วันสําคัญประจาํ เดือน มกราคม • 1 มกราคม วนั ขนึ ปใหม่ • • 9 มกราคม วนั เดก็ แหง่ ชาติ • • 7 มกราคม วนั วนั คลา้ ยวนั ประสตู ิ สมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอ เจา้ ฟาสิรวิ ณั ณวรี นารรี ตั นราชกญั ญา • • 13 มกราคม วนั การบนิ แหง่ ชาติ • • 14 มกราคม วนั ทรพั ยากรปาไมแ้ หง่ ชาติ • • 16 มกราคม วนั ครูแหง่ ชาติ • • 17 มกราคม วนั พอ่ ขนุ รามคําแหงมหาราช วนั โคนมแหง่ ชาติ • • 18 มกราคม วนั กองทพั ไทย วนั ยทุ ธหตั ถี วนั สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช • หเอปงด สบมรยดุ กิกปเาวรรน ะทวชันุกาหวชยันนดุ นจ0ักงั8ขห.ัต3ว0ฤดั ก-นษค16ร.ส30วรนร.ค • FACEBOOK • สมัครสมาชกิ ไดฟรี { ห้ อ ง ส มุ ด ป ร ะ ช า ช น จั ง ห วั ด น ค ร ส ว ร ร ค์ } หลกั ฐานการสมัคร 1.รปู ถายขนาด 1 นวิ้ 2.สาํ เนาบัตรประชาชน
สุขสันต์ วนั ปใหม่ ปใหม่ หรอื วนั ขึนปใหม่ 2564 หรอื ปใหมภ่ าษาองั กฤษ วา่ HAPPY NEW YEAR 2021 มาถึง แลว้ วนั ขึนปใหม่ หลาย ๆ คนคงชอบทจี ะไดห้ ยดุ หลาย ๆ วนั วา่ แตท่ หี ยดุ และฉลองปใหมก่ นั อยทู่ กุ ป แลว้ รูห้ รอื ไมว่ า่ ประวตั ปิ ใหม่ หรอื วนั ขึนปใหม่ มคี วามเปนมาอยา่ งไร วนั นีเรามคี วาม หมายวนั ขึนปใหม่ ประวตั วิ นั ขึนปใหม่ มาฝาก ความหมายของวนั ขนึ ปใหม่ วันขึนปใหม่ ตามความหมายในพจนานุกรมให้ความหมายคําว่า \"ป\" หมายถึง เวลาชัวโลก โคจรรอบดวงอาทิตย์ครังหนึ งราว 365 วัน หรือเวลา 12 เดือนตามสุริยคติ ดังนั น \"ปใหม่\" จึงหมายถึง การขึนรอบใหม่หลังจาก 12 เดือน หรือ 1 ป ความเปนมาวนั ปใหมใ่ นประเทศไทย สําหรับวันปใหม่ในประเทศไทยนั น แต่เดิมเราถือเอาวันแรม 1 คา เดือนอ้าย ซึงตรงกับเดือน มกราคม เปนวันขึนปใหม่ เพือให้สอดคล้องกับคติแห่งพระพุทธศาสนา ทีถือช่วงเหมันต์หรือหน้ า หนาวเปนการเริมต้นป ต่อมาได้เปลียนแปลงไปตามคติพราหมณ์ คือถือเอาวันขึน 1 คา เดือน 5 เปน วันขึนปใหม่ ซึงตรงกับวันสงกรานต์ ดังนั น ในสมัยโบราณเราจึงถือเอาวันสงกรานต์เปนวันขึนปใหม่ ของไทย เหตผุ ลเปลยี นวนั ขนึ ปใหม่ จาก 1 เมษายน เปน 1 มกราคม ต่อมาก็ได้มีการพิจารณาเปลียนวันขึนปใหม่อีกครังหนึ ง ซึงได้แต่งตังคณะกรรมการขึนมา โดยมี หลวงวิจิตร วาทการ เปนประธานคณะกรรมการ และทีประชุมก็ได้มีมติเปนเอกฉั นท์ให้เปลียนวันขึนปใหม่ เปนวันที 1 มกราคม พ.ศ. 2484 ในวันที 24 ธันวาคม ในสมัยคณะรัฐบาลของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยเหตุผลสําคัญก็คือ เปนการไมข่ ดั กบั หลกั พทุ ธศาสนาในดา้ นการนับวนั เดอื น และการรว่ มฉลองปใหมด่ ว้ ยการทําบญุ เปนการเลกิ วธิ นี ําเอาลทั ธพิ ราหมณ์มาครอ่ มศาสนาพทุ ธ ทําใหเ้ ขา้ ส่รู ะดบั สากลทใี ชอ้ ยใู่ นประเทศทวั โลก เปนการฟนฟวู ฒั นธรรม คตนิ ิยม และจารตี ประเพณีของชาตไิ ทย ตงั แตน่ ันมา วนั ขนึ ปใหมข่ องไทยจงึ ตรงกบั วนั ที 1 มกราคม ของทกุ ป เหมอื นดงั เชน่ วนั ขนึ ปใหมข่ องประเทศอนื ๆ ทวั โลก
คําขวญั วนั เดก็ วนั เดก็ แหง่ ชาติ ป 2564 งานวนั เดก็ แห่งชาติ จดั ขึนเปนครงั แรกเมอื วนั จนั ทรแ์ รก 'เดก็ ไทยวถิ ใี หม่ ของเดอื น ตลุ าคม พ.ศ.2498 ตามคําเชญิ ชวนของ นายว.ี เอม็ . รวมไทยสรา้ งชาติ ดว้ ยภกั ดมี คี ณุ ธรรม' กลุ กานี ผแู้ ทนองคก์ ารสหพนั ธเ์ พอื สวสั ดภิ าพเดก็ ระหวา่ ง ประเทศแห่งสหประชาชาติ เพอื ให้ประชาชนเห็นความสําคญั พล.อ.ประยทุ ธ์ จนั ทรโ์ อชา และความตอ้ งการของเดก็ และเพอื กระตนุ้ ให้เดก็ ตระหนักถงึ นายกรฐั มนตรี บทบาทอนั สําคญั ของตนในประเทศ โดยปลกู ฝงให้เดก็ มสี ่วน รว่ มในสังคม เตรยี มพรอ้ มให้ตนเองเปนกาํ ลงั ของชาติ งานวนั เดก็ แหง่ ชาติ จดั ขนึ ทกุ ปในวนั จนั ทรแ์ รกของเดอื น ตลุ าคม ถงึ ป พ.ศ.2506 และในป พ.ศ.2507 ไมส่ ามารถจดั งานวนั เดก็ ไดท้ นั จงึ ไดเ้ รมิ จดั อกี ครงั ในป 2508 โดยเปลยี นเปน วนั เสาร์ ทสี อง ของเดอื นมกราคม เนืองจากเหน็ วา่ เปนชว่ งหมดฤดฝู นและเปนวนั หยดุ ราชการ จนถงึ ทกุ วนั นี คําขวญั วนั เดก็ เปนคําขวญั ทนี ายกรฐั มนตรมี อบใหเ้ ดก็ ไทย เนืองในโอกาสวนั เดก็ แหง่ ชาตขิ อง ทกุ ป โดย คําขวญั วนั เดก็ มขี นึ ครงั แรกเมอื ป พ.ศ.2499 ในสมยั ทจี อมพล ป.พบิ ลู สงคราม ดาํ รง ตาํ แหน่งนายกรฐั มนตรี วา่ \"จงบาํ เพญ็ ตนใหเ้ ปนประโยชน์ตอ่ ผอู้ นื และส่วนรวม\" ตงั แตป่ พ.ศ.2502 จอมพลสฤษดิ ธนะรชั ต์ ซงึ ดาํ รงตาํ แหน่งนายกรฐั มนตรี ไดใ้ ห้ คณุ คา่ ความสําคญั ของเดก็ จงึ มอบคําขวญั ให้เปนข้อคตเิ ตอื นใจสําหรบั เดก็ ปละ 1 คําขวญั (กอ่ นถงึ วนั เดก็ แห่งชาต)ิ นายกรฐั มนตรสี มยั ตอ่ มาจงึ ไดถ้ อื เปนธรรมเนียมสืบเนืองมา จนถงึ ปจจบุ นั
การศกึ ษา พระราชประวตั ิ พระองคท รงสาํ เร็จการศึกษาระดบั ชนั้ มธั ยมศึกษาปท ่ี 6 จากโรงเรยี นจิตรลดา จากน้นั ทรงเขาศกึ ษาตอ ท่ีคณะศลิ ปกรรม สมเดจ็ พระเจา ลกู เธอ เจา ฟา สริ วิ ณั ณวรี นารรี ตั น ศาสตร ภาควชิ านฤมติ ศิลป จุฬาลงกรณ ราชกญั ญา ประสตู เิ มอื่ วนั ท่ี 8 มกราคม พ.ศ.2530 มหาวิทยาลยั โดยทรงสําเรจ็ การศกึ ษา ทรงเปน พระราชธดิ าพระองคท ่ี 2 ในพระบาทสมเดจ็ เกยี รตนิ ิยมอันดบั 1 (เหรียญทอง) และทรง พระเจา อยหู วั ทรงเปน พระราชนดั ดาในพระบาท ไดรบั รางวลั นสิ ติ ดีเดน ประจาํ ปก ารศึกษา สมเดจ็ พระบรมชนกาธเิ บศร มหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช 2551 กอ นเขา ศกึ ษาตอ ระดบั ปริญญาโทท่ี มหาราช บรมนาถบพติ ร และสมเดจ็ พระนางเจา สริ กิ ิ สถาบนั เอโกล เดอ ลา ฌอมปซินดกิ ัล เดอ ติ์ พระบรมราชนิ นี าถ พระบรมราชชนนพี นั ปห ลวง ลา กตู ูรปารเี ซียง ประเทศฝรงั่ เศส มพี ระเชษฐภคนิ แี ละพระอนชุ า 2 พระองค คอื สมเดจ็ พระเจา ลกู เธอ เจา ฟา พชั รกติ ยิ าภานเรนทริ า พระอจั ฉรยิ ภาพที่โดดเดน เทพยวดี และสมเดจ็ พระเจา ลกู ยาเธอ เจา ฟา ทปี ง กรรศั มโี ชติ มหาวชโิ รตตมางกรู สริ วิ บิ ลู ยราช พระเจา ลกู เธอ เจา ฟา สริ วิ ณั ณวรี นารรี ตั น กมุ าร ราชกญั ญา ยงั ทรงมพี ระอจั ฉรยิ ภาพดา น พระปรีชาสามารถ กฬี าทโ่ี ดดเดน โดยทรงโปรดกฬี า แบดมนิ ตนั และการขมี่ า สมเดจ็ พระเจา ลกู เธอ เจา ฟา สริ วิ ณั ณวรี โดยทรงเรม่ิ เลน กฬี าแบดมนิ ตนั นารรี ตั นราชกญั ญา ทรงมพี ระปรชี า สามารถดา นการออกแบบแฟชนั่ และ ตง้ั แตท รงศกึ ษามธั ยมศกึ ษาปท ่ี เครอ่ื งประดบั โดดเดน เปน ทยี่ อมรบั ใน 3 และทรงผา นการคดั เลอื กเปน ระดบั นานาชาติ โดยทรงออกแบบเสอื้ ผา นกั กฬี าแบดมนิ ตนั ทมี ชาตไิ ทย ภายใตแ บรนด “SIRIVANNAVARI” และ เขา รว มการแขง ขนั ซเี กมส ครง้ั ท่ี S’Home เสอื้ ผา ของสตรแี ละบรุ ษุ ไดร บั เสยี งชน่ื ชมอยา งเนอื งแนน ในวงการแฟชน่ั ขณะท่กี ีฬาขี่มา พระองคทรงสนพระทยั 23 ทป่ี ระเทศฟล ปิ ปน ส เมอื่ โลก กบั การออกแบบเสอื้ ผา ชน้ั สงู ทมี่ ี ต้งั แตท รงพระเยาว ตามแบบสมเดจ็ พ.ศ.2548 และทรงควา เหรยี ญ ความประณตี ทเ่ี หลา ผมู ชี อื่ เสยี งนยิ ม พระเจา ลกู เธอ เจาฟา พชั รกิตยิ าภา ทองประเภททมี หญงิ กอ นจะตดิ ทงั้ ยงั มแี บรนดต า ง ๆ อยา ง นเรนทริ าเทพยวดี โดยทรงควา แชมป ทมี ชาตเิ ขา รว มการแขง ขนั Sirivannavari maison แบรนดข อง ประเภท Dressage ในรายการไทยแลนด แบดมนิ ตนั ในซเี กมส ครง้ั ท่ี 24 แตง บา น รวมไปถงึ แบรนดช ดุ แตง งาน แชมเปย นชพิ คิงสค พั 2012 และเปน ท่ี จ.นครราชสมี า และทรงควา คนไทยคนแรกท่ีจบหลักสูตรการขีม่ า เหรยี ญทองแดงจากประเภท จากประเทศฝร่งั เศส ทมี หญงิ 7 มกราคม วนั คลา ยวนั ประสตู ิ สมเดจ็ พระเจาลกู เธอ เจาฟา สริ ิวณั ณวรี นารีรตั นราชกัญญา
๑๓ มกราคม วนั การบินแห่งชาติ วนั การบนิ แหง่ ชาตนิ นั เรมิ ตน้ มาจากป พ.ศ. 2454 ที จอมพล สมเดจ็ เจา้ ฟาจกั รพงษ์ภวู นาถ กรมหลวงพิษณโุ ลกประชานาถ ไดน้ าํ ความขนึ กราบบงั คมทลู ตอ่ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลที 6) ถงึ ความจําเปนและประโยชนข์ องเครอื งบนิ ทตี อ้ งมไี วเ้ พือปองกนั ประเทศ จงึ มคี ําสังใหน้ ายทหาร 3 นาย คอื พลอากาศโท พระยาเฉลมิ อากาศ, นาวาอากาศเอก พระยาเวหาสยานศิลปสิทธิ และนาวาอากาศเอก พระยา ทะยานพิฆาต ไปเรยี นวชิ าการบนิ ทปี ระเทศฝรงั เศส หลังสําเร็จการศึกษานายทหาร นักบินทัง 3 นาย ได้กลับมาทดลองบินครังแรกในประเทศไทยเมือ วันที 29 ธันวาคม 2456 ซึงนายทหารนักบินทัง 3 นาย สามารถขับเครืองบินและร่อนลงจอดได้เปนอย่างดี ท่ามกลางเสียงชืนชมของผู้ชมจํานวนมากทีมารอชม เนืองจากในสมัยนัน การขึนบินบนท้องฟาถือเปนเรืองที เสียงอันตรายอย่างยิง ผู้ทีสามารถขับเครืองบินได้จึงได้รับการยกย่องว่าเปนผู้กล้าหาญ และถือเปน เกียรติประวัติทีควรได้รับการสรรเสริญ ในเวลาตอ่ มา พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดท้ รงสถาปนาแผนกการบนิ ขนึ ในกระทรวงกลาโหม เปนผล ใหก้ จิ การการบนิ ไทยไดร้ บั การพฒั นาขนึ มาตามลาํ ดบั จากนนั ในวนั ที 13 มกราคม 2456 พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยู่ หวั ไดเ้ สดจ็ ทอดพระเนตรการบนิ โดยมนี ายทหารนกั บนิ ขนึ แสดงการบนิ ถวายและโปรยกระดาษถวายพระพรชยั มงคล นบั ไดว้ า่ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงเปนผรู้ เิ รมิ และมสี ายพระเนตรยาวไกลตอ่ กจิ การการ บนิ กระทงั ไดร้ บั การพฒั นามาจนถงึ ปจจบุ นั ดว้ ยเหตนุ ี มลู นธิ อิ นรุ กั ษแ์ ละพฒั นาอากาศยานไทยในพระบรมราชปู ถมั ภ์ จงึ ไดเ้ สนอเรอื งตอ่ คณะรฐั มนตรี ขอใหก้ ําหนดวนั การบนิ แหง่ ชาตขิ นึ เพอื นอ้ มรําลกึ ถงึ พระมหากรณุ าธคิ ณุ ของ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทที รงมตี อ่ กจิ การการบนิ ของชาติ
๑๖ มกราคม วันครแู ห่งชาติ วนั ครู มขี นึ ครงั แรกในป พ.ศ. 2500 โดยในวนั นีจะมกี ารประกอบพธิ รี ะลกึ ถงึ คณุ บรู พาจารย์ และปฏญิ าณตนของคณุ ครูทงั หลาย คคววาามมหหมมาายยขขอองงคครรู ู คคําําขขวปวปัญัญ22วว55ันัน66ค4ค4รรู ู ครู หมายถึง ผู้สังสอน “ครูวถิ ใี หม่ ใส่ใจดจิ ทิ ลั ศิ ษย์ หรือผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ สรา้ งสรรค์ คณุ ธรรม ศิ ษย์ ซึงมีผู้กล่าวว่ามาจากคําว่า ครุ (คะ-รุ) ทีแปลว่า \"หนัก\" อัน ประจาํ ชาต”ิ หมายถึง ความรับผิดชอบในการ อบรมสังสอนของครูนัน นับเปน พล.อ.ประยทุ ธ์ จนั ทรโ์ อชา ภาระหน้ าทีทีหนั กหนาสาหัสไม่ นายกรฐั มนตรี น้อย กว่าคนคนหนึงจะเตบิ โตเปน ผู้มีวิชาความรู้ และเปนคนดีของ วันครู ได้จัดให้มีขึนครังแรกเมือวันที สังคม ผู้เปน \"ครู\" จะตอ้ งทุ่มเท 16 มกราคม พ.ศ. 2500 สืบเนืองมาจาก ประวตั คิ วามเปน แรงกายและแรงใจไม่น้ อยไปกว่า มาวนั ครู พ่อแม่ผู้ให้กําเนิ ดเลย การประกาศพระราชบัญญัตคิ รู ในราชกิจ คณะมนตรไี ดม้ มี ตเิ มอื วนั ที 21 จานุเบกษา เมือป พ.ศ. 2488 ซึงระบใุ ห้มี พฤศจกิ ายน 2499 ให้วนั ที 16 มกราคม ของทกุ ป เปน วนั ครู โดยถือ สภาในกระทรวงศึ กษาธิการเรียกว่า คุรุ เอาวนั ทปี ระกาศพระราชบญั ญัตคิ รู ใน ราชกจิ จานเุ บกษา เมอื วนั ที 16 สภา เปนนิตบิ คุ คลให้ครูทุกคนเปน มกราคม พ.ศ. 2488 เปน วนั ครู และ ให้กระทรวงศึ กษาธกิ ารสังการให้ สมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าทีในเรืองของ นักเรยี นและครูหยดุ ในวนั ดงั กลา่ ว สถาบันวิชาชีพครู ในขณะเดียวกันก็ทํา หน้ าทีให้ความเห็นเรืองนโยบายการ ศึ กษา และวิชาการศึ กษาทัวไปแก่ กระทรวงศึ กษาธิการ ควบคุมจรรยาและ วินัยของครู รักษาผลประโยชน์ ส่งเสริม ฐานะของครู จัดสวัสดิการให้ครู และ ครอบครัวได้รับความช่วยเหลือตาม สมควร ส่งเสริมความรู้ และความสามัคคี ของครู ห้องสมดุ ประชาชนจงั หวดั นครสวรรค์
พระราชประวตั ิ 'พอขนุ รามคําแหงมหาราช' พ่อขุนรามคําแหงมหาราช หรอื พญาร่วง พ่อขุนรามคาํ แหงมหาราช พระมหากษัตรยิ แ์ ห่ง (พรญารว่ ง) หรอื หรอื พระบาทกมรเตงอัญศรีราม ราชวงศ์พระรว่ ง กรงุ สุโขทยั ทรงทํานุบํารุงปกครอง ราช เปนพระมหากษัตรยิ ์พระองค์ที 3 ในราชวงศ์ พระร่วงแห่งราชอาณาจักรสุโขทัย พระนามเดมิ ของ บ้านเมอื งด้วยพระเมตตาธรรมตอ่ ไพรฟ่ า อาณา พระองค์คอื \"ราม\" เมอื พ่อขุนรามคําแหงมหาราชมีพระ ประชาราษฎร์ทรงสรา้ งสรรคม์ รดกทางศิลปะและ ชนมายสุ ิบเกา้ พรรษา ได้ทรงทํายทุ ธหตั ถมี ชี ัยตอ่ ขุน วฒั นธรรม ทสี ําคัญๆ ของชาตไิ วอ้ ย่างอเนกอนนั ต์ สามชน เจา้ เมืองฉอด พระราชบิดาจึงทรงขนาน มรดกของชาตทิ ีสําคญั ทีสุดกค็ ือ พ่อขุนรามคาํ แหง พระนามว่า \"พระรามคาํ แหง\" ซึงแปลวา่ มหาราชได้ทรงคิดประดิษฐ์อักษรไทยขนึ เมือประมาณ \"พระรามผู้กลา้ หาญ\" ปพุทธศักราช 1826 อนั เปนตน้ กาํ เนดิ ของอกั ษรไทยที เมือเสวยราชย์แลว้ วา่ ปรากฏพระนาม ใชก้ ันในทกุ วนั นี \"พ่อขนุ รามราช\" เสวยราชยป์ ระมาณ พ.ศ. 1822 ถงึ ประมาณ พ.ศ. 1841 รวมประมาณ 19 ป เรอื งราวตามประวัตศิ าสตรน์ ัน พ่อขุนรามคาํ แหง มหาราช หรอื พ่อขนุ รามราช ชือ \"รามราช\" พบในจารึก วดั ศรชี มุ ว่า \"ลกู พ่อขนุ ศรีอินทราทติ ยผ์ ูห้ นึง ชอื พ่อขนุ รามราชปรา(ช)ญร์ ู้ธรรม\" รวมทังพบในจารึกและเอก สารอืนๆ อกี หลายแหง่ วา่ \"พญารามราช\" แตช่ อื \"รามคาํ แหง\" พบเพียงครงั เดยี วในจารึกพ่อขนุ รามคําแหง และไมพ่ บในทอี ืนๆ อกี เลย ทกุ วนั นชี ือ \"รามคาํ แหง\" เปนทีรู้จกั กันแพรห่ ลายกว่า \"รามราช\" จงึ ขอเรยี กตามความนยิ มวา่ \"พ่อขนุ รามคําแหง\" \"มหาราช\" พระองคแรกของชาตไิ ทย ดว้ ยพระมหากรณุ าธคิ ณุ ของพระองคท์ า่ น ดงั ทไี ดป้ ระจกั ษร์ ฐั บาลและปวงชนชาวไทย จงึ ไดพ้ รอ้ มใจกนั ถวายพระราชสมญั ญา แดพ่ ระองคท์ า่ นเปน \"มหาราช\" พระองคแ์ รกของชาตไิ ทย และไดร้ ว่ มกนั สรา้ งพระบรมราชานสุ าวรยี ข์ องพระองคท์ า่ นขนึ ไวเ้ พอื สกั การะ ณ บรเิ วณอทุ ยานประวตั ศิ าสตร์ จงั หวดั สโุ ขทยั โดยสมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าชฯ สยามมกฎุ ราชกมุ าร ไดเ้ สดจ็ พระราชดาํ เนนิ ทรง ประกอบพธิ อี ญั เชญิ ดวงพระวญิ ญาณของพอ่ ขนุ รามคําแหงมหาราช จากศาลพระแมย่ า่ ไปสถติ ณ พระบรมราชานสุ าวรยี ฯ์ แลว้ ทรง เปดพระบรมราชานสุ าวรยี พ์ อ่ ขนุ รามคําแหงมหาราช เมอื วนั ท1ี 7 พฤศจกิ ายน พ.ศ.2528 โดยจงั หวดั สโุ ขทยั ไดจ้ ดั ใหม้ พี ธิ ถี วายบงั คมมา ตงั แตป่ พ.ศ.2528 เปนตน้ มา นบั แตน่ นั มาประมาณสามปคอื ในเดอื นธนั วาคม พ.ศ.2531 สํานกั งานสภาจงั หวดั สโุ ขทยั ไดม้ หี นงั สอื เสนอตอ่ ฯพณฯ นายกรฐั มนตรี ขอใหม้ กี ารกาํ หนด \"วนั พอ่ ขนุ รามคาํ แหงมหาราช\" ขนึ ตอ่ มาในป พ.ศ.2533 คณะรฐั มนตรไี ดม้ มี ติ อนมุ ตั ใิ หว้ นั ที 17 มกราคม ของทกุ ป เปน \"วนั พอ่ ขนุ รามคําแหงมหาราช\" 17 มกราคม วนั พ่อขุนรามคาํ แหงมหาราช
17 มกราคม วนั โคนมแห่งชาติ ประวตั คิ วามเปน มา เทศกาลโคนมแหงชาติ เมอื ป พ.ศ. 2503 พระบาทสมเดจ็ พระบรมชนกาธเิ บศรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร และสมเดจ็ พระนางเจา้ สิรกิ ติ ิ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพนั ปหลวง ในคราว เสดจ็ ฯ ประพาสทวปี ยโุ รปไดเ้ สดจ็ ประทบั แรม ณ ประเทศเดนมารก์ ทรงสนพระทยั ใน กจิ การฟารม์ โคนมของชาวเดนมารค์ เปนอยา่ งมาก ดว้ ยทรงเห็นวา่ อาชีพการเลยี งโคนมน่าจะเกดิ ประโยชน์ตอ่ เกษตรกรและประเทศไทย หลงั จากเสดจ็ ฯ นิวตั ปิ ระเทศไทย รฐั บาลเดนมารค์ ไดถ้ วายโครงการส่งเสรมิ การเลยี งโคนมเปนของขวญั แดล่ น้ เกลา้ ทงั สองพระ องค์ เพอื ใหด้ ําเนินโครงการส่งเสรมิ การเลยี งโคนมในประเทศไทยบรรลตุ ามเจตนารมณ์ ทตี งั ไว้ ทงั นี ไดม้ กี ารลงนามในสัญญาความรว่ มมอื กนั ระหวา่ งรฐั บาลไทยกบั รฐั บาลเดนมารค์ เมอื วนั ที 20 ตลุ าคม 2504 โดยไดด้ ําเนินการจดั ตงั “ฟารม์ โคนม” และ “ศนู ยฝ์ กอบรมการเลยี งโคนมไทย – เดนมารค์ ” ทอี ําเภอมวกเหลก็ จงั หวดั สระบรุ ี โดยเมอื วนั ที 16 มกราคม 2505 พระบาทสมเดจ็ พระบรมชนกาธเิ บศรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร และ สมเดจ็ พระนางเจา้ สิรกิ ติ ิ พระบรมราชนิ ีนาถ พระบรมราชชนนีพนั ปหลวง พรอ้ มดว้ ย สมเดจ็ พระ เจา้ เฟรดเดอรคิ ที 9 และสมเดจ็ พระบรมราชนิ ี แหง่ ประเทศเดนมารค์ ไดเ้ สดจ็ พระราชดําเนิน ประกอบพธิ เี ปดฟารม์ โคนม และศนู ยฝ์ กอบรมการเลยี งโคนมไทย – เดนมารค์ อยา่ งเปนทางการ ซงึ ตอ่ มาในป พ.ศ. 2514 รฐั บาลไดร้ บั โอนกจิ การฟารม์ โคนมและศนู ยฝ์ กอบรมการเลยี งโคนมไทย – เดนมารค์ จากรฐั บาลเดนมารค์ และไดต้ ราพระราชกฤษฎกี าจดั ตงั เปนรฐั วสิ าหกจิ สังกดั กระทรวง เกษตรและสหกรณ์ ภายใตช้ อื วา่ “องคก์ ารส่งเสรมิ กจิ การโคนมแหง่ ประเทศไทย” (อ.ส.ค.) จากประวตั ศิ าสตรก์ ารเลยี งโคนม จงึ ถอื เอาวนั ที 16 มกราคมของทกุ ป เปนวนั โคนมแหง่ ชาติ และเพอื ไมใ่ หเ้ ปนการซาซอ้ นกบั วนั ครู รฐั บาลไดม้ มี ตเิ มอื วนั ที 22 ธนั วาคม2530 ใหว้ นั ที 17 มกราคมของทกุ ปเปนวนั โคนมแหง่ ชาติ จงึ ถอื เปนวนั สําคญั ยงิ ตอ่ อาชพี การเลยี งโคนมใน ประเทศไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย อ.ส.ค. ไดจ้ ดั กจิ กรรมเฉลมิ ฉลองขึนเปนประจําทกุ ป เพอื น้อมรําลกึ ถงึ พระมหากรุณาธคิ ณุ ของ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ฯ ทไี ดพ้ ระราชทาน อาชพี การเลยี งโคนม ใหแ้ ก่ ปวงชนชาวไทย ตลอดจนเปนการพบปะสังสรรคข์ องผทู้ อี ยใู่ นวงการ นี ทงั ภาครฐั บาล ภาคเอกชน และเกษตรกรผเู้ ลยี งโคนม
ความเปน มาวนั กองทพั ไทย วนั ยุทธหตั ถี และวนั สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช ความเปนมาวนั กองทัพไทยน้ัน เกดิ ขนึ้ จากสงครามยทุ ธหตั ถใี นสมัยสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช ซงึ่ เกิดขน้ึ เมอ่ื ป พ.ศ. 2135 ในคร้งั นน้ั พระเจา นันทบุเรงไดใหพ ระมหาอปุ ราชายกทพั ใหญม าตีกรงุ ศรอี ยุธยา สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชทรงทราบขา ว จึงยกทพั หลวงไปตัง้ รับทีห่ นองสาหรา ย ซ่ึงระหวางที่การรบกําลังดาํ เนินอยูน นั้ ชางพระที่น่งั ของสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช และพระ เอกาทศรถก็ไดไลลาศัตรไู ปจนออกนอกเขตแดน จนทาํ ใหท้งั สองพระองคต กไปอยูใ นวงลอ มของศัตรโู ดยไมรตู วั แตถ ึงแมจะอยูใน สภาวะเสยี เปรียบ พระองคกม็ ีพระสติ ไมหว่ันไหว และทรงแกไ ขปญหาไดอ ยา งรวดเร็ว วาทางที่จะรอดไดม เี พียงทางเดียวเทาน้นั คือเชญิ พระมหาอุปราชาเสดจ็ มาทํายทุ ธหัตถี ในทายท่ีสดุ พระองคก ็สามารถกระทาํ ยทุ ธหตั ถีไดร บั ชยั ชนะอยางสมพระเกยี รติ และนับ ตง้ั แตนัน้ มาก็ไมมกี องทพั ใดกลา ยกทพั มาตกี รงุ ศรอี ยุธยาอีกเลย ทาํ ใหในสมยั นัน้ ไทยไดข ยายอาณาเขตไปอยางกวา งขวางกวา สมัยใด ๆ ซึ่งการทํายุทธหัตถีในคร้ังนนั้ ถือวา เปนการทํายุทธหัตถที ส่ี ําคญั ที่สดุ ในประวตั ิศาสตรช าตไิ ทย และยังเปน การรบบนบกท่ีย่งิ ใหญ ทีส่ ุดอกี ดวย ความหมายของยทุ ธหัตถี กจิ กรรมท่ีทาํ ในวนั กองทพั ไทย ยุทธหตั ถี หมายถึง การตอสูดวยอาวุธบนหลงั ชาง เปน การรบ อยางกษตั ริยมาแตโบราณกาล ถอื เปนความเชอ่ื มาแตโ บราณวา กิจกรรมท่จี ะกระทําในวันกองทัพไทย คือ ยทุ ธหตั ถหี รอื การชนชางน้นั เปน ยอดยทุ ธวธิ ีของนกั รบ เพราะ - พธิ กี ระทาํ สตั ยปฏญิ าณตอ ธงชัยเฉลิมพล หรอื ที่ เปน การตอ สตู วั ตอ ตวั จะแพหรือชนะกข็ ึน้ อยกู บั ความเกงกลา เรยี กวา \"สวนสนามสาบานธง\" ซ่ึงเปน พธิ ีกรรม วอ งไว รวมถึงความชาํ นาญในการขีช่ าง ดังนนั้ เมอ่ื กษัตรยิ ศักด์ิสทิ ธ์สิ าํ หรบั ทหาร และเปน การระลึกถงึ พระองคใ ดทํายทุ ธหัตถีชนะ ก็จะไดรับการยกยองวา มพี ระ วีรกรรม เกียรติยศสูงสุด หรือแมแตผูแพก็ไดรบั การยกยอ งสรรเสริญวา - ทําบุญตกั บาตร เพือ่ อุทศิ เปน สวนพระราชกุศล เปนนักรบที่แทจริง นอกจากน้ใี นสมัยอยุธยา มกี ารทํายุทธหตั ถี และกุศลแกบรรพบุรุษ รวม 3 ครั้ง คอื - ประดับธงชาตติ ามอาคารบานเรอื นและสถานท่ี ครงั้ แรก ในสมยั สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เมอื่ ครงั้ พระ ราชการ อนิ ทราชาพระเจา ลกู ยาเธอไดชนชา งกับขาศึกท่ีนครลําปาง - จดั แสดงนิทรรศการ เก่ยี วกบั ความเปน มาของ และถกู ปนส้ินพระชนม ความกลาหาญแหงวีรกษตั รยิ ไ ทย และวันกองทพั ครง้ั ทส่ี อง ในสมัยพระมหาจกั รพรรดิ ซ่ึงไดชนชางกับพระเจา ไทย แปรกรุงหงสาวดี การทํายุทธหตั ถใี นคร้ังนั้นสง ผลใหสมเดจ็ พระ ศรีสุริโยทยั ตอ งสน้ิ พระชนม ครงั้ ทส่ี าม สมเด็จพระนเรศวรมหาราชชนชา งกบั พระมหาอุป ราชาแหง กรงุ หงสาวดี จนไดร บั ชยั ชนะ ซ่ึงยทุ ธหตั ถีในครง้ั นน้ั ถือไดว า เปน ครงั้ สดุ ทายในประวัตศิ าสตร และเปน เหตกุ ารณ สาํ คญั ทีท่ าํ ใหพระเกียรตยิ ศของสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชเปนท่ี เล่อื งลอื ไปไกล 18 มกราคม วนั กองทพั ไทย • วันยทุ ธหตั ถี
14 มกราคม วันทรพั ยากรปาไม้แห่งชาติ ความเปนมา วนั อนรุ กั ษ์ทรพั ยากร ปาไมข้ องชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีหนังสือด่วนมาก ที กษ 0709/382 ลงวันที 4 มกราคม 2533 เรียนเลขาธิการ คณะรัฐมนตรี ขออนุมัติให้วันที 14 มกราคมของทุกป เปน \"วันอนุรักษ์ทรัพยากรปาไม้ของชาติ\" โดยพิจารณาว่า เมือวันที 14 มกราคม 2532 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชกาํ หนดแก้ไขเพิมเติม พ.ร.บ.ปาสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2484 และพระราช กําหนดแก้ไขเพิมเติม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 พระราชกาํ หนดดังกล่าวได้ให้อาํ นาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ โดยความเห็นของคณะรัฐมนตรี มีอาํ นาจสังการให้สัมปทานปาไม้สินสุดลงทังแปลงได้ อันเนืองมาจาก อุทกภัยภาคใต้ ทีเกิดขึนเมือเดือนพฤศจิกายน 2531 โดยเฉพาะทีตาํ บลกะทูน อําเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช นอกจาก จะทําให้ประชาชนได้รับความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินแล้ว ยังก่อให้เกิดความสูญเสียทังด้านจิตใจและเศรษฐกิจอย่างใหญ่ หลวง และคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์สังการให้สัมปทานหวงห้ามทุก ชนิด (เว้นสัมปทานทําไม้ปาชายเลน) ตาม พ.ร.บ.ปาไม้ พ.ศ. 2484 ทุกสัมปทานสินสุดลงทังแปลง มีผลให้การทาํ ไม้ สัมปทาน จาํ นวน 276 ปา เนือที 96,728,981 ไร่ ยุติลงโดยสินเชิง ทาํ ให้ต้นไม้ในปาสัมปทานไม่ถูกตัดฟน และทําการ อนุรักษ์ปาไม้สําหรับใช้สอยในอนาคตได้ คิดเปนเนือไม้โดยเฉลียปละ 3 ล้านลูกบาศก์เมตร จนทําให้รัฐบาลได้รับคําชมเชย จากนานาประเทศเปนอย่างมาก เพราะการระงับการทาํ ไม้ดังกล่าว มีส่วนโดยตรงในการสนับสนุนมาตรการปองกันมลภาวะ ของโลก ดังนัน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงพิจารณาแล้วเห็นว่า ภัยธรรมชาติทีเกิดขึนส่วนหนึงมาจากสาเหตุการ ลักลอบตัดไม้ทาํ ลายปา ซึงถือเปนปญหาพืนฐานทีสําคัญ จําเปนต้องทําการรณรงค์ต่อเนืองและระยะยาวให้ประชาชน ตระหนักและให้ความสําคัญต่ออันตราย และผลกระทบของการตัดไม้ทาํ ลายปา โดยรัฐต้องสร้างความสํานึกให้กับประชาชน เกียวกับอันตรายทีอาจเกิดขึนจากการตัดไม้ทาํ ลายปา จึงขออนุมัติกาํ หนดให้วันที 14 มกราคมของทุกป เปนวันอนุรักษ์ ทรัพยากรปาไม้ของชาติ และคณะรัฐมนตรีได้ลงมติเมือวันที 9 มกราคม 2533 กาํ หนดให้วันที 14 มกราคม เปนวันอนุรักษ์ ทรัพยากรปาไม้ของชาติ
18 มกราคม วนั สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช วันสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช หมายถึง วันระลกึ สมเดจ็ พระ นเรศวรมหาราช พระมหากษัตริยผ์ ทู้ รงเสียสละความสุขส่วน พระองค์ เสียงพระชนมช์ ีพตอ่ สู้อรริ าชศัตรูและทรงกระทํา ยุทธหัตถีมีชัยชนะพระมหาอุปราชา และทรงกอบกเู้ อกราช ประกาศอสิ รภาพจากการเสียกรงุ ครงั ที ๑ พระราชประวตั ิ สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช หรือ สมเดจ็ พระสรรเพชญท์ ี 2 มีพระนามเดิมวา่ พระนเรศวร หรือ \"พระองค์ดํา\" เปนพระราชโอรส ในสมเดจ็ พระมหาธรรมราชาและพระวิสุทธกิ ษัตรยิ ์ (พระราชธิดา ของสมเด็จพระศรีสุรโิ ยทัยและสมเด็จพระมหาจกั รพรรดิ) เสดจ็ พระ ราชสมภพเมือ พ.ศ. 2098 ทพี ระราชวงั จนั ทน์ เมืองพิษณุโลกมพี ระ เชษฐภคินีคอื พระสุพรรณกลั ยา มพี ระอนชุ าคอื สมเด็จพระเอกาทศ รถ (องค์ขาว) และเปนพระราชนัดดาของสมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดิ กบั สมเดจ็ พระศรีสุรโิ ยทัย พระนามของพระองคป์ รากฏในลายลักษณ์อกั ษรหลายฉบบั เชน่ พระนเรศ วรราชาธิราช, พระนเรศ, องคด์ าํ จงึ ยงั ไมส่ ามารถสรุปได้ว่าพระนาม นเรศวรได้มาจากทใี ด สันนษิ ฐานเบอื งต้นว่า เพียนมาจาก สมเด็จพระนเรศ วรราชาธริ าช มาเปน สมเดจ็ พระนเรศวร ราชาธริ าช เสดจ็ ขนึ ครองราชย์เมือวนั ที 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2133 สิรริ วมการครองราชย์สมบตั ิ 15 ป เสด็จสวรรคตเมอื วันที 25 เมษายน พ.ศ. 2148 รวมพระชนมพรรษา 50 พรรษา พระมหากษตั รยิ ทม่ี พี ระกฤดาภนิ ิหาร สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเปนพระมหากษัตรยิ ์ทมี ีพระกฤดาภินหิ าร ในความเปนนักรบทกี ล้าหาญซงึ ได้รบั การยกย่องสรรเสรญิ ในวีรกรรมทีได้ทรงประกาศอิสรภาพ ทําให้เมืองไทยพ้นจากอํานาจของพมา่ และเมอื พม่ายก กองทพั มาเหยยี บยําพืนแผน่ ดินไทยใหต้ กอยู่ในอาํ นาจ กองทพั พม่าครงั นนั ใหญ่หลวงนกั มีพระมหาอปุ ราชาเปนจอมทพั ยกตีเขา้ มาถึงเมืองสุพรรณบรุ ี สมเดจ็ พระนเรศวรได้ยกกองทพั ออกไปตอ่ สู้ ในทสี ุด สมเดจ็ พระนเรศวรไดท้ รงกระทํา ยทุ ธหตั ถกี ับพระมหาอุปราช ในทา่ มกลางเหลา่ ทหารขา้ ศึก สมเดจ็ พระนเรศวรทรงใช้พระแสงของ้าวแสนพลพ่าย ฟน ต้องพระองั สาของพระมหาอุปราชาขาดสินพระชนมช์ ีพอยู่กบั คอช้าง สมเด็จพระนเรศวรและกองทัพไทยไดร้ บั ชัยชนะ อย่างมหศั จรรย์ เปนทเี ลอื งลอื พระบรมเดชานภุ าพไปยงั ประเทศใกล้เคียง เมอื เสรจ็ สงครามยุทธหตั ถีแลว้ สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช โปรดให้สรา้ งสถปู เปนอนุสรณไ์ ว้ทีทงุ่ หนองสาหรา่ ย ตาํ บลตระพังตรุ ตรงกับทีทรงทาํ ยทุ ธหัตถกี ับพระมหาอุปราชา เรยี กกนั ว่า เจดีย์ยุทธหตั ถี รัฐบาลไดตระหนักถึงพระราชวีรกรรมและคุณูประการอันย่ิงใหญท่ีสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงมีตอประเทศไทย อันควร จะไดเทิดทูนพระเกียรติยศใหปรากฎเปนพระบรมราชานุสาวรีย และประกาศใหถือวันท่ี ๑๘ มกราคม จึงถือเปน “วันยุทธหัตถี” หรือ “วันสมเด็จพระนเรศวรมหาราช”
Search
Read the Text Version
- 1 - 11
Pages: