Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย3

สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย3

Published by Titima Boonpeng, 2021-10-20 15:45:10

Description: สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย3

Search

Read the Text Version

คํานาํ ก เนื่องจากทางคณะผูจัดทําไดแลเห็นวาปจจุบันนี้คนเรามักมองขาม สุภาษิตคําพังเพยทั้งนี้ทางคณะผูจัดทําจึงจัดทําสื่อเพ่ือท่ีจะเผยแพรสํานวน สุภาษติ คําพังเพยและแสดงคํานิยมของมนุษยมาตั้งแตโบราณกาลมนุษยได นาํ สํานวน สุภาษิต คําพังเพยนํามาใชในการใหขอคิดและแนวปฏิบัติรวมท้ัง คติเตือนประจําใจในดานการอบรมส่ังสอนพรอมท้ังเปนการพูดใหเกิด ความคดิ สาํ นึกทีด่ ี หนังสือสํานวน สุภาษิต คําพังเพยเปนสวนหน่ึงของรายวิชาการจัด กิจกรรมสงเสริมการใชภาษาไทยในสถานศึกษา (รหัสวิชา1254605) จดั ทาํ ขึ้นเพอื่ ใหผูท่ีสนใจเก่ียวกับสาํ นวน สุภาษิต และคําพังเพยเขามาศึกษา หาความรูเพ่ือเปนประโยชนแกผูที่สนใจแลวนําไปใชในชีวิตประจําวันได หากหนงั สือสํานวน สุภาษติ และคาํ พงั เพยผดิ พลาดประการใด คณะผูจัดทํา ขออภยั ณ ทน่ี ด้ี ว ย คณะผูจดั ทาํ

สารบญั ข เร่ือง หนา คํานาํ ………………............................................................................. ก สารบญั .............................................................................................ข ความเปน มา…………………………………….......…………………………….…1 ตวั อยา งสาํ นวน สภุ าษิต คําพงั เพย…………………………………………...3 สํานวน สภุ าษติ คาํ พงั เพย ตา งกันอยางไร…………………………………๔ แบบฝก หดั ท่ี 1………………………………………………….…………………..4๓ แบบฝกหดั ที่ 2………………………………………………....…………………..4๔ แบบฝก หดั ท่ี 3……………………………………..........………………………..4๕ แบบฝก หดั ที่ 4……………………………………………………………………..4๖ แบบฝกหัดท่ี 5……………………………………………………………………..4๗ แบบฝกหัดท่ี ๖……………………………………………………………………..4๗ แบบฝก หดั ที่ ๗……………………………………………………………………..48 แบบฝกหัดท่ี ๘……………………………………………………………………..50 ผูจ ัดทาํ ............................................................................................51

สํานวน สุภาษติ คาํ พงั เพย ความเปน มา สํานวนสุภาษิตไทยรวมถึงคําพังเพยนั้น นิยมใชกันมาอยางยาวนาน และแพรหลาย นับเปนอีกหน่ึงในวัฒนธรรมท่ีนาภาคภูมิใจของไทยเรา สํานวนไทย สุภาษิตไทยและคําพังเพยนั้น เกิดจากพฤติกรรมการใช ชีวิตประจําวันของผูคนที่ทําใหเกิดเหตุการณตางๆขึ้น ทั้งทางดีและทางราย จ น มี ก า ร นํ า ส่ิ ง ที่ เ กิ ด ข้ึ น ม า เ รี ย บ เ รี ย ง ถ อ ย คํ า ใ ห ม ใ น เ ชิ ง ส่ั ง ส อ น ห รื อ เปรยี บเทยี บ จนเกิดเปนสํานวนไทย สุภาษิตคําพังเพย และ สุภาษิตสํานวน ไทยในทีส่ ุด สาํ นวน สุภาษติ คาํ พงั เพยน้ัน ดูเผินๆจะคลายกันมากจนแยกกันแทบ ไมอ อก ซ่ึงในความเปน จรงิ แลว ทั้ง 3 คํามีความแตกตางกันอยู โดยท่ีสํานวน ไทยจะเปนการพูดเชิงเปรียบเทียบและมักจะไมแปลความหมายตรงๆ เชน กนิ นาํ้ ใตศอก สวนสุภาษติ จะเปนเชิงส่ังสอนหรือใหขอคิด เชน หัวลานไดหวี วานรไดแ กว และสุดทา ยคําพังเพย จะเปนลักษณะของการเปรียบเทียบของ สองสิง่ เชน กวาถ่ัวจะสุกงากไ็ หม เปน ตน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (๒๕๕๔ : ๑๒๒๗) ไดอธิบาย ความหมาย “สํานวน” ไววา “ถอยคําท่ีเรียบเรียง, โวหาร, บางทีก็ใชวา สํานวนโวหาร ; ถอยคําหรือขอความที่กลาวสืบตอกันมาชานานแลวมี ความหมายไมตรงตามตวั หรอื มีความหมายอื่นแฝงอยู เชน สอนจระเขใ หวาย นํ้า รําไมด โี ทษปโทษกลอง”สาํ นวน จึงเปนถอยคําท่ีมีความหมายไมตรงตาม ตวั อักษร เปน คํากลา วเชิงเปรียบเทยี บเพอ่ื ใชอ ธิบายการกระทําพฤติกรรม 1.

สํานวน สุภาษติ คาํ พงั เพย หรือส่ิงใดสง่ิ หนึ่งที่ผูพูดไมไดกลาวถึงโดยตรง มีความหมายไมตรงรูปคํา แตเ ปน ที่เขา ใจความหมายกนั ระหวางผูสงสารกับผูรับสาร เชน นํ้าทวมทุง ตี ทา ยครัว หมอ ขาวไมท นั ดํา สภุ าษิต คือ ถอ ยคําทีก่ ลา วไวเ ปน คติหรอื เตือนใจ มกั เปนถอยคําท่ีกลาว สืบตอกันมาชานานแลวมีจุดมุงหมายเพื่อส่ังสอนและเปนขอเตือนใจให ปฏิบัติตาม โดยมามีคําวา “อยา” หรือ “ให” ปรากฏในสุภาษิตน้ันดวย เชน นํ้าเชย่ี วอยา ขวางเรอื คบคนใหดหู นา ซอ้ื ผาใหด เู นอ้ื คําพังเพย คือ ถอยคําท่ีกลาวใหขอคิด โดยจะกลาวถึงพฤติกรรม การ กระทาํ บางอยางในสถานการณต า ง ๆ เชน ปด ทองหลังพระ ดงั นน้ั สุภาษิต คําพังเพย จึงจัดรวมอยูใน “สํานวน” ดวยกันท้ังคู เพราะมี ความหมายในเชิงเปรยี บเทยี บ และเปน ถอยคําทใี่ ชสืบเนือ่ งกันมานาน ลกั ษณะของสุภาษติ และคําพังเพย สุภาษิต มีลักษณะเปนถอยคําที่มักใชส้ัน ๆ กะทัดรัด แตมีความหมาย ลึกซ้ึง มีสัมผัสคลองจอง หรือบางครั้งอาจใชคําแปลกชวนใหสะดุดใจ คิด ตคี วาม สวนใหญสุภาษิตที่ใชกันในสังคมไทย มักมีที่มาจากคําสอนทางพุทธ ศาสนา ธรรมะในพุทธศาสนา หรืออาจนํามาจากธรรมชาติ และส่ิงตาง ๆ รอบตัว สภุ าษติ เปนถอ ยคาํ ทกี่ ลา วสบื ตอ กันมาแตโบราณ มักพบในวรรณคดี เรอ่ื งตาง ๆ เชน สภุ าษติ พระรวง โคลงโลกนติ ิ สภุ าษติ สอนหญิง เปนตน ๒.

สํานวน สภุ าษิต คาํ พงั เพย ตวั อยาง  ทาํ ดไี ดด ี สอนวา หากทาํ ดกี จ็ ะไดรับผลดตี อบแทน  ทําชวั่ ไดชว่ั สอนวาหากทาํ ชวั่ ก็จะไดรับสิ่งไมดตี อบแทน  น้าํ ข้นึ ใหร บี ตัก สอนใหร ีบทาํ เม่ือมีโอกาสดี  น้ําขุนอยูใน น้ําใสอยนู อก สอนใหเกบ็ ความไมพอใจเอาไว แสดงทาที เปนมติ ร  อยา ไวใจทาง อยาวางใจคน สอนไมใหไวใ จหรือเชื่ออะไรใครงา ย ๆ  พึงเอาชนะความโกรธดว ยความไมโ กรธ สอนใหร ูจกั ระงบั ความโกรธ คาํ พังเพย มีลักษณะเปน ถอยคําทีใ่ หขอคิด โดยกลาวถึงพฤติกรรม หรือ ธรรมชาติรอบตัว โดยมากมักเปนถอยคําที่เปนขอสรุปการกระทําหรือ พฤติกรรมท่วั ไป อาจมีท่มี าจากนทิ าน ตํานาน วรรณคดี เปน ตน ตวั อยาง  ทองไมร รู อน หมายถึง ทาํ ตวั ไมม คี วามรสู ึก ไมม ปี ฏกิ ิรยิ า  ขม้ินกบั ปนู หมายถึง ไมถกู กนั ทะเลาะกนั เปนประจํา  กบเลือกนาย หมายถึง คนชางเลอื ก เลือกมากจนตวั เองเดือดรอน  ทําคุณบูชาโทษ หมายถึง ทําความดีแตกลับไดรบั ส่งิ ไมดีตอบแทน  รําไมดีโทษปโทษกลอง หมายถึง ตนเองทําผิด แตโทษวาเปนความผิด ของผูอ่ืน  มือไมพาย เอาเทาราน้าํ หมายถึง ตนเองไมชวยทํา แลวยังขัดขวางการ ๓. ทํางานของผูอื่น

สํานวน สุภาษิต คําพังเพย สํานวน สภุ าษติ คําพงั เพย ตางกันอยา งไร คาํ พังเพย คําพังเพย คือ ถอยคําที่เปรียบเทียบเหตุการณ หรือเร่ืองราวตางๆ ท่ี พบเห็นไดในการดํารงชีวิตของคนรุนกอน โดยมากไมเนนการส่ังสอน แตใช ในทํานองเสียดสีประชดประชัน เพื่อใหสะทอนความคิด ความเช่ือถือ และ เปน คตเิ ตอื นใจ หรือเปน ขอ คิดสะกดิ ใจใหนาํ มาปฏบิ ตั ิ สภุ าษิต สุภาษิต คือ คํากลาวที่มีคติสอนใจ สุภาษิตจึงมีลักษณะเดียวกับ สํานวนและคําพังเพย แตมีจุดมุงหมายเพ่ือการสั่งสอน เตือนสติใหคิด ไมมี การเสียดสหี รอื ติชมอยางคําพังเพย เปนถอยคําที่แสดงหลักความจริง เปนที่ ยอมรับกันโดยท่ัวๆ ไป ภาษิตนี้ยังมีความหมายรวมไปถึง สัจธรรม คําสั่ง สอนท่เี ปน ความจริงอนั เท่ยี งแทท างศาสนาดวย สาํ นวน สํานวน หมายถึง ถอยคําท่ีกระทัดรัด คมคายกินใจผูฟง ไพเราะ สละสลวยและมีความหมายลึกซ้ึง เปนที่รูจักกันท่ัวไป สํานวนในที่น้ีรวมถึง สุภาษติ ภาษิต และคําพังเพยดวย ๔.

สํานวน สุภาษติ คําพังเพย คุณคาของสํานวนไทย สาํ นวนไทยมีคณุ คาหลายประการ ดงั น้ี 1. ชวยพัฒนาปญญาของคนไทยในสังคม 2. เปนมรดกแหง ภมู ปิ ญ ญาทางภาษาไทย 3. เปน แนวทางประพฤติท่ดี ีใหแ กค นในสังคม 4. เปนแบบแผนควบคุมพฤตกิ รรมของคนในสังคม 5. สะทอนวัฒนธรรม ประเพณี ศาสนาและวิถีชีวิตความเปนอยูของคน ไทย สรปุ สุภาษิต และคําพังเพยน้ัน จัดเปน “สํานวน” ดวยกันท้ังคู เพราะมี ความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเปนถอยคําที่ใชสืบเนื่องกันมานาน สุภาษติ เปนถอ ยค าท่มี ักใชคําสน้ั ๆ กะทัดรัดแตมีความหมายลกึ ซง้ึ มีสัมผัส คลองจอง สวนใหญสุภาษิตท่ีใชในสังคมไทยมักมีที่มาจากคําสอนทางพุทธ ศาสนา หรืออาจนํามาจากธรรมชาติ และสิ่งตาง ๆ รอบตัว คําพังเพยเปน ถอยคาํ ท่ีใหข อคดิ โดยกลาวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว สวนมากมัก เปนถอยคําท่ีเปนขอสรุปการกระทําหรือพฤติกรรมท่ัวไป อาจมีท่ีมาจาก นิทาน ตํานาน วรรณคดี สํานวนไทยมีคุณคาหลายประการ เชน สะทอน วัฒนธรรม ประเพณี ศาสนา และวิถีชีวิตความเปนอยูของคนไทย ชวย พฒั นาปญ ญาของคนในสงั คมไทย เปน แนวทางประพฤติทีด่ ใี หแกคนในสังคม ๕.

ไกงามเพราะขนคนงามเพราะแตง ความหมาย สํานวนนี้จะหมายถึง ความงาม ความสวย ความหลอ ภาพลักษณท่ีดู ดีของคนเราน้ัน สามารถทํา ไดดวยการปรุงแตง การแตงหนา แตงตัว ให เหมาะสม เรยี บรอย ถกู กาละเทศะ ก็ชวยใหดดู ไี ด ๖.

ไกเ ห็นตนี งูงเู ห็นนมไก ความหมาย ความหมายสํานวนนี้หมายถึง คนสองคนท่ีตางคนตางรู เบื้องลึก เบือ้ งหลงั เรื่องราวทมี่ มี าแตเดมิ ของอกี ฝายมาเปนอยา งดีหรือรูความลับของ อกี ฝาย โดยทคี่ นอื่นไมทราบหรอื รเู รื่องของคนสองคนนเี้ ลย เชน คนสองคน ทาํ ตนเปนคนม่ังมีหรือมีความรูสูงเพ่ืออวดคนอ่ืน ๆ แตท้ังสองคนนี้ตางรูไส กันดีวาแทจริงแลว อีกคนหนึ่งก็ไมมีเงิน อีกคนหน่ึงก็ไมมีความรูเลยอะไร เลย เม่ือมาพบกันเขาจึงเทากับวา ไกเห็นตีนงู งูเห็นนมไก ซ่ึงในความเปน จรงิ แลวงูก็ไมม ีตีน ไกก ็ไมม ีนม ๗.

ขวานผาซาก ความหมาย สํานวนนี้ใชเปรียบเทียบถึงคนที่ไมรูจักกาลเทศะในการพูดท่ีมักท่ีจะ พูดแบบไมเกรงใจใครโผงผางและไมไดสนใจ หรือใสใจวาคนฟงนั้นจะรูสึก อยางไร อยากพูดอะไรก็พูดออกมา ถึงแมวาสิ่งที่พูดน้ันจะเปนความจริงก็ ตามแตวาควรท่ีจะมีวิจารณญาณวาอะไรที่สมควรพูด และไมสมควรพูด ตามสถาณการตางๆ วางตัวใหถูกตองก็จะนาเคารพนับถือ เพราะฉะนั้นไม สมควรทจ่ี ะพูดแบบขวานผา ซาก ๘.

ขวางงูไมพ นคอ ความหมาย ขวางงูไมพนคอ เปนสุภาษิตหมายถึง การท่ีคนคนน้ันมีปญหา หรือ เร่ืองทีต่ ัวเองมสี ว นเกยี่ วของ แตพยายามปด ปญหาน้นั ออกไปใหพนตัว แตก็ ไมสามารถแกไขหรือปดปญหาน้ันออกไปได ตองไดรับผลจากปญหาท่ีเกิด ขึ้นอยูดี ๙.

เขาหซู า ยทะลหุ ูขวา ความหมาย บอกหรือสอน ไปไมไดผลไมไดความ ไมสนใจอะไร ไมฟงในสิ่งที่ สอนสั่ง ๑๐.

คนดผี ีคุม ความหมาย คนทําดียอมแคลวคลาดจากภยันตรายทั้งปวง เสมือนมีเทวดา คมุ ครอง, มกั ใชค กู บั คนรายตายขมุ เปน คนดีผีคุมคนรายตายขมุ ๑๑.

คางคกขึน้ วอ ความหมาย คางคกขึ้นวอมักใชเปรียบเทียบคนท่ีมีนิสัยชอบลืมตัว เม่ือไดดิบไดดี มียศศักดิ์เปนเจานายเพราะตําแหนง กลับวางตัวไมนาคบพอไดดีแลวก็ลืม ตัว เยอหย่ิง เชิดหัว ชูหัว ไมมองใคร ไมใหเกียรติใคร เหมือนคางคกข้ึนวอ ลืมตัวลืมกําพืด ลืมชาติกําเนิดตัวเอง ดูถูกเหยียดหยามส่ิงท่ีตัวเองเคยเปน คนแบบนี้คบไมได และไมสมควรทจี่ ะคบหามาเปน มติ ร เพราะวามักจะดูถูก ผูอน่ื อยูเปนประจํา จนทําใหคนรอบขา งรูส ึกราํ คาญ และรงั เกียจ ๑๒.

ฆา ควายเสียดายพรกิ ความหมาย ทําการใหญไมควรตระหนี่ ฆาควายเสียดายพริก เปนสุภาษิต หมายถึง การคิดจะทําการใหญ แตกลัววาจะส้ินเปลืองคาใชจาย มัวแต คิดเลก็ คิดนอยจนทําใหเสียงานเสยี ได ๑๓.

จับปลาสองมือ ความหมาย คนทอี่ ยากจะไดสองอยา งทเี ดียวพรอ มๆ กัน โดยไมคํานึงวาตนเองมี ความสามารถที่จะทาํ ไดหรอื ไม เปรยี บเทยี บกับการใชม ือจับปลาตัวเดียวให ม่ันดีกวาจับดวยมือเดียวหรือขางละตัว ซ่ึงอาจจะไมมั่นพอ ทําใหปลาท้ัง สองตวั หลดุ ตกนาํ้ ไปหมด ไมไ ดอ ะไรเลย ๑๔.

ใจดีสูเสอื ความหมาย เปนสุภาษิตหมายถึง การทําใจกลา ควบคุมจิตใจใหเปนปกติ ไม หว่ันไหวไปกับเหตุการณตรงหนา เม่ือตองเจอกับส่ิงท่ีนากลัวหรือเปน อันตราย 1๕.

ชา งตายทงั้ ตวั เอาใบบวั มาปด ไมมิด ความหมาย การทาํ ความช่วั หรอื ความผิดรายแรงซึ่งเปนเรื่องใหญ แมจะพยายาม กลบเกลอื่ นปด บงั อยา งไรกป็ ด ไมม ดิ ตองมผี รู ูเขา จนได 1๖.

ชาๆ ไดพ ราสองเลม งาม ความหมาย การทําอะไรสักอยา งหน่ึง ถามุงจะใหไดประโยชนสมบูรณก็ตองทํา ดว ยความรอบคอบ หรือไมรบี รอ นจนเกินไป แตไมไดห มายความวา จะทํา ใหงาน ดวยวาม\"ลาชา\" แตมีความหมายวา ใหคอยๆ คิด คอยๆ ทํา เลอื กพจิ ารณาและปฏิบตั อิ ยา งเหมาะสม 1๗.

ชี้โพรงใหกระรอก ความหมาย นิยมใชเพ่ือเปรียบเทียบถึงการกระทําที่อาจจะไมไดต้ังใจ แตการ กระทํานัน้ เปนการช้ีทางใหกับคนไมดี ใหมีโอกาสทําช่ัว เชน นายนอยบอก กับนาบพลายวาบานขางๆจะไมอยูชวงวันเสารอาทิตย ซ่ึงทําใหนายพลาย ซึ่งมีนิสัยลักเล็กขโมยนอยไดโอกาสเขาไปขโมยของ หรือ ปาเม้ียนพูดกับ หลานชายวาคนเราถาไมสบายก็สามารถหยุดเรียนได ทําใหเด็กชายสุธีซึ่ง ต้ังใจจะโดดเรียนอยูแลวสบชอง อางวาปวดทองทันที เพื่อไมตองไป โรงเรยี น 1๘.

เฒา หวั งู ความหมาย คนแกหรือคนมีอายุมากท่ีมีนิสัยเจาชู มีเลหเหลี่ยม ชอบใชกลอุบาย หลอกลอ เด็กสาวไปบาํ เรอความสุข ในทางกามารมณ 1๙.

เดนิ ตามหลงั ผใู หญห มาไมกัด ความหมาย โบราณทานนยิ มใชเปรยี บเทียบใหเห็นวาการเช่ือฟงผูใหญ ผูที่อาวุโส กวา รวมถึงการประพฤติปฏิบัติตนตามแบบอยางท่ีดีงามของทานเหลานั้น ยอ มนําความปลอดภัยและความเจริญมาสูตน เน่ืองจากผูอาวุโสเหลานั้นมี ประสบการณ ผานอะไรมามาก ยอมรดู วี าทาํ อยา งไรดี อยา งไรไมดี ๒๐.

เดด็ บัวไมไ วใ ย ความหมาย การตัดความสัมพันธกันแบบเด็ดขาด,ตัดญาติขาดมิตรกันเด็ดขาด อยางไรเย่ือใย มักใชเขาคูกับ “เด็ดดอกไมไวขั้ว” วา เด็ดดอกไมไวขั้ว เด็ด บวั ไมไ วใย ๒๑.

ตนเปน ทพ่ี ึ่งแหงตน ความหมาย เปนสุภาษิตหมายถึง จะทําการใดๆ ควรคิด ควรศึกษา พยายามทํา ดว ยตัวเองอยางสุดความสามารถ กอ นท่จี ะไปพงึ่ พา ขอความชวยเหลือจาก ผอู ืน่ เพราะในบางสถานการณผอู ื่นก็อาจจะไมสามารถชวยเหลอื ได ๒๒.

ตัดหางปลอยวัด ความหมาย ตัดขาดไมเกี่ยวของ ไมเอาเปนธุระอีกตอไป เชน เด็กคนน้ีถูกพอแม ตัดหางปลอยวัดเพราะประพฤติกรรมทําตัวเกเรไมเชื่อฟงคําส่ังสอนของ ผูใหญ สํานวนน้ีมีท่ีมาจากการตัดหางไกแลวนําไปปลอยเพื่อสะเดาะ เคราะหห รอื แกเ คราะหในสมัยโบราณ ๒๓.

ทาํ นาบนหลงั คน ความหมาย โบราณทานเปรียบเอาไวถึงคนท่ีชอบเอารัดเอาเปรียบผูอื่น ฉกฉวย หรือขูดรีดผูอ่ืน เพื่อประโยชนของตนฝายเดียว บุคคลท่ีเขาขายสํานวนทํา นาบนหลังคนเชน พวกปลอยเงินกูดอกเบี้ยสูงเกินจริง พวกท่ีขายของขาด แคลนในราคาทส่ี งู เกินเหตโุ ดยหวังกาํ ไรเพิม่ ขน้ึ โดยไมสนใจความเดือดรอน ของผอู ื่น เปนตน ๒๔.

น้าํ ขึน้ ใหรีบตกั ความหมาย สํานวนสภุ าษติ นหี้ มายถึงเม่ือมีโอกาสดีๆผา นเขา มา ใหรีบควาโอกาส น้ันเอาไว และเก็บเก่ียวผลประโยชนใหเต็มที่ กอนท่ีชวงเวลาท่ีมีโอกาสดีๆ จะผานไป ๒๕.

ปอกกลวยเขา ปาก ความหมาย สํานวนไทยคาํ วา “ปอกกลว ยเขาปาก” นน้ั นิยมใชส่ือความหมายวา สิ่งน้ัน หรือการกระทําน้ันๆ มันเปนสิ่งที่งายมาก ไมไดมีความยากหรือ ซับซอ นอะไรเลย ๒๖.

ปง ปลาประชดแมว ความหมาย การทําประชดหรือแดกดันที่ผูทํารังแตจะเสียประโยชน ตัวอยางเชน คุณยกสมบัตใิ หเขาไปแบบน้ี เหมอื นหงุ ขาวประชดหมา ปงปลาประชดแมว เขายิ่งชอบใจ เอาไปถลงุ ใชเ พลนิ ไปเลย เปน ตน ๒๗.

ฝนท่ังใหเ ปน เข็ม ความหมาย การใชค วามพยายามอยางเต็มความสามารถเพ่ือใหงานน้ันสําเร็จ ซึ่ง โบราณทานเปรียบไวดังการฝนหรือตะไบท่ังซึ่งเปนแทงเหล็กขนาดใหญ ให มขี นาดเล็กลงจนเทา เขม็ เลมหนึง่ ๒๘.

ฝากปลาไวก ับแมว ความหมาย ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 สุภาษิต “ฝาก ปลาไวกบั แมว” หมายความวา ฝากสิ่งใดส่ิงหน่ึงไวกับคนที่ชอบสิ่งน้ัน ยอม สญู หายไดงา ย ไววางใจคนทไี่ มค วรไววางใจ ๒๙.

พบไมง ามเม่ือยามขวานบ่ิน ความหมาย พบเจอสงิ่ ถูกใจก็ตอเม่ือหมดเวลา หมดความสามารถแลว คําพังเพย น้ีนิยมใชกับผูชายท่ีเจอผูหญิงท่ีใช ท่ีถูกใจ แตวาชาไปเสียแลวเน่ืองจาก ตนเองแกเกินไปหรอื มคี รอบครัวแลว ๓๐.

มอื ไมพายเอาเทา รานา้ํ ความหมาย เปนสุภาษิตหมายถึง คนที่ไมชวยหลืองานสวนรวม ไมใหความ รวมมือ แลวยังทําตัวเกะกะ ขัดขวางการทํางานของผูอ่ืน จนทําใหการ ทํางานน้ันยากขึ้นไปอกี ๓๑.

ไมห ลักปกเลน ความหมาย ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 สุภาษิต “ไม หลักปกเลน” หมายความวา โลเล ไมแนนอน เชน เหมือนไมหลักปกเลน เอนไปมา ๓๒.

ยน่ื หมยู น่ื แมว ความหมาย สาํ นวนสภุ าษติ คําวา “ยื่นหมูย่นื แมว” น้ัน นยิ มใชเ พอ่ื สือ่ ความหมาย วา ทั้งสองฝา ยตองแลกเปล่ยี นของ หรือทําตามขอตกลงพรอมๆ กันท้ังสอง ฝา ย ไมม ีการเอาเปรยี บกนั ๓๓.

ยกเมฆ ความหมาย ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 สุภาษิต “ยก เมฆ” เดาเอา นึกคาดเอาเอง กเุ ร่ืองขึ้น ยกเมฆ เปน สภุ าษิตหมายถงึ การคาดเอา การนึกเอาเองวาเปนอยาง นนั้ อยา งน้ี เอาเรื่องบางเรือ่ งหรอื เหตกุ ารณทีไ่ มมมี ูลความจรงิ มาเปน ขอ อาง ๓๔.

รําไมด ีโทษปโทษกลอง ความหมาย การกระทําใดๆของตนท่ีไดผลออกมาไมดี แตกลับโทษคนอ่ืนหรือส่ิง อื่น แทนท่ีจะโทษตัวเอง โบราณทานจึงเปรียบไวเหมือนกับการรายรําที่ ออกมาไมด ี แทนทจ่ี ะโทษตวั เอง แตก ลับไปโทษปก ลองผใู หจ ังหวะ ๓๕.

ลูกไกใ นกํามือ ความหมาย สํานวนนี้มักจะใชพูดถึงคนที่เสียเปรียบคนอื่น ตองยอมทําตาม ไมมี ทางหลีกหลีก หรือลบ เล่ียง เหมือน ลูกไกในกํามือ บีบก็ตาย คลายก็รอด ใครทีต่ อ งตกอยใู นสภาพน้ีจะสรางความทุกขก าย ทกุ ขใจอยา งมาก ๓๖.

ววั หายลอ มคอก ความหมาย ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 สุภาษิต “วัว หายลอมคอก” หมายความวา ของหายแลวจึงจะเร่ิมปองกัน เรื่องเกิดข้ึน แลวจึงคิดแกไ ข วัวหายลอมคอก เปนสุภาษิตหมายถึง เมื่อเกิดเหตุการณตางๆขึ้นไป แลว แลวคอ ยมาคดิ แกไ ข หาทางปอ งกนั ๓๗.

สิบปากวา ไมเทา ตาเหน็ ความหมาย สภุ าษติ สํานวนไทยคาํ วา สิบปากวาไมเทาตาเห็น เปนคําท่ีอธิบายให เห็นวาตอใหคําพูดมากมายเกี่ยวกับส่ิงหน่ึงๆ ก็สูการไปเห็นดวยตาตนเอง ไมไ ด ๓๘.

หมาหวงกาง ความหมาย ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 สุภาษิต “หมา หวงกาง” หมายความวา คนที่หวงของท่ีตนไมมีสิทธิ์ คนที่กันทาคนอ่ืนใน สง่ิ ทตี่ นไดใชป ระโยชนแ ลวหรอื ใชประโยชนไมได หมาหวงกาง เปนสุภาษิตหมายถึง คนท่ีหวงของในสิ่งที่ตนเองไมมี สิทธิ ไมไดใชประโยชนแลว ไมตองการ แตก็กันทาเพื่อไมใหคนอื่นไดใช ประโยชนจ ากของสงิ่ นน้ั ๓๙.

หัวลา นไดหวี ความหมาย ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน สํานวนหรือคําพังเพย “หวั ลานไดห วี” หมายถึง ผทู ไ่ี ดส ิ่งซง่ึ ไมเปน ประโยชนแกตน มักพูดเขาคูกับ ตาบอดไดแวน เปน หวั ลานไดห วี ตาบอดไดแวน คําพังเพยหัวลานไดหวี โบราณทานเปรียบไวกับผูที่ไดของที่ไมมี ประโยชนอ ะไรเลยสําหรับตน ดั่งหัวลา นแตก ลบั ไดหวี ซึง่ ไมรูจะเอาหวีอะไร ๔๐.

อดเปรยี้ วไวกินหวาน ความหมาย ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 สุภาษิต “อด เปรี้ยวไวกินหวาน” หมายความวา อดใจไวกอนเพราะหวังส่ิงที่ดีกวา ขา งหนา อดเปร้ยี วไวก นิ หวาน เปนสุภาษิตหมายถึง การอดทน ฝนใจ รอสิ่งที่ ดกี วาในวนั ขา งหนา ๔๑.

ออยเขาปากชา ง ความหมาย ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 สุภาษิต “ออย เขาปากชา ง” หมายความวา สิ่งหรือประโยชนทต่ี กอยใู นมอื แลวไมยอมคนื ออยเขา ปากชาง เปน สภุ าษิตหมายถึง การทสี่ งิ่ ของท่ีมีประโยชนหรือ มคี ุณคาไปตกอยใู นมอื ของผอู ่นื ซงึ่ ของสง่ิ นนั้ เปนสงิ่ ท่ีเขาชอบอยูแลว ก็เปน การยากทีจ่ ะไดกลบั คืนมา ๔๒.

แบบฝกหัดท่ี 1 คาํ ช้ีแจง : เตมิ สุภาษติ และคําพงั เพยตอไปนใ้ี หถ ูกตอ ง 1. เกบ็ เบี้ย……………………………………………………………………………………… 2. ไกงามเพราะขน………………………………………………………….................. 3. กลนื ไมเขา………………………………………………………………………………… 4. กินที่ลบั ……………………………………………………………………………………. 5. เขาตามตรอก……………………………………………………………………………. 6. เขาหูซา ย………………………………………………………………………………….. 7. เขยี นเสือ………………………………………………………………………………….. 8. คับทอ่ี ยไู ด………………………………………………………………………………… 9. คนเดยี วหวั หาย…………………………………………………………………………. 10. คบคนพาลพาลพาไปหาผิด……………………………………………………… 11. ความพยายามอยทู ไี่ หน…………………………………………………..………. 12. งมเขม็ ……………………………………………………………………………………. 13. จบั ปู………………………………………………………………………………………. 14. เดนิ ตามหลัง…………………………………………………………………………… 15. ดชู างใหด หู า……………………………………………………………………………. ๔๓

แบบฝกหัดท่ี 2 คําชแี้ จง : จงเลอื กคาํ ตอบทีถ่ ูกตอง 1. ขอใดกลาวถึง สาํ นวน ไมถ ูกตอง ก. สื่อความหมายอยางตรงไปตรงมา ข. ใชภาษาเรยี บเรียงอยา งสละสลวย ค. ผูอา นหรอื ผฟู งตอ งตคี วามใหเ ขากบั เรือ่ ง ง. เกิดจากการนําส่งิ ใกลตัวมากลา ว เปรียบเปรย 2. สาํ นวนขอ ใดที่แสดงวา ผูพูดขาดคณุ ลกั ษณะ “ใชว าจาออ นหวาน” ในขณะสนทนา ก. ยกตนขม ทาน ข. ปากวา ตาขยิบ ค. ปากหวานกนเปร้ียว ง. พูดจามะนาวไมมนี ํา้ 3. สํานวนใดมีความหมายเชงิ บวก ก. ตบตา ข. คมในฝก ค. นาํ้ น่งิ ไหลลึก ง. หงิม ๆ หยบิ ช้นิ ปลามัน 4. สํานวนขอใดมงุ สอนเรื่องความขยนั ขันแขง็ ก. พรา ขัดหลังเลมเดยี ว ข. อัฐยายซ้อื ขนมยาย ค. สอนหนังสอื สงั ฆราช ง. เกบ็ เบย้ี ใตถนุ ราน 5. “ทง้ั สองตา งใชค าํ พูดเผ็ดรอนทมุ เถยี งกันอยาง ……………………….” ควรเติม สํานวนใดลงในชอ งวา ง ก. คอขาดบาดตาย ข. ขงิ ก็ราขา ก็แรง ค. ขมน้ิ กับปนู ง. ถึงพรกิ ถึงขงิ ๔๔

แบบฝก หดั ท่ี 3 คําช้แี จง : จงบอกความหมายของ สาํ นวน สุภาษิต คาํ พงั เพยตอ ไปนี้ 1. เกบ็ หอมรอมรบิ ……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… 2. ขวางงูไมพนคอ ……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… 3. นกสองหัว ……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… 4. น้าํ ลดตอผุด ……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… 5. ปดประตูตีแมว ……………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… ๔๕

แบบฝก หดั ที่ 4 คาํ ชี้แจง : จงเลือกคาํ ตอบทถ่ี กู ตอง 1. สภุ าษติ มคี วามหมายตรงกบั ขอใด ก. เปน การเปรียบเปรย ข. เปน การใชค ําสละสลวย ค. เปน คตสิ อนใจ ง. ถกู ทง้ั ขอ ก และ ค 2. คําพงั เพยมคี วามหมายตรงกบั ขอใด ก. ใชภ าษาสละสวย ข. ใชเ ปนคาํ พูด ค. เปนคํากลาวเพือ่ ใหตคี วามเขา กับเรอ่ื ง ง. ถกู ทกุ ขอ 3. สาํ นวนมคี วามหมายตรงกบั ขอใด ก. เปน สาํ นวนท่ีไมตรงตามตวั หรือมคี วามหมายอนื่ แฝงอยู ข. เปนสํานวนที่ตรงตามตัว หรือมีความหมายชัดเจน ค. เปน สํานวนท่ใี ชเ ปรยี บเทยี บตรงตวั ง. เปน สาํ นวนท่ใี ชคาํ สละสลวย 4.สภุ าษติ หมายถงึ ขอ ใด ก. ถอ ยคาํ หรอื ขอความที่กลาวสบิ ตอ กันมา ข. เปนเอกลกั ษณทางภาษา ค. เปน ขอ ความเพ่ือใหคาํ สละสลวย ง. เปน การเรียบเรยี งคํา 5. ความงามของคนเสริมแตง ใหสวยไดต รงกบั ขอ ใด ก. ผกั ชโี รยหนา ข. บัวไมช ํ้า นํา้ ไมใหข ุน ๔๖ ค. ไกงามเพราะคนขน คนงาเพราะแตง ง. ถูกทุกขอ

แบบฝกหัดท่ี 5 คําชี้แจง : จงใสสาํ นวน สุภาษติ คาํ พังเพย ใหตรงกบั ความหมายท่ใี นโจทย โดยเลอื ก จากตวั เลือกท่ใี หมา ดังนี้ ปากสวา ง ผักชีโรยหนาผา ขร้ี ้วิ หอ ทอง ฝน กลางวนั ฟง หไู วหู ยกเมฆ ลิงหลอกเจา ววั ลืมตนี หมาหัวเนา หูเบา 1. รับฟง ไวแตไ มเ ช่ือท้งั หมด …………………………………………………..…………….……… 2. กเุ รือ่ งขึ้น, คาดเอา, เดาเอาเอง …………………………………………………………..…………….. 3. ชอบพูดเปดเผยเรอ่ื งของผอู ่นื …………………………………………………………..……………. 4. เชื่อคนงา ยโดยขาดความพนิ ิจพจิ ารณาทีด่ …ี ……………………………………………………… 5. ทํากิรยิ าลอหลอกผใู หญเ วลาผใู หญเ ผลอ ……………………………………………………. 6. คนม่งั มแี ตแตงตวั ซอมซอ …………………………………………………………………………. 7. คิดหรือหวังในสง่ิ ทเี่ ปน ไปไมได ……………………………………………..…………………………. 8. ลืมกําพืดตนเอง …………………………………………………………………………………………… 9. ไมมีใครรัก ไมมใี ครสนใจ…………………………………………………...…….……………………… 10. การทําความดีเพยี งผิวเผนิ ………………………………………………………………..………. ๔๗


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook