Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทที่ 1 - บทที่ 5

บทที่ 1 - บทที่ 5

Published by Charoensak Kansom, 2022-08-03 02:12:12

Description: บทที่ 1 - บทที่ 5

Search

Read the Text Version

1 โครงงานกลมุ่ สาระการเรียนรู้ ศลิ ปะ เร่ือง เสียงสะล้อจากท่อPVC จัดทำโดย ด.ญ.ณฐั ณิชา สงครามยศ ด.ญ.พรไพลิน มหิตธิ ด.ช.ภูดิส มะโนเรอื ง ครูที่ปรษึ า นาย ปิยะธนากร ทองใบ นาย สพุ ิเชษฐ์ ปานลกั ษณ์ โรงเรียนองคก์ ารบริหารส่วนจงั หวดั เชียงราย สงั กดั องค์การบรหิ ารส่วนจังหวดั เชียงราย

2 บทท่ี 1 บทนำ ทีม่ าและความสำคญั ของโครงงาน โรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้นำการจัดการเรียนการสอนมาจากประเทศ นิวซีแลนด์ ของโรงเรียน King ‘School มาปรับวิธีการสอนเป็นการสอน Active Learning ผ่าน กระบวนการ Thinking School ซ่ึงโรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายมีโปรแกรม การเรียนรู้ทั้งหมด 20 โปรแกรม แต่ละโปรมแกรมมีความแตงต่างกันออกไปข้ึนอยู่กับความถนัดและ ความสามารถของนักเรียน โปรแกรมห้องเรียนแห่งความแป็นเลิศทางด้านดนตรีศิลปะและการแสดง (Performing art Program) โดยจักการเรียนการสอนนาฎศิลป์ ดนตรีและศิลปะ การเรียนการสอน เน้นการปฏิบัติเป็นหลัก ในรายวิชาดนตรีจะมีการเรียนการสอนท้ังดนตรีสากลและดนตรีไทยทุกๆ สัปดาห์ ดนตรีพื้นเมืองเป็นหนึ่งส่วนหน่ึงของการจัดการเรียนการสอนของโปรแกรมห้องเรียนแห่ง ความแป็นเลิศทางด้านดนตรีศิลปะและการแสดง (Performing art Program) โดยแยกเป็นรายวิชา ดนตรีพ้ืนเมืองหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “วงสะล้อ ซึง” ซ่ึงมีเครื่องดนตรีหลักภายในวงท้ังหมดอยู่ 4 ชนิด ได้แก่ สะล้อ ซึง ขลุ่ย และกลองโป่งโป๊ง ปัจจุบันมีการสอนและฝึกซ้อมดนตรีอยู่บ่อยคร้ัง แต่ นักเรียนไมส่ ามารถนำกลบั บ้านหรอื นำเอาสะลอ้ ไปฝกึ ซ้อมที่บา้ นได้ ผู้จัดทำโครงงานจึงไดจ้ ัดทำเครือ่ งดนตรีสะล้อขึ้นมา โดยใชว้ ัสถุเหลือใช้ในโรงเรียนมาทำเป็น สะล้อ จากการนำเอาท่อPVCมาทำเป็นเคร่ืองดนตรีสะล้อประยุกต์ข้ึนมาใหม่ เพื่อให้เข้ากับยุคสมัย และใหม้ ีความน่าสนใจมากยิ่งขน้ึ วตั ถุประสงค์ของการศกึ ษา 1. เพอ่ื สรา้ งสะลอ้ ท่ที ำมาจากท่อPVC 2. เพอ่ื นำเอาสะลอ้ PVCมาฝกึ ซ้อมและบรรเลงรวมวงได้ ประโยชน์ทีค่ าดวา่ จะได้รับ 1. ไดน้ ำความรจู้ ากการสร้างสรรคส์ ะล้อจากทอ่ PVC มาใชไ้ ดจ้ ริง 2. สามารถนำสะลอ้ ท่อPVCไปร่วมการบรรเลงกับวงสะลอ้ ซึงได้ ขอบเขตโครงงาน ผู้จัดทำโครงงานไดก้ ำหนดขอบเขตการศกึ ษาไว้ดงั น้ี 1. ขอบเขตดา้ นเนือ้ หา 1.1 ขน้ั ตอนและวธิ ีการสร้างสะลอ้ 1.2 ใชใ้ นการฝึกซอ้ มและบรรเลงรวมวงสะล้อ ซงึ 2. ขอบเขตดา้ นประชากร 2.1 ผเู้ ช่ยี วชาญทางดา้ นสะล้อ

3 2.1.1 ดร.ศนั สนยี ์ อินสาร ครูภูมิปญั ญาไทย ดา้ นศลิ ปะกรรมดนตรีพืน้ เมือง จังหวดั เชยี งราย 2.1.2 นายโสพิณ เพียรศิลป์ ครูภูมิปัญญาไทย ด้านศิลปะกรรมดนตรี พน้ื เมือง จงั หวดั เชยี งราย 2.1.3 นายสุคำ แกว้ ศรี ครูภมู ปิ ัญญาไทย ดา้ นศลิ ปะกรรม(ดนตรีพื้นเมอื ง) จังหวดั เชยี งราย 2.2 ผู้ใหอ้ งค์ความรู้ทางดา้ นการสร้างสะล้อ 2.2.1 นายมชี ัย สมยาดี สล่าทำสะล้อ อำเภอเทงิ จงั หวดั เชียงราย 3. ขอบเขตพนื้ ที่ 3.1 พื้นท่ีการศกึ ษาในจงั หวดั เชียงราย นิยามศพั ท์เฉพาะ 1. ท่อน้ำ PVC คือท่อที่ทำขึ้นจากโพลิไวนิลคลอไรด์ โดยไม่ผสมพลาสติกไซเซอร์ ซึ่งชื่อ อย่างเป็นทางการที่ได้ระบุใน มอก. คือ ท่อพีวีซีแข็ง 2. สะลอ้ เป็นเครื่องดนตรเี คร่ืองสีพื้นเมืองล้านนา ซึ่งสะล้อมี 2 สายและเป็นตัวหลักมักนิยม ใช้ขึ้นนำเพลงในวงกับเครื่องดนตรีสะล้อซอซึง สะล้อน้ันมีขนาด 3 ขนาดด้วยกัน ได้แก่ เล็ก กลาง ใหญ่ ซึ่งแตล่ ะไซต์มหี นา้ ที่ในการเลน่ ในวงไมเ่ หมือนกัน 3. ลูก คือภาษาที่ใช้ในทางดนตรีพ้ืนเมือง เป็นตัวนำหนดเสียงของเครื่องดนตรีสะล้อและซึง ทัง้ หมด มอี ยู่ 2 ลกู คอื ลูกสามและลกู สี่ 4. คันชักเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า “สายก๋ง” ทำหน้าที่เป็นตัวสีกับสายสะล้อ ทำให้เกิดการ ส่ันสะเทือนและเกิดเสยี งขนึ้ มา 5. หย่อง เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ก๊อบสะล้อ” มีลักษณะเป็นไม้หรือกระดูกสัตร์ชิ้นเล็กๆอยู่ ตรงระหวา่ งหน้าตาดกับสายสะล้อ มีหน้าท่ีทำใหเ้ ป็นตัวรับการส่ันสะเทือนของสายไปยังหน้าตาดและ ทำให้เกดิ เสยี ง 6. รัดอก คือสายท่ีทำมาจากไม้ไผแ่ ละเสน้ เอ็นมารวบตรงสายสะล้อใกล้ๆลกู บิดสะลอ้ เพื่อทำ ใหก้ ารบรรเลงสะล้องา่ ยขึน้ และเปน็ ตัวกำหนดเสยี งของสะล้อ 7. กะลามะพร้าว กะลามะพร้าวหรือเรียกอกี อย่างหนงึ่ ว่า “กะโหล้ง” ทำหน้าทีเ่ ปน็ ตัวทำให้ เกิดเสียงของสะลอ้ หรอื เรียกวา่ กลอ่ งเสียงของสะล้อ 8. หน้าตาดสะล้อ เปน็ ไมแ้ ผ่นบางๆ ทป่ี ิดกนั กะโหลง้ เปน็ ตัวรักการสนั่ สะเทือนจากสายสู่ หยอ่ งและทำใหเ้ กิดเสยี งข้นึ มา 9. คันทวน หรือหลักของสะล้อ ทำด้วยไมส้ ่วนมากเปน็ ชิงชันหรอื ไมเ้ น้ือแขง็ ท่วั ไปเพราะ สวยงามและและแขง็ แรง มลี ักษณะกลมตอนปลายด้านบนของด้ามมีลกั ษณะใหญ่และปลายลา่ งเรียว เล็กโดยทัว่ ไปปลายด้ามด้านบนอาจกลึงหรือแกะสลกั ให้เป็นลวดลายหรอื รูปต่างๆเพ่ือให้เกิดความ สวยงามได้ 11 .ไม้เนือ้ แข็ง คือตน้ ไม้ทม่ี ีลำต้นแข็งแรงทนทาน สามารถนำเนื้อไม้มาแปรรปู ได้

4 บทที่ 2 เอกสารที่เกย่ี วข้อง จากการศึกษาเอกสารและการคน้ ควา้ การทำโครงงานเร่ืองเสียงสะล้อจากท่อ PVC ใน ครั้งนี้ผจู้ ดั ทำโครงงานไดศ้ ึกษาเอกสารที่เก่ยี วข้อง และนำเสนอตามหัวข้อ ดังนี้ 1. สะล้อ 1.1 วงสะลอ้ ซอซึง 1.2 ความหมายของสะลอ้ 1.3 สว่ นประกอบของสะล้อ 1.4 ระบบเสียงของสะล้อ 2. แนวคดิ การสร้างเคร่ืองดนตรสี ะลอ้ 3. งานวิจัยทเี่ ก่ียวข้อง 1. สะล้อ 1.1 วงสะลอ้ ซอซึง วงสะล้อซอซึง เป็นวงท่ีเกิดจากการรวมกลุ่มของชาวบ้านในอดีต โดยการนำเอาดนตรี พื้นบ้านพ้ืนเมืองที่มีอยู่แล้วมาประสมประสานให้เกิดเป็นวงขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะนิยมบรรเลงทั่วไปให้งาน ต่างๆ เช่นงานบุญ งานปอยหลวง งานต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองเป็นต้น งานอวมงคล เช่น งานศพ หรอื งานส่งสการ ตามความเชื่อของชาวลา้ นนา ภาพที่ 1 วงดนตรีพื้นเมือง ทม่ี า : วงดุริยะกาสะลองเงนิ จากการสมั ภาษณ์ นายโสพณิ เพยี รศิลป์ (2565) ได้กลา่ วถึงวงสะลอ้ ซอซึงไว้วา่ ในสมัยอดตี ดนตรีพนื้ เมืองมักจะเลน่ เพียงคนเดียวเพ่ือผ่อนคลาย พ่ึงจะมาเล่นเปน็ วงเม่ือไมน่ านมานีก้ ่อนทจ่ี ะมี เคร่ือง ดีด สี ตี เป่า จงึ เรียกวา่ วง “สะลอ้ ซงึ ” แตค่ ำว่า “ซอ” ไม่ไช่เคร่ืองดนตรีในภาคเหนือแตเ่ ปน็ การขบั ร้องการร้องเพลง เม่ือมีเครื่องดนตรี “ซอ” เขา้ มาร่วมบรรเลง จงึ เรียกวงวา่ “สะลอ้ ซอ ซงึ ”

5 จาการสัมภาษณ์ นายมีชัย สมยาดี (2565) ได้กล่าวถึงวงสะล้อซอซึงไว้ว่า ประวัติของสะล้อ ซอ ซึง โดยท่ัวไปมีมานานแล้วต้ังแต่โบราณ ดนตรีพื้นเมืองสมัยก่อนมักจะเล่นเพียงคนเดียวเพ่ือจีบ สาว ไม่แน่ชัดว่ารวมเป็นวงเกิดข้ึนเม่ือไหร่ ก่อนหน้าน้ันสะล้อมีรูปร่างไม่สวยงาม สมัยนี้จึงเปลี่ยนให้ รปู รา่ งสวยงามขน้ึ และ เสยี งไพเราะมากข้ึน สคุ ำ แก้วศรี (2556 : 1) ได้ให้ความหมายของวงสะลอ้ ซอซงึ ไว้วา่ ในสมยั อดีตยังไม่มีวงสะล้อ ซอซึงดนตรีพน้ื เมืองมกั จะเล่นเพียงคนเดียวเพื่อผอ่ นคลาย ต่อมาได้มีเคร่ืองดนตรปี ระเภทเคร่ืองดีด สี ตี เป่า เพิ่มมากขึ้นจึงนำเอาเคร่ืองดนตรีเหล่านั้นมารวมกันจึงเกิดเป็นวง “สะล้อซึง” ถ้ามีการขับร้อง หรอื การรอ้ งเพลงในวงสะล้อซงึ จะเปลี่ยนช่ือเรยี กเปน็ “วงสะลอ้ ซอซงึ ” จากการศึกษาสรุปได้ว่า วงสะล้อซอซึง เป็นวงที่เกิดจากการรวมกลุ่มของชาวบ้านในอดีต ดนตรีในสมัยน้ันมักจะเล่นเพียงคนเดียวเพื่อผ่อนคลายและจีบสาว จากน้ันได้มีเคร่ืองดนตรีประเภท เครื่องดีด สี ตี เป่า เพ่ิมมากขึ้นจึงนำมาประสมวงกันทำให้มีช่ือเรียกว่าวง “สะล้อซึง” และได้นำการ ขบั ซอเข้ามาบรรเลง จึงเรยี กว่าวง “สะล้อซอซึง” 1.2 ความหมายของสะลอ้ สะล้อ ปรากฏอยู่ในวงสะล้อ ซอ ซึง มีลักษระคล้ายซออู้ของไทยภาคกลาง อยู่ในประเภท เคร่ืองสี มีอยู่ 2 สายและเป็นตัวหลักท่ีนิยมใช้นำเพลงก่อนเครื่องดนตรีอ่ืนๆ โดยมีอยู่ 3 ขนาด ได้แก่ สะล้อเล็ก สะล้อกลางและสะล้อใหญ่ มีอยู่ 2 ลูก ได้แก่ ลูก 3 และลูก 4 เสียงที่เกิดข้ึนของสะล้อจะมี ลักษณ ะเล็กแหลมทุ้มนุ่มนวลท่ีแตกต่างกันโดยขนาดของกล่องเสียง เรียกอีกอย่างว่า “กะลามะพร้าว”สะล้อแต่เดิมเรียกว่า “ธะล้อ” ปรากฎในโครงนิราศหริภุชัยสันนิษฐานว่ามาจาก ภาษาขอม ว่า “ทรอ” ซึ่งทางภาคกลางอ่านว่า ซอ แต่ทางล้านนาแยกเสียงอ่านเป็นสองพยางค์ จึงมี พัฒนาการชื่อจาก ทรอ-ทะลอ -ธะลอ -ธะล้อและเป็น สะลอ้ ในทีส่ ดุ นายต้ังปณธิ าน อารีย์ (2560 : 46) ไดใ้ หค้ วามหมายของคำว่าสะล้อ ไว้ว่า วงดนตรี สะล้อซอ ซึง มีองค์ประกอบท่ีสำคัญ คือ สะล้อ เป็นเครื่องดนตรี ประเภทเครื่องสาย ท่ีใช้วิธีการเล่นโดยการสี สะล้อ เป็นเคร่ืองดนตรีพื้นเมืองล้านนาชนิดหน่ึง เป็นประเภท เครื่องสีซึ่งมีทั้ง 2 สายและ 2 สาย คัน ชกั เรียกอีกอย่างหน่ึงว่า ทร้อ หรือ ซะลอ้ (สุคำ แก้วศรี : 2545) มีรูปร่างคล้ายซออูข้ องภาคกลางซอ เปน็ ภาษาพนื้ บา้ นล้านนา หมายถึง การขับรอ้ งเพลง การขับร้อง ทำนองของคำซอ โดยทั่วไปมักเข้าใจ วา่ ซอเป็นเครือ่ งดนตรแี ต่ไมใ่ ช่ ซอเปน็ องคป์ ระกอบส่วนหน่ึง วงสะลอ้ อดิศร สวยฉลาด (2558 : 132) ได้ให้ความหมายของคำว่าสะล้อ ไว้ว่า สะล้อเป็นเคร่ือง ดนตรีพ้ืนเมืองลา้ นนาชนิดหน่ึง เป็นประเภทเครื่องสี ซ่งึ มที ้ัง 2 สายและ 3 สาย คันชักสำหรับสีจะอยู่ ขา้ งนอกเหมอื นคนั ชักซอสามสาย สะล้อเรยี กอีกอยา่ งหน่งึ วา่ ทร้อ หรือ ซะล้อ มีรูปร่างคลา้ ยซออู้ของ ภาคกลาง ใช้ไม้แผ่นบาง ๆ ปิดปากกะลา ด้านหลังของกะโหลกเจาะเป็นรูปลวดลายต่าง ๆ เช่น รูป หนมุ าน รปู หวั ใจ รปู ดอกไม้ เปน็ ตน้ สุคำ แก้วศรี (2556 : 2) ได้ให้ความหมายของคำว่าสะล้อ ไว้ว่า สะล้อเป็นเคร่ืองสายท่ี บรรเลงโดยการสี มีลักษณะคล้ายซออู้ เครื่องดนตรีไทยของภาคกลาง แต่ในการบรรเลงตำแหน่งของ คนั ชักอยู่ดา้ นนอกของสาย หมายถึง สายสะล้อกบั คนั ชัก มีความเป็นอิสระต่อกัน สว่ นซออู้มคี ันชักอยู่ ด้านในระหวา่ งสายซอ ในโครงนิราศหริภุญชัย เรียกเครอื่ งดนตรีชนดิ นี้วา่ ธะล้อ สันนษิ ฐานว่ามาจาก

6 ภาษาขอม ที่เรียกเคร่ืองดนตรีประเภทน้ีว่า ทรอ ซ่ึงทางภาคกลางอ่านเป็น ซอ แต่ทางล้านนาแยก เสียงอา่ นออกเป็นสองพยางค์ ทร้อ ทะลอ้ และธะลอ้ จนในทส่ี ุดแผลงเป็น สะลอ้ จากการศึกษาสรุปได้ว่า สะล้อ เป็นเครื่องดนตรีเครื่องสายประเภทเคร่ืองสี มี 2 สายและ 3 สาย รูปร่างคล้ายซออู้ของภาคกลางซอ โดยมีใช้ไม้แผ่นบาง ๆ ปิดปากกะลา ด้านหลังของกะโหลก เจาะเป็นรูปลวดลายต่าง ๆ เช่น รูปหนุมาน รูปหัวใจ รูปดอกไม้ มีเรียกช่ืออีกอย่างว่า ทร้อ หรือ ซะ ล้อเป็นภาษาพ้ืนบ้านล้านนา หมายถึง การขับร้องเพลง การขับร้อง ทำนองของคำซอ สะล้อแต่เดิมมี ชื่อเรียกว่าธะลอ้ สันนษิ ฐานวา่ มาจากภาษาขอม ท่ีเรียกช่ือเครื่องดนตรวี ่า ทรอ โดยทางภาคกลางอา่ น เป็น ซอ แตท่ างล้านนาแยกเสยี งอ่านออกเป็นสองพยางค์ ทรอ้ ทะลอ้ และธะล้อ จนในที่สดุ แผลงเป็น สะล้อ 1.3 ส่วนประกอบของสะลอ้ จากการศึกษาส่วนประกอบของสะล้อพบว่าสะลอ้ มีองค์ประกอบอยู่ 8 ส่วนด้วยกันดงั น้ี ภาพที่ 2 สว่ นประกอบของสะล้อ ท่มี า : ผู้จัดทำโครงงาน

7 - กะลามะพรา้ วหรือกะโหล้ง คือส่วนประกอบทีใ่ ช้กะลามะพรา้ วมาทำเป็นกล่องเสยี ง และ เจาะรูให้เปน็ ทางออกของเสียงดา้ นหนา้ ปิดด้วยแผ่นไมบ้ าง ภาพที่ 3 กะลามะพรา้ วหรือกะโหล้ง ท่ีมา : ผู้จัดทำโครงงาน - หน้าตาดสะล้อคือแผ่นไมบ้ างปิดหน้ากะลามะพรา้ วเหมือนดงั ภาพท่ี ภาพท่ี 4 หนา้ ตาดสะลอ้ ท่ีมา : ผจู้ ัดทำโครงงาน

8 - ก๊อบสะล้อคือหยอ่ งทเ่ี ปน็ หมอนไม้หนนุ รบั สายอยู่ตรงส่วนบนของหน้าตาดสะล้อ ภาพที่ 5 ก๊อบสะล้อ ท่มี า : ผ้จู ัดทำโครงงาน - ดา้ มหรือคันทวนทำด้วยไมส้ ่วนมากเปน็ ชงิ ชันหรือไม้เนื้อแข็งท่ัวไปเพราะสวยงามและและ แข็งแรง มลี ักษณะกลมตอนปลายด้านบนของด้ามมลี ักษณะใหญ่และปลายล่างเรียวเลก็ โดยทวั่ ไปจะมี ความยาวประมาณ 68 เซนติเมตรปลายดา้ มด้านบนอาจกลึงหรือแกะสลกั ให้เปน็ ลวดลายหรือรูป ตา่ งๆเพ่ือใหเ้ กดิ ความสวยงามได้ ภาพที่ 6 ดา้ มหรือคันทวน ที่มา : ผูจ้ ดั ทำโครงงาน

9 - หลักสะล้อหรือลกู บิดของสะลอ้ ไว้ใชส้ ำหรับขนั สายสะล้อให้ตงึ หรือหยอ่ น เพื่อปรบั เสยี ง ตามความต้องการ ภาพท่ี 7 หลกั สะล้อหรือลูกบิดของสะลอ้ ที่มา : ผูจ้ ดั ทำโครงงาน - รัดอกคือบ่วงรัดสายสะล้อรอบเข้ากับคนั สะลอ้ สว่ นบนทำดว้ ยหวายถักรดั สายให้แนบติดกบั ดา้ มสะล้อเพ่ือใหส้ ายตึง ภาพท่ี 8 รัดอก ทม่ี า : ผ้จู ัดทำโครงงาน

10 - สายสะลอ้ คือสายทีท่ ำหนา้ ท่ีให้เกดิ เสยี งขณะท่ถี ูกสดี ้วยคนั ชัก โดยทั่วไปทำด้วยลวดหรอื ลวดเหลก็ สะลอ้ ปัจจบุ นั มกั ใช้สายกีต้ารแ์ ทน ภาพที่ 9 สายสะล้อ ที่มา : ผู้จดั ทำโครงงาน ก๋งสะล้อหรือคันชักทำด้วยไม้กลมยาวประมาณ 60 เซนติเมตรหรือพอเหมาะสมกับขนาด สะลอ้ พอดงู ามใช้ขนหางม้าหรือเส็นเอ็นขน้ึ สายให้โค้งงอ เมือ่ คันสะลอ้ สกี ับสายจะทำให้เกิดเสยี งขนึ้ มา ภาพท่ี 10 คันชกั สะล้อ ทม่ี า : ผู้จดั ทำโครงงาน 1.4 ระบบเสียงของสะลอ้ เสยี ง เกดิ จากการกระทบของวัสดทุ ้งั สองช้นิ ขึ้นไปทำให้เกิดการเคลอ่ื นไหวผ่านโมเลกลุ ของ ตัวกลางหรอื อากาศ โดยทห่ี ูของมนุษย์สามารถรับรู้ถงึ การส่ันสะเทือนและไดท้ ำการแปลผลออกมาใน รปู แบบของเสยี ง การต้ังเสียงสะล้อ จะต้ังเสียงให้เท่ากับเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าโดยสะล้อจะมีการต้ัง และการปรับเสียงตามขนาดของกะลามะพร้าว ซึ่งในภาษาของดนตรีพื้นเมืองเขาเรียกว่า “ลูก” ใน ปัจจุบันสะล้อนิยมเล่นแบบ 2 สาย หลักการตั้งสายจะใช้การนับตัวโน้ตให้ได้หน่ึงห้องเต็มกล่าวคือ

11 หากกดไป 3 ตวั โน้ตบนสายเอกแล้วให้เสยี งตัวโน้ตเดียวกัน ก็เป็นลูกสาม หากกดไป 4 ตัวโน้ตบนสาย เอกแลว้ ใหเ้ สยี งตัวโนต้ เดียวกัน กเ็ ปน็ ลูกสี่ จงึ ตงั้ สายไดด้ ังน้ี - สะล้อลกู 3 คือ สายเอกเป็น ซอล สายท้มุ เป็น โด(นยิ มตั้งกบั สะลอ้ กลาง) - สะลอ้ ลกู 4 คือ สายเอกเป็น โด สายทมุ้ เป็น ซอล(นยิ มตั้งกับสะลอ้ ใหญ่และเล็ก) เพ่อื ไม่ให้เกดิ การชน หรอื การแย่งหน้าท่ีกนั เลน่ ในวง จงึ มีระบบการต้ังสายนข้ี ึน้ มา และ สามารถปรับเปล่ยี นได้หากผู้เล่นต้องการปรับโดยปรับเสียงสลบั กันของสะล้อแตล่ ะขนาด แตไ่ ม่ สามารถปรบั เหมือนกันไดเ้ นื่องจากจะไมเ่ กิดความไพเราะในการเลน่ รวมเป็นวง(สุคำ แก้วศร2ี 556 : 3) ทวีสทิ ธิ์ ไทรวจิ ิตร (2522 : 41-42) ไดก้ ล่าวระบบเสยี งไว้ว่า ส่วนใหญ่เรามักจะเข้าใจว่าเพลง ไทยเล่นอยู่ กุญแจเสียงเดียว (Key) หรือบันไดเสียงเดียว(Scale) กุญแจเสียง หรอื บันไดเสียงคล้าย ๆ กับเป็นชุดของเสียงเพลงไทยของเราก็มีเสียงหลายบันไดเสียง เพื่อปรับสูงต่ำให้เข้ากับเสียงร้อง หรือ ให้เหมาะสมกับเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลง มาตราเสียงก็มีความหมายเดียวกับกุญแจ หรือบันไดเสียง นัน่ เอง เพลงไทยแบ่งเป็น 7 บันไดเสยี ง หรอื 7 ทางไดแ้ ก่ 1. ทางเพียงออล่าง (ทางในลด) ตรงกับลูกฆ้องวงใหญ่ ลูกที่10 (นับจากเสียงต่ำสุด) ลูกฆ้องลูกนี้เรียก “ลูกเพียงออ” เพราะตรงกับเสียงขลุ่ยเพียงออ ทางน้ีใช้บรรเลงประกอบละครดึกดำบรรพ์ หรือละคร อนื่ ๆ ท่บี รรเลงด้วยปพ่ี าทย์ไมน้ วม 2. ทางใน สูงกว่าเพียงออล่าง 1 เสียง คือตรงลูกฆ้องใหญ่ลูกที่ 11 ที่เรียกทางใน เพราะใช้ “ปี่ใน” เป็นหลักของเสยี งนน่ั เอง มักใชบ้ รรเลงประกอบละครใน ละครนอก และโขนในปจั จบุ ัน 3. ทางกลาง สูงกว่าทางใน 1 เสียงตรงลูกฆ้องใหญ่ ลูกที่ 12 ใช้ปี่กลางเป็นหลัก หลักของการบรรเลง ทางนีใ้ ชบ้ รรเลงประกอบการแสดงหนงั ใหญแ่ ละโขนในสมยั โบราณ 4. ทางเพยี งออบน (ทางนอกต่ำ) สงู กว่าทางกลางคร่งึ เสยี งตรงกับลูกฆ้องใหญ่ลกู ท่ี 13 ใช้ขลุ่ยเพียงออ เป่าเป็นหลัก บางคร้ังใช้ปี่นอกต่ำเป็นหลัก จึงเรียกว่าทางนอกต่ำ ทางน้ีใช้บรรเลงประจำกับการ บรรเลงมโหรีและเครื่องสาย 5. ทางกรวด (ทางนอก) สูงกว่าทางเพียงออบน เสยี งตรงกับลูกฆ้องใหญ่ ลูกท่ี 14 ใชข้ ลุ่ยกรวดหรือปี่ นอกเปน็ หลักในการบรรเลง ทางนใ้ี ชบ้ รรเลงประกอบการขับเสภาหรอื บรรเลงป่พี าทย์ 6. ทางกลางแหบ สูงกว่าทางกรวด 1 เสียง ตรงกับฆ้องใหญ่ลูกที่ 15 ที่เรียกทางกลางแหบเพราะใช้ปี่ กลางเป่าให้แหบ ปรกตทิ างน้ีค่อยนิยมบรรเลงประกอบการแสดง อาจเป็นเพราะเสียงแหบไม่ไพเราะหู ก็ได้ 7. ทางชวา สูงกว่าทางกลาง 1 เสียง ตรงกับฆ้องใหญ่ลูกที่ 16 ท่ีเรียกชวา เพราะใช้ป่ีชวานำบรรเลง เช่น วงเครื่องสายปี่ชวา ในการบรรเลงแต่ละเพลง อาจจะใช้ทางเดียวหรือหลายางก็ได้แล้วแต่ความ ประสงค์ของผู้ประพนั ธ์ พูนพิศ อมาตยกลุ (2529 : 78-79) กล่าวไวว้ า่ ระดับเสยี งของเพลงทบ่ี รรเลง ซ่ึงกำหนดชอื่ เรียกเปน็ ทห่ี มายรู้กันทุก ๆ เสียง จำแนกเรียงลำดบั ข้นึ ไปท่ีละเสียงดงั ต่อไปน้ี 1. ทางเพียงออล่าง (หรือ ทางในลด) เรียกตามช่อื ลูกฆ้องวงใหญ่ลูกท่ี 10 (นับจากลูกท่ีมีเสียง ต่ำทส่ี ุด) ลกู ฆ้องลกู น้ีเรียกวา่ “ลกู เพียงออ” อนโุ ลมเทียบกับเสยี งของดนตรสี ากลตรงกบั เสยี ง ฟา (F) เพราะเมอ่ื บรรเลงทางนี้เสยี งฆ้องลูกนจ้ี ะเป็นเสียงหลกั ทางนบ้ี รรเลงในการแสดงละคร ดกึ ดำบรรพ์ หรอื ละครอ่นื ๆ ท่บี รรเลงดว้ ยวงป่พี าทย์ไมน้ วม เดมิ เรียกการบรรเลงทางนว้ี ่า “ทางเพียงออ” แต่เมื่อ

12 มีทางบรรเลงของวงมโหรีและวงเครือ่ งสายซึง่ เรียกวา่ “ทางเพียงออ” เหมือนกนั จึงต้องแยกเปน็ “ทางเพยี งออล่าง” และ “ทางเพียงออบน” ท่ีเรียกทางนี้อกี อย่างหนึง่ วา่ “ทางในลด” นนั้ หมายถงึ ว่าบรรเลงลดจากทางในลงมา 1 เสยี ง 2. ทางใน เสยี งหลักของทางในสูงกวา่ ทางเพียงออล่าง 1 เสียง เทียบกับเสียง ซอล (G) ที่ เรยี กว่า “ทางใน” นี้ เรียกช่ือตาม “ป่ีใน” ที่ใช้เป่าในวงปพ่ี าทยป์ ระจำกบั เสียงน้ี ซ่ึงเป่าไดถ้ นัดและ สะดวกที่สุด ทางน้ีใช้ในการบรรเลงในการแสดงละครในเพลงเร่ือง และพธิ กี รรมตา่ ง ๆ ปัจจบุ นั ใช้ บรรเลงในการแสดงละครนอกและโขนด้วย 3. ทางกลาง เสียงหลกั ของทางกลางสูงกวา่ ทางใน 1 เสียง เทียบได้กบั เสยี ง ลา (A) ทเี่ รียกวา่ “ทางกลาง” น้ี เรียกช่อื ตาม “ปกี่ ลาง” ซึ่งใชเ้ ปา่ ในวงป่ีพาทยป์ ระจำกับเสยี งนีไ้ ด้ถนดั และสะดวกท่ีสุด ทางนใี้ ช้บรรเลงประกอบการแสดงหนังใหญแ่ ละโขนในสมัยโบราณ 4. ทางเพียงออบน (หรือ ทางนอกต่ำ) เสียงหลกั ของทางเพียงออบนสูงกวา่ ทางกลาง 1 เสยี ง เทียบได้กับเสยี ง ซแี ฟรต (Bb) ทีเ่ รียกว่า “ทางเพียงออบน” นี้ เรยี กตามชื่อ “ขล่ยุ เพยี งออ” ซึง่ ใชเ้ ปา่ ประจำกบั เสียงนี้ และเพ่ือให้แตกต่างกับทางเพยี งออล่างจึงเรยี กวา่ ง “ทางเพยี งออบน” ทางนบ้ี างทีก็ เรียกว่า “ทางนอกต่ำ” ตามช่ือ “ปน่ี อกต่ำ” ซ่ึงเปา่ ประจำกบั เสยี งนีไ้ ด้ถนดั และสะดวกท่ีสุด ทางน้ีใช้ บรรเลงประจำกับวงมโหรแี ละวงเครื่องสาย 5. ทางกรวด (หรอื ทางนอก หรอื ทางแหบ) เสยี งหลักของทางกรวดสงู กว่าเพียงออบน 1 เสยี งเทียบได้กับเสียง โด (C) ท่เี รียกว่า “ทางกรวด” เน่ืองจากเป็นทางท่ีมีเสยี งสงู ของการบรรเลงปี่ พาทย์ แตท่ ี่เรียกว่า “ทางนอก” นน้ั เรยี กตามช่อื “ปนี่ อก” ซง่ึ เป่ากับเสียงนี้ได้ถนดั และสะดวกทส่ี ดุ โดยใช้น้ิวอย่างเดียวกันกบั ปี่ในเปา่ ทางใน ทางกรวดหรือทางนอกน้ีใช้บรรเลงประกอบการขบั เสภา หรือบรรเลงปพ่ี าทย์รบั รอ้ งโดยปรกติ และใชบ้ รรเลงในการแสดงละครนอกในสมัยโบราณ 6. ทางกลางแหบ เสยี งหลักของทางกลางแหบสงู กวา่ ทางกรวด 1 เสียง เทยี บไดก้ บั เสียง เร (D) ท่ีเรยี กว่า “ทางกลางแหบ” กด็ ว้ ยเมื่อบรรเลงเพลงทางนี้ ปกี่ ลางจะต้องเปา่ แหบโดยมาก เหมือน อย่างป่ีในป่าทางนอก ทางนี้มไิ ดใ้ ช้ประจ าการแสดงอะไร มนั จะแทรกอยู่ในการบรรเลงเพลงที่เปน็ ทางในเมื่อย้ายระดับเสียง เช่น เพลงทยอยใน เพลงทยอยเขมร 7. ทางชวา (หรือ ทางเครื่องสายป่ีชวา) เสียงหลกั ของทางชวาสูงกวา่ ทางกลางแหบ 1 เสยี ง เทยี บได้กบั เสียง มี (E) ทเี่ รียกว่า “ทางชวา” ก็เรยี กตามชื่อ “ปี่ชวา” ซ่งึ เปา่ ประจำกบั เสยี งนไี้ ด้ถนดั และสะดวกทส่ี ดุ ทางนี้ใช้ประจำกบั การบรรเลงทมี่ ปี ช่ี วาจากการศึกษาสรุปได้วา่ บันไดเสยี งทใี่ ช้ในเพลง ไทย มที ั้งหมด 7 บนั ไดเสยี งอันไดแ้ ก่ 1. ทางเพียงออลา่ ง (ทางในลด) 2. ทางใน 3. ทางกลาง 4. ทางเพยี งออบน (ทางนอกต่ำ) 5. ทางกรวด (ทางนอก, ทางแหบ) 6. ทางกลางแหบ 7. ทางชวา (ทางเครื่องสายป่ีชวา)

13 2.แนวคดิ การสร้างเครอื่ งดนตรสี ะล้อ บูรณพันธ์ุ ใจหล้า (2562 : 57) ได้ให้แนวคิดการสรา้ งเครอ่ื งดนตรีสะล้อไว้ว่า การสร้างสะล้อ สำหรบั สร้างสะลอ้ นยิ มใชไ้ มช้ ิงชัน หรอื ภาษาลา้ นนา เรยี กว่าไมเ้ ก็ด ไมช้ นิดน้ีเป็นไม้ยนื ตน้ และเปน็ ไม้ ชนิดเดียวกันกับท่ีใช้สร้างเคร่ืองดนตรีไทยคือระนาด ไม้ชนิดนี้มีเนื้อแข็งเหมาะสำหรับใช้เป็นวัสดุใน การทำคันทวนสะล้อ หรือถ้าไม่มีไม้ชนิดนี้ก็สามารถใช้ไม้ชนิดอ่ืนๆ ท่ีมีเนื้อแข็งได้เช่นกัน ขั้นตอนการ สร้างสะล้อสามารถสรุปได้ดังนี้(1) ขั้นเตรียมการโดยการเตรียมไม้และเคร่ืองมือ (2) การสร้างคันทวน สะลอ้ (3) การข้ึนรูปสะล้อ (4)การทำลกู บิดสะล้อ (5) การทำคันชักสะล้อ (6) การขัดกะโหลกมะพร้าว (7) ข้ันตอนการเจาะกล่องเสียงสำหรับใส่คันทวนสะล้อ (8) การเจาะรูสำหรับใส่ลูกบิดสะล้อ (9) การ ใส่สายสะล้อ (10) ข้นั ตอนการผกู เส้นหวายตรงวดั อก และ (11) การวัดคณุ ภาพเสยี งสะลอ้ ประสิทธ์ิ เลียวสิริพงศ์ (2539:130-140) ได้กล่าวถึงเรื่องการทำเครื่องดนตรีไว้ว่าเครื่อง ดนตรีเป็นประดิษฐกรรมที่สำแดงภูมปิ ัญญาของมนุษยอ์ ยา่ งน้อย 2 ด้าน คือ ภูมิปญั ญาด้านความร้กู ับ เสียงของวัสดุในธรรมชาติ กับด้านความสามารถในการสร้างรูปแบบ และ สัดส่วนเพ่ือให้ได้เสียงที่พึง ประสงค์ เครื่องดนตรีที่เป็นอุตสาหกรรมในปัจจุบัน ผลิตจากพื้นฐานความรู้ท้ัง 2 ประการ โดยมี วิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีเป็นสิ่งอำนวยความถูกต้องเท่ียงตรง และ ความสะดวกท่ีสำคัญมาก เครื่องดนตรีท่ีสามารถผลิตเป็นอุตสาหกรรมได้ ส่วนมากเป็นเครื่องดนตรีตะวันตก ซ่ึงมีผู้ใช้อย่าง กว้างขวางท่ัวโลก ส่วนเครื่องดนตรีประจำชาติประจำถ่ินน้ัน ส่วนมากเป็นงานหัตถกรรมในครัวเรือน การผลิตลักษณะน้ีทำให้เคร่ืองดนตรีของท้องถ่ินหน่ึงแตกต่างกับเครื่องดนตรีอีกท้องถ่ินหนึ่งมากบ้าง น้อยบ้าง บางทีแม้แต่ในท้องถ่ินเดียวกันก็อาจมีข้อแตกต่างระหว่างช่างคนหนึ่งกับช่างอีกคนหนึ่งได้ เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันได้รวมตัวกันเป็นแว่นแคว้น หรือ อาณาจกั รแล้ว มักมี องคป์ ระกอบของวัฒนธรรมที่เป็นอนั หนึ่งอนั เดียวกันอยู่หลายอย่าง เครื่องดนตรีท่ีทำข้นึ เพื่อใช้งานใน วฒั นธรรมเดยี วกนั จึงมกั จะมีจุดรว่ มกันด้วย จาการสัมภาษณ์ นายมีชยั สมยาดี (2565) ไดใ้ ห้แนวคดิ การสรา้ งเครือ่ งดนตรีสะลอ้ ไว้วา่ การ ทำสะล้อต้องคำนึกถึงไม้ท่ีใช้ในการสร้าง ต้องเป็นไม้เน้ือแข็ง เช่นไม้งิ้วดำ ไม้ชินชัน ไม้ประดูแดง เป็น ตน้ โดยมีข้ันตอนในการทำดงั นี้ (1) การเตรียมเครื่องมือในการทำสะล้อ (2) การทำกะลามะพรา้ วโดย คำนึกถงึ เสยี งท่ีเกิดข้ึน ถ้ากะลามะพร้าวมีขนาดเล็กจะทำใหเ้ สียงแหลม ถ้ากะลามะพร้าวมีขนาดใหญ่ จะทำให้สียงใหญ่ นำมาขัดให้เรียบ (3) การทำตัวสะล้อและการเจาะรูตัวสะล้อ (4) การทำลูกบิดและ เจาะรูลกู บดิ (5) การทำก๊อบสะลอ้ (6) การประกอบสะลอ้ เข้าด้วยกนั ดนตรีในล้านนาที่เปน็ ของท้องถิน่ มาแตเ่ ดิม เป็นดนตรีที่มบี ทบาทสอดคลอ้ งกบั ความประสงค์ ของสังคม ซง่ึ มีส่วนกำหนดคณุ สมบัตขิ องเสียงเครื่องดนตรีท่เี ปน็ ไปตามความประสงคน์ น้ั ๆ นอกจากนี้ ค่านิยมของสังคมล้านนาก็มีส่วนกำหนดความไพเราะท่ีเป็นอุดมคติไว้อีกด้านหนึ่งด้วย ความประสงค์ ของสังคม ค่านิยมด้านความไพเราะ และ ความรู้ด้าน ส่วนศาสตร์ (Acoustics) ของช่างทำเคร่ือง ดนตรี หรือ “สล่า” ได้ผนวกกันเข้าเป็นสูตรหรือเกณฑ์ในการกำหนดรูปแบบ และวัสดุของเครื่อง ดนตรีลา้ นนา 3.งานวิจัยที่เก่ียวข้อง สุคำ แก้วศรี (2553 : 4) ไดว้ ิจัยเรือ่ ง สะลอ้ และ ซงึ : ภูมิปัญญาพืน้ บ้านล้านนา ผลการวจิ ัย พบว่า องค์ความรู้ สะล้อ และ ซึงในวัฒนธรรมล้านนามีมานานกว่า 600 ปี และ สามารถแบ่งกลุ่ม

14 วัฒนธรรมดนตรี สะล้อ และ ซึง เป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 วัฒนธรรมดนตรีพ้ืนบ้านน่าน ได้แก่ จังหวัดน่าน จังหวัดแพร่ จังหวัดพะเยา มีวิธีการเล่น และ ทำนองแตกต่างกันไปตามสำนักครู และ เน้นไหวพริบ เรียกได้ว่าเป็นวัฒนธรรมดนตรีราษฎร์ และ กลุ่มท่ี 2 วัฒนธรรมดนตรีเชียงใหม่ ได้แก่ จงั หวัดเชียงใหม่ จังหวดั เชียงราย มีการกำหนดรูปแบบในการเล่นอยา่ งเป็นระบบ สืบทอดวิธีการเล่น จากราชสำนักเรียกได้วา่ เปน็ วัฒนธรรมดนตรีหลวง ตั้งปณิธาน อารีย์ (2554 : ข) ได้วิจัยเร่ือง กรรมวิธีการสร้างซออู้ของครูธีรพันธุ์ ธรรมมานุ กูล มีวัตถปุ ระสงค์เพ่ือศึกษาประวัติการสร้างซออู้ของครูธีรพันธ์ุ ธรรมมานุกูล และ ศึกษาปัจจัยที่ มีผลต่อคุณภาพเสียงซออู้ของครูธีรพันธุ์ ธรรมมานุกูล ผลการวิจัยพบว่า ครูธีรพันธุ์ ธรรมมานุกูล อนุรกั ษ์รูปทรงและสัดส่วนของซออู้ให้เป็นมาตรฐานของกระสวนรา้ นดุริยบรรณ และ ได้มีการพัฒนา รปู ทรงสัดสว่ นของซออู้ให้เป็นมาตรฐานในแบบของตน ลักษณะเฉพาะคอื งานกลงึ ลวดลายท่ีสวยงาม ประณีต ใชม้ ีดกลึง 3 แบบ พ่นแล็กเกอร์ ข้ันตอนการขัดด้วยกระดาษทรายน้ำ การกำหนดลายฉลุบน กะโหลกซอ การพอกกะโหลก ความละเอียดในทุกข้ันตอน การคัดวัสดุท่ีมีคุณภาพ ได้แก่กะโหลกซอ หนังแพะ หางม้า สายซอ และการเหลาหมอนซอ ให้ความสำคัญเรื่องของคัดทวน ลูกบิด คันชัก เป็น ผลทำให้เสียงซออู้คมชัดนุ่มนวล ดังกังวาน จากประสบการณ์ความรู้ทางด้านดนตรีไทยและงานช่างมี ความเขา้ ใจในศาสตร์เสียงของดนตรีไทยเป็นปัจจัยสำคญั ใช้ในกรรมวิธีการสร้างและการตกแต่งเสียง ซออู้ ทำให้ ซออูท้ ุกคนั ทส่ี ร้างโดยครูธีรพันธ์ุ ธรรมมานุกูล เปน็ ท่ียอมรบั ว่ามีคุณภาพเสยี งดเี ยยี่ ม และ เป็นงานกลงึ ท่ีประณตี สวยงาม เปน็ ที่ยอมรับในกลุ่มนักดนตรไี ทยโดยทว่ั ไป ปรเมศวร์ สรรพศรี (2555 : ง) ได้วิจัยเร่ือง เจ้าสุนทร ณ เชียงใหม่: การสืบทอดภูมิปัญญา การสร้างสะล้อ และ ซึง ผลการวิจัยพบว่าภูมิปัญญาการสร้างสะล้อ และ ซึง ซ่ึงเกิดจากองค์ความรู้ ของเจ้าสุนทร ณ เชียงใหม่ มีผลกระทบต่อวงการเครื่องสายพื้นบ้านล้านนาอย่างมาก ท้ังในด้านของ การพัฒนาเครื่องดนตรีให้มีคุณภาพจาก “พื้นบ้าน”ให้เข้ามาสู่ระดับ “มาตรฐาน” เพื่อใช้ในระบบ การเรียนการสอนในโรงเรียน และ การถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับทายาท และ ลูกศิษย์ (ช่าง) เพือ่ สานตอ่ ภูมปิ ัญญาสะล้อ และ ซึงต้นแบบของทา่ น มาจนถงึ ปัจจบุ ัน จากการศึกษางานวิจัยท่ีเก่ียวข้องท้ัง 10 เล่ม พบว่า สะล้อเป็นเครื่องดนตรีที่สำคัญของทาง ภาคเหนือ และ เป็นท่ีนิยมในการนำมาบรรเลง ซึ่งรูปแบบการบรรเลงนัน้ จะถูกถ่ายทอดตามแบบของ ภูมิปัญญาพื้นบ้านโดยเริ่มจากครอบครัวที่ถ่ายทอดผ่านรุ่นสู่รุ่นรวมถึงวิธีการสร้างเคร่ืองสะล้อท่ีได้ มาตราฐาน และเป็นท่ียอมรับในหมูน่ ักดนตรีพ้ืนเมืองเหนือและนักดนตรีไทย โดยมีกระบวนการสร้าง ท่ีประณีตและงดงาม ตามอัตลักษณ์ของนายบุญรัตน์ ทิพย์รัตน์ ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจาก เจ้าสุนทร ณ เชียงใหม่ และ อาจารย์ภาวาส บุนนาค อกี ทั้งการเลือกวัสดุในการทำเครื่องดนตรีสะล้อ ท่ีมีคุณภาพดี โดย การประยุกต์ใช้วัสดุอุปกรณ์ท่ีใกล้ตัวถือเป็นภูมิปัญญา และ มรดกทางวัฒนธรรม ล้านนาท่คี วรสืบต่อไป

15 บทท่ี 3 วธิ กี ารดำเนินงาน ในการทำโครงงานเรอื่ ง เสยี งสะล้อจากทอ่ PVC เปน็ การศึกษาเพื่อม่งุ สร้างผลงานศลิ ปะท่ี แตกตา่ งจากรปู แบบเดมิ เพื่อสรา้ งจดุ เดน่ และคุณค่าของช้ินงานทีส่ ร้างสรรค์ ในการศกึ ษาคน้ คว้า ผจู้ ัดทำโครงงานไดด้ ำเนนิ ตามลำดบั ดังนี้ 1. ผู้ใหข้ อ้ มูลหลัก 2. เครอื่ งมอื ท่ีใชใ้ นการศกึ ษาค้นคว้า 3. การวิเคราะห์ข้อมูล 4. การตรวจสอบข้อมลู 5. การนำเสนอขอ้ มูล 1. ผูใ้ ห้ขอ้ มูลหลกั ผูใ้ ห้ขอ้ มูลหลกั ในการศึกษาโครงงานครงั้ น้ี ประกอบดว้ ย 1.ดร.ศนั สนีย์ อนิ สาร ศลิ ปินพืน้ บ้านภาคเหนือ จังหวัดเชียงราย 2.นายมีชัย สมยาดี สล่าทำเครอ่ื งดนตรีพ้นื เมือง อำเภอเทงิ จังหวดั เชยี งราย 2.นายโสพิณ เพียรศลิ ป์ สล่าทำเครื่องดนตรีพื้นเมือง อำเภอเทงิ จังหวดั เชียงราย 2. เคร่อื งมือท่ใี ชใ้ นการศึกษาค้นคว้า 2.1แบบสัมภาษณ์ ผู้จัดทำโครงงานได้สร้างแบบสัมภาษณ์ไว้ล่วงหน้าก่อนทำการสัมภาษณ์ โดยการกำหนด หัวข้อให้ครอบคลุมกับวัตถุประสงค์ของโครงงานคร้ังนี้ คือ ขั้นตอนและวิธีการสร้างสะล้อ องค์ประกอบและลกั ษณะของสะลอ้ การสัมภาษณ์แต่ละคร้ังผู้จดั ทำโครงงานได้ใช้อุปกรณ์บันทึกเสียง พร้อมกับอัดเสียงสัมภาษณ์ ใช้อปุ กรณ์ในการบนั ทึกภาพวดิ โี อ ภาพน่ิง เสยี ง และจดบันทึก ตลอดการ สมั ภาษณ์ โดยดำเนนิ การสัมภาษณ์ในหวั ขอ้ ดงั ต่อไปนี้ 2.1.1 แบบสมั ภาษณ์แบบมโี ครงสร้าง แบบสัมภาษณ์ท่ีมีโครงสร้าง เป็นแบบสัมภาษณ์ท่ีมีประเด็นคำถามกำหนดข้ึนไว้ใน การสนทนาอย่างเป็นข้ันเป็นตอนเรียงลำดับก่อนหลังไว้เป็นอย่างดี ซึ่งในการทำโครงงานครั้งนี้ผู้ทำ โครงงานได้กำหนดคำถามไวด้ งั น้ี 1) แบบสัมภาษณ์สำหรบั ผู้มอี งค์ความรู้และเชยี่ วชาญดา้ นสะล้อ 1.1 ประวัติทม่ี าของวงสะล้อซอซึง มีความเปน็ มายังไงบา้ ง 1.2 คำวา่ “สะล้อ” หมายถงึ อะไร 1.3 สว่ นประกอบของสะลอ้ มีอะบา้ ง 1.4 ระบบเสยี งของสะล้อ เกดิ ขึน้ ได้ยงั ไง 1.5 การสร้างเคร่ืองดนตรีสะล้อ มีข้นั ตอนและวธิ ีการสร้างแบบใด 2) แบบสมั ภาษณผ์ ู้ทม่ี ีองค์ความร้แู ละเชียวชาญด้านการสร้างสะลอ้ 2.1 ขั้นตอนและวธิ กี ารทำสะล้อ

16 3. การวิเคราะหข์ ้อมลู ผู้จัดทำโครงงานวิเคราะห์เน้ือหาเชิงพรรณนา โดยสังเคราะห์ข้อมูล(Content Analysis) จากเอกสาร ตำรา หนังสือ งานวิจัย และการสัมภาษณ์บุคคลผู้ที่เก่ียวข้อง นำมาสรุปเป็นเอกสารทาง วชิ าการ 4. การตรวจสอบข้อมูล ผู้จัดทำโครงงานได้ตรวจสอบข้อมูลท่ีได้จากการวิเคราะห์ข้อมูล มารวบรวมเรียบเรียงเป็น รปู แบบเอกสารให้ครบถ้วน และนำผลการวิเคราะห์ข้อมูลไปตรวจสอบพร้อมกับให้ผู้ตรวจสอบข้อมูล ทำการตรวจสอบอีกครั้ง 5. การนำเสนอ ผู้จัดทำโครงงานนำผลงานมาเรียบเรียงตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย โดยนำเสนอในรูปเล่ม 5 บท และนำเสนอเปน็ รปู แบบการนำเสนอสะล้อทท่ี ำมาจากท่อPVC เพลงลอ่ งแม่ปิง

17 บทที่ 4 ผลการศึกษา โครงงาน เรื่อง เสียงสะล้อจากท่อPVC ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาขั้นตอนและวิธีการ สร้างสะล้อจากท่อPVC รวมไปถึงการศึกษาองค์ประกอบและลักษณะเด่นของสะล้อ โดยแบ่งข้ันตอน ออกไดด้ ังนี้ 1. ข้นั ตอนและวิธีการสรา้ งสะลอ้ จากทอ่ PVC 1.1 อปุ กรณ์และเครื่องมอื ทใ่ี ชใ้ นการสรา้ งสะล้อจากท่อPVC 1.2 ขน้ั ตอนและวธิ กี ารสรา้ งกล่องเสียงจากท่อPVC 1.3 ขน้ั ตอนและวธิ กี ารสรา้ งตัวสะล้อ(คันทวน)จากท่อPVC 1.4 ขัน้ ตอนและวิธกี ารสรา้ งลูกบดิ สะล้อจากท่อPVC 1.5 ขน้ั ตอนและวธิ กี ารทำย่องสะล้อ 1.6 ข้ันตอนและวิธกี ารประกอบสะลอ้ จากท่อPVC 1.7 ขน้ั ตอนและวธิ ีการลงสีสะลอ้ และใสส่ ายสะล้อ 1.8 เทยี บราคาสะล้อท่ีทำมาจากไม้และทำมาจากท่อPVC 2. สามารถนำเอาสะลอ้ PVCมาฝึกซอ้ มและบรรเลงรวมวงได้ 2.1 การฝกึ ซ้อมสะล้อPVC 2.2 การบรรเลงรวมวงของสะลอ้ PVC 1. ขัน้ ตอนและวิธีการสรา้ งสะล้อจากทอ่ PVC 1.1 อุปกรณ์และเคร่ืองมอื ทใ่ี ช้ในการสร้างสะล้อจากท่อPVC ผ้จู ัดทำโครงงานได้เตรียมอปุ กรณท์ ี่ใชใ้ นการทำสะลอ้ จากท่อ PVC ดงั นี้ - ทอ่ PVC ขนาด 1/4 นว้ิ มีความยาวประมาณ 30 นิ้ว โดยประมาณ ภาพท่ี 11 ท่อPVC 1/4 นว้ิ ทม่ี า : ผู้จัดทำโครงงาน

18 - สว่านใช้เจาะรลู กู บดิ และเจาะรูกระโหลกสะล้อ ภาพที่ 12 สวา่ นกระแทกไร้สาย ทม่ี า : ผู้จดั ทำโครงงาน - ไม้ มคี วามยาวประมาณ 48 นิ้ว โดยประมาณ ภาพท่ี 13 ไม้ ทม่ี า : ผจู้ ัดทำโครงงาน - ฝาปดิ ท่อPVCขนาด 4นวิ้ หรอื 4หนุ ใชป้ ดิ ไม่ให้นำ้ ไหล นำมาทำกล่องเสียง ภาพที่ 14 ฝาปดิ ทอ่ PVCขนาด 4นวิ้ หรอื 4หุน ที่มา : ผ้จู ัดทำโครงงาน

19 - กระดาษทรายเบอร์ P60 ใช้ขดั วัสดุใหบ้ างลง ภาพที่ 15 กระดาษทรายเบอร์ P60 ทีม่ า : ผูจ้ ดั ทำโครงงาน - กระดาษทรายเบอร์ 0 ใชข้ ัดวัสดุใหเ้ รยี บเนียน ภาพท่ี 16 กระดาษทรายเบอร์ 0 ท่มี า : ผจู้ ัดทำโครงงาน - มีดพร้า ใช้ตดั สับ เหลาไม้ ภาพท่ี 17 มดี พร้า ที่มา : ผู้จัดทำโครงงาน

20 - เล่อื ย ใชใ้ นการตัดไมแ้ ละตัดทอ่ PVC ภาพที่ 18 เล่ือย ทมี่ า : ผู้จดั ทำโครงงาน - กาวรอ้ นใช้ยดึ ติดท่อPVCและไม้ ภาพที่ 19 กาวรอ้ น ท่มี า : ผจู้ ัดทำโครงงาน - ปากกาเมจิกสีดำ ภาพที่ 20 ปากกาเมจกิ สีดำ ทม่ี า : ผู้จัดทำโครงงาน

21 - เครอื่ งเจยี ไฟฟ้า ใชเ้ จียกระโหลกสะล้อจากท้อPVC ภาพที่ 21 เคร่อื งเจยี ที่มา : ผ้จู ดั ทำโครงงาน - ไม้บรรทัด ใช้วัดความยาวของท่อPVC ภาพท่ี 22 ไมบ้ รรทัด ท่มี า : ผจู้ ดั ทำโครงงำน - ชุดตวั เจาะPVCและไม้ ภาพท่ี 23 ชดุ ตัวเจาะ ทมี่ า : ผจู้ ดั ทำโครงงาน

22 - สายกีต้าร์เบอร์ 01 ในอดีตสะล้อมักจะใช้สายเบรครถถีบ(รถจกั รยานยนต)์ มาทำเปน็ สายสะ ลอ้ ในปจั จบุ นั จะใชส้ ายกีต้าร์แทน ภาพที่ 24 สายกตี า้ รเ์ บอร์ 01 ที่มา : ผจู้ ัดทำโครงงาน - ก๋งสะล้อหรือคนั ชกั ทำด้วยไม้กลมยาวประมาณ 60 เซนติเมตรหรอื พอเหมาะสมกับขนาด สะล้อพอดงู ามใชข้ นหางม้าหรือเสน็ เอ็นขึ้นสายใหโ้ ค้งงอ เม่ือคันสะล้อสีกับสายจะทำให้เกิดเสียงข้ึนมา ภาพที่ 25 คันชัก ที่มา : ผจู้ ดั ทำโครงงาน - ลวดเป็นสิง่ ท่ีทาํ เป็นโลหะเสน้ ยาวๆ ทเ่ี อามารีดเป็นเส้นตรง ใชส้ ำหรบั ดดั ยดึ ให้แน่นมากขึ้น ภาพท่ี 26 ลวด ที่มา : ผู้จดั ทำโครงงาน

23 1.2 ขัน้ ตอนและวิธีการสรา้ งกล่องเสียงจากท่อPVC ทำกล่องเสียงโดยใช้ท่อPVCขนาด4น้วิ (หนุ ) 1.2.1 การเจยี ร์กล่องเสียง - การเจียรก์ ล่องเสยี งโดยใช้เครอื่ งมอื คือลกู หมูเจียร์เพ่อื ใหก้ ลอ่ งเสยี งที่ใช้ แทนหน้าตาดบางลงเพื่อให้เสียงมีความกังวานมากข้ึนโดยการใช้กระดาษทรายเบอร์P60 และนำ กระดาษทรายเบอร์0 เพอื่ ใหห้ นา้ กลอ่ งเสียงเรียบเนยี นข้นึ ภาพที่ 27 การเจยี รก์ ล่องเสยี ง ทม่ี า : ผู้จัดทำโครงงาน 1.2.2 การวัดจุดศูนยก์ ลาง (เจาะรกู ลอ่ งเสียง) - การเจาะรดู ้านข้างโดยเร่ิมจากการวัดจุดศูนยก์ ลางของท่อPVC แลว้ เจาะรู ด้านข้างให้เท่ากับจุดศูนย์กลางท่ีวัดไว้ แล้วใช้ดอกสว่านดอกเล็กประมาณ 4 มิลสิเมตร เจาะนำลงไป แล้วเปลี่ยนเปน็ ดอกสวา่ นดอกใหญ่ท่ีมีขนาด 10-12 มลิ เจาะเพ่อื ใส่คันทวนสะล้อ ภาพท่ี 28 การเจาะรู ทม่ี า : ผจู้ ดั ทำโครงงาน

24 1.3 ข้ันตอนและวิธกี ารสร้างตัวสะล้อ(คันทวน)จากท่อPVC ผู้จัดทำโครงงานไดน้ ำเอาทอ่ PVCเหลอื ใช้ มาทำเป็นตัวสะล้อ(คันทวน)มวี ธิ กี ารดังนี้ 1.3.1 การวัดความยาวของท่อ - วดั ความยาวของท่อPVC และตัดท่อออกให้ได้ยาวประมาณ 25 - 26 นว้ิ ภาพที่ 29 การตดั ท่อPVC ทีม่ า : ผู้จัดทำโครงงาน 1.3.1 เหลาไมใ้ สใ่ นท่อเพ่ือทำคนั ทวนสะล้อ - การเหลาไม้ ผู้จัดทำโครงงานได้ใช้ไมล้ ูกเสือที่ไม่ไดใ้ ช้แล้ว นำมาเหลาให้ เท่ากับรขู องท่อPVC เพื่อทำคันทวนของสะล้อ โดยใชม้ ดี พร้าในการเหลาเพือ่ นำไมส้ อดใส่ในทอ่ PVC ทำใหท้ ่อPVCมีความทนทานมากขึน้ และยงั ช่วยไมใ่ ห้ท่อPVCเกิดการคดงอ ภาพที่ 30 การเหลาไมใ้ สใ่ นท่อPVC ทมี่ า : ผู้จดั ทำโครงงาน

25 1.3.2 เจยี ร์คันทวน - การเจยี ร์คันทวนจะใช้หนิ เจียร์ลกู หมู ในการเจียร์เพ่อื ให้ไมเ้ รียบเนยี น ย่งิ ขึ้นและสอดใส่ในทอ่ PVCได้งา่ ยย่ิงขน้ึ ภาพท่ี 31 เจยี รไ์ ม้ ทม่ี า : ผูจ้ ดั ทำโครงงาน 1.3.3 สอดไมเ้ ข้ากับท่อPVCแลว้ หยอดกาว - สอดไมเ้ ข้ากบั ท่อPVCเพื่อไม่ให้ท่อPVCเกิดการคดงอแลว้ หยอดกาวเพ่อื ทำให้ไมต้ ดิ กับทอ่ PVCแนน่ ยง่ิ ข้ึน ภาพท่ี 32 สอดไม้ ทม่ี า : ผจู้ ัดทำโครงงาน

26 1.3.4 เจาะรูคนั ทวน - วัดจากกระโหลกท่อPVCด้านบนถงึ รัดอกประมาณ 11 น้ิว แล้ววดั จากรัด อกไปหาลูกบดิ ประมาณ 4-5 นว้ิ และวดั รูเจาะลกู บิดห่างกัน 1 นว้ิ จากนน้ั ใช้ดอกสว่าน 4 มลิ เจาะ นำแล้วใชด้ อกสว่านขนาด 9-10 มิลลิเมตร เจาะตาม ภาพที่ 33 วดั จากกระโหลกท่อPVCด้านบนถงึ รัดอก ทม่ี า : ผู้จดั ทำโครงงาน ภาพที่ 34 วดั จากรดั อกไปหาลกู บิด ทม่ี า : ผูจ้ ดั ทำโครงงาน ภาพท่ี 35 ใช้ดอกสวา่ น 4 มิลลเิ มตร เจาะนำ ทม่ี า : ผู้จัดทำโครงงาน

27 ภาพที่ 36 ใช้ดอกสวา่ น 9-10 มิลลเิ มตร เจาะตาม ทม่ี า : ผ้จู ัดทำโครงงาน ภาพที่ 37 หลงั จากเจาะเสรจ็ ทม่ี า : ผู้จัดทำโครงงาน 1.4 ขั้นตอนและวิธกี ารสร้างลกู บิดสะล้อจากท่อPVC 1.4.1 ตัดท่อPVC(ทำลกู บดิ สะล้อ) - การตดั ตดั ท่อPVCใชเ้ ลื่อยตัดเหลก็ ในการตัด ให้ได้ท่อขนาด 2 น้วิ จำนวน 2 ชิ้น เพ่อื ใช้ในการทำลูกบดิ ภาพที่ 38 ตัดทอ่ PVC ทมี่ า : ผู้จดั ทำโครงงาน

28 ภาพท่ี 39 ทอ่ ที่ได้จากการตัด ท่ีมา : ผจู้ ัดทำโครงงาน 1.4.2 ตัดไม้(ทำลูกบิดสะล้อ) - ตดั ไมใ้ ชเ้ ลอ่ื ยเหล็กในการตัด ใหไ้ ดค้ วามยาวประมาณ 7 นิว้ จำนวน 2 ช้นิ เพอ่ื ใช้ในการ ทำลูกบิดสะล้อ ภาพที่ 40 ตดั ไม้ ทม่ี า : ผู้จดั ทำโครงงาน ภาพท่ี 41 ไม้ท่ีไดจ้ ากการตดั ท่มี า : ผู้จัดทำโครงงาน

29 1.4.3 เหลาไม้ใส่ท่อ(ทำลกู บิดสะล้อ) - เหลาไม้ ใหเ้ ทา่ กบั รูทอ่ PVC แล้วนำไปเจยี รเ์ พื่อใหไ้ มม้ ีความเรียบเนยี น ภาพท่ี 42 เหลาไม้ ทม่ี า : ผจู้ ดั ทำโครงงาน ภาพท่ี 43 เหลา และเจยี ร์ไม้ ทม่ี า : ผจู้ ัดทำโครงงาน - จากนน้ั ใช้สวา่ นกระแทกไรส้ ายเจาะรู โดยใช้ตวั เจาะขนาด 1.5 นิว้ และนำลกู บิด ไปใส่ตรงคนั ทวนสะล้อ ภาพท่ี 44 เจาะรลู ูกบดิ ใสส่ าย ที่มา : ผ้จู ัดทำโครงงาน

30 ภาพที่ 45 ใสล่ ูกบิดเข้ากับคันทวน ที่มา : ผ้จู ัดทำโครงงาน 1.5 ขั้นตอนและวิธีการทำย่องสะล้อ 1.5.1 ตดั ไม้ใชท้ ำย่อง - ผา่ ไม้ให้เป็นส่เี หลี่ยมขนาดเล็กแล้วทำบง้ั เพื่อใสส่ ายสะล้อ ภาพที่ 46 ตัดไม้ใหไ้ ด้รปู ทรงสเ่ี หล่ยี ม ทมี่ า : ผจู้ ดั ทำโครงงาน ภาพท่ี 47 ไมท้ ่ีตดั ได้รูปทรงสี่เหลย่ี ม ที่มา : ผ้จู ดั ทำโครงงาน

31 ภาพท่ี 48 ตัดแตง่ ไม้ให้ไดร้ ปู สี่เหล่ียมคางหมู ที่มา : ผู้จัดทำโครงงาน ภาพท่ี 49 ไม้ท่ีตัดแต่งเปน็ รูปสีเ่ หล่ียมคางหมูเสรจ็ เรียบร้อยแลว้ ท่มี า : ผู้จัดทำโครงงาน ภาพท่ี 50 ทำบ้งั เพื่อวางสายสะล้อ ทม่ี า : ผู้จดั ทำโครงงาน

32 1.6 ขนั้ ตอนและวธิ กี ารลงสีสะล้อ - นำเอาทอ่ PVCทุกสว่ นที่ทำเสรจ็ แลว้ มาลงสี ภาพท่ี 51 นำคันทวนมาสี ทีม่ า : ผูจ้ ดั ทำโครงงาน 1.7 ขนั้ ตอนและวธิ ีการประกอบสะลอ้ จากท่อPVC - นำคนั ทวนมาสอดเขา้ กับกระโหลกสะล้อที่ไดเ้ จาะรูไว้แลว้ ภาพที่ 52 นำคันทวนมาสอดเข้ากับกระโหลกสะล้อ ทีม่ า : ผจู้ ัดทำโครงงาน - นำเอาสายกีต้าร์เบอร0์ มารัดกับคนั ทวนลา่ งของสะล้อแลว้ โยงขึน้ ไปใสต่ รงรลู กู บดิ ภาพท่ี 53 การใส่สายทปี่ ระดิษฐ์จากท่อPVC ท่มี า : ผจู้ ัดทำโครงงาน

33 - นำเอาลวดมารดั ไวต้ รงชว่ งของรัดอกสะล้อ ภาพท่ี 54 ใส่สายรัดอก ที่มา : ผู้จัดทำโครงงาน - สะล้อที่ทำจากท่อPVC ภาพที่ 55 สะล้อท่ีทำจากPVC ที่มา : ผจู้ ดั ทำโครงงาน

34 1.8 เทียบราคาสะล้อทท่ี ำมาจากไม้และทำมาจากท่อPVC ผู้จัดทำโครงงานไดน้ ำวัสดุเหลือใชใ้ นโรงเรียนมาทำเปน็ สะล้อที่มีความสวยงามและ สามารถบรรเลงรวมวงได้จริง ผู้จัดทำโครงงานได้ทำตารางเสนอราคาและไม้แข็งชนิดต่างๆที่นำมา ทำสะล้อจากการเปรยี บเทียบดังนี้ ตาราง เปรียบเทียบราคาสะล้อที่ทำมาจากไมแ้ ขง็ ชนดิ ตา่ ง สะล้อไม้เกลด็ ราคา 1,000 สะล้อไม้สัก สะลอ้ ที่ทำมาจากท่อPVC สะลอ้ ไม้พญางวิ้ ดำ ราคา 1,100 – 1,300 ราคา 200 บาท ราคา 5,000 – 10,000 สะล้อไมไ้ ม้พยงุ ราคา 5,000 – 10,000 ตารางท่ี 1 จากการเปรยี บเทียบผ้จู ัดทำโครงงานพบว่าราคาตน้ ทนุ จากการทำสะล้อในครง้ั นี้ มีราคาถกู กว่าสะลอ้ ที่ทำมาจากไม้ และสะลอ้ PVCยังสามารถเลยี นแบบเสยี งใหเ้ หมอื นกบั สะล้อทีท่ ำมาจากไม้ 2. สามารถนำเอาสะลอ้ PVCมาฝึกซ้อมและบรรเลงรวมวงได้ ผจู้ ัดทำโครงงาน ได้นำเอาสะล้อทที่ ำมาจากท่อPVCน้ี มาใชใ้ นการฝกึ ซ้อมเพ่ือให้เกดิ ความ ชำนาญมากขึน้ และยงั สามารถนำสะลอ้ มารวมกนั บรรเลงเป็นวงดนตรีพนื้ เมืองได้ดังน้ี

35 2.1 สะล้อจากท่อPVCในการฝึกซอ้ ม ผจู้ ัดทำโครงงานได้นำสะลอ้ ท่ีทำมาจากทอ่ PVCฝึกซ้อมใหเ้ กิดความชำนาญมีวิธกี าร ซอ้ มดงั ตอ่ ไปน้ี 2.1.1 ซ้อมเจาะหรอื ช่วงเพลงทเ่ี ล่นไม่ได้ ผู้จดั ทำโครงงานได้ฝึกซอ้ มการเล่นเพลงต้งั แต่ตน้ จนจบวนไปเรื่อยๆ ทำให้ เสียเวลาการซ้อมเป็นอย่างมาก และไม่สามารถช่วยให้ได้เล่นดีขึ้น ผู้จัดทำโครงงานจึงซ้อมเจาะเป็น จุดๆ ในประโยคหรือห้องของเพลงท่ียังเล่นไม่ได้ ฝึกจนคล่อง ค่อยๆผสมประโยคสั้นๆ และยาวขึ้น หลังจากนั้นถงึ ค่อยรวมทงั้ เพลงเข้าดว้ ยกัน ภาพท่ี 56 ซ้อมเจาะหรือช่วงเพลงที่เล่นไมไ่ ด้ ท่ีมา : ผู้จดั ทำโครงงาน 2.1.2 การฟังและดดู นตรเี ยอะๆถอื เป็นการซ้อม ผจู้ ัดทำโครงงานได้เห็นแรงบนั ดาลใจและประสบการณท์ ่ไี ดเ้ ห็นหมัน่ ออกไป หาแรงบันดาลใจใหม่ๆ ให้ตัวเองเพื่อจุดไฟในการซ้อม ออกไปดูว่านักดนตรีคนอื่นๆ เขาฝึกซ้อม อยา่ งไรการบรรเลงรวมวงไปได้ถึงขนาดไหน หรอื แม้แต่การลงแข่งหรือประกวดดนตรี ก็เป็นวิธกี ารที่ดี ท่จี ะกดดนั และวัดระดับตัวเองวา่ ไปได้ไกลเท่าไหร่ 2.1.3 ซ้อมให้ชา้ ลง ผู้จัดทำโครงงานมีวิธีการซ้อมให้ช้าลง ซึ่งการซ้อมให้ช้าลงจะทำให้ กล้ามเนื้อและสมองของเราค่อยๆทำความคุ้นเคยกับเพลงและตัวโน้ต ซ้อมให้ช้าและถูกต้อง เพราะ การเล่นที่ช้าแต่แม่นยำย่อมดีกว่าการเล่นเร็วๆแต่เต็มไปด้วยข้อผิดพลาด ย่ิงเล่นผิดในขณะซ้อมเยอะ เท่าไหร่ กล้ามเนื้อของเราก็จะจำส่ิงท่ีผิดๆ จนติดเป็นนิสัย ในทางกลับกัน ถ้าเราซ้อมช้าและดี กล้ามเน้ือและสมองของเราก็จะจำในสิ่งที่ถูก และทำให้เราพัฒนาขึ้น!! เม่ือเล่นช้าๆอย่างแม่นยำแล้ว จึงค่อยๆเพิ่มความเร็วข้ึนจนถงึ ความเรว็ ทเี่ ราต้องการ 2.1.4 ซ้อมในสง่ิ ทีย่ ากหรือยงั เล่นไมไ่ ด้ ผู้จัดทำโครงงานได้ฝึกซ้อมส่ิงท่ียากให้เกิดความชำนาญ เริ่มจากบรรเลง ท่อนของเพลงนั้นซ้ำไปมาหลายๆรอบ เป็นการฝึกในส่ิงใหม่ที่ยังไม่เคยรู้หรือยังทำไม่ได้ เพ่ือให้เกิด ความชำนาญและจะสามารถบรรเลงในท่อนท่ียากได้

36 2.2 การบรรเลงรวมวงของสะลอ้ จากท่อPVC ผูจ้ ัดทำโครงงานได้นำสะลอ้ PVCมาร่วมการบรรเลงรวมวงกับวงสะลอ้ ซึง ซึง่ ได้ผล เป็นอย่างดี เสียงท่ีเกดิ ขึ้นเป็นเสยี งคลา้ ยกับสำเนียงของสะล้อที่ทำมาจากไม้ โดยผู้จัดทำโครงงานได้ นำสะล้อPVC มาบรรเลงรว่ มกับวงสะล้อ ซงึ ภาพท่ี 57 บรรเลงสะล้อPVCรวมวง 1 ทีม่ า : ผจู้ ัดทำโครงงาน ภาพที่ 58 บรรเลงสะล้อPVCรวมวง 2 ทมี่ า : ผูจ้ ัดทำโครงงาน

37 บทที่ 5 สรุปผลการศึกษา โครงงานเร่ือง เสียงสะล้อจากท่อPVC มีวัตถุประสงค์ 1.เพ่ือศึกษาข้ันตอนและวิธีการสร้าง สะล้อจากท่อPVC 2. เพื่อสามารถนำเอาสะล้อPVCมาฝึกซ้อมและบรรเลงรวมวงได้ โดย ซ่ึงคณะ ผู้จดั ทำโครงงานสรุป อภปิ ลายผล และมีขอ้ เสนอแนะดังนี้ สรปุ ผลการศึกษา 1. ขน้ั ตอนและวธิ กี ารสรา้ งสะลอ้ จากท่อPVC บรู ณพันธ์ุ ใจหล้า (2562 : 57) ได้ให้แนวคิดการสร้างเคร่อื งดนตรีสะลอ้ ไว้วา่ การสร้างสะล้อ สำหรบั สรา้ งสะลอ้ นยิ มใช้ไมช้ ิงชัน หรือภาษาล้านนา เรียกวา่ ไมเ้ ก็ด ไมช้ นดิ น้ีเป็นไม้ยนื ต้นและเป็นไม้ ชนิดเดียวกันกับที่ใช้สร้างเครื่องดนตรีไทยคือระนาด ไม้ชนิดน้ีมีเน้ือแข็งเหมาะสำหรับใช้เป็นวัสดุใน การทำคันทวนสะล้อ หรือถ้าไม่มีไม้ชนิดน้ีก็สามารถใช้ไม้ชนิดอ่ืนๆ ท่ีมีเนื้อแข็งได้เช่นกัน ขั้นตอนการ สร้างสะล้อสามารถสรุปได้ดังนี้(1) ข้นั เตรียมการโดยการเตรียมไม้และเครื่องมือ (2) การสร้างคันทวน สะลอ้ (3) การขึ้นรูปสะล้อ (4)การทำลกู บิดสะล้อ (5) การทำคนั ชักสะล้อ (6) การขัดกะโหลกมะพรา้ ว (7) ข้ันตอนการเจาะกล่องเสียงสำหรับใส่คันทวนสะล้อ (8) การเจาะรูสำหรับใส่ลูกบิดสะล้อ (9) การ ใส่สายสะลอ้ (10) ขนั้ ตอนการผกู เส้นหวายตรงวดั อก และ (11) การวดั คุณภาพเสยี งสะล้อ จาการสมั ภาษณ์ นายมชี ัย สมยาดี (2565) ได้ให้แนวคิดการสรา้ งเคร่อื งดนตรีสะล้อไว้ว่า การ ทำสะล้อต้องคำนึกถึงไม้ท่ีใช้ในการสร้าง ต้องเป็นไม้เน้ือแข็ง เช่นไม้ง้ิวดำ ไมช้ ินชัน ไม้ประดูแดง เป็น ตน้ โดยมีข้ันตอนในการทำดงั นี้ (1) การเตรยี มเครอื่ งมือในการทำสะล้อ (2) การทำกะลามะพรา้ วโดย คำนึกถึงเสียงท่ีเกิดข้นึ ถ้ากะลามะพร้าวมีขนาดเล็กจะทำใหเ้ สียงแหลม ถ้ากะลามะพร้าวมีขนาดใหญ่ จะทำให้สียงใหญ่ นำมาขัดให้เรียบ (3) การทำตัวสะล้อและการเจาะรูตัวสะล้อ (4) การทำลูกบิดและ เจาะรูลกู บิด (5) การทำกอ๊ บสะลอ้ (6) การประกอบสะล้อเขา้ ด้วยกัน จากการสัมภาษณ์ผู้เช่ียวชาญทั้ง 2 ท่าน เร่ืองการสร้างสะล้อ พบว่า ขั้นตอนและวิธีการทำ สะล้อไม่แตกต่างกันมากนักเพราะว่า สะล้อมีวิธีการทำที่ไม่เป็นแบบแผน สามารถสร้างสรรค์ให้เป็น เอกลักษณ์ของช่างได้ สะล้อของผู้ทำโครงงาน ไดน้ ำท่อPVCที่ไม่ใช้แล้วแต่ยังทนทาน มาทำเป็นสะล้อ โดยมีวธิ กี ารและขน้ั ตอนการสร้างสะลอ้ ดังน้ี - ขั้นตอนที่1 การทำกล่องเสียง ใช้ฝาปิดท่อPVC 4 หุน ใช้ดอกสง่านดอกเล็กประมาณ 4 มิลลิเมตร เจาะรูด้านข้างทั้ง2ข้าง แล้วเปลี่ยนเป็นดอกสว่านดอกใหญ่ ประมาณ12.5 มิลลิเมตร แล้วเจาะเข้าไป ยงั รเู ดมิ การเจาะดอกสวา่ นดอกเลก็ กวา่ ก็เพราะวา่ จะทำใหท้ ่อไม่แตก - ขั้นตอนที่2 การทำไส้หรือคันทวน เหลาไม้ให้พอดีกับรูของท่อPVC ขั้นตอนน้ีต้องระมัดระวังเป็น อย่างมากหากทำไม้ออกมาไม่ดีอาจจะทำให้ท่อ PVC แตกได้ พอนำไม้ใส่เข้าไปในรูของท่อ PVC แล้วหยิบกาวร้อนเพ่ือให้มั่นคง ส่วนท้ายวัดขนาดของด้ามจับเพ่ือตัดให้ส่ันลง ความยาวโดยรวม 77 เซนตเิ มตร

38 - ขน้ั ตอนท่ี3 วธิ ีการทำลูกบดิ ความยาว10เซนตเิ มตร 2ช้ิน เหลาไมใ้ ห้พอดีรูท่อPVCแล้วนำใส่ลงไปใน รูของท่อPVC แล้วหยอดกาวร้อนลงไป จากน้ันเจาะรจู ากของฝาปดิ ท่อ หรือ ขอบกล่องเสียง ความ ยาวประมาณ 28 เซนติเมตร เพอ่ื เจาะรใู ส่ลูกบิดแต่ละตวั ไมค่ วามยาวไม่เทา่ กนั ไมจ่ ำเป็นต้องเทา่ กนั ทุกตัว สว่ นมากจะวดั จากรูปร่างของสะลอ้ สามารถปรบั เปล่ียนไดต้ ามรัดอก รูดา้ มจับลกู บิด ห่างจาก รัดอกไปหาสายนอก 7-9 เซนติเมตร 2. สามารถนำเอาสะล้อPVCมาฝึกซ้อมและบรรเลงรวมวงได้ ผู้จดั ทำโครงงานได้นำสะล้อPVCมารว่ มการบรรเลงรวมวงกับวงสะลอ้ ซึง ซึ่งได้ผล เป็นอยา่ งดี เสียงที่เกิดขนึ้ เป็นเสยี งคล้ายกบั สำเนียงของสะลอ้ ที่ทำมาจากไม้ โดยผ้จู ดั ทำโครงงานได้ นำสะล้อPVC มาบรรเลงรว่ มกบั วงสะล้อ ซึง 3. ขอ้ เสนอแนะท่ีได้จากการทำโครงงาน จากการได้ทำโครงงานเร่อื ง เสียงสะล้อจากท่อPVC ผจู้ ดั ทำโครงงานพบวา่ มีองค์ ความร้ใู นเรื่องต่างๆทเ่ี กย่ี วข้องทมี่ คี วามน่าสนใจหลายประเดน็ โดยผ้จู ดั ทำโครงงานมีข้อเสนอแนะ ดงั ตอ่ ไปนี้ 3.1 ควรมีการทำใหเ้ สยี งสะล้อดังขึน้ หรือการนำเอาปิ๊กอัพกตี ้ารม์ าใสส่ ะลอ้ 4. ข้อเสนอแนะสำหรบั โครงงานครงั้ ต่อไป การศึกษาในครั้งต่อไปผู้จัดทำโครงงานขอเสนอแนวความคิดเก่ยี วกบั การศกึ ษาใน เรือ่ งดังต่อไปน้ี 4.1 ควรศึกษาเกยี่ วกับการส่ันสะเทอื นของเสียง 4.2 ควรศกึ ษาเกี่ยวกบั อปุ กรณเ์ หลอื ใช้โลหะ ชนดิ ตา่ งๆ

39 บรรณานกุ รม ตงั้ ปณิธาน อารยี ์. 2560. กลวิธกี ารบรรเลงสะล้อ กรณีศึกษา ครูพรหเมศวร์ สรรพศรี. วิทยานิพนธ์ ปริญญามหาบัณฑิต. วิทยาลัยการดนตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ครุศาสตรบณั ฑติ . ปรเมศวร์ สรรพศร.ี เจ้าสุนทร ณ เชยี งใหม่. 2555. : การสบื ทอดภูมิปัญญาการสรา้ งสะล้อและซงึ . วิทยานิพนธป์ ริญญาศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑิต. สาขาวฒั นธรรมและการพัฒนา มหาวิทยาลัยมหิดล. อดิศร สวยฉลาด. 2558. วิธีการบรรเลงสะล้อสามสายของ ผ้ชู ่วยศาสตราจารยศ์ รชัย เต็งรัตน์ลอ้ ม, วิทยานิพนธ์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. บูรณพันธุ์ ใจหล้า. 2562. ภูมิปัญญาการสร้างเครอื่ งดนตรีล้านนาเพือ่ สืบทอดการสร้างเคร่ืองดนตรี พ้ืนบ้านและเสริมสร้างความเข้มแข็งทางวัฒนธรรม. วิทยานิพนธ์ คณะมนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั เชยี งใหม่ สุคำ แก้วศรี. 2556. เอกสารประกอบการอบรมเชิงปฏิบัติการดนตรีพื้นบ้านสำหรับนักเรียน โครงการส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมดนตรีแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง (SP2) ของ กระทรวงศกึ ษาธิการ.เสนอทีโ่ รงเรียนอนุบาลเชียงราย, มปพ. ทวีสิทธ์ิ ไทรวิตร. 2520. สังคัตนิยม ตรงตามหลักสูตรระดับวิทยาลัยครู และมหาวิทยาลัยทั่ว ประเทศ.มปพ. พูนพิศ อมาตยกุล. งาน ของ พนู พศิ อมาตยกลุ : เอส.ท.ี เพรส กรุงเทพ ฯ ,2529, สัมภาษณ์ นายมีชัย สมยาดี, สลา่ ทำสะลอ้ ภูมิปญั ญาพ้นื บา้ น, 2 กรกฎาคม 2565 สัมภาษณ์ โสพิณ เพียรศิลป์,ครูภูมิปัญญาไทย ด้านศิลปะกรรม,สำนักงานเลขาธิการสถานศึกษา กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2 กรกฎาคม 2565 สัมภาษณ์ สุคำ แก้วศรี, ครูภูมิปัญญาไทย ด้านศิลปะกรรม, สำนักงานเลขาธิการสถานศึกษา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 3 กรกฎาคม 2565 สัมภาษณ์ ดร.ศันสนีย์ อินสาร, ครูภูมิปัญญาไทย ด้านศิลปะกรรม, สำนักงานเลขาธิการสถานศึกษา กระทรวงศึกษาธกิ าร, 9 กรกฎาคม 2565


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook