิดอ่ืน ๆ ใช่เพียงเพราะว่าเหมาะท่ีจะเอามา ‘กิน’ เท่านั้น แตเ่ หมาะท่ีจะเอามา ‘คดิ ’ ดว้ ย” “[N]atural species are chosen not because they are “good to eat” but because they are “good to think.” [The Savage Mind (1966), แปลโดย Edmund Leach] อย่างไรก็ตาม เท่าที่ผ่านมา การศึกษาทั้งในทางวิทยาศาสตร์สงั คมศาสตรแ์ ละมนษุ ยศาสตรต์ า่ งศกึ ษา “สตั ว”์ ผา่ นมมุ มองของ“มนุษย์” และเพื่อที่จะทำาความเข้าใจ “มนุษย์” หรือไม่ก็เพื่ออาำ นวยประโยชน์ใหก้ บั ตวั มนษุ ยเ์ อง ตอ่ มาภายหลงั จงึ เรมิ่ มขี อ้ เสนอทีใ่ ห้มีการศึกษา “สตั ว”์ เพือ่ ทำาความเข้าใจ “สตั ว”์ โดยพจิ ารณาผ่านมุมมองของสัตว์เอง เราอาจทดลองบัญญัติคำาในภาษาไทย เพื่อเรียกวิธีการศึกษาดังกล่าวว่า “เดรัจฉานศึกษา” โดยอาศัยความหมายจากพจนานุ- ( 16 )
กรมภาษาไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน (พ.ศ. 2555) ว่า เดรัจฉาน(ดิรัจฉาน, เดียรัจฉาน) เป็นคำานาม หมายถึง สัตว์ เว้นจากมนุษย์ซึ่งมีที่มาจากภาษาบาลีว่า ติรจฺฉาน/ติรจฺฉานคต หมายถึงสัตว์ที่มีร่างกายเจริญโดยขวาง แต่คำาบัญญัตินี้ชี้ให้เห็นปัญหาสำาคัญบางอย่าง นอกจากจะเป็นการลดทอนความซับซ้อนและตกอยู่ในหลุมพรางความคดิ แบบทวนิ ยิ ม (dualism) เชน่ เดยี วกบั การแบง่ เขา/เรา,คน/สตั ว,์ วฒั นธรรม/ธรรมชาต,ิ ความจรงิ /ภาพแทน แลว้ ยงั แฝงนยัความคดิ ทางศาสนาและการจดั ลาำ ดบั สงู ตา่ำ ดว้ ย เชน่ คาำ วา่ เดรจั ฉานวชิ า หมายถงึ วชิ าทีข่ วางทางนพิ พาน คอื วชิ าทีไ่ มน่ าำ ไปสกู่ ารหลดุพ้นในทางพุทธศาสนา เช่นวิชาการทำาเสน่ห์ ถา้ เชน่ นนั้ เราจะสถาปนาการศกึ ษาสตั ว์ไปใหพ้ น้ จากการถอื เอามนุษย์เป็นศูนย์กลาง (anthropocentric) ได้อย่างไร? หนงั สอื เลม่ นี้ รวบรวมขอ้ เขยี นจาำ นวน 7 เรอื่ ง สว่ นหนงึ่ มาจากการนำาเสนอในงานสัมมนาครบ 50 ปีของการสถาปนาคณะสังคม-วิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่เสนอทิศทางการศกึ ษาทางสงั คมวทิ ยาและมานษุ ยวทิ ยาทพี่ ยายามหลกี เลยี่ งการให้ “มนุษย์” เป็นศูนย์กลางของการศึกษา โดยขยายความสำาคัญไปสู่สิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ๆ ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นเพียงสภาพแวดล้อมของมนุษย์ บทความอีกส่วนหนึ่งเป็นผลงานของนักศึกษาระดับปริญญาตรี นกกรงหัวจุก โดย มลธิณี แจ้งสามสี กล่าวได้ว่าเป็นงานชาตพิ นั ธวุ์ รรณา (ethnography) ขนาดสนั้ ทใี่ หร้ ายละเอยี ดของความ ( 17 )
สัมพันธ์ระหว่างคนกับนกที่ค่อย ๆ เคลื่อนโลกของตนเองเข้าหากันทลี ะนอ้ ย ผเู้ ขยี นชี้ใหเ้ หน็ ถงึ ความพยายามของมนษุ ยท์ จี่ ะเรยี นรู้ในการสร้างความสัมพันธ์กับนกกรงหัวจุก (นกปรอดหัวโขน) อย่างพิถีพิถัน และ “เขาไม่ได้ทำาเพียงเพื่อให้ตัวนกเองมีความสุขเท่านั้นแต่มันสัมพันธ์กันกับอารมณ์ของเขา หากนกมีความสุข ตัวเขาเองก็มีความสุขด้วย” ง:ู สตั วร์ า้ ย/สตั วเ์ ลยี้ ง โดย ธนภทั ร ไผทรตั น์ เปน็ เรอื่ งเลา่เกยี่ วกบั การทาำ ความเขา้ ใจโลกของงเู ลยี้ ง สงั คมของคนรกั งสู วยงามและชุมชนผู้รักสัตว์เลื้อยคลานของไทย โดยผ่านประสบการณ์ของตนเองที่อาจเรียกได้ว่าเป็น autoethnography และมีจุดเริ่มต้นที่“ตั้งใจว่าวันหนึ่งผมจะต้องมีงูไว้ในครอบครองให้ได้อย่างถูกต้องถูกต้องทั้งต่องูและคนรอบข้าง” ผู้เขียนก้าวเข้าไปในโลกของคนเลี้ยงงูซึ่งถือเป็นสัตว์พิเศษ (exotic pets) ทำาความเข้าใจเครือข่ายและสังคมของคนเลี้ยงงูในประเทศไทย การเลี้ยงงูในฐานะสินค้าการขนสง่ การหาคู่ การพรรณนาถึง “สตั วพ์ ิเศษ” เช่นงทู ี่ชื่อ “นำ้าหวาน” และ “เพนเน่” และงูที่ “ดูหน้าตาน่ารัก ดวงตากลมโตรูปร่างเปรียว” ช่วยเปิดภาพของสัตว์ในแง่มุมที่ผู้อ่านซึ่งอยู่นอกวงการเลี้ยงงูไม่คุ้นเคย ชีวิตสุนัขไร้เจ้าของ โดย เชยอง จอง ศึกษาติดตามชีวิตประจาำ วนั ของสนุ ขั ไรเ้ จา้ ของ และพบวา่ มรี ปู แบบการใชช้ วี ติ ทชี่ ดั เจนมีอาณาเขตและการแบ่งพื้นที่ของการหากินอย่างมีแบบแผน ในบรรดาสุนัขไร้เจ้าของในพื้นที่ของการศึกษานั้น แบ่งกลุ่มสุนัขออก ( 18 )
เป็นสามกลุ่มคือ สุนัขมีบ้าน (มีที่นอนประจำาใน “บ้าน” แต่ไม่มีเจา้ ของ) สนุ ขั ถิน่ มพี ืน้ ทีข่ องตนเองชดั เจน อยกู่ นั เปน็ ฝงู และกลมุ่สุนัขเร่ร่อนที่ไม่มีหลักแหล่ง งานเขียนชิ้นนี้แสดงให้เห็นถึงความสมั พนั ธแ์ บบหลวม ๆ ของคนกบั สนุ ขั ไรเ้ จา้ ของ ซงึ่ ใหภ้ าพทนี่ า่ สนใจเมอื่ เปรยี บเทยี บกบั ขอ้ คน้ พบของการทสี่ นุ ขั ปา่ กลายมาเปน็ สนุ ขั เลยี้ งนั้นเกิดจากการที่สุนัขเป็นผู้ “ตัดสินใจ” ที่จะมาอยู่กับมนุษย์ ในขณะทสี่ งั คมเมอื งรว่ มสมยั นนั้ มนษุ ยเ์ ปน็ ผเู้ รมิ่ ตน้ สรา้ งความสมั พนั ธ์กับกลุ่มสุนัขไร้เจ้าของ ทาำ ไมเราจงึ รงั เกยี จแมลงสาบ?: แมลงสาบในสงั คมวฒั นธรรม โดย ลีลา วรวุฒิสุนทร เป็นบทความที่ศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนษุ ย์กบั สตั วแ์ ละที่ทางของสัตว์ในสังคมมนษุ ย์ (anthrozo-ology) โดยมีมุมมองว่ามนุษย์ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากสัตว์หรือเป็นผู้กระทำาการ แต่สัตว์เป็นผู้เปลี่ยนระบบคิดของมนุษย์ด้วย ผู้เขียนอาศยั มโนทศั นเ์ รอื่ งของ “ความรงั เกยี จ” (disgust) เพอื่ ตอบคาำ ถามวา่ ทาำ ไมมนษุ ยจ์ งึ รงั เกยี จแมลงสาบ รวมถงึ นาำ เอาขอ้ เสนอของซกิ มนุ ด์ฟรอยด์ (1856-1939) จากหนังสือ Civilization and Its Discontents(1962) ทกี่ ลา่ วถงึ คณุ ลกั ษณะสามประการของอารยธรรม คอื ความเป็นระเบียบ ความสะอาด และความงาม โดยแสดงให้เห็นว่า“ความกำากวม” ของ แมลงสาบนั้นปะทะกับคุณลักษณะทั้งสามประการอยา่ งไรและเพอ่ื ทจ่ี ะตอบคาำ ถามความเชอ่ื ทว่ี า่ ทาำ ไมแมลงสาบจึงสมควรถูกกำาจัดออกไปจากสังคมมนุษย์? บทความทั้งสี่ ช่วยให้ตัวอย่างของคำาอธิบายและรายละเอียด ( 19 )
ความสัมพันธ์ของมนุษย์-สัตว์ที่ต่างออกไปจากความคุ้นชิน แสดงให้เห็นถึงโลกของมนุษย์และสัตว์ที่เคลื่อนมาซ้อนทับกัน เห็นภาพของมนษุ ย์ (ผซู้ งึ่ มกี ระดกู สนั หลงั ตงั้ ฉากกบั พนื้ และมไิ ด้ “เจรญิ ตามขวาง” ค่อย ๆ โน้มกายลงไปขนานกับพื้นเพื่อ “สร้างความสัมพันธ์กบั สตั ว์ (เดรจั ฉาน) หรอื ไมก่ ด็ ดี ตวั ออกมา (ในกรณขี องแมลงสาบ)แต่ผู้อ่านคงอดตั้งคำาถามไม่ได้ว่า ในรายละเอียดของความสัมพันธ์ที่บรรยายมานั้น เป็น “มุมมอง” ของมนุษย์? (ที่ “กล่าวแทน”สัตว์) ประเด็นปัญหาเกี่ยวกับ “มุมมอง” (ของสัตว์และคน) นี้เองทบี่ ทความอกี สองบทตอ่ มาพยายามจะสาำ รวจและตงั้ คาำ ถามเพมิ่ เตมิ ไปสวนสัตว์ ดู(สวน)สัตว์ โดย สายพิณ ศุพุทธมงคล ให้ภาพทกี่ วา้ งขนึ้ แสดงใหเ้ หน็ วา่ ความรเู้ กยี่ วกบั ธรรมชาตวิ ทิ ยาในยคุฟนื้ ฟศู ลิ ปวทิ ยาการ (Renaissance) นนั้ เชอื่ มโยงกบั การเดนิ ทาง การสำารวจ การปกครอง รวมถึงการให้ความสำาคัญกับประสบการณ์ประสาทสัมผัสและอารมณ์ความรู้สึกนั้นมีความเกี่ยวพันกับกำาเนิดและการมอี ย่ขู องสวนสตั วแ์ ละสตั ววิทยา (zoology) ได้อย่างไร โดยเฉพาะในฐานะเป็นสถาบันวัฒนธรรมของชนชั้นกลาง บทความนี้นาำ ไปสกู่ ารตงั้ ประเดน็ ปญั หาและความสาำ คญั ของ “การมอง” (WhyLook at Animals?) ทั้งจากมุมมองของผู้มองและผู้ถูกมอง ถ้าสวนสัตว์สร้างขึ้นเพื่อการจ้องมองของมนุษย์ แล้วเราจะทำาความเข้าใจการมองของสัตว์ได้บ้างหรือไม่ ว่าสัตว์มองคนอย่างไร? สตั วศ์ กึ ษา: สโู่ ลกหลงั ภาพแทน โดย สรุ เดช โชตอิ ดุ มพนั ธ์ชี้ใหเ้ หน็ ถงึ บทบาทของทฤษฎหี ลงั มนษุ ยนยิ ม (posthumanism) ทตี่ งั้ ( 20 )
คาำ ถามกับแนวทางทีย่ กมนษุ ย์ใหเ้ ป็นศนู ยก์ ลางของการใหค้ า่ ความหมายทางวัฒนธรรมและการยกให้มนุษย์เป็นองค์ประธานของการผลิตความรู้ “สัตว์ศึกษา” (animal studies) เป็นคำากว้าง ๆ ที่ครอบคลุมประเด็นและวิธีการมองที่พยายามทำาความเข้าใจสัตว์ที่ไม่ใช่มนุษย์(non-human animals) เพอื่ แกป้ ญั หาความไมส่ มดลุ ในวงวชิ าการทใี่ ห้ความสำาคัญกับจุดยืนหรือมุมมองของมนุษย์มากเกินไป นอกจากนั้นยังมีวิธีการศึกษาเฉพาะแบบอื่น ๆ ที่เน้นยำ้าในจุดยืนและมุมมองที่ต่างกันไป เช่น สตั วมานษุ ยวทิ ยา (anthrozoology) เปน็ แนวทางการศกึ ษา ที่ให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ประเภทอื่น ๆ แต่เน้น ยำ้าจุดยืน วัตถุประสงค์ และมุมมองของมนุษย์ มนษุ ย-์ สตั วศ์ กึ ษา (human-animal studies หรอื HAS) เปน็ แนวทางทพี่ ยายามใหค้ วามเทา่ เทยี มระหวา่ งมนษุ ยก์ บั สตั วห์ รอื สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ร่วมโลก บทความชนิ้ นี้ไดท้ ดลองศกึ ษาวรรณกรรมสองเรอื่ งคอื “แมวผ”ีและ “อสรพิษ” จากกรอบของสัตว์ศึกษาโดยอาศัยแนวทางการศกึ ษาความเปน็ สตั ว์ (animality studies) คอื “การใหค้ า่ ความสาำ คญักับคำาถามเกี่ยวกับการเมืองเรื่องมนุษย์ ในแง่ที่สัมพันธ์กับการที่มนษุ ย์ใหค้ า่ ความเปน็ สตั วข์ องมนษุ ยแ์ ละสตั วอ์ ืน่ ๆ อยา่ งไร ในชว่ งเวลาต่างยุคต่างสมัย” ทัง้ สองบทความนี้ นอกจากจะชี้ใหเ้ หน็ ถงึ ขอ้ จาำ กดั และวพิ ากษ์ ( 21 )
มุมมองของมนุษย์ในการศึกษาสัตว์แล้ว แต่ก็ยังมิได้ให้คำาตอบทชี่ ดั เจนวา่ เสน้ ทางของสตั วศ์ กึ ษาจะนาำ พาวงวชิ าการไปสปู่ ลายทางแบบใด หนังสือเล่มนี้ปิดท้ายด้วยข้อเขียนเรื่อง มังกร โดย ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ นักปรัชญาการเมืองที่พาผู้อ่าน (และผู้ฟัง) ทบทวนความทรงจำาผ่านการวิเคราะห์ย้อนอดีตไปในวัยเด็ก (นักปรัชญาการเมอื งทกุ คนลว้ นเคยเปน็ เดก็ มากอ่ น) เรมิ่ จากรปู มงั กรแบบจนี บนฉลากขวดนำา้ ปลา (ตราหล่าจา-นาจา) ในห้องครวั ของบ้าน ที่เชือ่ มโยงสัมพันธ์กับโกมินทร์กุมารในวัฒนธรรมไทยอย่างน่าประหลาดนอกจากเรื่องเล่า (และงานเขียน) ชิ้นนี้จะแสดงให้เห็นเรื่องราวของงู นาค และมงั กร ในวฒั นธรรมไทย จนี อนิ เดยี และตะวนั ตก สบืเนอื่ งตอ่ ไปยงั ตาำ นานของแวมไพร์ แดรคลู า มงั กรโคโมโด ไดโนเสาร์และกอ็ ตซลิ ลา่ ทส่ี ะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ความเชอ่ื สถานะ และความสมั พนั ธ์ของ “สัตว์” กับมนุษย์ในมิติต่าง ๆ กัน แล้ว ผู้เขียนนำาผู้อ่านกลับไปสคู่ วามคดิ เหน็ ของนกั ปรชั ญากรกี คอื อรสิ โตเตลิ (384–322 กอ่ นคริสต์ศักราช) “ที่พยายามจะพูดว่าสัตว์เหมือนหรือต่างจากมนุษย์อย่างไรในแง่อารมณ์ความรู้สึก” ก่อนที่จะทิ้งท้ายไว้ในบทสรุปว่าดว้ ยเรอื่ งมติ รภาพและคาำ ถามวา่ ในความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งมนษุ ยแ์ ละสัตว์ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เสมอภาคนั้น มิตรภาพระหว่างกันจะมีอยู่ได้หรือไม่? เมื่อช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 ขณะที่ความเชื่อมั่นในมนุษย์กำาลังเริ่มก่อตัวขึ้น อเล็กซานเดอร์ โปป (Alexander Pope ค.ศ. ( 22 )
1688–1744) กวีชาวอังกฤษกล่าวไว้ว่า สิ่งที่เหมาะสมต่อการศึกษามนุษย์ก็คือตัวมนุษย์เอง (The proper study of mankind is Man.)ต่อเมื่อโลกเคลื่อนมาถึงต้นศตวรรษที่ 21 มนุษย์ตระหนักรู้ในข้อจำากัดของตน ว่าโลกนั้นประกอบสร้างด้วยสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ซึ่งเมื่อเทียบกับเวลาของพืชและสัตว์แล้ว มนุษย์ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโลกเมอื่ “ชวั่ คร”ู่ ทเี่ พงิ่ ผา่ นมานเี้ อง มนษุ ยจ์ งึ มใิ ชผ่ กู้ ระทาำ การเพียงหนึ่งเดียวและมิได้เป็นศนู ย์กลางของสรรพสิ่ง “สัตว์ศึกษา” และ “มานุษยวิทยาว่าด้วยสัตว์” จึงเป็นความพยายาม(และทะเยอทะยาน?) อีกครั้งหนึ่งของมนุษย์ที่จะก้าวข้ามความเป็นมนุษยชาติไปเรียนรู้โลกแบบอื่นที่อาจจะเคยหลงลืมไป สดุ แดน วิสุทธลิ กั ษณ์ ( 23 )
Search
Read the Text Version
- 1 - 12
Pages: