Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 11 ม 2 2

11 ม 2 2

Published by Natee sarutichareonvongs, 2021-10-11 12:52:03

Description: 11 ม 2 2

Search

Read the Text Version

สสั ตงวว์ ปน่ า

คำนำ รายงานเล่มนี้จัดทำ ขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของ วิชาเทคโนโลยีและการสื่อสาร. ชั้นม.2/2เพื่อให้ได้ศึกษาหาความรู้ในเรื่อง การออกแบบด้วย แอปCanvaและได้ศึกษา อย่างเข้าใจเพื่ อเป็ นประโยชน์กับการเรียน ผู้จัดทำ หวังว่า รายงานเล่มนี้จะเป็น ประโยชน์กับผู้อ่าน หรือ นักเรียน นักศึกษา ที่กำ ลังหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่ หากมีข้อแนะนำ หรือ ข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำ ขอ น้ อมรับไว้และขออภัยมา ณ ที่นี้ ด้วย ผู้จัดทำ ด.ช.ณัฐธีร์ ศรุติเจริญวงศ์ เลขที่ 11 ม.2/2

สารบัญ ความหมายของสัตว์ป่าสงวน 4 เก้งหม้อ นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินทร 5 แรด 6 กระซู่ 7 กูปรี 8 ควายป่า 9 ละมั่ง 10 นกกระเรียน 11 สมเสร็จ 12 แมวลายหินอ่อน 13 สมัน 14 กวางผา 15 นกแต้วแล้วทองคำ 16 พะยูน 17 เลียงผา 18 19

สัตว์ป่าสงวน คือ สัตว์ป่าสงวน คือ สัตว์หายาก, ใกล้จะสูญพันธุ์ หรืออาจสูญพันธุ์ไปแล้ว จึงจำเป็นต้องมี บทบัญญัติเข้มงวดกวดขัน เพื่อป้องกันไม่ให้ เกิดอันตรายแก่สัตว์ป่าที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือซาก สัตว์ป่า ซึ่งอาจจะตกไปอยู่ยังต่างประเทศด้วย การซื้อขาย โดยมีรายชื่อตามบัญชีท้ายพระราช บัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าฉบับนั้น การครอบคลุมถึง ซากสัตว์ และครอบคลุมถึง สัตว์ที่สูญพันธุ์แล้วนั้น เพื่อเก็บรวบรวมซากไว้ ให้ผู้มีหน้าที่โดยตรงได้ศึกษาทางวิชาการ, เพื่อ เป็นมรดกของชาติ และเพื่อไม่ให้ผู้หนึ่งผู้ใด สะสมเป็นส่วนตัวซึ่งเป็นเหตุให้มีความต้องการ ล่า หากมีโอกาสหลงเหลือแม้สักตัว โดยสัตว์สงวนตามพระราชบัญญัติสงวนและ คุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 ได้แก่ นกเจ้าฟ้า หญิงสิริน ธร แรด กระซู่ กูปรี ควายป่า ละอง หรือละมั่ง สมัน เลียงผา กวางผา นกแต้วแล้ว ท้องดำ นกกระเรียน แมวลายหินอ่อน สมเสร็จ เก้งหม้อ และพะยูน

เก้งหม้อ ลักษณะ : เก้งหม้อมีลักษณะโดยทั่วไป คล้ายคลึงกับเก้งธรรมดา ขนาด ลำ ตัวไล่เลี่ยกัน เมื่อโตเต็มที่น้ำ หนักประมาณ ๒๐ กิโลกรัม แต่ เก้ง หม้อจะมีสีลำ ตัวคล้ำ กว่าเก้งธรรมดา ด้านหลังสีออกน้ำ ตาลเข้ม ใต้ท้อง สีน้ำ ตาลแซมขาว ขาส่วนที่อยู่เหนือกีบจะมีสีดำ ด้านหน้ าของ ขาหลังมี แถบขาวเห็นได้ชัดเจน บนหน้ าผากจะมีเส้นสีดำ อยู่ด้านใน ระหว่างเขา หางสั้นด้านบนสีดำ ตัดกับสีขาวด้านล่างชัดเจน อุปนิสัย : เก้งหม้อชอบ อาศัยอยู่เดี่ยว ในป่าดงดิบ ตามลาดเขา จะ อยู่เป็นคู่เฉพาะฤดูผสมพันธุ์ เท่านั้น ออกหากินในเวลากลางวัน มากกว่าในเวลากลางคืน อาหารได้แก่ ใบไม้ ใบหญ้า และผลไม้ป่า ตกลูกครั้งละ ๑ ตัว เวลาตั้งท้องนาน ๖ เดือน ที่อยู่อาศัย : ชอบอยู่ตามลาดเขาในป่าดงดิบและหุบเขาที่มีป่าหนา ทึบ และมีลำ ธารน้ำ ไหลผ่าน เขตแพร่กระจาย : เก้งหม้อมีเขตแพร่ กระจาย อยู่ในบริเวณตั้งแต่ พม่าตอนใต้ลงไปจนถึงภาคใต้ตอนบน ของ ประเทศไทยเท่านั้น ใน ประเทศไทยพบในบริเวณเทือกเขาตะนาวศรีลง ไปจนถึงเทือกเขา ภูเก็ต ในบริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา และ เขตรักษา พันธุ์สัตว์ป่าคลองแสง ในจังหวัดระนอง สุราษฎร์ธานีและพังงา สถานภาพ : องค์การสวนสัตว์ ได้ประสบความสำ เร็จในการเพาะ เลี้ยง เก้งหม้อมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๘ ในปัจจุบันเก้งหม้อจัดเป็นสัตว์ ป่าสงวน ชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และองค์การ IUCN จัดเก้งหม้อให้ เป็นสัตว์ป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : ปัจจุบันเป็น สัตว์ป่าที่หายากและใกล้ จะสูญพันธุ์หมดไปจากประเทศ เนื่องจากมีเขต แพร่กระจายจำ กัด และที่อยู่อาศัยถูกทำ ลายหมดไปเพราะการตัดไม้ทำ ลายป่า การเก็บ กักน้ำ เหนือเขื่อนและการล่าเป็นอาหาร เก้งหม้อเป็น เนื้อที่นิยมรับ ประทานกันมาก

นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร ลักษณะ : นกนางแอ่นที่มีลำ ตัวยาว ๑๕ เซนติเมตร สีโดยทั่วไปมีสี ดำ เหลือบเขียว แกมฟ้ า โคนหางมีแถบสีขาว ลักษณะเด่นได้แก่ มีวง สีขาวรอบตา ทำ ให้ดูมีดวงตา โปนโตออกมา จึงเรียกว่านกตาพอง นกที่โตเต็มวัย มีแกนขนหางคู่กลางยื่นยาวออก มา ๒ เส้น อุปนิสัย : แหล่งผสมพันธุ์วางไข่ และที่อาศัยในฤดูร้อนยังไม่ทราบ ในบริเวณบึง บอระ เพ็ด นกเจ้าหญิงสิรินธรจะเกาะนอน อยู่ในฝูงนกนางแอ่นชนิด อื่นๆ ที่เกาะอยู่ตามใบ อ้อ และใบสนุ่นภายในบึงบอระเพ็ด บางครั้งก็ พบอยู่ในกลุ่มนกกระจาบ และนกจาบ ปีกอ่อน กลุ่มนกเหล่านี้มีจำ นวนนับพันตัว อาหารเชื่อได้ว่าได้แก่แมลงที่โฉบจับได้ใน อากาศ ที่ อยู่อาศัย : อาศัยอยู่ตามดงอ้อและพืชน้ำ ในบริเวณบึงบอระเพ็ด เขต แพร่กระจาย : พบเฉพาะในประเทศไทย พบในช่วงเดือนพฤศจิกายน จนถึงเดือน มีนาคม ซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาว สถานภาพ : นกชนิดนี้สำ รวจพบครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๑ จังหวัด นครสวรรค์ หลังจากการค้นพบครั้งแรกแล้วมีรายงานพบอีก ๓ ครั้ง แต่มีเพียง ๖ ตัวเท่านั้น นกเจ้าฟ้ าหญิงสิรินธร เป็นสัตว์ป่าสงวนตามพระราช บัญญัติสงวนและ คุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.๒๕๓๕ สาเหตุของการใกล้จะ สูญพันธุ์: นกเจ้าฟ้ าหญิงสิรินธร เป็นนกที่สำ คัญอย่างยิ่งในด้าน การ ศึกษาความสัมพันธ์ของนกนางแอ่น เพราะนกชนิดที่มีความสัมพันธ์ กับนกเจ้าฟ้ า หญิงสิรินธรมากที่สุด คือนกนางแอ่นคองโก (Pseudochelidon euristomina ) ที่พบตามลำ ธารในประเทศซาอีร์ ในตอนกลางของแอฟริกาตะวันตก แหล่งที่พบนกทั้ง ๒ ชนิดนี้ห่าง จากกันถึง ๑๐,๐๐๐ กิโลเมตร ประชากรในธรรมชาติของนกเจ้าฟ้ า หญิงสิรินธรเชื่อว่ามีอยู่น้ อยมาก เพราะเป็นนกชนิดที่โบราณที่หลง เหลืออยู่ในปัจจุบัน แต่ละปีในฤดูหนาวจะถูกจับไปพร้อมๆกับนก นางแอ่นชนิดอื่น นอกจากนี้ที่พักนอนใน ฤดูหนาว คือ ดงอ้อ และพืช น้ำ อื่นๆที่ถูกทำ ลายไปโดยการทำ การประมง การเปลี่ยน หนองบึง เป็นนาข้าว และการควบคุมระดับน้ำ ในบึงเพื่อการพัฒนาหลายรูป แบบ สิ่ง เหล่านี้ก่อให้เกิดผลเสียต่อการคงอยู่ของพืชน้ำ และต่อนก เจ้าฟ้ าหญิงสิรินธรมาก

แรด ลักษณะ : แรดจัดเป็นสัตว์จำ พวกมีกีบ คือมีเล็บ ๓ เล็บทั้งเท้า หน้ า และเท้าหลัง ตัวโตเต็มวัยมีความสูงที่ไหล่ ๑.๖-๑.๘ เมตร น้ำ หนัก ตัว ๑,๕๐๐-๒,๐๐๐ กิโลกรัม แรดมีหนังหนาและมีขน แข็งขึ้นห่างๆ สีพื้นเป็นสีเทาออกดำ ส่วนหลังมีส่วนพับของหนัง ๓ รอย บริเวณ หัวไหล่ด้านหลังของขาคู่หน้ า และด้านหน้ าของ ขาคู่หลัง แรดตัวผู้มี นอเดียวยาวไม่เกิน ๒๕ เซนติเมตร ส่วนตัว เมียจะเห็นเป็นเพียงปุ่ม นูนขึ้นมา อุปนิสัย : ในอดีตเคยพบแรด หากินร่วมเป็นฝูง แต่ในปัจจุบันแรด หากินตัวเดียวโดดๆ หรืออยู่ เป็นคู่ในฤดูผสมพันธุ์ อาหารของแรด ได้แก่ ยอดไม้ ใบไม้ กิ่งไม้ และผลไม้ที่ร่วงหล่นบนพื้นดิน แรดไม่มี ฤดูผสมพันธุ์ที่แน่นอน จึงสามารถผสมพันธุ์ได้ตลอดปี ตกลูกครั้งละ ๑ ตัว ตั้งท่องนาน ประมาณ ๑๖ เดือน ที่อยู่อาศัย: แรดอาศัยอยู่เฉพาะในบริเวณ ป่าดิบชื้นที่มีความอุดม สมบูรณ์ หรือตามป่าทึบริมฝั่งทะเล ส่วน ใหญ่จะหากินอยู่ตามพื้นที่ ราบ ไม่ค่อยขึ้นบนภูเขาสูง เขตแพร่ กระจาย : แรดมีเขตกระจายตั้งแต่ประเทศบังคลาเทศ พม่า ไทย ลาว เขมร เวียดนาม ลงไปทางแหลมมลายู สุมาตรา และชวา ปัจจุบันพบน้ อยมากจนกล่าวได้ว่า เกือบจะหมดไปจากผืนแผ่น ดิน ใหญ่ของทวีปเอเชียแล้ว เชื่อว่ายังอาจจะมีคงเหลืออยู่บ้าง ทางเทือก เขาตะนาวศรี และในป่าลึกตามแนวรอยต่อจังหวัด ระนอง พังงา และสุราษฎร์ธานี สถานภาพ : ปัจจุบันแรดจัดเป็น สัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิด ของประเทศไทย และจัดอยู่ ใน Appendix 1ของอนุสัญญา CITES ทั้งยังเป็นสัตว์ป่าที่ใกล้จะ สูญพันธุ์ตาม U.S.Endanger Species สาเหตุของการใกล้จะ สูญพันธุ์ : เช่นเดียวกับแรดที่พบบริเวณอื่นๆ ที่พบใน ประเทศไทยถูกล่าและทำ ลายอย่างหนัก เพื่อต้องการนอหรือ ส่วนอื่นๆ เช่น กระดูก เลือด ฯลฯ ซึ่งมีคุณค่าสูงยิ่ง เพื่อใช้ในการ บำ รุงและยาอื่นๆ นอกจากนี้บริเวณป่าที่ราบที่แรดชอบอาศัยอยู่ ก็ หมดไป กลายเป็นบ้านเรือนและเกษตรกรรมจนหมด

กระซู่ ลักษณะ : กระซู่เป็นสัตว์จำ พวกเดียวกับแรด แต่มีลักษณะลำ ตัวเล็ก กว่า ตัวโตเต็มวัยมีความสูงที่ไหล่ ๑-๑.๕ เมตร น้ำ หนักประมาณ ๑,๐๐๐ กิโลกรัม มีหนังหนาและมีขนขึ้นปกคลุมทั้งตัว โดยเฉพาะใน ตัวที่มีอายุ น้ อย ซึ่งขนจะลดน้ อยลงเมื่อมีอายุมากขึ้น สีลำ ตัวโดย ทั่วไปออกเป็นสีเทา คล้ายสีขี้เถ้า ด้านหลังลำ ตัว จะปรากฏรอยพับ ของหนังเพียงพับเดียว ตรง บริเวณด้านหลังของขาคู่หน้ า กระซู่ทั้ง สองเพศมีนอ ๒ นอ นอหน้ ามีความ ยาวประมาณ ๒๕ เซนติเมตร ส่วนนอหลังมีความยาวไม่เกิน ๑๐ เซนติเมตร หรือเป็นเพียงตุ่มนูน ขึ้นมาในตัวเมีย อุปนิสัย : กระซู่ปีนเขาได้เก่ง มี ประสาทรับกลิ่นดีมาก ออกหากินใน เวลากลางคืน อาหาร ได้แก่ พวกใบไม้ และผลไม้ป่าบางชนิด ปกติ กระซู่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว ยกเว้นในฤดู ผสมพันธุ์ หรือตัว เมียเลี้ยงลูกอ่อน ตกลูกครั้งละ ๑ ตัว มีระยะตั้งท้อง ๗-๘ เดือน ในที่เลี้ยงกระซู่มีอายุยืน ๓๒ ปี ที่อยู่อาศัย : กระซู่อาศัยอยู่ตามป่าเขา ที่มีความหนารกทึบ ลงมาอยู่ ในป่าที่ราบต่ำ ในตอนปลายฤดูฝนซึ่งในระยะ นั้นมีปรักและน้ำ อยู่ทั่วไป เขตแพร่กระจาย : กระซู่มีเขตแพร่กระจาย ตั้งแต่แคว้นอัสสัมใน ประเทศอินเดีย บังคลาเทศ พม่า ไทย เวียดนาม มลายู สุมาตรา และบอเนียว ในประเทศไทยมีรายงานว่าพบกระซู่อยู่ในเขต รักษาพันธุ์ สัตว์ป่าหลายแห่งได้แก่ ภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ เขาสอยดาว จังหวัด จันทบุรี ห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี ทุ่งใหญ่นเรศวร จังหวัด กาญจนบุรี และคลองแสง จังหวัดสุราษฏร์ธานี และในบริเวณ อุทยานแห่ง ชาติหลายแห่ง ได้แก่ แก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี และ เขื่อนบางลาง จังหวัดยะลา และบริเวณป่ารอยต่อระหว่างประเทศ กับมาเลเซีย สถานภาพ : ปัจจุบันกระซู่จัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิด ของประเทศไทย อนุสัญญา CITES จัดไว้ในAppendix I และ U.S. Endanger Species Act จัดไว้ในพวกที่ใกล้จะสูญพันธุ์ สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : กระซู่ปัจจุบัน ใกล้จะสูญพันธุ์ไปจาก โลก เนื่องจากถูกล่าเพื่อเอานอ และอวัยวะทุกส่วน ของตัว ซึ่งมีฤทธิ์ ในทางเป็นยา กระซู่จึงถูกล่าอยู่เนืองๆ ประกอบกับกระซู่ มีอยู่ใน ธรรมชาติน้ อย และประชากรแต่ละกลุ่มและแม้แต่กลุ่มเดียวกันก็ อยู่ ห่างกันมากไม่มีโอกาสจับคู่ขยายพันธุ์ได

กูปรี ลักษณะ : กูปรีเป็นสัตว์ป่าชนิดหนึ่ง เช่นเดียวกับ กระทิงและ วัวแดง เมื่อโตเต็มที่มีความสูงที่ไหล่ ๑.๗-๑.๙ เมตร น้ำ หนัก ๗๐๐-๙๐๐ กิโลกรัม ตัวผู้มีขนาดลำ ตัวใหญ่กว่าตัวเมียมาก สี โดยทั่วไปเป็นสีเทา เข้มเกือบดำ ขาทั้ง ๔ มีถุงเท้าสีขาวเช่น เดียวกับกระทิง ในตัวผู้ที่ มีอายุมาก จะมีเหนียงใต้คอยาว ห้อยลงมาจนเกือบจะถึงดิน เขากูปรี ตัวผู้กับตัวเมียจะแตก ต่างกัน โดยเขาตัวผู้จะโค้งเป็นวงกว้าง แล้ว ตีวงโค้งไปข้าง หน้ า ปลายเขาแตกออกเป็นพู่คล้ายเส้นไม้กวาดแข็ง ตัวเมียมี เขาตีวงแคบแล้วม้วนขึ้นด้านบน ไม่มีพู่ที่ปลายเขา อุปนิสัย : อยู่รวมกันเป็นฝูง ๒-๒๐ ตัว กินหญ้า ใบไม้ดินโป่งเป็น ครั้ง คราว ผสมพันธุ์ในราวเดือนเมษายน ตั้งท้องนาน ๙ เดือน จะ พบออกลูกอ่อนประมาณเดือนธันวาคมและมกราคม ตกลูก ครั้งละ ๑ ตัว ที่อยู่อาศัย : ปกติอาศัยอยู่ตามป่าโปร่ง ที่มีทุ่ง หญ้าสลับกับป่าเต็ง รังและในป่าเบญจพรรณที่ค่อนข้างแล้ง เขตแพร่กระจาย : กูปรีมีเขตแพร่กระจายอยู่ในไทย เวียดนาม ลาว และกัมพูชา สถานภาพ : ประเทศไทยมี รายงานว่าพบกูปรีอยู่ตามแนวเทือกเขา ชายแดนไทย-กัมพูชา และลาว เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๕ มีรายงานพบกูปรี ในบริเวณเทือก เขาพนมดงรัก กูปรีจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิด ของประเทศไทย และอยู่ใน Appendix I ตามอนุสัญญา CITES สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : ปัจจุบันกูปรีเป็นสัตว์ ป่าที่หายาก กำ ลังใกล้จะสูญพันธุ์หมดไปจากโลก เนื่องจาก การถูกล่าเป็นอาหาร และสภาวะสงครามในแถบอินโดจีน ซึ่ง เป็นแหล่งอาศัยเฉพาะกูปรี ทำ ให้ยากในการอยู่ร่วมกันในการ อนุรักษ์กูปร

ควายป่า ลักษณะ : ควายป่าเป็นสัตว์ชนิดเดียวกับ ควายบ้าน แต่มีลำ ตัว ขนาดลำ ตัวใหญ่กว่า มีนิสัยว่องไว และดุร้ายกว่าควายบ้านมาก ตัว โตเต็มวัยมีความสูงที่ไหล่เกือบ ๒ เมตร น้ำ หนักมากกว่า ๑,๐๐๐ กิโลกรัม สีลำ ตัวโดยทั่วไปเป็นสีเทา หรือสีน้ำ ตาลดำ ขาทั้ง ๔ สี ขาว แก่ หรือสีเทาคล้ายใส่ถุงเท้าสีขาว ด้านล่างของลำ ตัวเป็นลายสี ขาว รูปตัววี (V ) ควายป่ามีเขาทั้ง ๒เพศ เขามีขนาดใหญ่กว่าควาย เลี้ยง วงเขากางออกกว้างโค้งไปทางด้านหลัง ด้านตัดขวางเป็นรูป สามเหลี่ยม ปลายเขาเรียวแหลม อุปนิสัย : ควายป่าชอบออกหากิน ในเวลาเช้า และเวลาเย็น อาหาร ได้แก่ พวกใบไม้ หญ้า และหน่อไม้ หลังจากกินอาหารอิ่มแล้ว ควาย ป่าจะนอนเคี้ยวเอื้องตามพุ่มไม้ หรือนอนแช่ปรักโคลนตอนช่วง กลางวัน ควายป่าจะอยู่ร่วมกันเป็น ฝูง ฤดูผสมพันธุ์อยู่ราวๆ เดือน ตุลาคมและพฤศจิกายน ตกลูกครั้ง ละ ๑ ตัว ตั้งท้องนาน ๑๐ เดือน เท่าที่ทราบควายป่ามีอายุยืน ๒๐-๒๕ ปี เขตแพร่กระจาย : ควายป่ามีเขตแพร่กระจายจาก ประเทศเนปาลและ อินเดีย ไปสิ้นสุดทางด้านทิศตะวันออกที่ ประเทศเวียดนาม ใน ประเทศไทยปัจจุบันมีควายป่าเหลืออยู่บริเวณ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี สถานภาพ : ปัจจุบันควายป่าที่เหลืออยู่ในประเทศไทยมีจำ นวนน้ อย มาก จนน่า กลัวว่าอีกไม่นานจะหมดไปจากประเทศ ควายป่าจัดเป็น สัตว์ป่า สงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และอนุสัญญา CITES จัดควายป่าไว้ใน Appendix III สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : เนื่องจากการถูกล่าเพื่อเอาเนื้อและ เอาเขาที่สวยงาม และการสูญ เชื้อพันธุ์ เนื่องจากไปผสมกับควาย บ้าน ที่มีผู้เอาไปเลี้ยงปล่อยเป็น ควายปละในป่า ในกรณีหลังนี้บาง ครั้งควายป่าจะติดโรคต่างๆ จาก ควายบ้าน ทำ ให้จำ นวนลดลงมาก ยิ่งขึ้น

ละมั่ง ลักษณะ : เป็นกวางที่มีขนาดโตกว่าเนื้อทราย แต่เล็กกว่า กวางป่า เมื่อโตเต็มวัยมีความสูงที่ไหล่ ๑.๒-๑.๓ เมตร น้ำ หนัก ๑๐๐-๑๕๐ กิโลกรัม ขนตามตัวทั่วไปมีสีน้ำ ตาลแดง ตัว อายุน้ อยจะมีจุดสีขาว ตามตัว ซึ่งจะเลือนกลายเป็นจุดจางๆ เมื่อโตเต็มที่ในตัวเมีย แต่จุด ขาวเหล่านี้จะหายไปจนหมด ใน ตัวผู้ตัวผู้จะมีขนที่บริเวณคอยาว และ มีเขาและเขาของละอง จะมีลักษณะต่างจากเขากวางชนิดอื่นๆ ใน ประเทศไทย ซึ่งที่ กิ่งรับหมาที่ยื่นออกมาทางด้านหน้ า จะทำ มุมโค่งต่อ ไปทาง ด้านหลัง และลำ เขาไม่ทำ มุมหักเช่นที่พบในกวางชนิดอื่นๆ อุปนิสัย : ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็ก ตัวผู้ที่โตเต็มวัยจะเข้าฝูง เมื่อ ถึงฤดูผสมพันธุ์ ออกหากินใบหญ้า ใบไม้ และผลไม้ทั้ง เวลากลางวัน และกลางคืน แต่เวลาแดดจัดจะเข้าหลบพักในที่ ร่ม ละอง ละมั่งผสม พันธุ์ในเดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือน เมษายน ตั้งท้องนาน ๘ เดือน ออกลูกครั้งละ ๑ ตัว ที่อยู่อาศัย : ละองชอบอยู่ตามป่าโปร่ง และป่าทุ่ง โดยเฉพาะป่าที่มี แหล่ง น้ำ ขัง เขตแพร่กระจาย : ละองแพร่กระจายในประเทศ อินเดีย พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม และเกาะไหหลำ ใน ประเทศไทยอาศัยอยู่ใน บริเวณเหนือจากคอคอดกระขึ้นมา สถานภาพ : มีรายงานพบเพียง ๓ ตัว ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ห้วย ขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี ละอง ละมั่งจัดเป็นป่าสงวนชนิด หนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และอนุสัญญา CITES จัด อยู่ใน Appendix สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : ปัจจุบัน ละอง ละมั่งกำ ลังใกล้จะ สูญพันธุ์หมดไปจากประเทศไทย เนื่องจากสภาพป่าโปร่ง ซึ่งเป็นที่ อยู่อาศัยถูกบุกรุกทำ ลาย เป็นไร่นา และที่อยู่อาศัยของมนุษย์ ทั้งยัง ถูกล่าอย่างหนักนับ ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็ นต้นมา

นกกระเรียน ลักษณะ : เป็นนกขนาดใหญ่เมื่อยืนมีขนาดสูงราว ๑๕๐ เซนติเมตร ส่วนหัวและคอไม่มีขนปกคลุม มีลักษณะเป็นปุ่มหยาบสีแดง ยกเว้น บริเวณกระหม่อมสีเขียวอมเทา ในฤดูผสมพันธุ์มีสีแดงส้มสดขึ้นกว่า เดิม ขนลำ ตัวสีเทาจนถึงสีเทาแกมฟ้ า มีกระจุกขนสีขาวห้อยคลุม ส่วนหาง จะงอยปากสีออกเขียว แข้งและเท้าสีแดงหรือสีชมพูอมฟ้ า นกอายุน้ อยมีขนสีน้ำ ตาลทั่วตัว บนส่วนหัวและลำ คอมีขนสีน้ำ ตาล เหลืองปกคลุม ในประเทศไทยเป็นนกกระเรียนชนิดย่อย Sharpii ซึ่ง ไม่มีวงแหวนสีขาวรอบลำ คอ อุปนิสัย : ออกหากินเป็นคู่และเป็นกลุ่ม ครอบครัว กินพวกสัตว์ เช่น แมลง สัตว์เลื้อยคลาน กบ เขียด หอย ปลา กุ้งและพวกพืช เมล็ด ข้าวและยอดหญ้าอ่อน ทำ รังวางไข่ในฤดู ฝนราวเดือนมิถุนายน ปกติ วางไข่จำ นวน ๒ ฟอง พ่อแม่นกจะเลี้ยงดู ลูกอีกเป็นเวลาอย่างน้ อย ๑๐ เดือน ที่อยู่อาศัย : ชอบอาศัยตามทุ่ง หญ้าที่ชื้นแฉะ และหนองบึงที่ใกล้ป่า เขตแพร่กระจาย : นกกระเรียน ชนิดย่อยนี้ มีเขตแพร่กระจายจาก แคว้นอัสสัมในประเทศอินเดีย ประเทศพม่า ไทย ตอนใต้ลาว กัมพูชา เวียดนามตอนใต้ ถึงเมืองลูซุน ประเทศฟิลิปปินส์ บางครั้ง พลัดหลงไปถึงประเทศมาเลเซีย และยังมี ประชากรอีกกลุ่มหนึ่งในรัฐ ควีนแลนด์ประเทศออสเตรเลีย สถานภาพ : นกกระเรียนเคยพบอยู่ทั่วประเทศ ครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๗ พบ ๔ ตัว ที่วัดไผ่ล้อม จังหวัดปทุมธานี จากนั้นมี รายงานที่ไม่ยืนยันว่า พบนกกระเรียน ๔ ตัว ลงหากินในทุ่งนาอำ เภอ ขุขันธ์ จังหวัด ศรีสะเกษ เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๒๘

สมเสร็จ ลักษณะ : สมเสร็จเป็นสัตว์กีบคี่ เท้าหน้ ามี ๔ เล็บ และเท้าหลัง มี ๓ เล็บ จมูกและริมฝีปากบนยื่นออกมาคล้ายงวง ตามีขนาด เล็ก ใบหู รูปไข่ หางสั้น ตัวเต็มวัยมีน้ำ หนัก ๒๕๐-๓๐๐ กิโลกรัม ส่วนหัวและ ลำ ตัวเป็นสีขาวสลับดำ ตั้งแต่ปลายจมูก ตลอดท่อนหัวจนถึงลำ ตัว บริเวณระดับหลังของขาคู่หน้ ามีสีดำ ท่อนกลางตัวเป็นแผ่นขาว ส่วนบริเวณโคนหางลงไปตลอดขาคู่ หลัง จะเป็นสีดำ ขอบปลายหู และริมฝีปากขาว ลูกสมเสร็จลำ ตัวมีลายเป็นแถบ ดูลายพร้อยคล้าย ลูกแตงไทย อุปนิสัย : สมเสร็จชอบออกหากินในเวลากลางคืน กินยอดไม้ กิ่งไม้ หน่อ ไม้ และพืชอวบน้ำ หลายชนิด มักมุดหากินตามที่รกทึบ ไม่ค่อย ชอบเดินหากินตามเส้นทางเก่า มีประสาทสัมผัสทางกลิ่นและ เสียงดี มาก ผสมพันธุ์ในเดือนเมษายนหรือเดือนพฤษภาคม ตกลูกครั้งละ ๑ ตัว ใช้เวลาตั้งท้องนานประมาณ ๑๓ เดือน สมเสร็จที่เลี้ยงไว้ มีอายุนานประมาณ ๓๐ ปี ที่อยู่อาศัย : สมเสร็จชอบอยู่อาศัยตามบริเวณที่ร่มครึ้ม ใกล้ห้วย หรือลำ ธาร เขตแพร่กระจาย : สมเสร็จมีเขตแพร่กระจายจากพม่าตอนใต้ ไป ตามพรมแดนด้านทิศตะวันตกของประเทศไทย ลงไปสุด แหลมมลายู และสุมาตรา ในประเทศไทยจะพบสมเสร็จได้ใน ป่าดงดิบตามเทือก เขาถนนธงชัย เทือกเขาตะนาวศรี และป่า ทั่วภาคใต้ สถานภาพ : ปัจจุบันสมเสร็จจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิด หนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และจัดโดยอนุสัญญาCITES ไว้ใน Appendix I และจัดเป็นสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ตาม U.S. Endanger Species Act. สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : การ ล่าสมเสร็จเพื่อเอาหนังและเนื้อ การทำ ลายป่าดงดิบที่อยู่อาศัย และหากิน โดยการตัดไม้ การสร้าง เขื่อนกักเก็บน้ำ และถนน ทำ ให้จำ นวนสมเสร็จลดปริมาณลงจนหาได้ ยาก

แมวลายหินอ่อน ลักษณะ : แมวลายหินอ่อนเป็นแมวป่าขนาดกลาง น้ำ หนักตัวเมื่อโต เต็มที่ ๔-๕ กิโลกรัม ใบหูเล็กมนกลมมี จุดด้านหลังใบหู หางยาวมีขน หนาเป็นพวงเด่นชัด สี ขนโดยทั่วไปเป็นสีน้ำ ตาลอมเหลือง มีลายบน ลำ ตัว คล้ายลายหินอ่อน ด้านใต้ท้องจะออกสีเหลืองมากกว่า ด้าน หลังขาและหางมีจุดดำ เท้ามีพังผืดยืดระหว่างนิ้ว นิ้วมีปลอกเล็บ สองชั้น และเล็บพับเก็บได้ในปลอกเล็บ ทั้งหมด อุปนิสัย : ออกหากินในเวลากลางคืน ส่วนใหญ่ มักอยู่บนต้นไม้ อาหารได้แก่สัตว์ขนาดเล็กแทบทุกชนิด ตั้งแต่แมลง จิ้งจก ตุ๊กแก งู นก หนู กระรอก จนถึงลิง ขนาดเล็ก นิสัยค่อนข้าดุร้าย ที่อยู่อาศัย : ใน ประเทศไทยพบอยู่ตามป่ าดงดิบเทือกเขาตะนาวศรี และป่าดงดิบชื้น ในภาคใต้ เขตแพร่กระจาย : แมวป่า ชนิดนี้มีเขตแพร่กระจายตั้งแต่ประเทศ เนปาล สิกขิม แคว้นอัสสัม ประเทศอินเดีย ผ่านทางตอนเหนือของ พม่า ไทย อินโดจีน ลงไปตลอดแหลมมลายู สุมาตรา และบอร์เนียว สถานภาพ : แมวลายหินอ่อนจัดเป็นสัตว์ ป่าชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิด ของประเทศไทย และ อนุสัญญา CITES จัดอยู่ในAppendix I สาเหตุของการ ใกล้จะสูญพันธุ์: เนื่องจากแมวลายหินอ่อนเป็นสัตว์ที่ หาได้ยาก และมีปริมาณในธรรมชาติค่อนข้างต่ำ เมื่อ เทียบกับแมวป่า ชนิดอื่นๆ จำ นวนจึงน้ อยมาก และ เนื่องจากถิ่นที่อยู่อาศัยถูกทำ ลาย และถูกล่าหรือจับมา เป็นสัตว์เลี้ยงที่มีราคาสูง จำ นวนแมวลายหิน อ่อนจึง น้ อยลง ด้านชีววิทยาของแมวป่าชนิดนี้ยังรู้กันน้ อยมาก

สมัน ลักษณะ : เนื้อสมันเป็นกวางชนิดหนึ่งที่เขาสวยงามที่สุด ใน ประเทศไทย เมื่อโตเต็มวัยจะมีความสูงที่ไหล่ประมาณ ๑ เมตร สีขน บนลำ ตัวมีสีน้ำ ตาลเข้มและเรียบเป็นมัน หางค่อนข้างสั้น และมีสีขาง ทางตอนล่างสมันมีเขาเฉพาะตัวผู้ ลักษณะเขาของสมันมีขนาดใหญ่ และแตกกิ่งก้านออกหลายแขนง ดูคล้ายสุ่มหรือตะกร้า สมันจึงมีชื่อ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กวางเขาสุ่ม อุปนิสัย : ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง เล็กๆ โดยเฉพาะในฤดูผสมพันธุ์ หลังจากหมดฤดูผสมพันธุ์ และตัวผู้ จะแยกตัวออกมาอยู่โดดเดี่ยว สมันชอบกินหญ้าโดยเฉพาะหญ้าอ่อน ผลไม้ ยอดไม้ และใบไม้หลาย ชนิด ที่อยู่อาศัย : สมันจะอาศัยเฉพาะ ในทุ่งโล่ง ไม่อยู่ตามป่ารกทึบ เนื่องจากเขามีกิ่งก้านสาขามาก จะเกี่ยว พันพันกับเถาวัลย์ได้ง่าย เขตแพร่กระจาย : สมันเป็นสัตว์ชนิดที่มีเขต แพร่กระจายจำ กัด อยู่ ในบริเวณที่ราบภาคกลางของประเทศเท่านั้น สมัยก่อนมีชุกชุมมาก ในที่ราบลุ่มแม่น้ำ เจ้าพระยา บริเวณจังหวัดรอบ กรุงเทพฯ เช่น นครนายก ปทุมธานี และปราจีนบุรี และแม้แต่บริเวณ พื้นที่รอบนอก ของกรุงเทพฯ เช่น บริเวณพญาไท บางเขน รังสิต ฯลฯ สถานภาพ : สมันได้สูญพันธุ์ไปจากโลกและจากประเทศไทยเมื่อ เกือบ ๖๐ ปีที่แล้ว สมันยังจัดเป็นป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิด ของ ประเทศไทยโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมซาก โดยเฉพาะอย่าง ยิ่ง เขาของสมันไม่ให้มีการส่งออกนอกราชอาณาจักร สาเหตุของการสูญ พันธุ์ : เนื่องจากแหล่งที่อยู่อาศัยได้ถูกเปลี่ยน เป็นนาข้าวเกือบทั้งหมด และสมันที่เหลืออยู่ตามที่ห่างไกลจะถูกล่า อย่างหนักในฤดูน้ำ หลาก ท่วมท้องทุ่ง ในเวลานั้นสมันจะหนีน้ำ ขึ้นไป อยู่รวมกันบนที่ดอนทำ ให้พวกพรานล้อมไล่ฆ่าอย่างง่ายดาย

กวางผา ลักษณะ : กวางผาเป็นสัตว์จำ พวก แพะแกะเช่นเดียวกับเลียงผา แต่ มี ขนาดเล็กกว่า เมื่อโตเต็มที่มีความสูงที่ไหล่มากกว่า ๕๐ เซนติเมตร เพียงเล็กน้ อย และมีน้ำ หนักตัวประมาณ ๓๐ กิโลกรัม ขนบนลำ ตัวสี น้ำ ตาล หรือสีน้ำ ตาลปนเทา มีแนวสีดำ ตามสันหลงไปจนจดหาง ด้าน ใต้ท้องสีจางกว่าด้านหลัง หางสั้นสีดำ เขาสีดำ มีลักษณะเป็น วงแหวน รอบโคนเขา และปลายเรียวโค้งไปทางด้านหลัง อุปนิสัย : ออกหากินตามที่โล่งในตอนเย็น และตอนเช้ามืด หลับพัก นอนตามพุ่ม ไม้ และชะง่อนหินในเวลากลางคืน อาหาร ได้แก่ พืชที่ขึ้น ตามสันเขา และหน้ าผาหิน เช่น หญ้า ใบไม้ กิ่งไม้ และลูกไม้เปลือกแข็ง จำ พวก ลูกก่อ กวางผาอยู่รวมกันเป็นฝูงๆละ ๔-๑๒ ตัว ผสมพันธุ์ใน ราวเดือน พฤศจิกายน และธันวาคม ออกลูกครอกละ ๑-๒ ตัว ตั้ง ท้องนาน ๖ เดือน ที่อาศัย : กวางผาจะอยู่บนยอดเขาสูงชันในที่ระดับน้ำ สูงชัน มากกว่า ๑,๐๐๐ เมตร เขตแพร่กระจาย : กวางผามีเขตแพร่กระจาย ตั้งแต่แคว้นแพร่กระจาย ตั้งแต่แคว้นแคชเมียร์ลงมาจนถึงแคว้นอัส สัม จีนตอนใต้ พม่าและ ตอนเหนือของประเทศไทย ในประเทศไทยมี รายงานพบกวางผาตาม ภูเขาที่สูงชันในหลายบริเวณ เช่น ดอยม่อน จอง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ ป่าอมก๋อย ดอยเลี่ยม ดอยมือกาโด จังหวัด เชียงใหม่ และบริเวณ สองฝั่งลำ น้ำ ปิงในอุทยานแห่งชาติแม่ปิง จังหวัดตาก สถานภาพ : กวางผาจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของ ประเทศไทยและอนุสัญญา CITES จัดไว้ในAppendix I สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : เนื่องจากการบุกรุกถางป่าที่ทำ ไร่ เลื่อนลอยของชาวเขาในระยะเริ่มแรกและชาวบ้านในระยะหลัง ทำ ให้ ที่ อาศัยของกวางผาลดน้ อยลง เหลืออยู่เพียงตามยอดเขาที่สูงชัน ประกอบกับการล่ากวางผาเพื่อเอาน้ำ มันมาใช้ในการสมานกระดูกที่หัก เช่นเดียวกับเลียงผา จำ นวนกวางผาในธรรมชาติจึงลดลงเหลืออยู่ น้ อยมาก

นกแต้วแล้วทองคำ ลักษณะ : เป็นนกขนาดเล็ก ลำ ตัวยาว ๒๑ เซนติเมตร จัด เป็นนกที่ มีความสวยงามมาก นกตัวผู้มีส่วนหัวสีดำ ท้ายทอย มีสีฟ้ าประกาย สดใส ด้านหลังสีน้ำ ตาลติดกับอกตอนล่าง และตอนใต้ท้องที่มีดำ สนิท นกตัวเมียมีสีสดใสน้ อยกว่า โดย ทั่วไปสีลำ ตัวออกน้ำ ตาล เหลือง ไม่มีแถบดำ บนหน้ าอกและ ใต้ท้อง นกอายุน้ อยมีหัว และคอสี น้ำ ตาลเหลือง ส่วนอกใต้ ท้องสีน้ำ ตาล ทั่วตัวมีลายเกล็ดสีดำ อุปนิสัย : นกแต้วแล้ว ท้องดำ ทำ รังเป็นซุ้มทรงกลม ด้วยแขนงไม้ และใบไผ่ วาง อยู่บนพื้นดิน หรือในกอระกำ วางไข่ ๓-๔ ฟอง ทั้ง พ่อนกและ แม่นก ช่วยกันกกไข่และหาอาหารมาเลี้ยงลูก อาหารได้แก่ หนอนด้วง ปลวก จิ้งหรีดขนาดเล็ก และแมลงอื่นๆ ที่อยู่อาศัย : นกแต้วแล้วท้องดำ ชนิดนี้พบอาศัยอยู่เฉพาะในบริเวณ ป่าดงดิบต่ำ เขตแพร่กระจาย : พบตั้งแต่ตอนใต้ของประเทศ พม่า ลงมาจนถึง เขตรอยต่อระหว่างประเทศไทย กับประเทศ มาเลเซีย สถานภาพ : เคยพบชุกชุมในระยะเมื่อ ๘๐ ปีก่อน แต่ไม่มีรายงาน ทางวิทยาศาสตร์เลยตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๙๕ จนมี รายงานพบครั้ง ล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๑ นกแต้ว แล้วท้องดำ ได้รับการ จัดให้เป็นสัตว์ชนิดที่หายากชนิดหนึ่ง ในสิบสองชนิดที่หายากของ โลก สาเหตุของการใกล้จะสูญ พันธุ์ : นกชนิดนี้ จัดเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ เฉพาะในป่าดงดิบต่ำ ซึ่งกำ ลังถูกตัดฟันอย่างหนัก และสภาพที่อยู่ เช่นนี้มีน้ อยมาก ในบริเวณเขตคุ้มครองในภาคใต้ นอกจากนี้ เนื่องจากเป็นนก ที่หายากเป็นที่ต้องการของตลาดนกเลี้ยง จึงมี ราคาแพง อัน เป็นแรงกระตุ้นให้นกแต้วแล้วท้องดำ ถูกล่ามากยิ่งขึ้น

พะยูน ลักษณะ : เป็นนกขนาดใหญ่เมื่อยืนมีขนาดสูงราว ๑๕๐ เซนติเมตร ส่วนหัวและคอไม่มีขนปกคลุม มีลักษณะเป็นปุ่ม หยาบสีแดง ยกเว้น บริเวณกระหม่อมสีเขียวอมเทา ในฤดูผสม พันธุ์มีสีแดงส้มสดขึ้นกว่า เดิม ขนลำ ตัวสีเทาจนถึงสีเทาแกม ฟ้ า มีกระจุกขนสีขาวห้อยคลุม ส่วนหาง จะงอยปากสีออกเขียว แข้งและเท้าสีแดงหรือสีชมพูอมฟ้ า นกอายุน้ อยมีขนสีน้ำ ตาล ทั่วตัว บนส่วนหัวและลำ คอมีขนสีน้ำ ตาล เหลืองปกคลุม ใน ประเทศไทยเป็นนกกระเรียนชนิดย่อย Sharpii ซึ่งไม่มี วงแหวนสีขาวรอบลำ คอ อุปนิสัย : ออกหากินเป็นคู่และเป็นก ลุ่มครอบครัว กินพวกสัตว์ เช่น แมลง สัตว์เลื้อยคลาน กบ เขียด หอย ปลา กุ้งและพวกพืช เมล็ด ข้าวและยอดหญ้าอ่อน ทำ รังวางไข่ในฤดูฝนราวเดือนมิถุนายน ปกติ วางไข่จำ นวน ๒ ฟอง พ่อแม่นกจะเลี้ยงดูลูกอีกเป็นเวลาอย่างน้ อย ๑๐ เดือน ที่ อยู่อาศัย : ชอบอาศัยตามทุ่งหญ้าที่ชื้นแฉะ และหนองบึงที่ใกล้ ป่า เขตแพร่กระจาย : นกกระเรียนชนิดย่อยนี้ มีเขตแพร่ กระจายจาก แคว้นอัสสัมในประเทศอินเดีย ประเทศพม่า ไทย ตอนใต้ลาว กัมพูชา เวียดนามตอนใต้ ถึงเมืองลูซุนประเทศ ฟิลิปปินส์ บางครั้ง พลัดหลงไปถึงประเทศมาเลเซีย และยังมี ประชากรอีกกลุ่มหนึ่งในรัฐ ควีนแลนด์ประเทศออสเตรเลีย สถานภาพ : นกกระเรียนเคยพบอยู่ทั่วประเทศ ครั้งสุดท้ายเมื่อ ปี พ.ศ.๒๕๐๗ พบ ๔ ตัว ที่วัดไผ่ล้อม จังหวัดปทุมธานี จากนั้นมี รายงานที่ไม่ยืนยันว่าพบนกกระเรียน ๔ ตัว ลงหากินในทุ่งนาอำ เภอ ขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๒๘

เลียงผา ลักษณะ : เลียงผาเป็นสัตว์จำ พวกเดียวกับ แพะและแกะ เมื่อโตเต็ม ที่มีความสูงที่ไหล่ประมาณ ๑ เมตร ขายาวและ แข็งแรง ใบหูยาว คล้ายใบหูลา ขนตามลำ ตัวค่อนข้างยาว หยาบและมีสีดำ ด้านท้องขน สีจางกว่า มีขนเป็นแผงยาวบน สันคอและสันหลัง มีเขาทั้งในตัวผู้ และตัวเมีย เขามีลักษณะ ตอนโคนกลม หยักเป็นวงแหวนโดยรอบ ค่อยๆ เรียวไปทาง ปลายเขาโค้ง ไปทางด้านหลังเล็กน้ อย อุปนิสัย : ในเวลา กลางวันจะพักอาศัยอยู่ในถ้ำ หรือในพุ่มไม้ ออก หากินใน ตอนเย็นถึงพลบค่ำ และในเวลาเช้ามืด อาหารได้แก่พืชต่างๆ ทุกชนิด เลียงผามีประสาทหู ตา และรับกลิ่นได้ดี ผสมพันธุ์ ในช่วง ปลายเดือนตุลาคม ตกลูกครั้งละ ๑-๒ ตัว ใช้เวลาตั้ง ท้องราว ๗ เดือน ในที่เลี้ยง เลียงผามีอายุยาวกว่า ๑๐ ปี ที่ อาศัย : เลียงผาอาศัยอยู่ตามภูเขาที่มีหน้ าผาสูงชันมีป่า ปกคลุม เขตแพร่กระจาย : เลียงผามีเขตแพร่กระจาย ตั้งแต่แคว้นแคชเมียร์ มาตามเทือกเขาหิมาลัยจนถึงแคว้น อัสสัม จีนตอนใต้ พม่า อินโดจีน มลายู และสุมาตรา ใน ประเทศไทยพบอาศัยอยู่ตามภูเขาสูงในหลาย ภูมิภาคของ ประเทศ เช่น เทือกเขาตะนาวศรี เทือกเขาถนนธงชัย เทือก เขาเพชรบูรณ์ และภูเขาทั่วไปในบริเวณภาคใต้ รวมทั้งบน เกาะ ในทะเลที่อยู่ไม่ห่างจากแผ่นดินใหญ่มากนัก สถานภาพ : เลียงผาจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของ ประเทศไทย และอนุสัญญา CITES จัดเรียงผาไว้ ใน Appendix I สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : ในระยะ หลังเลียงผามีจำ นวนลดลง อย่างรวดเร็ว เนื่องจากการล่า อย่างหนักเพื่อเอาเขา กระดูก และ น้ำ มันมาใช้ทำ ยาสมาน กระดูก และพื้นที่หากินของเลียงผาลดลง อย่างรวดเร็ว


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook