เอกสารประกอบการอบรม เรื่อง การสร้างแบบสอบถามสาหรบั งานวจิ ัย แบบสอบถาม(Questionnaire) แบบสอบถาม หมายถึง รูปแบบของคาถามเป็นชุดๆ ท่ีได้ถูกรวบรวมไว้อย่างมีหลักเกณฑ์และเป็น ระบบ เพ่ือใช้วัดส่ิงท่ีผู้วิจัยต้องการจะวัดจากกลุ่มตัวอย่างหรือประชากรเปูาหมายให้ได้มาซ่ึงข้อเท็จจริงทั้งใน อดีต ปัจจุบันและการคาดคะเนเหตุการณ์ในอนาคต แบบสอบถามประกอบด้วยรายการคาถามที่สร้างอย่าง ประณตี เพ่ือรวบรวมข้อมลู เกย่ี วกับความคดิ เหน็ หรือข้อเท็จจริง โดยส่งให้กลุ่มตัวอย่างตามความสมัครใจ การ ใช้แบบสอบถามเป็นเคร่ืองมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลนั้น การสร้างคาถามเป็นงานท่ีสาคัญสาหรับผู้วิจัย เพราะว่าผู้วิจัยอาจไม่มีโอกาสได้พบปะกับผู้ตอบแบบสอบถามเพ่ืออธิบายความหมายต่าง ๆ ของข้อคาถามที่ ต้องการเก็บรวบรวม แบบสอบถาม เป็นเครื่องมอื วิจัยชนิดหนึ่งที่นิยมใช้กันมาก เพราะการเก็บรวบรวมข้อมูลสะดวกและ สามารถใชว้ ดั ไดอ้ ย่างกวา้ งขวาง การเก็บข้อมลู ด้วยแบบสอบถามสามารถทาได้ด้วยการสัมภาษณ์หรือให้ผู้ตอบ ด้วยตนเอง ความแตกตา่ งระหวา่ งแบบสอบถามกบั แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม เปน็ เครอ่ื งมือท่ผี ใู้ หข้ ้อมลู เป็นผู้กรอกขอ้ มูลหรอื เป็นผู้ตอบแบบสอบถามเอง ซึ่งอาจส่ง ทางไปรษณีย์ หรอื นาไปส่งเองกไ็ ด้ แตถ่ ้าเป็นแบบสมั ภาษณ์ (Interview Form) ผ้วู จิ ัยหรือผู้สัมภาษณ์จะเป็นผู้ ถามและกรอกข้อมูลลงในแบบสมั ภาษณ์นั้นเอง ดังน้นั เวลาใชค้ วรใช้ใหถ้ ูกต้อง เพราะมผี ู้นาไปใชผ้ ดิ อยู่เสมอ แบบฟอร์มของแบบสอบถาม (Forms of Questionnaire) ในการทาวิจัยน้ัน แบบสอบถามท่ีเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลน้ันมี 2 ประเภท หรือ 2 แบบ คือ 1. แบบสอบถามท่ีเป็นคาถามล้วน ๆ (Question) ได้แก่ แบบสอบถามท่ีมีคาถามและคาตอบทุกข้อ ทต่ี ้องการลงไปตามลาดบั ตงั้ แตข่ ้อแรกจนถงึ ข้อสดุ ทา้ ย 2. แบบตารางสารวจ (Survey Schedule) ได้แก่ การต้ังคาถามประเภทต่าง ๆ ประกอบกันข้ึนเป็น รูปตาราง (Table) แลว้ ให้บันทึกหรือกรอกตามรายการต่าง ๆ ในตารางเหลา่ น้ัน ซ่ึงแบบตารางสารวจน้ีอาจจะ ย่งุ ยากกวา่ แบบแรก วา่ จะ Design ตารางในลักษณะใด ขอ้ ความทีจ่ ะบรรจลุ งในตารางนนั้ ควรจะเป็นอยา่ งไร ท้ังน้ีเพ่ือให้สะดวกและง่ายแก่ผู้ตอบ อย่างไร ก็ตามแบบฟอร์มทั้ง 2 ชนิด นี้สามารถใช้ปนกันได้ ท้ัง น้ีสุดแต่ข้อมูลท่ีต้องการ ว่าข้อมูลชนิดใดหรือตัวแปรใดจะต้ังในรูปของคาถามหรือต้ังในรูปของตารางจึงจะ เหมาะสมมากทส่ี ดุ เรยี บเรยี งโดย : โรซนานี หะยสี าและ หน้า 1
เอกสารประกอบการอบรม เรอื่ ง การสร้างแบบสอบถามสาหรบั งานวจิ ยั โครงสรา้ งของแบบสอบถาม โครงสรา้ งของแบบสอบถาม ประกอบไปด้วย 3 สว่ นสาคัญ ดังน้ี 1. หนังสือนาหรอื คาชแ้ี จง โดยมากมักจะอยู่ส่วนแรกของแบบสอบถาม อาจมีจดหมายนาอยู่ด้านหน้า พร้อมคาขอบคุณ โดยคาช้แี จงมักจะระบถุ ึงจุดประสงคท์ ่ีใหต้ อบแบบสอบถาม การนาคาตอบที่ได้ไปใช้ประโยชน์ คาอธบิ ายลกั ษณะของแบบสอบถาม วิธีการตอบแบบสอบถามพร้อมตัวอย่าง ช่ือ และท่ีอยู่ของผู้วิจัย ประเด็นที่ สาคญั คือการแสดงข้อความท่ีทาใหผ้ ้ตู อบมีความม่นั ใจว่า ข้อมูลทีจ่ ะตอบไปจะไม่ถูกเปิดเผยเป็นรายบุคคล จะไม่ มผี ลกระทบตอ่ ผู้ตอบ และมกี ารพิทักษ์สิทธิของผตู้ อบด้วย 2. คาถามเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัว เช่น เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ เป็นต้น การท่ีจะถามข้อมูล ส่วนตัวอะไรบ้างนั้นข้ึนอยู่กับกรอบแนวความคิดในการวิจัย โดยดูว่าตัวแปรที่สนใจจะศึกษานั้นมีอะไรบ้างท่ี เกยี่ วกับขอ้ มูลส่วนตัว และควรถามเฉพาะข้อมูลท่ีจาเป็นในการวจิ ยั เทา่ นั้น 3. คาถามเกี่ยวกับคุณลักษณะหรือตัวแปรที่จะวัด เป็นความคิดเห็นของผู้ตอบในเรื่องของคุณลักษณะ หรอื ตัวแปรนั้น เทคนิคการใชแ้ บบสอบถาม วิธีใชแ้ บบสอบถามมี 2 วิธี ดงั น้ี 1. ส่งไปทางไปรษณีย์หรือการนาส่ง วิธีน้ีผู้วิจัยจะต้องทาหนังสือเพ่ือขอความร่วมมือในการกรอก แบบสอบถามแนบไปด้วย โดยแจ้งให้ทราบถึงผู้ดาเนินการวิจัย ช่ือโครงการวิจัยวัตถุประสงค์ของการวิจัย ประโยชน์ท่ีจะได้รับ และเหตุผลท่ีต้องส่งแบบสอบถามมาให้ตอบ ตลอดจนควรเน้นถึงผลสาเร็จของ โครงการวิจัยเรอื่ งนวี้ า่ ขน้ึ อยกู่ ับความรว่ มมือในการตอบแบบสอบถามของท่าน และควรแจ้งให้ผู้ตอบทราบด้วย ว่าจะปกปิดคาตอบไว้เป็นความลับ แต่จะนามาวิเคราะห์ร่วมกันในทางวิชาการเท่าน้ัน รวมท้ังกาหนดท่ีจะส่ง แบบสอบถามกลับคืนมาด้วย ซึ่งเจ้าของโครงการจะต้องให้ความสะดวกมากท่ีสุด เช่น จัดซองพร้อมท้ังติด แสตมปแ์ ละจ่าหน้าซองไว้ให้เรียบรอ้ ย ในเมื่อผู้กรอกได้ตอบแล้วจะส่งกลับคืนได้ทันที หรืออาจมารับกลับคืนก็ ได้ในกรณที ีน่ ามาเอง 2. นาแบบสอบถามไปให้ตอบเอง หรือให้พนักงานสารวจออกไปใหป้ ระชาชนเปูาหมายตอบเองก็ได้ ซงึ่ วิธีนใี้ นทางปฏบิ ัติอาจทาได้ 2 อย่าง คือ 2.1 ใช้วิธีอธิบายประกอบ วิธีน้ีต้องนัดกลุ่มประชากรที่จะตอบมารวมกัน ณ ท่ีใดท่ีหน่ึงแล้ว ผู้วิจัยก็อธิบายให้ทราบอย่างง่าย ๆ ถึงวัตถุประสงค์ ประโยชน์ที่จะได้รับจากการวิจัยคร้ังน้ีและวิธีการตอบ ฯลฯ เพื่อให้เกิดความเข้าใจเสียก่อน แล้วให้ลงมือตอบคาถามพร้อม ๆ กันและเก็บรวบรวมแบบสอบถามที่ ตอบเสรจ็ แลว้ ซ่งึ เป็นวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาในเรื่องที่ได้รับแบบสอบถามคือน้อย แต่ลาบากในการนัดหมายเพราะ แต่ละคนมเี วลาว่างไม่ตรงกัน 2.2 ในกรณีที่ประชากรเป้าหมายอยู่ในสถานท่ีเดียวกันก็จะสะดวก และง่ายต่อการตอบ แบบสอบถาม เชน่ ผู้เข้ารว่ มประชมุ – สัมมนา – หรือนักเรียน นักศึกษา เป็นต้น เพียงแต่ขอความร่วมมือและ อธบิ ายอย่างสั้น ๆ ให้ตอบแบบสอบถามพร้อม ๆ กนั เรยี บเรียงโดย : โรซนานี หะยีสาและ หนา้ 2
เอกสารประกอบการอบรม เรอื่ ง การสรา้ งแบบสอบถามสาหรับงานวิจยั เทคนิคการใช้แบบสอบถามซ่ึงไม่ว่ากรณีใดต้องมีจดหมายระบุวัตถุประสงค์ของการเก็บข้อมูล ตลอดจนความสาคัญของข้อมูลและผลที่คาดว่าจะได้รับเพ่ือให้ผู้ตอบตระหนักถึงความสาคัญและสละเวลาใน การตอบแบบสอบถาม การทาให้อัตราตอบแบบสอบถามสูงเป็นเปูาหมายสาคัญของผู้วิจัย ข้อมูลจากแบบสอบถามจะเป็น ตัวแทนของประชากรได้เม่ือมีจานวนแบบสอบถามคืนมามากว่าร้อยละ 90 ของจานวนแบบสอบถามท่ีส่งไป แนวทางทจี่ ะทาใหไ้ ดร้ บั แบบสอบถามกลับคนื ในอตั ราทส่ี งู มีวิธกี ารดังน้ี 1. มีการติดตามแบบสอบถามเมือ่ ใหเ้ วลาผ้ตู อบไประยะหนงึ่ ระยะเวลาท่ีเหมาะสมในการติดตามคือ 2 สัปดาห์ หลังครบกาหนดสง่ อาจจะติดตามมากกวา่ หนงึ่ ครง้ั 2. วิธกี ารตดิ ตามแบบสอบถาม อาจใช้จดหมาย ไปรษณีย์ โทรศพั ท์ เปน็ ต้น 3. ในกรณีที่ข้อคาถามอาจจะถามในเร่ืองของส่วนตัว ผู้วิจัยต้องให้ความม่ันใจว่าข้อมูลที่ได้จะเป็น ความลบั การออกแบบสอบถาม การออกแบบแบบสอบถามเป็นสิ่งสาคัญ เพราะอาจมีผลต่อคาตอบที่จะได้รับ ถ้าคาถามมีจานวน มากผู้ตอบมกั จะไมอ่ ยากตอบ หรอื คาตอบทไ่ี ด้อาจไมเ่ ปน็ จรงิ และผตู้ อบส่วนใหญ่มักไม่ค่อยเต็มใจตอบมากนัก การออกแบบแบบสอบถามที่ดีจะมีส่วนช่วยจูงใจผู้ตอบ รูปแบบของแบบสอบถาม (Questionnaire Format) ใหเ้ ว้นช่องกว้าง ให้แบบสอบถามดูสะอาด น่าตอบ เว้นช่องในการตอบคาถามให้พอเพียงกับการตอบ กรณีถ้า เป็นคาถามเปิดควรจะมีช่องว่างในการตอบผู้แสดงความคิดเห็นด้วยการจัดรูปแบบคาถามให้เป็นไปตาม เปูาหมาย ถ้าใช้เคร่ืองอ่านฟอร์ม ก็ต้องออกแบบให้เป็นไปตามการออกแบบแบบสอบถามให้มีรูปแบบ สอดคล้องกนั การออกแบบแบบสอบถามอย่างรอบคอบสามารถช่วยเพิ่มคุณภาพของข้อมูลที่คุณรวบรวมได้ โดยการออกแบบอย่างระมัดระวัง คุณสามารถเลือกตัวเลือกที่เหมาะสมในเวลาท่ีเหมาะสมได้ดีขึ้นสาหรับ แบบสอบถาม เนือ้ หาตอ่ ไปน้ีจะชว่ ยให้คุณวางแผนแบบสอบถามที่มปี ระสิทธิภาพได:้ • กาหนดวัตถุประสงค์ของแบบสอบถามให้ชัดเจน เพ่ือช่วยในการรับประกันว่าคาถามสนับสนุน วตั ถุประสงค์ • กาหนดบคุ คลหรอื กล่มุ บคุ คลที่คุณควรกรอกข้อมูลแบบสอบถาม • เขยี นคาถามทีจ่ ะปรากฏในแบบสอบถาม และรวมตัวเลือกคาตอบ ถ้าเกี่ยวขอ้ ง • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแบบสอบถามเรียงกันตามกันทางตรรกะ เพื่อให้ยังคงเกี่ยวข้องกับผู้ตอบ แบบสอบถาม • จัดเรียงคาถามและคาตอบในลาดับที่ควรจะแสดงต่อผู้ตอบแบบสอบถาม • ตัดสินใจวา่ ควรประเมนิ ผลลพั ธอ์ ยา่ งไร ถา้ เกีย่ วข้อง • ตัดสินใจว่าคุณต้องใช้ลักษณะการทางานเพ่ิมเติมหรือไม่ ตัวอย่างเช่น กาหนดว่าผลลัพธ์ควรจะ จาแนกอย่างไร ขีดจากดั เวลาจาเป็นหรือไม่ หรือว่าคาถามทง้ั หมดจะบงั คบั ตอบหรอื ไม่ เรียบเรียงโดย : โรซนานี หะยสี าและ หน้า 3
เอกสารประกอบการอบรม เรื่อง การสรา้ งแบบสอบถามสาหรับงานวจิ ัย ขั้นตอนในการสร้างแบบสอบถาม การสรา้ งแบบสอบถาม ซ่ึงอาจแบง่ ได้ 7 ข้ันตอนดังนี้ ข้ันที่ 1 ส่งิ ท่ผี ู้วิจัยยกร่างควรคานึง กอ่ นท่ีจะสร้างแบบสอบถามน้ัน ผยู้ กร่างจะต้องคานึงถงึ สง่ิ ต่าง ๆ ดังตอ่ ไปน้ีก่อน คือ 1.1 ตอ้ งทราบและคานึงปญั หาการวจิ ยั วตั ถปุ ระสงค์และจดุ มุ่งหมายของการวิจัย รวมท้ังสมมติฐาน การวิจัย และที่สาคัญมากที่สุดคือนิยามปฏิบัติการ (O.D.) อย่างชัดเจนว่าต้องการศึกษาหรือถามอะไร แล้วจึง นาเอาความตอ้ งการทราบน้ันมาต้งั เปน็ คาถาม 1.2 ต้องคานึงถึงผู้ตอบว่าเป็นใคร มีระดับการศึกษาแค่ไหน และมีเวลาหรือความตั้งใจเพียงใด น่ัน คือคานงึ ถงึ หน่วยทจ่ี ะวิเคราะห์ (Unit of Analysis) 1.3 ต้องทราบลักษณะของข้อมูลว่าเป็นเชิงปริมาณหรือคุณภาพ เพ่ือจะได้ ต้ังคาถามสาหรับเก็บ ข้อมูลได้สะดวก 1.4 ต้องพิจารณาถึงประเภทหรือชนิดของคาถามว่าจะใช้คาถามปิด (Close-dended) หรือคาถาม เปิด (Open – ended) จงึ จะเหมาะสม 1.5 ต้องคานึงถึงการวิเคราะห์ข้อมูลว่าจะวิเคราะห์ด้วยอะไร ถ้าวิเคราะห์ด้วยเคร่ืองจักรกลก็ต้อง วางแผนในการกาหนดรหสั และสดมภ์สาหรบั ตง้ั คาถามแต่ละข้อไวด้ ้วย 1.6 ควรคานงึ ถึงจานวนผู้ตอบแบบสอบถามว่ามีมากน้อยเทา่ ไร 1.7 ควรคานงึ เสมอว่า แบบสอบถามนนั้ ๆ เหมาะสาหรบั กลุ่มประชากรน้นั ๆ ในสถานการณน์ ้นั ๆ เท่าน้นั ข้ันท่ี 2 จัดทารายการหัวข้อปัญหาหรือตวั ชว้ี ัด (Indicator) ก่อนท่ีจะยกร่างคาถามน้ัน ควรจะได้จัดทาปัญหาใหญ่ ๆ ไว้ก่อน เพื่อสะดวกแก่การยกร่าง โดย นาเอาวัตถุประสงค์ของการวิจัยท่ีต้องทราบมาแปลงเป็นหัวข้อคาถาม เช่น จะทาวิจัยเร่ืองความยากจนของ ชาวนาในภาคกลาง ก็ อาจต้ังเป็นรูปปัญหาว่าเพราะเหตุใด หรือมีสาเหตุอะไรบ้างท่ีทาให้ชาวนายากจน ซึ่ง อาจทาให้หัวข้อรายการใหญ่ ๆ ที่จะถามก็ได้ โดยให้ตรงกับวัตถุประสงค์และสมมติฐานการวิจัย ตัวอย่าง เช่น ปัญหาที่สาคัญ (Key Question) เกี่ยวกับ : ข้อมูลส่วนบุคคล (จะมีกข่ี ้อ ขอให้ดโู ครงสร้าง หรือกรอบแนวคดิ ) -รายรบั – รายจ่าย -ภาวะหนี้สนิ -ทรพั ยส์ ิน -ลกั ษณะการถือครองทีด่ ิน -การใช้แรงงาน -ความพึงพอใจ -การตลาดและพ่อค้าคนกลาง -ภาวะความแห้งแล้ง -การชว่ ยเหลอื ของรฐั บาล เรยี บเรยี งโดย : โรซนานี หะยสี าและ หนา้ 4
เอกสารประกอบการอบรม เรอ่ื ง การสรา้ งแบบสอบถามสาหรับงานวจิ ัย พร้อมท้ังให้คาจากัดความ แต่ละรายการปัญหาว่ามีขอบเขตแค่ไหน และจะต้องศึกษาค้นคว้า เพม่ิ เติมอกี หรือไม่ ท้ังนเ้ี พือ่ จะได้คาถามใหค้ รอบคลมุ และตรงกับปญั หาในรายการนัน้ อย่างแทจ้ รงิ ตัวอยา่ งของขอบเขตขอ้ มลู ส่วนบุคคล อาจจาแนกเปน็ รายละเอียดดังตอ่ ไปนี้ ตอ้ งการทราบหรือไม่ และถ้าถามแล้วจะเอามาทาอะไร เช่น -ชื่อและนามสกุลของผู้ถูกสารวจ -ชือ่ นามสกุล เพศ อายแุ ละระดับการศกึ ษาของสมาชิกแตล่ ะคนในครอบครัวที่สารวจ -บา้ นเลขท่ี หมู่ท่ี ตรอก ซอย ถนน และตาบล -อาเภอ จงั หวัดและภาค -เพศ อายุและระดบั การศึกษาของผถู้ ูกสารวจ -สญั ชาติ เชอื้ ชาติ -ศาสนา อาชพี ฐานะและสถานภาพการสมรส -จานวนบุตร และสมาชิกในครอบครัว -การต้งั ถิน่ ทีอ่ ยอู่ าศัย บา้ นและที่ดิน เม่ือได้จัดทารายละเอียดของแต่ละรายการปัญหาแล้ว ต้องพิจารณาว่าในรายละเอียดแต่ละข้อนั้น เราตอ้ งการหรือไม่ ถา้ ต้องการและถามมาแล้วจะเอาข้อมูลนา มาใช้ประโยชน์ในด้านใดบ้าง ถ้าพิจารณาว่าเห็น ไม่ต้องการและไม่อยู่ในขอบข่ายการวิจัยก็ตัดรายการนั้นท้ิงไป เหลือไว้แต่รายที่ตรงกับวัตถุประสงค์ของการ วิจัยจริง ๆ เท่าน้ัน ซ่ึงจะช่วยทั้งประหยัดเวลาทั้งในการตั้งคาถามในการตอบ เช่น ในรายละเอียดข้อท่ี 2 ถ้า ถามข้อน้ีจะต้องใช้เวลาถามและตอบไม่น้อยกว่า 10 นาที ซึ่งข้อมูลส่วนน้ีการวิจัยบางชนิดอาจไม่ต้องการเลย ฉะน้ันคณะผวู้ จิ ัยจะตอ้ งรว่ มกนั พิจารณาเป็นพิเศษในเร่ืองเหล่านี้ และตามปกติแบบสอบถามน้ันควรใช้เวลาใน การตอบประมาณ 20 – 25 นาที เท่าน้ัน เพราะถ้านานเกินไปอาจทาให้ผู้ตอบเกิดความเบื่อหน่าย ซึ่งจะเป็น ผลให้ข้อมูลที่ไดร้ บั ไมน่ า่ เชือ่ ถือและน่าไว้วางใจ ข้ันท่ี 3 การนิยามตัวแปรเมื่อกาหนดปัญหาการวิจัยและต้ังสมมติฐานการวิจัยแล้วผู้วิจัยจะต้อง นิยามตัวแปร (Variables Definition) ทป่ี รากฏอยู่ในปัญหา หรอื สมมติฐานการวิจัยการวิจัยน้ันว่าหมายความ ว่าอย่างไร หรือกนิ ความลึกมากนอ้ ยเพียงไร ซง่ึ การนยิ ามมี 2 ระดับ คอื 1. นิยามทั่วไป (General definition) หรือนิยามเชิงทฤษฎี (Theoretical Definition) เป็นการ นิยามทั่ว ๆ ไป หรือเป็นการนิยามที่กว้างเกินไป โดยปกติเป็นการให้คาจากัดความตามหนังสือตาราที่มีผู้ให้ ความหมายไว้ ซง่ึ การนิยามระดับน้ี ยงั ไม่สามารถเกบ็ ข้อมูลได้ 2. นิยามปฏิบัติการ (Operational , Working definition) เป็นการนิยามชี้เฉพาะเจาะจงหรือ ให้ลึกลงไป ซึ่งเป็นการตีความหมาย หรือแยกกระจายออกไปภายใต้การนิยามทั่วไป ซ่ึงการนิยามเชิง ปฏิบัติการน้ีเป็นเร่ืองท่ีผู้วิจัยต้องนิยามเอง โดยอาศัยทฤษฎี แนวความคิด ความรู้ ประสบการณ์และผลงานท่ี เกย่ี วข้องของผู้วิจัย ซง่ึ การนยิ ามในระดับปฏบิ ัตกิ ารน้ี จะช่วยช้ีแนวทางให้ผู้วิจัยสามารถสร้างคาตอบ และเก็บ ขอ้ มูลไดต้ รงเปูาหมายทกี่ าหนดไว้ เพ่อื นาขอ้ มลู มาทดสอบสมมติฐานต่อไปเพ่ือให้ผู้อ่านได้มองเห็นอย่างชัดเจน จึง ใคร่ขอยกตัวอย่างตัวแปรท่ีเป็นนามธรรมทน่ี ามานิยามใน 2 ระดับ ดังน้ี เช่น เรียบเรยี งโดย : โรซนานี หะยสี าและ หนา้ 5
เอกสารประกอบการอบรม เร่ือง การสรา้ งแบบสอบถามสาหรับงานวจิ ัย ก. การลดละอบายมุข 1. นิยามท่ัวไป หมายถึง การทบ่ี คุ คลสามารถละเวน้ จากอบายมขุ หรอื ทางแห่งความเสื่อมหรือทาง หายนะไปอย่างเด็ดขาด 2. นิยามปฏบิ ัติการ หมายถงึ การทีบ่ ุคคลละเวน้ หรอื งดเว้นจาก - การสบู บุหร่ี - การดืม่ สุราเมรัย รวมทง้ั ยาบา้ และยาเสพติดตา่ ง ๆ - การเท่ียวกลางคืน เทย่ี วบาร์ไนต์คลบั หรอื ตามสถานที่เริงรมย์ตา่ ง ๆ - การเส่ียงโชค หรอื ล็อตเตอรี่ - เล่นการพนัน ไพ่ , ถัว่ , โป , ไฮโล เป็นต้น เม่ือผู้วิจัยได้นิยามเชิงปฏิบัติการ หรือ Operate ไว้อย่างนี้แล้ว ก็นาข้อความท่ี Operateไว้แล้วน้ัน เท่านนั้ มาตง้ั เป็นคาถามต่อไป ข. ความสนใจในงานวจิ ัยของผบู้ งั คบั บญั ชา 1. นยิ ามทว่ั ไป หมายถึง ผู้บังคับบัญชาระดับต้น ของข้าราชการ ท่ีมีความต้ังใจหรือมีจิตใจจดจ่ออยู่ ในเรื่องของการวจิ ัย 2. นิยามปฏบิ ัติการ หมายถึง ผู้บังคับบัญชาระดับต้น ของข้าราชการซึ่งได้แก่หัวหน้าแผนก หัวหน้า ฝุาย หรือหัวหน้ากลุ่ม หรือผู้อานวยการกองข้าราชการที่มีหน้าท่ีควบคุมบังคับบัญชาโดยตรง ซึ่งได้ ดาเนนิ การในเรือ่ งเก่ยี วข้องกบั งานวิจยั ตอ่ ไปน้ี 1) เคยสอบถามเร่ืองการวิจยั 2) มีการมอบหมายงานวิจัยให้ทา 3) เคยสนบั สนนุ หรือแสวงหาแหลง่ ทุนให้ทาวจิ ัย 4) มีการแสดงความคดิ เหน็ หรือพูดคุยเกีย่ วกับงานวจิ ัย 5) เคยเขา้ ฟังหรือเขา้ ร่วมประชุมสมั มนาทางวิชาการเกย่ี วกับงานวจิ ัย 6) เคยนางานวจิ ัยไปเผยแพร่ หรอื นาไปใช้ในการปฏบิ ัตริ าชการหรอื กาหนดนโยบายเปน็ ตน้ 7) เคยนาผลการวจิ ัยไปใช้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนนุ เพ่ือเล่อื นขัน้ เลื่อนตาแหน่ง หรือพิจารณา ความดคี วามชอบประจาปี (กรุณาดวู ิธตี ง้ั คาถามเพ่ือต้องการคาตอบในตอนทา้ ย ๆ ของเรื่องน)้ี ขน้ั ท่ี 4 ลงมือยกร่างคาถาม เมื่อได้จัดทารายละเอียดของปัญหาพร้อมหมดแล้ว ก็ถึงข้ันที่จะต้องยกร่างคาถามในแต่ละหัวข้อ รายละเอียดน้ัน ซึง่ อาจดาเนนิ การดังตอ่ ไปน้ี 1.ตง้ั คาถามใหม้ ากทส่ี ดุ เทา่ ทจ่ี ะมากได้ และให้มหี ลาย ๆ แบบ 2.ตง้ั คาถามใหเ้ สร็จสนิ้ ไปในแตล่ ะรายการ 3.ใหพ้ จิ ารณาวา่ คาถามท่ีตัง้ น้นั ตรงกับวตั ถุประสงคข์ องการวิจยั หรือไม่ 4.คาถามที่ต้ังข้ึนน้ัน ควรจะใช้คาถามปิดหรือคาถามเปิด จึงจะได้ข้อมูลที่ถูกต้องและสมบูรณ์มาก ทส่ี ดุ เรียบเรียงโดย : โรซนานี หะยสี าและ หน้า 6
เอกสารประกอบการอบรม เรื่อง การสรา้ งแบบสอบถามสาหรับงานวิจัย 5.คาถามท่ีตั้งข้ึนนั้น มีซ้ากันหรือคล้ายคลึงกันหรือไม่ ถ้าซ้ากันให้ตัด ท้ิงหรือดัดแปลงเข้าด้วยกันใช้ เพยี งคาถามเดยี ว 6.ถ้าเป็นคาถามปิด ให้พิจารณาว่ามีคาตอบให้เลือกตอบครบถ้วนหรือไม่ แต่ถ้าไม่แน่ใจ ให้เปิดช่อง วา่ สาหรบั คาตอบอื่น ๆ (ระบ)ุ ..............................................ไว้ด้วย 7.ถ้าเป็นคาถามที่วัดทัศนคติให้พิจารณาถึง Scale ที่จะใช้มาตรวัดและควรแบ่งอย่างไร เช่น ถ้ามี การศึกษาต่า (ป.6) อาจแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ เห็นด้วย ไม่แน่ใจ และไม่เห็นด้วย ถ้ามีการศึกษาสูง อาจ แบง่ เปน็ 5 ระดบั คอื เหน็ ด้วยอยา่ งยง่ิ เห็นด้วย ไมเ่ ห็นด้วย ไมเ่ หน็ ด้วยอย่างยิง่ พร้อมทัง้ กาหนดคะแนนไวด้ ว้ ย ตวั อย่างการต้ังคาถามเกี่ยวกับอายุ อาจต้งั ได้หลายแบบหลายประเภท เช่น 1.อาย.ุ .................วนั ....................เดอื น............................ปี 2.อายุ..................เดือน.......................ปี 3.อายุ..................ปี 4.อายขุ องทา่ น.......................วนั ........................เดอื น...........................ปี 5.อายขุ องทา่ น........................เดือน.....................ปี 6.อายุของทา่ น........................ปี 7.อายจุ รงิ ของทา่ น..................วนั ..................เดือน...................ปี 8.อายจุ ริงของท่าน..................ปี 9.ทา่ นเกดิ วนั ที่.......................เดอื น....................พ.ศ. ...................... 10.ทา่ นเกิดวันข้ึน....................ค่า แรม...................ค่า เดือน...................ปี............ หรอื อาจต้ังคาถามในลักษณะการจาแนกชน้ั ของอายกุ ็ไดห้ ลาย ๆ แบบ ก. อายุของท่านอยู่ในระดับช้ัน ไมเ่ กนิ 20 ปี 21 – 25 ปี 26 – 30 ปี 31 – 35 ปี 36 – 40 ปี 41 – 45 ปี 46 – 50 ปี 51 – 55 ปี 56 – 60 ปี สงู กวา่ 60 ปี ข. อายุของท่าน ไมเ่ กนิ 20 ปี เรยี บเรียงโดย : โรซนานี หะยีสาและ หน้า 7
เอกสารประกอบการอบรม เรื่อง การสรา้ งแบบสอบถามสาหรบั งานวจิ ัย 21 – 30 ปี 31 – 40 ปี 41 – 50 ปี 51 – 60 ปี 61 – 70 ปี สูงกว่า 70 ปี ค. อายุของท่าน ตา่ กว่า 25 ปี 25 – 40 ปี 51 – 55 ปี 56 ปีข้นึ ไป ง. อายุของท่าน................ปี (คาถามข้อ ง. น้ีมีคุณค่าในการวิเคราะห์มาเพราะเป็นข้อมูล Ratio Scale ควรใชเ้ ป็นคาถามเปิดชนดิ น)้ี เม่ือไดต้ ้งั คาถามในลักษณะหรือแบบต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งคาถามปิดและคาถามเปิดแล้วให้พิจารณาว่า วิธไี หนดีถูกต้อง และเหมาะสมที่สุดกใ็ หเ้ ลอื กวธิ ีนั้น สาหรับคาถามท่มี ีความเกี่ยวเน่ืองสัมพันธ์กัน ควรจะได้จัดทาข้อความบอกไว้ด้วยว่าจะให้ข้ามไป ถามขอ้ ใด เชน่ คาถามขอ้ ที่ 25. ทีบ่ า้ นท่านมโี ทรทัศนห์ รอื ไม่ มี ไม่มี (ข้ามไปถามขอ้ ท่ี 28) 26. เป็นโทรทศั นข์ าวดาหรือสี ขาวดา สี 27. ท่านชอบเปดิ ดรู ายการอะไรมากทีส่ ดุ (โปรดใสเ่ ลข 1 , 2 และ 3 หน้ารายการทที่ ่านชอบมาก ไปหานอ้ ย) เพลง ขา่ ว สารคดีและบทความ ละคร ลิเก ภาพยนตร์ กฬี า เรียบเรยี งโดย : โรซนานี หะยีสาและ หนา้ 8
เอกสารประกอบการอบรม เร่ือง การสร้างแบบสอบถามสาหรับงานวิจัย โฆษณา อ่นื ๆ (ระบ)ุ .......................... 28. ทบ่ี า้ นทา่ นรับหนงั สือพิมพ์หรอื ไม่ รบั ไม่รบั (ข้ามไปข้อท.ี่ .....) 29. รบั กี่ฉบับ……………………ฉบับ ฯลฯ การบอกว่าให้ “ข้ามไปข้อที่ 28 หรือข้ออื่นใด ” ก็เพ่ือสะดวกแก่ผู้ถามหรือผู้ตอบนับเป็นการ ประหยัดเวลาในการตอบหรือสมั ภาษณ์มาก และยงั เปน็ ประโยชนใ์ นการวิเคราะห์ดว้ ย ขน้ั ท่ี 5 ตรวจแก้แบบสอบถาม เม่อื ไดย้ กรา่ งคาถามแต่ละรายการหมดแล้ว ต้องช่วยกันตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วนของ คาถามท้ังหมดนัน้ ซงึ่ อาจทาได้ 2 ทาง คือ 1.ตรวจสอบโดยผู้ยกร่างเอง อาจพิจารณาใน 2 ลักษณะใหญ่ ๆ ดังนี้ ตรวจดูประโยชน์และภาษาท่ีใช้ (Wording) ว่ามีคาถามข้อใดบ้างท่ีซ้ากัน ใช้ภาษาไม่สุภาพ ไม่ ชัดเจน หรือใช้ศัพท์ทางวิชาการสูงเกินไป รวมทั้งตรวจดูว่าคาถามข้อนี้ยากเกินไปสาหรับผู้คาถามระดับน้ี หรอื ไม่ และจะเหมาะสมเพียงไร มลี ักษณะเปน็ คาถามนาหรอื ไม่ มคี วามหมายหลายนัยหรอื ไม่ ถา้ หลายนัยให้ แยกออกเป็น 2 ข้อ เป็นคาถามท่ีจะให้คา ตอบตรงกับวัตถุประสงค์และสมมติฐานหรือไม่ และสะดวกแก่การ รวบรวมตัวเลขเพียงไร ถ้าถามคาถามข้อนี้จะได้ประโยชน์อย่างไรบ้าง และถ้าไม่ถามจะขาดประโยชน์อย่างไร บ้าง หรือคาถามข้อน้ีถ้าเห็นว่าผู้ถามทราบดีเท่าผู้ตอบก็ไม่ต้องถามให้เสียเวลา ตลอดจนตรวจดูการจัดหน้า เวน้ วรรคและตัวสะกดการันต์ว่าถกู ตอ้ ง และเหมาะสมดีแลว้ หรือไม่ เป็นต้น 2.ตรวจสอบโดยบุคลากรภายนอก เพ่ือให้ผู้ท่ีมีความรู้ และชานาญทางด้านน้ีโดยเฉพาะได้ พิจารณาลั่นกรองก่อนว่า มีข้อความหรือคาถามข้อใดบ้างที่ควรแก้ไขให้ถูกต้องสมบูรณ์ซ่ึงตามทฤษฎี ต้องมี ผู้เชี่ยวชาญตรวจแก้ความถูกต้อง (Validity) ของการสอบถามจานวน 33 คน แต่ในทางปฏิบัติมี 3 ท่านก็ เพยี งพอแต่ตอ้ งตรวจสอบใหค้ รบถ้วนตามเน้ือหา (Content Validity) อยา่ งแท้จริงในการพิจารณาผู้เช่ียวชาญ ตรวจความครบถว้ นสมบรู ณ์ (Validity) ท้ัง 3 ทา่ นนี้ตอ้ งเปน็ ผมู้ คี วามรู้ประสบการณ์ เคยศึกษาและคลุกคลีกับ เรื่องน้ันมาอย่างดี พอบอกชื่อและนามสกุลก็ทราบเป็นอย่างดีว่าเชี่ยวชาญในเรื่องน้ี เช่น ทาวิจัยเร่ือง “การ ฌาปนกิจศพ ” ผู้เชย่ี วชาญตรวจแบบสอบถามเคร่ืองมือวิจัย ได้แก่ สัปเหร่อ และต้องเป็นหัวหน้าสัปเหร่อด้วย อย่างน้อยต้อง 3 วัด การตรวจ Validity นี้ ควรให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 – 5 คน ตรวจสอบดัชนีความสอดคล้องของ ขอ้ คาถามแต่ละข้อกับวัตถุประสงคด์ ้วย โดยการใชส้ ตู ร IOC ข้นั ท่ี 6 การทดสอบแบบสอบถาม (Pre – test) เป็นข้ันตอนทมี่ ีความสาคญั มากในทางปฏบิ ตั ิ การทดสอบแบบสอบถามหมายถึงการนาคาถามไป ถามกลุ่มประชากรที่มีคุณลักษณะคล้ายกับตัวอย่างที่จะไปเก็บรวบรวมข้อมูลจริง ๆ เช่น จะทาวิจัยเรื่อง “ปัญหาความยากจนของชาวนาในภาคกลาง ” นักวิจัยก็ต้องทดสอบกับบุคคลที่มีอาชีพทานาเท่านั้นด้วย จะ เรียบเรยี งโดย : โรซนานี หะยสี าและ หนา้ 9
เอกสารประกอบการอบรม เรอ่ื ง การสรา้ งแบบสอบถามสาหรับงานวิจยั ทดสอบกับชาวสวน พ่อค้า หรือข้าราชการไม่ได้ และต้องเป็นชาวนาในภาคกลางเท่าน้ันด้วย การทดสอบเป็น การตรวจดูว่าแบบสอบถามท่ีร่างข้ึนมาน้ันผู้ถูกถามมีความเข้าใจมากน้อยเพียงไร และข้อบกพร่องท่ีควรจะ แก้ไขอย่างไรบ้างหรือไม่ ก็ให้บันทึกพร้อมเสนอแนะในแต่ละข้อคาถามไว้ด้วย การทดสอบแบบสอบถามน้ีได้ จัดทาขึน้ โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์ดังตอ่ ไปนี้ 6.1 เพอ่ื หาความถูกตอ้ งสมบูรณ์ (Validity) และความเชื่อถือได้ (Reliability) ของแบบสอบถาม วา่ จะสามารถใชเ้ ป็นเครอ่ื งมือวิจัยในการวัดความรู้สึกและประชากรได้หรือไม่ และได้ข้อมูลตรงกันเพียงไรการ ต้ังคาถามเพ่ือหา Validity และ Reliability ก็เหมือนกับการสร้างเคร่ืองมือวัด เช่น ไม้บรรทัด ถ้าสร้างไม้ บรรทัดได้มาตรฐาน การวัดก็ย่อมถูกต้องและน่าเช่ือถือการสร้างคาถามก็เช่นกัน ถ้าสร้างได้มาตรฐานและ ถูกต้องย่อมเป็นเครื่องมือวิจัยท่ีมี Validity และ Reliability สูงด้วย แต่ในทางทฤษฎีและทางปฏิบัติการสร้าง ตรงตาม Validity ได้ดแี ลว้ ไซร์ Reliability ก็สูงไปดว้ ย 6.2 เพื่อตรวจดวู า่ คาถามทตี่ ั้งข้ึนนัน้ ผตู้ อบมีความเข้าใจในภาษาทใี่ ชห้ รือไมเ่ พียงไร 6.3 เพือ่ ตรวจดูว่ามีคาถามซา้ กนั หรือไม่ และมีคาถามข้อใดบา้ งทีเ่ กินความจาเป็น 6.4 เพื่อตรวจดูว่าผู้ตอบสามารถตอบคาถามได้ดีหรือไม่ หรือคาถามข้อใดบ้างท่ีทาให้ผู้ตอบ แบบสอบถามร้สู กึ อึดอดั ในการตอบ 6.5 เพื่อตรวจดูว่ามีคาถามข้อใดบา้ งท่มี ลี ักษณะเป็นการถามนา 6.6 เพอ่ื ตรวจดูว่ามีคาถามปดิ ไดจ้ ัดเตรยี มคาถามไว้ใหเ้ ลือกตอบครบถ้วนหรือไม่ในประเด็น น้ี การไปทดสอบกอ่ นจะได้คาตอบอีกมาก 6.7 เพอื่ ตรวจดวู ่ามีคาถามในเร่ืองเดยี วกนั ได้จดั เรียงลาดบั คาถามตอ่ เน่ืองสัมพันธก์ ันดเี หมือน ลูกโซ่หรือไม่ 6.8 เพ่อื ตรวจดวู ่ามีคาถามทีต่ ่อเน่อื งจะสามารถทดสอบข้อเท็จจริงในตัวไดห้ รือไม่ เชน่ คาถาม เรือ่ งรายรับ – รายจ่าย ถ้ารายรับมากกว่ารายจ่าย ก็ตอ้ งมีเงินออม ถา้ รายจา่ ยมากกว่ารายรับกต็ อ้ งมเี งนิ ยมื เป็นตน้ 6.9 เพอ่ื ตรวจดูว่ามีคาตอบท่ไี ดร้ บั จะมาสนบั สนุนสมมติฐานที่ตง้ั ไวห้ รือไม่เพยี งไร 6.10 เพื่อตรวจสอบว่าใช้เวลาในการสอบถามโดยเฉล่ยี นานเท่าไร 6.11 เพ่ือหาประสบการณ์ให้ผู้สัมภาษณก์ ่อนทีจ่ ะออกไปเก็บรวบรวมขอ้ มลู จริง ๆ ในภาคสนาม ต่อไป ขั้นที่ 7 การปรับปรุงและแก้ไขแบบสอบถาม ทีมผู้วิจัยต้องร่วมประชุมปรึกษา เพ่ือช่วยกันปรับปรุงแก้ไขแบบสอบถามตามท่ีได้บันทึก ข้อบกพร่องและข้อเสนอแนะต่าง ๆ จากที่ได้ทดสอบมาแล้วนั้น โดยเร่ิมต้ังคาถามข้อท่ี 1 เป็นต้นว่า ว่าใครมี ความเห็นประการใดบา้ ง ควรจะคงไวเ้ พราะเหมาะสมดีแลว้ หรือว่าควรจะแก้ไขอย่างไรบ้าง คาถามน้ีคล้ายกับ คาถามข้อนั้นหรือว่าคาถามข้อน้ีควรจะไปเรียงไว้ข้างคาถามข้อนั้น ฯลฯ ในบางคร้ังผู้สร้างแบบสอบถามแม้ว่า จะเป็นนักวิจัยที่เชี่ยวชาญแล้วก็ตาม แต่อาจจะมีข้อบกพร่องได้ ซ่ึงในขณะการยกร่างอาจมองไม่เห็น ข้อผิดพลาด แต่จะได้ในขณะทดสอบ (Pretest) หรือทดลองใช้ (Try – out) ฉะนั้นการทดสอบแบบสอบถาม เรียบเรียงโดย : โรซนานี หะยีสาและ หนา้ 10
เอกสารประกอบการอบรม เรือ่ ง การสร้างแบบสอบถามสาหรบั งานวิจัย จึงเป็นเสมือนกระจกที่ส่องสะท้อนให้เห็นข้อมูลบกพร่องต่าง ๆ ได้ จึงควรที่จะได้ทดสอบหลาย ๆ ครั้งรวมทั้ง ปรับปรุงแก้ไขจน แน่ใจว่าถูกต้องและสมบูรณ์ แล้วจึงนาไปสารวจหรือใช้เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวม ขอ้ มูลสนามตอ่ ไป การจัดทาตารางเปลา่ (Dummy Tables) ในขณะทสี่ ร้างแบบสอบถามนนั้ จาเป็นตอ้ งจัดทา Dummy Tables ไว้ดว้ ย เพ่ือจะได้ แน่ใจว่าข้อมูล ที่เราถามไปนั้นนามาเสนอในตารางเปล่าที่ได้ทาไว้แล้วน้ันได้ทันที ไม่จาเป็นต้องมาทาในภายหลังให้เสียเวลา อกี ครงั้ หนึ่ง และยงั เป็นประโยชน์ต่อการวเิ คราะห์ขอ้ มลู อย่างแท้จริงด้วยหลักการจัดทารายการเปล่าไม่ยากแต่ เพียงบอกที่หัวตารางว่าเป็นตารางที่เท่าไร กล่าวถึงเร่ืองอะไร (What) ท่ีไหน (Where) และเม่ือไร (When) โดยให้ตีเป็นรูปตาราง พร้อมท้ังระบุไว้ทางด้านซ้ายมือด้วยว่าเป็นคาถามเกี่ยวกับอะไรเท่าน้ัน ส่วนจานวน ตวั เลขหรือข้อมลู นน้ั ไม่ต้องใส่ เช่น ตารางที่ 1 จานวน ร้อยละ เพศของผู้ตอบแบบสอบถาม รอ้ ยละ (ตารางแบบ One way table หรอื ตารางเดีย่ ว หรือตารางตัวแปรเดยี ว) เพศ จานวน ชาย หญงิ รวม 100.0 สถติ ทิ ีใ่ ช้ 1. ความถี่ , 2. รอ้ ยละ ตารางที่ 2 ความสัมพนั ธ์ระหว่างเพศกับระดับความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน (ตาราง Two way table หรอื Crosstab หรือตาราง 2 ตวั แปร) เพศ ระดับความพึงพอใจ รวม นอ้ ย ปานกลาง มาก ชาย หญิง สถิตทิ ีใ่ ช้ 1. ความถ่ี , 2. รอ้ ยละ , 3. X2 – Test ตารางท่ี 3 เปรยี บเทียบค่าเฉลีย่ ความรู้กับความพงึ พอใจในการใชบ้ รกิ ารหอ้ งสมดุ Sig ความรู้ n ̅ SD t-test สงู ตา่ สถติ ิทีใ่ ช้ 1. ความถี่ , 2. ̅ , 3. SD , 4. t-Test เรียบเรยี งโดย : โรซนานี หะยีสาและ หน้า 11
เอกสารประกอบการอบรม เร่ือง การสร้างแบบสอบถามสาหรบั งานวิจัย วธิ กี ารตั้งคาถามเพอื่ วดั 3 ตัวแปร ในโลกของการวิจยั นน้ั ตวั แปรท่ีจะวัดมี 3 ตัวแปร (Variables) เทา่ น้นั ทผี่ ูว้ ิจยั จะต้องตั้งคาถามให้ ตรงกับตัวแปรทัง้ 3 ตวั นั้นอย่างแทจ้ ริง คือ 1. การวัดความรู้ (Knowledge = K) จะต้องตั้งคาถามเพื่อท่ีจะวัดความรู้ – ความเข้าใจจริง ๆ เท่าน้ันมิใช่วัดความคิดเห็น หรือพฤติกรรม แต่ความรู้ – ความเข้าใจที่จะวัดนั้น ควรเป็นคาถามที่เหมาะสมกับ ตัวผู้ตอบซึ่งเป็นหน่วยวิเคราะห์ (Unit of Analysis) เช่น ถ้าเป็นชาวนา ชาวไร่ คาถามวัดความรู้ควรง่าย ๆและ ไม่ลึกซึ้งมากนัก แต่ถ้าวัดความรู้เก่ียวกับนักเรียนนักศึกษาก็ควรสร้างอีกระดับหนึ่ง เช่น ควรต้ังคาถามว่าท่านมี ความรู้เก่ียวกับพรรคการเมือง ดังข้อความต่อไปนี้ ว่าใช่หรือไม่ คาตอบก็มี 2 คาตอบ คือ ใช่ –ไม่ใช่ (ห้ามใช้คา วา่ ทา่ นมคี วามคดิ เห็น) ซ่ึงการตงั้ คาถามเพ่ือวัดความรู้น้ี อาจต้ังเป็นคาถามและมี คาตอบให้เลือกตอบ (Choice) หลายคาตอบก็ได้ หรอื จะจัดทาในรูปของตารางกไ็ ด้ ซงึ่ สะดวกทง้ั ผ้ตู ้ังคาถามและผตู้ อบด้วย หลักและวธิ สี ร้างคาถามเพ่ือวัดความรู้ (Knowledge = K) ดงั นี้ 1) ต้องเปน็ คาถามท่วี ดั ความรจู้ รงิ ๆ มใิ ช้ความคดิ เห็นหรือความร้สู ึก 2) ความรู้ท่ีจะวัดน้ัน ต้องไม่ล่วงเลยมานานเกินไป เพราะอาจจาไม่ได้ เช่น เมื่อวานตอนเย็นท่าน รบั ประทานอาหารอะไรบา้ ง 3) คาถามวัดความรู้ ตอ้ งไมส่ ลับซบั ซ้อมมากเกินไป 4) คาถามท่ีวัดความร้ตู อ้ งมีความยากและความง่ายให้เหมาะสมกับกลุ่มประชากรท่ีตอบ 5) คาถามวัดความรู้ต้องมีคาถามท่ีผิดและถูก สลับกันไป อย่างละเท่า ๆ กัน เพ่ือมิให้ผู้ตอบเดาถูก นนั่ คอื ตอ้ งมคี าตอบประเภทหลอกไวด้ ้วย 6) กาหนดคะแนนตอบถกู ให้ 1 คะแนนและตอบผดิ ให้ 0 คะแนน แตถ่ ้ากลบั กนั คะแนนต้องกลับกัน ดว้ ย ซึง่ การใหค้ ะแนนก็ต้องเป็นระบบและเปน็ มาตรฐานเดยี วกัน 7) ตอบ (Choice) มี 2 คาตอบเท่านน้ั คอื ใช่ - ไม่ใช่, ถูก – ผิด, จริง - ไม่จริง (ห้ามใช้คาตอบว่าถูก มากทสี่ ุด มาก ปานกลาง น้อย และนอ้ ยทีส่ ุด) 2. การวัดความคิดเห็น ความรู้สึก ความพึงพอใจ ความต้องการ และความคาดหวัง เป็นต้น ซ่ึง เป็นเร่ืองของทัศนคติ (Attitude = A) หรือความคิดเห็น (Opinion) จะต้องตั้งคาถามเก่ียวกับความคิดเห็นใน ส่ิงนนั้ ๆ มใิ ช่ความรู้แตส่ ่งิ ท่จี ะถามนนั้ ผู้ตอบตอ้ งมีความรู้ มีประสบการณ์ หรอื เคยสัมผัสหรือได้รับผลกระทบมา ก่อนจึงจะสอบถามได้ เช่น ท่านมีทัศนคติเกี่ยวกับการท่องเท่ียวเชิงอนุรักษ์ดังข้อความต่อไปน้ี มาก – น้อย เพียงใด ซึ่งคา ตอบอาจแบ่งออกเป็น เห็นด้วยมากที่สุด เห็นด้วยมาก เห็นด้วยปานกลาง เห็นด้วยน้อย และ เห็นด้วยน้อยที่สุด หรือท่านมีความพอใจต่อการให้บริการห้องสมุดดังข้อความต่อไปนี้ มาก – น้อยเพียงไรซึ่ง คาตอบควรจะแบง่ ออกเป็น พอใจมากท่ีสุด พอใจมาก พอใจปานกลาง พอใจน้อย และพอใจน้อยที่สุด เป็นต้น ซง่ึ คาตอบท่ีตง้ั ไว้เพื่อวัดความคดิ เหน็ นี้ จะทาในรูปของตารางส่วนใหญ่ และคาถามท่ีต้ังเพื่อวัดน้ันก็จะต้องมีทั้ง บวก (Positive) ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน และส่วนเทคนิคและวิธีช้ีวัดทัศนคติหรือเจตคติ (Attitude) น้ันเป็น สง่ิ ทยี่ ากจงึ ขอแยกกล่าวไวอ้ กี สว่ นหนง่ึ เรยี บเรยี งโดย : โรซนานี หะยสี าและ หนา้ 12
เอกสารประกอบการอบรม เรอ่ื ง การสรา้ งแบบสอบถามสาหรบั งานวิจัย 3. การวัดพฤติกรรม (Behavior = B) หรือวัดความจริง (Fact = F) จะต้องต้ังคาถามเพ่ือวัด พฤติกรรมการกระทาหรือปฏิบัติ หรือความจริงที่มีอยู่เป็นอยู่หรือกระทาอยู่เป็นสาคัญ ซึ่งมิใช่วัดความรู้หรือ ความคิดเห็นแต่อย่างไร แต่เป็นการวัดสิ่งท่ีประชาชนปฏิบัติหรือมีอยู่ เช่น ที่บ้านท่านมีพ่ีน้องกี่คน มีการเล้ียง ลูกด้วยนมแม่หรอื ไม่ มกี ารไหวพ้ ระสวดมนตก์ อ่ นนอนหรือไม่ซึ่งคาตอบก็เป็นความจริงการสร้างคาตอบเพื่อวัด 3 ตวั แปรนี้ บางเร่ืองก็มีวดั 2 ตวั แปร บางเรื่องมวี ัดทง้ั 3 ตัวแปร ซึ่งเรยี กกันทว่ั ไปว่า KAB . นั่นเอง ประเภทการเขยี นคาถาม มีความแตกต่างกันอย่างมากระหว่างการสัมภาษณ์กับการใช้แบบสอบถาม เน่ืองจากในการ สัมภาษณ์นั้นนักวิเคราะห์มีโอกาสในการทบทวนคาถาม หรือเปลี่ยนแปลงหัวข้อได้ แต่คาถามท่ีมาจาก แบบสอบถามไม่สามารถจะทาได้ ดังนั้นควรต้องมีการวางแผนต้ังคาถามให้ดี ชนิดของคาถามแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื คาถามปลายเปดิ และคาถามปลายปิด 1. การใชค้ าถามปลายเปิด เป็นการตอบคาถามโดยผู้ตอบมีอิสระในการตอบ ซึ่งถ้าไม่มีการกาหนด ขอบเขตของคาตอบแลว้ จะไม่สามารถเก็บข้อมูลได้ถูกต้องเป็นไปตามท่ีต้องกร ในการตั้งคาถามเปิดจะต้องต้ัง คาถามให้แคบเพียงพอเพื่อให้คาตอบที่ได้มีทิศทางเฉพาะ คาถามปลายเปิดนี้จะมีประโยชน์ในสภาพการณ์ท่ี เปน็ การสารวจ วนิ จิ ฉัย ซ่ึงอาจเกิดข้นึ เมอ่ื นกั วิเคราะห์ไม่สามารถจะกาหนดปัญหาท่ีเกิดข้ึนในระบบปัจจุบันได้ ผลทไ่ี ดร้ ับอาจทาใหช้ ีใ้ ห้เห็นปญั หาได้แคบลง 2. การใช้คาถามปดิ เปน็ คาถามท่กี าหนดคาตอบให้ตอบ การใชค้ าถามปิดควรจะใช้เมื่อนักวิเคราะห์ ระบบสามารถที่จะกาหนดรายการคาตอบได้อย่างชัดเจน และเม่ือต้องการสารวจกลุ่มคนจานวนมาก ซ่ึงถ้าใช้ คาถามปลายเปดิ เป็นการยากทจ่ี ะวิเคราะห์และสรุป ภาษาที่ใชใ้ นแบบสอบถาม ภาษาที่ใช้ควรมีมาตรฐานของกลุ่มคาถามท่ีควรคานึงถึงการพัฒนาระบบ ซึ่งควรเป็นศัพท์ท่ีใช้ เฉพาะที่ เช่น ใช้คาว่าหน่วยงานแทนคาว่าแผนก เพ่ือเป็นการตรวจสอบให้ม่ันใจว่าภาษาที่ใช้ในแบบสอบถาม เหมาะสมต่อผู้ตอบนักวิเคราะห์ระบบจะลองคาถามตัวอย่าเพ่ือทดสอบกลุ่มย่อย และขอคาแนะนาในเร่ือง ภาษาหรือคาศพั ท์ทใ่ี ชจ้ ากกลุ่มท่เี ก่ียวข้อง ขอ้ แนะนาในการเลือกภาษาทใ่ี ชใ้ นแบบสอบถาม มีดงั น้ี 1. ใชภ้ าษาทตี่ อบสนองได้ดี ใช้คาทีเ่ ขา้ ใจง่าย 2. หลีกเลย่ี งการใช้คาถามท่ีเป็นคาเฉพาะใหม้ ากทสี่ ดุ เน่อื งจากอาจเป็นคาที่มคี วามหมายไมช่ ดั เจน 3. ใชค้ าถามทีส่ ้นั กระชับ ไดใ้ จความ 4. ไมใ่ ช้คาหยาบคาย 5. หลกี เล่ยี งคาที่มีความเอนเอยี งตา่ ง ๆ ในคาถาม 6. คาถามที่ตั้งขนึ้ มาน้ันต้องแน่ใจว่าเป็นเทคนิคทถี่ ูกตอ้ งก่อนท่ีจะใช้ 7. คาถามนั้นต้องมีเปาู หมายทีต่ อบสนองได้ตรงกบั ทีต่ ้องการอยากรู้ เรยี บเรียงโดย : โรซนานี หะยสี าและ หนา้ 13
เอกสารประกอบการอบรม เร่อื ง การสรา้ งแบบสอบถามสาหรบั งานวิจัย การจดั การแบบสอบถาม การตัดสินใจว่าใครควรจะเป็นคนตอบแบบสอบถาม ซึ่งจะต้องเป็นคนในกลุ่มเปูาหมายและมีผล กับระบบ หรือการสุ่มตัวอย่าง ซึ่งขึ้นกับนักวิเคราะห์ระบบที่จะตัดสินใจ ในการเลือกผู้ตอบแบบสอบถามน้ัน วธิ ีการจัดการแบบสอบถาม นกั วเิ คราะห์ระบบมคี วามคดิ ในการจัดการแบบสอบถามหลายวิธี และเลือกวิธีการ โดยดูจากสถานภาพของบริษทั ความคิดในการจดั การแบบสอบถามมดี งั น้ี การประชมุ ผู้ที่มผี ลตอ่ การวเิ คราะห์ มารวมกนั ตอบแบบสอบถามพรอ้ มกนั ในเวลาเดยี วกัน ใหแ้ ต่ละคนนากลับไปตอบแบบสอบถามแลว้ นากลบั มาคืน ให้กลบั ไปตอบแบบสอบถามแล้วกลับมาทิ้งไวท้ ี่ตู้ ส่งแบบสอบถามไปทางไปรษณีย์ให้แก่พนักงานในแต่ละสาขา แล้วกาหนดวันให้ส่งคืนวิธี หน่ึงท่ีช่วยให้แบบสอบถามถูกส่งกลับมา คือ การจัดทากล่องรับคืนแบบสอบถาม หรือการกาหนดให้บุคคลใน หน่วยงานเปน็ ผปู้ ระสานงานเกบ็ รวบรวมแบบสอบถามเหลา่ นั้น สว่ นประกอบของแบบสอบถาม แบบสอบถามประกอบด้วยสามองค์ประกอบหลกั : กลุ่มคาตอบท่ปี ระกอบด้วยคาตอบสาหรับคาถาม เลือกตอบหลายตัวเลือก คาถาม และแบบสอบถามเอง คุณสามารถเลือกจัดกลุ่มคาถามในแบบสอบถามเป็น กลุ่มผลลัพธ์ได้ กลุ่มผลคะแนนช่วยให้คุณสามารถจัดประเภทคาถาม และให้การวิเคราะห์เพิ่มเติมใน แบบสอบถาม กล่มุ คาตอบและคาตอบ ผู้ตอบแบบสอบถามสามารถตอบคาถามไดส้ องวธิ ี ขน้ึ อยกู่ ับลกั ษณะของคาถาม ดงั น้ี • คาถามปลายเปิดไม่จาเป็นต้องตอบรับในรูปแบบที่กาหนดไว้ ผู้ตอบสามารถพิมพ์คาตอบเป็น ข้อความ หมายเลข วัน หรือเวลา โดยปกติ คาถามเหล่านี้กาหนดให้ผู้ตอบให้ข้อมูลแบบอัตนัยในคาตอบ เช่น ความคดิ เหน็ การประเมินค่า หรือการประเมิน • คาถามปลายปิดจาเป็นต้องให้ผู้ตอบเลือกคาตอบในรายการคาตอบที่ถูกต้องท่ีเป็นไปได้เพื่อสร้าง รายการของคาตอบที่เป็นไปได้สาหรับคาถามปลายปิด คุณสามารถสร้างคาตอบในแบบหน้า กลุ่มคาตอบ ได้ กลุ่มคาตอบและคาตอบเป็นองค์ประกอบที่สร้างเนื้อหาหลักของข้อมูลที่สร้างคาถามขึ้นมาหลังจากท่ีคุณสร้าง กลุ่มคาตอบ คุณสามารถเช่ือมโยงกลุ่มคาตอบกับคาถามในฟิลด์ กลุ่มคาตอบ ในหน้า คาถาม ได้กลุ่มคาตอบ หนึ่งสามารถใช้กับคาถามได้มากกว่าหน่ึงข้อบนแบบสอบถามเดียวกัน และสามารถใช้ได้กับแบบสอบถาม มากกวา่ หนงึ่ ชดุ หมายเหตุ ถ้าคุณปรับเปลี่ยนข้อความคาตอบในกลุ่มคาตอบท่ีได้ใช้ในแบบสอบถามท่ีเสร็จสมบูรณ์ แล้ว จะประเมินข้อมูลได้ยาก และผลลัพธ์ของแบบสอบถามอาจไม่สามารถ ใช้ได้อีกต่อไป ถ้าคุณต้องเปล่ียน เรียบเรียงโดย : โรซนานี หะยสี าและ หนา้ 14
เอกสารประกอบการอบรม เรอ่ื ง การสร้างแบบสอบถามสาหรบั งานวจิ ยั กลุ่มคาตอบ พิจารณาสร้างกลุ่มคาตอบใหม่แทนการเปล่ียนแปลงกลุ่มคาตอบท่ีมีอยู่ คุณไม่สามารถลบกลุ่ม คาตอบทแ่ี นบกบั คาถามหรือคาตอบ หรือได้ตอบไปแล้วได้ คาถาม แบบสอบถามต้องมีคาถาม คาถามสามารถเป็นไดท้ ัง้ แบบปลายเปิดหรือปลายปิด • การตอบรับของคาถามแบบปลายเปดิ ไม่ได้ควบคุม และผู้ตอบสามารถพิมพ์คาตอบของตนได้ • คาถามปลายปิดต้องมีรายการตัวเลือกของคาตอบที่กาหนดไว้ล่วงหน้า และสามารถจัดโครงสร้าง คาถามเพ่ือให้ผู้ตอบเลือกคาตอบหลายรายการได้ คาถามควรออกแบบมาเพื่อให้ได้รับข้อมูลท่ีเฉพาะเจาะจง จากผูต้ อบคาถาม และต้องเช่อื มโยงกบั กลมุ่ คาตอบท่มี ีตัวเลือกคาตอบสาหรบั แตล่ ะคาถามปลายปดิ หมายเหตุ ก่อนท่ีคุณจะสามารถต้ังค่าคาถามปลายปิด คุณต้องสร้างกลุ่มคาตอบและคาตอบก่อน คาถามที่สามารถจัดเรียงเป็นลาดับชั้นของคาถามแบบมีเงื่อนไข เพื่อให้คาถามรองข้ึนอยู่กับคาตอบที่ผู้ตอบ เลือกสาหรบั คาถามก่อนหน้าน้ี คุณสามารถเขียนคาถามก่อน และจากนั้น จัดเรียงตามลาดับชั้นของคาถามใน ภายหลังการตง้ั ค่าชนดิ แบบสอบถาม หมายเหตุ กอ่ นทีค่ ุณจะสามารถต้ังคา่ แบบสอบถาม คุณต้องตงั้ คา่ คาตอบ คาถาม และข้อกาหนด เบอื้ งตน้ ก่อนสาหรบั แต่ละแบบสอบถาม คุณสามารถระบุข้อมลู ตอ่ ไปน:้ี • เวลารวมหรือขดี จากัดเวลาสาหรับการตอบคาถามบงั คับ • คาถามท้งั หมดเป็นคาถามบังคบั หรือไม่ • คานวณคะแนนในแบบสอบถามหรอื ไม่ • วธิ กี ารจัดประเภทผลลพั ธ์ • แบบสอบถามจะพร้อมใช้งานสาหรับชุดของผ้ตู อบทีจ่ ากัดหรอื ไม่ • ให้แสดงเทมเพลตแบบฟอรม์ เปน็ พืน้ หลังของแบบสอบถามแตล่ ะหนา้ หรอื ไม่ • หมายเหตุเพ่ิมเตมิ จาเป็นในการชแ้ี จงวัตถุประสงค์ของแบบสอบถามสาหรบั ผู้ตอบหรอื ไม่ • คุณต้องการแสดงคาถามตามลาดับทีก่ าหนด หรือเลอื กคาถามจากกลุ่มโดยสุ่ม • ระบวุ า่ จะถามคาถามหากได้รับการตอบสนองทร่ี ะบสุ าหรับคาตอบก่อนหน้านีเ้ ท่านั้นหรือไม ตั้งค่าแบบสอบถาม หน้าหลักท่ีคุณใช้ในการตั้งค่าแบบสอบถามคือหน้า แบบสอบถาม เมื่อต้องการตั้งค่าแบบสอบถาม ดาเนนิ การงานต่อไปน้ีใหเ้ สรจ็ สมบูรณต์ ามลาดับ: 1. สรา้ งแบบสอบถาม 2. ทาตามหนึ่งในข้ันตอนเหล่าน้เี พ่อื แนบคาถามกับแบบสอบถาม: • ถ้าคุณกาลังใช้กลุ่มผลลัพธ์ คุณสามารถแนบคาถามกับแบบสอบถามโดยใช้กลุ่มผลลัพธ์ อันดับแรก ตง้ั คา่ กลุ่มผลคะแนนสาหรบั แบบสอบถาม และเพิ่มคาถามไปยังกลุ่มผลคะแนน • ถา้ คณุ ไม่ได้กาลงั ใชก้ ลมุ่ ผลลพั ธ์ คุณสามารถแนบคาถามกับแบบสอบถามไดโ้ ดยตรง เรียบเรยี งโดย : โรซนานี หะยีสาและ หน้า 15
เอกสารประกอบการอบรม เร่ือง การสรา้ งแบบสอบถามสาหรับงานวิจัย 3. การต้ังค่าลาดบั ชนั้ ของคาถามแบบมเี งื่อนไข หากจาเป็น 4. ทดสอบแบบสอบถาม ในหน้า แบบสอบถาม คลกิ ตรวจสอบ เพือ่ ทดสอบว่าแบบสอบถามรวบรวมไว้อย่างถูกต้องอย่างไร กต็ าม ควรกรอกแบบสอบถามให้เสรจ็ สมบรู ณ์ และทดสอบดว้ ยตนเองก่อนทจ่ี ะกระจายแบบสอบถาม การแกไ้ ขแบบสอบถาม คุณสามารถดาเนนิ การงานต่อไปน้ีให้เสรจ็ สมบรู ณใ์ นหนา้ แบบสอบถาม ได้: • การแกไ้ ขข้อมูลในแบบสอบถาม เช่น กลุ่มผลคะแนนและคาถาม • การลบและเพ่ิมคาถาม • ทาการเปลยี่ นแปลงในกลุ่มผลคะแนนและหมายเลขลาดับ ขอ้ ควรระวงั ต้องระวังเมื่อคุณเปล่ยี นแบบสอบถามท่ีมกี ารตอบไปแลว้ การเปลย่ี นแปลงสามารถทา ใหส้ ถิติมคี วามถูกต้องแม่นยาลดลงได้ ซงึ่ อาจสง่ ผลใหพ้ น้ื ฐานการประเมินไมด่ ลี ดความแมน่ ยาของของสถติ ิ ให้ ลองพิจารณาถงึ การสรา้ งคาถามใหม่ แทนการเปล่ียนแปลงคาถามเดมิ ที่มกี ารตอบไปแลว้ ในแบบสอบถาม คุณ ไมส่ ามารถลบชนดิ ของคาถามตอ่ ไปน้ี: • คาถามท่ีแนบกบั แบบสอบถาม • คาถามท่ีมีการตอบไปแล้ว และปรากฏในกล่องโต้ตอบ คาตอบ แลว้ กล่มุ ผลคะแนน กลุ่มผลลัพธ์จะไม่จาเป็นต้องระบุเมื่อคุณแนบคาถามกับแบบสอบถาม กลุ่มผลคะแนนจะใช้ในการ คานวณคะแนน และจัดประเภทผลลพั ธ์ของแบบสอบถาม ถ้าคณุ ใชก้ ลุม่ ผลคะแนน คณุ สามารถดาเนินการงาน ต่อไปนี:้ • ประเมนิ ผลลพั ธแ์ บบสอบถาม โดยใชส้ ถิติคะแนน • ประเมินของคะแนนของผู้ตอบแบบสอบถามสาหรับกลุม่ ผลคะแนนแต่ละกลุ่มท่ีคุณตั้งคา่ • สร้างสถิตสิ าหรับกลุ่มผลคะแนนแต่ละกลุ่ม เพ่ือช่วยคุณในการวเิ คราะห์ผลคะแนน • พมิ พร์ ายงานทแ่ี สดงผลลพั ธ์สาหรบั แตล่ ะกลมุ่ ผลคะแนน หมายเหตุ ก่อนทีค่ ุณจะสามารถต้งั ค่าบัญชีเจ้าหนี้ คุณต้องดาเนนิ ขั้นตอนตอ่ ไปนี้ใหค้ รบถ้วน: • ตั้งค่าคาถามปลายปิด สาหรับคาถามปลายปิด ชนิดของข้อมูลปูอนเข้าในหน้า คาถาม ต้องเป็น กลอ่ งกาเคร่ืองหมาย ปุ่มทางเลอื ก หรอื กลอ่ งคาส่ังผสม • กาหนดคะแนนสาหรับคาตอบในกลุ่มคาตอบท่ีกาหนดให้กบั แตล่ ะคาถาม • ต้ังค่าแบบสอบถาม เมื่อต้องการแนบคาถามกับแบบสอบถามโดยใช้กลุ่มผลคะแนน ให้ตั้งค่ากลุ่ม ผลคะแนนสาหรับแบบสอบถาม แล้วจึงเพ่ิมคาถามให้กับกลุ่มผลคะแนน ถ้าคุณไม่ใช้กลุ่มผลลัพธ์ คุณสามารถ แนบคาถามกับแบบสอบถามได้โดยตรง คุณสามารถตั้งค่ากลุ่มผลลัพธ์หลายกลุ่ม เพื่อประเมินคะแนนที่ผู้ตอบ เรยี บเรียงโดย : โรซนานี หะยีสาและ หนา้ 16
เอกสารประกอบการอบรม เร่อื ง การสร้างแบบสอบถามสาหรบั งานวิจยั แบบสอบถามไดร้ บั คะแนนในแต่ละประเภท หลังจากแบบสอบถามเสร็จสมบูรณ์ คุณสามารถดูคะแนนท่ีทาได้ ของแตล่ ะกลมุ่ ผลคะแนน การวางแผนการใช้แบบสอบถาม การออกแบบสอบถามดูเหมือนเป็นวิธีที่รวดเร็ว ซ่ึงจะทาให้นักวิเคราะห์สามารถเก็บรวบรวมข้อมูล ได้ปริมาณมาก ดังนั้น การให้เวลาในการกาหนดรูปแบบของแบบสอบถาม จึงมีความสาคัญ นักวิเคราะห์จึง ควรตัดสินใจให้ได้ว่าอะไรคือเปูาหมายหลักในการใช้แบบสอบถาม เช่น ถ้าคุณต้องการรู้เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่ ต้องการข้อมูลข่าวสารในการศึกษาโปรแกรมใหม่ ๆ แล้ว การใช้แบบสอบถามจะเป็นวิธีท่ีถูกต้อง แต่ถ้า ตอ้ งการวเิ คราะหถ์ งึ ขบวนการในการตัดสินใจของผ้บู ริหารแลว้ การสัมภาษณ์นับว่าเป็นวิธีท่ีดีกว่าข้อเสนอแนะ ที่จะชว่ ยนกั วิเคราะหต์ ดั สินใจเลอื กวธิ ีการใช้แบบสอบถาม มดี งั นี้ 1. เมื่อคนทเี่ ราต้องการสอบถามกระจายอยตู่ ามสถานที่ตา่ ง ๆ เช่น ตามสาขาย่อยของบริษทั 2. เม่ือมีคนท่ีเก่ียวข้องโครงการวิเคราะห์และออกแบบระบบจานวนมาก และเราต้องการรู้สัดส่วน ของกลมุ่ คนแต่ละกลมุ่ 3. เม่ือต้องการนาแบบสอบถามนั้นไปใช้เพื่อการศึกษา และใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานทางความคิดใน การกาหนดทศิ ทางของโครงการระบบ 4. เมอื่ ตอ้ งการสบื คน้ ปัญหาท่ีเกิดข้ึนกับระบบในปัจจุบัน และดูว่าต้องการข้อมูลเพิ่มเติมส่วนใดเพื่อ ใชใ้ นการสัมภาษณต์ อ่ ไป เคา้ โครงหรอื โครงสร้างของแบบสอบถาม ในการสรา้ งแบบสอบถามทางปฏบิ ตั นิ ัน้ ผวู้ ิจยั ตอ้ งวางเค้าโครงหรอื โครงสรา้ งไว้เพ่มิ ให้ง่ายและ สะดวกตอ่ การสร้าง ซ่งึ อาจมีดังน้ี 1) เลือกสรรถ้อยคาเพ่ือขอความรว่ มมอื ในการตอบแบบสอบถามและสมั ภาษณ์ (ใชค้ วามสุภาพใน การขอความรว่ มมือมิใช่คาส่งั ) 2) เลขท่แี บบสอบถามและพ้นื ทใ่ี นการทาวจิ ัย 3) ตอนท่ี 1 ขอ้ มูลทว่ั ไปของกลมุ่ ตวั อย่าง หรือผตู้ อบแบบสอบถาม 4) ตอนที่ 2 ข้อมลู ตามวตั ถุประสงคข์ องขอ้ ท่ี 1 5) ตอนท่ี 3 ข้อมูลตามวัตถุประสงค์ของข้อที่ 2 6) ตอนท่ี 4 ขอ้ มูลตามวตั ถุประสงคข์ องข้อท่ี 3 7) ตอนท่ี 5 ข้อมลู ตามวตั ถปุ ระสงค์ของข้อที่ 4 8) ตอนที่ 6 ขอ้ มูลตามวัตถปุ ระสงค์ของข้อที่ 5 ผู้วิจัยได้ตั้งโจทย์วิจัย หรือวัตถุประสงค์ของการวิจัยรวมทั้งสมมติฐานการวิจัยรวมทั้งสมมติฐานการ วจิ ัยไวก้ ่ีข้อต้องสรา้ งแบบสอบถามใหค้ รบถว้ นทกุ ขอ้ ตามท่ตี ้ังไว้ เรียบเรียงโดย : โรซนานี หะยีสาและ หน้า 17
เอกสารประกอบการอบรม เรื่อง การสรา้ งแบบสอบถามสาหรับงานวิจยั ตัวอย่างการสร้างแบบสอบถาม เพื่อให้ผู้อ่านได้มองเห็นเทคนิคและวิธีการสร้างแบบสอบถามที่เข้าใจง่าย สะดวก และสามารถ นาไปใช้ได้จรงิ ซึง่ ขอยกตวั อยา่ งการสรา้ งแบบสอบถาม ในบางกรณีดังต่อไปนี้ การสร้างคาถามเก่ียวกับข้อมูลท่ัวไปของตัวอย่าง หรือผู้ตอบแบบสอบถามนั้นผู้วิจัยต้องกาหนด กรอบแนวคดิ การวจิ ัย (Conceptual framework) ไว้ก่อนว่ามีกรอบไว้อย่างไร ก็นากรอบนั้นมาตั้งเป็นคาถาม ซ่ึงสะดวก และง่ายมาก เช่น กรอบแนวคิดในงานวิจัย หรือการกาหนดตัวแปรเกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคล และความพงึ พอใจ ในการใชห้ อ้ งสมดุ มตี วั แปรใหญ่และตัวแปรยอ่ ยดงั น้ี เม่ือได้กาหนดกรอบแนวคิดในการวิจัยแล้ว ผู้วิจัยก็นากรอบ ตัวแปรอิสระ (Independent Variable) มาตัง้ เป็นคาถาม โดยให้ตั้งคาถามตวั แปรอสิ ระให้หมดกอ่ น แล้วจงึ ตง้ั คาถามตวั แปรตาม ดังตอ่ ไปน้ี ตอนท่ี 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม 1. เพศ ( ) 1. ชาย ( ) 2. หญิง 2. อายขุ องทา่ น...............ปี 3. ท่านจบการศึกษาสูงสดุ ( ) 1. ประถมศกึ ษา ( ) 2. มธั ยมศึกษา / เทยี บเท่า ( ) 3. อนปุ รญิ ญา / เทยี บเทา่ ( ) 4. ปริญญาตรหี รือเทียบเท่าข้ึนไป 4. สถานภาพสมรส ( ) 1. คู่ ( ) 2. โสด ( ) 3. หม้าย / อย่าร้าง ( ) 4. อ่นื ๆ .................. เรยี บเรียงโดย : โรซนานี หะยสี าและ หน้า 18
เอกสารประกอบการอบรม เรื่อง การสร้างแบบสอบถามสาหรับงานวจิ ยั 5. อาชีพของท่าน ( ) 2. รับจา้ ง ( ) 1. เกษตรกรรม ( ) 4. ข้าราชการ / พนกั งานรับวิสาหกจิ ( ) 3. ค้าขาย ( ) 6. อ่ืน ๆ (ระบุ)............. ( ) 5. ธุรกิจ 6. ท่านมีรายไดเ้ ดือนละ ( ) 2. ระหวา่ ง 10,001 – 20,000 บาท ( ) 1. ไมเ่ กิน 10,000 บาท ( ) 4. ระหว่าง 30,001 – 40,000 บาท ( ) 3. ระหวา่ ง 20,001 – 30,000 บาท ( ) 6. ตัง้ แต่ 50,001 บาทข้นึ ไป ( ) 5. ระหว่าง 40,001 – 50,000 บาท ตวั อยา่ งวธิ สี รา้ งคาถามเพ่ือวดั 3 ตัวแปร 1. วัดความคิดเห็น ตัวอย่างการสรา้ งคาถามเพื่อวดั ความคิดเห็น (Opinion) ทศั นคติ (Attitude = A) หรือ ความพึงพอใจ ซ่งึ มีโครงสรา้ ง (ทาเป็นตาราง) ดงั นี้ ซ้ายมือ ขวามือ เป็นคาถาม มาตรวัด หรอื ตวั ชี้วดั คาตอบ เชน่ เหน็ ด้วย – ไม่แน่ใจ – ไมเ่ หน็ ดว้ ย พอใจ – ปานกลาง – นอ้ ย มากที่สุด – มาก – ปานกลาง – นอ้ ย – นอ้ ยที่สุด ถ้ามาตรวดั แบง่ เปน็ 3 ระดบั คือ เห็นด้วย – ไม่แน่ใจ – ไมเ่ ห็นดว้ ย หรอื พอใจมาก – ปานกลาง – นอ้ ย เปน็ การแบ่งอยา่ งหยาบ ถ้าใหล้ ะเอยี ดและลึก ควรแบ่งเปน็ 5 ระดับจะดีกว่า เชน่ ตอนที่ 2 ความพึงพอใจในการใช้หอ้ งสมดุ 7. ท่านมคี วามพงึ พอใจเกย่ี วกับการใช้บริหารหอ้ งสมุดทนี่ ้ี ดังข้อความต่อไปน้มี าก – น้อย เพยี งใด ข้อความ มากทสี่ ุด ระดับความพึงพอใจ นอ้ ยทส่ี ุด มาก ปานกลาง น้อย ด้านวิธีการให้บริการ …………... …………... …………... …………... …………... 1).............................................. …………... …………... …………... …………... …………... 2).............................................. …………... …………... …………... …………... …………... 3).............................................. …………... …………... …………... …………... …………... ด้านตาราและเอกสาร …………... …………... …………... …………... …………... 1).............................................. …………... …………... …………... …………... …………... เรียบเรียงโดย : โรซนานี หะยสี าและ หน้า 19
เอกสารประกอบการอบรม เรื่อง การสร้างแบบสอบถามสาหรบั งานวจิ ัย 2).............................................. …………... …………... …………... …………... …………... ด้านอาคารสถานที่ …………... …………... …………... …………... …………... 1).............................................. …………... …………... …………... …………... …………... 2).............................................. ด้านเจา้ หนา้ ทผ่ี ูใ้ หบ้ รกิ าร 1).............................................. 2).............................................. ในการสร้างมาตรวัดเก่ียวกับความคิดเห็นหรือทัศนคติ ผู้วิจัยต้องวางแผนในการวัดว่าจะให้เป็นตัว แปรอยใู่ นระดบั ใด กก็ าหนดไวใ้ นขณะท่ีร่างแบบสอบถามน้ัน ๆ เชน่ 1) ถ้าใหต้ ัวแปรอยู่ในระดับ Ordinal Scale กไ็ ม่ต้องใส่คะแนนกากับ ให้มีเฉพาะมาตรวัด คือ พอใจ มากท่ีสุด – มาก – ปานกลาง – น้อย – น้อยที่สุด ซ่ึงตัวแปรที่อยู่ในระดับน้ี สถิติท่ีใช้ คือ ความถี่ ร้อยละ เท่านัน้ ไมส่ ามารถใช้ ̅ และ S.D. ได้ 2) ถ้าผู้วิจัยต้องการให้เป็นตัวแปรอยู่ในระดับ Interval Scale ซึ่งตัวแปรที่สูงกว่า Ordinal Scale ผ้วู ิจัยตอ้ งใสค่ ะแนน 5 4 3 2 และ 1 กากับไวท้ ม่ี าตรวดั น้นั ๆ ด้วย เช่น พอใจมากที่สุด 5 มาก 4 ปานกลาง 3 น้อย 2 น้อยท่ีสุด 1 คะแนน ซึ่งถ้าเป็นตัวแปรที่มีเลขคะแนนกากับเช่นน้ีสถิติที่ใช้ก็คือความถี่และร้อยละ ̅ และ S.D. ได้ น่ันคือจะใชค้ วามถี่ และร้อยละกไ็ ด้หรือจะใช้เฉพาะ ̅ และ S.D. ได้ หรือใช้ท้ังความถี่ ร้อยละ ̅ และ S.D. ควบคู่กันไปก็ได้ ดังน้ันในการสร้างแบบสอบถามผู้วิจัยต้องตัดสินใจไว้ก่อนมิใช่เก็บข้อมูลมาแล้วจึง กาหนดคะแนนในภายหลงั ทาเชน่ นไ้ี มถ่ กู ต้องในการวิจัย 2. วดั ความรู้ – ความเขา้ ใจ ตัวอย่าง การสร้างคาถามวัดความรู้ (Knowledge = K) หรือความเข้าใจในเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง ซึ่งมี โครงสร้างง่าย ๆ ดงั น้ี ซ้ายมือ ขวามือ เป็นคาถามหรอื ตัวชว้ี ดั คาตอบ เช่น ใช่ – ไมใ่ ช่ ถูก – ผดิ จริง – ไม่จรงิ เชน่ ตอนที่ 3 ความร้เู กย่ี วกับ……………………………………………………………….. 8. ท่านมีความรูเ้ กีย่ วกับ..........ดงั ข้อความต่อไปนว้ี า่ ใช่ หรอื ไม่ใช่ ขอ้ ความ ใช่ ไมใ่ ช่ ดา้ นสถานทแี่ ละการก่อนตัง้ 1)......................................................................................................... 2)......................................................................................................... เรียบเรยี งโดย : โรซนานี หะยสี าและ หน้า 20
เอกสารประกอบการอบรม เรอื่ ง การสรา้ งแบบสอบถามสาหรบั งานวิจยั ด้านการสง่ เสรมิ สนบั สนนุ การวิจยั 1)......................................................................................................... 2)......................................................................................................... ดา้ นประโยชนท์ ่ีผู้เข้าอบรมจะได้รับ 1)......................................................................................................... 2)......................................................................................................... หรือจะต้ังเปน็ คาถามลว้ น ๆ กไ็ ด้ ซงึ่ ยาวกว่าวธิ ีที่กลา่ วมาแลว้ เช่น 8. สถาบนั พัฒนานกั วิจยั แหง่ ประเทศไทยตั้งอยู่ที่ ( ) 1. ทาเนียบรัฐบาล ( ) 2. สานกั นายกรัฐมนตรี ( ) 3. สภาวิจัยแห่งชาติ ( ) 4. คลองจ่นั 9.สถาบนั พฒั นานกั วิจัยแหง่ ประเทศไทยต้ังข้ึนเม่ือ ( ) 1. พ.ศ. 2549 ( ) 2. พ.ศ. 2550 ( ) 3. พ.ศ. 2551 ( ) 4. พ.ศ. 2552 ในการวดั ความรนู้ ้ี ถ้าคาตอบถูกหรือตอบว่าใชก่ ็ได้ 1 คะแนน หรือถ้าตอบผิดหรือไม่ใช่ก็ได้ 0 คะแนน ตามความเป็นจรงิ 3. วดั พฤตกิ รรมหรือความจริง ตัวอย่าง การสร้างคาถามวัดพฤติกรรม (Behavior = B) หรือความจริง (Fact = F) ในเรื่องใดเร่ืองหน่ึงท่ี ปฏบิ ัติอย่หู รือกระทาอยู่หรือมอี ยู่ ซง่ึ มโี ครงสรา้ งดงั ต่อไปน้ี ซา้ ยมือ ขวามือ มาตรวัด เป็นคาถามหรอื ตัวชว้ี ดั คาตอบ เช่น ทา – ไมท่ า – ทาทกุ ครั้ง – ทานาน ๆ ครง้ั – ไมท่ า มี – ไม่มี เคย – ไมเ่ คย เช่น เรียบเรยี งโดย : โรซนานี หะยีสาและ หน้า 21
เอกสารประกอบการอบรม เรอื่ ง การสร้างแบบสอบถามสาหรบั งานวิจัย ตอนที่ 4 ความสัมพนั ธภ์ ายในครอบครัว 10. ในครอบครวั ของท่านมีการปฏบิ ัตริ ่วมกนั ดงั ข้อความต่อไปนีท้ กุ ครงั้ หรอื ไม่อย่างไร ขอ้ ความ ทกุ ครง้ั ระดับการปฏบิ ตั ิ ไม่ปฏิบัติ คร้ังเวน้ คร้งั บางคร้ัง นาน ๆ ครงั้ …………... ด้านกฬี าและสนั ทนาการ …………... …………... 1).............................................. …………... …………... …………... …………... …………... 2).............................................. …………... …………... …………... …………... …………... ดา้ นความหว่ งใยซ่ึงกนั และกัน …………... …………... …………... …………... …………... 1).............................................. …………... …………... …………... …………... 2).............................................. …………... …………... …………... …………... ด้านกจิ กรรมทางศาสนา ………….. …………... …………... ………….. 1).............................................. 2).............................................. หมายเหตุ อาจตง้ั เปน็ คาถามลว้ น ๆ ก็ได้ เช่น 11.เมื่อมีการเล่นกีฬา ครอบครัวทา่ นพากันไปด้วย ( ) 1. ทกุ ครง้ั ( ) 2. ครง้ั เวน้ ครงั้ ( ) 3. บางครัง้ ( ) 4. นาน ๆ ครั้ง 12.มีการสวดมนต์ก่อนนอนร่วมกัน ( ) 1. ทุกคร้ัง ( ) 2. ครง้ั เวน้ ครั้ง ( ) 3. บางคร้งั ( ) 4. นาน ๆ ครัง้ ( ) 5. ไม่สวด ( ) 5. ไม่สวด ส่วนที่ 2 พฤตกิ รรมการดแู ลสขุ ภาพ 7. ทา่ นมีโรคประจาตัวหรอื ไม่ (เช่น โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมนั ในเลือดสูง โรคหวั ใจ เปน็ ตน้ ) ( ) ไมม่ ี ( ) มี ระบโุ รค........................... 8. ในชว่ ง 3 เดือน ที่ผ่านมาท่านเคยตรวจสุขภาพหรอื ไม่ ( ) ไม่เคย ( ) เคย ระบุโรค........................ 9. ทา่ นดแู ลสขุ ภาพของทา่ นด้วยวิธีใดมากท่ีสดุ ( ) รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ( ) ออกกาลงั การสม่าเสมอ ( ) พักผ่อนเพยี งพอ วันละ 6 – 8 ชัว่ โมง ( ) บริโภคผลติ ภณั ฑเ์ สริมอาหาร เรียบเรียงโดย : โรซนานี หะยีสาและ หน้า 22
เอกสารประกอบการอบรม เรอื่ ง การสร้างแบบสอบถามสาหรับงานวจิ ัย 10. ตามปกติเมื่อท่านปวุ ยท่านปฏิบัติตวั อยา่ งไร ( ) ปล่อยให้หายเอง ( ) ซ้อื ยามารบั ประทานเอง ( ) พบแพทย์ ( ) รักษาตัวเอง ( ) อืน่ ๆ (ระบุ) 11. ลกั ษณะหน้าที่การงานของทา่ นตรงกบั สภาพใด มาก ปานกลาง นอ้ ย ......... 11.1) เป็นงานทต่ี ้องใช้สมอง / ความคดิ ............... ............... ......... ......... 11.2) เปน็ งานทีต่ ้องใชพ้ ลังงาน / แรงงาม ............... ............... ......... 11.3) เป็นงานท่ีก่อให้เกิดความเครยี ด ............... ............... 11.4) เป็นงานท่ีมีเวลาพักผ่อนนอ้ ย ............... ............... ส่วนที่ 3 พฤติกรรมบรโิ ภคผลติ ภัณฑเ์ สริมอาหาร 12. ทา่ นเคยบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพอื่ สุขภาพ ประเภทสาหรา่ ย หรอื ไม่ ( ) เคย ( ) ไมเ่ คย 13. ความรเู้ ก่ียวกบั ผลติ ภณั ฑ์เสริมอาหารประเภทสาหร่าย ขอ้ ความ ใช่ ไม่ใช่ ด้านสถานท่ี และการกอ่ ตัง้ ........... ........... 13.1 สาหรา่ ยไปรูไลน่าเป็นพืชทเ่ี จริญเตบิ โตไดด้ ใี นนา้ เค็ม ........... ........... 13.2 สาหรา่ ยไปรูไลนา่ เป็นแหล่งแร่ธาตุ , วิตามินท่ีจาเปน็ ตอ่ ร่างกาย ........... ........... 13.3 สาหรา่ ยไปรไู ลน่าให้พลังงานตา่ แตโ่ คเลสเตอรอลสูง ........... ........... 13.4 สาหรา่ ยไปรูไลน่าช่วยเสริมสร้างภูมคิ ุ้มกนั โรค ........... ........... 13.5 สาหร่ายไปรูไลนา่ เหมาะสาหรบั คนวยั ทอง – ผสู้ งู อายุ ........... ........... 13.6 สาหรา่ ยไปรไู ลนา่ สามารถนามาทาเครือ่ งสาอางได้ 14. ผลติ ภัณฑ์เสริมอาหารประเภทใดที่ทา่ นเคยบรโิ ภค เคย ไม่เคย 14.1 ประเภทบารุงสุขภาพ .......... ........... 14.2 ประเภทปูองกนั และรักษาโรค .......... ........... 14.3 ประเภทลดความอ้วน .......... ........... 14.4 ประเภทเพือ่ ความงาม .......... ........... 15. จานวนครง้ั ทบ่ี ริโภคผลิตภณั ฑ์เสรมิ อาหารเพื่อสุขภาพ ( ) ทกุ ม้ือ ( ) วนั ละ 1 – 2 ครัง้ ( ) สปั ดาหล์ ะ 1 – 2 คร้ัง ( ) เดอื นละ 1 – 2 ครง้ั ( ) อื่น ๆ (ระบ)ุ ........................................... เรียบเรยี งโดย : โรซนานี หะยีสาและ หน้า 23
เอกสารประกอบการอบรม เรอ่ื ง การสร้างแบบสอบถามสาหรบั งานวิจยั 16. ท่านเคยซื้อผลติ ภัณฑเ์ สริมอาหารเพอ่ื สุขภาพจากแหล่งใดเป็นประจา ( ) รา้ นคา้ ท่วั ไป ( ) หา้ งสรรพสนิ คา้ ( ) ศูนยจ์ าหนา่ ย ( ) ร้านขายยา ( ) ตวั แทนจาหนา่ ย ( ) คลินิกแพทย์ ( ) อื่น ๆ (ระบุ)................................. ส่วนท่ี 4 เหตุจงู ใจในการตัดสินใจบรโิ ภคผลติ ภณั ฑเ์ สริมอาหาร 17. ท่านรบั รเู้ ก่ียวกบั ผลติ ภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพจากแหล่งใดมากทีส่ ุด ( ) โทรทศั น์ ( ) วิทยุ ( ) หนงั สือพิมพ์ ( ) แผ่นพับ / ใบปลวิ ( ) ผู้แนะนา ( ) อ่ืน ๆ (ระบุ)................... 18. สงิ่ ใดคือแรงจงู ใจสาคัญในการบริโภคผลติ ภณั ฑ์เสรมิ อาหารมากที่สุด ( ) เพื่อบารงุ ร่างกาย ( ) เพื่อรักษาโรค ( ) เพ่ือลดนา้ หนกั ( ) เพื่อปูองกันโรค ( ) เพ่ือเสรมิ ความงาม ( ) บริโภคตามผูอ้ ืน่ ( ) มีการโฆษณาจงู ใจ ( ) อนื่ ๆ (ระบุ)........................ 19. เหตจุ ูงใจในการตัดสนิ ใจซื้อผลิตภณั ฑเ์ สริมอาหารเพื่อสุขภาพ ใช่ ไม่ใช่ สอ่ื .......... .......... .......... .......... 19.1 การโฆษณามีผลต่อการตัดสินใจบรโิ ภคผลติ ภัณฑเ์ สริมอาหาร .......... .......... 19.2 สื่อทางโทรทศั น์มีอิทธพิ ลตอ่ การตัดสินใจบริโภคผลติ ภัณฑเ์ สรมิ อาหาร .......... .......... 19.3 สอ่ื ทางวิทยุมอี ิทธพิ ลต่อการตดั สนิ ใจบรโิ ภคผลติ ภัณฑ์เสริมอาหาร .......... .......... 19.4 สื่อทางหนังสือพิมพ์มีอิทธิพลตอ่ การตดั สนิ ใจบรโิ ภคผลติ ภัณฑเ์ สรมิ อาหาร .......... .......... 19.5 สอื่ ทางแผน่ พบั มีอทิ ธิพลตอ่ การตัดสินใจบรโิ ภคผลิตภัณฑเ์ สริมอาหาร .......... .......... 19.6 สอ่ื จากผ้ทู ่ีแนะนามอี ิทธิพลต่อการตัดสินใจบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 19.7 เห็นผู้บรโิ ภคแล้วมีสขุ ภาพรา่ งกายแข็งแรงจึงบรโิ ภคตาม ส่วนที่ 5 ปัจจยั ท่ีมผี ลตอ่ การตัดสินใจบริโภคผลิตภณั ฑ์เสริมอาหารเพอ่ื สุขภาพ 20. ปจั จัยต่อไปน้ีมีอิทธพิ ลตอ่ การตดั สนิ ใจบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของท่านอยู่ในระดบั ใด ปจั จยั ที่มีอิทธพิ ล มากทสี่ ุด ระดบั ความพึงพอใจ น้อยที่สดุ มาก ปานกลาง น้อย …………... …………... 20.1) คุณภาพ …………... …………... …………... …………... …………... …………... 20.2) ราคาจาหนา่ ย …………... …………... …………... …………... …………... 20.3) การรบั ประกันความพอใจ …………... …………... …………… …………... 20.4) ช่ือเสยี งของผลติ ภัณฑ์ …………... …………... …………... …………... 20.5) บรษิ ัทท่ีผลติ หรอื ผู้จาหน่าย …………... …………... …………... …………... เรียบเรยี งโดย : โรซนานี หะยีสาและ หน้า 24
เอกสารประกอบการอบรม เรอ่ื ง การสรา้ งแบบสอบถามสาหรบั งานวจิ ัย 20.6) การโฆษณาตามสือ่ ต่าง ๆ …………... …………... …………... …………... …………... 20.7) อื่น ๆ ระบ.ุ ..................... สว่ นท่ี 6 ความคิดเหน็ และข้อเสนอแนะ 2.1 ความคิดเหน็ ในการบริโภคผลิตภัณฑ์เสรมิ อาหาร (1)................................................................................................... (2)................................................................................................... (3)................................................................................................... 2.2 ข้อเสนอแนะในการบรโิ ภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (1)................................................................................................... (2)................................................................................................... (3)................................................................................................... ข้อดีและขอ้ เสียของการเกบ็ ข้อมลู โดยใช้แบบสอบถาม การใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูลมีข้อเด่นและข้อด้อยที่ต้องพิจารณาประกอบในการ เลือกใชแ้ บบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล ดงั น้ี ขอ้ ดขี องการเกบ็ ขอ้ มลู โดยใชแ้ บบสอบถามมีดงั น้ี คือ 1. การเก็บรวบรวมขอ้ มูลด้วยแบบสอบถาม จะช่วยใหไ้ ด้ข้อมูลในลักษณะหรอื แบบเดียวกนั ทงั้ หมด (Uniformity) เพราะมีคาถามทีจ่ ะใหไ้ ดข้ ้อมูลในลักษณะเดยี วกนั ทั้งฉบบั 2. เป็นข้อมลู ประเภทปฐมภูมิ (Primary data) ทท่ี นั สมยั ถูกต้องและทนั ต่อเหตกุ ารณ์ 3. ถ้ากลุ่มตัวอย่างมีขนาดใหญ่ วิธีการเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม จะเป็นวิธีการท่ีสะดวกและ ประหยัดกวา่ วิธีอืน่ 4. ผตู้ อบมเี วลาตอบมากกว่าวิธกี ารอืน่ 5. ไมจ่ าเปน็ ต้องฝกึ อบรมพนักงานเกบ็ ข้อมลู มากเหมือนกบั วธิ กี ารสมั ภาษณ์หรือวิธกี ารสังเกต 6. ไมเ่ กดิ ความลาเอียงอันเนอ่ื งมาจากการสัมภาษณห์ รือการสังเกต เพราะผ้ตู อบเป็นผูต้ อบข้อมูลเอง 7. ช่วยใหผ้ ้ตู อบมีอสิ ระในการตอบ 8. สามารถสง่ แบบสอบถามให้ผู้ตอบทางไปรษณยี ไ์ ด้ 9. ประหยดั ค่าใชจ้ ่ายในการเกบ็ ขอ้ มูล 10. งา่ ยต่อการวเิ คราะห์ เมือ่ เก็บรวบรวมขอ้ มูลมาได้แล้ว ก็สามารถ บรรณาธิกรณ์ลงรหัสจัดทาตารางได้ สะดวกและรวดเรว็ ข้ึน 11. การรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม ไม่จาเป็นต้องใช้ผู้เช่ียวชาญเพียงแต่ส่งแบบสอบถามไปให้ กรอกและตามเกบ็ เม่ือกรอกเสร็จแล้วเทา่ นั้น เรียบเรยี งโดย : โรซนานี หะยีสาและ หน้า 25
เอกสารประกอบการอบรม เร่ือง การสร้างแบบสอบถามสาหรบั งานวิจยั 12. ใชไ้ ด้ดีกับผูท้ ี่มรี ะดบั การศึกษาสูง เพราะบุคคลระดับน้ียินดีจะกรอกแบบสอบถามมากกว่าการนั่ง ให้สมั ภาษณ์ ขอ้ เสียของการเกบ็ ขอ้ มูลโดยใชแ้ บบสอบถาม มีดังน้ีคอื 1. ในกรณีที่ส่งแบบสอบถามให้ผู้ตอบทางไปรษณีย์ มักจะได้แบบสอบถามกลับคืนมาน้อย และต้อง เสียเวลาในการติดตาม อาจทาให้ระยะเวลาการเกบ็ ข้อมลู ลา่ ชา้ กว่าท่กี าหนดไว้ 2. การเกบ็ ขอ้ มลู โดยวิธีการใชแ้ บบสอบถามจะใชไ้ ดเ้ ฉพาะกบั กล่มุ ประชากรเปูาหมายท่ีอ่านและเขียน หนังสอื ไดเ้ ทา่ น้ัน 3. จะได้ข้อมูลจากัดเฉพาะที่จาเป็นจริงๆ เท่าน้ัน เพราะการเก็บข้อมูลโดยวิธีการใช้แบบสอบถาม จะตอ้ งมีคาถามจานวนนอ้ ยข้อท่ีสุดเทา่ ทีจ่ ะเป็นไปได้ 4. การสง่ แบบสอบถามไปทางไปรษณยี ์ หนว่ ยตัวอยา่ งอาจไม่ไดเ้ ป็นผตู้ อบแบบสอบถามเองก็ได้ ทาให้ คาตอบท่ีได้มคี วามคลาดเคลื่อนไม่ตรงกบั ความจริง 5. ถ้าผู้ตอบไม่เข้าใจคาถามหรือเข้าใจคาถามผิด หรือไม่ตอบคาถามบางข้อ หรือไม่ไตร่ตรองให้ รอบคอบก่อนท่ีจะตอบคาถาม ก็จะทาให้ข้อมูลมีความคลาดเคล่ือนได้ โดยท่ีผู้วิจัยไม่สามารถย้อนกลับไป สอบถามหน่วยตัวอย่างน้นั ได้อกี 6. ผทู้ ต่ี อบแบบสอบถามกลับคนื มาทางไปรษณีย์ อาจเปน็ กลุม่ ทม่ี ีลักษณะแตกต่างจากกลุ่มผู้ท่ีไม่ตอบ แบบสอบถามกลบั คืนมา ดงั นน้ั ข้อมูลที่นามาวิเคราะห์จะมคี วามลาเอยี งอนั เน่ืองมาจากกลมุ่ ตัวอย่างได้ 7. มคี วามยดื หย่นุ น้อย ถ้าผู้ตอบไมเ่ ขา้ ใจกอ็ าจไม่ตอบหรือตอบไม่ตรงประเดน็ 8. ใช้ไดก้ บั คนทมี่ กี ารศกึ ษา หรอื อา่ นออกเขียนได้เทา่ นั้น 9. แบบสอบถามท่ีได้รับกลับคืนมานั้น ผู้วิเคราะห์ไม่สามารถทราบได้ว่า เขาตอบตามความเป็นจริง หรือเปล่า หรือว่าให้คนอื่นตอบ จากการวิจัยพบว่าประมาณร้อยละ 10 ของแบบสอบถามท่ีได้รับคืนมานั้น ตอบโดยผ้อู นื่ ประเภทของคาถาม (Types of Question) ในการสร้างแบบสอบถามผู้วิจยั ตอ้ งทราบประเภทของคาถาม (Types of Question) ก่อนเพอื่ จะได้ นามาสร้างอย่างเหมาะสมกับข้อมลู ที่ตอ้ งการจะวัดซ่งึ มี 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1. คาถามปิดแบบปิดหรือปลายปิด (Close-ended question) ได้แก่ คาถามที่ผู้วิจัยได้ต้ังไว้ 1 ขอ้ แลว้ มคี าตอบใหเ้ ลือกตอบไวด้ ้วย ซง่ึ คาถามปิดน้ี แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทย่อย ดังน้ี 1.1 คาถามให้ตอบรับหรือปฏิเสธ (Yes-No question) ได้แก่ คาถามที่ส้ันและง่ายท่ีสุดที่ ผูว้ จิ ัยได้ตง้ั ไว้ 1 ขอ้ แล้วมีคาตอบ (Choice) ให้เลือกตอบเพียง 2 เท่าน้ัน คือ ใช่ – ไม่ใช่, รู้ – ไม่รู้ , มี – ไม่มี, หรอื เคย – ไมเ่ คย เป็นตน้ เช่น เรียบเรียงโดย : โรซนานี หะยีสาและ หนา้ 26
เอกสารประกอบการอบรม เร่ือง การสรา้ งแบบสอบถามสาหรบั งานวจิ ยั ที่บ้านทา่ นมีศาลพระภมู ิหรือไม่ มี ไมม่ ี หมายเหตุ คาถาม Yes – No นี้ต้องมี 2 คาตอบเท่าน้ัน ห้ามมีคาตอบท่ี 3 เช่น ไม่ตอบ หรือไม่ ออกความคิดเห็นเดด็ ขาด 1.2 คาถามเผ่อื เลอื ก (Check list question) ไดแ้ กค่ าถามท่ีผูว้ ิจัยได้ตัง้ ไว้ 1 ข้อ แล้วมีคาตอบ ให้เลอื กไว้หลาย ๆ คาตอบ เพ่อื ใหผ้ ู้ตอบเลอื กได้ตามความร้สู ึกของผู้ตอบซ่ึงคาถามประเภทนี้สามารถแบ่งออก ได้ 4 ชนดิ คอื 1.2.1 คาถามใหเ้ ลือกตอบเพียงข้อเดียว (Check one choice) ได้แก่ คาถามท่ีผู้วิจัยต้ังไว้ 1 ข้อ แล้วมคี าตอบให้เลอื กหลาย ๆ คาตอบ แต่ใหผ้ ้ตู อบเลือกเพียงข้อเดยี วเท่านัน้ เช่น ศลี ข้อท่ี 1 คอื ห้ามฆ่าสัตว์ มีองค์ประกอบอะไรบ้าง สตั ว์มีชวี ิต , จิตคิดจะฆ่า , พยายามฆ่า , สัตว์นน้ั ตายแลว้ และจติ กด็ ีใจท่ีฆ่าได้ สัตวม์ ชี ีวติ , จติ คดิ จะฆ่า , พยายามฆา่ , สตั วน์ นั้ ตายแล้ว และจิตคิดพยาบาท สตั วม์ ีชวี ิต , จติ คดิ จะฆ่า , พยายามฆ่า , ร้อู ยวู่ ่าสตั วน์ ้นั มีชีวติ และสัตวน์ น้ั ถกู ฆ่าแลว้ สตั ว์มีชีวิต , จติ คดิ จะฆ่า , พยายามฆา่ , สตั วน์ น้ั ถกู ฆ่า และสตั ว์นัน้ ถูกฆ่าแลว้ 1.2.2 คาถามที่ให้เลือกตอบได้หลายคาตอบ (Check multiple choice) ได้แก่ คาถามท่ี ผวู้ จิ ยั ต้งั ไว้ 1 ขอ้ แลว้ มีคาตอบเลอื กไวห้ ลาย ๆ คาตอบ และให้เลือกตอบได้หลาย ๆ คาตอบเช่นเดียวกันพร้อม ทงั้ วงเล็บวา่ “(ตอบได้หลายข้อ)” เช่น เม่อื ไปวดั ทา่ นทาอะไรบา้ ง (ตอบทกุ ขอ้ ทที่ า่ นทา) ใส่บาตร รักษาศลี 5 ขอ้ ฟังธรรม สวดมนต์ (ทาวัตรเชา้ หรอื เย็น) กวาดวดั สนทนาธรรมกับพระ รดน้ามนต์ น่ังสมาธิ นอนวดั เพ่ือรกั ษาอุโบสถศีล เดินจงกรม อ่นื ๆ (ระบ)ุ ........................ 1.2.3 คาถามให้เลือกตอบตามนาหนักความสาคัญ (Weighting question) ได้แก่ คาถามที่ผู้วิจัยได้ตั้งคาถามไว้ 1 ข้อ แล้วคาตอบให้ตอบไว้ หลาย ๆ คาตอบ และในคาตอบเหล่าน้ันให้ผู้ตอบ เรียบเรยี งโดย : โรซนานี หะยสี าและ หนา้ 27
เอกสารประกอบการอบรม เรอ่ื ง การสรา้ งแบบสอบถามสาหรบั งานวจิ ยั เลือกตอบตามน้าหนัก หรือตามความสาคัญจากมากไปหาน้อยด้วยการใส่เลข 1, 2 และ 3 หน้าข้อความที่ ตอ้ งการ เช่น ท่านคดิ ว่า ประเทศไทยประสบกับปัญหาอะไรบ้าง ท่ีรัฐบาลควรแก้ไขอย่างเร่งด่วน (โปรดใส่ เลข 1 , 2 และ 3 หนา้ คาตอบจากมากไปหาน้อย) เดก็ นักเรียนยกพวกตีกัน ปัญหาคอรร์ ปั ชนั่ ความยากจนของเกษตรกร ปญั หาคนวา่ งงาน ความไมป่ ลอดภัยในทรพั ย์สนิ สังคมขาดศีลธรรม – คุณธรรม ปญั หาการจารจรติดขัด เยาวชนลุ่มหลง Internet ปัญหาราคาสนิ ค้าราคาแพง ความขัดแยง้ ทางการเมือง อืน่ ๆ (ระบ)ุ ........................ 1.2.4 คาถามแบบประเมินค่าหรือมาตราส่วน (Rating Scale) ได้แก่ คาถามท่ีผู้วิจัยต้ังไว้ เพอื่ วัดส่ิงที่เป็นนามธรรม (Abstract) เช่น ความพึงพอใจ, ค่านิยม, ความซื่อสัตย์, ความดีงาม, ความเลื่อมใส, ความรัก, ความต้องการ, ความเหมาะสมหรือความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ ด้วยการแปลงข้อความเป็นปริมาณ (Quantities data) คือ เป็นตัวเลข ที่ให้ผู้ตอบประเมินข้อคาถามที่เป็นส่ิงเร้าออกมาเป็นคาตอบท่ีเป็นปริมาณ มาก – น้อยเพียงไรได้ ซึ่งคาถามแบบประเมินค่าน้ี มีหลาย Scales เช่น Turnstone Scale และ Liker scale เปน็ ตน้ ในการตั้งคาถามเพอื่ วดั ทศั นคติความเห็นต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ เจตคติ (Attitude) น้ี อาจแบ่งเป็น 3 , 5 , 7 , หรือ 9 ระดับแล้วแต่ความเหมาะสม ตัวอย่างแบ่งเป็น 5 ระดับ ได้แก่ มากท่ีสุด – มาก – ปานกลาง – น้อย และน้อยท่ีสุด หรือเห็นด้วยอย่างยิ่ง (Strongly Agree) เห็นด้วย (Agree) ไม่แน่ใจ (Neutral) ไม่เห็นด้วย (Disagree) และไม่เห็นด้วยอย่างย่ิง (Strongly Disagree) ซ่ึงคาถามในลักษณะนี้ก็ให้เลือกคาตอบเพียงข้อ เดยี ว (Check one choice) เชน่ ประชาชนทุกคนต้องมสี ่วนรว่ มในการพัฒนาท้องถนิ่ เห็นด้วย ไม่แน่ใจ ไมเ่ หน็ ด้วย ท่านมีความต้องการทจ่ี ะเขา้ รับการฝกึ อบรมฯ มาก – นอ้ ยเพยี งใด มากที่สดุ มาก ปานกลาง นอ้ ย น้อยทีส่ ดุ เรยี บเรยี งโดย : โรซนานี หะยสี าและ หนา้ 28
เอกสารประกอบการอบรม เร่ือง การสร้างแบบสอบถามสาหรบั งานวิจัย 2. คาถามเปดิ แบบปิด หรือปลายเปิด (Open-ended question) เป็นคาถามทเ่ี ปิดโอกาส ให้ ผูต้ อบแสดงความคิดเหน็ และตอบได้อย่างเสรี โดยตง้ั คาถามพรอ้ มเวน้ ที่ว่างไว้ เชน่ ทา่ นคดิ วา่ ข้าราชการควรจะปฏิบัตติ นอยา่ งไรบ้าง จึงจะเขา้ ถึงประชาชนได้อยา่ งแทจ้ รงิ 1.................................................................................................................................. 2............................................................................................................................ .. ......... ทา่ นตอ้ งการให้รฐั บาลชว่ ยเหลือท้องถิน่ ของท่านโดยส่วนรวมในดา้ นใดบ้าง 1............................................................................................................................ ............... 2................................................................................................. .......................................... ข้อดแี ละข้อเสียของการใช้คาถามเปดิ และคาถามปิด คาถามเปดิ และคาถามปิด สามารถสรุปใหเ้ หน็ ข้อดแี ละข้อเสยี ได้ดงั น้ี 1. คาถามปิดสะดวกท้ังผู้ถามและผู้ตอบ เพราะมีคาตอบอยู่แล้ว แต่คาถามเปิดผู้ตอบจะต้องใช้ ความคดิ พิจารณาหาเหตุผลมาตอบเอง 2. คาถามปิดช่วยประหยัดเวลาในการถาม แต่คาถามเปิดต้องใช้เวลานานมากในการคิดหาคาตอบ และในการบันทกึ 3. คาถามปิด เป็นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ถูกต้อง และตรงเปูาหมายมาก แต่คาถามเปิดอาจไม่ แน่ใจนัก ในเมื่อผสู้ ัมภาษณ์หรอื พนักงานสารวจบนั ทึกไม่สมบรู ณแ์ ละขาดความรบั ผิดชอบหรือมีอคติ 4. คาถามปิดสะดวกในวิเคราะห์ข้อมูล แต่คาถามเปิดมีความยุ่งยากสลับซับซ้อนในการวิเคราะห์ เพราะข้อมูลกระจัดกระจายมาก จึงต้องมาจัดกลุ่มคาท่ีมีความหมายคล้าย ๆ กันมาอยู่ในประเภทเดียวกันใน ภายหลัง (Regrouping) 5. คาถามปิดมีขอ้ เสยี ตรงท่วี ่า มีคาตอบจากดั อาจไม่ตรงกับความคิดเห็นของผู้ตอบและคาตอบที่ต้ัง ไว้อาจไม่ครอบคลุมทุกแง่ทุกมุม ที่จะตอบปัญหาน้ัน ๆ ก็ได้ รวมทั้งต้องเสียเวลาในการคิดหาคาตอบมา ส่วน คาถามเปิดน้ันสะดวกและง่ายในการตั้งคาถาม และผู้ตอบสามารถตอบได้ตามท่ีต้องการและตอบได้อย่างเสรี และเป็นขอ้ ดีอีกประการหนึ่งท่ีคาถามเปิดน้ีจะช่วยแก้ข้อบกพร่องของคาถามปิด ซึ่งไม่สามารถใช้คาถามปิดได้ ก็ให้ใช้คาถามเปิด เพราะเป็นลักษณะของคาถามท่ีตั้งไว้อย่างกว้าง ๆ และให้คาตอบได้ตามใจชอบ และคาถาม เปิดน้ีผู้วิจัยต้องใช้เทคนิคและความชานาญเป็นพิเศษในการพิจารณาข้อมูลท่ีได้รับ เพราะเป็นคาตอบท่ี แตกตา่ งออกไปเปน็ หลายร้อยพนั ชนิด 6. คาถามปิดทต่ี ัง้ คาตอบไม่ครอบคลมุ ทุกแง่มมุ น้ัน วิธีแก้ไขก็คือ มีคาตอบ อ่ืน ๆ (ระบุ).............. ไว้ เพ่อื ให้ผตู้ อบเติมคาลงในชอ่ งวา่ ง เรยี บเรยี งโดย : โรซนานี หะยสี าและ หนา้ 29
เอกสารประกอบการอบรม เร่ือง การสร้างแบบสอบถามสาหรับงานวจิ ยั แผนผงั / ขั้นตอนการสร้างแบบสอบถาม เรยี บเรียงโดย : โรซนานี หะยีสาและ หน้า 30
เอกสารประกอบการอบรม เร่ือง การสร้างแบบสอบถามสาหรบั งานวจิ ัย เทคนิคการตั้งคาถาม มีผู้ต้ังคาถามเสมอว่า ผู้ถามกับผู้ตอบใครเก่งกว่ากัน คาตอบ คือ ผู้ถามเก่งกว่าผู้ตอบ ดังน้ันการตั้ง คาถามจงึ เปน็ ส่ิงยุ่งยาก และลาบากมาก ซง่ึ ผ้วู จิ ยั ตอ้ งใชเ้ ทคนคิ หลกั การและยุทธวิธีรวมทั้งประสบการณ์อย่าง สูง ในการตัง้ ข้อคาถาม ดังน้ันในท่ีนี้ จึงขอนาเสนอเทคนคิ การตั้งคาถาม ดงั ต่อไปน้ี 1. คาถามแรก ๆ ควรเป็นคาถามทงี่ ่ายและสะดวกแก่การตอบ 2. ควรตงั้ คาถามทผี่ ู้ตอบมสี ่วนได้ – สว่ นเสยี 3. ควรเขียนให้ส้ัน กะทัดรดั ชัดเจน เขา้ ใจงา่ ยและไดใ้ จความ 4. ควรใชห้ ลกั ตรรกวทิ ยาและจิตวทิ ยาในการตงั้ คาถาม นั่นคอื - เริ่มจากคาถามทงี่ า่ ย ยาก - เริ่มจากคาถามทอ่ี ยู่ใกลต้ วั ไกลตัว - เรม่ิ จากคาถามท่วั ไป คาถามเฉพาะเจาะจง - เร่ิมจากคาถามทีเ่ ปน็ ปัจจุบัน อดตี / อนาคต - เรม่ิ จากคาถามทเ่ี ปน็ รูปธรรม นามธรรม - เร่ิมจากคาถามทม่ี องเหน็ ได้ มองไม่เหน็ 5. อยา่ ต้งั คาถามซับซ้อน ยกเว้นเพ่ือการตรวจสอบ (Double check) 6. ก่อนตั้งคาถามควรสร้าง dummy Tables ไว้ก่อน เพ่ือจะได้ยกร่างคาถามให้ครอบคลุมข้อมูลท่ี ต้องการเฉพาะท่ีตอ้ งการเท่านนั้ 7. คาถามปิด นิยมใช้เพ่ือวัดความรู้ ความเข้าใจ ข้อเท็จจริง และการปฏิบัติ รวมท้ังความเห็นหรือ ความต้องการ และทัศนคติ หรือการแสดงออกทางความรู้สึกแบบง่าย ๆ ส่วนคาถามเปิดควร เปิดคาถามให้ ตอบไดอ้ ยา่ งเสรี นนั่ คอื เลือกประเภทคาถามใหเ้ หมาะสมกับข้อมลู ท่ีต้องการ 8. ตอ้ งสรา้ งคาถามตามกรอบแนวคดิ ทฤษฎแี ละโครงสร้างของตัวแปรท่ีกาหนดไว้ คือ ตัวแปรอิสระ มีอะไรบา้ ง และตัวแปรตามมอี ะไรบ้าง รวมท้ังตัวแปรควบคมุ ด้วยว่ามีอะไรบ้าง นั่นคือ ยึดกรอบแนวคิดในการ วิจัย (Conceptual Framework) และการกาหนดตัวแปรที่ได้กาหนดไว้เป็นวิธีท่ีดีท่ีสุด (พบบ่อยที่มีคาถาม เฉพาะตวั แปรอสิ ระแตไ่ มม่ ีคาถามตัวแปรตามต้องสร้างและเก็บข้อมูลใหม่) 9. สร้างคาถามใหส้ อดคลอ้ งกบั 9.1 ปัญหาวิจัย / โจทยว์ จิ ัย (Research Problem, Research question) 9.2 วตั ถุประสงคก์ ารวิจัย (Research Objectives) 9.3 สมมตฐิ านการวิจัย (Research Hypothesis) 9.4 ขอบเขตของการวิจยั (Scope of Research) 9.5 นิยมปฏิบัติการ (Operational Definition = OD.) 10. ควร Design แบบสอบถามเพื่อนามาวิเคราะห์และประมวลผลด้วย Computer ได้ด้วย เช่น การกาหนดรหสั และสดมภ์ไวอ้ ย่างถูกตอ้ งและเป็นระบบ เรยี บเรียงโดย : โรซนานี หะยีสาและ หน้า 31
เอกสารประกอบการอบรม เร่อื ง การสรา้ งแบบสอบถามสาหรบั งานวิจัย 11. คาถามแต่ละขอ้ จะตอ้ งมคี วามหมายนัยเดียวกนั เทา่ น้ัน 12. ควรเว้นศัพท์เทคนิคทางวิชาการ แต่ให้ใช้คาศัพท์ง่าย หรือถ้าใช้ภาษาท้องถิ่นได้ยิ่งดีและต้องใช้ ภาษาสภุ าพดว้ ย 13. ควรหลกี เลยี่ งการตั้งคาถามชนดิ ปฏิเสธซอ้ นปฏิเสธ 14. อย่างตั้งคาถามนา (Leading Question) หรือคาถามที่จะทาให้ผู้ตอบเอนเอียงไปทางใดทาง หนง่ึ โดยเฉพาะเรอ่ื งรายได้ เช่น อย่าถาม “พอใช้หรือไม่” แต่ควรถามว่ามีรายได้เท่าไร และรายจ่ายเท่าไรแล้ว จงึ มาลบกัน 15. ควรใช้คาถามปิดให้มาก เพราะสามารถนาข้อมูลมาสรุปจัดทาตารางวิเคราะห์ได้สะดวกรวดเร็ว และง่ายกวา่ 16. ควรต้ังคาถามให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของการวิจัยที่ได้กาหนดไว้ โดยอย่าให้ตกหล่นคาถามที่ สาคัญ ๆ คือ อย่านอ้ ยกว่าขอบเขตการวิจยั 17. อย่าตงั้ คาถามนอกประเดน็ หรอื เกนิ ขอบเขต 18. ควรหลีกเลี่ยงการตั้งคาถามท่ีเกี่ยวกับเร่ืองส่วนตัว หรือความลับมากเกินไป เช่น ท่านมีปืนกี่ กระบอก และมที องกบี่ าท เป็นตน้ 19. ใหพ้ จิ ารณาว่าการตงั้ คาถามข้อน้ีจะได้รบั ประโยชนอ์ ย่างไร และถ้าไม่ถามจะขาดข้อมูลอะไรบ้าง ตามวัตถุประสงคก์ ารวจิ ยั ท่ีกาหนดไว้ 20. จะต้องจัดเรียงลาดับคาถาม แต่ละข้อให้ต่อเนื่องสัมพันธ์กันเหมือนลูกโซ่ โดยให้จบเป็นเร่ือง ๆ ไป เช่น ถามเร่ืองภาวะหนส้ี ิน ก็ให้จบครบถว้ นทุกข้อทีเดียวกนั 21. ควรบอกให้ผู้ตอบไว้ด้วยว่า ให้ข้ามไปตอบข้อใด ในกรณีที่ให้ข้าม เช่น ข้อ 12 ท่ีบ้านท่านรับ หนงั สือพมิ พ์หรือไม่ คาตอบ ( ) รับ ( ) ไมร่ บั ถา้ ไมร่ ับให้ขา้ มไปตอบข้อที่ 14 เปน็ ต้น 22. เทคนคิ ทสี่ าคัญอกี ประการหนึ่ง คือ ตั้งให้ตรงหรือถูกต้องครบถ้วนตามส่ิงท่ีจะวัด (Validity) คือ ถูกต้องตามเน้ือหา ตามโครงสร้าง ตามหลักเกณฑ์ ตามสถานการณ์ และตามพยากรณ์ เช่น สร้างคาถามเพ่ือ วัดความพึงพอใจก็ต้องใหค้ รบถว้ นตามกระบวนการของความพงึ พอใจในด้านตา่ ง ๆ 23. สรา้ งใหเ้ กดิ ความเทย่ี งหรอื ความเช่อื ม่นั (Reliability) ในข้อคาถาม นน่ั คอื มีความคงเส้นคงวาใน ผลของการวัด ไมว่ า่ วดั กค่ี ร้งั ผลกต็ ้องได้เทา่ น้นั เสมอไป 24. คาถามทส่ี ร้างขึน้ นั้น ต้องไม่ยาก หรือง่ายเกินไป คาถามที่มีความเหมาะหรือเหมาะสมกับระดับ ความรู้และประสบการณ์ของประชากร (Unit of Analysis) ท่ีตอบน้ัน ซ่ึงตามปกติจะเป็นการวัดตาม สตปิ ัญญาหรือผลการเรียน เช่น คาถามที่ใช้กับชาวนา ก็ต้ังอย่างหน่ึง, คาถามท่ีใช้วัดความรู้กับราชการก็ใช้วัด อยา่ งหน่งึ เป็นตน้ 25. คาถามที่ถามน้ัน สามารถแยกกลุ่มผู้ตอบได้อย่างชัดเจน เช่น คนเก่ง หรือคนท่ีรู้ก็อยู่ในอีกพวก หน่ึง ส่วนคนไม่เก่ง หรือคนที่ไม่รู้ก็แยกออกอีกพวกหนึ่ง หรือพวกที่เห็นด้วยกับไม่เห็นด้วย คือ ได้คะแนน แตกต่างกัน เรียบเรยี งโดย : โรซนานี หะยีสาและ หนา้ 32
เอกสารประกอบการอบรม เร่อื ง การสรา้ งแบบสอบถามสาหรับงานวิจัย 26. คาถามแต่ละข้อต้องชัดเจน ส่ือความหมายได้ ตรงกับทุก ๆ คนไม่ว่าจะถามเร่ืองอะไรและ คะแนนท่ใี หก้ ต็ ้องชัดเจนรวมทงั้ สามารถตรวจสอบได้ 27. คาถามแต่ละข้อ ผู้ตอบสามารถตอบได้อย่างรวดเร็ว และชัดเจนไม่ยุ่งยาก หรือไม่วกวนซ้าซาก ทาให้เสยี เวลา คือใช้เวลาตอบนอ้ ยแต่เนอื้ หามาก เป็นต้น 28. เมือ่ ตง้ั คาถามแล้วใหถ้ ามตวั เองวา่ “คาถามนจ้ี ะนามาทาอะไร” 29. เทคนคิ ของการต้ังคาถามแตล่ ะข้อต้องส้ันง่าย และสะดวกทจ่ี ะตอบ (Very easy) 30. เทคนิคทสี่ าคัญอกี ประการหนึ่ง คือความยาวของแบบสอบถามไม่ควรยาว 31. ความยาวของแบบสอบถามไมค่ วรเกิน 3 – 4 หนา้ กระดาษ A4 32 .การจัดพิมพ์และรูปเล่มควรจัดให้สวยงาม และเห็นแล้ว อยากตอบ ซ่ึงผลการวิจัยพบว่า แบบสอบถามทเ่ี ป็นสชี มพู ไดร้ ับการตอบมากท่ีสดุ 33. คาถามวัดความรู้มี 4 แบบ คือ ให้จับคู่, ให้เติมคา, ให้เลือกผิด – ถูก และให้เลือกมา 1 ข้อจาก ท่ตี ัง้ ไว้หลาย ๆ ข้อ ผู้ตัง้ คาถามควรเลือกแบบท่มี ีประสทิ ธภิ าพมากที่สดุ สรปุ แบบสอบถาม(questionnaire) เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลตัวแปรที่เป็นลักษณะทาง กายภาพ ความคิดเห็นท่ัวไป และพฤติกรรมในชีวิตประจาวันของกลุ่มเปูาหมาย สิ่งท่ีควรคานึงถึงในการสร้าง เคร่ืองมือ คือ ความหมายท่ีชัดเจนของตัวแปร ลักษณะของตัวแปร จานวนข้อคาถามท่ีครอบคลุมเนื้อหา การ เลอื กใชช้ นิดของคาถามที่ทาให้ไดส้ ารสนเทศสูงสุดและการใชภ้ าษาที่เข้าใจกันได้ง่าย หลีกเล่ียงการใช้ศัพท์ทาง วิชาการท่ีไม่รู้จักกันท่ัวไป วิธีการสร้างแบบสอบถามแบ่งเป็น การสร้างแบบสอบถามตัวแปรเดี่ยว การสร้าง แบบสอบถามตัวแปรผสม การสร้างแบบสอบถามตัวแปรที่เป็นพฤติกรรมปัญหาท่ีพบในการใช้แบบสอบถาม ประกอบด้วยปัญหาท่ีพบในแบบสอบถามเกี่ยวกับลักษณะทางกายภาพ ภูมิหลังของผู้ตอบแบบสอบถาม และ ปัญหาท่ีพบในแบบสอบถามเกย่ี วกับความคดิ เห็นทัว่ ไปและพฤติกรรมในชวี ิตประจาวนั ปัญหาท่ีพบในแบบสอบถามเกี่ยวกับลักษณะทางกายภาพและภูมิหลังของผู้ตอบแบบสอบถามคือ ผู้วิจัยส่วนใหญ่นิยมการจัดกลุ่มของคาตอบทาให้คาตอบที่ได้อยู่ในมาตรนามบัญญัติและทาให้เสียรายละเอียด ข้อมูลไป ส่วนปัญหาที่พบในแบบสอบถามเก่ียวกับความคิดเห็นท่ัวไปและพฤติกรรมในชีวิตประจาวัน คือ ผวู้ จิ ยั ไม่เข้าใจความหมายของตัวแปร การใช้ส่วนของคาตอบไม่สอดคล้องกับส่วนของคาถาม ข้อความในส่วน ของคาถามยาวจนทาให้ผู้ตอบเกิดความสับสน การใชส้ ่วนของคาตอบที่ลาเอียง การใช้ข้อความทางลบอย่างไม่ เหมาะสม ผู้วจิ ยั ไมเ่ ขา้ ใจลักษณะการแปรเปลี่ยนค่าของตัวแปร เรยี บเรยี งโดย : โรซนานี หะยสี าและ หน้า 33
เอกสารประกอบการอบรม เร่ือง การสรา้ งแบบสอบถามสาหรบั งานวจิ ัย เอกสารอา้ งองิ เกียรติสดุ า ศรสี ุข.(2552). ระเบยี บวธิ วี จิ ัย. เชยี งใหม่ : โรงพิมพ์ครองชา่ ง จินตนา ธนวบิ ูลยช์ ัย. (2545). การพัฒนาเคร่ืองมอื สาหรบั การประเมินการศกึ ษา. หนว่ ยที่ 8-15 นนทบุรี; โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธริ าช. พชิ ิต ฤทธ์จิ รูญ. (2544). ระเบียบวธิ ีการวิจัยทางสงั คมศาสตร์. กรุงเทพมหานคร : ศูนย์หนังสือ ราชภัฏพระนคร. เพญ็ แข แสงแกว้ . (2541). การวจิ ยั ทางสงั คมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์. อุทมุ พร จามรมาน (2544) แบบสอบถาม: การสร้างและการใช้. พิมพ์ครงั้ ที่ 6. กรุงเทพฯ: ฟันน่ี พลบั บิชช่งิ จากดั . เรยี บเรยี งโดย : โรซนานี หะยสี าและ หน้า 34
Search
Read the Text Version
- 1 - 34
Pages: