การพัฒนาทีมงาน การทำงานท่เี ป็นระบบทีมคอื อะไร การทำงานเปน็ ทมี น้ันหมายถงึ การทำงานรว่ มกันของสมาชิกหรอื พนักงานในองค์กรมากกว่า 1 คน ขึ้นไป โดยหัวใจสำคัญก็คือทุกคนนั้นจะต้องมีเป้าหมายเดียวกัน และเต็มใจร่วมกันปฏิบัติภาระกิจต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายจนไปสู่ความสำเร็จ แต่การที่ทุกคนจะรวมตัวกันเพื่อทำงานเป็นระบบทีมที่มี ประสิทธภิ าพนน้ั กไ็ มใ่ ชเ่ รอ่ื งง่ายเสยี ทีเดียว เพราะการทำงานระบบนม้ี ีปัจจยั สำคญั มากมายที่ต้องใส่ใจและ จริงจงั แตก่ ไ็ ม่ใช่เรื่องยากจนเกินไปหากทกุ คนมีใจท่ีจะทำความสำเรจ็ ร่วมกัน แนวคิดเก่ยี วกบั การทำงานเปน็ ทีม นกั วชิ าการที่สนใจเกีย่ วกับการทำงานเปน็ ทีมไดแ้ ก่ Douglas McGregor ในหนงั สือ The Human Side of Enterprise (1960) และ Rensis Likert ใน New Patterns of Management (1961) McGregor ได้กลา่ วถงึ ลกั ษณะการทำงานเป็นทีม ดังนี้ 1. บรรยากาศขององคก์ รที่เปน็ รปู นัย ตามสบาย ไมเ่ ครียดเกนิ ไป 2. มีการอภปิ รายกนั อยา่ งเปดิ เผยเกี่ยวกับการมีสว่ นรว่ มของแต่ละคน 3. งานหรอื วัตถปุ ระสงคข์ องกล่มุ สมาชิกทุกคนมคี วามเข้าใจและยอมรับ 4. สมาชกิ กลุ่มยอมรบั รับเหตุผลของกันและกนั 5. เม่อื มกี ารขัดแยง้ กัน จะตอ้ งแก้ปัญหาร่วมกัน จะไม่มกี ารหนปี ญั หา 6. มกี ารตดั สินใจ ด้วยความคิดเหน็ สว่ นใหญ่ 7. การวิจารณ์เปิดเผยตรงไปตรงมา 8. ทุกคนมอี สิ รเสรีในการแสดงความร้สู ึก 9. การปฏบิ ตั งิ าน การมอบหมายงาน ไดร้ ับการยอมรบั เปน็ อยา่ งดีจากบุคคลทเ่ี กี่ยวขอ้ ง 10. ผนู้ ำกลุ่มไมส่ ามารถตอ่ สู้ เพอ่ื อำนาจส่วนตวั ประเด็นสำคญั อยทู่ ีไ่ ม่ไดอ้ ยู่ทีใ่ ครควบคุม แต่อยู่ท่ี ทำอยา่ งไรให้งานสำเรจ็ ผล 11. กลุ่มมีอสิ รภาพในการทำงานของสมาชิกแตล่ ะคน จะมกี ารหยุดเพ่ือตรวจสอบงานเป็นระยะ Rensis Likert ได้กลา่ วถงึ การทำงานเปน็ กลมุ่ ไว้ดงั นี้ 1. สมาชิกกลุ่มมที ักษะ ในเรอ่ื งของภาวะผนู้ ำและบทบาทของสมาชกิ 2. กลมุ่ มีประสิทธภิ าพและมีความสัมพนั ธใ์ นการทำงานตอ้ งเปน็ ไปดว้ ยดี 3. สมาชิกในกลุม่ ทกุ คนต้องมคี วามซอื่ สตั ย์ 4. สมาชิกและหวั หนา้ กลมุ่ ตอ้ งมีความไว้ใจกันสงู 5. คา่ นิยมและเป้าหมายต่างๆจะต้องเกดิ จากความพงึ พอใจและความจำเป็นของสมาชกิ 6. การปฏบิ ตั งิ านสมาชิกทกุ คนต้องมีความอดทน เพ่ือให้ไดม้ าซงึ่ ค่านยิ มและเป้าหมายของกลุ่ม 7. ถ้าค่านิยมของกลุ่มมีความสำคญั มากขนึ้ เทา่ ใด ความพงึ พอใจของกลุ่มยง่ิ สำคญั มากข้ึนตาม
8. สมาชกิ กลุ่มมีการกระตุ้นเตอื นกัน เพ่ือให้งานไดส้ ำเรจ็ ตามเป้าหมายของกล่มุ 9. เมื่อเกิดปัญหาจะต้องมีการให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แนะนำ วิจารณ์ ให้ความ คิดเห็นซึ่งกนั และกนั 10. หัวหน้าควรยอมรับหลักการซึ่งจะเป็นเครื่องมือในการสร้างบรรยากาศของการสร้างสรรค์ใน กลุ่มและการร่วมมือกันแทนท่จี ะแข่งขนั ชิงดีกันระหวา่ งสมาชิกในกลุ่ม 11. กล่มุ มคี วามกระตือรอื ร้นทจ่ี ะชว่ ยเหลอื ซึ่งกันและกนั 12. สมาชิกแต่ละคนยอมรับดว้ ยความเต็มใจด้วยปราศจากความกลัวในอุปสรรคและเป้าหมาย 13. หวั หน้าและสมาชกิ ในกลุม่ จะต้องเช่ือวา่ คนในกลมุ่ สามารถทำงานท่ียากใหส้ ำเร็จได้ 14. เมื่อมีความจำเป็นที่จะรับคำแนะนำ สมาชิกคนอื่นๆของกลุ่มจะให้คำแนะนำสมาชิกเท่าที่ จำเป็น 15. บรรยากาศที่สนบั สนุนกลุ่มสมาชิกกลุม่ มาจำเป็นที่จะต้องพูดคำว่า “ครับ ขอรับกระผม” กับ หัวหน้าทีมเสมอไป 16. กลุ่มมคี วามตระหนกั ในคา่ นิยมของความคิดสร้างสรรค์ 17. มกี ารกระตนุ้ ใหส้ มาชิกตดิ ตอ่ ส่อื สารกนั อยา่ งเปดิ เผย 18. มีการกระตุ้นทางใจสูง เพื่อใช้เป็นกระบวนการติดต่อสื่อสาร เพื่อจะได้มีการเสริมสร้าง ประโยชน์และเปา้ หมายตา่ งๆภายในกลุม่ 19. ทุกคนสนใจข้อมูลขา่ วสารที่เกย่ี วกับกลุม่ 20. กลุ่มทีม่ ีประสิทธิภาพสงู ย่อมยอมรบั อทิ ธพิ ลของบุคคลอื่นและของกนั และกนั 21. กระบวนการของกลุ่ม กลุ่มที่มีประสิทธิภาพสูงสามารถทำใหส้ มาชิกใช้กำลังความสามารถได้ เตม็ ท่ี 22. ความสามารถของสมาชิกแต่ละคนในกลมุ่ มอี ทิ ธิพลต่อกันและกันและย่อมมีสว่ นรว่ มต่อความ ยืดหยนุ่ และการปรับตวั ของความคดิ เป้าหมายและทศั นคติต่างๆ 23. ในกลุ่มที่มีประสิทธิภาพแต่ละคนในกลุ่มรู้สกึ มั่นใจและปลอดภัยในการตัดสนิ ใจในปัญหาทีด่ ู เหมอื นจะเหมาะสมตอ่ เขา 24. หวั หน้าของกลมุ่ ทมี่ ีประสิทธภิ าพสูง จะไดร้ บั การเลอื กตง้ั มาอย่างระมัดระวงั ความสามารถของ ผู้นำ เหตุผลทคี่ นทำงานต้องสร้างทมี เวริ ค์ การทำงานเป็นทมี หรอื ทมี เวริ ์ค (Teamwork) ตามความเข้าใจของคนทำงานหลายคน คือ การรวมตัวกัน ของคนหลายคนเพ่ือร่วมกนั ทำงานใหป้ ระสบความสำเร็จ โดยมเี ป้าหมายในการทำงานท่ีเหมอื นกัน มีความ เขา้ ใจในจุดประสงค์ของงานตรงกนั และการทำงานแบบทีมนี้ได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากในการทำงานใน ปัจจุบัน ไม่มีอกี แลว้ ท่ีตอ้ งทำงานเพียงลำพงั เพราะทุกคนต้องมสี ว่ นร่วมในการทำงาน
มีหลายแนวคิดที่สนับสนุนว่าทำไมคนทำงานต้องทำงานเป็นทีม หนึ่งในนั้นคือ ความมี ประสทิ ธิภาพ ซึ่งเกิดจากการให้ความร่วมมือ และร่วมแสดงความคิดเห็นเพ่ือใหเ้ กิดผลงานทีม่ ีคุณภาพ อีก ทั้ง การทำงานร่วมกันเป็นทีมยังทำให้ผลของการทำงานมีคุณภาพกว่าการที่เราต้องทำงานคนเดียว เมื่อ มองเหน็ ผลประโยชน์ของทมี เป็นหลัก เราก็จะใสใ่ จกบั การทำงานมากเปน็ พิเศษ ทีมเวิร์คไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่การได้รับผลสำเร็จของการทำงานที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่ยังมี ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ด้วย โดยมีเหตุผล 4 ข้อหลักที่ทำให้คนทำงานต้องสร้างทีมเวิร์ค เพื่อให้เกิด ประสทิ ธิภาพในการทำงาน ซ่ึงมีอยูด่ ังนี้ เพ่ือนร่วมกนั แกป้ ัญหา เมื่อคนทำงานต้องประสบปัญหาในการทำงาน การขอความช่วยเหลือจากคนอื่น คือวิธีการที่ดี ที่สุด เพราะคน ๆ เดียวไมส่ ามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้ แต่สามารถขอคำปรกึ ษาจากคนอื่น ๆ ได้ แตล่ ะคน พบเจอปัญหาจากการทำงานมาไม่เหมือนกัน เราจึงจะได้คำตอบที่แตกต่างกัน แล้วนำมาปรับใช้กับการ แกป้ ญั หาในการทำงานได้ ประสิทธภิ าพในการรว่ มกนั แก้ปัญหา ยอ่ มดกี วา่ การที่เราต้องมากแก้ไขเพียงคน เดยี ว ข้อดขี องการทำงานเปน็ ทีม จึงอยูท่ บี่ ทสรปุ ของการแกป้ ญั หาน้นั มีการรว่ มแสดงความคิดเห็นของทุก คนอยดู่ ้วย มีอำนาจในการตอ่ รอง เมือ่ เราต้องตอ่ รองเพื่อผลประโยชน์อะไรสักอย่างที่เกย่ี วขอ้ งกับการทำงาน เสยี งของเรามีน้ำหนัก ทไี่ มม่ ากพอ หากเราตอ้ งทำสิ่งน้นั คนเดียว แตถ่ ้าเรามีทีมช่วยสนับสนุน การต่อรองน้ันจะดูมีน้ำหนักข้ึนมา ทันที การต่อรองทีอ่ า้ งถึงผลประโยชนข์ องทมี เป็นหลัก จะไดร้ บั การสนบั สนุนจากผู้ท่เี ก่ียวขอ้ ง หากเราบอก เจ้านายวา่ ทมี ของเรากำลังขาดแคลนส่งิ น้ันส่ิงน้ี เจา้ นายก็จะพิจารณาเห็นด้วยอยา่ งง่ายดาย ผิดกลับการท่ี เราบอกว่าเราขาดสิ่งน้ใี นการทำงาน เจ้านายอาจจะต้องหยุดคิดแล้วพิจารณาว่าสง่ิ น้นั จำเป็นจริง ๆ กบั การ ทำงานของเราหรอื ไม่ การทำงานเป็นทมี ทำให้เรามีอำนาจในการต่อรองมากข้นึ เกดิ ความมนั่ คงในการทำงาน การทำงานเป็นทีมทำให้เรานึกถงึ คำกลา่ วท่ีว่า “รวมกันเราอย่”ู หากเราทำงานร่วมกันเป็นทีมแล้ว เราจะรูส้ ึกไดถ้ ึงความปลอดภัยและความมน่ั คงในการทำงาน จะรสู้ ึกไดถ้ งึ ความแข็งแกรง่ ของทีม โดยเฉพาะ เมื่อเราได้ร่วมกันทำงานท่ีเต็มไปด้วยอุปสรรค แล้วเราได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็น ร่วมฝ่าฝันอุปสรรคไป ดว้ ยกัน เราจะย่งิ รู้สกึ ภูมใิ จในทีมของเราเมอื่ การทำงานน้นั สำเร็จผล การที่เราได้เปิดใจพดู คยุ กับทีมของเรา ก็ย่ิงจะทำให้เรารู้สึกปลอดภัยและมัน่ คงมากยิง่ ขนึ้ เราจะรู้สึกวา่ เราสามารถทำงานไดอ้ ย่างสบายใจมากข้ึน ไมก่ ลัวว่าจะเจออปุ สรรคใหญ่ขนาดไหน เพราะเรามีทมี ที่คอยชว่ ยเหลอื เราอยูต่ ลอดเวลา เกดิ ความสัมพันธท์ ี่ดีในการทำงาน สร้างทีมเวิร์ค บางคนที่เพิ่งเข้ามาทำงานใหม่ ๆ จะรู้สึกหวั่นวิตกว่าจะเข้ากับเพื่อน หรือสังคมใหม่ได้ยาก หากเราได้เข้ามาทำงาน โดยเริ่มทำงานเป็นทมี แล้วนั้น ความวิตกกังวลเหล่านั้นจะหมดไป เมื่อต้องทำงาน เป็นทีม เราจะได้พบเจอได้พูดคยุ กับทกุ คน โดยที่ไม่ต้องกลัววา่ เราจะเข้ากับใครคนใดคนหน่ึงไม่ได้ เพราะ
เราต้องได้คุยกับทกุ คน การทำงานเป็นทีมจะทำให้เรารู้สึกผูกพันธ์กับทุกคน เกิดความอบอุ่นและไว้ใจกนั มากขนึ้ เราจะรูส้ กึ วา่ การไดม้ าทำงาน เปน็ ส่ิงหนง่ึ ทที่ ำให้เรามคี วามสขุ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากที่คน ๆ หนึ่งจะมีความสามารถและประสบการณ์ในทุก ๆ เรื่อง การ ทำงานเปน็ ทมี จงึ เปน็ ทางออกที่ช่วยให้เราสามารถจัดการงานเมื่อเจออุปสรรคได้ เพราะคนในทีมจะช่วยกัน ทำงาน ไม่ใช่เพียงเพอื่ ให้งานนน้ั ๆ เสร็จสนิ้ ไป แต่เปน็ การทำงานทมี่ ีคุณภาพ และมปี ระสทิ ธิภาพดว้ ย หลักการทำงานเป็นทมี หลกั การทำงานเป็นทมี ทส่ี ำคญั ของ Mclntyre and Sales 1995 ไดก้ ล่าวไว้ดงั น้ี 1. สมาชกิ ในทีมจะตอ้ งมีการตอบรับและยอมรบั ผลสะทอ้ นหรือการตอบรับจากสมาชิกอืน่ ๆ 2. การทำงานเป็นทีมตอ้ งมคี วามเต็มใจ มีการเตรยี มตวั เตรยี มใจ 3. การทำงานเป็นทมี ต้องมีการรวบรวมความคิดเห็นของสมาชกิ ในทมี 4. การทำงานจะตอ้ งสนับสนนุ เกื้อกลู ซงึ่ กนั และกัน 5. ผู้นำเป็นปจั จยั ท่ีสำคัญประการหนึง่ ท่ีจะทำให้เหน็ ว่าทีมจะดำเนนิ ไปลกั ษณะใด ผู้นำจะต้องเป็น ตวั อย่างทีด่ ใี ห้กบั สมาชิก ประเภทของทมี ทมี งานมีรูปแบบพนื้ ฐานที่นิยมใชง้ านมอี ยู่ 3 ประเภท การเลือกใช้จะข้นึ อย่กู บั สถานการณ์ ไดแ้ ก่ 1. ทมี งานแก้ปญั หา (Problem-solving Team) 2. ทมี งานบรหิ ารด้วยตนเอง (Self-managed Work Team) 3. ทมี ข้ามสายงาน (Cross-function Team) ความท้าทายที่สำคัญขององค์การจะนำไปสู่ระบบที่เป็นทางการ ซึ่งจะเป็นที่มาของทีมงานที่มี ศกั ยภาพในการทำงานในระดบั สงู เพ่ือให้ได้ทมี งานท่ีมศี กั ยภาพจำเป็นจะตอ้ งมีการกำหนดส่ิงต่างๆดังน้ี 1. ทมี งานทค่ี อยใหค้ ำแนะนำ 2. ทีมงานบรหิ าร 3. ทมี งานปฏบิ ตั ิ การสร้างทีมงาน การสรา้ งทมี งาน (Team Building) เปน็ กิจกรรมทเ่ี ป็นทางการเพ่ือปรับปรงุ พัฒนางานตามหน้าท่ี ของทีมงามเพอ่ื ใหท้ ีมงานมีประสิทธิภาพมากยง่ิ ขึน้ เปน็ วิธกี ารท่ตี อ้ งอาศยั ความร่วมมือกันที่จะรวบรวมและ วเิ คราะหข์ อ้ มลู เพอ่ื ปรบั ปรงุ ทมี งาน ทีมงานโดยทั่วไปไม่ได้เกดิ ขึน้ ได้เองตามธรรมชาติ บางครั้งสมาชิกและผู้นำทมี จะต้องทำงานหนัก เพื่อใหบ้ รรลุเปา้ หมาย เมอื่ มกี ารสรา้ งทีมงานขึ้นมาใหม่จะต้องบริหารเพอื่ ให้กลมุ่ มีความพัฒนา ถึงแม้ว่ามี การพฒั นาอย่างเต็มท่ีแลว้ ทมี งานส่วนใหญก่ ็ยังพอปัญหาการทำงานในหลายๆประเดน็ ท่ีมคี วามแตกตา่ งกัน กระบวนการทม่ี รี ะบบการสรา้ งทีมจะสามารถช่วยได้ วธิ กี ารสรา้ งทีมงาน (Approaches to team Building)
1.วธิ กี ารลา่ ถอยอย่างมแี บบแผน (Formal retreat approach) 2.วธิ ีการปรบั ปรุงอย่างต่อเนอื่ ง (Continuous improvement approach) 3.การใชป้ ระสบการณภ์ ายนอก (Outdoor experience approach) เทคนคิ การทำงานเป็นทมี ให้เกิดประสทิ ธภิ าพ การทีจ่ ะทำให้องคก์ รก้าวไปสคู่ วามสำเรจ็ ไมว่ ่าจะในระดับใดก็ตามนัน้ ปฏเิ สธไมไ่ ด้เลยว่าตอ้ งอาศัย กระบวนการและเทคนิคที่หลาย ๆ คนรู้จักกันเป็นอย่างดีว่า “ทีมเวิร์ก” ซึ่งการทำงานแบบทีมเวิร์กจะมี ประสทิ ธภิ าพสงู สดุ อาจจะฟงั ดเู ป็นเร่ืองใหญ่ แตไ่ มใ่ ช่เรือ่ งยาก เพยี งแค่อาศัยเทคนิคง่าย ๆ ก็จะทำให้การ ทำงานแบบทมี เวิรก์ สำเร็จได้ไมย่ ากเยน็ สรา้ งจุด “โฟกัส” เพื่อการทำงานเปน็ ทมี หน่งึ ในหลาย ๆ สง่ิ ท่จี ะทำให้การทำงานเปน็ ทีม (Teamwork) ประสบความสำเร็จนัน้ ทมี งานต้อง ไมห่ ลงลมื ทจี่ ะสร้างจุด “โฟกสั ” ให้กบั การทำงาน เพื่อให้การทำงานเปน็ ไปอย่างราบรน่ื ไม่เสียเวลาไปกับ สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ เมื่อเราเข้าใจทิศทางของการทำงานอย่างถกู ต้องครบถ้วนเหมือนกันแล้ว ก็จะทำให้ การทำงานง่ายและสะดวกมากขึ้น เพราะเมื่อเรารู้ทิศทาง ตลอดจนรู้หน้าที่ของเราว่าเราจะต้องทำงาน อย่างไรจึงจะทำให้ทีมก้าวไปสู่เป้า หมายได้อย่างมั่นคง ไม่เพียงแต่การสร้างจุด “โฟกัส” จะช่วยให้การ ทำงานมจี ุดมุ่งหมายเท่าน้นั แต่การทำงานอย่างมีจุดโฟกัสยงั ช่วยทำให้เกิดความรู้สึกรว่ ม อันจะนำไปสู่การ ความสำเร็จของการทำงานเปน็ ทีมอีกดว้ ย เพ่มิ ความรูส้ ึกร่วมตอ่ การทำงาน การจะทำให้การทำงานแบบทีม เวิร์กมีจุดแข็งนั้น ทีมต้องไม่ละเลยที่จะสร้างความรู้สึกร่วม ให้มี แรงบนั ดาลใจในการทำงานร่วมกัน ไม่ใชแ่ ต่จะมาทำงานโดยทตี่ ้องเฝา้ รอคำสง่ั ไรท้ ิศทาง หรือปลอ่ ยเวลาให้ หมดไปวัน ๆ เทา่ น้นั เพราะการจะบรรลเุ ปา้ หมายโดยนำองคก์ รไปส่คู วามสำเร็จได้น้ัน ต้องไม่ใช่บคุ คลเพียง คนเดียวที่จะออกคำสั่งหรือดำเนินการ แต่ทุกคนในทีมต้องมคี วามรูส้ ึกร่วมกนั ต้องการรบั ผิดชอบร่วมกนั โดยสร้างภาวะผู้นำใหก้ บั ทกุ ๆ คนในทีม อกี ท้งั ยังต้องให้ทมี รบั รู้และเข้าใจตรงกนั ว่าจุดมงุ่ หมายร่วมกันนั้น คือ อะไร เพื่อจะได้เกิดความรู้สึกร่วม และชว่ ยกันออกความคิดเหน็ ใหไ้ ปในแนวทางเดยี วกนั ภาวะผ้นู ำกบั ความสำเร็จของทมี เวิรก์ หลายคนอาจรู้สึกคัดค้านข้ึน ภายในใจถึงความสัมพนั ธร์ ะหว่างภาวะผู้นำกับการทำงานเป็นทีมวา่ จะเกดิ ขนึ้ ได้ อยา่ งไร เราต้องไม่ลมื วา่ การแสดงออกถึงความเป็นคนทีม่ ีภาวะผู้นำน้ัน ไมไ่ ดห้ มายความว่าคน ๆ นั้นจะต้องการทำให้ตัวให้โดดเด่นเหนือกว่าใครในการทำงาน หากแต่เป็นหนทางหนึ่งที่จะแสดงความ คิดเห็น และดึงความสามารถที่ตนเองมอี อกมาช่วยให้ทีมได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยภาวะผู้นำจะ ช่วยให้เราอยูใ่ นตำแหน่งที่เหมาะสมภายในทมี ทำให้เราได้ทำงานได้ตรงตามหน้าที่ของเรา โดยที่ไม่ทำให้ เรารูส้ กึ ว่าเปน็ ตัวถว่ งทจ่ี ะทำให้การทำงานล่าชา้ ภาวะผนู้ ำน้นั ต้องมาจากการฝกึ ฝนตนเองเพ่อื ทำให้เราเกิด ความรู้สึกว่าอยากจะ ทำงานโดยสำนึกรูถ้ ึงหน้าท่ีของตน ไม่ต้องรอให้ใครมาบังคบั และการทำงานอย่างมี
ภาวะผนู้ ำนย้ี ังอาจจะช่วยให้คนรอบขา้ งเราได้รับอิทธพิ ล ของการทำงานอย่างมรี ะบบน้ไี ปใช้ให้การทำงาน เป็นทีมมีประสทิ ธภิ าพมากขึ้น ปลดปลอ่ ยพลงั ในการทำงาน เทคนคิ การทำงานเป็นทมี วิธหี นง่ึ ท่จี ะทำให้การทำงาน แบบทีมเวิรก์ สำเร็จไดน้ ้ัน ผู้ทำงานตอ้ งรู้จัก ปลดปล่อยพลงั ในการทำงานใหอ้ อกมามากทส่ี ุด เพ่ือให้เกดิ ไฟในการทำงานและศักยภาพทีเ่ ตม็ เปย่ี ม อันจะส่งผลให้ผลลัพธ์กลับมาสู่องค์กรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ตรงประเดน็ และเป้าหมายทีท่ ีมไดว้ างไว้ โดยไม่เสียเวลาไปกับสิ่งทไี่ ม่สำคญั การส่งเสรมิ การปลดปลอ่ ยพลงั ของคนทำงาน แทนการเกบ็ กดและปิดบัง ศกั ยภาพ ไม่เพียงแต่จะสง่ ผลดีต่อการทำงาน แต่ยงั ชว่ ยสรา้ งความรับผิดชอบร่วมกัน ไมเ่ กยี่ งกันทำงาน ซึ่ง จะทำใหก้ ารทำงานเปน็ ทีมมคี วามแข็งแกรง่ และยง่ั ยนื มากขึน้ วธิ ีปรับตัวใหเ้ ข้ากบั การทำงานเปน็ ทมี ต้องยอมรบั วา่ ในแตล่ ะองค์กรนั้นประกอบด้วยพนักงานทีม่ าจากหลากหลายสถานที่ หรือเรียกให้ เข้าใจกันง่าย ๆ ว่า “ร้อยพ่อพันแม่” ไม่มีใครที่มีอะไรหรือคิดอะไรเหมือนกัน อีกทั้งยังมีประสบการณ์ที่ แตกต่างกนั การที่เราจะทำใหค้ นท่ีมพี ื้นฐานที่แตกต่างกันเข้ากนั ให้ไดน้ น้ั เป็นเรื่องค่อนข้างยาก แต่ก็ไม่ได้ หมายความว่าจะเปน็ ไปไม่ได้ การทำงานหากจะให้เกิดความราบร่ืน ต้องเร่มิ จากการรจู้ ักปรบั ตวั เราเพื่อเข้าหาสิ่ง ๆ น้นั ให้ได้ ไม่ ว่าจะเป็นการปรับตวั ให้เข้ากับเจ้านายคนใหม่ เพื่อนร่วมงานใหม่ หรือวิธกี ารทำงานใหม่ ๆ สิ่งเหล่านี้ลว้ น แล้วแตต่ อ้ งมจี ุดเรม่ิ ตน้ ทีม่ าจากการยินยอมทีจ่ ะปรบั ตัวแทบทงั้ ส้ิน ความพยายามในการปรับตัวให้เขา้ กบั ทีม หรือเพ่อื นรว่ มงานจะทำให้เราเข้าใจเขามากขึ้น และลด ปัญหาความขัดแยง้ ในการทำงานได้ แต่จะทำอย่างไรจึงจะทำให้คนท่ีทำงานรว่ มกับเรารับรู้ และยอมรับใน ความพยายามของเรา ลองมาดวู ธิ ีปรับตัวใหเ้ ข้ากบั การทำงานเปน็ ทีม ซึ่งมอี ยู่ดงั นี้ เปดิ ใจเรยี นรู้ส่งิ ใหม่ เมื่อต้องทำงานร่วมกับผู้อื่น แม้ว่าจเป็นคนที่เราไม่คุ้นเคยมาก่อน เราก็ควรแสดงความเป็นมิตร เพอื่ ให้เขาอยากสอนงานเรา หรือทำงานร่วมกบั เราดว้ ยความเตม็ ใจ หากเปน็ ไปไดใ้ หใ้ ชร้ อยยมิ้ เป็นตัวช่วย ใหเ้ รากล้าทีจ่ ะพูดคุยกบั เพื่อนคนใหม่ และเปดิ ใจใหก้ วา้ ง อย่ามีอคตกิ ับการเรียนรู้ บางคนจะรสู้ ึกว่าตัวเองก็ มีความรูใ้ นงานท่ตี วั เองทำอยู่แลว้ ทำไมจึงต้องไปเรียนรกู้ ับคนอ่นื อกี ในการทำงานเปน็ ทมี เราต้องคดิ ว่าการ ทำงานร่วมกนั คือการแบ่งปนั ความรู้กัน ไม่ใช่การเอาความรู้มาอวดกัน หากเราเปิดใจให้กว้างเราจะได้รับ ความรู้ใหม่อีกมากมาย ซึ่งเราสามารถนำมาปรับใช้กบั การทำงานของตัวเองได้ อีกทั้งการเปิดใจเรยี นรูส้ ่งิ ใหม่ ยงั ทำใหเ้ ราได้รบั การยอมรับจากคนในทมี ไดเ้ ร็วข้นึ ด้วย เรียนรู้และจดจำอย่างเปน็ ระบบ เมอ่ื เข้ามาเปน็ ส่วนหนง่ึ ของทมี เราตอ้ งพยายามเรียนรูว้ ่าทมี ของเรามรี ะบบการทำงานอยา่ งไร แล้ว จึงค่อย ๆ จดจำ เรียนรู้อย่างเป็นระบบ ในตอนแรกเราอาจจะทำได้ไม่ดี เนื่องจากเพิ่งจะคุน้ เคยกับระบบ แต่ครั้งตอ่ ๆ มาเราต้องทำงานใหด้ ีข้นึ มากกว่าเดิม โดยพยายามจดจำให้มากท่ีสุด แตใ่ นการเรียนรู้งานน้ัน
ควรทำอย่างเปน็ ระบบ ทำความเขา้ ใจกอ่ น แล้วจึงเรยี บเรยี งออกมาเป็นคำพูดของตัวเอง เราจะเข้าใจระบบ การทำงานไดง้ า่ ยขึน้ จากนั้นไม่นาน เรากจ็ ะทำงานรว่ มกบั ทีมได้ดีขึ้น ยอมรับคำวจิ ารณ์ เมอ่ื เกดิ ความผดิ พลาดในการทำงาน เราควรเปดิ ใจเพ่ือยอมรบั คำวพิ ากษ์วิจารณอ์ ันอาจจะเกดิ คำ วิพากษ์วิจารณ์การทำงานเกี่ยวกับการทำงานเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะต้องการตำหนิ เพ่ือให้เราไดร้ ับความอับอาย แต่เพราะตอ้ งการใหร้ ับเรียนรขู้ ้อผิดพลาด เราจงึ ตอ้ งเปิดใจให้กว้าง โดยไม่มี อคติ เพราะหากเรายังคงมีอคตเิ กดิ ขึ้นภายในใจเรา เราจะไม่สามารถทำงาน เพราะเราจะรูส้ ึกว่าเรากำลัง โดนตำหนิ หรอื คิดว่าเราทำงานไมด่ ี เรากจ็ ะไม่สามารถเขา้ กับทีมได้ สิง่ ท่เี ราควรทำคือการยอมรบั คำวจิ ารณ์ และนำมาปรบั ปรงุ ตัว เพือ่ ให้เราทำงานไดด้ ีขึน้ ยอมรับความสามารถของคนอน่ื การเชื่อว่าเราคอื คนที่ทำงานเก่งที่สุด ดีที่สุด และมีความสามารถมากกว่าคนอื่น ๆ ภายในทีม จะ ทำให้เราเข้ากับทีมได้ค่อนข้างยาก เพราะเราจะไม่เชื่อว่าคนอื่นสามารถทำงานได้ดี หรืออาจจะทำงาน ผดิ พลาดได้ หากเราคดิ เชน่ นนั้ เราจะทำงานร่วมกับทีมไม่ได้ หากเราเปน็ หัวหน้างาน เราก็จะรสู้ ึกว่าลกู น้อง ของเราทำงานไม่ดีเลยสักอย่าง ผิดพลาดตลอด ทั้ง ๆ ที่เขาเพิ่งจะทำงานได้ไม่นานเท่าไร ยังไม่ทันได้เหน็ ความสามารถทั้งหมดของเขา ก็กังวลไปก่อนแล้วว่าเขาอาจจะทำไม่ได้ เราควรปล่อยให้เขาได้ทำงาน เสยี กอ่ น แลว้ ค่อยตกั เตอื นทีหลัง หากเกดิ ความผดิ พลาดในการทำงานเกิดขึ้น ในการทำงานเปน็ ทมี เราตอ้ ง เช่อื มน่ั ว่าคนอน่ื ทำงานไดด้ ี และมคี วามสามารถไม่ต่างจากเรา การทำงานเปน็ ทีมจงึ จะราบรืน่ รับผดิ เม่อื เกดิ ความผิดพลาด ปรับตัวทำงานเปน็ ทมี หากเราต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของความผิดพลาดในการทำงาน สิ่งแรกท่ี เราควรทำ คือการกล่าวคำขอโทษที่ทำให้ทมี ได้รับการตำหนิ หรอื เกิดความลา่ ช้าในการทำงาน อย่าดึงดันที่ จะปฏิเสธ หรือโยนความรับผิดชอบให้คนอื่น เพราะเราจะสญู เสียความเช่ือถือจากคนในทีมได้ เราต้องยืด อกยอมรับความผดิ นัน้ รบั ปากวา่ จะแก้ไขความผิดพลาดน้นั อย่างไร และจะไมใ่ ห้ความผิดเช่นน้ันเกิดขึ้นอีก ในอนาคต เม่อื เราทำงานผิดพลาดไมต่ ้องพยายามท่ีจะหาข้อแก้ตัว แตใ่ หพ้ ยายามหาข้อแกไ้ ข เพ่ือให้งานที่ ผดิ พลาดนนั้ ดีขึน้ แลว้ จำไวเ้ ป็นบทเรียนว่าอะไรที่ทำให้เกิดความผิดพลาด เราจะไมท่ ำอีก เพียงเท่านี้เพ่ือน ร่วมทมี กจ็ ะไว้ใจใหเ้ ราทำงานเชน่ เดมิ การทำงานเป็นทมี ใหม้ ีประสิทธิภาพตอ้ งมาจากการเตรียมพร้อม และเรม่ิ ตน้ ใหด้ ี ก้าวแรกที่ม่ันคง สง่ ผลต่อความสำเร็จในการทำงาน หากเรามคี วามมุง่ มนั่ เตม็ ใจที่จะเรยี นรู้ และยอมรบั ความคิดเหน็ ของทีม เราก็จะสามารถปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั ทมี แล้วทำงานร่วมกับองค์กรได้อย่างราบรน่ื มากขึ้น ลักษณะของการทำงานเป็นทีม ทมี งานท่ีมีศักยภาพในการทำงานระดับสงู จะมีลกั ษณะพิเศษท่ีทำใหเ้ กดิ ความเป็นเลิศในเร่ือง ของทมี งาน และสามารถบรรลขุ ้อได้เปรียบเฉพาะอยา่ ง ดงั นี้ 1. ทีมงานทีม่ ีศกั ยภาพการทำงานในระดบั สงู จะมีคา่ นยิ มหลักท่ีแขง็ แกร่ง
2. ทมี งานทม่ี ศี กั ยภาพการทำงานในระดับสูงจะมีวตั ถปุ ระสงคใ์ นการทำงานท่ีชดั เจน 3. ทีมงานที่มีศักยภาพการทำงานในระดับสูงจะมีส่วนประกอบของทักษะที่ถูกต้อง ซึ่งจะ ประกอบด้วยทักษะดา้ นการแกป้ ัญหา ทกั ษะการตัดสนิ ใจ และทกั ษะด้านความสัมพันธ์ระหวา่ งบคุ คล 4. ทีมงานที่มีศักยภาพการทำงานในระดับสูงจะมีความคิดสร้างสรรค์ เพื่อใช้ในการปรับปรุง การดำเนนิ งาน การพฒั นาผลิตภัณฑ์ บริการตา่ งๆ อย่างตอ่ เนือ่ ง ลักษณะทีมงานทไ่ี มม่ ปี ระสทิ ธิภาพและทีมงานท่ีมปี ระสทิ ธิภาพ Woodcock Mike ได้สรุปลกั ษณะทมี งานท่ไี ม่มปี ระสทิ ธิภาพและทมี งานทีม่ ปี ระสิทธิภาพไว้ดงั น้ี ลกั ษณะทมี งานท่ีไมม่ ีประสทิ ธิภาพ ลักษณะทีมงานทไี่ ม่มีประสทิ ธภิ าพ ประกอบด้วย 1. อาการของความคับข้องใจ ความคับขอ้ งใจเกิดจากการที่คนเรามองไมเ่ หน็ ทางว่าความต้องการ ของตนจะได้รับการตอบสนองอย่างไร ความคับข้องใจจะทำให้เกิดความหมดหวัง ขาดความผูกพันกับ เป้าหมายของส่วนรวมและขาดแรงจูงใจ ซึ่งอาการคบั ข้องใจจะทำให้เกิดการแสดงออกด้วยความหงุดหงดิ การก้าวร้าว การแกแ้ คน้ เพราะสมาชกิ ไมม่ ีโอกาสที่จะได้แสดงความคิดเหน็ ของตนในระบบงาน สิ่งเหล่าน้ี จะทำใหก้ ารตอบโต้รุนแรงมากยิ่งขึ้น 2. การแก่งแย่งชิงดี การแข่งขันเป็นเรื่องธรรมดาในองคก์ าร แต่การแขง่ ขันที่มุ่งทำลายกัน ที่มีแต่ กลโกงเต็มไปหมด ย่อมเป็นการแข่งขันที่ไม่ดีต่อองค์การ จะทำให้องค์การประสบความล้มเหลว ทำให้ สมาชิกในองคก์ ารหมดกำลงั ใจในการทำงานเพราะคดิ วา่ ยงั ไงงานกจ็ ะไม่ประสบความสำเร็จ 3. สหี น้าของสมาชกิ อาการของทีมงานจะแสดงออกทางสีหนา้ ว่าสุขหรือทุกข์ 4. ความเปดิ เผยและความซือ่ ตรง จะเกดิ ขนึ้ เมอ่ื ความลม้ เหลวเกดิ ขนึ้ แลว้ เพราะเมอ่ื ความล้มเหลว เกิดขึ้นทางสุดท้ายคือคนเรายอมเปิดเผยความจริง ถ้าเราบอกข้อมูลที่ถูกต้องก่อน ยากที่จะเกิดความ ล้มเหลวเกดิ ขึ้น 5. การประชุม เปน็ หน่ึงสิ่งทจี่ ะทำให้เป็นวา่ ทีมมปี ระสทิ ธิภาพหรือไม่ เหตุผลสำคญั ของการประชุม คอื การใชท้ ักษะของสมาชิกในการรว่ มกนั แก้ปัญหาอยา่ งใดอย่างหน่ึง จะเหน็ ได้วา่ จะมีสมาชิกเพียงบางคน ท่ีสามารถใช้ทกั ษะได้ ส่งิ จะจะบง่ ชคี้ ณุ ภาพของการประชมุ คอื ความรูส้ กึ ของสมาชกิ วา่ อยากประชุมหรือเบ่ือ หน่ายการประชุม 6. ความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้าและลูกน้อง เป็นเครื่องชี้คุณภาพของทีมงานในทีมงานที่ไม่มี ประสทิ ธภิ าพเช่นกัน 7. สมาชิกไมพ่ ฒั นาตนเอง 8. บทบาทและหนา้ ที่ของสมาชกิ ไม่ชดั เจน 9. การไม่ยอมรับความชว่ ยเหลอื จากภายนอก 10. สมาชิกขาดความคดิ ริเร่มิ สรา้ งสรรค์ 11. สมาชิกไมใ่ ห้ความร่วมมอื และไม่ช่วยเหลอื กัน
ลกั ษณะของทีมงานทีม่ ีประสิทธิภาพ ลกั ษณะของทีมงานท่ีมีประสิทธิภาพมลี กั ษณะดังต่อไปนี้ 1. วตั ถปุ ระสงคช์ ดั เจนและมีเป้าหมายท่ีสอดคล้องกนั 2. สมาชกิ มคี วามเปดิ เผย จรงิ ใจและเผชญิ หน้าเพื่อแกป้ ญั หา 3. สมาชิกมกี ารสนบั สนุนและไว้วางใจกนั 4. สมาชกิ มีความร่วมมือและใช้ความขดั แย้งในทางสรา้ งสรรค์ 5. กลุ่มมกี ระบวนการตัดสนิ ใจและกระบวนการทำงานที่เหมาะสม 6. ใชภ้ าวะผูน้ ำทเ่ี หมาะสม 7. ประเมินผลอย่างสม่ำเสมอ 8. การพัฒนาตนเองของสมาชกิ 9. ต้องมคี วามสมั พันธก์ ับหน่วยงานอ่ืนๆ ข้ันตอนการทำงานเปน็ ทีม ข้นั ตอนการทำงานเปน็ ทีม ประกอบด้วย 4 ขน้ั ตอนท่สี ำคัญๆ ได้แก่ 1. การปฐมนิเทศ 2. สรา้ งความเข้าใจรว่ มกนั 3. การหาข้อยุติหรือข้อสรุป 4. การปฏบิ ัตงิ าน อปุ สรรคในการทำงานเป็นทมี 9 อุปสรรคของการทำงานเป็นทีม จากวารสาร Personnel Journal ฉบับเดือนมกราคม 1988 มี ดังน้ี 1. ความแตกตา่ งระหว่างบุคลกิ ภาพ 2. การมสี ว่ นร่วมในการทำงานอยา่ งไมเ่ ทา่ เทยี มกัน 3. การขาดความร้สู กึ มีส่วนรว่ มในทมี 4. ความลม้ เหลวในการประเมนิ ทีม 5. อำนาจของผนู้ ำ 6. ขาดแคลนทางเลือก 7. การปดิ บัง ไมส่ ือ่ สารแลกเปลย่ี นกนั 8. ขาดการวินจิ ฉยั ในทมี งาน 9. ขาดการกระจายขา่ วสารสูร่ ะดับลา่ ง ความขัดแย้งและการจัดการกับความขัดแยง้ ความขดั แยง้ ความขัดแย้งในองค์การแบง่ ออกเปน็ 5 ระดับ ได้แก่
1. ความขดั แยง้ ในตัวบุคคล 2. ความขดั แยง้ ระหวา่ งบุคคล 3. ความขัดแย้งภายในกลุ่ม 4. ความขัดแยง้ ระหว่างกลมุ่ 5. ความขดั แย้งระหวา่ งองค์การ การจัดการกบั ความขัดแย้ง การจดั การกบั ความขัดแย้งทเ่ี กิดขึ้นในองค์การสามารถจดั การได้ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. การหลีกเล่ยี ง 2. การแข่งขนั 3. การยอมเสียสละ 4. การประนปี ระนอม 5. การร่วมมอื กนั หลกั การพัฒนาทีม แบบจำลอง (Mode) ของ Peter และคณะ (1975) ซึ่งอุทยั บุญประเสรฐิ (2531) ได้นำมาอธิบาย สรุปไวด้ งั น้ี 1. การสรา้ งความไว้เนือ้ เช่อื ใจกนั 2. การส่ือสารระหว่างกนั แบบเปิดเผย 3. ปรึกษาหารือกนั 4. การสร้างความรว่ มมือกันอยา่ งแขง็ ขัน 5. การติดตามและส่งเสรมิ การพัฒนาทีมงานอย่างต่อเน่ือง การทำงานเป็นทมี ของครู วิธีการทำงานนอกสถานศกึ ษา วธิ กี ารทำงานเป็นทีมอย่างเปน็ ทางการ มีลกั ษณะ ดงั น้ี 1. มโี ครงสรา้ งแน่นอน มีความรบั ผิดชอบท่ีแนน่ อน จัดแบ่งสายงานไปตามระเบยี บและกฎหมายที่ รองรับ 2. อำนาจสงั่ การขึ้นอย่กู ับผู้ทร่ี บั ผดิ ชอบตามหน่วยงานท่ไี ด้รับมอบหมาย 3. เคร่งครดั ในระเบียบ การปฏบิ ตั งิ านและตดิ ต่อสัมพนั ธ์ การตดิ ตอ่ สื่อสารภายใน และภายนอกหนว่ ยงานจะเป็นไปตามระเบียบและลกั ษณะของสายงานท่กี ำหนดไว้ 4. กำหนดคณุ ลักษณะงาน มกี ารกำหนดระบบของสายงานตามลำดับขั้น โดยแบง่ สายงานจากสูง มาหาต่ำ หรือต่ำมาหาสูงไม่นยิ มเสนองานข้ามลำดบั สายงาน 5. ประกอบด้วยความถนัดและสามารถเฉพาะอย่าง แต่สามารถเพิ่มบทบาทตำแหน่งหน้าที่ตาม ความสามารถและระยะเวลาที่ตนปฏบิ ัติงาน
6. มีความสมั พนั ธ์ของสมาชกิ ในลกั ษณะทส่ี ัมพนั ธ์กับการทำงานท่ีเกย่ี วขอ้ งกนั 7. มคี วามสำเรจ็ ของหนว่ ยงานทีเ่ กิดจากระบบและผู้นำของระบบ วธิ กี ารทำงานเป็นทมี อยา่ งไม่เป็นทางการ มีดังลักษณะดังน้ี 1. มีโครงสร้างทีไ่ มแ่ น่นอน ระบบงานไมแ่ น่นอน แตม่ ีจดุ ม่งุ หมายชดั เจน 2. มคี วามยืดหยุ่น ไม่ยดึ ระเบียบเปน็ แนวปฏบิ ัตติ ายตวั 3. ไม่กำหนดลักษณะงาน การดำเนินงานจะเป็นไปตามความเหมาะสมทีเ่ กิดจากสภาพสังคมหรอื บคุ คลในองค์การ เพ่ือวตั ถปุ ระสงคอ์ ย่างใดอยา่ งหนงึ่ ตามความจำเป็น 4. มคี วามสมั พนั ธ์อย่างเป็นกนั เองระหวา่ งสมาชิก โดยไมม่ รี ะเบยี บปฏิบตั ิทชี่ ัดเจน 5. มีการเลอื กหัวหน้าทีมอยา่ งไม่เป็นทางการ มีความยืดหยุ่นในการบรหิ ารงานไปสู่จุดหมายอย่าง เหมาะสม 6. มคี วามสำเร็จของหนว่ ยงานทเี่ กดิ จากสมาชกิ ในทมี รว่ มมอื ร่วมใจกนั ทำงาน แนวทางการทำงานเป็นทีมในสถานศกึ ษา ครูสามารถนำวิธีการทำงานเป็นทีมมาใช้ในสถานศึกษาได้ 2 แนวทาง คือ การทำงานเป็นทีมกบั เพอื่ นรว่ มวิชาชีพและการทำงานเป็นทีมกับผู้เรยี น ซ่ึงแต่ละแนวทางมีรายละเอยี ดดังตอ่ ไปน้ี การทำงานเปน็ ทีมกบั เพื่อนรว่ มวิชาชีพ มแี นวทางดังต่อไปน้ี 1. การทำงานเป็นทีมเป็นแบบทางการ ชัดเจนในเรื่องบทบาทหน้าที่ สายงานและระเบียบปฏิบตั ิ ต่างๆโดยเฉพาะในการทำงานทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั ผบู้ ังคับบญั ชาแต่ละระดบั 2. มีสถานภาพเป็นท้ังผู้นำและสมาชกิ หมุนเวียนกนั ไป ซึ่งจะตอ้ งเข้าใจบทบาทของตนให้ชัดเจน และปฏบิ ตั หิ น้าท่ีอย่างเหมาะสม 3. มีงานบางลักษณะที่ต้องใช้วิธีการทำงานเป็นทีมอย่างไม่เป็นทางการเนื่องจากมีความยืดหยุ่น และความคล่องตวั และเอ้อื ตอ่ การทำงานมากกว่า 4. มีการผสมผสานการทำงานเปน็ ทมี ท้ังสองวิธี เพอื่ ให้ได้งานทม่ี ีคณุ ภาพ 5. มีการให้อภัยกันหากมีความผิดพลาดในการทำงานและพร้อมทีจ่ ะร่วมกันแก้ไขปัญหาทีเ่ กิดขนึ้ อย่างสรา้ งสรรค์ การทำงานเป็นทมี กับผเู้ รยี น มีแนวทางดังต่อไปน้ี 1.เลือกวธิ ีสอนท่ีเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรียนไดท้ ำงานร่วมกัน 2. ให้ความรูเ้ ร่ืองหลกั การทำงานเป็นทีมท่ีถกู ต้อง 3. เปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รยี นได้ทดลองทำงานร่วมกนั โดยครูเปน็ ผู้คอยให้คำปรกึ ษา 4. มีการประเมินการทำงานรว่ มกนั ของผู้เรียนเพ่ือให้ผเู้ รยี นทราบขอ้ ดีและขอ้ เสียทคี่ วรปรบั ปรุง 5. เนน้ ให้ผเู้ รียนเห็นความสำคญั ของการทำงานเปน็ ทมี และเกิดเจตคตทิ ด่ี ีตอ่ การทำงานในลักษณะ ดงั กลา่ ว
6. ใหแ้ รงเสริมผเู้ รยี นท่มี ที กั ษะการทำงานเปน็ ทีม แนวทางการทำงานเปน็ ทมี นอกสถานศกึ ษา ในการทำงานเป็นทีมนั้นครูไมไ่ ด้มีโอกาสใช้เฉพาะในสถานศึกษาเพยี งเท่าน้ัน เนือ่ งจากปัจจุบันครู ต้องมีบทบาทหนา้ ท่ีท่เี กี่ยวข้องกบั บุคคลและหน่วยงานภายนอกสถานศกึ ษาในลกั ษณะท่ีตอ้ งทำงานร่วมกัน ครูควรตอ้ งมีแนวทางการทำงานเปน็ ทมี ดังน้ี 1. สง่ เสรมิ ให้เกิดการทำงานเป็นทีมอย่างเปน็ ทางการในลกั ษณะโครงสรา้ งทช่ี ัดเจน มีวตั ถุประสงค์ ตรงกนั 2. สนับสนนุ ให้บุคคลในชุมชนท่ีเป็นผู้นำชมุ ชน เปน็ ท่ีรกั และศรัทธาของชาวบา้ น 3. เนน้ วิธกี ารปฏบิ ัตงิ านในลกั ษณะการทำงานเปน็ ทมี อยา่ งไม่เป็นทางการ 4. พยายามให้สมาชิกทุกคนมีสว่ นร่วมในการทำงานโดยนำความสามารถของแต่ละคนมาใช้ให้เกิด ประโยชน์ 5. คอยช่วยเหลือและประสานงานใหก้ ารทำงานเป็นไปไดอ้ ยา่ งราบรืน่ 6. หลีกเลี่ยงมาขดั แยง้ และความไม่เขา้ ใจกนั ทอ่ี าจเกิดข้นึ พร้อมทงั้ หาวธิ แี กป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์ อา้ งอิง
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: