บทท่ี ๓ ภาษาบาลแี ละสันสกฤตในภาษาไทย ภาษาบาลีและสันสกฤตจดั เป็นภาษาทีม่ ีวิภตั ติปัจจยั (Inflectional Language) สาขาอินเดีย-ยุโรป ที่ มอี ิทธพิ ลตอ่ ภาษาไทยเป็นอย่างมาก สาเหตทุ ่สี าํ คัญมองเห็นอย่างชดั เจนคือประเทศไทยนับถือพระพุทธสาสนา มาเป็นเวลานาน ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้นับถือพุทธศาสนาประมาณ ๙๕เปอร์เซ็นต์ หลังคําสอน ของพระพทุ ธศาสนาไดจ้ ารึกไวด้ ้วยภาษาบาลีและสันสกฤตในการเผยแผ่คําสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยอิทธิพล ทางดา้ นศาสนาพทุ ธดังกลา่ ว ภาษาบาลแี ละสนั สกฤตจงึ มศี พั ทใ์ ช้ในภาษาไทยเปน็ จํานวนมาก เกี่ยวกับระยะเวลาการเข้ามาของภาษาบาลีและสันสกฤตในประเทศไทยนั้น กล่าวไว้ว่า ภาษา สันสกฤตนน้ั เข้ามาในประเทศไทยกอ่ นภาษาบาลี เหตุผลท่ีสําคัญก็คือศาสนาพราหมณ์ได้เข้ามาในประเทศไทย เป็นระยะเวลานานแล้ว พราหมณ์เข้ามาในประเทศไทยมีสองพวกคือ พวกนับถือพระอิศวร และพวกท่ีนับถือ พระนารายณ์ พราหมณ์เข้ามามีบทบาทในการประกอบพิธีกรรม เช่น พิธีบรมราชาภิเษก พิธีตรียัมปวาย เป็น ต้น ภาษาที่พราหมณ์ใช้เป็นเครื่องมือในการประกอบพิธีกรรมดังกล่าวคือภาษาสันสกฤต หลังจากน้ันก็ได้มี การศกึ ษาเกย่ี วกบั ภาษาสันสกฤตควบคู่กับการศึกษาศิลปะวิทยาการแขนงอื่นๆ นับตั้งน้ันเป็นต้นมาคนไทยจึง คุ้นเคยกับรูปคําภาษาสันสกฤตก่อน หลังจากน้ันจึงได้รับเอาพระพุทธศาสนาและคุ้นเคยกับรูปคําภาษาบาลี และได้นาํ มาใช้ในภาษาไทย ประวตั ิของภาษาบาลี ประวัติภาษาอินเดียอารยันกล่าวว่า ภาษาบาลี เกิดข้ึนในสมัยกลางแห่งภาษาอินเดียอารยัน ภาษา อินเดยี อารยนั ในสมยั กลางได้แก่ ภาษาปรากฤต ภาษาปรากฤตมีวิวัฒนาการแบ่งออกเป็น ๓ ระยะคือ ระยะท่ี ๑ สมยั โบราณ ระยะที่ ๒ สมยั กลาง ไดแ้ ก่ ภาษาปรากฤตถิ่นตา่ งๆ ระยะท่ี ๓ สมยั หลัง ได้แก่ ภาษาอปภรัมศะ ภาษาบาลี คือภาษาที่ใช้บันทึกคัมภีร์พระไตรปิฎก และคัมภีร์สําคัญๆ ของพระพุทธศาสนานิกายเถร วาท (หนี ยาน) พระพุทธศาสนานกิ ายเถรวาท ปจั จุบนั มแี พร่หลายในประเทศไทย ลังกา และพม่า เป็นต้น ชาว พุทธในประเทศเหล่านี้เช่ือว่า ภาษาท่ีปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎกและคัมภีร์สําคัญอ่ืนๆ คือภาษาบาลี และ ภาษาบาลคี ือ ภาษามคธ เหตุผลท่ีชาวพุทธที่กล่าวมาเชื่อว่า ภาษาบาลีคือภาษามคธ เพราะว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ที่พุทธคยา แคว้นมคธ และประกาศพระศาสนาในตอนแรกที่แคว้นมคธ ดินแดนแคว้นมคธจึงเป็นเวทีที่พระพุทธเจ้าทรง ประสบผลสําเร็จในการประกาศพระพุทธศาสนาในระยะเริ่มแรก พระพุทธเจ้าถึงแม้จะไม่ได้เป็นชาวมคธ แต่ พระองคก์ ็ทรงสามารถตรสั ภาษามคธได้ เพราะพระองคท์ รงเปน็ พระสัพพัญญูในนริ ุกติศาสตร์ เหตผุ ลอีกอย่างหน่งึ คอื หลกั สูตรการเรียนภาษาบาลีของคณะสงฆ์ไทย มีวิชาแปลอยู่ด้วยวิชาหน่ึง ช่ือ วิชาแปลไทยเป็นมคธ และแปลมคธเป็นไทย คําว่ามคธในความหมายน้ีหมายถึง ภาษาบาลีน่ันเอง กล่าวคือ แปลไทยเป็นบาลี แปลบาลีเป็นไทย คําบาลีและมคธจึงเป็นคําท่ีใช้แทนกันได้ แต่นักปราชญ์บางท่านบอกว่า คําว่ามคธน้ัน เป็นช่อื แคว้นมิได้เป็นชื่อภาษา เชน่ แคว้นมคธ มีเมืองหลวงช่ือราชคฤห์ ถ้าเป็นภาษาต้องใช้คําว่า มาคธี แต่ภาษามาคธกี ับภาษาบาลีนน้ั มีขอ้ แตกต่างกนั มาก
๓๖ ความหมายของภาษาบาลี ความหมายที่แท้จริงของคําว่า “บาลีนั้น” ยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ในหมู่นักภาษาบาลีทั้งหลายซึ่งยัง หาข้อยุติไม่ได้ สําหรับชาวพุทธในประเทศไทย มีความเช่ือตามแนวมติของพระพุทธศาสนาโฆสาจารย์ พระ ธรรมปาละ พระอรรถกถาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท พระอรรถกถาจารย์ท้ังสอง ได้ให้ คาํ จํากดั ความของคาํ ว่า “บาลี” ไว้ ๓ อย่าง คือ ๑. บาลี หมายถงึ พระพทุ ธวจั นะ คอื คาํ สอนของพระพุทธเจา้ ทงั้ หมดทีร่ วบรวมไวใ้ นพระไตรปิฎก ๒. บาลี หมายถึงภาษาของพระไตรปฎิ ก ๓. บาลี หมายถงึ แถว หรอื แนว แหง่ พระไตรปิฎก คําว่า “บาลี” ในความหมายท้ัง ๓ อย่างนั้น มาจากรากศัพท์ (ธาตุ) เดียวกันนั้นคือ ปาลฺ (ธาตุ) หมายถงึ รกั ษา โดยตง้ั รูปวิเคราะห์ได้ว่า อตฺถํ ปาเลตีติ ปาลิ แปลว่า ภาษาใดย่อมรักษาเนื้อความ ภาษานั้นช่ือ ว่า บาลี ประวตั ขิ องภาษาสนั สกฤต ภาษาสันสกฤตเกิดข้ึนในยุคแรกของภาษาอินเดีย อารยัน หรือภาษาปรากฤตยุคแรก ภาษาปรากฤต ยุคแรกนี้ จะเรียกว่าเป็นภาษาสันสกฤต ก็คือภาษาพระเวท อันได้แก่ภาษาสันสกฤตก่อนสมัยคลาสสิค ใน คัมภีร์ฤคเวทอันเป็นคัมภีร์เก่าแก่ในศาสนาพราหมณ์ ในตอนแรกน้ันมีบทสวดสาธยายแตกต่างกัน พราหมณ์ ปาณินิจึงได้เรียบเรียงตกแต่ใหม่เป็นภาษาสันสกฤต ภาษาสันสกฤตที่ปาณินิสร้างขึ้นมาน้ัน มีวิวัฒนาการหรือ สร้างมาจากอินเดยี อารยันยคุ แรก หรือภาษาปรากฤตยุคแรก พระเวท คือคัมภีร์ศักด์ิสิทธ์ิของศาสนาพราหมณ์ มีอยู่ ๓ คัมภีร์ เรียกว่า ไตรเวทหรือไตรเพท กลา่ วคอื ๑. ฤคเวท คือ คัมภีรท์ ่แี ตง่ เป็นคําฉนั ท์ ใช้สําหรบั สวดอ้อนวอนและสรรเสรญิ พระผู้เป็นเจา้ ๒. ยชุรเวท คอื คัมภรี ์ท่ีแตง่ เปน็ ร้อยแก้ว ใชส้ าธยายในเวลาบชู าบวงสรวงพระผู้เป็นเจา้ ๓. สามเวท คอื คัมภีรท์ ่แี ตง่ เป็นคําฉันท์ ใช้สวดในพธิ ีถวายนํา้ โสม ต่อมาภายหลัง ได้มีการเพิ่มเข้ามาอีกคัมภีร์หน่ึง คือ อถรรพเวท ว่าด้วยการปลุกเสกต่างๆ และ กล่าวถงึ การใช้มนต์ด้วย ฤคเวท เป็นคัมภรี ์เก่าแก่ทสี่ ดุ ภาษาทใ่ี ช้ในคัมภรี ฤ์ คเวท คือภาษาอารยันในยุคแรก ภาษาอารยันในยุค แรกคือภาษาถิน่ พเิ ศษ ทีเ่ รยี กวา่ ภาษาปรากฤตพเิ ศษนั่นเอง ภาษาปรากฤตพิเศษท่ีใช้บันทึกในคัมภีร์ฤคเวทอัน เป็นคัมภีร์ท่ีเก่าแก่ท่ีสุด จึงกลายเป็นภาษาศักดิ์สิทธิ์และเป็นภาษาสูงกว่าภาษาท้องถ่ินสามัญ หรือภาษา ปรากฤตทวั่ ๆไป ภาษาท่ีปรากฏในคัมภีร์พระเวททั้งสามน้ัน มีลักษณะภาษาเป็นคนละรุ่นไม่เหมือนกัน คําที่ปรากฏใน คัมภีรห์ นง่ึ จะไม่ปรากฏในคมั ภรี ห์ นึ่ง ทั้งนี้เพราะเหตุว่าพระเวทท้ังสามนั้นแต่ขึ้นในเวลาและสถานท่ีต่างกัน ใน เม่ือภาษาในคัมภีร์พระเวทแตกต่างกันเช่นนี้ จึงได้มีนักปราชญ์รวบรวมภาษาในพระเวทให้เป็นอันหนึ่งอัน เดียวกัน ตรงกันและเหมือนกันทุกคัมภีร์ นักปราชญ์ผู้รวบรวมเร่ืองดังกล่าวนี้มีชื่อว่า “ปาณินิ” ภาษาท่ีปาณินิ รวบรวม ปรับปรงุ และแต่งขึ้นใหม่ มชี ื่อเรียกว่า “ภาษาสันสกฤต” ภาษาสันสกฤตแปลตามรูปศัพท์ว่า ภาษาท่ี ปรุงแตง่ ขึน้ แลว้
๓๗ ความหมายของภาษาสนั สกฤต คําว่า “สันสกฤต” แยกเป็นศัพท์ สํ+ส+กฤต แปลว่าภาษาท่ีปรุงแต่งข้ึนเป็นอย่างดี ซึ่งมีความหมาย อยู่ ๒ อยา่ งคือ ๑. ความหมายอยา่ งแคบ หมายถงึ ภาษาสนั สกฤตแบบคลาสสิค ที่ปาณินิได้ปรุงแต่งมาจากภาษาพระ เวทและไดว้ างกฎไวยากรณ์ไวอ้ ย่างแน่นอนรดั กุม ๒. ความหมายอย่างกว้าง หมายถึงภาษาสันสกฤตแบบคลาสสิคและภาษาสันสกฤตสมัยก่อน คลาสสิคคือ ภาษาพระเวท ภาษาสนั สกฤตเป็นภาษาท่ีบคุ คลสรา้ งสรรคข์ ึน้ มา ไมไ่ ด้เกิดข้นึ เองตามธรรมชาติเหมือนภาษาปรากฤต ภาษาสันสกฤตมีอักษรเป็นของตัวเอง เรียกว่า “อักษรเทวนาครี” อักษรเทวนาครี มีลักษณะเป็นเส้นตรงและ เหลี่ยม เป็นอักษรของชาวอินเดียฝ่ายเหนือ ได้ดัดแปลงรูปอักษรมาจากอักษรพราหมีของพระเจ้าอโศก มหาราช สําหรับชาวอินเดียฝ่ายใต้ ก็มีรูปอักษรเป็นของตนเองเหมือนกัน เรียกว่า “อักษรคฤนถ์” ซึ่งมี รูปลักษณะกลมและมีหนามเตยของชาวอินเดียฝ่ายใต้ได้ดัดแปลงอักษรคฤนถ์นี้มาจากอักษรพราหมี เช่นเดียวกัน อักษรคฤนถ์น้ีมีอิทธิพลต่อการเกิดของอักษรมอญ พม่า เขมร ไทย และอักษรของประเทศใน เอเชียตะวนั ออกเฉียงใตด้ ว้ ย ลักษณะของภาษาบาลีและสนั สกฤต ภาษาบาลีเป็นลกั ษณะของภาษาทม่ี ีวิภัตติปจั จยั เชน่ เดียวกับภาษาสนั สกฤต สว่ นประกอบท่ีสาํ คญั ของ คําภาษาบาลีและสนั สกฤตนนั้ ประกอบดว้ ย ธาตุ วิภตั ติ ปจั จัย เพศ(ลงึ ค์) จํานวนนบั (วจนะ) บุรษุ เป็นตน้ แต่ในทน่ี จี้ ะไม่อธบิ ายในรายละเอียดของสว่ นประกอบดังกล่าว จะกล่าวเฉพาะท่ีเปน็ รปู ศัพท์ทสี่ ําเร็จเปน็ ศพั ท์ แลว้ ท่ภี าษาไทยยืมมาใช้ในปัจจุบนั ซึ่งลักษณะของภาษาบาลีประกอบดว้ ยพยัญชนะ ๓๓ ตัว และสระ ๘ ตวั ไม่มวี รรณยุกต์ ซงึ่ ลักษณะการนาํ คาํ มาใช้ในภาษาไทยได้กําหนดตามเกณฑ์ของภาษาไทย พยญั ชนะภาษาบาลมี ี ๓๓ ตัว (รวมทง้ั เศษวรรค ๘ ตัว) ดังนี้ กขคฆง จ ฉ ช ฌญ ฏ ฐ ฑฒณ ตถ ทธ น ปผพภม พยญั ชนะเศษวรรคมี ๘ ตวั ดังนี้ ยรลว ส ห ฬ อํ * สระภาษาบาลีมี ๘ ตวั ดังน้ี อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ภาษาสนั สกฤตมีพยญั ชนะ ๓๕ ตวั และสระ ๑๔ ตัว ดงั น้ี พยัญชนะภาษาสนั สกฤตมี ๓๕ ตัว ดังน้ี
๓๘ อโฆษะ โฆษะ ๑๒๓๔๕ สถิ ิล ธนติ สิถิล ธนติ อนุนาสิก วรรค ก เกิดจากฐานคอ ก ข ค ฆ ง (ห) วรรค จ เกิดจากเพดาน จ ฉ ช ฌ ญ (ศ ย) วรรค ฏ เกิดจากป่มุ เหงือก ฏ ฐ ฑ ฒ ณ (ร ษ ฬ) วรรค ต เกิดจากฐานฟัน ต ถ ท ธ น (ส ล) วรรค ป เกดิ จากฐานริมฝีปาก ป ผ พ ภ ม (ว) พยัญชนะเศษวรรคมี ๑๐ ตัว ดังนี้ ยรลวศ ษ ส ห ฬ อํ * สระภาษาสนั สกฤตมี ๑๔ ตัว ดงั น้ี อะ อา อิ อี อุ อู ฤ ฤา ฦ ฦา เอ ไอ โอ เอา จะเห็นไดว้ า่ ภาษาไทยรบั เอาพยญั ชนะภาษาสนั สกฤตมาใชท้ งั้ หมด และมกี ารคิดเพมิ่ เติมอีก ๑๐ ตัว คอื ฃฆ ซ ฎ ด บ ป ฝ ฟ ฮ และ อ (ตัว อ ไดน้ ํามาใช้ในรปู นิคหติ ) การออกเสียงพยญั ชนะ การออกเสียงพยญั ชนะภาษาบาลี – สันสกฤต มดี งั น้ี พยัญชนะเด่ียว แบ่งออกเป็น ๒ ชนิดโดยหน้าท่ี คือ พยัญชนะต้น พยัญชนะสะกด พยัญชนะต้น คือ พยัญชนะเดี่ยวที่อยู่ต้นคํา กลางคํา หรือท้ายคํา ซึ่งไม่ได้ทําหน้าท่ีเป็นตัวสะกด มีลักษณะการออกเสียงแบบ เสยี งก้อง ไม่ก้อง (อโฆษะ – โฆษะ) พยญั ชนะที่ออกเสยี งไมก่ อ้ งเรยี กวา่ “อโฆษะ” ได้แก่ พยัญชนะวรรคแถวที่ ๑ – ๒ และพยัญชนะอวรรคคือ ส ศ ษ สําหรับเคร่ืองหมายวิสรฺค น้ันออกเสียงไม่ก้องและหนักด้วยส่วน พยญั ชนะทอี่ อกเสียงกอ้ งเรียกวา่ “โฆษะ” ไดแ้ กพ่ ยญั ชนะวรรคแถวที่ ๓ - ๔ - ๕ และพยัญชนะอวรรคคือ ย ร ล ว ส ห ฬ อํเสียงเบากับเสียงหนัก (สถิล – ธนิต) พยัญชนะที่ออกเสียงเบาเรียกว่า “สถิล”ได้แก่พยัญชนะ วรรค คือ ศ ษ ส ย ร ล ว ฬ พยญั ชนะทีอ่ อกเสียงหนักเรียกว่า “ธนิต” ได้แก่พยัญชนะวรรคแถวท่ี ๒ ๔ และ ห เสยี งข้ึนจมกู (อนนุ าสิก) พยัญชนะทอี่ อกเสยี งข้ึนจมกู เรยี กว่า “อนุนาสิก” ได้แก่พยัญชนะแถวที่ ๕ เรียกอีก อย่างหนึ่งว่า “พยัญชนะวัคคานตะ” (วัคคะ + อันตะ) แปลว่า พยัญชนะวรรคตัวสุดท้าย พยัญชนะวรรคตัว สดุ ท้ายออกเสียงขนึ้ จมกู ท่เี รยี กวา่ “อนนุ าสิก” (ตามจมกู ) นั่นเอง พยัญชนะสะกด พยัญชนะตัวสะกดออกเสียงสองแบบ แบบแรกเรียกว่า “นิคหิต” (ฐํ)ภาษาบาลีจัด นคิ หิตไว้ในระบบเสียงพยัญชนะ ทาํ หนา้ ท่ีเป็นพยญั ชนะตวั สะกดอยา่ งเดยี ว ไม่นิยมเป็นพยัญชนะต้น บาลีออก เสียงเป็นตัว ง สะกด เช่น พุทฺธํ อ่านว่า พุด – ทัง, ธมฺมํ อ่านว่า ทัม – มัง เป็นต้น ส่วนภาษาสันสกฤตจัด นิคหิตไวใ้ นระบบเสียงสระ ออกเสียงเปน็ ม สะกด เช่น พุทฺธํม อ่านว่า พุด – ทัม, ธมฺมํ อ่านว่า ทัม – มัม เป็น ต้น ถ้ามีคําอื่นตามมานิคหิตจะเปล่ียนเป็นพยัญชนะตัวที่ ๕ ท่ีเรียกว่าพยัญชนะท้ายวรรค ส่วนจะเปลี่ยนเป็น พยัญชนะทา้ ยวรรคใดนั้น ให้ดูพยัญชนะตัวแรกของคําที่ตามมา เช่น สํ + ผสฺส – สมฺผสฺส (การแตะต้อง), สํ + ตาน – สนฺตาน (การสืบต่อ) เป็นต้น แบบที่สองเรียกว่า “พยัญชนะการันต์” หมายถึงพยัญชนะตัวสุดท้ายคํา เช่น มนสฺ (ใจ) สฺ เป็นพยัญชนะการันต์ ซึ่งพยัญชนะการันต์มีใช้ในสันสกฤต ภาษาบาลีมีเฉพาะสระการันต์
๓๙ อย่างเดยี ว เชน่ มน (ใจ) จัดเปน็ อะ การันต์ พยัญชนะการันต์เมื่อยู่ท้ายศัพท์ไม่ออกเสียงเวลาเขียนด้วยอักษะ โรมันไม่มีสระกํากับอยู่ เช่น มนสฺ อ่านว่า มะ – นัด ไม่ออกเสียงเป็น มะ – นัด – สะ เป็นต้น พยัญชนะการ รันต์ในภาษาสันสกฤตมีมาก แต่ใช้บ่อย ๓ ตวั คอื ตฺ นฺ สฺ การนั ต์ พยัญชนะต้นและพยัญชนะตัวสะกดท่ีกล่าวมาน้ันแล้วล้วนเป็นพยัญชนะเด่ียวที่ทําหน้าที่เป็น พยัญชนะต้นและตัวสะกด ภาษาบาลีสันสกฤตมีการใช้พยัญชนะคู่ คือ พยัญชนะที่มาด้วยกัน ๒ ตัว หรือ มากกวา่ น้ันในคาํ เดยี ว พยญั ชนะคู่ในภาษาบาลสี ันสกฤตมีลักษณะแตกต่างกันหลายประการ พยัญชนะคใู่ นภาษาบาลี – สันสกฤต พยัญชนะคู่ หมายถึงพยัญชนะท่ีมาด้วยกัน ๒ ตัว เช่น กฺก ในคําว่า สกฺก (สามารถ) ตฺย ในคําว่า สตฺย (ความจริง) เป็นต้น พยัญชนะคู่ในบาลีและสันสกฤตแบ่งออกเป็น ๒ ชนิด คือ พยัญชนะซ้อนและพยัญชนะ ประสม พยญั ชนะซ้อน หมายถงึ พยัญชนะท่ีมาด้วยกัน ๒ ตัว และพยัญชนะที่มาด้วยกัน ๒ ตัวน้ันต้องมีฐานท่ี เกิดเดยี วกนั และเป็นอโฆษะหรือโฆษะด้วยกนั จะมฐี านเกดิ ต่างกนั และเปน็ อโฆษะหรือโฆษะต่างกันไม่ได้ และมี ข้อกําหนดว่า พยัญชนะวรรคแถวท่ี ๑ ๓ ๕ เป็นตัวสะกดก็ได้ เป็นตัวตามก็ได้ ส่วนพยัญชนะแถวท่ี ๒ ๔ เป็นได้เฉพาะตวั ตามเท่านั้น เป็นตัวสะกดไมไ่ ด้ พยัญชนะซอ้ นมีหลักเกณฑด์ งั น้ี ๑. พยญั ชนะวรรคแถวท่ี ๑ สะกด พยญั ชนะแถวท่ี ๑ หรือแถวที่ ๒ ตามได้ เช่น สกฺก ทุกฺข สัจฺจ อจฉฺ ริย อตตฺ อตฺถ กปฺป ปุปผฺ เปน็ ตน้ ๒. พยัญชนะวรรคแถวท่ี ๓ สะกด พยญั ชนะแถวท่ี ๓ หรอื แถวที่ ๔ ตามได้ เช่น อคฺค อคฺฆ มชฺช วชฺฌ สททฺ สทฺธ สพพฺ คพภฺ เปน็ ตน้ ๓. พยญั ชนะวรรคแถวท่ี ๕ สะกด พยัญชนะวรรคอ่ืนๆ แต่ละวรรคตามได้ เช่น สงฺกา สงฺข องฺค สงฆฺ สญฺจย สญฉฺ วิ สญฺชย สญฺญา สนฺต สนถฺ ว อินทฺ ขนฺธ ปณณฺ สมฺผสฺส ธมฺม เปน็ ต้น ๔. พยญั ชนะอวรรคหรือเศษวรรค เป็นการซ้อนพยัญชนะเดียวกัน คือซ้อนตัวเอง เช่น ยฺย ในคํา ว่า อยฺยกา อธปิ เตยฺย วิเนยฺย ลลฺ ในคาํ ว่า สลฺล สสฺ ในคําว่า วสฺส สิสฺส มนุสฺส อิสฺสา หสฺส เป็นต้น ส่วน ร ฬ ว ห ไม่นิยมซ้อนตัวเอง พยัญชนะซ้อนมีใช้ในภาษาบาลี ถ้าภาษาสันสกฤตมีคําท่ีมีลักษณะเป็นพยัญชนะซ้อน เช่นนี้ ก็ถือว่าสันสกฤตยืมบาลีมาใช้ พยัญชนะต้นทําหน้าท่ีเป็นตัวสะกดและตัวตามเท่าน้ัน จะทําหน้าท่ีเป็น พยัญชนะตน้ คําไม่ไดเ้ พราะพยญั ชนะซ้อนตัวแรกมสี ระเกาะ หากตอ้ งการใชจ้ ริงๆ ให้แทรกสระท่ีพยัญชนะซ้อน ตัวแรกให้ออกเสียงสระได้ เช่น นฺหาน ออกเสียงเป็น นะ-หา-นะ เป็นต้น หรือถ้ามีการกลมกลืนเสียงจาก พยัญชนะประสมในสันสกฤตเปน็ บาลี พยัญชนะซ้อนตัวแรกจึงลบทิ้งไป เช่น ธฺย เป็น ชฺฌ ในคําว่า ธฺยาน เป็น ฌาน (ฌาน) ชฺ ตดั ท้งิ ไป หรือ ศยฺ เป็น สสฺ ในคําว่า ศฺยาม เป็น สาม (สนี าํ้ ตาล, ดํา) สฺ ตวั แรกตัดทิ้งไป เป็นต้น พยัญชนะประสม หมายถึงพยญั ชนะ ๒ ตัวมาด้วยกัน มีฐานเกิดต่างกัน แต่เป็นอโฆษะหรือโฆษะ อยา่ งเดียวกนั คอื ต้องเป็นอโฆษะท้ังสองตัว หรือโฆษะทั้งสองตัว จะต่างกันไม่ได้ ยกเว้นพยัญชนะเสียงอ่อนมา ข้างหนา้ หรือข้างหลงั พยัญชนะเสยี งแขง็ ไม่กําหนดเร่ืองพยัญชนะอโฆษะหรือโฆษะ พยัญชนะเสียงอ่อนได้แก่ ง ญ ณ น ม และ ย ร ล ว นอกนัน้ เป็นพยัญชนะเสยี งแขง็ ๑. พยญั ชนะอโฆษะมาด้วยกัน เชน่ ตฺก (สตฺการ – สกั การะ) กตฺ (มกุ ฺต – มกุ ดา) ปตฺ (สปตฺ – สปั ดาห)์ ตฺป (อตุ ฺปล – อบุ ล) ษฎฺ (อษฺฎ – แปด) ศจฺ (ปศฺจิม) สตฺ (วสตฺ ุ – วัสดุ) เปน็ ต้น ๒. พยญั ชนะโฆษะมาดว้ ยกนั เช่น
๔๐ คฺธ (สฺนคิ ฺธ – เรียบ) ทฺค (ปทุ ฺคล – บคุ คล) ทฺฆ (อทุ ฺโฆษ – ประกาศ) พฺท (ศพทฺ – เสียง) พฺธ (ลพฺธ – ได้รบั ) เป็นตน้ ๓. พยัญชนะเสียงอ่อนมาข้างหน้าหรือข้างหลังพยัญชนะเสียงแข็ง ไม่กําหนดเร่ืองพยัญชนะ อโฆษะหรอื โฆษะ ๔. พยัญชนะเสยี งออ่ นมาขา้ งหลงั พยัญชนะเสยี งแขง็ ท่เี ป็นอโฆษะ เช่น กยฺ (เลากยฺ – โลก) ตยฺ (สตฺย – ความจริง) ถฺย (มถิ ยฺ า – ความผิด) กฺร (ศุกร – วันศกุ ร์) ตฺร (วกฺตรฺ – หน้า) ศนฺ (ปฺรศนฺ – คาํ ถาม) ษณฺ (ปารษฺ ฺณิ – สน้ เทา้ ) สฺน (สนฺ าน – การอาบนํ้า) สมฺ (วิสฺมย – ประหลาดใจ ส.) เป็นต้น ๕. พยัญชนะเสียงอ่อนมาขา้ งหน้าพยญั ชนะเสียงแข็งทเี่ ปน็ อโฆษะ เช่น สกฺ (อุลกฺ า – คบไฟ) ลฺป (กลฺป – กปั กลั ป)์ (ศลิ ปฺ – ศิลปะ) รฺถ (สมรฺถ – สามารถ) รตฺ (วรฺต– การหมุนเวยี น) รฺจ (อรฺจิ – เปลวไฟ) รปฺ (สรปฺ – ง)ู (สรปฺ ิ – เนยใส) เปน็ ต้น ๖. พยญั ชนะเสยี งออ่ นมาขา้ งหลงั พยัญชนะเสียงแข็งทเี่ ปน็ โฆษะ เชน่ รคฺ (วรฺค – พรรคพวก) รฺฆ (อรฆฺ – มีคา่ ) รชฺ (ครชฺ ิต – คํารามแล้ว) รภฺ (ครภฺ – ครรภ)์ ๗. พยัญชนะประสมมใี ชใ้ นภาษาสนั สกฤต ภาษาบาลียมื คําประสมของสนั สกฤตมาใช้เหมือนกนั เช่น วยฺ คฆฺ (เสือ) วฺยาปาท (พยาบาท) วฺยญฺชน (พยญั ชนะ) วฺยากรณ (ไวยากรณ์) ทวฺ าร (ประตู) ทวฺ ิ (สอง) พฺยาธิ (พยาธิ) พรฺ หมฺ (พรหม) พรฺ าหมฺ ณ (พราหมณ์) เป็นตน้ ความแตกต่างระหวา่ งภาษาบาลแี ละสนั สกฤต ภาษาบาลีและสนั สกฤตมคี วามแตกต่างด้านเสียงสระและพยญั ชนะหลายประการดงั น้ี สระเดยี่ ว มีลักษณะตา่ งกันด้วยการใชเ้ สยี งสระที่ตนเองมอี ยู่แทนเสยี งสระที่ตนเองไม่มี ภาษาบาลีไม่มี เสยี ง ฤ จึงใชเ้ สียงสระ อะ อิ อุ แทนเสยี ง ฤ ในสันสกฤตดังนี้ ภาษาสนั สกฤตใช้เสยี ง ฤ บาลใี ชเ้ สยี ง อะ ตัวอยา่ งเชน่ บาลี สันสกฤต หทย (หัวใจ) หฤทยั คห (บา้ น) คฤห กต (ทาํ แล้ว) กฤต มต (ตายแลว้ ) มฤต
มฤตฺยุ ๔๑ ตฤษณฺ ปฤถวฺ ี มจฺจุ (ความตาย นฤตฺย ตณหฺ า (ความอยาก) คฤหสฺถ ปฐวี (แผน่ ดนิ ) วฤติ นจจฺ (การฟ้อนรํา) กฤษฺณ คหฏฐ (ผูค้ รองเรือน) วติ (รว้ั ) ภาษาสนั สกฤตใช้เสียง ฤ บาลีใชเ้ สียง อิ เชน่ กณหฺ (ดํา) สันสกฤต กฤตฺย บาลี กฤมิ กิจฺจ (กิจ) ตฤณ กิมิ (หนอน) มฤค ตณิ (หญา้ ) ปฤษฏฺ มิค (กวาง) ทฤษฺฏิ ปฏิ ฐ (หลงั ) ฤทฺธิ ทฏิ ฐ (ความเหน็ ) ฤษิ อิทฺธิ (อาํ นาจ) วฤศฺจิก อิสิ (ฤาษี) ศฤงฺคาร วจิ ฉฺ ิก (แมลงป่อง) ฤณ สิงคฺ าร (ทรพั ย์สมบตั )ิ ฤกฺษ อิณ (หน้ี) อกิ ขฺ (เวลาที่เปน็ มงคล) ภาษาสันสกฤตใชเ้ สยี ง ฤ บาลีใชเ้ สยี ง อุ เช่น สนั สกฤต บาลี วฤกฺษ รกุ ฺข (ต้นไม)้ วฤทธฺ ิ วฑุ ฒฺ ิ (ความเจรญิ ) วฤทฺธ วุฑฒฺ (เจรญิ แลว้ ) วฤตฺติ วตุ ฺติ (ความประพฤติ) ฤตุ อตุ ุ (ฤดูกาล) ปิตฤ ปติ ุ (พ่อ) มาตฤ มาตุ (แม่) ปฤจฉฺ า ปุจฺฉา (คาํ ถาม) มฤษา มสุ า (ความหลอกลวง) มฤทุ มทุ ุ (ความอ่อนโยน) สมฺฤติ สติ (ความระลึกได้) ฤชุ อุชุ (ความซ่ือตรง) วฤษภฺ อุสภ (ววั ตัวผู้)
๔๒ ภาษาบาลีใชส้ ระเสียงส้นั สว่ นคําภาษาสันสกฤตทีม่ ีพยญั ชนะประสมมากบั เสียงยาว เมอื่ มกี ารกลมกลืน เสียงเป็นพยญั ชนะซ้อน สระเสียงยาวในสันสกฤตจะกลายเปน็ สระเสยี งสัน้ ในภาษาบาลี ดังน้ี สันสกฤต บาลี กานตฺ ิ กนฺติ (ความรัก) กานตฺ กนตฺ (รกั แล้ว) คานถฺ คนถฺ (คัมภีร,์ หนงั สือ) ธานฺย ธญฺญ (เมล็ดข้าว) สามานฺย สามญญฺ (ธรรมดา) ปาตรฺ ปตฺต (บาตร) ปรฺ าปตฺ ปตตฺ (ถึงแล้ว) วฺยาฆร พฺยคฺฆ (เสอื โคร่ง) ศานตฺ ิ สนตฺ ิ (ความสงบ) ศานฺต สนฺต (สงบแล้ว) ราษฺฎร รฏฐ (แวน่ แควน้ ) อาตมฺ นฺ อตตฺ (ตวั ตน) อี กีรฺติ อิ กิตฺติ (ชอ่ื เสียง) อปี ฺสา อิจฉฺ า (ความปรารถนา) อีรฺษยฺ า อสิ ฺสา (ความริษยา) อศี ฺวร อิสฺสร (ความเป็นใหญ่) ครษี มฺ คิมหฺ (ฤดูร้อน) อู พยฺ หู อุ พยหุ (กองทัพ) ศทู รฺ สทุ ฺท (คนวรรณะตํ่าของอนิ เดีย) ศนู ฺย สญุ ญฺ (ความวา่ งเปล่า) สถลู ถุลลฺ (ความหยาบคาย) มหุ ูรตฺ มุหตุ ตฺ (ชั่วคราว) คําภาษาสันสกฤตท่ีมีพยัญชนะประสมมากับเสียงยาว เมอ่ื มีการแทรกเสียงในภาษาบาลเี สียงยาวในคํา ภาษาสันสกฤตจะกลายเป็นเสียงส้นั ในภาษาบาลี ดงั น้ี สนั สกฤต บาลี อา อารยฺ อะ อรยิ (เจรญิ ) อาจารฺย อาจริย (อาจารย)์ จารยฺ จริย (ความประพฤติ) อี อรี ยฺ า อิ อิริยา (การเคลอื่ นไหว) วรี ยฺ า วิรยิ (ความเพียร) อู ตรู ยฺ อุ ตุรยิ (เครื่องดนตร)ี สรู ฺย สรุ ิย (พระอาทิตย์)
๔๓ ภาษาบาลใี ช้สระเด่ยี ว แต่สันสกฤตใชส้ ระประสม ดังน้ี ภาษาบาลีใชส้ ระ อิ สันสกฤตใชส้ ระ ไอ หรือ เอ บาลี สันสกฤต อิ สนิ ฺธว ไอ ไสนฺธว (มา้ สินธพ,เกลือสินเธาว)์ วิสาข ไวศาข (เดือนหก) วิโรจน ไวโรจน (ความรุ่งเรอื ง) อิ กเิ ลส เอ เกลฺ ศ (ความเศร้าหมอง) สิเนห เสนฺ ห (ความรกั ) ภาษาบาลแี ละสันสกฤตใช้ อิ ตรงกัน ดงั น้ี สนั สกฤต บาลี อิ ทวิ ยฺ (ท่ีเป็นทิพย)์ อิ ทพิ ฺพ นจิ ฺจ นิตฺย (เสมอ,ต่อเน่ืองกัน) มติ ตฺ มติ รฺ (เพื่อน) ภาษาบาลใี ชส้ ระ อุ สันสกฤตใช้สระ โอ หรอื เอา ดงั นี้ บาลี สนั สกฤต อุ มหุสฺสว โอ มโหตฺสว (มหรสพ) อทุ ธฺ จฺจ (ความฟุ้งซ่าน) เอา เอาทฺธตฺย (ความหยงิ่ ,ความกล้า) ภาษาบาลีและสนั สกฤตใช้สระ อุ ตรงกนั ดงั น้ี บาลี สันสกฤต อุ กฏุ ฐ อุ กุษฺฐา (โรคเรื่อน) ทกุ ขฺ ทุหฺข (ความทกุ ข)์ สุข สุข (ความสุข) การเลือกใช้เสียงสระคนละเสียง ทง้ั ทีต่ ่างกม็ เี สยี งสระนั้นๆ ใชด้ ้วย เช่น บาลี สันสกฤต อ กากณิกา อี กากีณิกา (มาตราเงินอยา่ งตํ่า) โปกขฺ รณี ปษุ ฺกรณิ ี (สระบัว) อ ครุ อุ ครุ ุ (ครู) อา ตริ จฉฺ าน อี ตีรศฺจนี (สตั วเ์ ดยี รฉาน) อา ปปผฺ าส อุ ปุปฺผาน (ปอด) อิ ปุรสิ อุ ปรุ ุษ (บุรุษ)
๔๔ สระผสมได้แกส่ ระทมี่ ีที่เกดิ สองฐาน บาลไี ด้แก่ เอ โอ สันสกฤตได้แก่ เอ ไอ โอ เอา ภาษาทงั้ สองต่างกัน ด้วยเสยี งสระผสม ดงั นี้ บาลี สันสกฤต เอ เกวล ไอ ไกวลฺย (อย่างเดียว,ส้ินเชงิ ) เกลาส ไกลาส (ภูเขาไกลาส) เจติย ไจตฺย (เจดีย)์ เชฏฐ ไชฺยษฐฺ (พ่)ี เมถุน ไมถุน (การรว่ มเพศ) เมรย ไมเรย (ของมึนเมา) เสล ไศล (ภูเขา) เวฬุรยิ ไวฑรู ยฺ (แก้วไพฑรู ย)์ เวสฺส ไวศยฺ (ชนชน้ั พอ่ คา้ ชนวรรณะที่ ๓ ของฮนิ ดู) เวชฺช ไวทฺย (แพทย์) เวร ไวร (เวร) เวรี ไวรี (คนมีเวร) เสนยิ ไสนฺย (ทหาร,กองทัพ) เวปุลฺล ไวปุลยฺ (ความเต็ม,ความใหญ)่ เมตฺตา ไมตรฺ (ความเมตตา) ภาษาบาลีและสนั สกฤตใช้ เอ ตรงกนั ดงั นี้ สันสกฤต บาลี เอ เตช (ความร้อน,อํานาจ) เอ เตช เปม เปรมนฺ (ความรกั ) เกส เกศ (ผม) ภาษาบาลีใช้เสียงสระ โอ สนั สกฤตใชเ้ สยี งสระ เอา ดังนี้ บาลี สนั สกฤต โอ โรค เอา โรค (โรค) โยธ โยธ (นกั รบ) โอรส เอารส (ลกู ชาย) เสยี งพยญั ชนะภาษาบาลีและสันสกฤตแตกตา่ งกนั ดงั ต่อน้ี การใชเ้ สียงพยญั ชนะเท่าทีม่ ีอยู่แทนเสียงพยัญชนะที่ตนไม่มี บาลใี ช้ ส ตวั เดียวไมม่ ี ศ ษ สว่ นสันสกฤต ใชท้ ้งั ๓ ตวั คอื ส ศ ษ เพราะฉะน้นั บาลีใช้ ส แทน ศ ษ ในสนั สกฤต ดังนี้ บาลี สันสกฤต ส สีส ศ ศรี ฺษ (หวั ) สลี ศีล (ศลี ) สาสนา ศาสนา (ศาสนา) สาลา ศาลา (ศาลา)
๔๕ สรรี ศรรี (รา่ งกาย) สต ศต (ร้อย) สลากา ศลากา (ซี่กรง,ลกู ธน)ู สตี ศตี (หนาว,เยน็ ) สร ศร (สระ,ลกู ศร) สทธฺ ศรทฺธา (ความเชอื่ ) เสฏฐี เศรษฺฐี (คนมเี งนิ ) สณฺห ศลกฺษณ (เรียบ,เกลย้ี ง) เสมหฺ เศฺลษมฺ นฺ (เสมหะ) สกุ ฺก ศกุ ฺล (ขาวสะอาด) สุนข ศนุ ก (หมา) ส กาสาว ษ กาษาย (ผา้ ย้อมฝาด) ปุรสิ ปรุ ุษ (บรุ ุษ) ปรสิ า ปรษิ ทฺ (บริษัท) วิสย วิษย (วสิ ัย) วสิ วิษ (พษิ ) วเิ สส วิเศษ (วเิ ศษ) วิเสสน วิเศษณ (วิเศษณ)์ สณฺฑ ษณฺฑ (หม่,ู กอง) อุคฺโฆส อทุ โฺ ฆษ (กึกกอ้ ง) ภาษาบาลแี ละสันสกฤตใช้ ส ตรงกนั ดังน้ี สันสกฤต บาลี ส สโรช (ดอกบัว) ส สโรช สามี สฺวามนิ ฺ (เจ้าของ,นาย) สาธุ สาธุ (ดี มีคณุ ธรรม) ภาษาสันสกฤตใช้พยัญชนะเสียง ศ บาลใี ช้พยญั ชนะตัว ฉ ดังน้ี สันสกฤต บาลี ศ ศว ฉ ฉว (ศพ) ศาว ฉาป (ลูกสัตว)์ พยญั ชนะรูป ฬ มที ัง้ บาลีและสนั สกฤต ภาษาสนั สกฤตไม่ใช้ ฬ แตก่ ลับใชพ้ ยัญชนะ ฑ ฏ ล ฒ หรอื ณ ฤ แทน ดังนี้ บาลี สนั สกฤต ฬ จุฬา ฑ จุฑา (หวั ,ยอด,จกุ ) กฬี า กรีฑา (การเล่น) ครฬุ ครฑุ (ครุฑ) บีฬ ปีฑ (เบยี ดเบยี น)
๔๖ คฬุ คุฑ (น้อยอ้อยงบ) นฬการ นฑการ (ช่างสาร) พฬิ าร วฑิ าร (แมว) ลคุฬ ลคุฑ (ไมต้ ะบอง,คทา) ลักษณะการใช้คําบาลีและสันสกฤตทแ่ี ตกตา่ งกัน คาํ บาลีและสันสกฤต มลี กั ษณะการใช้คําทีแ่ ตกต่างกันดังน้ี ๑. บาลีใชค้ าํ เดยี วมีความหมายหลายอยา่ ง สนั สกฤตใชแ้ ตล่ ะคําแตล่ ะความหมาย ดังนี้ ๑.๑ สตฺต บาลใี ช้ในความหมาย ๓ อยา่ ง คือ สัตว์ เจด็ สาบแลว้ สันสกฤตใช้แต่ละคําแตล่ ะความหมาย ดงั น้ี สัตว์ ใช้คาํ ว่า สตตฺ ฺว เจ็ด ใช้คําว่า สปตฺ สาบแลว้ ใช้คาํ ว่า ศาปตฺ ๑.๒ สร บาลีใช้ในความหมาย ๓ อย่าง คอื สระน้ํา ศร เสียง สนั สกฤตใช้แต่ละคาํ แตล่ ะความหมาย ดงั น้ี สระนํ้า ใชค้ าํ วา่ สรสฺ ศร ใชค้ าํ วา่ ศร เสยี ง ใช้คําวา่ สวฺ ร ๑.๓ ปตตฺ บาลใี ช้ในความหมาย ๓ อย่าง คอื ใบไม้ ภาชนะใส่น้าํ ดื่ม ถึงแล้ว สนั สกฤตใช้แต่ละคําแต่ละความหมาย ดงั นี้ ใบไม้ ใช้คําวา่ ปตรฺ ภาชนะใสน่ า้ํ ดื่ม ใช้คําวา่ ปาตฺร ถงึ แล้ว ใชค้ ําว่า ปฺราปฺต ๑.๔ สตถฺ บาลใี ช้ในความหมาย ๓ อย่าง คอื อาวุธ มดี ดาบ คาํ สอน ความรู้ กองเกวยี น สนั สกฤตใชแ้ ต่ละคาํ แต่ละความหมาย ดังนี้ อาวุธ มีด ดาบ ใช้คําวา่ ศสฺตรฺ คาํ สอน ความรู้ ใชค้ ําวา่ ศาสฺตรฺ กองเกวียน ใช้คาํ ว่า สารฺถ ๑.๕ โทส บาลใี ช้ในความหมาย ๒ อย่าง คอื ความเคียดแค้นชิงชัง ความผิด สนั สกฤตใช้แต่ละคําแต่ละความหมาย ดังนี้ ความเคียดแคน้ ชงิ ชัง ใช้คําว่า เทวฺ ษ ความผดิ ใช้คําวา่ โทษ ๒. บาลใี ชห้ ลายคําในความหมายเดยี วกัน แต่สันสกฤตใช้คําเดียวในหน่งึ ความหมาย ดงั นี้ บาลี สันสกฤต อาคาร อคาร อคฺค (บา้ นเรอื น) อคาร (บ้านเรือน) จลุ ฺล จูฬ (เล็ก) กฺษุลฺล (เล็ก) สุณีสา สุณหา (ลกู สะใภ้) สนฺ ษุ า (ลกู สะใภ)้ ปญญฺ าส ปณฺณาส (หา้ สบิ ) ปญจฺ าศตฺ (ห้าสิบ)
๔๗ ๓. บาลีใชร้ ปู คําเดยี วกบั สันสกฤต คือใช้พยัญชนะประสม เชน่ บ,ส ทวาร (ประต)ู บ,ส วฺยาปาท (พยาบาท) บ,ส วยฺ หู (กองทัพ) บ,ส พรฺ าหฺมณ (พราหมณ)์ บ,ส วยฺ ญฺชน (พยญั ชนะ) บ,ส ทฺวิ (สอง) บ,ส วยฺ าธิ (พยาธิ) บ,ส พฺรหฺม (พรหม) บ,ส วยฺ คฺฆ (เสือ) บ,ส วยฺ ากรณ (ไวยากรณ)์ ๔. ใชอ้ ปุ สรรคตา่ งกันแต่มีความหมายเหมือนกัน ดงั น้ี บ. อธปิ ฺปาย ความมงุ่ หมาย ความหมาย ส. อภปิ ราย ความมงุ่ หมาย ความหมาย บ. อตริ าช พระราชาผ้สู งู สุด ส. อธริ าช พระราชาผ้สู ูงสุด คําภาษาบาลีและสันสกฤตทีม่ ีความหมายแตกตา่ งกนั ลกั ษณะความแตกตา่ งกนั ในดา้ นความหมายของคําบาลสี ันสกฤตมีน้อยมาก บาลีสันสกฤตส่วนใหญ่จะมี ความหมายเหมือนกัน ท่ีแตกต่างกันนั้นคือด้านเสียง ความหมายของบาลีสันสกฤตมิใช่ว่าจะเหมือนกันทุกคํา หมด ทีแ่ ตกต่างกนั ก็มีบ้างเล็กน้อย ดงั น้ี ๑. คําบาลีสันสกฤตใช้ความหมายต่างกนั ไปคนละทาง เช่น บาลี สันสกฤต สามคคฺ ี (เอกฉันท์,การรว่ มพร้อม) สามครฺ ี (เคร่ืองมอื ,เครื่องใช้ท่ีรว่ มอยู่พร้อม) อทุ ธฺ จฺจ (ความฟุ้งซา่ น) เอาทธฺ ตยฺ (ความหยงิ่ ความกลา้ ) ๒. คาํ สันสกฤตมคี วามหมายเพมิ่ ขึ้นอกี ความหมายหนึ่ง นอกเหนอื ไปจากความหมายเดิมแต่บาลีไมม่ ี เช่น ศลฺ กษณฺ (ล่ืน เรียบ อ่อนนุ่ม) ความหมายท่เี พ่มิ ขน้ึ คือ ซ่อื ตรง (ส.) สญชฺ ญฺ า (ความร)ู้ ความหมายทีเ่ พิ่มข้ึนคือ การตกลงกัน (ส.) อุษฺณ (ร้อน) ความหมายท่เี พม่ิ ข้นึ คือ อารมณ์ทร่ี ้อนแรง (ส.) ๓. บาลีมีคําเพ่ิมข้นึ แต่สนั สกฤตไมม่ ี ปณณฺ าการ (สาส์นพเิ ศษ ของขวญั ส.) เววจน (คาํ ทีม่ ีความหมายเหมือนกนั ส.) ภาษาบาลสี ันสกฤตเหมือนกันในด้านระบบเสียงคอื มีระบบเสยี งสระ พยญั ชนะเหมือนกัน แตท่ ่แี ตกต่าง กนั นั้นในรปู สระและพยัญชนะบางตวั ภาษาท้งั สองไม่มรี ะบบเสียงวรรณยุกตเ์ หมือนภาษาไทย บาลสี นั สกฤต แตกตา่ งกนั สว่ นใหญใ่ นดา้ นเสียง ทัง้ เสยี งสระและพยัญชนะ รวมถึงลักษณะคาํ ท่ีออกเสยี งต่างกนั ด้วย แต่ความ แตกต่างกันดา้ นความหมายของภาษาบาลแี ละสันสกฤตมีน้อยมาก (พฒั น์ เพง็ ผลา,๒๕๓๕) ความแตกตา่ งของภาษาบาลีและสันสกฤตกบั ภาษาไทย เน่ืองจากตระกูลของภาษาบาลีสันสกฤตกับภาษาไทยมีความแตกต่างกันคือ ภาษาบาลีสันสกฤตจัดอยู่ ในภาษาตระกูลที่มีวิภัตติปัจจัย ซ่ึงหมายความว่าภาษาท่ีมีคําเดิมหรือรากศัพท์เป็นธาตุ (Root) เมื่อประใช้คํา ใดในภาษาต้องแปลรูปคําของธาตุด้วยวิธีประกอบคํา โดยเดิมปัจจัยให้เป็นศัพท์ แล้วเอาคําศัพท์มา ประกอบด้วยวิภัตติให้เป็นบท หนังจากน้ันจึงนําไปเรียงเข้าประโยคในตําแหน่งที่เหมาะสม วิภัตติจะเป็น
๔๘ ตัวกําหนดบทให้รู้หน้าที่ของคําว่าทําหน้าที่อะไรในประโยค เช่น ทําหน้าท่ีเป็นบทประธาน บทกรรม เป็นต้น ภาษาท่ีมีวิภัตติปัจจัยจึงมีส่วนสําคัญที่จะต้องเข้าใจเกี่ยวกับธาตุ ปัจจัย และวิภัตติ ส่วนภาษาไทยจัดอยู่ใน ภาษาตระกูลคําโดด กล่าวคอื ภาษาท่ีนําคําต้ังหรือคํามูลมาเรียงคําดับกันเข้าเป็นประโยค คงรูปคําเหมือนเดิม ไม่เปล่ียนแปลง มีรูปอย่างไรก็คงรูปอย่างนั้น แยกโดดๆ เป็นคําๆ ออกไป เมื่อสลับตําแหน่งของคําในประโยค ความหมายก็จะเปล่ียนไป ดังนั้นภาษาบาลีสันสกฤตกับภาษาไทยจึงมีความแตกต่างกัน ซึ่งจะเปรียบเทียบให้ เหน็ ไดด้ งั ต่อไปนี้ ๑. ความแตกต่างทางด้านเสียง ในภาษาบาลีสันสกฤต มีเสียงท่ีสําคัญอยู่เพียง ๒ เสียง คือ เสียงสระ และเสียงพยัญชนะ แต่เสียงในภาษาไทยจะมีเสียงสําคัญอยู่ ๓ เสียง คือ เสียงสระ เสียงพยัญชนะ และเสียง วรรณยกุ ต์ เสียงสระในภาษาบาลีมีเสียงสระอยู่ ๘ เสียง คือ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ส่วนในภาษาสันสกฤตมี เสียงสระอยู่ ๑๔ เสียง คือ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ไอ เอา ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ เสียงสระในภาษาบาลีและสันสกฤต ทง้ั หมดเหลา่ นเ้ี ปน็ สระแท้ (สระเดี่ยว) ๑๐ เสียง คือ อะ อา อิ อี อุ อู ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ และเป็นเสียงสระประสม เพยี ง ๔ เสยี ง คอื เอ ไอ โอ เอา แต่เสียงสะรในภาษาไทยมี ๒๔ เสียง (ไม่นับเสียงเกินอีก ๘ เสียง) ซึ่งจัดเป็นสระแท้ ๑๘ เสียง คือ อะ อา อิ อี อึ อื อุ อู เอะ เอ แอะ แอ โอะ โอ เออะ เออ เอาะ ออ และสระประสมเพียง ๖ เสียง คือ เอียะ เอยี เอือะ เอือ อัวะ อวั ดังน้นั จะเห็นได้วา่ สระแทใ้ นภาษาบาลีสันสกฤตตรงกบั สระแท้ในภาษาไทย ๖ เสียง คือ อะ อา อิ อี อุ อู และในภาษาไทยยังมีสระแท้มากกว่าสระแท้ของภาษาบาลีสันสกฤตอีก ๑๐ เสียง คือ อึ อื เอะ แอะ แอ เออะ เออ โอะ เอาะ ออ เสียงสระประสมในภาษาบาลสี ันสกฤตมี ๔ เสยี ง คือ เอ ไอ โอ เอา แต่เสียงประสมในภาษาไทยมี ๓ เสียง คือ เอีย เอือ อัว จะเห็นได้ว่าเสียงสระประสมในภาษาบาลีสันสกฤตกับเสียงสระประสมในภาษาไทยจะ ไม่ตรงกนั เลย ท้งั นีเ้ พราะเสยี งสระ เอ โอ ซ่งึ เป็นสระประสมในภาษาบาลีสันสกฤตจะเป็นสระเกินในภาษาไทย ส่วนสระ ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ ซึง่ เปน็ สระแทใ้ นภาษาสันสกฤตจัดเปน็ สระเกนิ ในภาษาไทย เสียงพยญั ชนะในภาษาบาลีสันสกฤตมีพยัญชนะ ๓๕ รูป ๓๕ เสียง ในภาษาบาลีจะมีเพียง ๓๓ รูป ๓๓ เสียง สําหรับในภาษาสันสกฤตจะมีพยัญชนะมากกว่าภาษาบาลี ๒ เสียง คือ ศ ษ ซ่ึงพยัญชนะในภาษา บาลีสนั สกฤต มีดังนี้ อโฆษะ โฆษะ อุสม สิถลิ ธนิต สถิ ิล ธนิต นาสกิ อฒั สระ ธนิต วรรค ก เกิดจากฐานคอ - ก ข ค ฆง - ห วรรค จ เกิดจากเพดาน ศ จ ฉ ช ฌญ ย - วรรค ฏ เกิดจากปมุ่ เหงอื ก ษ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ รฬ - วรรค ต เกดิ จากฟัน ส ต ถ ท ธน ล - วรรค ป เกดิ จากริมฝีปาก - ป ผ พ ภม ว - พยญั ชนะในภาษาไทยมี ๒๑ เสียง (๔๔ รูป) ดงั นี้
๔๙ อโฆษะ โฆษะ เสียดแทรก ระเบดิ สถิ ลิ ธนติ สิถลิ นาสิก รวั ข้างลิน้ กึง่ สระ เพดานออ่ น - กค- ง - - - เพดานแข็ง - จช- - - - ย ป่มุ เหงอื ก - - -ด นร ล - ฟนั ซ ตท- - - - - ริมฝปี าก ฟ ปพบ ม - - ว เสน้ เสยี ง ฮ --อ -- - - จากตารางพยัญชนะข้างตน้ จะเห็นได้วา่ เสียงพยญั ชนะของภาษาบาลสี ันสกฤตมี ๓๕ เสยี ง ๓๕ รปู สว่ นเสยี งพยัญชนะของไทยมี ๒๑ เสียง แตม่ ีรปู พยญั ชนะถึง ๔๔ รูป ปจั จุบนั ยังคงใชพ้ ยัญชนะเพียง ๔๒ รปู โดยตดั ตัว ฃฅ ออก เพราะเลกิ ใชแ้ ล้ว เสยี งวรรณยุกต์ เน่ืองจากคําไทยทกุ คําประกอบด้วยรูปหรือเสียงวรรณยกุ ต์ แต่ว่าคําบาลีสนั สกฤตไม่มี รปู วรรณยุกต์ประกอบ ดงั น้ันเมื่อเรารับเอาคําบาลีสนั สกฤตมาใช้ในภาษาไทย คาํ ส่วนหนึ่งจะถูกดดั แปลง โดย เตมิ รูปวรรณยุกต์หรือเสยี งวรรณยกุ ต์ลงไป เพื่อใหอ้ อกเสยี งไดส้ ะดวกและเหมาะสมกบั ภาษาไทย เชน่ คาํ บาลีสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย กลนู กระลู่ห์ น่าสงสาร ครฺ า คร่าห์ การจับ,ถอื ฉทานศาลา ฉทานศาลา(ฉอ้ -ทานศาลา) ศาลาเป็นทท่ี าํ ทาน ๖ แหง่ เทห เท่ห์ ตัว พยหุ พย่หู ์ กระบวน,หม,ู่ ทัพ พทุ ฺโธ พทุ โธ่,โธ่ คําเปลง่ เสยี งแสดงความสงสาร โมห โมห่ ์ โมหะ วาห,พาห พ่าห์ ผู้แบก,ผู้ถอื ,ผทู้ รงไว,้ ม้า สนฺเทห สนเทห่ ์ ความสงสัย,ความไม่แน่ใจ เสนฺ ห เสน่ห์ ความรกั อตุ สฺ าห อตุ สาห์ ความบากบนั่ ,ความพยายาม เอก เอ้กา เดยี วดาย ๒. ความแตกต่างในด้านการสร้างคําเน่อื งจากภาษาบาลีสันสกฤตเป็นภาษาทมี่ วี ิภัตติปจั จัย ดังน้ันคาํ ท่ี สร้างข้ึนใช้จึงประกอบข้ึนจากธาตุ + ปจั จยั + วิภัตตินาม ได้รปู ศพั ท์มาเปน็ คาํ นามหรือคําคณุ ศัพท์ การสร้าง คําโดยวธิ นี เี้ รียกว่า วธิ กี ิตก์ (กฤต) เช่น
๕๐ ธาตุ ปจั จัย รปู ศัพท์ วภิ ัตตินาม รปู สําเรจ็ ความหมาย กรฺ ยุ กรณ สิ กรณํ การกระทาํ ชนฺ ณวฺ ุ ชนก สิ ชนโก บิดา,ผูใ้ ห้เกิด ทณฑฺ ฺ อ ทณฑฺ สิ ทณฺโฑ ไมเ้ ทา้ ,ไม้ตะบอง,การลงโทษ ปา ตฺร ปาตรฺ มฺ (สิ.) ปาตรฺ มฺ บาตร วฑฺฒฺ ยุ วฑฺฒน สิ วฑฒฺ โน ความเจรญิ วรี ฺ อ วรี สิ วโี ร กล้า,กล้าหาญ สรฺ อีร สรีร สิ สรีรํ ร่างกาย,สรรี ะ การสรา้ งคําโดยมอี ุปสรรค หมายถงึ การประกอบอปุ สรรคข้างหน้าคํานาม คุณนาม (หรือกิรยิ า) เช่น อุปสรรค ศัพท์ รปู สาํ เร็จ ความหมาย อตุ ฺ สาห อตุ ฺสาห ความขยนั ,ความอดทน,ความพยายาม อนุ รกษฺ อนรุ กษฺ ตามรักษา,ระวงั ,ปอ้ งกัน อภิ รมยฺ อภริ มฺย รน่ื เริงย่ิง,ดีใจยิ่ง,ยนิ ดยี ิ่ง อว กาศ อวกาศ บรเิ วณทีอ่ ยู่นอกบรรยากาศของโลก อธิ การ อธกิ าร เจ้าหนา้ ท่ี,อาํ นาจ,การปกครอง,ตาํ แหนง่ ปรา ชย ปราชย ความพ่ายแพ้ โอ กาส โอกาส ช่อง,ทาง,จงั หวะ อุป การ อปุ การ ความชว่ ยเหลอื เกื้อกูล วิ นย วินย ข้อควรแนะนํา,ข้อปฏิบตั ิ สํ วร สํวร ความสาํ รวม สุ ธี สธุ ี คนมีปญั ญา,นกั ปราชญ์ การสร้างคําโดยวธิ ีสมาส หมายถงึ การสร้างคาํ โดยวธิ ยี ่อศัพท์ตงั้ แต่ ๒ ศัพท์ข้นึ ไปให้เขา้ เปน็ บทเดียวกนั โดยลบวิภัตติศพั ทห์ นา้ บา้ ง ไม่ลบวภิ ตั ตศิ ัพท์หนา้ บา้ ง เชน่ ศพั ท์หนา้ ศพั ทห์ ลงั รูปสาํ เร็จ ความหมาย พุทธฺสสฺ สาวก พทุ ธฺ สาวก สาวกของพระพทุ ธเจ้า รญโฺ ญ ธตี า ราชธีตา ธิดาของพระราชา ขีณ อาสว ขณี าสว พระขณี าสพ วเน จร วเนจรคนเทย่ี วปา่ ,พรานปา่ ,เทยี่ วไปในป่า จกฺขุ โสต จกขฺ โุ สต ตาและหู ปพฺเพ สนฺนวิ าส ปุพเฺ พสนนฺ ิวาส การอยู่รว่ มกันในชาตกิ ่อน,เคยเปน็ เน้อื คู่กัน เทวสสฺ เวสมฺ เทวเวสมฺ ทีอ่ ยแู่ หง่ เทวดา มิสฺสกํ วนํ มสิ สฺ กวนํ มิสกวนั ,ชอื่ พระอนิ ทร์,ปา่ ที่มชี ่อื ไม้ต่างๆ
๕๑ การสร้างคาํ โดยวธิ ีตทั ธิต หมายถึงการใชป้ จั จยั ตทั ธิตแทนบนหลงั ศัพทส์ ามาส หรืออีกนัยหน่ึง หมายถึง การใช้ปจั จัยแทนความหมายของศพั ท์ เชน่ ศพั ท์ ปจั จัยตัทธติ รูปสําเรจ็ ความหมาย ธี ร ธรี นักปราชญ,์ มีปญั ญา นาวา ณกิ นาวกิ คนเรือ,เก่ียวกบั เรือ ปุจฉฺ า อมิ ปจฉฺ มิ เกิดภายหลงั ,มีในภายหลงั ภคนิ ี เฌยฺย ภาคิเนยฺย หลาน คอื ลูกสาวของพห่ี รือน้องสาว มธุ ร มธุร ไพเราะ,มีความหวาน มาลา อี มาลี มีพวงดอกไม,้ มีพวงมาลยั สมณ เณร สามเณร เหล่ากอแหง่ สมณะ,สามเณร สามิ ตฺต สามิตตฺ ความเป็นเจ้าของ หตฺถ อี หตฺถี ช้าง อสิ ฺสร ณฺย อสิ ฺสริย ความเปน็ ใหญ่,ทรัพย์สมบัติ การสร้างคาํ ไทย ภาษาไทยเป็นภาษาในตระกูลคําโดดหรือเป็นคํามูล ซึ่งคําแต่ละคํามีความหมายในตัวเอง และนําไปใช้ ได้ทนั ทีโดยไม่ตอ้ งประกอบวิภัตติปัจจัยหรือภาษาบาลีสันสกฤต เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง ดิน น้ํา นก ลม กิน นอน เป็นต้น แต่เม่อื สรา้ งคาํ ใหมข่ ึน้ ใช้อาจจะสร้างข้ึนดว้ ยวธิ ตี ่างๆ ดงั น้ี ๑. คําประสมคือ คําที่เกิดจากการเอาคํามูลที่มีความหมายต่างกันต้ังแต่ ๒ คําขึ้นไปมารวมกันเข้า เป็นคาํ เดียว กลายเป็นคําใหม่ มีความหมายใหม่ แต่ยังมีเค้าความหมายเดิมอยู่ เช่นลูกเสือ ( นักเรียนท่ีแต่ง เครือ่ งแบบ ) ,แสงอาทติ ย์ ( งูชนิดหน่ึงมีเกล็ดสะท้อนแสงอาทิตย์ได้ซ่ึงแปลกกว่างูชนิดอ่ืน ๆ ), หางเสือ ( ท่ี บงั คบั ทศิ ทางเรอื ) การเกดิ คาํ ประสมในภาษาไทย ๑. เกิดจากคําไทยประสมกับคําไทย เช่นไฟ + ฟ้า = ไฟฟ้า, ผัด + เปร้ียว + หวาน =ผัด เปรี้ยวหวาน ๒. เกิดจากคําไทยประสมกบั คาํ ต่างประเทศ เชน่ ไทย + บาล=ี หลัก(ไทย)+ ฐาน ( บาลี ) = หลักฐาน ,ราช (บาลี)+ วัง (ไทย) = ราชวงั ไทย + สนั สฤต=ทนุ (ไทย) +ทรัพย์ (สันสฤต) =ทนุ ทรัพย์, ตกั (ไทย) +บาตร(สันสฤต) =ตักบาตร ไทย + เขมร = นา (ไทย) + ดาํ (เขมร = ปลกู ) = นาดาํ , นา (ไทย) + ปรัง (เขมร = ฤดูแล้ง ) = นา ปรัง จนี + ไทย = หวย(จีน) + ใตด้ นิ (ไทย) = หวยใต้ดนิ , ผา้ (ไทย) + ผวย (จนี ) = ผ้าผวย ไทย + องั กฤษ = เหยือก (องั กฤษ = jug) + นาํ้ (ไทย) = เหยือกนาํ้ } พวง (ไทย) + หรีด (อังกฤษ = wreath) =พวงหรดี
๕๒ ๓. เกดิ จากคําตา่ งประเทศประสมกับคาํ ต่างประเทศ เชน่ บาลี + จีน = รถ(บาลี) + เกง๋ (จนี ) = รถเก๋ง ชนิดของคาํ ทเ่ี อามาประสมกัน ๑. คาํ นามประสมกับคาํ นาม เชน่ พอ่ ตา แมย่ าย ลูกน้อง หน้าม้า ลิน้ ป่ี คอหอย หีบเสียง กล้วยแขก แม่นา้ํ ราชวงั ๒. คาํ นามประสมกับคํากริยา เชน่ นักร้อง หมอดูบ้านพัก เรือบิน ยาถ่าย รถเข็น ไก่ชน คานหาม น้ําคา้ ง คนเดินตลาด ๓. คํานามประสมกับคําวิเศษณ์ เช่น น้ําแข็ง หัวใส หัวหอม ใจดี ใจเย็น ม้าเร็ว นํ้าหวาน ปากเบา ปลาเน้อื อ่อน ๔. คํานามประสมกบั คําลักษณนาม เชน่ วงแขน วงกบ ดวงหนา้ ลกู ชิน้ ดวงใจ เพื่อนฝงู ๕. คํานามประสมกับคําสรรพนาม เชน่ คณุ ยาย คุณพระ คุณหลวง ๖. คํากริยาประสมกบั คํากรยิ า เช่น ตีพิมพ์ เรียงพิมพ์ พิมพ์ดีด นอนกิน ฟาดฟัน กันสาด ตีชิง ห่อ หมก เทยี่ วขึ้น เท่ียวล่อง ๗. คํากริยาประสมกบั คาํ วิเศษณ์ เช่น ลงแดง ยินดี ถือดี ยิ้มหวาน สายหยุด ดูถูก ผัดเผ็ด ต้มจืด บานเยน็ บานเช้า ๘. คําวเิ ศษณ์ประสมกับคําวิเศษณ์ เช่น หวานเย็น เขยี วหวาน เปรยี้ วหวาน ดาํ ขํา คมขาํ คมคาย ๒. คําซ้อนคือ คําท่ีเกิดจากการเอาคํามูลที่มีความหมายเหมือนกัน หรือคล้ายคลึง หรือตรงกัน ข้าม เป็นประเภทเดียวกันต้ังแต่ ๒ คําขึ้นไปมาเรียงซ้อนกันเพื่อให้ความหมายชัดเจนข้ึน เช่น เส่ือ สาด อว้ นพี ใหญโ่ ต สาเหตุการเกดิ และประโยชนข์ องคาํ ซอ้ น ๑. คําไทยคําเดยี วนั้นอาจมีความหมายได้หลายอย่าง หากพูดเพียงคําเดียวอาจทําให้เข้าใจความหมาย ผิดพลาดได้ จงึ ต้องซ้อนคําเพ่ือบอกความหมายใหช้ ัดเจน เช่น ตา (อวัยวะ) ใช้ซอ้ นกบั นยั น์ เปน็ นยั นต์ า ขับ (ไล่ ) ใช้ซอ้ นกับ ไล่ เปน็ ขบั ไล่ ขบั (ร้องเพลง) ใช้ซ้อนกบั กลอ่ ม เปน็ ขับกลอ่ ม ขัด (ทาํ ใหส้ ะอาด) ใช้ซ้อนกบั ถู เป็น ขัดถู ขดั (ไมส่ ะดวก) ใช้ซ้อน กับขวาง เป็น ขัดขวาง ๒. คําไทยมีคําพ้องเสียงมาก ถ้าพูดเพียงคําก็ยากที่จะเข้าใจความหมายได้จึงต้องใช้คําท่ีมีความหมาย เหมือนกนั หรอื คลา้ ยคลงึ เปน็ ประเภทเดียวกันมาซอ้ นไว้ เพื่อบอกความหมายให้ชัดเจนเช่น ค่า ใช้ซอ้ นกับ งวด เป็น คา่ งวด ฆ่า ใชซ้ อ้ นกบั ฟนั เป็น ฆ่าฟนั ขา้ ใชซ้ อ้ นกบั ทาส เป็น ขา้ ทาส มน่ั ใชซ้ อ้ นกบั คง เปน็ มัน่ คง หม้ัน ใช้ซ้อนกับ หมาย เป็น หม้ันหมาย ๓. ภาษาไทยเป็นภาษามีวรรณยุกต์ คําไทยที่มีสระและพยัญชนะเดียวกัน ถ้าเสียงวรรณยุกต์ต่างกัน เพียงเล็กน้อยความหมายของคําก็จะแตกต่างกันไปด้วย ถ้าฟังผิดเพ้ียนไปหรือฟังไม่ถนัดก็จะทําให้เข้าใจ ความหมายผิดพลาดได้ ดง้ั นน้ั จึงตอ้ งมีการซอ้ นคาํ ข้ึนเพอ่ื กํากับความหมายใหช้ ัดเจน เช่น
๕๓ เสือ ใชซ้ ้อนกับ สาง เป็น เสอื สาง เสอื่ ใชซ้ ้อนกบั สาด เป็น เส่อื สาด เสอ้ื ใช้ซอ้ นกับ ผา้ เป็น เสื้อผ้า คํา ใชซ้ ้อนกับ ถ้อย เปน็ ถอ้ ยคาํ คาํ่ ใช้ซอ้ นกบั คนื เปน็ คา่ํ คืน คา้ํ ใชซ้ อ้ นกับ จุน เปน็ คํา้ จุน ขํา ใช้ซอ้ นกบั ขนั เป็น ขาํ ขนั ๔. คําไทยส่วนมากเป็นคําพยางค์เดียว เวลาพูดอาจฟังไม่ทันหรือฟังไม่ถนัด ก็จะทําให้เข้าใจ ความหมายผดิ พลาดได้ เราจงึ ซ้อนคาํ ขน้ึ เพือ่ บอกความหมายได้ชัดเจน เชน่ ปัด ใชซ้ ้อนกับ กวาด เป็น ปดั กวาด ขัด ใช้ซ้อนกับ ขวาง เป็น ขัดขวาง เชด็ ใชซ้ อ้ นกบั ถู เปน็ เช็ดถู อบ ใช้ซ้อนกับ รม เปน็ อบรม คบั ใชซ้ อ้ นกบั แคบ เปน็ คบั แคบ ๕. ภาษาไทยเรามีคําที่มาจากภาษาต่างประเทศปะปนอยู่มาก ระยะแรกๆ ก็ยังไม่เป็นที่เข้าใจ ความหมายของคํากันอย่างแพร่หลายจึงต้องนําคําไทยที่มีความหมายเหมือนกันหรือคล้ายคลึงเป็นประเภท เดียวกันมาเรยี งซ้อนไวเ้ พ่อื ขยายความหมายใหช้ ดั เจน เชน่ ทรพั ย์ ใช้ซอ้ นกับ สนิ เป็น ทรัพย์สิน ซาก ใชซ้ อ้ นกบั ศพ เปน็ ซากศพ เขียว ใช้ซอ้ นกบั ขจี เป็น เขียวขจี รปู ใช้ซ้อนกบั รา่ ง เปน็ รปู รา่ ง ๓. คําซ้ํา คือคําท่ีเกิดจากการซ้ําเสียงคําเดียวกันตั้งแต่ ๒ หนข้ึนไปเพื่อทําให้เกิดคําใหม่ได้ ความหมายใหม่ เชน่ ดํา ๆ หวาน ๆ คอยคอ้ ยคอย ชนดิ ของคาํ ไทยที่เอามาซํ้ากนั ในภาษาไทยเราสามารถเอาคาํ ทกุ ชนดิ มาซํา้ ได้ ดงั นี้ ซ้ําคาํ นาม เชน่ พี่ ๆ เด็ก ๆ น้อง ๆ ซํา้ คาํ สรรพนาม เชน่ เขา ๆ เรา ๆ คณุ ๆ ซ้าํ คาํ วิเศษณ์ เชน่ เร็ว ๆ ไว ๆ ชา้ ๆ ซ้าํ คาํ กรยิ า เชน่ นงั่ ๆ นอน ๆ เดิน ๆ ซ้ําคาํ บุรพบท เชน่ ใกล้ ๆ ไกล ๆ เหนือ ๆ ซาํ้ คําสันธาน เช่น ท้งั ๆ ท่ี เหมือนๆ ราว ๆ กับ ซ้ําคําอทุ าน เช่น โฮ ๆ กร๊ีด ๆ อุย๊ ๆ ลกั ษณะของการซ้ําคาํ ในภาษาไทย ๑. ซาํ้ คาํ เดียวกัน ๒ หน ระดบั เสยี งวรรณยุกต์คงเดมิ เชน่ เรว็ ๆ หนุ่ม ๆ หนกั ๆ เบา ๆ ๒. ซํ้าคําเดยี วกนั ๒ หน โดยเน้นระดบั เสียงวรรณยกุ ต์ทค่ี ําหน้า เชน่ วา้ น หวานน้าหนา จน๊ จน อรอ้ ยอรอ่ ย ๓. ซํ้าคําเดียวกัน ๓ หน โดยเน้นระดับเสียงวรรณยุกต์ท่ีคํากลาง เช่น ดีดี๊ดี คมค้มคม จืดจื๊ด จดื สวยซ้วยสวย
๕๔ ๔. ซํ้าคําประสม ๒ พยางค์ ๒หนโดยเน้นระดับเสียงวรรณยุกต์ที่พยางค์หลังของคําหน้า เช่น เจ็บใจ๊ เจ็บใจ ดีใจด๊ ีใจ ยินดย๊ี นิ ดี ๕. ซ้ําคําเดียวกัน ๒ หนระดับเสียงวรรณยุกต์คงเดิมแต่เกิดการกร่อนเสียงข้ึนอย่างที่บาลี เรยี กว่า อัพภาสและสันสฤตเรยี กวา่ อัภยภาส เชน่ ลิ่วๆ เปน็ ละลิ่ว ครืน ๆ เปน็ คระครนื ซึ่งโดยมากใช้ ในคาํ ประพนั ธ์ ๓. ความต่างกนั ในด้านไวยากรณ์ ๓.๑) การใช้คํานาม คํานามในภาษาบาลีสันสกฤตเมื่อจะนําไปใช้ จะต้องนําไปแจกด้วยวิภัตติ นามกอ่ นเสมอ เพราะวิภตั ตนิ ามเปน็ เครอื่ งกาํ หนดว่า คํานามน้ันๆ จะทาํ หนา้ ท่ีอะไรในประโยค เชน่ คํานามท่ีประกอบด้วยปฐมาวิภัตติจะทําหน้าที่เป็นบทประธานในประโยค คํานามท่ี ประกอบด้วย ทตุ ิยาวภิ ัตติจะทําหน้าทเี่ ป็นบทกรรมหรือบทขยาย ตัวอย่างเช่น อุปาสโก ธมฺมํ สุณาติ แปลว่า อันว่าอุบาสก ฟังอยู่ ซ่ึงธรรม คําว่า “อุปาสโก” ประกอบด้วยปฐมาวิภัตติและใช้ประธานในประโยค ส่วนคํา ว่า “ธมฺมํ” ประกอบด้วย ทุติยาวิภัตติใช้เป็นบทกรรมหรือคําขยายกริยา คือ สุณาติตามธรรมดาบทประธาน นิยมเรียงไว้ต้นประโยค แต่จะไม่เรียงอย่างน้ันก็ได้และยังมีความหมายเหมือนเดิมทุกประการ ซึ่งประโยค ดังกล่าวสามารถเรยี งใหมไ่ ด้ว่า ธมฺมํ อุปาสโก สุณาติ หรือ ธมฺมํ สุณาติ อุปาสโก หรือ สุณาติ ธมฺมํ อุปาส โก ดังนีก้ ไ็ ด้ สว่ นการใช้คาํ นามในภาษาไทยมีวิธีใชแ้ ตกต่างไปจากภาษาบาลีสันสกฤต เพราะคํานามใน ภาษาไทยเป็นคําสําเร็จรูปอยู่แล้วสามารถนําไปใช้ได้ทันที ไม่ต้องประด้วยวิภัตตินามใดๆทั้งส้ิน คํานามแต่ละ คําไมม่ ีเคร่ืองหมายกาํ หนดไว้วา่ จะเป็นบทประธานหรือบทกรรม การท่ีจะทราบได้ว่าคํานามน้ันทําหน้าท่ีอะไร ในประโยค จะตอ้ งดูลกั ษณะการเรียงคําเสียก่อนจึงจะทราบได้ เช่นประโยคที่ว่า งูกินนก คําว่างู ทําหน้าท่ีเป็น ประธานในประโยค เพราะบทประธานจะต้องเรียงไว้ต้นประโยค ส่วนคําว่า นก เป็นบทกรรมและนิยมเรียงไว้ หลงั คํากริ ิยา ถา้ เรยี งบทประธานและบทกรรมสบั ทก่ี นั ความหมายก็จะตา่ งกนั เชน่ นกกินงู จะต่างจากประโยค งูกนิ นก เป็นตน้ การสร้างคํากริยา หมายถึงการสร้างคําขึ้นเพื่อนําไปใช้เป็นกิริยาสําคัญในประโยคภาษา บาลสี นั สกฤต ซึ่งเรียกว่า กริยาอาขยาต คํากิริยาเหล่านี้สร้างข้ึนจาก ธาตุ + ปัจจัยประจําหมวดธาตุ + วิภัตติ กรยิ า เชน่ ธาตุ ปจั จัย วิภัตตกิ ริ ยิ า รูปสาํ เร็จ ความหมาย กรฺ โอ ติ กโรติ เขา ย่อมทาํ จรฺ อ มิ จรามิ ขา้ พเจ้า ย่อมไปเท่ยี ว ธาวฺ อ อนฺติ ธาวนฺติ เขาท้ังหลาย ยอ่ มวิ่งไป ปชู ฺ ณย ม ปชู ยาม ข้าพเจา้ ท้งั หลาย ยอ่ มบูชา จรุ ฺ เณ สฺสติ โจเรสฺสติ เขา จักลกั ยชฺ อ ติ ยชติ เขา ย่อมบูชา นมฺ อ ถ นมถ ทา่ นทั้งหลาย ย่อมนอบน้อม
๕๕ การสร้างคําโดยวธิ ีกติ ก์ นอกจากการสร้างคําดว้ ยวิธอี าขยาตแลว้ ยงั มวี ิธกี ารสร้างคํา กริ ยิ าอีกวิธหี นง่ึ คือวธิ ีกิตก์ ซ่งึ หมายเอากริ ิยากติ ก์นัน้ เอง คําเช่นนีส้ รา้ งข้ึนจากธาตุ + ปัจจยั กริ ิยากติ ก์ เช่น ธาตุ ปัจจยั รปู สาํ เรจ็ ความหมาย กรฺ ต กต ทาํ แล้ว,อันเขาทําแลว้ คมฺ ตวฺ า คนฺตฺวา ไปแลว้ ปจฺ อนตฺ ปจนฺต หงุ อยู่,ตม้ อยู่ พุธฺ ต พทุ ฺธ รูแ้ ลว้ จรฺ + อ มาน จรมาน เทย่ี วไปอย,ู่ ประพฤตอิ ยู่ สมฺ ต สนตฺ สงบแล้ว,เงยี บแล้ว วจฺ อนีย วจนยี ควนกลา่ ว,อันเขาพึงกลา่ ว หรฺ ต หต ต,ี ฆา่ ,ทาํ ลาย ๓.๒) การใช้คําขยาย (คําวิเศษณ์) เนื่องจากคํานามในภาษาบาลีสันสกฤตมี ๓ ลึงค์ (เพศ) คือ ปงุ ลงึ ค์ (เพศชาย) ,อิตถีลึงค์หรอื สตรีลึงค์ (เพศหญงิ ) และนปงุ สกลึงค์ (ระบุไม่ได้ว่าเพศชายหรือเพศหญิง) และ คํานามแต่ละคําย่อมบอกพจน์ในตัวของมันเองเม่ือประกอบด้วยวิภัตตินามเสร็จแล้ว ดังนั้น เม่ือจะใช้คําขยาย กันคาํ นามใดๆ จะต้องประกอบคาํ ขยายให้มีเพศและพจน์สอดคล้องกับคํานามนั้นๆด้วย และนิยมเรียงไว้หน้า คํานามนนั้ ๆ เช่น กสุ โล นโร แปลว่า อันวา่ คน ผฉู้ ลาด, กสุ ลา อิตฺถี แปลว่า อันว่าหญิง ผ้ฉู ลาด เปน็ ตน้ ส่วนคาํ ขยายในภาษาไทยมไิ ดเ้ ปล่ียนแปลงเพศและพจน์ไปตามคํานามแต่อย่างใด และจะ นําไปขยายคํายามหรือคํากิริยาใด ให้เรียงไว้หลังคํานามหรือกิริยาน้ัน เช่น คนผอมวิ่งเร็ว คําว่า ผอม เป็นคํา ขยาย คน จงึ เรียงไว้หลงั ว่าวา่ คน เปน็ ตน้ ๓.๓) การใช้บทประธานและกิริยา บทประธานและกิริยาในภาษาบาลีสันสกฤต จะต้อง ประกอบให้พจน์และบุรุษสอดคล้องกัน ถ้าบทประธานเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ จะต้องประกอบคํากิริยาให้ เปน็ เอกพจนห์ รือพหพู จนต์ รงกนั เชน่ นโร จรติ หรือ นรา จรนตฺ ิ เป็นต้น สว่ นในภาษาไทย บทประธานตะเปน็ เอกพจน์หรือพหูพจน์ก็ตาม กิริยาของบทประธานไม่ ต้องเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งส้ิน เช่น คนเดินช้า หรือ คนทั้งหลายเดินช้า คําว่า เดิน เป็นคํากิริยาของคําว่า คน และคนท้ังหลาย ซึง่ ไมต่ ้องเปลี่ยนเป็นเอกพจน์หรือพหูพจนต์ ามบทประธาน ๓.๔) การใชบ้ รุ ษุ สรรพนาม ถึงแม้ว่าในภาษาไทยมีการใช้บุรุษสรรพนามเช่นเดียวกับในภาษา บาลสี ันสกฤต แต่มีวธิ ีใช้แตกต่างกันอยู่บ้าง เชน่ บุรุษสรรพนามท่ี ๑ ในภาษาบาลีสันสกฤต เป็นบุรุษสรรพนามท่ี ๓ ในภาษาไทย บุรุษ สรรพนามท่ี ๒ ในภาษาบาลีสันสกฤตตรงกันกับในภาษาไทย ส่วนบุรุษสรรพนามท่ี ๓ ในภาษาบาลีสันสกฤต เป็นบุรษุ สรรพนามที่ ๑ ในภาษาไทย วิธีใช้บุรุษสรรพนาม บุรุษสรรพนามในภาษาบาลีสันสกฤตใช้สําหรับแทนช่ือคนได้ทั่วไปไม่จํากัด ชาตชิ ้นั วรรณะ บุรุษสรรพนามทใี่ ช้ในลักษณะเปน็ บทประธานในประโยค ซง่ึ ประกอบดว้ ยปฐมาวิภัตติ มีดังนี้
๕๖ ภาษาบาลี เอกพจน์ พหพู จน์ ๑. ประถมบุรษุ บุรษุ สรรพนาม คําแปล บุรษุ สรรพนาม คาํ แปล เต เขาท้ังหลาย (บรุ ษุ สรรพนามที่ ๑) ๒. มัธยมบรุ ษุ โส เขา ตุมฺเห ทา่ นทั้งหลาย (บุรษุ สรรพนามท่ี ๒) ตฺวํ ท่าน มยํ ข้าพเจ้าทัง้ หลาย ๓. อตุ ตมบรุ ุษ อหํ ข้าพเจา้ (บุรุษสรรพนามท่ี ๓) ภาษาสันสกฤต ๑. ประถมบุรษุ เอกพจน์ ทวิพจน์ พหูพจน์ ๒. มธั ยมบรุ ุษ ๓. อุตตมบุรษุ บุรษุ สรรพนาม คาํ แปล บุรุษสรรพนาม คําแปล บรุ ษุ สรรพนาม คาํ แปล สสฺ เขา เตา เขาท้งั สอง เต เขาทงั้ หลาย ตวฺ มฺ ทา่ น ยุวามฺ ทา่ นทัง้ สอง ยูยมฺ ทา่ นทง้ั หลาย อหมฺ ข้าพเจา้ อาวามฺ ข้าพเจา้ ท้ังสอง วยมฺ ขา้ พเจ้าท้งั หลาย ประถมบุรุษ (บุรุษสรรพนามที่ ๑)ใช้แทนชื้อของบุคคลท่ีคู่สนทนากล่าวถึง ฝ่ายเอกพจน์เป็น โส = เขา, ฝา่ ยพหพู จน์เปน็ เต = เขาท้งั หลาย แต่ในภาษาสันสกฤตมีทวิพจน์เพิ่มเข้ามาคือ เตา = เขาทั้งสอง ซ่งึ นําไปใช้ได้กับบคุ คลทุกชน้ั แตใ่ นภาษาไทยจัดเป็นบุรุษสรรพนามท่ี ๓ และเมื่อนําไปใช้จะต้องแยกใช้ได้ให้เหมาะสมกับฐาน นะของบคุ คล เชน่ บุรษุ สรรพนาม ผพู้ ูด ผู้ฟัง ขา้ พเจ้า ทุกชั้น ใชเ้ ป็นกลางท่ัวไป เรา ท่วั ไปหลายคน ทว่ั ไป (ไมใ่ ช่เจา้ นายชั้นสูง) ฉัน ผู้ใหญ,่ ขนุ นางสามัญ ผนู้ ้อย,สามัญชน ผม ผใู้ หญ,่ ผ้นู ้อย ผ้ใู หญ่,ผนู้ อ้ ย (เป็นการท่วั ไป) กระผม ผู้นอ้ ยทัว่ ไป ขุนนางชั้นกลาง,พระราชาคณะ,พระสงฆ์ เกล้ากระผม ผู้น้อยทวั่ ไป ขนุ นางชน้ั สูง,พระราชาคณะ,พระสงฆ์ อาตมาภาพ พระสงฆ์ พระราชา,เจา้ นาย,ขุนนาง เกล้ากระหมอ่ ม ผู้นอ้ ยท่วั ไป เจา้ นายผู้ใหญ่ ขา้ พระพุทธเจ้า ผู้นอ้ ยทว่ั ไป พระราชา,เจา้ นายชั้นสูง
๕๗ มัธยมบุรุษ (บุรุษสรรพนามท่ี ๒) ใช้แทนช่ือผู้ฟังหรือผู้ร่วมสนทนากับผู้พูด ในภาษาบาลีใช้ตฺวํ และ ตุมฺเห ในภาษาสันสกฤตใช้ ๓ พจน์ ใช้ ตฺวมฺ ยุวามฺ และ ยูยมฺ ซึ่งนําไปใช้ได้กับบุคคลทุกชั้นแต่ใน ภาษาไทยต้องแยกใช้ให้เหมาะสมกับฐานะของบุคคล เชน่ บรุ ษุ สรรพนาม ผู้พูด ผ้ฟู งั ทา่ น หรอื คณุ บุคคลท่ัวไป บุคคลท่วั ไป เธอ ผูใ้ หญ่ ผู้น้อย ใตเ้ ทา้ บุคคลทัว่ ไป ขนุ นางผูใ้ หญ่กวา่ , พระราชาคณะ ฝ่าพระบาท เจ้านายท่เี สมอกนั เจ้านายชัน้ รองลงมา บุคคลท่ัวไป สมเดจ็ บรมบพติ รพระราช พระสงฆ์ พระราชา สมภารเจ้า ใตฝ้ ่าละอองพระบาท เจ้านาย, บคุ คลทั่วไป พระราชิน,ี พระยุพราช, เจ้านายช้ันสูง ใตฝ้ ่าละอองธลุ ีพระบาท เจ้านาย, บุคคลทั่วไป พระราชา อุตตมบรุ ุษ (บรุ ษุ สรรพนามท่ี ๓) สําหรับใชแ้ ทนช่ือของผูพ้ ดู เอง ในภาษาบาลีใช้ อหํ และ มยํ ใน ภาษาสันสกฤตซ่ึงใช้ ๓ พจน์ ใช้ อหมฺ อาวามฺ และ วยมฺ และสามารถนําไปใช้กับบุคคลทุกชั้น แต่ใน ภาษาไทยจัดเป็นสรรพนามบุรุษที่ ๑ และเมือ่ นาํ ไปใช้ ตอ้ งแยกใช้ใหเ้ หมาะสมกบั ฐานะของบคุ คล เช่น บุรษุ สรรพนาม ผใู้ ช้ ใชก้ บั พระองค์ บคุ คลทวั่ ไป เจ้านาย พระพุทธเจา้ , เทพผเู้ ป็นใหญ,่ พระราชา และเจ้านาย ท่าน บุคคลท่วั ไป เจ้านาย, ขนุ นางผใู้ หญ่, พระภกิ ษุ และผ้ทู น่ี บั ถอื มนั บุคคลท่ัวไป ผนู้ ้อยท่ีไม่ยอกยอ่ ง (ไม่สุภาพ) ลักษณะการรับคาํ ภาษาบาลแี ละสันสกฤตเข้ามาใชใ้ นภาษาไทย ลักษณะคาํ บาลีและสันสกฤตที่ภาษาไทยรบั เข้ามาใช้มี ๒ ลักษณะดว้ ยกนั คอื ๑. ใช้เป็นคําทับศัพท์ อันเป็นลักษณะของภาษาบาลีและสันสกฤตส่วนใหญ่ท่ีไทยรับเข้ามาใช้ เนือ่ งจากมลี ักษณะเหมือนกบั คําในภาษาไทย ดังนี้ ๑.๑ ศัพทก์ ฤต เช่น เนตร ชาติ โรค ๑.๒ ศพั ท์สมาส เช่น สหัสนยั น์ สนุ ทรพจน์ ราโชวาท ๑.๓ ศพั ท์ตทั ธติ เชน่ นาวิก สามเณร วารณุ ี ๑.๔ ศัพท์ทีเ่ กดิ จากการลงอุปสรรค เช่น สุณีย์ อนุชน อปั รยี ์ ๒. ลกั ษณะเป็นบท คอื เปน็ ศัพทซ์ ึ่งประกอบวภิ ัตติแลว้ เชน่ กุฏฐัง โมโห โทโส อเปหิ บดิ า มารดา นารี เสโท อาตมา ปกั ษี จรี ัง อรหัง มัจฉา เปน็ ตน้
๕๘ อย่างไรก็ตามถึงแม้จะรับบทมา แต่ไทยยังคงใช้ฐานะเดียวกัน คือ มิได้แปลวิภัตติ คงใช้เฉพาะ ความหมายประจําศัพทเ์ ท่านนั้ (สภุ าพร มากแจ้ง, ๒๕๓๕) การรบั คําบาลสี ันสกฤตมาใชใ้ นภาษาไทยนนั้ มกี ารรบั เขา้ มาใช้ดงั ตอ่ ไปนี้ ๑. การรบั ภาษาใดภาษาหน่งึ เพียงภาษาเดยี ว ตวั อยา่ ง ภาษาบาลี เช่น บาลี ไทย ความหมาย บาลี ไทย ความหมาย โลกิย โลกีย์ แห่งโลก เขฬ เขฬะ นา้ํ ลาย ขณ ขณะ คร,ู่ พรบิ ตา กาสาว กาสาว ผา้ ยอ้ มฝาด ถน ถัน เต้านม นลาฏ นลาฏ หนา้ ผาก ปญฺหา ปญั หา คาํ ถาม วิญญฺ าณ วิญญาณ ความรแู้ จง้ อุณหสี อณุ ฺหิส ผา้ โพกหวั จฬู า จุฬา จกุ สัญญ สญั ญา ความเขา้ ใจ ธญญฺ ธัญญา ข้าว จตุ ิ จตุ ิ การเคล่ือน เสท เสโท เหง่ือ ตุริย ดรุ ิยะ ดนตรี อญฺญ อญั ญ อน่ื เคห เคหะ บา้ น ลหุ ลหุ เบา โปราณ โบราณ เก่า, กอ่ น โชติ โชติ สว่าง, รุ่งเรอื ง ๒. การรับคาํ ทง้ั ภาษาบาลแี ละสันสกฤตมาใชใ้ นความหมายเดยี วกัน ในข้อนแ้ี ยกคาํ ออกเป็น ๒ ประเภท คือ ๒.๑) คําซง่ึ มรี ูปเหมอื นกนั และความหมายตรงกันทง้ั ๒ ภาษาเช่น บาลี-สนั สกฤต ไทย ความหมาย บาลี-สันสกฤต ไทย ความหมาย กทลี กทลี กลว้ ย คช คช ชา้ ง กนก กนก ทองคํา คติ คติ เร่ือง, ทาง กรุณา กรณุ า ความเอน็ ดู คทา คทา กระบอง คณติ คณิต การนับ คณิกา คณกิ า หญงิ งามเมือง คาถา คาถา การประพันธ์ เกยูรฺ เกยูร สายสรอ้ ย กาม กาม ความใคร่ คมน คมน การไป กาย กาย รา่ ง กาล กาล เวลา กสุ มุ กุสุม ดอกไม้ จีวร จวี ร ผ้าหม่ ของพระ คาวี คาวี แมโ่ ค จารุ จารุ งาม, ทอง ฆาต ฆาต การฆ่าฟัน คีต คตี การขบั รอ้ ง
๕๙ ๒.๒) คําซงึ่ มรี ปู ตา่ งกันแต่มคี วามหมายตรงกันทั้ง ๒ ภาษา บาลี สันสกฤต ไทย ความหมาย มน มนสฺ มน, มนัส ใจ โอรส เอารส โอรส, เอารส, อุรส ลกู ชาย โมลิ เมาลิ โมลี, เมาลี มวยผม, จุก, ยอด ตณิ ตฤณ ตณิ , ตฤณ หญา้ คุรุ ครุ ครุ, คุรุ หนัก, ครู มคิ มฤค มิค, มฤค กวาง, เนอ้ื รตน รตน รตั นะ, รตน แก้ว สิริ ศรี สริ ,ิ ศรี, ศิริ มงิ่ ขวญั , โชค สาลกิ า สารกิ า สาลิกา, สารกิ า นกชนิดหนึ่ง หทย หฤทัย หทยั , หฤทยั ใจ, ดวงใจ ๓. การรบั คาํ ทั้งภาษาบาลีและสันสกฤตมาแยกความหมายใช้ แต่เดิมท้ังสองคําทั้งสองภาษามีความเดียวกัน เม่ือไทยรับมาจึงนํามาแยกใช้คนละ ความหมายเพอื่ ประโยชนท์ างการใช้ภาษา ทาํ ให้มีศพั ทใ์ ชม้ ากข้นึ เช่น บาลี สันสกฤต ไทย ความหมาย กฬี า กรฺ ฑี า กีฬา, กรีฑา การแข่งขันประเภทลาน, ลู่ สามี สวฺ ามนิ ฺ สามี,สวามิน,สวามี เจา้ ของ, ผวั , นาย ฐิติ สถฺ ติ ิ ฐติ ิ การตง้ั มั่น สถิติ หลักฐานทางตวั เลข รฏฺฐ ราษฎร รฐั แวน่ แคว้น, คนในแว่นแคว้น เขตตฺ เกฺษตรฺ เขต, เกษตร อาณาบริเวณไร,่ นา, ท่ที ํากิน ขนธฺ สกฺ นฺธ ขันธ์ กอง, หมู่ สกนธ์ รา่ งกาย สามญญฺ สามานยฺ ทัว่ ไป ท่วั ไป, ธรรมดาต่าํ ชา้ สญุ ฺญ ศูนยฺ ์ สญู , ศนู ย์ หมด, สน้ิ ท่รี วม โทส เทฺวษ โทสะ, เทวษ ความโกรธ, ความทุกข์ ๔. การรบั ความหมายมาใช้โดยประดษิ ฐ์รปู ศพั ท์เอง การรับภาษาบาลีและสันสกฤตเข้ามาใช้ อาจนํามาประดิษฐ์รูปศัพท์เองโดยใช้แนวเทียบซ่ึง อาจมีการใช้แนวเทียบผิด การประดิษฐ์ศัพท์ในรูปคําบาลีเป็นหลัก เทียบรูปคําสันสกฤต เพราะรูปศัพท์ท่ี ประดิษฐ์ขน้ึ ส่วนใหญค่ ่อนไปทางสันสกฤต รูปศัพทท์ ี่ประดษิ ฐข์ ้ึนมี ๒ ลักษณะคือ
๖๐ ๔.๑ ศัพทท์ ี่มีรปู ผสมระหวา่ งบาลแี ละสนั สกฤตเช่น บาลี สนั สกฤต ไทย ความหมาย สพพฺ สรว สรรพ ท้ัง, มวล ปสยหฺ ปรสหย ประสยั ห์ กดข่,ี ข่มเหง ปจาค ปฺรตฺยาค ประจาค สละ, ให้ ถน สฺตน สถน เต้านม เมตฺเตยยฺ ไมตฺรย เมตไตรย พระศรอี ริยเมตไตรย เชฏฺฐ เชฺยษฐฺ เชษฐา พช่ี าย ถูป สฺตปู สถปู เจดีย์ ปจจฺ ามติ ตฺ ปฺรตยฺ ามิตฺร ปัจจามติ ร ขา้ ศกึ ปจฺจกฺข ปรฺ ตฺยกฺษ ประจกั ษ์ กระจ่างแจง้ , ปรากฏแกส่ ายตา ปพพฺ ชิต ปรฺวราชติ บรรพชติ ผ้อู อกบวช ปจจฺ ตถฺ รณ ปฺรตยฺ าสฺตรณ บรรจถรณ์ เคร่ืองปลู าด, พรม, เบาะ ๔.๒ การประดษิ ฐ์รูปศพั ท์ใหม่โดยใช้แนวเทยี บสันสกฤต บาลี สนั สกฤต ไทย ความหมาย กหาปณ การฺษาปน กษาปณ์ เงินเหรียญ ปิฏฐิ ปฤษฐ ปฤษฏ ข้างหลงั , หลัง กิตฺติ กีรตฺ ิ เกยี รติ คําสรรเสริญ, คาํ เลา่ ลือ นิคฺคหตี นริ ฺคฤหีด นฤคหติ นิคหิต สปปฺ าย สปราย สบาย เปน็ ประโยชน,์ สะดวก มคคฺ มารคฺ มรรค ทาง ทมน ทมน ทรมาน การข่ม, การทาํ ให้ละพยศ สปน ศปน สาบาน การอา้ งชอ่ื สิ่งศกั ดิส์ ิทธ์ิเปน็ พยาน มาตา มาตา มารดา แม่ มตก มฤตก มรดก สมบตั ิตกทอดจากผู้ตาย ๕. การรับลักษณะการสร้างคาํ ของภาษาบาลแี ละสันสกฤตเข้ามาในภาษาไทย ภาษาบาลีและสันสกฤตมีการสร้างคํา ๔ วิธีคือ กฤต สมาส ตัทธิต และลงอุปสรรค ซึ่งมี ลักษณะการสร้างคาํ ดงั นี้ ก. กฤต สร้างโดยการนําปจั จัยมาประกอบทา้ ยธาตุ เช่น ธาตุ นี ลงปัจจยั ติ เปน็ นีติ (กฎหมาย) ข. สมาส สรา้ งโดยวธิ นี าํ ศพั ท์ กับ ศัพท์ มารวมกนั เช่น ราชโอรส สังฆราช สาธารณสมบัติ คณุ ธรรม
๖๑ ค. ตัทธติ สร้างโดยนาํ ศัพท์ มาลง ปจั จัย เชน่ เมธา ลง วี ปจั จยั เป็น เมธาวี (ผมู้ ีปัญญา) ง. ลงอุปสรรค สร้างโดย นาํ อปุ สรรค ประกอบหนา้ ธาตุ หรือ หน้าศัพท์ หรือ หน้าบท เช่น อา อุปสรรค กับ นนท เป็น อานนท (ความรนื่ เรงิ , ความยินดี) วิธีสมาส เป็นวิธีการสร้างศัพท์ท่ีมีลักษณะคล้ายคลึงกับการประสมคําของไทยมากท่ีสุด ดังน้ัน ไทยจึงรับเอาวิธีการสมาสคําของบาลีและสันสกฤตมาใช้ในภาษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการบัญญัติศัพท์ คําท่ี เกิดจากการสมาสในภาษาไทยมีลักษณะท่ีอาจสังเกตได้ง่าย คือ มักจะสามาสคําบาลีและคําสันสกฤตเข้า ดว้ ยกนั เพราะเรามักจะเหน็ วา่ ทัง้ สองภาษาเปน็ ภาษาเดยี วกนั ตวั อย่างคาํ ทเ่ี กดิ จากการสมาส ไดแ้ ก่ เกยี รตบิ ตั ร กิตตคิ ุณ กจิ กรรม กิตติกรรมประกาศ กลศาสตร์ กลยทุ ธ์ กลวธิ ี คณุ ภาพ คณบดี คณิตศาสตร์ ประถมศกึ ษา ธุรกิจ ทศั นศกึ ษา ทัศนียภาพ พันธบตั ร ภาษาศาสตร์ โหราศาสตร์ มลู นิธิ วทิ ยาศาสตร์ มัธยมศึกษา วัฒนธรรม ลิขสทิ ธิ์ ยทุ ธวิธี สหกรณ์ สงั คมสงเคราะห์ สันติวธิ ี สัมพนั ธภาพ สนุ ทรพจน์ สุนทรียภาพ ศึกษาศาสตร์ อทุ กภยั อดุ มศกึ ษา อักษรศาสตร์ นอกจากนยี้ งั มีคําท่เี กดิ จากการลงอปุ สรรคไทยซึ่งเป็นคําในภาษาท่ีไทยรบั มาใช้มากเชน่ กัน คาํ ท่สี ร้างขึน้ โดยวธิ ีลงอปุ สรรคในภาษาไทย เช่น อุปกรณ์ สุนัย อนุภรรยา บริภณั ฑ์ สุมล อนวุ ตั ร อุปสงค์ อเทวนยิ ม สุวิมล อนุภาค อุปทาน อนุกร สุภาพ อนพุ ากย์ อนอุ าชพี คาํ ตทั ธติ ทสี่ รา้ งขึ้นใช้ในภาษาไทย มีไม่มากนกั ดว้ ยเหตทุ ่กี ารลงปจั จยั ต้องมีลักษณะการปรับปรุง ศัพท์ด้วยประการต่างๆ ลักษณะเช่นนี้มีไม่มากนักในภาษาไทย คําตัทธิตท่ีไทยสร้างข้ึนจึงมักประกอบปัจจัยท่ี ไมต่ อ้ งเปล่ยี นแปลงมาก เช่น อกิ , ณกิ , มย ตัวอยา่ งคาํ ทีเ่ กิดจากการใช้วธิ ตี ทั ธติ สยามกิ (ชาวสยาว) จาก สยาม กับ อกิ ปัจจัย ศาสนิก (ผ้นู บั ถอื ศาสนา) จาก ศาสน กับ อกิ ปจั จยั อรญั ญิก (ผ้อู ยู่ในปา่ ) จาก อรัญญ กบั อิก ปัจจยั เหรัญญิก (ผู้เก็บเงนิ ) จาก หิรัญญ กบั ณิก ปจั จยั เอกมยั (ชื่อถนน) จาก เอก กบั มย ปจั จยั
๖๒ การเปลย่ี นแปลงของคาํ ภาษาบาลีและสนั สกฤตในภาษาไทย ภาษาบาลสี ันสกฤตและภาษาไทย เป็นภาษาในตระกูลท่ีต่างกัน จึงมีความแตกต่างกันหลายประการทั้ง ระบบเสียง และไวยากรณ์ แต่ด้วยเหตุผลทาศาสนาท้ังพราหมณ์และพุทธศาสนาจึงทําให้ภาษาท้ังสองเข้ามา อยู่ในระบบภาษาไทยอยา่ งแยกไมอ่ อก และกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับภาษาไทยในที่สุด การพิจารณาคํา บาลแี ละสนั สกฤตในภาษาไทย จึงตอ้ งคํานึงถงึ ความแตกตา่ งดงั กล่าวดว้ ย คํายืม ตามธรรมชาติมักจะต้องมีการ เปล่ียนแปลงให้เข้ากับระบบภาษาของตน เพ่ือให้สามารถออกเสียงได้สะดวกเป็นประการแรก และ เปลีย่ นแปลงเพ่ือประโยชน์ทางการใช้ภาษาเปน็ ประการต่อมา คําบาลแี ละสนั สกฤตเม่ือเข้ามาในภาษาไทยจะมี การเปลยี่ นแปลง ๒ ประการใหญ่ๆ ดงั นี้ ๑. การเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาตขิ องภาษา การเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติของภาษาส่วนใหญ่เป็นการเปล่ียนแปลงทางด้านเสียง เนื่องจาก ระบบเสียงของคํายืมกับภาษาท่ียืมมานั้นต่างกัน ถือเป็นการกลายเสียงโดยไม่เจตนา เช่น คําไทยมักลงเสียง หนักที่พยางค์ท้าย นิยมลงท้ายคําด้วยเสียงพยัญชนะเป็นต้น คําบาลีสันสกฤตเมื่อเข้ามาอยู่ในภาษาไทยจะมี การเปลีย่ นแปลงทางด้ายเสยี งดังตอ่ ไปน้ี ๑.๑ การเปลีย่ นแปลงเสยี งสระ การเปลีย่ นแปลงเสยี งสระในคาํ บาลีและสนั สกฤตในภาษาไทยประกอบด้วย ก. การเปลีย่ นแปลงเสยี งสระทีม่ เี หมอื นกันทั้งบาลี สนั สกฤต และไทย มกี ารเปล่ียนแปลงหลายลักษณะดังนี้ (๑) การเปล่ียนแปลงเสียงสระสั้น – ยาว อาจเปลี่ยนแปลงจากเสียงส้ันเป็นเสียงยาว หรือ เสยี งยาวเป็นเสยี วสน้ั เพอื่ ใหอ้ อกเสียงไดส้ ะดวก หรอื ชดเชยบางเสยี งทีห่ ายไป เชน่ (๑.๑) เปล่ียนจากเสยี งสระอะ เป็น สระอา โอช เปน็ โอชา อนชุ เปน็ อนุชา กลปฺ เปน็ กลั ป์ปา อุร เป็น อุรา ทีป เปน็ ทีปา โศก เป็น โศกา เคท เป็น เคหา กลฺย เป็น กัลยา ชล เป็น ชลา ชวี เป็น ชวี า (๑.๒) เปล่ยี นแปลงจากสระอิ เป็น สระอี ราศิ เป็น ราศี สรุ ยิ เป็น สรุ ีย์ วาริ เป็น วารี รวิ เป็น รวี, รพี มุนีนฺทรฺ เปน็ มุนินทร์ รศฺมิ เปน็ รัศมี ปรฺ ยิ ฺ เปน็ ปรยี า โยนิ เป็น โยนี ปติ เป็น บดี อปรฺ ิย เปน็ อปั รยี ์ (๑.๓) เปล่ียนจากเสียงสระอุ เปน็ สระอู สูกร เป็น สุกร ไวกณุ ฐฺ เป็น ไวกูณฐ์ สญุ ฺญ เป็น สญู สาธุ เปน็ สาธ,ุ สาธู สถลู เป็น สถลุ วธุ เป็น วธ,ู พธู คหุ า เปน็ คูหา มฤตฺยุ เป็น มฤตฺยู
๖๓ ศตรุ เปน็ ศัตรู ฤตุ เป็น ฤดู การเปลี่ยนแปลงสระเสียงสน้ั – ยาว ของคาํ บาลีสันสกฤตในภาษาไทยนี้ ไม่ทําให้ความหมาย และหน้าท่ีทางไวยากรณ์ของคําน้ันเปล่ียนไป คือ สระเสียงยาวท้ายคําไม่ได้แสดงความหมายเป็นพหูพจน์ เหมือนเมอ่ื อยใู่ นภาษาเดมิ (๒) การเปลี่ยนแปลงในกลุ่มของเสียงที่เกิดที่เดียวกัน ท้ังน้ีเน่ืองจากภาษาไทยมีเสียงสระ มากกว่าภาษาบาลีและสันสกฤต จึงมีการเปลี่ยนแปลงในกลุ่มของสระหน้าด้วยกัน หรือสระหลังด้วยกัน รวมทง้ั สระประสมดว้ ย เอ, ไอ หรอื เอยี เช่น (๒.๑) ในกล่มุ สระหน้าดว้ ยกนั สระอิ – อี ในคําบาลีและสันสกฤต เม่ือมาอยู่ในภาษาไทยอาจเปลี่ยนแปลงเป็นสระ กฺษีณ เปน็ เกษียณ (สนิ้ , หมดไป) กฺษรี เปน็ เกษยี ร (นํ้านม) เกสรี เปน็ ไกรสรี, ไกรสร (สงิ โต) จิร เป็น เจยี ร ชรี เปน็ วิเชียร (ชํารุด, เกา่ คร่ําครา่ ) วิศาล เปน็ ไพศาล ตรี เปน็ เดียร (ฝง่ั ) ทรี ฺฆ เปน็ เทยี รฆ ศิร เป็น เศียร วชริ เปน็ วเิ ชียร วรี เปน็ เพยี ร วิตาน เป็น เพดาน (๒.๒) ในกลมุ่ สระหลงั ด้วยกัน สระอุ – อู ในคําบาลแี ละสนั สกฤต เม่ือมาอยใู่ นภาษาไทย อาจเปลย่ี นแปลงเปน็ สระโอะ โอ โกทณฑฺ เปน็ กทุ ัณฑ,์ เกาทณั ฑ์ (ธนู) อุสร เปน็ โอรส, เอารส กสุ ุม เปน็ โกสุม กมุ ทุ เป็น โกมทุ มโหฬาร เปน็ มเหาฬาร กุณฑิกา เป็น คนโท (๓) การเปลีย่ นแปลงในกลุ่มของเสียงที่มที เี่ กดิ ตา่ งกัน เป็นการเปล่ยี นแปลงท่ีไม่กาํ หนดเป็น กฎเกณฑต์ ายตัวลงไปได้ อาจเนอื่ งมาจากการเลือกใชต้ ามถนัด หรอื อิทธิพลของเสียงที่มาข้างหนา้ หรือตามหลงั บางเสยี ง หรือการใช้แนวเทยี บ กบั เสยี งสระในคาํ ไทยท่คี ล้ายคลงึ กันบางคาํ เสยี งท่ีมีการเปล่ียนแปลงเปน็ เสียง ต่างทเี่ กิดกันหลายเสียง ได้แก่ เสียงสระ อะ คําบาลีและสันสกฤตท่ีมีเสียงสระอะ จะไม่มีรูปสระปรากฏอยู่เมื่อเข้ามาอยู่ใน ภาษาไทยหากไม่ออกเสียงคงเดิม เช่น ศศิ รวิ วธู ตรุ ฯลฯ จะเกิดการเปลยี่ นแปลงเป็นเสียงตา่ งๆ ดังนี้
๖๔ (๓.๑) เปล่ียนเสยี งสระ ออ ในพยางค์ที่ไม่มีตัวสะกด เน่ืองจากพยัญชนะไทยเม่ือไม่ ปรากฏรปู สระ จะออกเสียงเปน็ ออ เช่น ธรณี (ทอ-ระ-น)ี บดี (บอ-ด)ี วรวรรณ (วอ-ระ-วัน) ภรณี (พอ-ระ-น)ี กรณี (กอ-ระ-นี) จรดล (จอ-ระ-ดน) ฉทาน (ฉอ-ทาน) บวร (บอ-วอน) (๓.๒) เปลยี่ นเสียงสระ ออ เม่ือมตี ัวสะกดเปน็ ร เช่น พร, วร, สร, กร, จร, ธร, บวร, อดุ ร เป็นต้น (๓.๓) เปน็ เสียง เอา เม่อื มีตัวสะกดเปน็ ว เช่น นวรตั น์ (เนา-วะ-รัด) ชวน (เชา-วะ-นะ) สวภาพ (เสา-วะ-พาบ) เปน็ ต้น (๓.๔) เปน็ เสียง โอะ เมอื่ มีตวั สะกดท่ัวไป เชน่ คช, กล, พล, นนท์, รถ, บท, โชดก เป็นต้น และถ้าต้องการใหเ้ ป็นเสยี ง อะ เม่ือ มีตัวสะกดต้องใช้รู้หันอากาศกํากับไว้ข้างบท เช่น อัศวิน, ดัสกร, สัตตบงกช, อัตถประโยชน์, หัสดิน, ศรัทธา, ปราศรัย, ยักษ์, อาลัย, อัมพา เว้นแต่เม่ือใช้ รร ในคําท่ีมาจาก ร ของ สันสกฤต ไม่ต้องมีรูปหันอากาศกํากับ เชน่ อรรถ, วรรค, วรรณ, บรรณ, พรรษา เปน็ ตน้ (๓.๕) เปล่ยี นเป็นเสียงสระอืน่ ๆ โดยไมส่ ามารถกาํ หนดเหตผุ ลได้ เช่น อะ เป็น อิ วชริ ะ เป็น วิเชียร วกลุ เปน็ พกิ ลุ วรณุ เป็น พริ ุณ อะ เป็น อึ ตรกฺ เป็น ตรึก อะ เป็น เอ ปญจฺ เป็น เบญจ ปญฺญา เป็น เบญญา อะ เปน็ อุ ภมร เปน็ ภุมรา พทร เป็น พทุ รา อุสภ เปน็ อุสุภ อะ เปน็ โอ กมล เป็น โกมล อะ เปน็ เอาะ ครฺ ห เปน็ เคราะห์ ปณฑฺ ก เป็น บัณเฑาะก์ (กระเทย)
๖๕ อะ เป็น เอา คฺรหณี เป็น เคราหณี (ครรภ์) อิ, อี เป็น อ,ึ อื อนกี เป็น อนึก (กองทัพ) โชตกิ เปน็ โชดกึ มหิมา เปน็ มหมึ า ๔. เปล่ียนแปลงโดยการตัดเสียงสระท้ายคํา เสียงสระท้ายคําท่ีมักตัดออกได้แก่เสียง อะ, อิ, อุ ซึ่งเป็นสระเสียงส้ัน ไม่สะดวกแก่การออกเสียง และด้วยเหตุที่สระ อะ ในภาษาบาลีและสันสกฤตไม่ปรากฏ รูปในคําดังกล่าวแล้ว คําบาลีและสันสกฤตที่มีเสียง อะ ท้ายคํา เมื่อมาอยู่ในภาษาไทยจึงตัดเสียงออก ตาม ระบบการเขยี นภาษาไทย ซ่งึ ถอื พยญั ชนะทา้ ยคาํ ทไ่ี มม่ รี ปู สระกํากบั เป็นตัวสะกด อกี เหตหุ นงึ่ ด้วย เชน่ ชล (jala) เป็น ชล (chon) กมล (kamala) เปน็ กมล (ka-mon) วย (vaya) เป็น วยั (way) ด้วยเหตุผลประการเดียวกัน คือ ท้ายคําเป็นสระเสียงส้ันไม่สะดวกในการออกเสียงคําบาลี สันสกฤตท่ีมีพยางค์ทา้ ยเป็นเสยี ง อะ, อ,ิ อุ จงึ ตัดเสยี งออกไปดว้ ย เช่น จนทร (candra) เปน็ จนั ทร์ (can) กลป (kalpa) เปน็ กลั ป์ (kan) โชติ (joti) เปน็ โชติ (choot) พนธุ (bandhu) เปน็ พันธ์ุ (phan) ฤทธิ (rddhi) เปน็ ฤทธิ์ (rit) ข. การเปลี่ยนแปลงเสียงสระที่มีไมม่ ใี นภาษาไทย เสยี งสระภาษาบาลแี ละสันสกฤตท่ีไม่มีในภาษาไทย ได้แก่ เสียง ไอ มีตัวสะกด เสียงสระ เอ มี ย สะกด เม่ือคําท่ีมีเสียงสระเหล่านี้เข้ามาในภาษาไทย จึงต้องเปล่ียนแปลงเสียงไปเป็นสระที่มีเสียง ใกล้เคียงท่ีสดุ คอื เสียง ไอ มตี ัวสะกดเปลยี่ นเป็นเสยี ง เอ มตี วั สะกด เช่น ไสนยา เปน็ แสนยา(กองทพั ) ไวศย เป็น แพศย์ (พอ่ คา้ ) เสยี ง เอ มี ย สะกด (ey) เปล่ียนเป็นเสยี ง ไอ เช่น เวเนยย (veneyya) เป็น เวไนย (we –nay) เทยย (deyya) เป็น ไทย (thay) เชยย (jeyya) เป็น ไชย (chay) ๑.๒ การเปลีย่ นแปลงเสียงพยญั ชนะ การเปลย่ี นแปลงเสียงพยญั ชนะในภาษาบาลี การเปลี่ยนแปลงเสียงพยัญชนะในภาษาบาลีส่วนมากแล้วจะเหมือนกันกับเสียงพยัญชนะใน ภาษาสันสกฤตแต่ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนเห็นจะเป็นพยัญชนะ ศ ษ ซ่ึงไม่มีในภาษาบาลี จะเห็นได้ว่า ลกั ษณะของการเปล่ียนแปลงของภาษาบาลีจงึ เหมอื นกันกับภาษาสันสกฤต และเสียงพยัญชนะจะใกล้เคียงกัน เพียงแต่ว่าภาษาไทยจะยืมคําของภาษาบาลีหรือสันสกฤตมาใช้เท่านั้นเอง ตัวอย่างคําว่า “เศรษฐี” เป็นภาษา
๖๖ สันสกฤตที่ไทยยืมมาใช้ ส่วนภาษาบาลีนั้นเขียนเป็น “เสฏฐี” ซึ่งเราไม่นิยมนํามาใช้ในภาษาไทย และอีก ตวั อยา่ งคาํ ว่า “บดิ า” มาจากภาษาบาลี “ปติ า” ในภาษาสนั สกฤตเขียนเป็น “ปิตฤ” (ปิดตะร)ึ เปน็ ต้น ลักษณะของการเปล่ียนแปลงพยัญชนะของภาษาบาลีจึงมีลักษณะคล้ายกับภาษาสันสกฤตจะ แตกต่างกนั เฉพาะคําใดเป็นภาษาบาลีหรือสันสกฤตเท่านนั้ ดังตวั อย่าง ก. เปล่ยี นแปลงพยัญชนะ ต เปน็ ด ภาษาบาลี ไทยนํามาใช้ คหปติ คหบดี ข. เปลยี่ นแปลงพยัญชนะ ป เปน็ บ ไทยนาํ มาใช้ ภาษาบาลี บญุ ปุญฺญ บคุ คล ปคุ ฺคล บปุ ผา ปุปฺผา ค. เปลี่ยนแปลงพยญั ชนะ ฏ เป็น ฎ ไทยนาํ มาใช้ ภาษาบาลี สาฎก สาฏก ง. เปลี่ยนแปลงพยญั ชนะ ว เปน็ พ ไทยนํามาใช้ ภาษาบาลี พัฒนา วฑฒฺ นา พิรยิ ะ วิรยิ เพชร วชิร จ. ตดั พยญั ชนะ ฏ และ ฑ ออก เช่น ไทยนาํ มาใช้ ภาษาบาลี ทิฐิ ทิฏฐิ รฐั รฏฐ วฒุ ิ วฑุ ฒฺ ิ อฒั (อฒั จนั ทร์) อฑฺฒ อฐั ิ อฏฐิ ฉ. เปลย่ี นแปลงเสยี งพยญั ชนะตวั สดุ ทา้ ยเปน็ ตวั สะกด ภาษาบาลี ไทยนํามาใช้ โอวาท โอวาท กิเลส กเิ ลส คณุ คุณ
๖๗ ช. คงรูปไว้ตามเดมิ ไทยนํามาใช้ ภาษาบาลี วญิ ญู วิญญฺ ู วปิ สั สนา วปิ สฺสนา ภรยิ า ภรยิ า เวฬุ เวฬุ หตั ถี หตฺถี อติ ถี อิตฺถี อาวุโส อาวโุ ส การเปลยี่ นแปลงเสยี งพยัญชนะในภาษาสนั สกฤต พยญั ชนะในภาษาไทยมมี ากกว่าพยัญชนะในภาษาสันสกฤต ๑๐ ตัว คือ ฃ ฅ ซ ฎ ด บ ฝ ฟ อ และ ฮ พ่อขุนรามคําแหงทรงประดิษฐ์ข้ึนเพ่ือสะดวกในการออกเสียง เนื่องจากคําภาษาสันสกฤตใน ภาษาไทย มีเสียงพยัญชนะบางตัวออกเสียงยากสําหรับคนไทย การเปลี่ยนแปลงเสียงพยัญชนะในภาษา สนั สกฤตสว่ นมากก็อยู่ในพยัญชนะ ๑๐ ตัว ท่พี ยัญชนะไทยไดค้ ดิ เพิม่ เติม ดังนี้ ก. เปล่ยี นแปลงพยัญชนะ ต เป็น ด ภาษาสนั สกฤต ไทยนาํ มาใช้ กฤฺ ต กฤด กรี ฺติ กฤดิ กฺษิติ กษดิ ิ คฤฺ หปติ คฤหบดี มกุ ฺตา มุกดา ข. เปลีย่ นแปลงพยญั ชนะ ว เป็น พ ไทยนาํ มาใช้ ภาษาสันสกฤต กาพย์ กาวฺย ไกรพ, เการพ ไกรว จักรพาก จกรฺวาก ตรีทพิ ตฺริทวิ ทรพี ทรฺวี ค. เปลยี่ นแปลงพยญั ชนะ ฏ เป็น ฎ ไทยนาํ มาใช้ ภาษาสนั สกฤต เจษฎา เจษฏฺ า ง. เปลีย่ นแปลงพยญั ชนะ ร เป็น พ ไทยนํามาใช้ ภาษาสนั สกฤต ทรพี ทรวฺ ี ตมุ พ ตุมรฺ
๖๘ ไทยนาํ มาใช้ ผรสุ จ. เปล่ยี นแปลงพยัญชนะ ป เปน็ ผ ภาษาสนั สกฤต ไทยนํามาใช้ ปรศุ นาฬกิ า ประวาฬ ฉ. เปลย่ี นแปลงพยัญชนะ ฑ เป็น ฬ เอฬก ภาษาสันสกฤต ปีฬา นาฑกิ า ปีฬกา ปรฺ วาฑ จุฬา เอฑก ปีฑา ไทยนํามาใช้ ปฑี กา ยกั ขนิ ี จฑุ า อารักขา สักขี ช. เปลย่ี นแปลงพยญั ชนะ ษ เป็น ข เสกขะ ภาษาสันสกฤต ทกั ขิณา ยกษฺ ิณี โมกข อารกษฺ สากฺษี ไทยนํามาใช้ ไศกษฺ สิงคาร ทกษฺ ิณา โสณี โมกษฺ สาวก ซ. เปลี่ยนแปลงพยัญชนะ ศรฺ เปน็ ส ไทยนํามาใช้ ภาษาสนั สกฤต โอฬาริก ศฤฺ งฺคาร โทหฬะ โศรณี อุฬาร ศฺราวก ไทยนาํ มาใช้ ฌ. เปลี่ยนแปลงพยญั ชนะ ท เปน็ ฬ สถปู ภาษาสันสกฤต เอาทาริก โทหท อุทาร ญ. เปล่ียนแปลงพยญั ชนะ ต เป็น ถ ภาษาสนั สกฤต สตฺ ูป
๖๙ ฎ. เปล่ียนแปลงพยญั ชนะ ปฺร เปน็ ป และ ติ เปน็ ฏิ ภาษาสันสกฤต ไทยนาํ มาใช้ ปรฺ ติ ปฏิ ปฺรติทิน ปฏิทิน ปฺรติปกษฺ ปฏปิ ักษ์ ปรฺ ตพิ ทธฺ ปฏพิ ัทธ์ สันสกฤตดังน้ี การเปลี่ยนแปลงเสียงพยัญชนะในภาษาบาลแี ละสนั สกฤต ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างคําท่ีการเปล่ียนแปลงเสียงพยัญชนะที่เป็นได้ทั้งคําภาษาบาลีและ ก. เปล่ียนแปลงพยญั ชนะ ต เปน็ ด ไทยนํามาใช้ ภาษาบาลีและสันสกฤต คณบดี คณปติ บดี ปติ เสนาบดี เสนาปติ ดารา ตารา จนิ ดา จินตฺ า อดีต อตีต ข. เปลยี่ นแปลงพยัญชนะ ป เปน็ บ ไทยนาํ มาใช้ ภาษาบาลแี ละสันสกฤต กบฏ กปฏ กบาล กปาล กบิล กปลิ เกาบนิ โกปิน บาป ปาป บชู า ปชู า อปุ สมบท อุปสมฺปทา ค. เปลี่ยนแปลงพยญั ชนะ ฏ เปน็ ฎ ไทยนํามาใช้ ภาษาบาลแี ละสันสกฤต กฎุ มุ พี กฏุ มพฺ ี คนั ธกฎุ ี คนฺธกฏุ ิ ปิฎก ปิฏก ง. เปล่ยี นแปลงพยญั ชนะ ว เป็น พ ไทยนํามาใช้ ภาษาบาลแี ละสันสกฤต พจน์ วจน พาณชิ วาณิช
๗๐ ววิ าท พพิ าท วิปตฺติ พิบตั ิ ทวิ า ทิพา จ. เปลีย่ นแปลงเสยี งพยัญชนะตัวสุดทา้ ยเป็นตวั สะกด ภาษาบาลีและสันสกฤต ไทยนํามาใช้ อาพาธ อาพาธ อาหาร อาหาร กาย กาย อาวาส อาวาส โจร โจร มหาชน มหาชน ชล ชล กมุ าร กุมาร ฉ. คงรปู ไวต้ ามเดิม ไทยนํามาใช้ ภาษาบาลแี ละสันสกฤต คาถา คาถา นาวา นาวา นารี นารี วาจา วาจา สภา สภา ๒. การเปล่ียนแปลงเพ่ือประโยชนท์ างการศึกษา เป็นการเปลี่ยนแปลงตามเจตนา เพ่ือให้มีรูปคําใช้ในภาษาไทยเพิ่มมากขึ้น สนองความมุ่งหมาย ประการต่างๆ ทางด้านภาษา ส่วนใหญ่สังเกตได้ว่าเป็นการเปล่ียนแปลงเพ่ือใช้ในการแต่งคําประพันธ์ และมี บางคําท่ีติดเข้ามาใช้ในภาษาพูดและภาษาเขียนด้วย การเปลี่ยนแปลงเพ่ือประโยชน์การใช้ภาษา อาจแบ่ง ออกเป็น ๕ ประเภท ดังน้ี ๑. การตดั เสียง ๒. การเตมิ ๓. การเปลยี่ น ๔. การแผลง ๕. การแปลงความหมาย ลักษณะของการเปล่ียนแปลงในข้อ ๑ – ๔ เป็นการเปลี่ยนแปลงด้านรูปคําและการออกเสียง โดย ความหมายคงเดมิ หรอื เปลย่ี นไป ส่วนในขอ้ ๕ เปน็ เรื่องของการเปล่ยี นแปลงความหมายโดยเฉพาะ ดังต่อไปนี้ ๑. การตัด เป็นการเปล่ียนแปลงเพื่อให้สะดวกแก่การออกเสียง การเขียน จํากัดพยางค์ให้พอดีกับ ท่ีกําหนดไวใ้ นฉนั ทลักษณ์ เม่ือตดั แลว้ ยังคงใชใ้ นความหมายเต็มศพั ท์
๗๑ ก. การตดั พยางคห์ นา้ เชน่ พสุธา (แผ่นดิน) เป็น สุธา รณรงค์ (การรบ) เป็น ณรงค์ ข. การตัดพยางค์กลาง เชน่ อรุโณทยั เป็น อโณทยั สถาพรผล เป็น สถาผล ชลนัยนา เปน็ ชลนา ค. การตดั พยางคท์ า้ ย เชน่ อโหสกิ รรม เป็น อโหสิ เอกา เปน็ เอ ง. การตัดตัวสะกดที่เป็นตัวอักษรซํ้า และอักษรซ้อน ไม่ตัวตามไม่มีสระกํากับหรือตัว ตามประสมสระ อิ เฉพาะคาํ ทีร่ ับมาจากภาษาบาลี เชน่ เขตต เป็น เขต อฏฐฺ ิ เปน็ อัฐิ จ. การเติมการันต์อักษรท่ีไม่ต้องการออกเสียง อาจฆ่าเสียงต้ังแต่เสียงเดียว สองเสียง หรอื หลายเสียง เช่น วิเลปน เป็น วเิ ลปน์ สุรยิ ะ เป็น สุรยี ์ ๒. การเตมิ แบ่งเป็น ก. การเพิ่มพยางค์ มักทาํ เพอ่ื ประโยชนท์ างฉนั ทลกั ษณ์ เพ่อื ให้เสยี งไพเราะ เช่น ลีลา เปน็ ลีลาศ นภา เปน็ นภาภางค์ ข. การเพมิ่ พยัญชนะ เพอ่ื ประโยชนท์ างฉันทลกั ษณ์ มายา เปน็ มายาท นิร เปน็ นิราศ ค. การเพ่ิมรูปสระ เพื่อกําหนดเสียงคํา เช่น เพิ่มรูปหันอากาศในคําที่ต้องการออกเสียง อะ มตี ัวสะกด ชย เปน็ ชัย วย เปน็ วยั ๓. การเปล่ียน ประกอบดว้ ยการเปล่ียนรูปสระ การเปล่ียนเสียงสระ การเปลี่ยนรูปพยัญชนะ เพื่อ ประโยชน์ในการหลากคาํ ดังนี้ ก. การเปลย่ี นสระจาก อะ เปน็ อา คือ สรุ ิยะ เปน็ สริยา กมล เปน็ กมลา ข. การเปล่ียนสระ สระ ฤ ของสันสกฤต ไทยออกเสียงเป็น ๓ แบบ โดยมีกฎเกณฑ์ที่ แน่นอน คอื - ออกเสียงเป็น ริ เมอื่ ขึน้ ตน้ ดว้ ย ก ต ท ป ศ ส เชน่ กฤษณา ตฤณ ทฤษฎี
๗๒ - ออกเสยี งเป็น รึ เม่ือขึ้นต้นดว้ ย ค น พ ม ห เชน่ คฤนท์ พฤนท์ นฤมล - เมอื่ อยตู่ น้ คาํ ออกเสียงเปน็ ริ, รึ เมือ่ อยูต่ ้นคาํ เช่น ฤดู ฤทัย ฤดี ฤกษ์ ค. การเปล่ียนรูปพยญั ชนะ - ว เป็น พ เช่น วิวาท เปน็ พิพาท วงศ์ เป็น พงศ์ - ป เป็น พ เช่น ปรพิ าชก เปน็ บรพิ าชก ปริวรรต เป็น บรวิ รรต - ต เปน็ ด เชน่ อันตรธาน เป็น อนั ดรธาน ปรีติ เป็น ปรดี ี ๔. การแผลง เป็นการนําเอาอักขรวิธีไทยและอักขรวิธีเขมรท่ีไทยรับมา วิธีสนธิ ตลอดจนวิธีการ ผันเสียงทา้ ยคาํ ของบาลสี ันสกฤต มาใชเ้ พอ่ื ให้เกดิ รูปคํามากข้ึน ได้แก่ ก. การแผลง ฤ, ร เป็น รร เชน่ วรณ เปน็ วรรณ ข. การแผลง คระ – ครร, กะ – กรร, ปริ – บรร เชน่ กลี เปน็ กระล,ี กรรลี ค. แผลง ข เป็น กระ เช่น ขจร เป็น กระจร ง. ลง น เช่น สุข เป็น สนขุ จ. ลง อํา เช่น อมฤต เป็น อํามฤต ฉ. ลง อาํ น เช่น เจยี ร เป็น จําเนยี ร คูณ เป็น คาํ นวณ ช. ลง บงั เชน่ เหตุ เป็น บังเหตุ ฌ. แผลงเสยี งไมต่ ามฐานทเี่ กิดเดยี วกนั ได้แก่ - อิ, อี, ย เป็น เอ, ไอ, เอยี เช่น ดิรัจฉาน เป็น เดรัจฉาน, เดยี รฉาน วหิ าร เปน็ ไพหาร - อุ, อู, ว เป็น โอ, เอา, เอาว, อัว เชน่ นว เป็น เนาว สนุ ีย์ เปน็ สวนยี ์, เสาวนีย์
๗๓ ญ. แผลงโดยการเพ่มิ รปู วรรณยุกต์ มักเป็นรูปวรรณยกุ ตเ์ อก เชน่ พยหุ ะ เป็น พยหู่ ์ พทุ โธ เปน็ พทุ โธ่ ๕. การแปลงความหมาย ความหมายของคําในภาษาที่ยังใช้พูด ใช้เขียนกันอยู่ เช่น ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ฯลฯ ย่อมมกี ารเปล่ียนแปลงอยตู่ ลอดเวลา ตามสภาพแวดล้อมของแต่ละยุคแต่ละสมัย คําคําหน่ึงในสมัยหนึ่งอาจมีความหมายอีกอย่างหน่ึงในสมัยต่อมา ความหมายอาจเปลี่ยนไปเป็นอีกอย่างหน่ึง โดยทอ่ี าจมีเค้าความหมายเดมิ อยู่บ้าง หรือเปลี่ยนไปโดยไม่มีเค้าเดิมเลยก็ได้ เช่น บ้องแบ๊ว เดิมหมายความว่า หน้าตาไมส่ มประกอบ ปจั จุบันหมายความว่า หน้าตาน่ารัก ความหมายท่ีเปล่ียนแปลงไปตามสภาพและเวลา เชน่ นี้ เรียกว่า ความหมายโดยนัย ซึ่งแตกต่างจากความหมายโดยอรรถ อันเป็นความหมายประจาํ คําศัพท์ ลกั ษณะของการเปลยี่ นแปลงความหมายอาจกาํ หนดไว้กวา้ งๆ เปน็ ๔ ลกั ษณะ คอื ก. ความหมายแคบเข้า ข. ความหมายกวา้ งออก ค. ความหมายย้ายท่ี ง. ความหมายคงเดิม ลักษณะของการเปล่ียนแปลงความหมายของคํานี้ อาจเป็นได้ท้ังการเปล่ียนแปลงตามธรรมชาติ ของภาษา คอื ความหมายทก่ี ลายไปตามสภาพแวดลอ้ มและเวลา หรือเปลย่ี นแปลงไปเพื่อประโยชน์ทางการใช้ ภาษา คือ จงใจที่จะลายความหมายของคําใดคําหนึ่งไปโดยมีจุดประสงค์เฉพาะ ตัวอย่างเช่น การใช้คํา ปฏิพัทธ์ ซ่ึงแปลว่า ผูกพัน รักใคร่ มักใช้ในทํานองความรักระหว่างหญิงกับชาย มาใช้หมายถึงความรักใน ศาสนา ในนริ าศวัดเจา้ ฟ้า คําภาษาบาลีสันสกฤตท่ีไทยรับมาใช้มีการเปล่ียนแปลงความหมายทั้งโดยธรรมชาติ และเพื่อ ประโยชนท์ างการใช้ ดงั ต่อไปนี้ ก. ความหมายแคบเข้า คือ เดิมมีความหมายกว้างเป็นกลางท่ัวไปหรือหลายความหมาย แต่เรา รบั มาใช้เพยี งความหมายเดียว หรือจํากัดความหมายใหเ้ ป็นไปในทางใดทางหนึ่ง อาจเปน็ ทางดีหรอื ไมด่ ี เชน่ คาํ ความหมายเดิม ความหมายในภาษาไทย มายา อาํ นาจ, การแสดงออก, สิง่ ท่ี ความหลอกลวง ปราศจากสาระ พายุ ลม ลมแรง กรรม การกระทาํ ทุกข์, เดอื ดรอ้ น, ชัว่ ข. ความหมายกว้างออก คือ มีความหมายมากข้ึนไปจากเดิม อาจเป็นความหมายโดยนัย หรือ ความหมายเชงิ เปรยี บเทียบ เช่น คํา ความหมายเดมิ ความหมายในภาษาไทย คงคา แมน่ ํา้ คงคา แมน่ าํ้ บริเวณ ท่อี ยูข่ องพระ ขอบเขต คมั ภรี ์ ลึกซึ้ง ลกึ ซ้งึ , ตาํ รา
๗๔ ค. ความหมายย้ายที่ อาจเน่ืองด้วยสภาพแวดล้อม, เวลา, การซ้อนคํา, การตัดคํา แต่ก็ยังคงมีเค้า ของความหมายเดมิ อยู่บ้าง เชน่ คาํ ความหมายเดมิ ความหมายในภาษาไทย อนโุ ลม ตามขน้ั , ตามลําดบั จากสงู มาตาํ่ คล้อยตาม สมเพช ความสลด ความสงสาร, เอ็นดู อนาถ ไมม่ ีทพ่ี ่งึ น่าสงสาร, นา่ สังเวช ง. ความหมายเกดิ ใหม่ เกิดจากการแยกรูปคําใช้ การกลายเสียงเพื่อแยกความหมาย การประดิษฐ์ รูปศัพท์ใหม่ หรือจงใจสร้างความหมายใหม่ ความหมายท่ีเกดิ ข้นึ ใหม่นี้มกั จะไม่มีเค้าความหมายเดิม เช่น คํา ความหมายเดมิ ความหมายในภาษาไทย สวาท รสโอชะ รกั ภาวะ ความม,ี ความเปน็ สภาพความเปน็ อยู่ ราษฎร แว่นแคว้น ชาวเมอื ง สดุ า ลูกสาว ผ้หู ญิง การเปลี่ยนแปลงคําบาลีและสันสกฤต เพ่ือประโยชน์ทางการใช้ภาษาท้ังหมดท่ีกล่าวมาเป็นการ เปล่ยี นแปลงท่ีเกิดข้ึนโดยความตั้งใจของผู้ใช้ เพื่อให้มีคําและความหมายใช้ในภาษามากข้ึน ดังน้ันคําบาลีและ สันสกฤตเพียงคําเดยี ว เมื่ออยใู่ นภาษาไทย อาจประกอบดว้ ยหลายรูป และมีความหมายต่างๆกัน ตามลักษณะ การปรุงศพั ท์ เชน่ รวิ อาจเปน็ รวิ, รว,ี รพ,ิ รพ,ี รําไพ, อาจมีความหมายว่า ดวงอาทิตยห์ รืองาม การนําคําภาษาบาลีและสนั สกฤตมาใชใ้ นภาษาไทย คําภาษาบาลีและสันสกฤตท่ีไทยรับมาใช้ และเปล่ียนแปลงด้วยประการต่างๆ ดังท่ีกล่าวมาข้างต้น ได้ นาํ มาใช้ ๒ รูปแบบ คอื ก. การนํามาใชท้ างภาษา ข. การนํามาใชท้ างวรรณคดี ก. การนําคําภาษาบาลีและสันสกฤตมาใช้ทางภาษาเป็นการนําคําภาษาบาลีและสันสกฤตมา ใช้ทางการพูดและการเขียน ๑. การนํามาใช้ในทางการพูด คําบาลีและสันสกฤตที่ปะปนอยู่ในภาษาพูดของไทย มักเกิด การเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติของภาษา เพ่ือให้คนไทยออกเสียงได้สะดวกมากข้ึน เช่น การเปลี่ยนเสียง สระ เสียงพยัญชนะ การตดั พยางคต์ ามระบบเสียงภาษาไทย มากกวา่ การเปลย่ี นแปลงไปโดยตงั้ ใจ ๒. การนํามาใชใ้ นทางการเขียน คาํ บาลแี ละสันสกฤตท่ีใช้ในภาษาเขียนจะมีการเปลี่ยนแปลง ทงั้ ตามธรรมชาติของภาษา และเปล่ียนแปลงเพื่อประโยชน์ทางการใช้ภาษา อันเป็นการเปล่ียนแปลงโดยส่วน
๗๕ ใหญ่ เน่ืองจากภาษาเขียนต้องการรูปคําที่สละสลวย กะทัดรัดเหมาะสม การหลากคําและการหลาก ความหมาย ตลอดจนเสียงของคําท่ไี พเราะ เราอาจแยกคาํ บาลีและสนั สกฤตในภาษาเขียนได้ ๒ ประเภท คือ ๒.๑ คําภาษาบาลีและสันสกฤตในการเขียนเชิงวิชาการ คําบาลีและสันสกฤตที่ปรากฏ ในการเขียนเชิงวิชาการ ส่วนใหญ่จะเป็นการสร้างศัพท์ใหม่ หรือเรียกว่า ศัพท์บัญญัติ โดยการสมาสคําตามวิธี ของบาลีและสันสกฤต ศัพท์ท่ีเกิดข้ึนจะกลายเป็นศัพท์เฉพาะไม่แพร่หลายท่ัวไปและมีแนวโน้มท่ีจะเพิ่มข้ึน เร่อื ยๆ เชน่ กฤตกรรม บญั ญตั ิจากคาํ ภาษาอังกฤษวา่ Performance กลอปุ กรณ์ บญั ญตั ิจากคาํ ภาษาองั กฤษวา่ Device ททุ รรศนิยม บญั ญตั ิจากคาํ ภาษาองั กฤษวา่ Pressimism นันทนาการ บัญญัติจากคาํ ภาษาอังกฤษวา่ Recreation เศรษฐทรัพย์ บญั ญัตจิ ากคําภาษาองั กฤษวา่ Wealth ๒.๒ คําภาษาบาลีและสันสกฤตในการเขียนท่ัวไป คําภาษาบาลีและสันสกฤตในการ เขียนท่ัวไป นอกจากจะเปลี่ยนแปลง เช่น การตัด การเติม การเปลี่ยนรูปคํา ฯลฯ ดังท่ีได้กล่าวไว้ในการ เปลี่ยนแปลงเพ่ือประโยชน์ทางการใช้ภาษาแล้ว ลักษณะพิเศษอีกประการหน่ึงก็คือ การนําคําบาลีและ สันสกฤตมาสร้างคําตามวิธีการสร้างคําของไทย คือ การประสมคํา และการซ้อนคํา การซํ้าคําทําให้ได้คําใช้ มากขนึ้ มที ง้ั คําภาษาบาลแี ละสันสกฤตดว้ ยกนั คําบาลแี ละสนั สกฤตกับคาํ ไทย และคําบาลีและสันสกฤตกับคํา ยมื ภาษาอืน่ คาํ ซ้ึงเกดิ จากการสร้างคาํ ตามวธิ ขี องไทยน้บี างคําถกู นาํ ไปใชใ้ นภาษาพูดดว้ ย ดงั ตวั อย่าง - คําประสม เรียงคาํ ขยายไว้ขา้ งหลงั บาลี-สันสกฤตด้วยกัน เช่น นายกรัฐมนตรี วิชาการศกึ ษา บทบาท บาลี-สนั สกฤตกับคาํ ไทย เชน่ ข้อมูล ลงโทษ ลกั ษณะรว่ ม ขอโทษ นิฬกิ าปลุก บาลี-สันสกฤตกบั คําเขมร เชน่ ประชุมพเิ ศษ บาํ เพญ็ ประโยชน์ ดําเนนิ การ - คาํ ซ้อน บาลี-สนั สกฤตด้วยกนั เช่น ญาตมิ ิตร อทิ ธิฤทธ์ิ มิตรสหาย บาลี-สนั สกฤตกบั คําไทย เช่น หลักฐาน ปติ ยิ ินดี ขอบเขต จิตใจ ทรพั ยส์ ิน บาลี-สันสกฤตกับคําเขมร เช่น บวงสรวงบูชา - คาํ ซาํ้ บาลี-สนั สกฤตด้วยกัน เชน่ ชีวติ ชีวา วัฒนาถาวร ข. การนําคําภาษาบาลแี ละสันสกฤตมาใช้ทางวรรณคดี การใช้คําภาษาบาลีและสันสกฤตในวรรณคดี เป็นการใช้ที่อิสระจากกฎเกณฑ์ทั้งปวง ไม่ว่า จะเป็นกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติของเสียง หรือกฎเกณฑ์ทางอักขรวิธี กวีสามารถท่ีจะดัดแปลงเสียงรูป และ ความหมายของคําไปตามความตอ้ งการของตน เพอื่ ให้ตอ้ งฉันทลักษณ์ ผ้อู ่านจะต้องตีความเอาจากบริบท หรือ ฉันทลักษณ์ของคําประพันธ์แต่ละชนิดท่ีกวีเลือกใช้ อย่างไรก็ตามอาจต้ังข้อสังเกตลักษณะการใช้คําบาลีและ สันสกฤตทางวรรณคดไี ดด้ ังน้ี ๑. ใช้รูปและเสียงตลอดจนความหมายตรงกับภาษาเดิม ท้ังท่ีรูปดังกล่าวอาจจะไม่ปรากฏ ในทางภาษา ลักษณะเช่นนี้มักใช้ในคําประพันธ์ประเภทฉันท์ ซ่ึงมีการบังคับ ครุ-ลหุ โดยเฉพาะฉันท์ซ่ึงมีลหุ มาก เช่น มาลินีฉนั ท์ ๑๕
๗๖ จะพินจิ ฉยคดใี ด เที่ยงถบทใน พระธรรมนญู (สามคั คเี ภทคาํ ฉันท)์ ๒. เปลี่ยนแปลงรูปและเสียงเพื่อให้ต้องฉันทลักษณ์ ได้แก่ การตัด การเติม การแปลงและ การผันเสียงท้ายคาํ โดยไมม่ ีการเปลยี่ นแปลงความหมาย เช่น การตัด อธบิ ดี – ธบิ ดี จงยกหยิบธิบดเี ป็นท่ีตง้ั ก็ใช้ถังแทนสดั เห็นขัดขวาง การเติม ลีลา – ลีลาลาศ พอรงุ่ แสงสรุ ยิ าลลี าลาศ ลงเลียบหาดหวนคนงึ ถึงสมร (นิราศเมอื งแกลง) การแผลง รพี – รําไพ แลทีร่ ําไพตา เลงโลก พันแม่ (กาํ สรวลโคลงด้นั ) การผัดเสยี งท้ายคํา ชีวา – ชวี งั อศภุ กรรมกรรมฐานประหารเหตุ หวนสังเวชวา่ ชีวังจะสังขาร์ (นริ าศวัดเจ้าฟา้ ) การเอา ศ เขา้ ลิลิต โมรี – โมเรศ ยนิ ดีเสยี งโมเรศร้อง งุมงมุ (นริ าศหรภิ ุญไชย) ๓. ดดั แปลงรปู เขยี นเพ่ือเอ้ือสัมผัส มกั เป็นสมั ผสั ใน เช่น นพิ พาน – นฤพาน นีฤพาน, สมตงิ ส์ – สํามะดึงส์ เสด็จถึงบุรีนีฤพาน เคยโปรดปรานเปรียบเปีย่ มไดเ้ ทียมคน (นิราศภูเขาทอง) ๔. ใช้คําไมต่ รงความหมายเดมิ ต้องตคี วามจากบริบท เน่อื งจาก ก. เสียงใกลก้ ับคําที่หมายความถงึ จึงใช้สบั กนั เชน่ วบิ าก (ผล) กับ ลาํ บาก รโห (ลับ) กบั มโห (ใหญ)่ ถึงน้อยทรพั ยล์ บั หน้านริ าวรณ์ ไมแ่ รมรอนราวไพรใจรัญจวน (นิราศวดั เจ้าฟ้า) ข. ใชเ้ พราะต้องการเสยี งสัมผัส เชน่ อาํ มฤค ใชห้ มายถึง น้ําค้าง ทงั้ ต้องน้ําอมฤคเมอ่ื ดกึ เงยี บ แสนยะเยยี บเยือกเย็นเป็นเหนบ็ หนาว ค. การตดั คําผิดโดยตัดเอาสว่ นท่ีไมต่ รงกบั ความหมายมาใช้ เช่น
๗๗ อารักษ์ จาก เทวาอารักษ์ ใช้หมายถึง เทวดา ขออารกั ษ์หลักประเทศนเิ วศนว์ ัง เทพทง้ั เมอื งฟา้ สุราลยั ขอฝากนอ้ งสองรามารดาดว้ ย เอ็นดชู ่วยปกครองผอ่ งใส (นริ าศเมอื งแกลง)
Search
Read the Text Version
- 1 - 43
Pages: