บทที่ 9 แนวคดิ ในการตรวจวดั พสิ ูจน์ผล ค่มู ือการอนุรักษพ์ ลงั งาน 9-1 V.2022
เครื่องมอื วดั ดา้ นพลงั บงทาทน่ี 2 เครอ่ื งมือวัดเป็นอุปกรณ์สาคัญในงานตรวจวัดด้านพลังงาน ซึ่งจะมีผลต่อความถูกต้องของการ วิเคราะห์ เคร่ืองมือที่นามาใช้ในงานตรวจวัดจะต้องมีท้ังความถูกต้อง(Accuracy) และความเท่ียงตรง (Precision) โดยเมอ่ื นาไปใช้งานในการวดั ขนาดหรือค่าทีต่ ้องการ ค่าที่แสดงออกมาเป็นตัวเลขบนเครื่องมือ วัดเหล่านี้ต้องมีความเช่ือถือได้ ในบทที่จะกล่าวถึงการใช้งานของเครื่องวัดที่สาคัญในด้านพลังงาน ดังต่อไปนี้ 9-2 กล่มุ วจิ ยั EnConLab มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกล้าธนบุรี
แนวคดิ ในการตรวจวดั พสิ จู นบ์ผททล่ี 9 “You cannot manage what you do not measure.” JACK WETCH CEO of GE,1981-2001 “You cannot manage what you do not measure.” ข้อความข้างต้นเป็นคากล่าวของ Mr. Jack Wetch ประธานผู้บริหารบริษัท เจนเนอรัล อีเลคทริค ในช่วงปี คศ. 1981-2001 ซึ่งค่อนข้างจะ สอดคล้องกับเร่ืองการวัด และพิสูจน์ผล การดาเนินกิจกรรมอนุรักษ์พลังงานโดยไม่มีการวัดผล ยากที่จะ บรรลเุ ปา้ หมาย คือเกิดผลประหยัดอย่างแท้จริงและมีความย่ังยืน อาจจะกล่าวได้ว่าการวัดผลและพิสูจน์ผล ทาใหก้ ารอนุรกั ษพ์ ลงั งานเป็นวิทยาศาสตร์วัดผลและจบั ตอ้ งได้ คมู่ ือการอนรุ กั ษพ์ ลังงาน 9-1 V.2022
9.1 ความเป็นมาของการวัดและพิสจู น์ผล ในสหรฐั อเมรกิ ามีกจิ กรรมอนรุ ักษพ์ ลงั งานมาช้านาน แต่ในชว่ งก่อนปี คศ.1975 การวัดผลของการ อนุรักษ์พลังงานเป็นแบบง่าย หรือที่ใช้สานวน keep it simple and stupid (KISS) เนื่องจาก ผู้ประกอบการ มองว่าการตรวจวัดผลเป็นต้นทุนอย่างหน่ึง หากประหยัดได้ก็สามารถนาไปลงทุนปรับปรุง ได้มากขน้ึ อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นธุรกิจผลิตไฟฟ้าได้ประสบปัญหาอย่างหนักและขาดทุน ทาให้มีการปรับ มุมมองว่าการประหยัดพลังงานสามารถลดชะลอการสร้างโรงไฟฟ้าได้ และต้นทุนรวมของระบบลดลง (least cost planning) ทาให้ผู้ผลิตไฟฟ้าถูกบังคับให้ต้องส่งเสริมกิจกรรมประหยัดพลังงานของผู้ใช้ ไฟฟ้างบประมาณมหาศาลถูกใช้เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และเร่ิมมีคาถามเกี่ยวกับผลประหยัดท่ี เกิดข้ึน ซึ่งผู้ผลิตไฟฟ้า แต่ละรายก็มีมาตรฐานหรือหลักเกณฑ์ในการวัดผลแตกต่างกันไป ประกอบกับ ขณะนั้นเริ่มมีธุรกิจพลังงาน (Energy Service Company: ESCO) แพร่หลายมากข้ึน ในปี 1996 ผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจาก 25 ประเทศ จึงได้ร่วมกันจัดทาแนวทางในการตรวจวัดและพิสูจน์ ผลขึน้ ภายใตช้ ือ่ International Performance Measurement and Verification : IPMVP ซ่ึงเป็นการ วางกรอบในการตรวจวัดและพิสจู น์ผลและพฒั นามาจนถึงปัจจุบัน ในประเทศไทยโครงการอนุรักษ์พลังงานส่วนใหญ่ดาเนินการโดยสถานประกอบการเอง ซึ่งยังให้ ความสาคัญในการวัดพิสจู นผ์ ลนอ้ ย เน่อื งจากผู้อนุมัติสั่งซื้อและผู้วัดพิสูจน์ผลเป็นคนเดียวกัน หากไม่มีผล ประหยดั อาจถกู มองว่าเป็นข้อบกพร่องของผู้ดาเนินโครงการ โครงการบางส่วนที่ดาเนินการให้ลักษณะร่วม ทุน หรือธรุ กิจจดั การพลงั งาน หรอื ไดร้ ับการสนับสนุนทางการเงินจากภาครัฐ เร่ิมมีการนาการตรวจวัดและ พิสจู นผ์ ลอย่างเป็นระบบมาใช้ 9-2 กลุ่มวิจัย EnConLab มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกลา้ ธนบุรี
9.2 การตรวจวดั และพิสูจน์ผลคืออะไร IPMVP ได้ให้คาจากัดความของการตรวจวัดและพิสูจน์ผลว่า คือกระบวนการที่ใช้การวัดเพื่อให้ ทราบผลประหยัดจริงทีเ่ กดิ ขึน้ ในระบบใดระบบหนึ่งอันเนือ่ งจาก มาจากโครงการประหยดั พลงั งาน หัวใจสาคัญ คอื กระบวนการดังกลา่ วจะตอ้ งมีความถกู ต้องและให้ผลใกล้เคียงกัน ไม่ว่าใคร่เป็นผู้วัด หรือพิสูจนผ์ ล ในขั้นตอนของการปรับปรุงการใช้พลังงานนั้นประกอบด้วยการวางแผน การติดต้ัง และการ บารุงรักษาเพอ่ื ให้ผลประหยัดยงั คงอยู่ ซึง่ การวัดพสิ จู น์ผลจะเป็นขั้นตอนย่อยท่ีอยู่ในแผนงานปรับปรุงในทุก ขั้นตอน เช่น ในข้ันตอนการวางแผนจะต้องมีการกาหนด Baseline และจัดทาแผนการตรวจวัดร่วมด้วย ในขั้นตอนการติดต้งั จะต้องมีการตรวจสอบผลการติดตั้งว่าสอดคล้องกับแผนการวัดและพิสูจน์ผล และใน ขั้นการบารุงรกั ษา/ตดิ ตามผลกจ็ ะมกี ิจกรรมตดิ ตาม รวมถงึ การประเมินผลประหยัด ดงั แสดงในรูปที่ 9-1 รปู ท่ี 9-1 ขนั้ ตอนการตรวจวดั และพสิ ูจนผ์ ล จะเห็นได้ว่าการวัดและพิสูจน์ผลเป็นส่วนหน่ึงของการปรับปรุงการใช้พลังงาน ตั้งแต่วางแผนไปจน วัดผลประหยัดซ่ึงรวมถึงการกากับติดตาม บารุงรักษาตามเง่ือนไข เพื่อให้ได้ผลประหยัดตามที่ตกลงกัน ดังนั้นในความหมายของการตรวจวัดและพิสูจน์ผลจึงไม่ได้มีนัยยะเพียงการวัดเพื่อให้ทราบผลประหยัด แต่ เป็นกรอบหรือแผนที่นาทางเพื่อให้โครงการประสบผลสาเร็จซึ่งก็คือบรรลุผลประหยัดตามที่ต้ังเป้าหมาย (Program roadmap of success) คูม่ อื การอนรุ กั ษ์พลังงาน 9-3 V.2022
9.3 การตรวจวดั และพสิ ูจนผ์ ลสาคัญอย่างไร โครงการประหยัดพลังงานท่ีดาเนินการโดยหน่วยงานเองอาจไม่มีความจาเป็นต้องมีการตรวจวัด พิสูจน์ผล มีเพียงการวิเคราะห์ความคุ้มค่าก่อนลงทุนเท่านั้น เนื่องจากดาเนินงานเองภายในหน่วยงาน อย่างไรก็ตามโครงการในลักษณะดังกล่าวก็ควรมีการตรวจวัดพิสูจน์ผล เพ่ือให้ทราบความคุ้มค่าของ ทรัพยากรที่ใช้ในกรณีที่มีความคุ้มค่าจะได้ขยายผล หรือไม่คุ้มค่าจะได้ยกเลิกหรือปรับแผนงานโครงการ ประหยัดพลังงานท่ีมีคู่สัญญา เช่น ผู้ขายเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน บริษัทจัดการพลังงาน (ESCO) หรือ แหล่งเงินกู้ มีความจาเป็นจะต้องมีการวัดและพิสูจน์ผลอย่างหลีกเล่ียงไม่ได้จาเป็นต้องมีวิธีการวัดผลที่ ชัดเจน มีระเบียบแบบแผน เพ่ือรับประกันในประสิทธิภาพของสินค้าไปจนถึงเพ่ือแบ่งปันผลประหยัดกับผู้ ร่วมลงทุน การดาเนินการโดยไม่มีการวัดหรือพิสูจน์ผลที่ดีจะสร้างปัญหาอย่างมากในการดาเนินโครงการ ปรบั ปรุง และอาจจบลงดว้ ยการระงบั โครงการ โครงการประหยัดพลังงานที่ผู้ดาเนินโครงการต้องการขอคาร์บอนเครดิต หรือเสนอต่อองค์กรใด องค์กรหน่ึง เช่น ขอการรับรองมาตรฐาน ISO50001 การตรวจวัดและพิสูจน์ผลจะมีความสาคัญมาก นอกจากจะต้องเป็นไปตามข้อตกลงท่ีท้ังสองฝ่ายร่วมกันเห็นชอบแล้ว จะต้องเป็นไปตามข้อกาหนดของ หนว่ ยงานที่ 3 น้นั ดว้ ย รูปแบบ วิธีการตรวจวัด วิเคราะห์และรายงานผลตลอดจนทวนสอบข้อมูลจึงมี ความจาเป็นและตอ้ งสอดคลอ้ งกบั ข้อกาหนดขององคก์ ร/โครงการเหลา่ น้นั ผลดขี องการวัดและพิสูจนผ์ ล สรุปไดด้ ังนี้ 1. ทาให้ผลประหยัดสูงข้ึน และเป็นไปตามเป้าหมาย โดยท่ัวไปมักเข้าใจว่าการตรวจวัดพิสูจน์ผลเป็นพียงการวัดผลการตรวจวัดและพิสูจน์ เป็นการ ติดตามผลการใชง้ าน วดั ผลวา่ เป็นไปตามเป้าหมายหรอื ไม่ ถ้าไม่เป็นตามนั้นเนื่องจากสาเหตุใดและคู่สัญญา และร่วมเข้าไปแก้ไขเพื่อให้ผลประหยัดเป็นไปตามเป้าหมายในข้อกาหนดในแผนการวัดและพิสูจน์ผลจะ ครอบคลุมความถ่ี ในการติดตามผล การบารุงรักษาสภาพการใช้งานหลังปรับปรุง จึงทาให้โครงการท่ีมี แผนการวัดและพิสูจน์ผล มีแนวโน้มที่จะบรรลุผลประหยัดตามที่คาดการณ์ เนื่องจากได้ควบคุมความเสี่ยง ต่างๆ ไวแ้ ลว้ 2. ลดตน้ ทุนทางการเงนิ โครงการขนาดใหญ่มักดาเนินการโดยใช้แหล่งเงินกู้ ซ่ึงเม่ือโครงการมีแบบแผนการวัดติดตามผล และควบคุมโครงการที่ดีความเสี่ยงของสถาบันการเงินก็ต่า มีแนวโน้มท่ีจะได้สินเช่ือและในอัตราท่ีต่ากว่า โครงการที่ความเสยี่ งสงู ซงึ่ ปจั จุบันก็มีสถาบันการเงินหลายแห่งให้สินเชือ่ สาหรับการลงทนุ อนรุ ักษพ์ ลังงาน 3. ทาใหก้ ารออกแบบ และจดั การการใช้งานดีข้ึน เนื่องจากผู้เกี่ยวข้องต้องการบรรลุผลประหยัดท่ีตกลงกันหรือสูงท่ีสุด ดังนั้นการออกแบบทาง วิศวกรรมและคัดเลอื กอปุ กรณ์จะตอ้ งมั่นใจว่าจะมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันแผนการตรวจวัดพิสูจน์ผลจะ 89-4 กล่มุ วิจยั EnConLab มหาวิทยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกล้าธนบรุ ี
กาหนดเกยี่ วกบั การใชง้ านการบารงุ รักษา เพอ่ื ให้อุปกรณ์ทางานอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ 4. สามารถประเมนิ การลดกา๊ ซเรอื นกระจกได้ โครงการที่ให้การรับรองคาร์บอนเครดิต จะมีข้อกาหนดเฉพาะเก่ียวกับการวัดผล การจัดทา รายงานและการตรวจสอบและทวนสอบโดยบุคคลท่ี 3 แม้อาจจะมีรายละเอียดท่ีมากกว่าแผนการวัดพิสูจน์ ผลของคู่สัญญาที่ลงทุนด้านประหยัดพลังงานทั่วไป แต่ข้อกาหนดด้านการประเมินก๊าซเรือนกระจกเหล่านี้ มุ่งท่ีความเชื่อถือได้ของข้อมูล ระบบการจัดการคานวณท่ีถูกต้อง เช่นเดียวกับการตรวจวัดและพิสูจน์ผล (M&V) ดังนั้นจึงไม่ยากท่ีผู้พัฒนาโครงการจะเพิ่มเติมแผนการวัดและพิสูจน์ผลให้สามารถขอการรับรอง การลดกา๊ ซเรือนกระจกไดไ้ ปพร้อมกัน 5. สรา้ งการยอมรบั ความเชือ่ มน่ั ให้กับสงั คมและผ้ปู ระกอบการ ตัวเลขผลประหยดั พลงั งานท่ีถูกนามาเผยแพร่ โดยหน่วยงานเอกชนหรือภาครัฐที่ใช้การส่งเสริมก็ ได้ หากมีการอ้างอิงมาตรฐานวิธีการวัดพิสูจน์ผลจะทาให้สาธารณะตลอดจนผู้บริหารของหน่วยงานนั้นๆ เกดิ ความเชื่อถอื ทศั นคตติ อ่ การลงทนุ ดา้ นประหยัดพลงั งานจะดขี น้ึ และใหก้ ารสนบั สนุนสูงข้ึน 6. ทาใหโ้ ครงการส่งเสรมิ ของภาครัฐประสบผลสาเรจ็ และขยายผลไดย้ ิง่ ขึ้น กิจกรรมอนรุ กั ษ์พลังงานสว่ นหนงึ่ ขบั เคล่ือนโดยงบประมาณของภาครัฐ ซ่ึงหากมีการวัดพิสูจน์ผล ประหยัดได้ชัดเจน จะทาให้มองเห็นความคุ้มค่าของการส่งเสริมขณะเดียวกันหากิจกรรมท่ีดาเนินการไม่ เหมาะสม โครงการนั้นๆ ก็จะได้รับการปรุงปรุงทาให้แผนงานส่งเสริมบรรลุผลการของบประมาณเพ่ิมเติม และขยายผลก็มีความเปน็ ไปได้ คู่มอื การอนรุ กั ษ์พลังงาน 9-5 V.2022
9.4 มาตรฐานในการวัดและพิสูจน์ผล เน่ืองจากวิธีการตรวจวัดและพิสูจน์ผล ขึ้นกับความเหมาะสมของแต่ละมาตรการ เช่น ผลประหยัด สูงหรือผลประหยัดต่าความไม่แน่นอนเอง ตัวแปรที่เก่ียวข้องสูงหรือต่า ความมีอยู่ของข้อมูลก่อนและหลัง ปรับปรุงและการตกลงระหว่างคู่สัญญาเก่ียวกับความเสี่ยงท่ีเกิดขึ้นแตกต่างกันไป ดังน้ันจึงไม่มีมาตรฐาน กาหนดว่า มาตรการประหยัดพลังงานใดควรมีวิธีการวัดและพิสูจน์ผลอย่างไร แนวทางหรือหลักเกณฑ์ท่ีมี อยู่จึงมีลักษณะเป็นกรอบของการวัดและพิสูจน์ผล (Framework) ว่ามีหลายแนวทางแต่ละแนวทาง เหมาะสมกับกรณีใด และหากใช้แนวทางน้ันๆ จะต้องเป็นอย่างไร มาตรฐานหรือหลักเกณฑ์ในการวัดและพิสูจน์ผลท่ีใช้กันแพร่หลาย ได้แก่ IPMVP นอกจากยังมแี นวปฏิบัติของ ASHRAE และ Federal Ener- gy Management Program (FEMP) ที่สนับสนุน IPMVP IPMVP : ห รื อ International Performance Measurement and Verification Protocol จัดทาขึ้นโดยผู้แทนจาก 25 ประเทศในปี คศ.1996 มีลกั ษณะเป็นกรอบของการตรวจวัดและพิสูจน์ผล ต่อมาได้จัดต้ัง หน่วยงานของอสิ ระขึ้นมารับผิดชอบ ชื่อว่า Efficiency Valuation Organ- ization (EVO) มีตัวแทนและสาขาอยู่ทั่วโลกนอกจากการจัดทามาตรฐาน แล้ว EVO ยังให้การรับรอง ผู้ผ่านการฝึกอบรมเป็นผู้ตรวจวัดและพิสูจน์ ผล (CMVP) ปัจจุบันมีผู้ผ่านการฝึกอบรมมากกว่า 150,000 คน IPMVP ถอื เป็นหลกั เกณฑ์ท่ีใชร้ ่วมกนั ทั่วโลก ฉบบั ท่ีลา่ สุดปี คศ. 2012 ASHRAE Guideline 14 : Measurement of Energy and De- mand Savings จัดทาขึ้นในปี คศ. 2002 มุ่งเน้นวิธีคานวณและหลักเกณฑ์ ทางเทคนคิ และวเิ คราะห์ข้อมูลในเชิงลึก และตัวอย่างการใช้งานในขณะที่ IP- MVP จะเป็นกรอบในการทางาน FEMP M&V Guideline : จัดทาโดย Federal Energy Man- agement Program (FEMP) เนอื่ งจากในสหรฐั อเมริกามีโครงการ FEMP เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุนปรับปรุงการใช้พลังงานโดยบริษัทจัด การพลังงาน (ESCO) อาคารของรัฐบาลสหรัฐอเมริกามีจานวนมาก จึงเป็น ตลาดขนาดใหญ่สาหรับ ESCO เพื่อเป็นแนวทางในการวัดผล และทา สัญญาข้อตกลงกับ ESCO โครงการจึงได้จัดทาคู่มือในการตรวจวัดและ พิสูจน์ผลดังกล่าวขึ้น โดยมีลักษณะท่ีเฉพาะเจาะจงมากขึ้น มีตัวอย่างการ วัดพิสูจน์ผลในมาตรการท่ีแพร่หลายแต่ทั้งหมดยึดกรอบแนวทางของ IP- MVP เน้ือหาในคู่มือนี้ทั้งหมดจะอ้างอิง IPMVP เป็นหลักและเสริมด้วย ASHRAE และFEMP Guideline รปู ที่ 9-2 มาตรฐานท่ีแพรห่ ลายในการตรวจวดั พิสูจนผ์ ล 9-6 กลุ่มวิจยั EnConLab มหาวิทยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกล้าธนบรุ ี
9.5 การประเมินผลประหยัด ช่วงก่อนการปรับปรุงหรือช่วง Base- line คือ พฤติกรรมการใช้พลังงานก่อน ดาเนินการมาตรการและ ช่วงหลังดาเนิน ม า ต ร ก า ร ห รื อ เ รี ย ก ว่ า ช่ ว ง ร า ย ง า น ผ ล (Reporting Period) แสดงดังรูปที่ 8-3 ผล ประหยัดพลังงานไม่สามารถหาได้จากการใช้ พลังงานชว่ ง Baseline และชว่ งรายงานผล ผ ล ป ร ะ ห ยั ด พ ลั ง ง า น คื อ ก า ร เปรียบเทียบระหว่างกรณีที่มีการปรับปรุงและ รปู ที่ 9-3 กราฟการใชพ้ ลงั งานกอ่ นและหลงั ปรับปรุง กรณที สี่ ถานประกอบการยงั ใชอ้ ุปกรณ์เดิม ซึ่งมี เหตุการณจ์ รงิ เกดิ ข้นึ เพียงอย่างเดียว คือ มีการปรับปรุงการใช้พลังงานในกรณีไม่ปรับปรุง (เส้นประในรูป) จึงไม่สามารถติดตั้งเครื่องวัดได้โดยตรง และการใช้พลังงานในกรณีที่ไม่ปรับปรุงก็ไม่จาเป็นจะต้องเท่ากับ การใช้พลังงานช่วงก่อนการปรับปรุง เนื่องจากปัจจัยท่ีมีผลต่อการใช้พลังงานไม่เหมือนกัน เช่น หลัง ปรบั ปรงุ ชวั่ โมงการใช้งานลดลง การผลิตเพมิ่ ข้ึน อากาศร้อนขนึ้ พน้ื ที่ปรับอากาศเพ่ิมขน้ึ เปน็ ตน้ ผลการประหยัดพลังงานจึงไม่สามารถวัดได้โดยตรง แต่ต้องประเมินจากการใช้พลังงานหลัง ปรับปรุง และการใช้พลังงานก่อนปรับปรุงหรือช่วง Baseline ท่ีปรับแก้แล้ว (Adjustment) สมการผล ประหยัดจึงเปน็ ดงั น้ี Saving = Baseline Energy use – Reporting Period Energy use ± Adjustment ผลประหยัดในรูป ผลประหยัดพลังงานข้ึนกับ 2 ตัวแปรคือ กาลังไฟฟ้าท่ีใช้และช่ัวโมงการใช้งาน ในรูปการใช้พลังงานก่อนปรับปรุงคือส่ีเหลี่ยมรูปใหญ่ หลังปรับปรุงกาลังไฟฟ้าที่ใช้ลดลงและช่ัวโมงการใช้ งานกล็ ดลงด้วย หากนาพลังงานไฟฟ้า ในปีก่อนปรับปรุงหักลดด้วยปี หลังปรับปรุงผลประหยัด คือ พ้ืนที่ที่แรเงา แต่หากใช้ฐาน อ้างอิงเป็นชั่วโมงการใช้งาน หลังปรับปรุงกล่าวคือปรับแก้ Baseline ตามชั่วโมงการใช้ ห ลั ง ป รั บ ป รุ ง ผ ล ป ร ะ ห ยั ด พ ลั ง ง า น จ ะ เ ท่ า กั บ สี่ เ ห ล่ี ย ม ABCD เทา่ น้ัน รูปที่ 9-4 การใช้พลังงานขน้ึ กบั ทง้ั ประสิทธิภาพและพฤตกิ รรมการใช้งาน คมู่ ือการอนุรกั ษพ์ ลงั งาน 9-7 V.2022
9.6 การเกบ็ ขอ้ มูลช่วง Baseline ยาวนานเทา่ ใด IPMVP ไม่ไดข้ อ้ กาหนดระยะเวลาที่แนน่ อน แตม่ ีข้อพจิ ารณา ดังน้ี ระยะเวลาต้องครอบคลุมอย่างน้อย 1 รอบการทางาน รอบการทางานหมายถึงรปู แบบการใช้ พลังงานหรือปัจจัยทม่ี ีผลต่อการใชพ้ ลังงานเปลยี่ นแปลงครบ 1 รอบ และเรม่ิ ต้นซ้าเดิม เชน่ รปู แบบการ ผลิตของโรงงานจะเหมอื นกันทุกสปั ดาห์ เช่น วันเสาร์ทางาน 1 กะ วันอาทติ ย์หยุด 1 รอบการทางาน หมายถงึ 1 สัปดาห์ โรงงานมผี ลติ เหมอื นกันทุกวนั 1 รอบอาจใช้ 1 วัน หรอื ระบบปรบั อากาศท่กี ารใช้ พลงั งานมีผลจากฤดูกาลการวดั Baseline 1 รอบตอ้ งใช้ 1 ปี เป็นตน้ ขอ้ มลู ทว่ี ดั ไดค้ วรเปน็ ตวั แทนพฤตกิ รรมการใชง้ านจรงิ ได้ ทกุ ยา่ นการใชง้ าน (fair represent) ตัวอย่างเชน่ ข้อมลู บางเดอื นขาดหายไป อาจตอ้ งใช้ข้อมูลในเดอื นเดยี วกนั ของปกี ่อนมาใช้ เพอื่ ให้เป็น ตวั แทนของการใช้งานทั้งปี ช่วงระยะเวลาที่ตรวจวดั Baseline ควรจะครบพอดไี มค่ วรมีเศษของรอบ 9.7 การเก็บขอ้ มลู ในชว่ งรายงานผลยาวนานเท่าใด ชว่ งระยะเวลารายงานผลจะข้ึนกับชว่ งระยะเวลาประเมนิ ผลประหยดั ทต่ี กลงกนั โดยจะต้อง ไม่น้อยกวา่ 1 รอบการทางาน เชน่ เดียวกับ Baseline ควรพิจารณาจากความคงอยู่ของมาตรการ อัตราการเสื่อมของอุปกรณ์ อุปกรณ์ที่มีอัตราการ เส่ือมสูงระยะเวลาในการตรวจวัดอาจต้องยาวข้ึน มาตรการที่ค่อนข้างถาวรอาจมีการวัดช่วงส้ัน และ ตรวจสอบการใชง้ านเป็นระยะ เปน็ ต้น 9.8 จดุ อ้างอิงในการปรบั Baseline การเลอื กจดุ อา้ งองิ ในการปรบั Baseline มไี ด้ 3 รปู แบบ คอื 1. การเปรียบเทยี บทีภ่ าวะก่อนปรบั ปรุง ในรูปแบบนี้ข้อมูลการใช้พลังงานช่วงรายงานผลจะถูกปรับให้อยู่ในสภาวะเดียวกับช่วง Baseline ในกรณนี ้อี าจเป็นเงอ่ื นไขทค่ี ่สู ญั ญาตกลงกันว่าจะให้สภาวะก่อนปรับปรุง ซึ่งอาจเกิดจากกรณีที่ไม่ต้องการ เกบ็ ข้อมูลหลงั ปรับปรงุ ยาวกใ็ ชข้ ้อมลู กอ่ นปรบั ปรุงเป็นจดุ อ้างอิงในการประเมินผลประหยัด สมการท่ีใช้ Saving = Baseline Energy use – (Reporting Period Energy use ± adjustment) 9-8 กล่มุ วจิ ยั EnConLab มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกลา้ ธนบุรี
ก. เปรยี บเทยี บท่ีสภาวะกอ่ นปรบั ปรงุ ค. เปรยี บเทยี บทส่ี ภาวะอ้างอิง ข. เปรยี บเทยี บทส่ี ภาวะหลงั ปรบั ปรงุ รปู ที่ 9-5 การเลอื กจดุ อา้ งอิง 2. การเปรียบเทียบทีส่ ภาวะหลงั ปรับปรงุ ในรูปแบบนี้ข้อมูลการใช้พลังงานก่อนปรับปรุงหรือ Baseline จะถูกปรับให้อยู่ในสภาวะเดียวกับ หลังปรับปรุง ซ่ึงเป็นกรณีที่ใช้ท่ัวไปในการวัดผลประหยัด เนื่องจากต้องการเปรียบเทียบกรณีที่ดาเนิน มาตรการ กับกรณที ่ีมกี ารใชง้ านเหมอื นหลังปรบั ปรงุ แตไ่ ม่ดาเนินมาตรการ สมการทีใ่ ช้ Saving = (Baseline Energy use ± adjustment) - Reporting Energy use 3. การเปรยี บทสี่ ภาวะอ้างองิ ในกรณนี ข้ี ้อมูลการใชพ้ ลังงานทัง้ กอ่ นปรับปรุงและหลังปรับปรุง จะถูกปรับไปอยู่ในสภาวะมาตรฐาน เดียวกัน เช่น กรณีของการปรับอากาศซ่ึงสภาวะท่ีตรวจวัดก่อนปรับปรุงอาจเป็นฤดูร้อน แต่สภาวะหลัง ปรับปรุงเป็นช่วงฤดูหนาว อาจใช้วิธีปรับข้อมูลทั้งสองไปท่ีอุณหภูมิอากาศเฉล่ียของประเทศไทย แล้ว ประเมนิ ผลประหยดั เปน็ ต้น สมการทใี่ ช้ Saving = (Baseline Energy use ± adjustment) – (Reporting Energy use ± adjustment) คูม่ ือการอนรุ กั ษ์พลังงาน 9-9 V.2022
9.9 การปรบั Baseline (Baseline Adjustment) ในการปรับ Baseline จาเป็นต้องกาหนดขอบเขตที่พิจารณาว่ามีการใช้พลังงานท่ีมีผลจากการ ดาเนินมาตรการใดบา้ ง และกาหนดขอบเขต ในบางครั้งมีการเปลี่ยนอุปกรณ์บางชุด ชุดอื่นไม่ถูกเปล่ียนแต่ ภาระทางานอาจเปล่ยี นแปลงและประสทิ ธภิ าพไม่เท่าเดิม ก็จาเป็นต้องอยู่ในขอบเขตพิจารณาด้วย ซ่ึงจะต้อง เปรยี บเทยี บก่อนและหลังดาเนินมาตรการ จากน้ันจะต้องพิจารณาว่าการใช้พลังงานดังกล่าวขึ้นกับตัวแปรใดบ้าง ในการตรวจวัดพิสูจน์ผล นยิ ามตวั แปรทมี่ ผี ลตอ่ การใช้พลงั งาน 2 ประเภท รปู ท่ี 9-6 กระบวนการใชพ้ ลังงาน 1. ตวั แปรอสิ ระ (Independent Variables) ได้แก่ตัวแปรทม่ี ผี ลตอ่ การใชพ้ ลังงาน เมื่อตัวแปรเหล่านี้เปล่ียนแปลงซ่ึงอาจได้แก่ อุณหภูมิอากาศ ภายนอก ปริมาณผลผลิต ช่ัวโมงการทางาน เป็นต้น และปกติค่าเหล่าน้ีอาจจะมีการเปล่ียนแปลงระหว่าง การใช้พลงั งาน ตัวแปรประเภทน้ี ในแตล่ ะมาตรการจะแบ่งไดเ้ ปน็ อีก 2 ประเภท คอื ตัวแปรหลัก (key parameters) หมายถึง ตัวแปรซึ่งจะมีผลต่อผลประหยัดมากกว่าตัวแปรอื่น เช่น มาตรการลดช่ัวโมงการทางานของหลอดไฟในโรงอาหารโดยการติดอุปกรณ์ต้ังเวลา ในกรณีน้ีช่ัวโมง การทางานทีล่ ดเป็นตัวแปรหลกั กาลงั ไฟฟ้าท่หี ลอดใช้ ไมใ่ ช่ตัวแปรหลกั ตัวแปรรอง (non-key parameters) หมายถึง ตัวแปรที่มีผลต่อผลประหยัดน้อย เช่น มาตรการ เปล่ียนหลอดฟลูออเรสเซนต์ 36 วัตต์ เป็นหลอด LED ในอาคารสานักงาน ชั่วโมงการใช้งานอาจจะเป็นตัว แปรรอง แม้เวลาการ ปิด-เปิดจริง ในแต่ละวันอาจคลาดเคล่ือนบ้างขณะท่ีกาลังไฟฟ้าของหลอดไฟเป็นตัง แปรหลกั เป็นตน้ 9-10 กลุม่ วิจยั EnConLab มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ ธนบุรี
2. ปัจจยั คงที่ (Static Factors) ปัจจัยคงที่เป็นตัวแปรที่มีผลต่อการใช้พลังงาน แต่ปกติจะไม่เปล่ียนแปลงก่อนและหลังการดาเนิน มาตรการ แต่อย่างไรก็ตามอาจมีการเปล่ียนแปลงเกิดขึ้นได้หลังปรับปรุง เช่น จากการสารวจจะเปลี่ยน หลอดไฟ 500 หลอด เม่ือดาเนินการจริงพบว่ามีจานวนหลอดไฟ 590 หลอดท่ีเปล่ียนได้ หรือหลังเปล่ียน เคร่ืองทาน้าเย็นในสานักงาน หลังปรับปรุงมีการปรับพื้นท่ีบนดาดฟ้าเป็นสานักงานและภาระปรับอากาศ เพิม่ ขนึ้ ร้อยละ 30 หรอื เครื่องจักรชุดใหม่ทปี่ ระหยดั พลังงาน หลงั จากตดิ ตั้งใช้งาน 1 เดือน มีการควบคุมที่ ผิดพลาดทาให้เครอื่ งชารุด และต้องเปล่ียนเคร่ืองเป็นแบบประหยัดพลังงานแต่คนละรุ่นกับชุดแรก เป็นต้น ปจั จยั เหลา่ น้ีคาดวา่ จะคงท่แี ตเ่ กดิ การเปลย่ี นแปลงจงึ เปน็ การรีที่คาดไดย้ าก ในการปรับ Baseline สามารถแบ่งได้ 2 ประเภทตามประเภทตวั แปร กลา่ วคือ Routine Adjustment เป็นการปรับแก้อันเน่ืองจากตัวแปรอิสระมีค่าเปล่ียนแปลง เช่น ผลผลิต เพิ่มขึ้น อุณหภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงและมีผลให้การใช้พลังงานเปล่ียนแปลง ซ่ึงจะต้องปรับแก้การใช้ พลังงานในช่วง Baseline ให้สอดคล้องกับตัวแปรที่เปล่ียนแปลงเหล่าน้ัน Routine Adjustment จะถูก กาหนดต้ังแต่ขั้นตอนการทาแผนการตรวจวัดและพิสูจน์ผล และกาหนดวิธีการปรับแก้ไว้ในแผน ซึ่งอาจจะ เป็นวิธีต่างๆ เช่น เทียบบัญญัติไตรยางศ์ หรือให้สมการถดถอย ( Regression Model) เพ่ือหา ความสัมพนั ธ์ของการใชพ้ ลงั งานกับตัวแปรอิสระเหล่าน้นั Non-routine Adjustment เป็ นก าร ปรั บแ ก้อั นเ นื่อ งจ าก ปั จจั ยค งท่ี ( Static factor) เปลี่ยนแปลง เช่น เคร่ืองจักรชารุด เพื่ออาคารใหม่ มีการติดตั้งเพิ่มจากท่ีคาดการณ์ไว้ ลักษณะของ Non-routine Adjustment จะเกิดข้ึนเป็นครั้งๆ ไป ไม่เป็นรอบการปรับแก้มักทาได้ยากและมักไม่ระบุใน เป็นการตรวจวัดและพิสูจน์ผลการเปล่ียนแปลงในลักษณะน้ีผลต่อการวัดพิสูจน์ผลแบบดูใบเสร็จรวมท้ัง หน่วยงานมาก (Option C) อย่างไรก็ตามมแี นวปฏิบัตทิ ี่ดีสาหรับ non-routine Adjustment ดังน้ี หากคาดการณ์ได้ว่าอาจมีปัจจัยคงท่ีใดเปลี่ยนแปลงในภายหลังควรระบุไว้ในแผนการตรวจวัด และพิสจู นผ์ ล แมอ้ าจไม่สามารถระบวุ ธิ ีการปรับแกแ้ ต่ควรกาหนดแนวทางแกไ้ ขไว้ ควรบันทึกตัวแปรที่เกี่ยวข้อง และปัจจัยคงท่ีทุกตัวท่ีอาจจะได้ใช้ไว้ท้ังสภาวะก่อนและหลังการ ปรับปรุง แมจ้ ะไม่ต้องใช้ในการคานวณผลประหยดั ก็ตาม เชน่ อุณหภมู ิความส่องสว่าง เปน็ ต้น ค่มู ือการอนุรักษ์พลังงาน 9-11 V.2022
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: