Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือการฝึกอบรมหลักสูตรความปลอดภัยสำหรับพนักงานขับรถขนส่ง

คู่มือการฝึกอบรมหลักสูตรความปลอดภัยสำหรับพนักงานขับรถขนส่ง

Published by First First, 2020-09-21 04:57:26

Description: คู่มือการฝึกอบรมหลักสูตรความปลอดภัยสำหรับพนักงานขับรถขนส่ง

Search

Read the Text Version

1 คู่มอื การอบรม หลกั สูตรการอบรมด้านความปลอดภัยในการ ขนสง่ สาหรบั พนักงานขับรถขนส่ง จดั ทาโดย สานักสวสั ดภิ าพการขนส่งทางบก กรมการขนสง่ ทางบก ปี 2560

2 คานา ตามรายงานสถานการณโ์ ลกดา้ นความปลอดภัยทางถนน พ .ศ. 2558 องค์การอนามยั โลกได้ ประมาณการจานวนผ้เู สียชีวติ จากอบุ ตั เิ หตทุ างถนนของประเทศไทยสูงถึง 24,237 คน คดิ เปน็ อัตราการ เสยี ชวี ติ ต่อประชากรหน่ึงแสนคน เทา่ กบั 36.2 คน สูงเป็นอันดบั สองของโลก ประเมินความสูญเสีย ทาง เศรษฐกจิ คดิ เป็นร้อยละ 3 ของผลิตภณั ฑ์มวลรวมในประเทศ หรือประมาณ 4 แสนล้านบาทตอ่ ปี นอกจากน้ี จากสถิติคดจี ราจรทางบกของสานักงานตารวจแห่งชาติ ในปี 2559 ยังพบวา่ ในจานวนอบุ ตั เิ หตทุ ่ีเปน็ คดีจราจร ทางบกซง่ึ มปี ระมาณ 90,000 ราย ร้อยละ 6 เปน็ อบุ ัติเหตทุ เี่ กิดจากรถโดยสารและรถบรรทุกตัง้ แต่ 6 ลอ้ ข้ึนไป กรมการขนส่งทางบกตระหนักถงึ ความสญู เสียดงั กลา่ ว ดังนน้ั ในภาคการขนส่งด้วยรถโดยสารและรถบรรทกุ กรมการขนส่งทางบกจงึ ได้ ออกกฎกระทรวงความปลอดภัยในการขนสง่ พ .ศ. 2558 กาหนดใหผ้ ้ไู ด้รบั ใบอนญุ าตประกอบการขนสง่ ดว้ ยรถโดยสารและรถทใี่ ชท้ าการขนส่งสตั วห์ รือส่ิงของตามประเภทการขนส่งท่ี กาหนด ต้องปฏิบตั ติ ามข้อกาหนดว่าดว้ ยความปลอดภยั ในการขนสง่ โดยการสง่ ผู้ขับรถเข้ารับการอบรมกับ กรมการขนส่งทางบก หรอื หน่วยงานท่ีกรมการขนส่งทางบกมอบหมายตามหลกั สูตรและกาหนดเวลาทีอ่ ธบิ ดี ประกาศกาหนด หรือจัดใหม้ กี ารอบรมแกผ่ ขู้ ับรถซ่งึ มีหลักสตู ร ระยะเวลา และมาตรฐานเป็นไปตามทีอ่ ธิบดี ประกาศกาหนด ในข้ันต้นเพ่อื ให้ทุกฝุายท่เี กี่ยวข้องมีหลักสูตรการอบรมผขู้ ับรถขนสง่ ที่เหมาะ สมและเป็น มาตรฐานเดยี วกัน สานักสวัสดภิ าพการขนส่งทางบกซ่ึงมภี ารกิจในการกาหนดและปรบั ปรุงมาตรฐานการจัดทา หลกั สตู รตา่ ง ๆ สาหรบั ผขู้ อรบั ใบอนุญาตขบั รถและผปู้ ระจารถ จึงได้แต่งตงั้ คณะทางานจัดทาหลกั สตู รการ อบรมด้านความปลอดภยั ในการขนสง่ สาหรบั ผู้ขบั รถขนส่ง ประกอบดว้ ยผู้เชยี่ วชาญเฉพาะด้านความปลอดภยั ผู้แทนสานักการขนส่งผ้โู ดยสาร สานักการขนสง่ สนิ คา้ และหัวหนา้ ส่วน/กลมุ่ สานักสวสั ดภิ าพการขนส่งทางบก เพือ่ ร่วมกนั พิจารณากาหนดหลกั สูตรดงั กล่าว และออกประกาศหลักสูตรดงั กล่าว เพือ่ ใหผ้ ู้เกี่ยวข้องนาไปใช้ใน การดาเนนิ งานตามท่กี าหนดในกฎกระทรวงต่อไป ในการน้ี กรมการขนสง่ ทางบกขอขอบคณุ คณะทางานทุกทา่ นที่มสี ่วนร่วมในการจัดทาคู่มือการ อบรมหลักสูตรการอบรมดา้ นความปลอดภยั ในการขนสง่ สาหรับผขู้ บั รถขนส่งฉบบั นี้ หวงั ว่า คู่มอื การอบรม หลักสตู รดังกลา่ ว จะมสี ว่ นชว่ ยลดอุบตั ิเหตุท่เี กดิ ในภาคการขนสง่ ทางถนน และนา ไปสู่การพฒั นาระบบการ ขนส่งทางถนนทป่ี ลอดภัยของประเทศตอ่ ไป สานกั สวัสดิภาพการขนสง่ ทางบก กรมการขนสง่ ทางบก

3 สารบัญ หน้า 1 ความเป็นมา 1 4 วัตถปุ ระสงค์ โครงสรา้ งหลักสูตร บทท่ี 1 ทศั นคติและจิตสานึกในการขับรถอย่างปลอดภัย 11 13 1.1 สถานการณอ์ ุบัตเิ หตุทเี่ กิดจากรถขนส่งของประเทศไทย 1.2 ปัจจยั ท่ีสง่ ผลต่อการเกดิ อุบัติเหตุ 30 1.3 สาเหตุการเกิดอุบตั ิเหตุ 1.4 ปรัชญา แนวคิดและทศั นคตใิ นการขบั รถปลอดภยั 1.5 มารยาทและมนษุ ยสัมพันธ์ในการขับรถ บทที่ 2 การเตรียมความพร้อมของสภาพรา่ งกายและจิตใจของพนกั งานขับรถ 2.1 สมาธแิ ละความพร้อมของรา่ งกาย 2.2 การตรวจความพร้อมก่อนปฏบิ ตั ิงาน บทท่ี 3 การเตรยี มความพรอ้ มของรถ 3.1 การตรวจสภาพรถกอ่ นใชง้ านแบบ BE-WAGON 1) ตรวจสอบระบบเบรกและคลัตช์ B (Brake) 2) ตรวจสอบระบบไฟฟาู E (Electricity) 3) ตรวจสอบระดับนา้ ในหมอ้ น้าและหมอ้ พกั W (Water) 4) ตรวจสอบยางและแรงดันลมยาง A (Air) 5) ตรวจสอบระบบน้ามนั เชือ้ เพลงิ G (Gasoline) 6) ตรวจน้ามนั หลอ่ ลนื่ O (Oil) 7) ตรวจเสียงดงั ตามจดุ ตา่ งๆ N (Noise) 3.2 ระบบการตรวจเชก็ รถประจาวนั 3.3 การตรวจเช็กรถในระหวา่ งขบั รถ 3.4 การตรวจเช็กระหว่างจอด 3.5 การตรวจเชก็ หลงั การใชง้ าน บทท่ี 4 การขับรถปลอดภยั เชิงป้องกันอบุ ัติเหตุ 4.1 การเตรยี มพร้อมกอ่ นการออกรถ 8 ข้นั ตอน (บัญญัติ 8 ประการ) 4.2 การขบั รถดว้ ยเทคนิคระบบเสยี งนาสมอง 4.3 การใชอ้ ุปกรณใ์ นการควบคุมรถ 4.4 ทา่ น่งั ขบั รถ

4 หน้า 50 4.5 การคาดเข็มขดั นริ ภัย 4.6 การสตาร์ทเครอื่ งยนต์ 4.7 เทคนคิ การมองท่ปี ลอดภยั 4.8 การใช้สายตามองขณะขับขี่ 4.9 การปรับมมุ กระจก 4.10 เทคนิคการมองกระจก 4.11 การตรวจสอบการจราจร 4.12 การออกรถท่ปี ลอดภยั 4.13 การจอดและหยดุ รถ 4.14 การจอดรถรมิ ทาง 4.15 การเบรก 4.16 ระยะตามรถ 4.17 เทคนิคการขบั รถเขา้ โค้งหรือวงเลีย้ ว 4.18 การขับรถข้ึน-ลงทางลาดชนั 4.19 การแซงท่ปี ลอดภัย 4.20 การใช้ถนนทางร่วมทางแยก 4.21 การใช้สญั ญาณไฟฉกุ เฉิน บทท่ี 5 การประเมิน ควบคมุ และแก้ไขสถานการณไ์ มป่ กติและฉุกเฉิน 5.1 การประเมนิ ควบคมุ และแกไ้ ขสถานการณไ์ มป่ กติ 1) การขับรถขณะฝนตกหนัก 2) การขับขร่ี ถหลงั ฝนหยดุ ตก 3) การขบั รถเวลากลางคืน 4) การขับรถเมอ่ื มีสัญญาณน้าปุาไหลบ่าถนน 5) การขบั รถบนถนนท่มี สี ภาพเปน็ ดนิ หรือลกู รัง 6) การขับรถทต่ี อ้ งเผชิญกบั ลมแรงจดั 7) การขับรถฝุาพายุฝนุ และกลุ่มควันไฟ 8) การขบั รถในช่วงฤดูหนาว มีหมอกลงจัด 9) การขับรถในช่วงนา้ ท่วมขัง 10) การขับรถถอยหลงั ในทางตรง 5.2 การประเมนิ ควบคุม และแกไ้ ขสถานการณฉ์ กุ เฉนิ 1) เบรกแตก

5 หนา้ 2) เบรกคา้ ง 60 3) รถตกน้า 62 4) รถลน่ื ไถลและรถหมุน 65 5) ยางแบนขณะวิ่ง 6) ยางระเบิด 7) กระจกหน้ารถแตก บทท่ี 6 การบริหารจัดการความเหนอ่ื ยลา้ บทที่ 7 การขับรถประหยัดน้ามนั เอกสารประกอบการศึกษา

หลักสูตรการอบรมด้านความปลอดภัยในการขนสง่ สาหรับพนกั งานขบั รถขนส่ง ความเป็นมา กฎกระทรวงความปลอดภยั ในการขนส่ง พ.ศ. 2558 ออกตามความในพระราชบญั ญัติการขนสง่ ทาง บก พ.ศ. 2522 ลงวนั ที่ 30 พฤศจกิ ายน 2558 ข้อ 3 (9) และวรรคสอง และข้อ 4 (4) กาหนดให้ ผูไ้ ดร้ ับ ใบอนญุ าตประกอบการขนส่งดว้ ยรถโดยสารและรถทีใ่ ช้ทาการขนสง่ สัตวห์ รอื ส่ิงของตามประเภทการขนส่งที่ กาหนด ตอ้ งปฏบิ ัติตามขอ้ กาหนดว่าด้วยความปลอดภยั ในการขนส่ง โดยการส่งผ้ขู บั รถเข้ารบั การอบรมกบั กรมการขนส่งทางบก หรือหนว่ ยงานทก่ี รมการขนส่งทางบกมอบหมายตามหลักสูต รและกาหนดเวลาท่ีอธบิ ดี ประกาศกาหนด หรือจดั ใหม้ ีการอบรมแกผ่ ขู้ ับรถซึ่งมีหลกั สูตร ระยะเวลา และมาตรฐานเป็นไปตามทอ่ี ธบิ ดี ประกาศกาหนด กรมการขนสง่ ทางบกจงึ ไดจ้ ัดทา คู่มอื การอบรมหลักสตู รการอบรมด้านความปลอดภัยในการ ขนสง่ ใหแ้ กพ่ นักงานขับรถขนสง่ ของ ผไู้ ดร้ บั ใบอนญุ าตประกอบการขนสง่ ตามพระราชบัญญตั กิ ารขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 และออกประกาศให้เปน็ ไปตามกฎกระทรวงดงั กลา่ ว ในการจัดทาหลักสตู รและคู่มือการอบรมหลกั สูตร การอบรมด้านความปลอดภัยในการขนสง่ ให้แก่ พนกั งานขับรถขนสง่ ผ้จู ัดทาไดค้ านงึ ถงึ ปจั จยั เสยี่ งของการเกิดอุบตั ิเหตทุ ่ีเกดิ จาการขนสง่ ดว้ ยรถโดยสารและ รถบรรทกุ ซ่งึ กรมการขนส่งทางบกไดร้ วบรวมจากรายงานอบุ ตั เิ หตุการขนสง่ ท่สี านกั งานขนสง่ กรงุ เทพมหานครพื้นที่ 1 – 5 และสานกั งานขนสง่ จงั หวดั ทวั่ ประเทศได้รายงานเขา้ มาในรอบปี 2559 และ รายงานการศึกษาวจิ ยั ตา่ ง ๆ ทีเ่ ก่ียวข้อง พบวา่ มีสาเหตสุ าคญั 2 ประการ ได้แก่ 1. การขาดทกั ษะในการขับรถท่ถี ูกต้องและปลอดภยั ในสภาวการณ์ต่าง ๆ 2. การขาดจติ สานึกและวินยั ในการขับรถ จึงเห็นควรนาสาเหตุดงั กล่าวมาเป็น แนวทางในการ จัดทาหลกั สตู ร การอบรมด้านความปลอดภยั ในการขนสง่ สาหรบั พนักงานขับรถขนส่ง วตั ถุประสงค์ โครงสรา้ งหลกั สูตร วตั ถปุ ระสงค์ของหลกั สูตร : 1. เพ่ือใหผ้ ูข้ บั รถสามารถนาความรู้และทักษะท่ีได้ไปปรบั ใชใ้ นการปฏบิ ตั ิหน้าที่ได้อย่างปลอดภยั ไม่ ก่อใหเ้ กดิ ความเสยี หายต่อชีวติ และทรัพยส์ ินของตนเอง ผปู้ ระกอบการขนส่ง และงคสัมโดยรวม 2. เพอื่ ปลกุ จติ สานึกในการขับรถอยา่ งปลอดภยั เพ่อื ไมก่ ่อใหเ้ กดิ อนั ตรายตอ่ ตนเองและผรู้ ่วมทาง

2 โครงสร้างหลกั สูตร : หัวขอ้ การอบรม รปู แบบการอบรม/กจิ กรรม เวลา 1. เทคนิคการขบั รถอยา่ ง บรรยายตามเนือ้ หาของหลกั สตู ร ได้แก่ ประมาณ ปลอดภยั 1.5 ชม. 1. เทคนิคการขบั รถในสถานการณ์ต่าง ๆ หวั ขอ้ การอบรม 2. เทคนิคการขบั รถเชงิ ปอู งกันอุบตั ิเหตุ เวลา 2. การปลุกจติ สานกึ ใน 3. การรับรู้อนั ตรายและการมองหา/สังเกตสัญญาณอนั ตราย ประมาณ การขับรถอยา่ งปลอดภัย 4. ฯลฯ 1.5 ชม. รปู แบบการอบรม/กจิ กรรม วิทยากรนากรณศี ึกษาอุบตั เิ หตทุ ่ีเกิดข้ึนจรงิ ในองค์กร หรอื ท่ี สังคมใหค้ วามสนใจ และให้ผู้เข้าอบรมร่วมกันอภิปราย แสดง ความเหน็ ตอ่ เหตุการณ์ เพ่ือรว่ มกันหาบทสรุปของสาเหตุของการ เกิดอบุ ตั เิ หตุ และการหลีกเล่ยี ง หรอื การปูองกันไม่ให้อุบัตเิ หตุ นน้ั เกดิ ขน้ึ ภายในองค์กรอีก มาตรฐานผผู้ ่านการอบรม : ผูผ้ ่านการอบรมสามารถตัดสินใจไดถ้ กู ต้องในการหลีกเลี่ยงการเกดิ อุบัติเหตุในขณะขับรถขนส่ง และไมเ่ ป็นตน้ เหตขุ องการเกิดอุบัตเิ หตุทางถนน คุณสมบตั ผิ ู้เข้ารบั การฝึกอบรม: เป็นผูข้ บั รถขนสง่ ผู้โดยสารและรถบรรทุกตามพระราชบัญญัติการ ขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 หรือผู้สนใจ ระยะเวลาการฝกึ อบรม : จานวนอยา่ งนอ้ ย 3 ช่ัวโมง คาอธิบายหลกั สูตร : หลกั สูตรการอบรมด้านความปลอดภยั ในการขนสง่ สาหรับพนกั งานขบั รถขนสง่ เป็นการให้ความรู้ ทกั ษะในการขบั รถอยา่ งปลอดภัยด้วยวิธีการบรรยาย อภิปราย และแลกเปลีย่ นความคดิ เหน็ ระหว่างวทิ ยากร และผเู้ ขา้ อบรม เพือ่ ใหผ้ เู้ ขา้ อบรมได้มีโอกาสเรียนรู้วธิ ีการขับรถอยา่ งปลอดภัยในสถานการณ์ที่เส่ียงตอ่ การเกิด อบุ ตั ิเหตุ มีการยกตัวอยา่ งเหตกุ ารณ์อบุ ตั เิ หตุทเี่ กิดขึน้ จริงกับสถานประกอบการ (ถ้ามี) หรอื เหตกุ ารณ์ทเ่ี ปน็ ที่ วิพากษ์วจิ ารณ์ในสอ่ื สงั คมต่าง ๆ เพอื่ ใหผ้ ูเ้ ขา้ อบรมมีส่วนร่วมในการคน้ หาสาเหตุและแนวทางปอู งกนั ไม่ให้ เหตกุ ารณ์เหล่าน้นั เกิดขน้ึ ในองคก์ รของตนเอง อนั จะนามาซ่ึงการลดความสญู เสยี ในธรุ กิจ ดังนั้น จึงควรจดั ให้มกี ารอบรมเปน็ ประจาหรอื อย่างนอ้ ยปีละ 1 คร้งั หลักสตู รนี้ ผ้ปู ระกอบการขนส่ง สามารถประยุกตใ์ ห้ เหมาะสมกับสภาพปญั หา ระยะเวลา และธุรกิจของตนเองได้ แตร่ ะยะเวลาการอบรมตอ้ งไม่นอ้ ยกวา่ 3 ชัว่ โมง สอื่ การฝกึ อบรม : ๑. คมู่ ือการอบรม หรือการบรรยายพร้อมนาเสนอ PowerPoint ท่มี ภี าพประกอบการบรรยาย ๒. ภาพนิ่ง/คลิป/วิทัศน์เหตกุ ารณ์อุบัตเิ หตทุ ่เี กิดขนึ้ จริงจากการขนสง่ ของสถานประกอบการ หรอื จากเหตุการณอ์ บุ ัตเิ หตุท่ีปรากฏทางสอ่ื สังคมตา่ ง ๆ

3 การประเมนิ ผลการอบรม : ๑. วธิ กี ารวดั ผล ภายหลังการอบรม ให้ สงั เกตการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมของผู้ขบั รถ และจานวน อุบัติเหตทุ ่ีเกิดจากการขนส่งดว้ ยรถขององค์กร ๒. เครอื่ งมอื วัดผล ให้มีการรายงานการเกิดอุบตั ิเหตุทางถนนในทกุ กรณี มีผูร้ บั ผดิ ชอบในการ รวบรวมรายงานนาเสนอผู้บริหารองค์กรทุกคร้งั ๓. การตรวจสอบและตดิ ตามผล ประมวลผลรายงานอุบัติเหตุ และ จัดการอบร ม เพอื่ ทบทวน ความรู้ แลกเปลยี่ นความคดิ เหน็ และนาเสนอแนวทางปอู งกนั ภายในองค์กร

4 บทท่ี 1 ทศั นคตแิ ละจติ สานกึ ในการขบั รถอย่างปลอดภยั 1.1 สถานการณ์อบุ ตั เิ หตุทเ่ี กดิ จากรถขนสง่ ของประเทศไทย เปน็ ทีท่ ราบกันดวี ่า ปัจจยั ที่ส่งผลให้เกิดอบุ ัตเิ หตุทางถนนประกอบไปด้วย ความผิดพลาดของผ้ใู ช้ ถนน ความบกพรอ่ งของรถ ถนนและสิ่งแวดล้อม โดยอาจเกิดจากปัจจัยใดปจั จัยหนง่ึ หรอื อาจเกิดจากปัจจัย ร่วมประกอบกนั เปน็ เหตุการณ์ลกู โซ่ จากสถิตคิ ดีจราจรทางบกของสานักงานตารวจแหง่ ชาติ พบว่าจานวน อบุ ัตเิ หตุทเี่ กิดจากการขนสง่ ด้วยรถโดยสารและรถบรรทกุ ในปี งบประมาณ 2559 มีจานวนสงู ถงึ 4,707 คร้ัง (ขอ้ มลู ณ วนั ท่ี 4 ตุลาคม 2559) และจากรายงานสถิติอุบัตเิ หตุทีเ่ กดิ จากรถขนส่ง (รถโดยสารและรถบรรทุก ทกุ ประเภท) รวบรวมโดยกรมการขนส่งทางบก พบว่าสาเหตุหลักของการเกดิ อุบัติเหตุสนั นิษฐานเบื้องต้นวา่ มากกวา่ ครึ่งหนง่ึ ของอุบัติเหตทุ ีเ่ กดิ จากรถโดยสารและรถบรรทุกเป็นต้นเหตุ โดยสาเหตุสาคัญ 3 อนั ดบั แรกท่ี รถโดยสารและรถบรรทุกเปน็ ตน้ เหตุ ได้แก่ ขบั รถเร็วเกนิ อัตราท่กี ฎหมายกาหนด หลบั ใน และขับตามหลัง หรอื แซงในระยะกระชั้นชิด สว่ นสาเหตุที่เกิดจากรถค่กู รณเี ป็นตน้ เหตสุ ว่ นใหญ่เกดิ จากการขบั รถเร็ ว ตดั หนา้ ในระยะกระช้นั ชิด และไมช่ านาญเส้นทาง หากผขู้ บั รถทกุ คน โดยเฉพาะรถโดยสารและรถบรรทกุ มคี วามร้ทู ี่ ถูกต้องและมที ักษะการขับรถเชงิ ปูองกันอบุ ัติเหตุ รวมถึงมีจิตสานึกในการขับรถอย่างปลอดภัยแล้ว อุบตั เิ หตทุ ่ี เกิดข้ึนควรจะเกิดจากเหตุสดุ วิสยั และไมส่ ามารถหลกี เล่ียงได้จริง ๆ เท่านนั้ “ความเร็ว” เพ่มิ โอกาสในการเกิดอบุ ตั เิ หตุ ความเร็วทส่ี ูงข้ึน จะมีระยะทางในการหยดุ รถเพ่มิ ขึน้ จากผลการวจิ ยั พบวา่ ในสภาพแวดล้อมและ ระยะเวลาในการรบั รตู้ อบสนองเดียวกนั สาหรบั รถยนต์เมอ่ื เพม่ิ ความเร็วจาก 32 กม./ชม. เป็น 112 กม./ชม. หรอื 3.5 เทา่ จะต้องใชร้ ะยะทางในการหยุดรถเพิ่มข้ึนถึง 8 เท่า (Directgov, 2008) นอกจากนั้น ความเร็วยงั เพิม่ ความรนุ แรงของอุบัตเิ หตุ จากสถิตใิ นประเทศองั กฤษพบว่า หากรถยนต์ชนคนเดินเทา้ ทคี่ วามเร็ว 48 กม./ ชม. คนเดินเท้าอาจจะเสียชวี ิต 20% แต่หากชนทค่ี วามเร็ว 64 กม./ชม. คนเดนิ เทา้ อาจจะเสียชวี ติ ถึง 90% (Directgov, 2008) และจากการศกึ ษาในประเทศสวีเดนพบว่าทุกๆ ความเรว็ ท่เี พิ่มขึน้ 10% จะเพ่มิ แรงในการ ปะทะ 21% และเพ่ิมความรุนแรงของอุบตั เิ หตถุ งึ ขนั้ เสยี ชีวติ สูงถงึ 46% (Vagverket, 2008) จากข้อมูลสถิติ ท้งั ในประเทศและตา่ งประเทศ ยืนยนั ไดว้ ่า การขับรถเร็วเป็นปจั จยั สาคัญของปัญหาอุบตั ิเหตทุ างถนนท่ตี อ้ ง ไดร้ ับการแกไ้ ขอย่างจรงิ จงั และต่อเน่ือง (ขอ้ มูลจากองคก์ ารอนามัยโลก ปี 2007 และศูนยว์ จิ ัยอบุ ัติเหตแุ หง่ ประเทศไทย สถาบนั เทคโนโลยีแห่งเอเชยี 2007)

5 1.2 ปัจจยั ท่สี ่งผลต่อการเกิดอุบตั เิ หตุ ในภาพรวมของรถทกุ ประเภท อบุ ตั ิเหตุทเี่ กิดข้ึนในการจราจรทางบกนัน้ เกดิ ขึ้นจากหลายสาเหตุ ดว้ ยกนั โดยมี 3 สาเหตุหลกั ได้แก่ คน รถ ถนนและส่งิ แวดล้อม โดยสาเหตุมากกวา่ ร้อยละ 80 เกิดจากคนหรือ ผขู้ บั ขี่ ซงึ่ อาจขับรถประมาท ขาดความรู้ ขาดทักษะในเรือ่ งเทคนคิ การขบั รถทีถ่ ูกต้ อง รวมถึงขาดจิตสานึกใน การขบั ขอ่ี ย่างปลอดภัย สาเหตุสาคัญท่ีเกดิ จากคน ทง้ั ผู้ขบั รถและคนเดินเทา้ จาแนกได้ ดังนี้ 1) สาเหตุท่ีเกดิ ข้นึ จากผู้ขับรถ 1.1) มคี วามบกพรอ่ งทางดา้ นร่างกาย เชน่ ร่างกายอ่อนเพลยี ง่วงนอน หรือหลับใน สขุ ภาพ ไมด่ ี มีโรคประจาตัว โรคลมชัก ตาบอดสี ตาพรา่ น้าตาลในเลือดต่า 1.2) มีความบกพรอ่ งทางด้านจติ ใจและอารมณ์ เชน่ มคี วามกลัดกลุ้มใจ วิตกกังวล อารมณ์ หงุดหงดิ ฉนุ เฉยี ว มีความตึงเครียดทางอารมณ์ 1.3) ขาดความรคู้ วามชานาญ และประสบการณ์ในการใช้ถนน เช่น ขาดความร้เู รือ่ งความเรว็ ของรถ คาดคะเนความเรว็ หรอื กะระยะทางไมถ่ ูกต้อง ไมม่ คี วามรู้ความชานาญในเร่อื ง ลักษณะของยวดยานทใ่ี ช้ขบั ไม่รู้กฎจราจร เป็นตน้ 1.4) ไมป่ ฏบิ ัติตามกฎระเบยี บหรือข้อบงั คับ เชน่ ขับรถเรว็ ขับรถตัดหน้ารถอ่นื ระยะกระชน้ั ชดิ ขับรถลา้ ช่องทางเดินรถ ขับรถแซงซา้ ย หรอื แซงขวาในที่คับขนั ขบั รถตามหลงั คน อืน่ อย่างกระชั้นชดิ ฝุาฝนื ปาู ยหยดุ ขณะออกจากทางรว่ ม ขับรถย้อนศรทางเดนิ รถ ขบั รถฝุาฝนื เครือ่ งหมายจราจร หยดุ รถโดยกระช้นั ชิด ฯลฯ 1.5) ไม่รูจ้ กั ปอู งกันตนเอง เช่น ขับรถดว้ ยความประมาท ขาดความระมดั ระวัง ความเร่งรบี ใน การเดนิ ทาง เสพยากระตุ้นประสาท ด่ืมสุราขณะขับรถ ฯลฯ สาหรบั เรอ่ื งการดื่มสรุ านั้น จากสถิตขิ องสถาบนั นิตเิ วชวิทยา กรมตารวจ ปี พ .ศ. 2532 พบว่าผู้เสียชีวิตดว้ ย อบุ ตั ิเหตจุ ากการจราจร มปี ระวตั กิ ารด่ืมสุราจานวน 288 คน ซ่ึงคดิ เปน็ ร้อยละ 77.12 2) สาเหตุทเ่ี กิดจากผใู้ ช้รถใชถ้ นน 2.1) การขาดความระมัดระวัง เช่น ผู้โดยสารข้นึ หรอื ลงรถโดยไมร่ ะมดั ระวัง ในการปดิ -เปิด ประตรู ถ เดนิ ถนนโดยไมร่ ะมัดระวงั ยวดยาน วิ่งตัดหน้ารถ การวิ่งเล่นบนถนน ลื่นหก ล้ม ลงั เลใจในการข้ามถนน ฯลฯ 2.2) การไม่ปฏบิ ตั ติ ามกฎจราจร เชน่ หอ้ ยโหนรถโดยสารรถประจาทาง ไม่ข้ึนหรอื ลงขณะรถ หยดุ หรอื ที่ปาู ยจอด ไมข่ ้ามถนนตรงทางข้าม , สญั ญาณ หรอื สะพานลอย ไม่เดินถนน ตามบาทวถิ หี รอื ทางเท้า 2.3) ความรู้เท่าไม่ถงึ การณ์ เชน่ ข้ามถนนโดยออกจากหนา้ หรอื ทา้ ยรถขณะทรี่ ถยังจอดอยู่ สตั ว์เลีย้ งเดนิ ขา้ มถนนหรือวิง่ ตดั หนา้ รถ ฯลฯ

6 2.4) ความไมส่ มบรู ณข์ องร่างกายและ จติ ใจ เชน่ สภาพร่างกายทอี่ อ่ นเพลียการดม่ื สรุ า ขณะเดินถนน เป็นตน้ 1.3 สาเหตุการเกิดอบุ ตั เิ หตุ สาเหตุของการเกิดอุบัตเิ หตุ มีองค์ประกอบสาคญั 2 ประการ ได้แก่ 1) การกระทาที่ไม่ปลอดภัย (UNSAFE-ACT) หมายถึง การกระทาหรอื การปฏิบตั ิงานของคนทม่ี ีผล ทาใหเ้ กิดความไมป่ ลอดภยั กับตนเองและผู้อืน่ เช่น การขบั รถด้วยความเร็ว ซงึ่ มคี วามเสีย่ งในการเกิดอุบัติเหตุ สูงเปน็ การกระทาท่ไี มป่ ลอดภัย 2) สภาวะการทีไ่ ม่ปลอดภยั (UNSAFE-CONDITION) หมายถึง สภาพแวดลอ้ มท่ีไมเ่ หมาะสม เปน็ อันตรายต่อการปฏิบตั ิงาน เช่น การขับรถในเวลากลางคืน ฝนตกหนัก ถนนที่อนั ตราย 1.4 ปรชั ญา แนวคิดและทัศนคติในการขบั รถปลอดภัย ปรัชญาของการขบั รถปลอดภยั เชิงปอ้ งกนั อบุ ตั เิ หตุ คือ การขับรถเพื่อหลีกเลยี่ งอบุ ตั ิเหตุ แม้ว่า เหตแุ หง่ อุบตั ิเหตุนนั้ จะมาจากความผดิ พลาดของตนเอง ห รอื จากความผิดพลาดของผอู้ ื่น หรอื จากสภาวะ แวดล้อมที่เลวร้าย ไมเ่ ออื้ อานวยสาหรบั การขับขกี่ ็ตาม โดยมีเปูาหมายในการขับ ไม่ใหไ้ ปชนผู้อืน่ ไม่ใหผ้ ้อู นื่ มา ชนเรา ไมเ่ ป็นเหตุให้ผู้อน่ื ชนกนั และถงึ ทห่ี มายอยา่ งปลอดภยั ทศั นคติ หมายถงึ แนวความคดิ เห็นของเราที่มตี อ่ ส่งิ ใด ส่ิงหน่ึง ซ่ึงจะถกู แสดงออกมา เป็นความเหน็ กฎระเบียบ หรอื การกระทา ซึ่งทศั นคตใิ นการขบั รถปลอดภยั จะเปน็ ตวั กาหนดพฤตกิ รรมของเราท่ีมตี อ่ การขับรถ หลกี เลี่ยงพฤตกิ รรมเสยี่ งภัย หลีกเลี่ยงการกระทาทไ่ี ม่ปลอดภยั ไม่ยดึ ตดิ กับความถูก - ความผดิ รจู้ ักให้อภัย แก่คนท่ขี บั รถผิดกฎจราจร เพอ่ื ให้ เขา - เรา - และทุกฝุาย รอดพ้นจากการเกดิ อุบตั ิเหตุ ถา้ ปราศจากทศั นคติ ท่ีถูกตอ้ ง และความม่งุ มัน่ ที่จะขบั รถให้ปลอดภยั ก็อาจจะเปน็ สาเหตทุ ที่ าให้เกดิ อบุ ัตเิ หตไุ ด้ ทศั นคติในการขบั รถปลอดภัยไดแ้ ก่ - เอื้ออาทรตอ่ ผู้ใชร้ ถใชถ้ นนคนอ่ืน ๆ เสมอ - ยอมรับและเตรยี มพรอ้ มสาหรับความผดิ พลาดของผู้อ่ืน - ยอมรับว่าไม่มีงานใดท่ีเรง่ ด่วนจนกระท่ังทาให้ตอ้ งขับรถเร็วเกนิ กว่ากาหนด - ตอ้ งเขา้ ใจวา่ การขับรถเปน็ ทักษะที่ตอ้ งประกอบดว้ ยเทคนคิ ตา่ งๆท่ถี กู ตอ้ ง - ต้องมคี วามพรอ้ มอยู่เสมอ ทั้งร่างกายและจิตใจ - เตอื นตวั เองเสมอว่ารถไม่สามารถอย่ใู นสภาพปลอดภยั ได้ หากขาดการบารุงรักษาอยา่ งถูกตอ้ ง

7 1.5 มารยาทและมนษุ ยสัมพันธ์ในการขบั รถ ปจั จบุ ันปรมิ าณรถไดเ้ พม่ิ ขน้ึ เปน็ จานวนมาก ในการขบั รถบนทอ้ งถนนโดยทว่ั ไปทาใหผ้ ู้ทขี่ บั รถมกั เจอสภาพปญั หาต่าง ๆ มากมาย ทงั้ ยานพาหนะท่เี พิม่ ขนึ้ ปัญหาจราจร ปญั ห าอุบตั เิ หตุ รวมท้ังเทคโนโลยี ของรถทท่ี าใหร้ ถมคี วามเรว็ มากขึ้น นอกจากนั้น ความเร่งรบี ของคนขบั รถ ก็สง่ ผลตอ่ การไมป่ ฏิบตั ติ ามกฎ จราจรหรือบางสว่ นยงั ฝาุ ฝนื ทาใหบ้ างคร้ังเกิดอุบตั ิเหตุข้นึ ท่กี ล่าวมาขา้ งต้นล้วนแต่เกดิ จากผขู้ บั รถท้งั ส้ิน ดังนัน้ ถา้ ทกุ คนมมี ารยาททด่ี ี ก็จะส่งผลใหป้ ญั หาดา้ นการจราจร และอุบตั เิ หตุ ลดลงได้ การสร้างมนุษยสมั พนั ธ์ ในการขบั รถพนักงานขับรถจะตอ้ งพบเจอกบั ผู้คนมากมาย คือ ผู้บังคับบัญชา ผใู้ ตบ้ ังคับบญั ชา เพื่อนรว่ มงาน ผใู้ ชบ้ รกิ าร เพ่อื นร่วมทางบนทอ้ งถนน ดังน้นั ผ้ขู บั รถ จะตอ้ งมกี ารสรา้ งมนษุ ยสัมพนั ธก์ บั บคุ คลกลมุ่ ตา่ งๆ ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. ผู้บงั คบั บัญชา 2. ผใู้ ต้บังคบั บญั ชา 3. เพ่อื นร่วมงาน 4. ผู้ใชบ้ ริการ 5. เจ้าหนา้ ทีจ่ ราจรและเจา้ หน้าทท่ี ีเ่ กี่ยวขอ้ ง 6. ผใู้ ชก้ ารจราจรร่วมกัน ในการสรา้ งมนษุ ยสมั พนั ธก์ ับคนท้งั 6 กล่มุ ข้างตน้ จะตอ้ งใชเ้ ทคนิค ดังต่อไปนี้ 1. เทคนิคในการสร้างมนษุ ยสัมพนั ธก์ บั ผู้บงั คับบญั ชา 1.1 ใหค้ วามเคารพนับถอื 1.2 ยกยอ่ งชมเชยให้เกียรตผิ ้บู งั คับบญั ชาทัง้ ตอ่ หนา้ และลบั หลัง 1.3 ตัง้ ใจทางานในหนา้ ทใี่ หด้ ีทสี่ ดุ 1.4 ปฏบิ ัตติ ามคาสงั่ ของผบู้ ังคั บบัญชา เชื่อฟัง และใหค้ วามรว่ มมือในการทางานอยา่ ง สมา่ เสมอ 1.5 ไมส่ ร้างความเป็นศตั รูกับผูบ้ งั คับบญั ชา 1.6 พัฒนาตนเองใหก้ ้าวหน้าอยเู่ สมอ 1.7 ทางานตามขนั้ ตอนไมข่ า้ มการบังคับบัญชา 1.8 หลกี เลีย่ งการประจบสอพลอ และคล้อยตามโดยไมม่ ีเหตผุ ล 1.9 ไมร่ บกวนผบู้ งั คบั บัญชา ด้วยเร่อื งเลก็ ๆ น้อยๆ 1.10 ไมบ่ น่ ถงึ ความยากลาบากในการทางาน 1.11 ประเมินตนเองอย่างมเี หตผุ ลและแกไ้ ขส่งิ ท่ผี ดิ พลาด 1.12 ไม่ฉกี หน้าผ้บู งั คบั บญั ชา 1.13 มคี วามอดทนและควบคุมอารมณ์ 2. การสร้างมนษุ ยสมั พนั ธ์กับผ้ใู ตบ้ ังคบั บัญชา 2.1 ใหค้ วามเมตตา 2.2 เมอื่ ทาดียกย่องชมเชยต่อหน้าผอู้ ่นื

8 2.3 เมือ่ ทาผิดสอบถามสาเหตุ หากผิดจรงิ วา่ กลา่ วตักเตือนสองต่อสอง 2.4 รับฟงั ความคดิ เหน็ ของผใู้ ต้บงั คบั บญั ชา 2.5 ให้คดิ ว่าผใู้ ต้บังคบั บญั ชาเปน็ ส่วนหนงึ่ ของหน่วยงาน 2.6 ให้ความยุตธิ รรม สมา่ เสมอไมล่ าเอียง 2.7 ส่งเสรมิ สนบั สนุนใหผ้ ูใ้ ตบ้ งั คับบัญชาไดพ้ ฒั นาความร้คู วามสามารถ 2.8 หมน่ั สนใจ ดูแลความเปน็ อยู่ตามโอกาส อันควร 2.9 ใหค้ วามอนเุ คราะหช์ ว่ ยเหลอื กิจส่วนตัวตามควร 2.10 สุภาพใหเ้ กยี รตใิ นฐานะผู้รว่ มงาน 3. การสรา้ งมนุษยสมั พันธก์ ับเพ่อื นร่วมงาน 3.1 ใหเ้ กยี รตเิ คารพนับถอื ในคุณวฒุ ิ วยั วุฒิ และประสบการณ์ในการทางาน 3.2 ใหค้ วามรว่ มมืออย่างเตม็ ทไ่ี ม่ถอื เขาถอื เรา 3.3 สภุ าพ นุ่มนวล ไมเ่ ย่อหยิ่ง 3.4 ให้คาปรกึ ษาแนะนาด้วยความสุภาพ 3.5 ให้ความเอ้อื เฟ้ือเผือ่ แผต่ ามควร 3.6 ไมอ่ ิจฉาริษยา 3.7 ให้คาตชิ มโดยสจุ รติ ใจ 3.8 รับคาตชิ มอย่างใจกวา้ งอารมณเ์ ยน็ 3.9 หากมขี อ้ ขดั แย้งกนั พยายามชว่ ยกันแก้ไขกนั เอง ไมฟ่ ูองผ้บู งั คับบญั ชา 4. การสรา้ งมนษุ ยสัมพนั ธร์ ะหวา่ งผ้ขู บั รถกับผู้ใช้บริการ หวั ใจของการใหบ้ รกิ ารทีด่ ี ผู้ให้บริการตอ้ งระลึกไว้เสมอวา่ “การบริการคอื งานของเรา” การสร้าง มนษุ ยสมั พันธก์ บั ผใู้ ชบ้ ริการคือ มอบสง่ิ ทีผ่ ้ใู ชบ้ ริการต้องการใหม้ ากทส่ี ุดเท่าท่ีจะทาได้ ดงั น้ี 4.1 ความนุ่มนวลในการขบั รถ 4.2 ความปลอดภยั ในการเดินทาง 4.3 ความสะดวกสบายใน การเดินทาง 4.4 ความสะอาดเรียบรอ้ ยของตวั รถ 4.5 ความสงบเรียบร้อยในการเดินทาง 4.6 ตรงตอ่ เวลา 4.7 ความรบั ผิดชอบในภาระหนา้ ท่ี 4.8 ความมีมารยาทและคุณธรรมในการขับรถ 4.9 ความสะอาด เรยี บร้อย และมีวินยั ของผขู้ บั รถ 4.10 แสดงความขอบคณุ ต่อผู้ใชบ้ ริการใหเ้ ป็นนสิ ยั 5. การสร้างมนษุ ยสัมพันธ์ต่อเจา้ หน้าท่จี ราจร หรือเจ้าหนา้ ที่อื่นๆ ท่ีเกีย่ วข้อง 5.1 ปฏิบัติตามกฎระเบยี บ ขอ้ บังคบั อย่างเครง่ ครัดและสมา่ เสมอ 5.2 ยอมรบั ผิดเมอื่ กระทาผดิ และปฏบิ ตั ิตามคาสง่ั ของเจา้ หน้าท่อี ยา่ งเตม็ ใจ

9 5.3 เม่อื เจา้ หนา้ ท่ตี กั เตอื นควรเคารพและเช่อื ฟงั ดว้ ยความสงบ 5.4 ไมแ่ สดงความอาฆาตมาดร้ายต่อเจ้าหนา้ ท่เี มือ่ ไดร้ บั คาสงั่ หรอื กล่าวโทษ 5.5 การซักถามข้อสงสยั ข้อขัดข้อง หรือขอความเมตตา เห็นใจจากเจ้าหนา้ ทีค่ วรกระทา ด้วยความสุภาพ เรียบรอ้ ย และมีเหตผุ ลทเ่ี หมาะสมด้วย 5.6 ใหเ้ กยี รติเจา้ หน้าที่ ไมเ่ ยอ่ หยิ่งยโส อวดรู้ ดหู ม่ินดแู คลนเจ้ าหน้าท่ี 5.7 มองโลกในแงด่ ี ยม้ิ แย้มแจม่ ใสอยเู่ สมอ 6. การใชร้ ถใชถ้ นนรว่ มกนั 6.1 เคารพกฎจราจร 6.2 ใหส้ ัญญาณแตรเทา่ ทจี่ าเป็น 6.3 เอื้อเฟอ้ื เพ่ือนร่วมงาน 6.4 ช่วยเหลอื บุคคลอนื่ ท่เี ดอื นร้อน 6.5 ให้อภัยเพอ่ื นรว่ มทาง 6.6 ไมใ่ ช้วาจาหรอื สัญลกั ษณ์หยาบคายต่อผู้ใชร้ ถอื่น 6.7 ขับรถด้วยความสภุ าพ 6.8 ให้สญั ญาณขณะแซง 6.9 หลกี ทางใหผ้ ูอ้ ืน่ แซงขน้ึ หน้า 6.10 ไมข่ ับรถจ้ีท้าย ในระยะกระชัน้ ชิด 6.11 ไมแ่ ข่งรถบนทาง ความต้องการของผใู้ ช้บริการทางการขนสง่ 1. ความตรงตอ่ เวลาของรถบรกิ ารดา้ นการขนส่ง 2. ความเหมาะสมของจานวนผู้โดยสารหรือสิ่งของตา่ งๆ 3. ความสะอาดเรยี บร้อยของรถ 4. ความครบถว้ นของอุปกรณอ์ านวยความสะดวกต่างๆ 5. ความมมี ารยาทดี มีคณุ ธรรมของผู้ประจารถ 6. ความสงบเรยี บร้อยในการเดนิ ทาง 7. ความปลอดภยั ในการเดินทาง 8. ความซอื่ สัตย์ สจุ รติ ยุติธรรมของผ้ปู ระจารถ 9. ความม่นั คงและความรบั ผดิ ชอบตอ่ ผู้รับบริการ 10. ความสาเรจ็ เมอื่ เ สรจ็ สนิ้ ในการบริการดว้ ยความสวสั ดภิ าพ 11. ความถูกต้องครบถ้วนของสง่ิ ของอนื่ ๆ นอกเหนือการบริการ พฤตกิ รรมที่ผู้ประจารถควรหลกี เลย่ี ง 1. แตง่ กายไม่สุภาพ มีกล่นิ ตัว 2. กวักมอื หรอื กดแตรเรียกผู้บงั คบั บัญชา 3. ลว้ ง แคะ แกะ เกา หาว หวีผม ส่องกระจกบอ่ ยๆ ขณะปฏบิ ัติหนา้ ท่ี

10 4. พูดจาลวนลาม หรอื ใชค้ าไมส่ ภุ าพ 5. พดู สอดขน้ึ ในขณะท่ผี ู้อื่นกาลงั สนทนากนั อยู่ 6. บ้วนนา้ ลาย หรือทิ้งส่ิงของลงบนรถและถนน 7. หยดุ รถคยุ กนั กลางถนน 8. นารถของบรษิ ัทไปใช้สว่ นตัว 9. ใส่น้ามันแต่งผมหรือนา้ หอมท่ีมีกลนิ่ ฉุน

11 บทท่ี 2 การเตรียมความพรอ้ มของสภาพรา่ งกายและจิตใจของพนกั งานขับรถ 2.1 สมาธแิ ละความพร้อมของร่างกาย สมาธิ ความพร้อมทางรา่ งกายและจิตใจ เปน็ ปัจจยั และสาเหตทุ ท่ี าใหเ้ กิดอบุ ตั ิเหตุ ไมว่ า่ คณุ จะขบั ข่ี รถมากีส่ ิบปี กีล่ า้ นกิโลเมตร มีประสบการณ์ หรอื มีทกั ษะในการขบั ข่มี ามากขนาดไหน ถ้าคุณขาด สมาธิ หรอื ความพรอ้ มทางร่ายกายและจิตใจ พล้งั เผลอ- หลงลืม ประมาท รเู้ ทา่ ไมถ่ ึงการณ์ อาจพลาดได้ด้วยเหตผุ ลใดก็ ตาม หมายถงึ อบุ ตั เิ หตุ สมาธิ ปัจจยั ภายนอกและภายในรถที่สง่ ผลทาใหผ้ ูข้ ับขขี่ าดสมาธมิ ีดังน้ี ภายนอกรถ ภายในรถ - ทิวทัศนภ์ ายนอก - อุปกรณต์ กแต่งภายในรถ - ปูายโฆษณา - วทิ ยุ เครือ่ งเสียง - อุบตั เิ หตตุ ่างๆ บนถนน - โทรศัพท์มอื ถือ - คนเดนิ เทา้ - ผ้โู ดยสาร ความพรอ้ มของรา่ งกาย ปจั จยั ที่ส่งผลต่อความพรอ้ มของร่างกาย เช่น การพกั ผอ่ นไม่เพยี งพอ มีโรคประจาตัว เมาสุรา ยาบ้า สายตาส้นั -ยาว อายุมากขน้ึ หิวหรืออ่ิมเกนิ ไป สภาวะทางจิตใจ และอารมณ์ ปจั จัยที่สง่ ผลตอ่ สภาวะทางจติ ใจ และอารมณ์ เช่น มีเรอื่ งมารบกวนใจ มีเร่ืองตอ้ งคดิ มีความกดดัน ความเครยี ด ปัญหาเร่ืองงาน ครอบครัว หนสี้ นิ มอี ารมณ์ โกรธ โมโห ฉนุ เฉยี ว วติ ก กงั วล หมกมุ่น ฟุูงซ่าน 2.2 การตรวจความพรอ้ มกอ่ นปฏบิ ัตงิ าน การเตรียมความพรอ้ มของพนักงานขับรถกอ่ นออกปฏบิ ัตงิ าน เนื่องจากพนกั งานแต่ละคนจะมีทักษะ ความรู้ประสบการในแต่ละวันท่ีแตกต่างกัน รวมทงั้ อาจมีสภาพรา่ งกายที่ไมพ่ ร้อม ดังน้นั ในการปฏบิ ัติงานจึง ต้องมกี ารตรวจความพรอ้ มทุกคร้ัง โดยแบ่งเปน็ 6 ขั้นตอนดงั นี้ ข้ันตอนที่ 1 สารวจการแตง่ กายและบุคลกิ ภาพตนเอง มีวัตถุประสงคเ์ พ่ือใหพ้ นกั งานไดส้ ารวจ ความเรยี บรอ้ ยของการแต่งกายและบคุ ลิกภาพ เพื่อภาพลกั ษณท์ ดี่ ี

12 ขน้ั ตอนที่ 2 อา่ นและทาความเขา้ ใจขา่ วสารความปลอดภยั มวี ตั ถปุ ระสงค์ เพือ่ เพิ่มความรู้ และ แจ้งขา่ วสารเก่ยี วกับความปลอดภยั ตา่ งๆ เพอ่ื ให้ตระหนักถงึ อันตรายต่างๆ ก่อน ขั้นตอนท่ี 3 ปฏบิ ัติงาน ตรวจวัดความดนั โลหิต มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ คน้ หาภาวะความดนั โลหิตสูงอนั ขั้นตอนที่ 4 เนอื่ งมาจากความเครยี ด อดนอน หรอื โรคประจาตวั ซง่ึ อาจสง่ ผลใหเ้ กิดอันตราย ขน้ั ตอนที่ 5 ในขณะขบั รถได้ ขั้นตอนที่ 6 ตรวจวัดระดบั แอลกแออล์ มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พ่อื คัดกรองผ้ทู ีด่ ื่มสุราเพราะเป็นสาเหตุ สาคัญของการเกดิ อบุ ัตเิ หตุ ทดสอบปฏิกรยิ าโตต้ อบ มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พื่อวัดความตื่นตวั ของรา่ งกาย ความเหนอื่ ย ล้าและการตอบสนอง สรปุ สภาพความพร้อม มีวัตถุประสงค์เพ่ือตรวจสอบความเขา้ ใจและสรปุ ผลความ พร้อมก่อนออกไปปฏิบตั งิ าน 1. ผา่ นการทดสอบทุกรายการใหป้ ฏบิ ัตงิ านหรอื ขับรถได้ 2. ไม่ผา่ นการทดสอบในรายการสาคญั ได้แก่ ขัน้ ตอนที่ 4 ตรวจพบแอลกอฮอล์ จึงไมใ่ หป้ ฏบิ ัตงิ านและขบั รถ สว่ นในหวั ขอ้ อนื่ ขน้ึ อยู่กับดลุ ยพนิ ิจของผู้ ตรวจว่ามี ความพร้อมหรือไม่ เชน่ อาการมึนงง ตาแดง อดนอน จะไม่อนญุ าตใหข้ ับรถ เชน่ กนั

13 บทที่ 3 การเตรียมความพร้อมของรถ รถเป็นหนึ่งในสาเหตขุ องการเกดิ อบุ ตั เิ หตุ ซ่งึ เกิดขึ้นจากความบกพร่องของระบบการทางานของรถ การตรวจสอบและดแู ลบารุงรกั ษารถ และเครือ่ งยนต์ อย่างสมา่ เสมอ จะชว่ ยปูองกนั อุบัติเหตุ ทาให้ทา่ นใชร้ ถ อยา่ งคุ้มค่า ประหยดั น้ามันเชอื้ เพลิง ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซอ่ ม ยดื อายกุ ารใช้งาน ถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้ยงั ชว่ ยใหผ้ ขู้ ับรถเดนิ ทางถงึ ทหี่ มายอยา่ งปลอดภัยตรงตามกาหนดเวลาอกี ดว้ ย การดูแลรกั ษารถข้ันพื้นฐาน คื อการตรวจความพร้อมของระบบสัญญาณไฟตา่ งๆระดับน้ามันเคร่ือง ระดบั น้าหล่อเยน็ ระดับนา้ สาหรบั ฉดี ทาความสะอาดกระจก น้ามันเพาเวอร์ นา้ มันเกียร์และท่ีสาคญั คือ การตรวจสอบยางรถยนต์ เพราะถ้ายางรถยนตไ์ ม่พร้อม เชน่ สภาพการฉกี ขาดบวม หรอื ดอกยางสกึ เกนิ ไป กจ็ ะทาให้เกิดอุบัตเิ หตุไดง้ ่าย นอกจากนค้ี วรหมัน่ สงั เกตตรวจสอบความผิดปกติของอุปกรณ์อนื่ ๆ ด้วย หาก เครอ่ื งรอ้ นจัดเกินไป โดยสังเกตจากการขบั รถเพียงไม่นาน เคร่อื งจะร้อนขึ้นจนผิดสงั เกต หรือเคร่อื งเยน็ เกนิ ไป แม้จะขบั ไปไกลพอสมควรแลว้ เขม็ วัดอณุ หภูมิกย็ ังไมก่ ระดกิ รวมท้ังเคร่ืองยนตม์ ีเสยี งดังผดิ ปกติ ต้องนา รถเขา้ อหู่ รอื ศูนย์บรกิ ารตรวจซ่อมทันที อย่ามองขา้ มปัญหาเหล่านี้เพราะอาจเปน็ สัญญาณเตอื นถงึ อันตราย จากการขบั ข่ที จี่ ะตามมา การดแู ลบารุงรกั ษาเครอ่ื งยนต์ สาหรับเครื่องยนตท์ ่ีใชเ้ บนซิ น ใหป้ รบั แตง่ ระบบไฟจุดระเบิด และ สว่ นผสมของนา้ มนั เชื้อเพลิง และอากาศให้ถกู ตอ้ งตามท่ีผูผ้ ลิตกาหนด ทาความสะอาดหรือจะเปลี่ยนไส้กรอง อากาศตามคาแนะนาในคมู่ อื ตรวจสอบและทาความสะอาด หรือเปลย่ี นหัวเทยี น เปลี่ยนถ่ายนา้ มนั เครื่อง รวมถึงกรองน้ามนั เชือ้ เพลงิ ที่มีคา่ ออ๊ กเทนตรงกบั ที่ผูผ้ ลติ กาหนดในคูม่ ือรถอยา่ งสมา่ เสมอ สาหรบั รถยนต์ท่ใี ชด้ ีเซล ให้ทาความสะอาดหรือเปลีย่ นไส้กรองอากาศใหม่ตามคาแนะนาในค่มู อื เปลีย่ นถ่ายนา้ มนั เครอื่ งและกรองน้ามันเครือ่ งและกรองนา้ มนั เครือ่ ง รวมถึงกรองน้ามันเช้อื เพลงิ ตามที่ กาหนดในคมู่ ือ หมน่ั ตรวจเช็คและปรับต้ังหัวฉีดป๊ัมนา้ มนั เชือ้ เพ ลิงใหม้ คี วามดันและจงั หวะหวั ฉดี ใหถ้ ูกตอ้ ง ตามทีผ่ ผู้ ลิตกาหนด ไมบ่ รรทุกเกินพิกัดของรถ และขับรถอย่างนมุ่ นวล รวมถงึ ตรวจสอบและซอ่ มบารงุ เครอ่ื งยนต์ตามระยะเวลาที่กาหนดในคมู่ ืออย่างสม่าเสมอ การบารงุ รกั ษาเครอ่ื งยนต์ นอกจากช่วยลดมลพษิ และประหยัดนา้ มนั แลว้ ยงั ช่วย ยืดอายุการใช้ งานของเคร่อื งยนต์ และชว่ ยปอู งกันอุบตั ิเหตุและเครอ่ื งยนต์ชารุดขดั ข้องได้อกี ดว้ ย วิธกี ารดูแลรกั ษา เครื่องยนต์งา่ ยๆ เรม่ิ ต้นที่ การปล่อยใหเ้ คร่ืองยนต์ อย่ใู นรอบเดินเบาสกั ครู่หนึ่ง ในช่วงเรมิ่ ต้นในช่วงสตารท์ รถในขณะทเ่ี ครอ่ื งยนตย์ งั เยน็ อยู่ อยา่ เร่งเครือ่ งทันทเี พราะการปล่อยใหเ้ ครือ่ งยนตเ์ ดินเบาในชว่ งเร่ิมต้นจะ ช่วยใหน้ ้ามันเคร่อื งสามารถส่งไปหลอ่ เล้ียงสว่ นตา่ งๆ ของเคร่ืองยนต์ได้ดขี ้นึ ส่วนนา้ มันเครอ่ื งหรอื ไสก้ รอง

14 ต้องเปลีย่ นตามกาหนดเวลา นอกจากนค้ี วรขบั รถและออกรถอย่างนมิ่ นวล หลกี เลยี่ งการบรร ทกุ เกินพิกัด และควรนารถเขา้ รบั การตรวจสภาพยงั ศนู ยบ์ ริการตามทีก่ าหนดในสมุดคู่มือประจารถดว้ ย 3.1 การตรวจสภาพรถกอ่ นใช้งานแบบ BE-WAGON B (Brake) หมายถงึ ตรวจดนู า้ มันเบรก และนา้ มนั คลตั ช์ วา่ มีรอยร่ัวซึมของน้ามันหรือไม่ E (Electricity) หมายถึง ระบบไฟฟูาของรถยนต์ ไดแ้ ก่ แบตเตอรี่ สายไฟ ไฟหนา้ ไฟทา้ ย ไฟเล้ยี ว และแตร W (Water) หมายถึง การตรวจนา้ ในหมอ้ นา้ นา้ ฉีดกระจก และใบปัดนา้ ฝน A (Air) หมายถงึ การตรวจลมยางทุกเสน้ รวมถงึ ยางอะไหล่ พร้อมตรวจดดู อกยาง และ สภาพยาง G (Gasoline) หมายถึง การตรวจระดบั น้ามันเช้ือเพลิงในถัง รอยรั่วซมึ กลิน่ นา้ มนั O (Oil) หมายถึง การตรวจนา้ มนั หลอ่ ลนื่ ทกุ ชนดิ ไดแ้ ก่ นา้ มนั เคร่อื ง น้ามันพวงมาลยั เพาเวอร์ น้ามนั เกียร์ อ่นื ๆ N (Noise) หมายถงึ การตรวจเสียงทีด่ ังมาจากเครื่องยนตห์ รือตัวถงั ว่ามีเสยี งผิดปกตหิ รือไม่ 1) ตรวจสอบระบบเบรกและคลัตช์ B (Brake) 1.1) ตรวจสอบระดบั นา้ มนั เบรกและสภาพเบรก 1.1.1) ระดบั นา้ มันเบรกจะตอ้ งอยู่ระหว่างขีดสูงสดุ MAX และขีดตา่ สดุ MIN Max ระดบั สูงสดุ Min ระดับตา่ สุด

15 1.1.2) ตรวจระยะฟรีและความสูงของแปนู เบรก 1.1.3) ตรวจสอบการทางานของเบรกมือ โดยการดงึ ก้านเบรกมอื ข้ึน โดยใหฟ้ ังเสยี ง ระยะฟันเฟอื งของเบรกมือ ใหอ้ ยู่ในระยะ 3 – 7 คลิก หากมชี ่วงระยะฟนั เฟอื งน้อยหรือมากกวา่ น้ี ให้ทาการ ปรับตงั้ ใหม่ 1.2) ตรวจสอบระดบั น้ามนั ครัตช์ 1.2.1 ระดับน้ามันคลัตช์ต้องอยรู่ ะหว่าง ขดี สงู สดุ MAX และ ขดี ตา่ สดุ MIN 1.2.2 สภาพสายอ่อนและแปบฺ น้ามันคลัตช์ อยใู่ นสภาพดี 1.2.3 รอยรวั่ ซมึ ตามจดุ ต่างๆ 2) ตรวจสอบระบบไฟฟ้า E (Electricity) 2.1) ตรวจสอบระบบไฟฟาู ของรถยนต์ โดยเปดิ ไฟสอ่ งสวา่ งและสญั ญาณไฟทกุ ดวง - ต้ังแต่ไฟหนา้ รถ ไฟเล้ยี ว ไฟเบรก ไฟถอยหลัง - แตร - ที่ปัดน้าฝน มอเตอรฉ์ ีดน้าทาความสะอาดกระจก - รวมถงึ การตรวจสอบรอยชารุดของสายไฟตามจดุ ตา่ งๆ ท่สี ามารถมองเห็นได้

16 2.2) ตรวจสอบแบตเตอรี่ - อายุการใช้งานเฉล่ีย 2 ปี หรอื มากกว่าขึ้นอยู่กบั การใชง้ าน - ระดับนา้ กรด ควรอยูใ่ นระดับทเ่ี หมาะสม - ขวั้ แบตสะอาด ไมม่ ีคราบขี้เกลือและสงิ่ สกปรก - ข้ัวแบตและสายรัดแบตเตอร่ขี นั ยดึ แนน่ สว่ นประกอบของแบตเตอร่ี รูระบายกา๊ ซ ไฮโดรเจน ให้เติมนา้ กลั่นให้อยู่ในระดบั ฐานพลาสตกิ พอดี อยา่ ใหส้ ูง เกนิ ไป และอยา่ ให้ต่ากว่าแผน่ ธาตุ การพว่ งแบตเตอร่ี 1. ดบั เครอื่ งยนต์รถคันท่ีจะนาไปพ่วง (แบตเตอร่ีมีไฟเต็ม) 2. ให้คบี ขว้ั บวกของแบตเตอรข่ี องรถคนั ที่ไฟหมดก่อน จากนั้นคบี ข้วั บวกของรถคนั ท่ีมีไฟเตม็

17 3. ใหค้ บี ขว้ั ลบของรถคนั ท่ีมไี ฟเตม็ จากน้นั นาปลายสายพว่ งอกี ขา้ งคบี ตัวถังหรอื ตัวเครอ่ื งยนต์ของ รถทไ่ี ฟหมด (เพือ่ ปอู งกนั ประกายไฟ สปาร์คกับก๊าซไฮโดรเจน ทีร่ ะเหยออกมาด้านบนของ แบตเตอร่ี) 4. สตารท์ เครือ่ งยนต์คนั ทมี่ ไี ฟเต็มกอ่ น จากนั้นสตาร์ทคันท่แี บตเตอรไี่ ฟหมด (ในกรณีที่รถคันท่ไี ฟ หมดมกี ล่องควบคุมอปุ กรณอ์ เิ ล็กทรอนกิ ส์ ให้สตาร์ทเคร่อื งยนตร์ ถคนั ทีไ่ ฟหมดให้ตดิ ก่อน แลว้ เปดิ ไฟใหญห่ นา้ รถเพอ่ื ปอู งกนั อปุ กรณอ์ เิ ล็กทรอนกิ สเ์ สยี หายเนอ่ื งจากไฟกระชาก) 5. เมอื่ เครื่องยนตต์ ดิ แล้วให้ถอดสายพ่วงแบตยอ้ นกลับขนั้ ตอน (ทิศทางยอ้ นกลบั ) หลอดไฟและไฟเตือนที่แผงหน้ามาตรวดั (หนา้ ปัด) ผขู้ ับข่คี วรตรวจสอบไฟทุกดวงและไฟเตอื นบนแผงหน้าปั ดทุกครั้งก่อนออกรถ และหม่นั สังเกตไฟ เตอื นตา่ งๆในระหว่างขบั รถ ซึง่ จะชว่ ยเตื อนทา่ นใหท้ ราบถึงความผิดปกติของรถ ก่อนทีเ่ กดิ อนั ตรายหรอื อบุ ตั ิเหตไุ ด้ ตวั อย่างไฟเตอื น ดังนี้

18 ตรวจสอบระบบหลอ่ เยน็ 3) ตรวจสอบระดบั นา้ ในหม้อน้าและหมอ้ พกั W (Water) 3.1) ระดับน้าในหม้อนา้ ตอ้ งเต็ม และระดบั นา้ ในหมอ้ พักอยรู่ ะดบั FULL 3.2) ตรวจสอบฝาปิดหมอ้ น้าและสปริงลิ้นระบายความดันอยใู่ นสภาพดี 3.3) ตรวจสอบสายพานปั้มนา้ ทอ่ ยางหมอ้ นา้ และรอยร่ัวซึมตามจดุ ต่างๆ เครื่องยนต์รอ้ น เคร่ืองยนตร์ ้อนอาจมสี าเหตดุ ังนี้ - ระบบนา้ หล่อเย็นรวั่ ซมึ - สายพานหยอ่ นหรอื ขาด - พัดลมไฟฟาู ไมท่ างาน - ท่อยางหมดอายุ - สายรดั ไมแ่ น่น - วาวลน์ ้าชารุด - ระดับน้าในหม้อน้าต่าเกนิ ไป

19 - 4) ตรวจสอบยางและแรงดนั ลมยาง A (Air) ตรวจสอบแรงดันลมยาง - ถา้ แรงดันน้อยเกินไป เกดิ ความฝืดระหว่างยางกับผวิ ถนนมาก ทาให้ส้ินเปลืองเช้ือเพลิง เกดิ ความ ร้อนสูง แก้มยางฉกี ขาดได้ง่ายจากแรงกระแทก และทาให้ดอกยางบรเิ วณขอบทง้ั สองด้านสกึ หรอ เร็วกว่าปกติ - ถา้ แรงดันมากเกินไป ทาให้เกดิ การลนื่ ไถลไดง้ ่าย ความสามารถในการยึดเกาะน้อยลง และดอก ยางตรงกลางสกึ หรอเรว็ กว่าปกติ

20 ความหมายของขนาดและสัญลักษณข์ องยางเรเดียล ความหมายของขนาดและสัญลักษณ์ของยางเรเดยี ลรถบรรทกุ

21 ดชั นีการรับนา้ หนักบรรทุกและสัญลกั ษณ์ความเร็วยาง อัตราความเร็วยางรถขนาดใหญ่ อัตราบรรทุกสงู สุดของยางรถขนาดใหญ่ วนั ที่ผลิตยาง

22 5) ตรวจสอบระบบนา้ มันเชอื้ เพลงิ G (Gasoline) 5.1) รอยรั่วซมึ ตามจดุ ตา่ งๆ 5.2) นา้ ในหม้อกรองดกั น้า กรองดกั นา้ เปน็ อปุ กรณท์ ใ่ี ช้แยกนา้ ออกจากนา้ มนั เชื้อเพลงิ เพราะ ถา้ มีนา้ ปนจะทาใหร้ ะบบหวั ฉดี เสยี หาย ตรวจสอบโดยการคลายปลั๊กถ่ายนา้ ออก ปล๊ักถ่ายน้า 5.3) ไสก้ รองอากาศ การทาความสะอาดหา้ มเคาะโดยเด็ดขาดเพราะจะทาให้กรองบดิ เบย้ี ว ให้ ใช้ลมเปาุ จากทางดา้ นในออกมา อยา่ เปุาจากทางดา้ นนอกเพราะจะทาใหฝ้ ุนละอองทะลุ เขา้ ไปด้านใน 6) ตรวจน้ามันหล่อล่ืน O (Oil)

23 6.1) ดงึ ก้านวดั รระดบั น้ามันเครื่องออกมาแลว้ เชด็ ดว้ ยผ้าสะอาด จากน้นั ให้ใส่กา้ นวดั กลับเข้า ไปและดึงออกมาอกี ครั้ง 6.2) ถ้าระดบั นา้ มันเครือ่ งอยรู่ ะหว่างขดี ตา่ สุดและขดี สงู สดุ แสดงว่าปกติ ถ้าระดบั ตา่ กวา่ ขดี ตา่ สุดให้เตมิ นา้ มันเครอื่ งเพ่ิมแต่อยา่ ใหเ้ กนิ ระดบั ขดี สูงสดุ เพราะจะทาให้เครือ่ งยนต์ เสียหายได้ ตรวจนา้ มนั พวงมาลัยเพาเวอร์ ระดับนา้ มันควรอยทู่ ่ี ระดบั MAX 1. น้ามนั ทีเ่ ติมตอ้ งใชช้ นิดและยี่ห้อเดยี วกนั เพราะถ้าผสมหลายยห่ี ้อจะทาใหซ้ ีลยางชารดุ ได้ 2. ถา้ ระดบั นา้ มันสงู เกินไปจะทาให้เกดิ ฟองอากาศภายในระบบ ดงั น้ันไม่ควรให้เกินระดบั ขีด สงู สดุ 7) ตรวจเสียงดงั ตามจุดต่างๆ N (Noise) ติดเคร่อื งยนตเ์ พ่อื ฟงั เสียงดงั ตามจดุ ตา่ งๆ เช่น เสียงวาล์วดัง ลูกปนื ไดชารจ์ เสียงสายพาน เสียง เครอื่ งยนต์ เสียงทอ่ ไอเสยี โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ระหว่างขับรถให้สังเกตเสียงหรอื กล่ินผดิ ปกติ และตรวจหาว่า ความผิดปกตนิ ัน้ มาจากจดุ ใด เพื่อจะได้ซอ่ มแซมแก้ไข กอ่ นทจ่ี ะเกิดอุบัติเหตไุ ด้ 3.2 ระบบการตรวจเชก็ รถประจาวัน การตรวจเช็ครถประจาวนั เปน็ การตรวจสภาพรถเพือ่ ยืนยันการใช้รถปฏิบตั ิหน้าที่ ซึง่ เป็นเรือ่ ง สาคญั อย่างยง่ิ ทจ่ี ะทาให้หน่วยงานน้ันๆ ประหยดั ค่าใช้จ่ายในการซอ่ มบารงุ เบอ้ื งตน้ ไดอ้ ย่างมาก หน่วยงานจงึ ควรใหค้ วามสาคัญการตรวจเช็ครถประจาวนั เพราะค่าใช้จ่ายในการดแู ลบารุงรักษารถ จะใชง้ บประมาณต่า กวา่ การซอ่ มเม่ือชิน้ สว่ นชารุดหรือเสียหายแล้ว เป็นการตรวจเช็คการทางานของผู้ใชร้ ถ ให้เป็นไปตามท่ี ผ้บู ริหารได้จดั ระบบการดแู ลรถแบบยงั่ ยืน ควบคไู่ ปกบั การฝึกอบรมทใ่ี หค้ วามรู้ ทักษะ การขบั รถอย่าง ปลอดภัย ทีเ่ ก่ียวเนอ่ื งกบั อุปกรณ์ และสภาพรถดว้ ย การตรวจเช็ครถอยา่ งสม่าเสมอ จะทาให้ประหยดั ทง้ั เวลา

24 บุคลากร และผลของการทางานที่แม่นยา ไดข้ ้อมูลทีเ่ ปน็ ปจั จบุ นั พรอ้ มรายงานได้ตลอดเวลา ทัง้ ยงั สามารถ เกบ็ เป็นสถติ ิการใชร้ ถ การบารงุ รักษารถ เพอื่ วเิ คราะหก์ บั อายุการใช้งานของรถท่มี ีไว้ใชง้ าน ตัวอยา่ ง รายการตรวจเช็ครถประจาวนั แบบ BE-WAGON ของรถยนต์ รถโดยสาร/รถบรรทกุ และ รถลากจูง มีดงั นี้

25

26

27

28 3.3 การตรวจเช็กรถในระหว่างขบั รถ 3.3.1 การตรวจเช็กเครอื่ งยนต์ - ในระหวา่ งขับข่ผี ้ขู บั ขต่ี ้องสังเกตเสยี งเคร่ืองยนต์วา่ มเี สียงดังผดิ ปกตหิ รือไม่ หากมเี สยี งดังควร หยดุ รถเพ่ือตรวจในทันที - อัตราการเรง่ ผู้ขบั รถต้องสังเกตอัตราการเร่งของเครอื่ งยนตไ์ ด้ หากกาลังตกขณะขบั บนทางปกติ ควรหยดุ รถตรวจสอบ - ควันท่ีออกจากทอ่ ไอเสีย สังเกตว่ามีปริมาณมากกวา่ ปกตหิ รือไม่ และใหส้ งั เกตสขี องควัน ความ เขม้ ของควนั 3.3.2 ภายในหนา้ ปัดหรอื มาตรวัดต่าง ๆ - ตรวจดูมาตรอณุ หภมู ิ - ตรวจดรู ะดบั น้ามนั เช้ือเพลิง - มาตรวดั แรงดนั น้ามนั เคร่ือง - มาตรวดั แรงดันลม - สัญญาณเตือนตา่ งๆ เชน่ ระดบั น้า 3.3.3 ระบบส่งกาลัง - ในระหว่างขบั ผขู้ ับรถต้องสงั เกตการทางานของระบบคลตั ชว์ า่ ยังปกติหรอื ไม่ - การเขา้ เกียรใ์ นขณะออกตวั การเปล่ียนเกยี รต์ า่ งๆ และขณะว่ิงบนทางในสภาพตา่ งๆวา่ เกียร์มี เสียงดังผิดปกตหิ รอื ไม่ - ในขณะขบั ผขู้ ับขตี่ ้องสงั เกตการหมุนของเพลากลางว่ามกี ารกระพือหรือสัน่ หรือไม่ - สงั เกตเฟอื งท้ายขณะออกตวั ว่ามีเสยี งดงั หรือไม่ 3.3.4 ระบบบังคับเลี้ยว - สังเกตอาการสะบัดเวลาเลย้ี ว และการคนื พวงมาลัย - การบงั คับพวงมาลยั ทางดา้ นซา้ ย-ขวา และขณะขับทางตรงพวงมาลัยตอ้ งได้ศูนย์ขณะขับไม่กิน ดา้ นซา้ ยหรอื ขวา - สงั เกตเสียงของระบบเพาเวอรข์ ณะทาการเลย้ี ว 3.3.5 ระบบเบรก - การตรวจเช็กเบรกขณะรถวงิ่ ทางปกติ - การตรวจเชก็ เบรกจอดกอ่ นออกจากรถ - การตรวจเชก็ และทดสอบเบรกไอเสีย 3.3.6 ระบบไฟฟ้า - ตรวจสอบระบบไฟเล้ียว - ตรวจสอบไฟหนา้ - ไฟขอทาง

29 - ตรวจสอบระบบการชาร์จของไดชาร์จจากหนา้ ปดั 3.3.7 ระบบรองรบั น้าหนกั /ชว่ งลา่ ง - การสังเกตการคลอ่ งตัวของรถขณะขบั บนทางวงิ่ ขรุขระ - สงั เกตขณะขับรถเขา้ ทางโค้ง - สังเกตการกระแทกของระบบรองรบั น้าหนกั 3.4 การตรวจเช็กระหว่างจอด การตรวจเช็กระหวา่ งการจอดพกั ในระหว่างการเดินทางพนักงานขบั รถอาจมีเวลาไมม่ าก โดยการ ตรวจเช็กระยะนอี้ าจเป็นการตรวจเช็กโดยรวม โดยมีข้ันตอนการตรวจงา่ ยๆ ดงั น้ี 1. ตรวจดูความเรียบรอ้ ยรอบๆรถ รวมถงึ การทรงตวั ในแนวต้ังของรถ 2. ตรวจดูยางโดยการเคาะยาง และหาจุดชารดุ ของดอกยาง 3. ตรวจดูระบบใหส้ ัญญาณไฟต่างๆ ท้ังไฟเลีย้ ว ไฟสอ่ งปาู ย สัญญาณไฟหร่ี 4. ตรวจสอบรอยร่ัวซมึ ของนา้ มันหลอ่ ลื่น และนา้ มนั เช้ือเพลิงบริเวณป๊ัมจา่ ยนา้ มนั ทเ่ี คร่ืองยนต์ 5. ตรวจสอบรอยร่ัวซมึ ของระบบน้าหล่อเย็น โดยการสงั เกตรอยหยดของนา้ บรเิ วณหมอ้ น้า 6. ตรวจสอบรอยรว่ั ของลมโดยการฟังเสียงของลมในระบบ 3.5 การตรวจเช็กหลงั การใช้งาน เมื่อพนักงานขับรถส้ินสดุ การใช้รถผขู้ ับรถควรตรวจสอบในจดุ ตา่ งๆ และลงบันทกึ การตรวจเช็ กหลัง การใช้งานอย่างละเอยี ดเพื่อส่งใหค้ นขบั รถคนตอ่ ไป หากตรวจสอบพบความบกพร่องของอุปกรณ์และสว่ น ควบคุมต่าง ๆ เช่น ระบบบังคับเลี้ยว ระบบเบรก ระบบคลัตช์ ในระหว่างเดินทาง ซึ่งส่ิงทต่ี รวจพบหรือคาด ว่าหากนารถไปใชต้ อ่ ไปอาจก่อใหเ้ กิดอันตรายหรอื อ าจเกดิ อบุ ัติเหตขุ น้ึ ได้ พนกั งานขบั รถตอ้ งทารายงานใหผ้ ู้ ควบคมุ ทราบเพื่อแก้ไขทันที

30 บทที่ 4 การขบั รถปลอดภยั เชิงป้องกันอบุ ตั เิ หตุ การขับรถปลอดภัยเชงิ ปอู งกนั อบุ ตั เิ หตุ ประกอบด้วยความรู้ในเรอื่ งเทคนคิ การขับร ถทถ่ี กู ต้อง เพิม่ ทักษะความชานาญ ในการใช้อุปกรณ์ต่างๆ การสังเกตและคาดการณถ์ งึ อนั ตรายที่อาจเกดิ ขึ้น โดยใช้ กระบวนการขบั รถอยา่ งเปน็ ระบบดว้ ยเทคนคิ ระบบเสยี งนาสมอง และเทคนคิ การขบั รถในสถานการณต์ ่างๆ ซึ่งจะช่วยให้ผ้ขู ับขม่ี ีสมาธิ มีเวลาในการวางแผนตัดสนิ ใจ แก้ไขสถานการณต์ ่างๆได้ทนั ท่วงที 4.1 การเตรียมพรอ้ มกอ่ นการออกรถ 8 ขนั้ ตอน (บญั ญตั ิ 8 ประการ) 1) กระจก หน้าต่าง ต้องใสสะอาดทง้ั ด้านในและด้านนอก 2) ตรวจสอบใหแ้ น่ใจว่าประตทู ุกบานปิดสนิท และลอ็ คทุกบาน 3) ปรับเบาะทน่ี ่ังใหส้ ะดวกสบายในการขับ 4) ปรบั กระจกสอ่ งหลงั และกระจกขา้ ง ต้องอยู่ในตาแหน่งถกู ตอ้ งและใสสะอาด 5) คาดเข็มขัดนริ ภัยทกุ ครงั้ จนเปน็ อปุ นสิ ยั 6) กอ่ นสตารท์ ใหข้ ึ้นเบรกมือ ปลดตาแหนง่ เกียรว์ า่ ง ปิดอปุ กรณ์ไฟฟ้า เหยียบคลตั ช์ และ สตาร์ทเคร่ืองยนต์ 7) ตรวจสอบสญั ญาณไฟทแ่ี ผงหนา้ หนา้ ปัดรถ ตลอดถงึ ระดับนา้ มันเชื้อเพลงิ 8) เคลอื่ นรถและทดสอบระบบเบรกเทา้ เพอื่ ความแน่ใจ 4.2 การขบั รถด้วยเทคนิคระบบเสียงนาสมอง การขบั แบบใช้เสยี งนาสมอง โดยผูข้ ับข่ีจะพดู ในสง่ิ ท่ีสังเกตเห็นและคาดการณถ์ งึ เหตกุ ารณ์ตา่ งๆ ท่ี น่าจะกอ่ ให้เกิดอันตรายในขณะขับรถ ซง่ึ เปน็ การฝกึ ทกั ษะ การมอง การสังเกตการณ์ การคาดการณ์ และการ ปฏบิ ตั ิ อยา่ งต่อเน่อื งในขณะขบั รถ เพอ่ื ให้มสี มาธิในการขับขีอ่ ยตู่ ลอดเวลา - การสังเกตการณ์ หมายถงึ การมอง ระยะไกล-กลาง-ใกล้ การกวาดสายตาไปมาอยา่ งสมา่ เสมอ สังเกตสิ่งทีบ่ ง่ บอกถงึ อันตรายตา่ งๆ แยกแยะและประเมนิ ความเสยี่ ง - การคาดการณ์ หมายถงึ การคาดการณ์ถงึ อันตรายตา่ งๆ ทค่ี าดวา่ นา่ จะเกิดขึ้นจากส่งิ ท่ีมองเหน็ - การแกไ้ ขสถานการณ์ หมายถึง การปฏบิ ตั หิ ลบหลกี อย่างทนั ทว่ งที จากการสังเกตการณแ์ ละการ คาดการณถ์ ึงอันตรายต่างๆ ทอ่ี าจจะเกิดขนึ้

31 ตวั อย่างเช่น ในขณะขับรถผขู้ บั ขม่ี องและสังเกตเห็นเด็กยนื รอข้ามถนน โดยคาดการณ์วา่ เด็กอาจจะขา้ มถนน เม่อื ไหร่กไ็ ด้ ใช้แตรเพ่ือเตือน ชะลอความเรว็ รถเพื่อเตรียมหยดุ ซงึ่ ในขณะขบั รถ ผขู้ บั ข่พี ดู เกยี่ วกับเหตกุ ารณ์ ต่างๆที่ตนสงั เกตเหน็ คาดการณ์ และปฏิบัตอิ ย่างตอ่ เนือ่ ง 4.3 การใช้อปุ กรณใ์ นการควบคุมรถ พวงมาลยั เป็นหัวใจของการบังคบั รถ และแกไ้ ขสถานการณ์ การควบคมุ และหลบหลกี ไดอ้ ยา่ งทนั การ การจับพวงมาลัย - จับพวงมาลัย2 มือตลอดเวลาท่ขี บั รถ เว้นเเต่เมอ่ื มเี หตุจาเปน็ ตอ้ งใชม้ อื อกี ขา้ งหนึ่งเปล่ยี นเกียร์ - รถเล็ก มอื ซา้ ยควรจับที่ตาแหนง่ 10 โมงเช้า มอื ขวาบา่ ย 2 โมง - รถบรรทุกหรอื รถโดยสาร มอื ซา้ ยจบั ในตาแหนง่ 9 นาฬิกา มอื ขวา 3 นาฬิกา - หวั แม่มือวางแนบกบั วงพวงมาลยั หา้ มสอดเขา้ ไปในพวงมาลัย การหมนุ พวงมาลยั การหมุนพวงมาลัยมี 3 แบบ ดงั นี้ 1. แบบ “ดึงและดนั ” (Pull and Push) โดยมือท้งั สองขา้ งจะสัมผัสกับพวงมาลัยตลอดเวลา ในขณะเลีย้ วรถ ใหใ้ ช้มอื ที่อยทู่ างดา้ นท่ีจะทาการเลยี้ วดงึ และอีกมอื หนึ่งดนั 2. แบบ “ไขวแ้ ขน” (Hand Over Hand) โดยมือท้งั สองขา้ งจะสมั ผัสกับพวงมาลัยตลอดเวลา ในขณะเล้ยี วรถ ใหใ้ ช้มือทอี่ ยู่ตรงขา้ มกบั ทศิ ทางท่ีจะเลี้ยวหมุนพวงมาลัยจนถึงฝั่งตรงข้าม และใหม้ ือท่ีอยู่ใน ทศิ ทางท่จี ะเลย้ี วไปจับฝัง่ ตรงข้ามพรอ้ มกับดึงหมุนพวงมาลัย 3. แบบ “จบั แบบตายตวั ” (Fix Hand) โดยมือซา้ ยจับในตาแหนง่ 9 นาฬกิ า มอื ขวา 3 นาฬิกา ใชใ้ นกรณีขับรถทางตรง และกรณหี ักหลบฉกุ เฉนิ ขอ้ ปฏิบตั ทิ ี่ถูกต้องในการบังคับควบคุมพวงมาลัยมดี งั ตอ่ ไปน้ี : 1. กลไกของพวงมาลยั มรี ะบบบงั คบั การทรงตวั ด้วยตวั เอง เพราะฉะนนั้ ผูข้ บั ขี่อาจประคอง พวงมาลยั อย่างเบา ๆ ก็สามารถบงั คบั ให้รถเคลอ่ื นไปในเสน้ ตรงได้ 2. การจับพวงมาลัยทถ่ี กู ต้องมอี ยู่ 2 ประเภท คอื จับพวงมาลยั ดว้ ยมอื ทง้ั สองอยู่ในลกั ษณะ 10 และ 12 นาฬกิ า และ 9 ใน 3 ของขนาดพวงมาลยั ควรเลอื กจบั ในตาแหน่งทสี่ บายและถนดั ที่สุด 3. อย่าปลอ่ ยพวงมาลยั ใหห้ มุนกลบั มาในขณะบังคบั พวงมาลัยเพ่ือเล้ียวรถ 4. อยา่ ปล่อยพวงมาลยั หมุนกลับมาเองในขณะกาลงั เลย้ี วโดยเดด็ ขาด

32 5. การหมนุ บังคับพร้อมกับการใช้ความเรว็ ทถ่ี กู ต้องตอ่ สภาพถนนและความโคง้ จะได้มา จาก การฝกึ ฝนทสี่ ม่าเสมอเท่าน้ัน 6. ควรหมุนพวงมาลยั ให้เหมาะสมกบั ความโค้งของถนนผ้ขู ับข่ี ควรมองไกลออกไปขา้ งหน้า เสมอ คอยดสู ถานการณ์ต่าง ๆ เพ่อื จะสามารถปรบั และจับบงั คบั พวงมาลยั และควบคุมความเร็วกอ่ นทจ่ี ะเลย้ี ว ไดอ้ ย่างปลอดภยั 7. การขบั เข้าทางโค้ง ตอ้ งหมนุ พวงมาลัยอยา่ งชา้ ๆ โดยไม่ปล่อยมือทั้งสองหรอื ข้างใดขา้ งหน่ึง ออกจากพวงมาลัย และเมอื่ ออกจากทางโคง้ ใหห้ มนุ พวงมาลยั กบั ตาแหนง่ เดมิ เพื่อสามารถบังคับรถใหเ้ คลอ่ื น ไปในทางตรงตอ่ ไป 8. การเลยี้ วทางที่โคง้ มาก ๆ อาจจะตอ้ งหมุนพวงมาลยั หลายรอบ ผ้ขู ับขคี่ วรระวงั เสมอไม่ให้ มือทัง้ สองไขว้กันในขณะหมนุ พวงมาลัย หลงั ออกจากทางโคง้ ใหห้ มุนพวงมาลยั อยา่ งรวดเร็วกลบั มาตาแหนง่ เดมิ เพื่อสามารถขบั รถตรงต่อไปได้ 9. ขณะทีถ่ อยหลงั รถจะไมห่ มนุ ตามการหมุนบงั คบั พวงมาลัยอย่างรวดเรว็ เหมือนตอนที่ เดนิ หน้า จงึ ทาใหผ้ ูข้ บั รถมือใหม่มักจะหมนุ พวงมาลัยมากเกนิ ไป ดังน้ั นในขณะถอยหลัง ให้คอ่ ย ๆ หมนุ บงั คบั หมุนพวงมาลยั ไปในทิศทางทจ่ี ะไปอยา่ งนมุ่ นวลและชา้ กว่าการหมุนบังคับพวงมาลยั รถในขณะขบั เดินหนา้ เบรกเท้า “เบรก คือชวี ติ ของผู้ใชร้ ถ ไมเ่ พียงแตใ่ ช้ได้ แต่ตอ้ งใช้ใหเ้ ปน็ ” พฤติกรรมท่ผี ขู้ ับรถมักทาผดิ วธิ ใี นการหยดุ หรือชะลอรถทพี่ บเหน็ อยู่เสมอ มดี ังน้ี : - ไมใ่ ช้เบรกชะลอความเรว็ แต่ใชว้ ิธีเหยยี บคลัตช์ และปลอ่ ยใหร้ ถวงิ่ ยาว ๆ โดยไมม่ ีความ จาเปน็ - ปลดเกยี รเ์ ป็นเกยี รว์ ่างในขณะที่รถวงิ่ อยู่ - ขณะที่รถมคี วามเร็วสงู ผู้ขบั เหยียบคลตั ช์กอ่ น หรือเหยียบพรอ้ มกบั การเหยียบเบรก - เลี้ยงคลตั ช์ หรือพกั เทา้ บนแปูนคลตั ช์ การกระทาใด ๆ ดังกล่าวมาแล้ว มผี ลทาให้รถมอี าการลอยตัว ระยะเบรกจะยาวข้นึ การควบคมุ รถ ขณะใด ขณะหนง่ึ ขาดหายไป เรียกวา่ COASTING การใช้เบรกเทา้ ทถี่ กู ตอ้ ง 1. แตะเบรกเพื่อชะลอความเร็วก่อนเขา้ ทางโค้ง หลีกเล่ยี งการใชเ้ บรกขณะเาขโ้คง้ หรือวงเล้ียว 2. หลีกเลี่ยงการเบรกกะทนั หัน

33 3. เบรกอย่างนมุ่ นวล ใช้สัญญาณไฟเบรกปอู งกันตนเอง (เทคนคิ การใชเ้ บรก 3 จงั หวะ จังหวะที่ 1 แตะเบรกเพ่ือให้ไฟทา้ ยตดิ เพือ่ เตือนรถคนั หลงั จังหวะท่ี 2 กดนา้ หนกั เทา้ เพ่อื ทาการชะลอรถ จงั หวะที่ 3 กดเพื่อหยดุ รถ แตถ่ า้ จะชะลอรถใหใ้ ช้2 จงั หวะ) 4.ใชเ้ บรกและเกียรเ์ พ่อื จังหวะการขับขีร่ ถท่ีสามารถไหลเวยี นไปกับการจราจร เกียร์ ขอ้ แนะนาในการเปลีย่ นเกียร์ - ใช้เกียร์ในการควบคุมความเรว็ - ดูรอบเครอื่ งใหพ้ อดกี บั การเปล่ียนเกียร์ - หลกี เลย่ี งการเปล่ียนเกียร์ เชน่ ลงเนิน ทางโคง้ และทางร่วมทางเเยก - ควรเลอื กเกียร์ทเี่ หมาะสมกอ่ นสถานการณน์ น้ั ๆ จะมาถงึ รถเกยี ร์อัตโนมัติ - การทางานของเกียร์ “D” ควรเหยียบเบรกทุกครั้งก่อนเขา้ เกยี รใ์ นการออกรถ เพราะจะมีแรงฉดุ จากเครอ่ื งยนต์เกิดขน้ึ โดยไม่ไดเ้ หยยี บคนั เรง่ ซึง่ เรยี กว่า “แรงคลาน” ซง่ึ จะทาให้รถเคลอื่ นท่ีได้ทนั ที โดย เกยี รจ์ ะเปลยี่ นขน้ึ และลงอตั โนมตั ิ ตามความเร็วและรอบเครื่องยนต์ - การทางานของเกยี ร์“P” การจอดรถโดยมรี ะบบล็อกเกยี ร์ทีล่ ้อคูห่ นา้ เพือ่ ปอู งกนั รถเคลือ่ นที่ ควร ใชใ้ นท่ีปลอดภยั เทา่ น้นั ไม่ควรใชใ้ นขณะตดิ ในการจราจรเพราะเนอื่ งจากอจาถกู ชนท้ายอาจทาใหเ้ กยี รเ์ สียหายได้ เบรกมือ เป็นอปุ กรณค์ วามปลอดภัยที่มใี นรถทกุ คัน การทางานเปน็ ระบบกลไก ทกี่ ้านเบรกมอื ในขณะทีเ่ รา ดงึ ก้านเบรกมือขึ้นมา ก้านเบรกมือก็จะไปดงึ สายเบรกท่ีเพลากลางหรือทีเ่ พลาลอ้ คู่หลงั ใหผ้ า้ เบรกกางออกจบั กบั จานเบรก ซึ่งเบรกมือใช้เฉพาะตอนรถหยดุ เทา่ น้นั เทคนิคการใช้เบรกมือทีถ่ กู ตอ้ งมีดงั นี้ เทคนิคในการฝกึ ฝนการใช้เบรกมอื - การออกรถในทางราบ ควรเข้าเกียรก์ อ่ นปลดเบรกมอื - การออกรถบนทีล่ าดชัน เขา้ เกยี ร์ 1 ค่อยๆ ผ่อนคลัตชใ์ หส้ อดคล้ องกับกดคนั เร่งใหเ้ เรงฉดุ พอดกี ั บ ความลาดชนั เม่อื สงั เกตวา่ รถมแี รงฉุดไปขา้ งหนา้ ค่อยๆ ปลดเบรกมอื อย่างนิม่ นวล ให้เบรกมอื ลงสุดเมอื่ รถ เร่มิ เคลือ่ นตัว

34 - การหยุดรถในการจราจร เมอื่ หยุดรถเนื่องจากรอสัญญาณไฟ การจราจรตดิ ขดั หรือหยดุ เน่ืองจาก เหตกุ ารณใ์ ดๆ กต็ าม เปน็ เว ลานานเกินกวา่ 10 วินาที ควรขึ้นเบรกมือกอ่ น และปลด เกียร์ว่าง แต่ถ้ารถ เคลอ่ื นท่ตี ่อเนื่องสลับกบั หยดุ ไม่จาเปน็ ตอ้ งขึ้นเบรกมือ - การจอดรถ ใหเ้ ลอื กทีจ่ อดรถทีป่ ลอดภัย ไมก่ ีดขวางการจราจร จ ากน้ันขึ้นเบรกมือ เขา้ เกยี รว์ า่ ง หรือเกียร์ P สาหรับเกียรอ์ ัตโนมัติ และดับเครอื่ งยนต์ ระบบเบรก ABS ผขู้ บั ขีค่ วรจะรูจ้ กั การใชอ้ ุปกรณ์ในรถเพ่ือความปลอดภยั ควรรวู้ ่าเม่อื ใช้ระบบเบรก ABS ควรจะ เหยยี บเบรกแรงๆ ทเี ดยี วคา้ งไว้ หรือร้วู ่าระบบ ESP จะชว่ ยชดเชยและปรบั สภาพรถ ให้ทรงตัวอยใู่ นสภาวะ ปกติทนั กรณรี ถเกดิ สไลด์เมอ่ื ถนนเปยี กลนื่ หรอื หากมีสงิ่ ใดมาตัดหนา้ รถแตเ่ บรกทนั ทีไม่ได้ ควรหักหลบ และ ควบคมุ รถใหอ้ ย่ใู นเลนกอ่ นเบรกรถเพ่อื หยดุ ทปี่ ัดนา้ ฝน วธิ กี ารขบั รถขณะฝนตกท่ปี ลอดภยั ผูข้ ับขี่ควรจะเปิดท่ปี ดั นา้ ฝน โดยปรับระดบั ความเรว็ ใหส้ มั พันธ์ กบั ฝนท่ีตกลงมา กดปุมไล่ฝูากระจกหลัง เมอ่ื ฝนตกใหม่ ๆ นา้ ทีก่ ระเดน็ ขนึ้ มาจะมีลักษณะเหนียวคล้ายโคลน ควรจะใช้น้าฉีดกระจกชะลา้ งคร าบโคลนแต่ไมค่ วรฉีดในขณะขับรถดว้ ยความเรว็ สูง เพราะจะทาให้มองเหน็ เสน้ ทางไม่ชดั เจน เพอื่ ปูองกนั อบุ ตั เิ หตจุ ากรถลนื่ ไถลหรอื หยุดรถไมท่ ัน ไม่ควรขบั รถเรว็ ในชว่ งฝนตก และไม่ ควรจะขับรถชดิ คันหนา้ มากเกนิ ไป พยายามขับรถให้อยูใ่ นชอ่ งทางของตนเอง ไม่หยุดรถ หรอื เปลี่ยนช่องทาง กะทันหันในระยะกระช้ันชดิ และหลีกเลี่ยงการเปิดไฟกระพริบหรือไฟฉกุ เฉินเพราะจะสร้างความเข้าใจผดิ แก่ ผู้ รว่ มทางได้ สัญญาณแตร สัญญาณแตร คือ สญั ญาณเสียงทใี่ ช้เตือนให้ผู้ใชร้ ถใชถ้ นนเพ่ิมความระมัดระวงั โดยแจ้งให้ร้วู ่า ตาแหน่งของรถทใ่ี ห้สัญญาณอยทู่ ีใ่ ด การใชส้ ญั ญาณแตรทีถ่ ูกตอ้ ง ควรเปดิ สัญญาณสน้ั ๆ ห้ามใช้สัญญาณแตรยาวเกนิ ควรโดยเดด็ ขาด ยกเวน้ กรณีฉกุ เฉินท่ี จาเป็น จริงๆ หากฝาุ ฝนื มีโทษปรบั ไม่เกนิ 500 บาท และควรใหส้ ญั ญาณแตร เมอื่ ขบั รถผ่านบริเวณท างโค้งหักศอก ท่ีมองไม่เหน็ รถทวี่ ิง่ สวนทางมาหรือมมุ อบั และตามซอยทมี่ ีกาแพงทึบบงั อยู่ เพอื่ ส่งสัญญาณให้กับรถคันอนื่

35 ขอ้ สาคญั ควรหลีกเล่ยี งการใชแ้ ตรสญั ญาณเพอื่ ต่อว่าผู้ ขบั ข่อี ืน่ ขณะเดียวกนั การเปิดเคร่อื งเสยี ง ภายในรถ ควรเปิดท่ีระดับความดังไมเ่ กิน 85-90 เดซิเบล เพราะเสยี งดงั เกินกวา่ ท่ีระบุ จะเปน็ การทาลาย ประสาทหขู องผทู้ ่อี ยู่ภายในรถโดยไมร่ ูต้ ัว และการเปิดเครอ่ื งเสียงดังเกินไป อาจทาใหไ้ มไ่ ด้ยินเสยี งความ ผิดปกตขิ องเครอ่ื งยนต์ หรืออุปกรณ์ของรถ และจะทาใหผ้ ้ขู บั ขี่ไมไ่ ด้ยนิ เสียงแตร หรอื เสียงสัญญาณอื่นๆ ทีร่ ถ คนั อน่ื ตอ้ งการสง่ สัญญาณให้ อาจทาให้เกดิ อบุ ตั เิ หตุทไ่ี ม่คาดคิดตามมา การใหส้ ญั ญาณไฟฉกุ เฉิน แมว้ า่ สญั ญาณไฟฉกุ เฉินจะมปี ระโยชน์ เมือ่ เกดิ เหตุคับขนั หรอื อยใู่ นสถานการณ์อนั ตราย แตห่ าก เปดิ ใช้อย่างพร่าเพรอื่ อาจเป็นตน้ เหตขุ องอุบตั ิเหตรุ ้ายแรงได้ เชน่ กรณีขบั ขา้ มสี่แยกทไ่ี ม่มีสญั ญาณไฟ ไม่ควร เปิดสญั ญาณไฟฉุกเฉิน เพราะจะทาใหผ้ ้ขู บั รถทางซ้ายและทางขวาน้ันเหน็ ไฟกระพริบเพยี งดา้ นเดยี วทาให้เข้าใจ ผิดว่ารถกาลังจะเล้ยี วกอ่ ใหเ้ กดิ อบุ ตั เิ หตไุ ด้ วิธีทข่ี บั รถข้ามทางแยกที่ไมม่ ี สัญญาณไฟทถ่ี ูกตอ้ งนัน้ ต้องชะลอ ความเรว็ มองซา้ ยขวาอย่างรอบคอบเม่อื เหน็ ว่าถนนไมม่ รี ถจึงคอ่ ยขบั ตรงไปจะเป็นวิธีท่ปี ลอดภัยท่สี ุด ไฟตดั หมอก ไฟตัดหมอก ส่วนใหญจ่ ะเป็นหลอดสปอตไลทส์ อ่ งในระนาบขนานกับพื้นถนนหรอื ตกพ้นื ในระยะไกล ความสวา่ งมีมาก และส่องไดไ้ กลกว่าโดยเฉพาะในขณะท่ฝี นตก หรอื หมอกลงจดั หลอดไฟหนา้ ปกติถา้ เปิด สอ่ งในขณะทห่ี มอกลงจดั การขบั รถบนถนนทสี่ ภาพอากาศปกติ ไมใ่ ห้เปดิ ไฟตดั หมอก เพราะไฟตัดหมอกเปน็ ไฟทใี่ หค้ วามสวา่ งสงู เปน็ สปอตไลต์ จงึ สามารถส่องสวา่ งไปไดไ้ กล ซ่งึ หากเปิดใช้ในช่วงเวลาทไ่ี มเ่ หมาะสมแลว้ แสงจากหลอดไฟตัดหมอก จะไปรบกวนสายตาผทู้ ีข่ ับรถสวนทางมาทาใหต้ าพรา่ มัว และมีโอกาสท่จี ะเกดิ อุบตั เิ หตไุ ด้สูงมาก 4.4 ท่านัง่ ขบั รถ ผู้ขับขร่ี ถส่วนใหญ่มากกว่ า 80% ยงั มีทา่ นง่ั ขณะขบั รถท่ไี ม่ถูกตอ้ งซงึ่ จะมีผลต่อการควบคมุ รถเมอื่ เกดิ เหตฉุ ุกเฉนิ หรอื อาจประสบปัญหาปวดหลัง ปวดไหล่ เมอื่ ตอ้ งขับรถเปน็ ระยะเวลานาน วิธีการน่งั ขณะ ขับรถที่ถกู ตอ้ ง ควรน่งั ให้กน้ ชดิ เบาะ ไหลพ่ งิ เบาะ เท้าอยใู่ นตาแหน่งเหยียบคันเร่ง เบรก แล ะคลตั ช์อย่าง สะดวก ส่วนหลังตั้งตรง ไหลพ่ ิงแนบเบาะพอดี โดยการน่งั ขบั ขีใ่ นท่าดงั กล่าว จะเปน็ การถ่ายนา้ หนักลงสู่ บ้ันทา้ ยทถี่ ูกต้องตามสขุ ลักษณะ จะช่วยคลายความเครียด แกป้ ัญหาการปวดหลัง และทาใหป้ ระสาทสั่งการ ได้ดีดว้ ย

36 4.5 การคาดเข็มขดั นิรภยั ผู้ขับข่แี ละผูโ้ ดยสารทกุ คนตอ้ งคาดเขม็ ขดั นริ ภัยตลอดเวลา ไมว่ า่ จะเดนิ ทางใกลห้ รอื ไกล เพราะผ้ทู ี่ ไมค่ าดเข็มขัดมีอตั ราเส่ยี งต่อการบาดเจ็บเมื่อเกดิ อบุ ัตเิ หตุ ตัวของผปู้ ระสบเหตอุ าจกระแทกกับพวงมาลยั รถ หรือกระจกหนา้ ก่อนดว้ ยความเรว็ สงู ใกล้เคยี งกบั การตกจากตึกสงู ร่างกายส่วนบนกระแทกกบั พวงมาลัย ศีรษะกระแทกกับกระจก ขาสว่ นบนจะยนั กับหน้าปัด เปน็ เหตใุ หข้ าหกั และกระดูกเชงิ กรานเคลือ่ น ทาให้ ไดร้ บั บาดเจบ็ รุนแรงถงึ ขน้ั เสยี ชีวิตได้ และหากผ้ปู ระสบเหตุหลุดออกนอกรถ จะมีโอกาสเสยี ชวี ิตมากกว่าคน อยใู่ นรถถึง 6 เท่า ไม่ควรใหเ้ ด็ กนัง่ เบาะหน้ารถหรอื นง่ั ตกั ผู้ขบั ขเี่ พราะหากเกดิ อุบตั ิเหตุ เดก็ อาจไป กระแทกคอนโชลรถหรอื กระจกหน้า และหากถงุ ลมนริ ภัยทางานจะพองตัวมากกระแทกศีรษะและปดิ ทางเดนิ หายใจมโี อกาสเสยี ชีวติ เพิ่มข้ึน 4.6 การสตารท์ เครื่องยนต์ วิธีการสตารท์ เคร่อื งยนตอ์ ย่างถูกตอ้ งควรเรมิ่ ต้นดว้ยการดึงเบรกมอื ให้สุด ให้รถอยใู่ นตาแหน่งเกยี ร์ว่าง เหยียบคลทั ธใ์ หส้ ดุ ปดิ อปุ กรณไ์ ฟฟูาทุกชนิด บิดสวทิ ยก์ ุญแจไปท่ตี าแหน่ง ON ตรวจมาตรวดั และหลอดไฟ เตือนต่าง ๆ จากน้ันจงึ สตาร์ทเครอื่ งยนต์ ซึ่งโดยปกติไม่ควรใช้เวลาเกนิ 5 วนิ าที โดยก่อนออกรถต้องตรวจ มาตรวดั และหลอดไฟเตอื นอกี ครัง้ เมอ่ื เขม็ มาตรความร้อนเรมิ่ ขยบั จงึ คอ่ ยๆ ออกรถ ข้อสาคัญไม่ควรสตารท์ เครอื่ งยนตน์ านเกิน 30 วินาที เพราะจะทาใหแ้ บตเตอร่ไี ฟหมดหรอื ไดสตารท์ ไหม้ 4.7 เทคนิคการมองท่ปี ลอดภัย เทคนิคการมองทีป่ ลอดภัย มีอยู่ 6 จุด ไดแ้ ก่ รถทม่ี าจากด้านหนา้ รถทีอ่ ยดู่ า้ นหลัง รถทเี่ รากาลั ง เตรียมแซง รถท่กี าลังจะขับแซง รถทม่ี าจากดา้ นขา้ ง และรถทว่ี ง่ิ สวนทางมา ดงั น้นั การใชส้ ายตาและการให้ สัญญาณไฟ จงึ เปน็ สงิ่ สาคัญ จงึ ควรตรวจสอบสายตาใหพ้ รอ้ มสาหรับการขับรถด้วย การมองแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 คือระยะไกล ท่ีสามารถมองเห็นสถานการณก์ ารจราจรในภาพรวมท่มี ีเวลาวิเคราะห์ แยกแยะสถานการณท์ ่อี าจกอ่ ใหเ้ กดิ อุบตั ิเหตุ ระยะที่ 2 คอื ระยะกลาง เป็นขั้นเตรียมตัวเตรียมการแก้ไขสถานการณ์ ระยะที่ 3 เปน็ ระยะแก้ไขสถานการณ์ ในการขบั รถทป่ี ลอดภยั นอกจากตอ้ งมีการมอง 3 ระยะ ดังกล่าวแล้ว ยงั ต้องมกี ารมองกวาดสายตาดว้ ย เพราะเมอื่ ความเร็วรถเพ่ิมขน้ึ การมองเหน็ ด้านขา้ งจะลดลง เชน่ รถท่ีความเรว็ 100 กม./ชม. มุมมององศาของตาจะแคบลงเหลอื เพียง 40 องศา เทา่ นน้ั จงึ ตอ้ ง ชดเชยด้วยการมองกวาดสายตาสมา่ เสมอขณะขบั รถ

37 4.8 การใช้สายตามองขณะขับข่ี มาตรฐานการขบั ข่ที ีป่ ลอดภยั ผูข้ บั ข่ีต้องมสี ายตาทสี่ ามารถมองเหน็ ส่ิงต่างๆ บนท้องถนนและ ข้างทางได้อย่างนอ้ ยรอ้ ยละ 85 ของสายตาปกติ และตอ้ งมีลานสายตา คือบรเิ วณทัง้ หมดทมี่ องเหน็ เมื่อ เพ่งตรงไปขา้ งหน้ากวา้ งไมน่ อ้ ยกวา่ 140 องศา รวมทั้งตอ้ งไมต่ าบอดสี หรือสายตามองเห็นกลางคนื ไดช้ ้ากว่า ปกติ เพราะน่ันจะเปน็ สาเหตุของอุบตั เิ หตุ การขอต่ออายุใบอนญุ าตขับรถ ทุกชนดิ จึงต้องผ่านการทดสอบ สายตาเพือ่ ความปลอดภยั ในการขบั รถ นอกจากนี้ผ้ขู บั ข่คี วรระวงั จดุ ทมี่ ักเกดิ อบุ ตั เิ หตขุ ณะขบั ขด่ี ้วย 4.9 การปรบั มุมกระจก อบุ ัติเหตมุ กั มีโอกาสเกิดขน้ึ สงู ในชว่ งการเปลย่ี นช่องทางการขับรถโดยท่มี องไม่เหน็ รถท่ีอยูด่ า้ นขา้ ง หรือรถท่ขี บั ตามมาอนั เน่อื งจากตาแหนง่ ของกระจกมองขา้ งและมองหลังเกิดมมุ อบั ทาใหเ้ ห็นไม่ชัดเจน ตาแหนง่ ของกระจกมองขา้ งที่เหมาะสมต้องอย่ใู นแนวตั้งขนานไ ม่ก้มหรอื เงย หรอื เห็นตวั ถงั รถด้านข้างมาก เกนิ ไป ส่วนกระจกมองหลังต้องปรับใหเ้ หน็ พน้ื ทีด่ า้ นหลงั ให้มากท่สี ุด และตอ้ งให้เห็นพื้นที่ด้านซา้ ยของรถ ดว้ ย โดยต้องไมใ่ หเ้ ห็นศีรษะของผู้ขบั ในกระจกมองหลงั 4.10 เทคนคิ การมองกระจก ในขณะขบั รถ ผู้ขบั ขจี่ าเปน็ ตอ้ งตรวจสอบกระจกทกุ บานตลอดเวลา หรอื ทุกๆ 5-8 วินาที เพ่อื ให้รู้ถึงตาแหน่งรถคนั อน่ื เพือ่ เปน็ ขอ้ มูลในการวางแผนการขับข่ี แต่เนื่องจากกระจกมีจดุ บอด ซึง่ จะทาให้ มองไมเ่ ห็นครอบคลุมท้งั หมด ดังนั้น ทุกคร้งั กอ่ นเปล่ยี นช่องทางจราจร หรือเลี้ยวรถ ควรมองข้ามไหล่ โดย การหนั หน้าไปมองดา้ นขา้ งในทศิ ทางท่เี รากาลงั จะไปอีกครงั้ ซึ่งฝึกโดยใช้เทคนคิ ดงั น้ี เทคนิค ก.ส.ม.ป. มองกระจก – ให้สญั ญาณ – มองขา้ มไหล่ – ปฏิบัติ ก.ส.ม.ป. = กระจก – ให้สญั ญาณ – มองขา้ มไหล่ – ปฏิบตั ิ การมองข้ามไหลแ่ ละมองกระจกหลังทุก 5-8 วนิ าที เพอ่ื ฆา่ จดุ บอด ตอ้ งกวาดสายตา (ไม่มองจุดใดจุดหน่งึ นานเกนิ 2-3 วินาที)

38 4.11 การตรวจสอบการจราจร การขับรถทีเ่ พ่ิมความปลอดภยั มากขึ้น ต้องมกี ารตรวจสอบการจราจรด้านขา้ งและด้านหลงั จาก กระจกรถอย่างสม่าเสมออยา่ งนอ้ ยทุก ๆ 10 วินาที และควรขบั รถทิง้ หา่ งรถคนั หน้ าไมน่ อ้ ยกวา่ 4 วนิ าที ในกรณที ร่ี ถวงิ่ ดว้ ยความเรว็ 60 กม./ชม. สว่ นกรณีขับรถตามรถ ขนาดใหญ่ ตอ้ งทงิ้ ระยะห่างใหม้ ากขนึ้ กวา่ ปกติทุกคร้งั 4.12 การออกรถที่ปลอดภยั การออกรถทป่ี ลอดภัย ปูองกันรถไหลไปชนรถคนั อื่น ผู้ขับข่ตี ้องเขา้ เกยี รร์ ถก่อนออกรถ จากนน้ั จงึ ค่อยปลดเบรกมอื ซง่ึ เบรกมอื จะลงสุดเม่อื รถเริม่ เคลอ่ื นตัวไปในทิศทางทตี่ ้องการ สว่ นการออกรถบนทลี่ าดชัน ให้เข้าเกยี ร์กอ่ น แล้วเลื่อนเทา้ ไปคุมทีค่ ันเร่งกดลงไปให้เพียงพอ และพอดกี ับความลาดชนั ทมี่ องเห็น จากน้ัน จึงปลดเบรกมือและลงสดุ เม่ือรถเรมิ่ เคล่อื นตวั วธิ กี ารนจ้ี ะช่วยปอู งกันรถไหลไปชนคนั หลงั ได้ 4.13 การจอดและหยดุ รถ วิธกี ารจอดรถและหยุดรถทถี่ กู ต้อง สามารถชว่ ยลดอุบตั เิ หตุไดอ้ ีกทางหนึ่ง เชน่ การ หยดุ รถเม่อื ตดิ สญั ญาณไฟแดง การหยดุ รถระหว่างการจราจรบนทางราบนานเกิน 10 วินาที ควรขึน้ เบรกมือแล้วปลด เกยี ร์วา่ งทุกครัง้ เพอ่ื ความปลอดภัย เพราะขณะรถ หยดุ อยู่ หากมรี ถอ่นื พลาดพล้ังมาชนท้ายรถ การใส่ เบรกมือไวจ้ ะชว่ ยบรรเทาความรนุ แรงจากอบุ ัตเิ หตุดงั กลา่ ว ใหไ้ ด้รับความบาดเจ็บนอ้ ยลง แลว้ ยังช่วยไม่ใหร้ ถ เลือ่ นไหลไปชนท้ายรถคันหนา้ ไดอ้ ีกด้วย ระยะหยุดรถ ระยะหยดุ = ระยะคิด + ระยะเบรก ระยะทางทีร่ ถวิง่ ไปตั้งแต่ผู้ขับขีส่ ังเกตเหน็ ถอนเทา้ จากคนั เร่งไปแตะเบรก และเหยยี บเบรกจนรถ หยดุ นง่ิ ระยะคิด ระยะทางที่รถวิง่ ไปตงั้ แตผ่ ขู้ ับขส่ี งั เกตเหน็ และถอนเท้าจากคนั เร่งไปแตะเบรก ข้นึ อยู่กบั ความสามารถทางสมองของผูข้ ับขี่แตล่ ะคน เรว็ ช้า ไม่เท่ากนั แมว้ ่าคนเดยี วกนั แต่ต่างเวลา ตา่ งอารมณ์ กไ็ ม่ เท่ากัน ระยะเบรก ระยะทางทร่ี ถวิ่งไปต้ังแตเ่ รม่ิ เหยียบเบรกจนกระทงั่ รถหยุดนิ่ง ซึ่งขึ้นอยู่กับกบั ขนาด และชนดิ ของรถ สภาพยาง ระบบช่วงล่าง สภาพถนน เปน็ ต้น

39 การคานวณระยะหยดุ รถ

40 ระยะหยุดรถ Stopping Distance อตั ราความเร็ว รถน่ังทั่วไป รถบรรทกุ /รถโดยสารขนาดใหญ่ (กม./ชม.) 20 ระยะคิด+ระยะเบรก = ระยะหยุดรถ ระยะคิด+ระยะเบรก = ระยะหยุดรถ 43 7 14 9 23 30 66 12 21 17 38 40 8 10 18 28 27 55 50 10 15 25 35 38 73 60 12 22 34 42 55 97 70 14 29 43 49 74 123 80 16 38 54 56 102 158 90 18 48 66 63 122 185 100 20 60 80 69 145 214 4.14 การจอดรถรมิ ทาง อันตรายจากการจอดรถริมไหลท่ าง เป็นจุดอันตรายทมี่ ักเกดิ อุบัตเิ หตบุ ่อยครง้ั เนือ่ งจากหากมรี ถ จอดข้างทางแล้วมรี ถแซงซ้ายด้วยความเรว็ โดยไมท่ ราบวา่ มรี ถจอดกดี ขวางอยู่ อาจจะหยดุ รถไมท่ ันพงุ่ ชนรถ ที่จอดขา้ งทางอยา่ งรุนแรง เพือ่ ความปลอดภัยไมค่ วรจอดรถรมิ ไหลท่ าง โดยเฉพาะทางขึ้นลงสะพาน ถนนที่ ไหลท่ างแคบ หรือ เปน็ คอขวดโดยเดด็ ขาด หากจาเป็นควรใหส้ ัญญาณไฟล่วงหน้า เปิดไฟฉุกเฉนิ ตัง้ ปูาย เตอื นหรอื วางวัสดุทเ่ี ห็นได้ชัดในระยะไกล เช่น วางกรวยยางด้านหนา้ และหลังรถในระยะ 50 เมตร ซง่ึ ระยะ มองเห็นตอ้ งไม่นอ้ ยกว่า 150 เมตร หรอื จอดในจุดจอดรถรมิ ทางทจี่ ดั ไวเ้ ทา่ น้ัน นอกจากนี้ ส่ีแยกก็เป็นจุด เสี่ยงทม่ี ักเกิดอุบัตเิ หตุรนุ แรง เนอ่ื งจากรถทวี่ ิ่งผ่านทางแยกมักใช้ความเรว็ สงู กรณเี ปน็ ส่ีแยกท่ีมี สัญญาณไฟ ผขู้ ับขคี่ วรปฏิบัติตามอยา่ งเครง่ ครดั หากเห็นไฟเหลืองใหช้ ะลอความเรว็ และหยดุ รถหลงั เส้นท่ีกาหนด สี่ แยกที่ไม่มสี ญั ญาณไฟ กค็ วรจะชะลอความเรว็ มองซา้ ย – ขวา จนแนใ่ จว่าปลอดภยั แลว้ จึงค่อยขา้ มผา่ นทาง แยก

41 การจอดรถรมิ ทางท่ถี ูกต้อง ตอ้ งคานงึ ถึงมารยาทการขับรถด้วย โดยต้องไม่กีดขวางการจราจร และ ตอ้ งจอดรถที่ดา้ นซา้ ยของการเดนิ รถดว้ ยการจอดชดิ ขอบทางด้านซา้ ยในระยะหา่ งไม่เกนิ 25 เซนตเิ มตร หรอื จอด ในจุดท่เี จ้าพนกั งานจราจรกาหนด โดยหา้ มจอดบนทางเท้า บนสะพาน หรืออโุ มงค์ ในทางร่วมทางแยก และใน ระยะ 10 เมตร จากทางรว่ มทาง แยก และทส่ี าคญั ห้ามจอดในเขตท่ีมีเครื่องหมายจราจรห้ามจอดรถเปน็ อนั ขาด เพราะเปน็ การฝาุ ฝืนกฎจราจร ซ่งึ นอกจากจะสร้างความเดอื ดรอ้ นต่อการสญั จรแลว้ ยังมคี วามผิดตาม กฎหมายดว้ ย 4.15 การเบรก อบุ ตั เิ หตสุ ว่ นใหญเ่ กิดขนึ้ จากเบรกไมท่ นั ดังนนั้ ผขู้ บั ขค่ี วรศกึ ษาความสมั พนั ธ์ระหวา่ งความเรว็ รถกบั ระยะเบรกท่ีปลอดภยั ดังนถ้ี า้ คุณขับรถดว้ ยความเร็ว 60 กม./ชม. ระยะเบรกทต่ี อ้ งใชอ้ ยา่ งน้อยทสี่ ดุ คอื 97 เมตร ถ้าขับรถดว้ ยความเรว็ 80 กม./ ชม. ระยะเบรกท่ตี อ้ งใชอ้ ย่างนอ้ ยท่สี ดุ คอื 158 เมตร ถ้าขบั ร ถ ดว้ ยความเร็ว 100 กม./ชม. ระยะเบรกท่ตี ้องใช้อยา่ งนอ้ ยที่สดุ คอื 214 เมตร กอ่ นการตดั สนิ ใจขับรถดว้ ย ความเร็วเท่าใดอย่าลมื เผื่อระยะเบรกที่ปลอดภยั ไว้ดว้ ยทุกครัง้ เพราะอุบตั เิ หตจุ ากการขบั ข่ีแต่ละครั้ง ก่อให้เกดิ ความสูญเสยี และสรา้ งความเดอื ดร้อน ให้กบั ผู้ร่วมทางบนทอ้ งถนนอีกมากมาย 1. เทคนคิ การใช้เบรกในวงเลีย้ วหรอื โคง้ ขณะขบั ด้วยความเรว็ สูง ในขณะที่รถวงิ่ ในโคง้ จะมแี รงธรรมชาติทีเ่ รียกกันวา่ แรงเหวี่ยงหนศี ูนย์กลางหรอื ที่เรียกกนั สัน้ ๆ วา่ แรงเหว่ียงหนีศูนย์มาคอยผลกั รถให้ออกจากโค้ง แรงนจ้ี ะทวคี ณู ขึน้ ตามความเร็วทเ่ี พ่ิมขน้ึ หากถา้ เราเกดิ ไป เบรกแรง ๆ เขา้ แรงทีจ่ ับเกาะระหวา่ งยางกับผวิ ถนนซง่ึ มีน้อยอยู่แล้วในช่วงที่รถว่งิ ด้วยความเรว็ สูงๆ กจ็ ะเกดิ อาการสะดดุ ในขณะสะดุด รถก็จะขาดการสมดุลเนอ่ื งจากการถา่ ยนา้ หนักไปขา้ งหนา้ (การถา่ ยน้าหนักไป ดา้ นหลังเกดิ ข้ึนเมอื่ เราเบรก) แรงทีเ่ กดิ ขน้ึ ใหมอ่ าจจะตา้ นแรงผลักหรือแรงเหว่ยี งหนศี นู ย์ไม่อยู่ และถ้าต้านไม่ อยู่ โอกาสท่ีรถจะไถลออกนอกเสน้ ทางหรอื พลิกคว่าอาจเกิดข้ึนได้ แตถ่ ้าขบั ดว้ ยความเร็วตา่ ๆ แรงเหวย่ี งหนี ศูนยก์ ลางตัวนีก้ ท็ าอะไรคุณไม่ได้ ดว้ ยเหตนุ ีเ้ องท่เี ปน็ เหตผุ ลต้านไว้ไมใ่ หเ้ บรกรถในวงเลย้ี วหรอื ในโค้งขณะที่ขับ ด้วยความเร็วสงู ท้งั น้ี อบุ ตั ิเหตุทเ่ี กดิ จากการเบรกอาจขึน้ อยู่กับส่ิงท่ีบรรทุก เช่น ของแข็ง ของเหลว การจดั วาง ซงึ่ มีผลต่อแรงเหวีย่ งหนีศูนย์ นอกจากน้ีการเบรกรุนแรงในโค้งยังเป็นอุปสรรคตอ่ การหักหรือหมุนพวงมาลยั ไปตามโคง้ เพราะลอ้ อาจล็อกตาย บางครัง้ ผลของการลอ็ ก ของลอ้ อาจสง่ ผลใหร้ ถออกอา การลืน่ ไถลหรือแหกโคง้ ได้ไม่ แพ้เหตทุ มี่ า จากแรงเหว่ียงหนีศนู ยก์ ลางเหมือนกนั ถา้ จาเป็นจะตอ้ งเบรกในทางโคง้ เพราะไมม่ ีทางเลือกอยา่ งอืน่ แล้ว ต้องปรับนา้ หนั กเทา้ ท่กี ดลง แปูนเบรกใหด้ ี นมุ่ นวล โดยคานึงถึงสภาพผิวจราจร การจับเกาะของยางกับถนนเปน็ หลกั ควรเบรกเสียแต่ เนิ่นๆ ไมใ่ ชร่ อจนถึงจดุ วกิ ฤตแลว้ คอ่ ยเบรก เดย๋ี วจะกลายเปน็ การเบรกกะทนั หัน แลว้ ก็หยดุ รถไม่ทนั หรือ

42 หยุดได้เหมอื นกันแต่รถออกอาการล่ืนไถลหรือหมนุ บนทา งลาดลงเขาพยายามเบรกในช่วงขณะทีร่ ถอยใู่ น ทางตรง และการเบรกนัน้ ตอ้ งนุม่ นวลทสี่ ดุ อย่าลืมว่าการใช้เกียรต์ า่ ทีส่ อดคลอ้ งกับความลาดชันคือส่ิง สาคัญและป้องกนั ปัญหาดังกลา่ วไวล้ ว่ งหน้า 2. หลกี เลย่ี งการเบรกกะทันหนั การเบรกกะทนั หนั เป็นสาเหตุท่ีนาไปส่อู ุบัติเหตุโดยตรงไดส้ องทาง คือ หยดุ รถไม่ทนั แลว้ ก็ไปชน ท้ายรถคนั หน้า และถ้าหยุดรถทนั ก็อาจถูกคันหลังชนทา้ ยเพราะเขาหยดุ ไม่ทัน และอุบัติเหตุที่ เกดิ จากสาเหตุ 2 ประการทว่ี า่ ก็เกดิ ขึ้นบ่อย ๆ โดยเฉพาะในเขตชุมชนและในเขตกรงุ เทพฯ ดังนั้ นจงึ จาเป็นทจี่ ะตอ้ งพง่ึ พา การสงั เกตการณ์ท่ีดี ไมเ่ ผลอ รวมท้ังต้องระวังระยะรถท่ีขบั ตามมาพรอ้ มๆ กนั ไปดว้ ย 3. ฝึกใชเ้ ทคนคิ การเบรกทนี่ ่มุ นวล การเบรกท่นี ุม่ นวลและปลอดภัยจะเร่มิ ต้นด้วยการสังเกตที่ดี ทิ้งชว่ งหา่ งจากรถคันหน้าด้วยระยะที่ เหมาะสม และใช้สญั ญาณไฟเ บรกใหเ้ ปน็ เริม่ ตน้ จากการท้งิ ช่วงห่างจากรถคันหน้าในระยะท่เี หมาะสม คือ ระยะท่ีจะหยดุ รถไดอ้ ยา่ งปลอดภยั ถ้ารถคันหนา้ เกิดหยดุ กะทันหันขน้ึ มา ระยะหา่ งทว่ี ่าน้ียงั จะทาให้เรา มองเหน็ พฤติกรรมของรถขา้ งหน้าต่อไปไดอ้ กี 2-3 คัน (ในกรณีที่ขบั ในเขตชุมชน ) ย่งิ มองได้ไกลมากเทา่ ไรก็จะ ทาให้เราเหน็ พฤตกิ รรมของรถเหลา่ นั้นมากขนึ้ หลายคัน ผลทตี่ ามมาคอื สามารถคาดการณ์ไดแ้ มน่ ยา มเี วลาคดิ มีเวลาเตรียมการมากข้ึน คราวนเี้ ม่ือจะเบรกรถ ก็สามารถทาไดโ้ ดยสะดวกเรม่ิ จาก การถอนเท้าจากคนั เรง่ ให้ ความเร็วคอ่ ยๆ ลดลงตามธรรมชาติ ขัน้ ตอ่ มาก็คือการเบรกให้หยดุ ณ จดุ ท่ตี อ้ งการ เราก็จะหยุดรถไดอ้ ยา่ ง น่มิ นวล อีกทั้งปอู งกนั รถคนั หลังไมใ่ หม้ าชนเราไดด้ ้วย การฝกึ เบรกรถอย่างนี้ นอกจากจะได้ความนมุ่ นวล ปลอดภัย ปอู งกนั ไม่ใหร้ ถคันอนื่ มาชนท้ายแล้ว ยงั เปน็ การใช้ผา้ เบรกได้ทนทานคมุ้ ค่าเงินอกี ด้วย 4.16 ระยะตามรถ เทคนิคปูองกนั ไม่ใหร้ ถถูกชนทา้ ย - ไมเ่ ร่งหนีรถทจี่ ้ีทา้ ย การเรง่ หนีจะทาให้ระยะทางข้างหนา้ ยิ่งส้ันลง - รักษาชอ่ งทางและตาแหน่งรถไวด้ ังเดมิ (ชว่ ยให้การคาดการณ์ดขี ึ้น) - ถ้าเป็นไปได้ ลดความเร็วลง (แคพ่ อควร) ใหส้ ัญญาณเปิดทางให้เเซงไป - ถ้าเขายงั ไมเ่ เซง หาทางเพิ่มระยะทางขา้ งหนา้ เอาไว้ใหม้ ากข้ึน - ถ้ายงั ไมเ่ เซง (และสมควรแกเ่ วลา) ใช้เทคนคิ การแตะเบรกแบบถี่ๆ เพ่ือเตอื น - ถา้ ยังไม่แซง ให้เปล่ียนชอ่ งทางเพื่อใหเ้ ขาแซงขึ้นไป

43 การทิง้ ช่วงหา่ งจากรถคนั หน้าในระยะทป่ี ลอดภัย หยดุ ไม่ทัน ชนทา้ ยเขา เขาหยดุ ไมท่ ัน ชนทา้ ยเรา อุบัติเหตุท้งั สองแบบท่วี า่ เกดิ ขนึ้ เเทบไมเ่ วน้ เเตล่ ะวัน เทคนิคการทงิ้ ชว่ งหา่ งจากรถคันหนา้ ในระยะทถ่ี ูกต้อง การเว้นระยะตามรถคนั หน้า เพือ่ ใหส้ ามารถหยุดรถไดอ้ ยา่ งปลอดภัย โดยใชเ้ วลาเป็นตัววัด สามารถ ทาได้โดย ใหผ้ ขู้ บั ขหี่ มายตาสง่ิ ทอี่ ยู่ขา้ งหนา้ รถคนั ข้างหน้าเรา เชน่ ปูายจราจรทรี่ ถคนั หน้ากาลงั จะว่งิ ผ่าน เม่ือ รถคันหนา้ วิ่งผา่ นปาู ย ให้เราเรมิ่ นบั หนึง่ พนั หนงึ่ หน่ึงพนั สอง หนง่ึ พนั สาม... (นบั สามพยางค์ซ่ึงจะใกล้เคียง วินาทีจริง) นบั ไปเรอ่ื ยๆและใหส้ งั เกตวา่ เราใชเ้ วลาก่ีวินาทกี ว่าจะถงึ ปาู ยนั้น โดยวินาทจี ะแปรผนั ตามความเร็ว ยง่ิ ขับเร็วมากเท่าไหร่ ต้องเวน้ ระยะห่างมากขนึ้ โดยมีหลักเกณฑด์ ังน้ี - ทิ้งระยะหา่ ง 4 วนิ าที ความเร็วไมเ่ กิน 60 กม/ชม - ทิง้ ระยะห่าง 5-6 วินาที ความเรว็ ไมเ่ กนิ 80 กม/ชม * ถ้าทศั นวสิ ยั ไมด่ ี ฝนตก หมอกลง ใหค้ ูณ 2 4.17 เทคนิคการขับรถเข้าโคง้ หรือวงเลี้ยว ทางเลี้ยวหรอื ทางโคง้ เปน็ ลกั ษณะถนนเปน็ อันตรายในการขบั ขี่ เพราะเน่อื งจากในขณะเขา้ โคง้ จะ เกิดแรงเหวี่ยงหนศี ูนย์กลางซึง่ มผี ลต่อการยดึ เกาะของรถ ดังน้นั ความเรว็ จึงเปน็ ปจั จยั หลกั ในการควบคุมรถ ขณะเข้าโค้ง โดยมขี ้ันตอนปฏิบตั ิดงั น้ี - มองไกล สงั เกตการณ์ คาดการณ์ และประเมินลกั ษณะของโค้ง - ตรวจสอบกระจก ลดความเรว็ เปลยี่ นเกยี รใ์ หเ้ รยี บรอ้ ยกอ่ นถงึ ทางโค้ง - วางตาแหน่งรถชิดขอบทางดา้ นซ้าย หลีกเลย่ี งการชนประสานงากับรถทวี่ ิง่ สวนมา - หลกี เล่ยี งการเหยียบเบรก เหยยี บคลัตช์ เปลีย่ นเกยี ร์ หรอื หมนุ พวงมาลยั อย่างรนุ แรง - การวางเเนวเขา้ “เขา้ ช้า-ออกเรว็ ” หมายถงึ ลดความเรว็ ก่อนถึงทางโคง้ และเมือ่ รถ ผา่ นจุดก่ึงกลางโคง้ ให้ค่อยๆ เพิม่ ความเรว็ อยา่ งต่อเนือ่ งเพอ่ื ออกจากโค้ง จะทาให้รถมี แรงยึดเกาะทีด่ ขี ้นึ - อาการของรถ “Over steer” และ “Under steer”

44  การล่ืนไถลของลอ้ คูห่ นา้ หรือเรียกว่า Under steer เมื่อเบรกหรอื หักพวงมาลยั อยา่ งรนุ แรงในขณะเขา้ โค้งดว้ ยความเรว็ สงู ลอ้ ค่หู น้าลอ็ ก หรอื ลน่ื ไถล สญู เสีย การยดึ เกาะกับถนน รถจะเคลอื่ นทเี่ ป็นแนวตรง ไมส่ ามารถบังคบั ใหเ้ ล้ียวไปใน ทิศทางของโคง้ ได้ หรอื เรียกอีกอยา่ งว่า “หน้าดอื้ ”  การลื่นไถลของล้อคหู่ ลงั หรอื เรียกวา่ Over steer ทา้ ยรถจะปดั ในทศิ ทางตรง ข้ามกบั โค้ง เชน่ โค้งขวา ทา้ ยจะปัดไปทางซ้าย เนื่องจากล้อคูห่ ลังสูญเสียการยึด เกาะกับถนน สาเหตุเกดิ จากการใช้ความเรว็ สูงเกนิ ไป หักพวงมาลยั รุนแรง และ ส่วนใหญเ่ กดิ ขึ้นกบั รถบรรทุกท่ีมีระบบขับเคลอ่ื นลอ้ หลงั และทา้ ยรถเบาขณะไม่ บรรทุก  ใหส้ ญั ญาณ (ถา้ จาเป็น) เตอื นรถคันอน่ื ถา้ โคง้ มลี ักษณะไม่ปลอดภัย .

45 การขบั รถเขา้ ทางโคง้ อาจจะเคยไดย้ นิ คาว่า “รถแหกโคง้ ” ซึ่งหมายถึงรถท่ีขบั ผา่ นทางโค้งแลว้ ประสบอุบัติเหตุซึ่ง หากผู้ ขับรถไม่ขบั ข่อี ย่างระมดั ระวงั เปน็ พิเศษ เพราะการขบั รถเขา้ ทางโค้งทถี่ ูกต้องและปลอดภยั ผู้ขบั ขตี่ ้องชะลอ ความเรว็ รถทกุ คร้ังกอ่ นถึงทางโค้ง โดยเฉพาะอย่างยิง่ ตอ้ งเครง่ ครัดกบั ปูายกาหนดความเร็วที่กรมทางหลวง ตดิ ต้งั ไว้ เพราะเปน็ ความเร็วทปี่ ลอดภัยท่สี ดุ ในก ารขับรถเข้าทางโคง้ ให้ยึดหลกั วา่ ถา้ เป็นทางโคง้ ขวาตอ้ ง เกาะเลนซ้ายใหม้ ากทีส่ ุด เพื่อจะไดเ้ หน็ ทัศนวิสัยไดด้ ขี ึ้น แต่หากเข้าโคง้ ซ้ายให้เกาะเลนกลางไว้ จะชว่ ยให้ เห็นรถทวี่ ิง่ สวนทางมาไดก้ วา้ งไกลข้นึ และท่สี าคญั ในระหว่างเขา้ โค้ง ห้ามเหยยี บคลตั ช์ หา้ มเปลย่ี น เกยี ร์ และหา้ มเหยยี บเบรกอย่างรุนแรง เพราะจะทาใหร้ ถเกดิ แรงเหวีย่ งจนอาจนาไปสู่การแหกโคง้ ได้ 4.18 การขับรถข้นึ -ลงทางลาดชนั  สง่ิ ที่ผู้ขบั รถควรคานึงถึงเพ่อื ให้การขับรถขนึ้ และลงทางลาดชันเป็นไปอยา่ งปลอดภัย คอื - สภาพความสามารถของรถและเครอื่ งยนต์ รอบเคร่ืองยนต์ กาลงั สูงสุดของเครอ่ื งยนต์ - สภาพการบรรทุก ส่งิ ขอทบ่ี รรทกุ นาหนกั ทีบ่ รรทุกในขณะนน้ั - สภาพความลาดชนั รวมทั้งทางโค้ง สภาพแวดลอ้ มบรเิ วณทางลาดชนั - สภาพเบรกของรถและการใชเ้ บรกตา่ ง ๆ  การขบั รถข้ึนทางลาดชนั ผูข้ ับรถควรปฏิบตั ิ ดงั น้ี - ประเมินความลาดชัน ลกั ษณะของถนน ความยาวของเสน้ ทาง สังเกตปูายเตอื นต่าง ๆ