壮族 กลุ่มชาติพันธุจ์ ้วง กลมุ่ ชาตพิ นั ธจุ์ ้วงถือเปน็ ชนกลมุ่ นอ้ ยทใี่ หญ่ทีส่ ดุ ในประเทศจีน มีประชากร16,178,811 คน ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในดนิ แดนปกครองตนเองกวางสีจว้ ง และบางส่วนในหยุนหนาน กวางตุ้ง กุ้ยโจว หหู นาน และเวียดนามเหนือ ชาวจ้วงเช่ือวา่ สบี เช้อื สายมาจากชาว ไปเ่ ยว่ หรอื ชาวเยวร่ ้อยเผ่าในอดีต ภาษาจ้วงจดั อยใู่ นกลมุ่ ภาษา ไท กระไดประวัติ ชาวจ้วงมีความเปน็ มาค่อนขา้ งชัดเจน นับย้อนไปไดไ้ ม่ต่า 5,000 ปี นอกจากในถนิ่ ท่ีอยู่จะพบหลักฐานทางโบราณคดีมากมาย เช่น ภาพเขียนโบราณท่ีผาลาย กลองสัมฤทธิ์ท่ีเรียกว่า กลองมโหระทึก ในปีพ.ศ. 2536 ยังขุดพบซากมนุษย์ยุคหินเก่าด้วยที่มีอายุประมาณ 50,000 ปี มีโครงกระดูกคล้ายกับชาวจ้วงในปจั จบุ ันดว้ ย ทงั้ ในบนั ทึกประวตั ิศาสตร์จนี กม็ คี นชอ่ื ซโี อว และหล้วั เยว่ ถวายเคร่อื งบรรณาการใหร้ าชวงศ์โจว(เจา) ตงั้ แตร่ าว 3,000 ปกี ่อน แสดงว่า จ้วงเปน็ กลมุ่ ชนทม่ี ีรฐั และกษตั รยิ แ์ ล้ว กอ่ นยคุ จ๋ินซฮี ่องเต้ ชอ่ื คนซีโอวและหล้ัวเยว่ ค่อยๆหายไปจากประวตั ิศาสตรจ์ ีน เพราะจีนเปลี่ยนชื่อเรียกกลุม่ คนเหลา่ นี้ไปเร่ือยๆ เมื่อถึงสมัยอู่หู บรรพบุรุษของชาวจ้วงถูกเรียกว่า \"หล่ี\" สมัยสามก๊กก็ถูกเรียกว่า \"เหลียว\" สมัยราชวงศ์จิ้น ก็เรียกท้ังหลี่และเหลยี ว
ภาษา ภาษาจ้วงแบ่งเป็นกลุ่มหลักได้สองส่าเนียงคือ ภาษาจ้วงเหนือ และจ้วงใต้ ด้วยปัจจัยทางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ ท่าให้เสียงและค่าศัพท์ของภาษาจ้วงในแต่ละท้องท่ี มีความแตกต่างกัน นอกจากส่าเนียงหลกั สองสา่ เนียงแลว้ ยงั มีสา่ เนียงท้องถ่ินอีก 13 สา่ เนยี ง แตด่ ้านไวยากรณ์แทบไม่มีความแตกตา่ งกัน สา่ เนียงจ้วงเหนอื มผี ู้ใช้จา่ นวนร้อยละ 80 ของประชากร และหากเปรียบเทยี บค่าศพั ท์ระหวา่ งจว้ งเหนอื และจ้วงใต้ก็จะพบค่าศัพท์ที่ใช้เหมือนกันถึงร้อยละ 60 เดิมภาษาจ้วงมีอักษรของตนเองท่ีสร้างตามแบบอักษรฮ่ันท่ีเริ่มตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 1 เรียกว่า สือดิบผู้จ่อง แต่ได้มีการประดิษฐ์อักษรจ้วงขึ้นใหม่ที่พื้นฐานมาจากอักษรละตินในช่วงตอนกลางทศวรรษที่ 1950 และต่อมาได้ก่าหนดให้อักษรดังกล่าวเป็นอักษรของชนชาติจ้วงตามกฎหมาย ด้วยเหตทุ ีม่ ีผ้ใู ชภ้ าษาจว้ งเหนอื มากกวา่ จ้วงใต้ จึงใชภ้ าษาจว้ งเหนือเป็นภาษาพ้ืนฐาน และถือสา่ เนียงจ้วงเหนือที่อ่าเภออหู่ มิงเปน็ สา่ เนียงมาตรฐานมาใช้สร้างตัวหนังสอื จ้วงวัฒนธรรม ความเช่ือ ศาสนา ชาวจ้วงไม่มีศาสนาหรือองคก์ รทางศาสนาที่จัดตั้งเป็นเอกภาพ สิง่ ทช่ี าวจ้วงนับถือจงึ เป็นสภาวะ\"กึ่งบุพกาล\" ที่ส่าคัญคือ ความเช่ือเร่ืองเทพเจ้าจ่านวนหลายองค์, ลัทธิเต๋า, ไสยศาสตร์ และลัทธิซือกง(ลทั ธิทีด่ ดั แปลงโดยชาวจ้วง) ชาวจ้วงนบั ถือเทพหลายองค์ และไมไ่ ด้นับถอื ศาสนาหรอื เทพเดยี วกนั อยา่ งเป็นเอกภาพ ชาวจ้วงถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างมี \"วิญญาณ\" ชาวจ้วงนับถือธรรมชาติ, บรรพบุรุษ และภาพสัญลักษณ์ เช่น หากจะจับปลาจับกุ้งก็จะต้องไหว้เทพเจ้าแม่น้่าก่อนทอดแห หรือหากจะตัดต้นไม้ต้องไหว้เทพเจ้าภูเขาหรือต้นไม้เสียก่อน เป็นต้น หากมนุษย์ท่าการล่วงละเมิด เทพเจ้าก็จะแสดงอิทธิฤทธิ์ทันที ท่าให้มนุษย์เกรงกลัวเทพเจ้า หากไปล่วงละเมิดต่อเทพเจ้าองค์ใดมา ก็ต้องรีบยกข้าวปลาอาหารและเหลา้ เงนิ กระดาษและธปู ไปไหว้ทนั ที เพอ่ื อ้อนวอนให้ยกโทษและคมุ้ ครองตน
สง่ิ ทีส่ า่ คญั อกี อย่างคือการนบั ถอื บรรพบรุ ุษ ชาวจว้ งเช่อื ว่าคนมวี ิญญาณ คนตายไปแล้วแต่วญิ ญาณยงั ไม่ตาย เมื่อมีคนตายแล้วถา้ มพี ่อหมอมาสวดใหว้ ญิ ญาณพ้นทกุ ข์ วิญญาณก็จะผา่ นสะพานไน่ฮอ้ ไปยังเมอื งผีที่อยู่ดีกินดีและเป็นผีบรรพบุรุษที่คุ้มครองลูกหลาน ตรงกันข้ามถ้าหากไม่มีพ่อหมอมาสวดหรือตายนอกบ้าน วิญญาณจะผ่านสะพานไน่ฮ้อหรือไปปรโลกไม่ได้ ก็จะกลายเป็นผีเร่ร่อนท่าร้ายลูกหลานของตนแทน ดังนั้นบา้ นของชาวจว้ งทุกครอบครวั จึงมีแท่นบูชาบรรพบรุ ษุ ในหอ้ งโถง กลางแทน่ จะมีกระดาษสีแดงเขียนชื่อบรรพบุรุษทุกยุคทุกสมัยและตง้ั ปา้ ยเอาไว้ ข้างล่างวางกระถางธูปคอยเซ่นไหว้เสมอ ยามซ้ือของดีๆ, ฆ่าสัตว์, กล่ันเหล้าหรือท่าข้าวต้มมัด ก็จะต้องจุดธปู บูชาเสียก่อนจึงจะกินได้ ส่วนลัทธิซือกงเปน็ ลัทธทิ ่ีเกดิ ข้ึนจากจารีตของชาวจว้ งเอง และมีระเบียบของบงั คับทีค่ ่อนข้างม่นั คง แตไ่ มม่ ีองคก์ รหรือศาลเจ้าที่เป็นเอกภาพ หน่วยจัดต้ังของลัทธิดังกล่าวเป็นกลุ่มกระจายเป็นหน่วยย่อยๆ เรียกว่า ซือถานแตล่ ะถานจะมีอาจารย์ผ้ปู กครองถานเป็นผ้คู วบคมุ การไหว้ และการประกอบพธิ ตี ่างๆ ผู้ทีเ่ ขา้ รับนับถอื ซือกงต้องผ่านการไหว้ครูและรับศีล ท่องคัมภีร์ซือกง หัดร่าและศิลปะกายกรรมคร่ึงปีข้ึนไป เม่ือส่าเร็จก็จะเป็นซอื กงอยา่ งเป็นทางการ มสี ถานท่ชี ุมนุมเรียกว่า หอซอื มีบ้านเฉพาะและมนี าให้เช่า ซง่ึ เงินค่าเช่านาทไี่ ด้จะน่ามาใชจ้ ่ายของหอซือ ในลัทธิจะมีเทพเจ้าใหญๆ่ 36 องค์ เทพเจ้านอ้ ย 72 องค์ แตท่ างปฏบิ ัติจะมีมากกวา่ 200 องค์ เทพส่าคัญคือ พระไตรสรณคมน์, พระตรีภพนาถ, พระภมู ิเจ้าที่ นอกจากนยี้ ังยืมเทพจากลัทธิเต๋าคือ เทพซานชิง และเล่าจื๊อ ส่วนศาสนาพุทธคือ พระศากยมุนี, พระโพธิสัตว์กวนอิม,พระอรหันต์ และเทพพื้นเมืองท่ัวไป เป็นต้น คัมภีร์ทางลัทธิมีกว่า 120 เล่ม บ้างเป็นนิทานวีรบุรุษ บ้างเป็นกลอนธรรมจริยา บ้างเป็นเพลงรัก ส่วนมากเป็นเพลงพ้ืนเมืองที่เขียนด้วยอักษรจ้วงเก่า ปัจจุบันแม้ว่าจะมีศาสนาอื่นเผยแผ่เข้ามาในเขตชาวจ้วงบ้าง แต่ก็มิได้มีผลมากมายนัก ชาวจ้วงได้น่าหลักการบางอย่างของทุกศาสนามาผสมผสานกับลัทธิเต๋า ไสยศาสตร์ และลัทธิซือกง ดังน้ันในเขตชาวจ้วงจงึ ไม่ค่อยปรากฏศาสนสถานเท่าใด
เครื่องแตง่ กาย เคร่ืองแต่งกายของชนเผ่าจ้วงอันหลากหลายตระการตาเป็นองค์ประกอบส่าคัญของวัฒนธรรมแห่งชนชาติจีน รูปแบบพื้นฐานเครื่องแต่งกายของชนเผ่านี้จะเป็นชุดกระโปรงและชุดกางเกงสีน่้าเงินด่า โดยมีเส้ือและกางเกงส้ันเป็นหลัก ท่อนบนของชุดแต่งกายชายแบ่งเป็นสองประเภทคือ จะเป็นเสื้อแบบพาดติดกระดุมด้านขวา และแบบเสื้อตัวส้ันผ่าหน้า ท่อนล่างสวมกางเกงขายาวทรงกว้าง บ้างก็ผูกมัดปลายขาไว้ ท่อนบนของชุดแต่งกายหญิงเป็นเส้ือตัวส้ัน ท่อนล่างเป็นกางเกงขาบาน พร้อมผูกผ้ากันเปื้อนไว้บริเวณเอว ช่วงวันปกติเวลาท่างานจะสวมรองเท้าสานดว้ ยฟาง เม่ือถงึ เทศกาลจะสวมรองเทา้ ผา้ ที่มลี วดลายปกั ดอกไม้ ในอดตี ชาวจ้วงไม่สวมถงุ เท้าแตใ่ นช่วงไมก่ ีส่ ิบปมี าน้ี เรม่ิ มกี ารสวมถงุ เท้าผ้าทอ เครื่องแต่งกายชนเผ่าจ้วงนิยมใช้สีเขียวคราม ประการหน่ึง สืบเนื่องมาจากบรรพบุรุษของชาวจ้วงมีความเล่ือมใสศรัทธาในงูเขียว นกเปล้า และกบ อีกประการหน่ึง เน่ืองจากบริเวณท่ีชนเผา่ จว้ งอาศยั อยู่นัน้ มีพชื พรรณสคี รามตามธรรมชาตทิ อี่ ดุ มสมบูรณข์ ้ึนอยู่เป็นจา่ นวนมาก สามารถน่าผ้ามาย้อมเป็นสีเขียวครามได้ ผ้าท่ีน่ามาท่าเครื่องแต่งกายของชนเผ่าจ้วงโดยหลักแล้วคือผ้าป่านท่ีย้อมสีเองและผ้าแพรจ้วงที่ทอกันเองในชนเผ่า สตรีเผ่าจ้วงมีความช่านาญในการปักลายเครอ่ื งแตง่ กายของชนเผา่ จ้วงส่วนใหญ่ล้วนมาจากการตดั เยบ็ ด้วยมือ
สตรีเผ่าจ้วงท่ีรักสวยรักงามยังชอบสวมใส่เคร่ืองประดับอันงดงามอีกด้วย พวกเธอชื่นชอบเคร่ืองประดับเงินเป็นท่ีสุด เช่น หวีเงิน ปิ่นเงินขาเดียว ปิ่นเงินสองขา ต่างหูเงิน ก่าไลข้อมือเงินเป็นต้น เมื่อมีการฉลองเทศกาลต่างๆ ก็มักจะสวมใส่ก่าไลคอและก่าไลข้อมือหลายๆ อันอีกด้วยสิ่งท่ีน่าสนใจคือ เครื่องประดับบนศีรษะของสตรีเผ่าจ้วงยังเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงสถานภาพการสมรสได้อีกด้วย สตรีที่สมรสแล้วจะมัดผมเป็นมวย หรือหวีให้เรียบแล้วพันผมจากซ้ายไปขวาจากน้ันใช้ผ้าโพกผมเอาไว้ สตรีที่ยังไม่สมรสจะใช้วิธีการพันผมสลับทิศทางกัน กล่าวคือ พันจากขวาไปซา้ ย จากน้นั น่าผ้าทอประดับดอกไมเ้ งินหรอื ผา้ ลายยกดอกมาโพกผมไว้ เคร่ืองแต่งกายชนเผ่าจ้วงไม่เพียงแต่เป็นวัฒนธรรมทางวัตถุ แต่ย่ิงกว่านั้นคือ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล่้าค่าที่พัฒนาข้ึนจากการแสวงหาความงดงามอย่างไม่หยุดย้ังในการด่ารงชีวิตของชนเผ่าจ้วงนั่นเอง
Search
Read the Text Version
- 1 - 5
Pages: