Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วรรณกรรมซีไรต์

วรรณกรรมซีไรต์

Published by faw4411, 2022-02-28 15:05:51

Description: วรรณกรรมซีไรต์

Search

Read the Text Version

วรรณกรรมซี ไรต์ S.E.A WRITE

สารบัญ หน้ า ลูกอีสาน 1 เพียงความเคลื่อนไหว 2 ขุนทอง เจ้าจะกลับมาเมื่อฟ้ าสาง 3 คำพิพากษา 4 นาฎกรรมบนลานกว้าง 5 ซอยเดียวกัน 6 ปูนปิ ดทอง 7 ปณิธานกวี 8 ก่อกองทราย 9 ตะลิ่งสูงซุงหนั ก 10

สารบัญ (ต่อ) หน้ า ใบไม้ที่หายไป 11 อัญมณีแห่งชีวิต 12 เจ้าจันท์ผมหอม นิ ราศพระธาตุอินทร์แขวน 13 มือนั้ นสีขาว 14 ครอบครัวกลางถนน 15 เวลา 16 ม้าก้านกล้วย 17 แผ่นดินอื่น 18 ประชาธิปไตยบนเส้ นขนาน 19 ในเวลา 20

สารบัญ (ต่อ) หน้ า สิ่ งมีชีวิตที่เรียกว่าคน 21 อมตะ 22 บ้านเก่า 23 ความน่ าจะเป็ น 24 ช่างสำราญ 25 แม่น้ำรำลึก 26 เจ้าหงิญ 27 ความสุ ขของกะทิ 28 โลกในดวงตาข้าพเจ้า 29 เราหลงลืมอะไรบางอย่าง 30

สารบัญ (ต่อ) หน้ า ลับแล,แก่งคอย 31 ไม่มีหญิงสาวในบทกวี 32 แดดเช้าร้อนเกินกว่าจะนั่ งจิบกาแฟ 33 คนแคระ 34 หัวใจห้องที่ห้า 35 อสรพิษและเรื่องอื่นๆ 36 ไส้ เดื อนตาบอดในเขาวงกต 37 38 นครคนนอก 39 สิ งโตนอกคอก 40 พุทธศั กราชอัสดงกับทรงจำของทรงจำ ของแมวกุหลาบดำ

สารบัญ (ต่อ) หน้ า ระหว่างทางกลับบ้าน 41 คืนปี เสือ และเรื่องเล่าของสัตว์อื่นๆ 42 เดฟั่ น 43

1 ลูกอีสาน (2522) เกิดเป็ นคนอีสาน น่ าอายจริงหรือ? \"คนลืมกำพืดมิน่ าอายกว่าหรือ\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทนวนิ ยาย “ตอนแรกบอกเพื่อนว่า กูจะเขียนเรื่องชีวิตกู เพื่อนบอกมึงไม่ อายเค้าเหรอ นั กเขียนอีสานเยอะแยะ ไม่เห็นเค้าเขียน เอาความ เด๋อด๋า กินปลาแดก ปลาร้า ไปเขียน ไม่อายเหรอ คนอีสานมี ปมด้อย ขี้อาย แต่ผมก็บอกเพื่อนว่า ไม่อายหรอก กูเลือกเกิดไม่ได้ แล้วก็เลยเขียน” ลูกอีสานฉายสภาพสังคมของชาวอีสานในยุคปี 2480 ซึ่งเต็มไป ด้วยความแห้งแล้ง ปี ๆ หนึ่ งแทบไม่มีฝนตกเลย เด็กๆ ยุคนั้ น ต้องจับกบ จับเขียดมากิน แต่เมื่อมาอยู่ในสายตาของเด็กน้ อย ภาพความลำบากจึงถูกตีความ ออกมาเป็ นความสนุก การผจญภัย ยิ่งมาบวกกับสายสัมพันธ์ของ คนในสังคม ความรักถิ่นฐาน ที่แม้จะต่างเชื้อชาติ แต่ทุกคนก็อยู่ร่วม กันอย่างกลมเกลียว กลายเป็ นเสน่ ห์ที่ยากจะหาในเมืองใหญ่ ไม่เพียงแค่นั้ น คำพูนยังผสมผสานภูมิปั ญญาของคนท้องถิ่นที่ ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ทั้งอาหาร งานหัตถกรรมท้องถิ่น การล่าสัตว์ ลง ไปในงานสร้างสรรค์ เพื่อทำให้ผู้อ่านเห็นภาพว่าทำไมคนอีสานจึง สามารถอยู่รอด ในชีวิตที่เต็มไปด้วยความขัดสนได้ ผู้แต่ง  คำพูน บุญทวี 

2 เพียงความเคลื่อนไหว (2523) \"เด็กคืออนาคตของชาติ\" แล้วทำไมถึงต้องฆ่าแกงกัน? หนั งสือซีไรต์ ประเภทกวีนิ พนธ์ เนื้ อหาของหนั งสือเล่มนี้ กล่าวถึงเหตุการณ์ 14 ตุลา โดยแบ่ง ออกเป็ น 2 ส่วนชัดเจนคือก่อนและหลังเหตุการณ์ ในส่วนเริ่มเรื่อง นั้ นเริ่มจากเหตุการณ์หลัง 14 ตุลาคมก่อน เนื้ อหาส่วนใหญ่คือการพูด ถึงความหวัง พลังการลุกขึ้นสู้ของขบวนการนั กศึ กษา และการต่อสู้ เพื่อประชาธิปไตยที่ มีความโศกเศร้าจากการสู ญเสี ยเพื่อนพ้องใน สนามรบของรัฐบาล รวมถึงการนำเสนอภาพของขบวนกาคอมมิวนิ สต์ แห่งประเทศไทย และการต่อสู้และใช้ชีวิตในผืนป่ าใหญ่ และการ วิพากษ์กฎหมายในขณะนั้ น ในส่วนหลังเป็ นการรำพันของกวี ความ เป็ นห่วงเป็ นใยในอนาคตของชาติรวมถึงการสอดแทรกธรรมะและ ความโศกเศร้าสิ้นหวังของกวีลงไป ทั้งสองส่วนมีสิ่ งที่น่ าสนใจเหมือ นๆ กันคือ ท่านเนาวรัตน์ ใช้การเปรียบเปรย เสียดสีและพรรณนาถึง ธรรมชาติได้อย่างดีเยี่ยม มีรสของวรรณศิ ลป์ ครบถ้วน การเล่นคำ สรรคำ สัมผัสสระ-อักษรต่างๆ ทั้งระหว่างบทและในวรรคเดียวกันดู พิถีพิถัน จนทำให้การอ่านบทกวีดูมีชีวิตชีวาเคลื่อนไหวได้ดั่งจิตนา การ เนื้ อหาสะเทือนใจผู้อ่านอย่างลึกซึ้ง ผู้แต่ง  เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

3 ขุนทอง…เจ้าจะกลับเมื่อ ฟ้ าสาง (2524) \"ความถูกต้อง\" มีอยู่จริงหรือไม่ \"คนใหม่\" หรือแค่การเอาตัวรอด หนั งสือซีไรต์ ประเภทรวมเรื่องสั้น อัศศิ ริได้นำเค้าโครงบทกวีชื่อ “เพลงขลุ่ยเหนื อทุ่งข้าว” ใน หนั งสือชุด “เพียงความเคลื่อนไหว” ของเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ มา จินตนาการกับเหตุการณ์ต่อสู้ทางการเมืองยุค 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 ซึ่งคำว่า “ขุนทอง” หมายถึง เหล่าปั ญญาชนคนหนุ่ มสาว ซึ่งบ้างก็ สูญหาย บ้างเสียชีวิต บ้างก็กลับมาพร้อมกับอุดมการณ์เต็มย่าม ขณะ ที่อีกไม่น้ อยกลับมาเป็ น “คนใหม่” แต่ในห้วงที่อัศศิ ริเขียนนั้ น สถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย ยังไม่รู้ว่าปั ญญาชนคนหนุ่ มสาวส่วนหนึ่ ง หายไปไหน สิ่ งที่ฟ้ องร้องออกมาย่อมพุ่งเป้ าไปหาผู้กุมอำนาจทางการ เมืองไว้นั่ นเองเรื่องสั้นของอัศศิ ริมีเนื้ อความกระชับ ลักษณะเด่นคือ การใช้ภาษาที่รัดกุมไพเราะ บางช่วงบางตอนราวกับบทกวี เป็ น เหตุการณ์ทางการเมือง ประวัติศาสตร์และสังคม งานของอัศศิ ริไม่ใช่ งานฝั นหวาน แต่เป็ นงานก่อให้เกิดความคิด ความรู้สึกใหม่ๆ ความ จริง ความปลอม ความเงียบ ความสงสัย ซึ่งล้วนเป็ นพลังในอาณาจักร วรรณกรรมของเรา ถือเป็ นงานเขียนที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง ผู้แต่ง  อัศศิ ริ ธรรมโชติ  

4 คำพิพากษา (2525) \"การตัดสิ นคนแค่ภายนอก คือคำพิพากษาที่แสนสาหัส\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทนวนิ ยาย ตัวเอกของเรื่องคือ ฟั ก ลูกของตาฟู สัปเหร่อ เมื่อตาฟูตาย สมทรงเมียตาฟู แม่เลี้ยงของฟั กกลายเป็ นแม่ม่ายยังสาวที่ไม่ค่อยจะเต็ม เต็ง ฟั กเลยต้องดูแลแทนพ่อ จนถูกกล่าวหาว่าฟั กได้กับแม่เลี้ยง ทั้งที่ฟั ก เป็ นคนดีมีศี ลธรรม ไม่ได้ทำชั่วดั่งที่ถูกกล่าวหา แต่ด้วยความที่ฟั กเป็ นคน ต่ำต้อยไม่ได้มีหน้ ามีตาในสังคม ส่งผลให้ฟั ก ต้องติดคุก ถูกสังคม รังเกียจ สุดท้ายเขาต้องการจะเป็ นอิสระจากข้อกล่าวหาของสังคม อิสระที่ ว่านั่ นก็คือความตายนั่ นเอง “คำพิพากษา” เป็ นการส่งสารที่รุ นแรงมายังผู้อ่าน ทำให้สถานะ ความเป็ นมนุษย์สั่ นคลอน เป็ นงานที่แสดงถึงภาวะของมนุษย์ในสภาพจน ตรอกต่อสิ่ งต่างๆ ได้ดีที่สุด เหมือนตัวละครที่ตกเป็ นเบี้ยล่าง เป็ นผู้แพ้ และถูกกดทับด้วยตัวละครที่เป็ นกลไกทางสังคม ไม่ว่าเรื่องนั้ นจะมีมูล ความจริงหรือไม่ก็ตาม ทำให้ผู้ได้รับคำตัดสินต้องพบกับความทุกข์ ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ ดังข้อความนี้ \"...จากอาชีพสัปปะเหร่อมันแสนสกปรก คลุกคลีกับคนตาย กลิ่นเน่ าเหม็นของศพ คราบเหนี ยวเหนอะหนะของน้ำเหลือง เข้า-ออกโกดังเก็บศพที่เหม็น อับชื้น หนู หนอนชอนไชศพสิ่ ง เหล่านี้ น่ ารังเกียจแต่แกกลับคลุกคลีอยู่กับมันได้ พลอยให้นึ ก คลื่นเหียน สิ่ งเหล่านี้ คงอบร่ำให้แกเป็ นคนสกปรก และกับข้าว ที่แกใส่บาตรคงต้องติดเชื้อแห่งความสกปรกนั้ นมาอย่างไม่ต้อง สงสั ย...\" (คำพิพากษา, 2524 : 116) ผู้แต่ง  ชาติ กอบจิตติ  

5 นาฏกรรมบนลานกว้าง (2526) \"ณ ลานกว้างนั้ น ยังฝั งใจ\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทกวีนิ พนธ์ กวีนิ พนธ์เนื้ อหาเกาะเกี่ยวกับอยู่กับเหตุการณ์ทางการเมือง ในช่วง 14 ตุลาคม พ.ศ 2516 ถึง 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 บทกวีของคมทวนมี ทั้งปลุกเร้า เรียกร้อง ตีแผ่ ให้กำลังใจ วิพากษ์วิจารณ์สังคมอย่างรุ นแรง ดุดัน เสนอทรรศนะของตนเองต่อเหตุการณ์ทางการเมืองในสมัยนั้ นด้วย บทกวีนาฏกรรมบนลานกว้าง เป็ นการรวมบทกวีการเมืองโดยแท้ ไม่ว่า จะอ่านสำนวนใด จะได้สัมผัสทรรศนะอันเผ็ดร้อนของผู้เขียน ผ่านลีลา การเขียนที่ดุดัน ดุเดือด กระตุกกระตุ้นความฮึกเหิม ด้วยสร้อยสำนวน อันเป็ นเอกลักษณ์และแพรวพราวไปด้วยชั้นเชิงทางวรรณศิ ลป์ ดังบทกวีที่ว่า \"ถึงหนทางทรราชสมุนจะรุ มจะล้อม คนนี้ บ่คิดน้ อม ค้านั บ แม้ร้อยแสนอุปสรรคภยะจะสั บ ส้านึ กกลับยิ่งแน่ น สนิ ท แม้พายุทะมึนกระหน่้ า ณ สารทิศ ศรัทธายังทอนิ จ นิ รันดร์ ถือคมทวนก็เพราะทาสประชาจะป้ องประจัญ เข้มแข็งประหนึ่ งคัน ธนู ถือค้าสั ตย์ปฏิ ญาณเท่านานมนะจะชู ธงต้านศั ตรู ตราบ ตัวตาย\" (คมทวน คันธนู, 2526: 16 - 17) ผู้แต่ง  คมทวน คันธนู  

6 ซอยเดียวกัน (2527) \"บ้านเราอยู่ในนี้ ซอยเดียวกัน\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทรวมเรื่องสั้น รวมเรื่องสั้น 15 เรื่อง และบทกวี 1 ชุด ของ วาณิช จรุ งกิจ อนั นต์ มีเนื้ อหาสะท้อนสังคมอย่างชัดเจนตรงไปตรงมา มีการเสียดชีวิต ในเมืองหลวง ทั้งผู้คนที่เห็นแก่ตัว การดูถูกเหยียดหยามซึ่งกันและกัน ความวุ่นวายต่างๆ ซอยเดียวกันเป็ นหนั งสือที่วาณิชตั้งใจเขียนขึ้นมาเป็ น อย่างมาก เขาเคยกล่าวว่า “ผมเขียนหนั งสือรวมพิมพ์เป็ นเล่มมาแล้วหลาย เล่ม แต่กล่าวได้ว่าเล่มที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเป็ นนั กเขียนโดยสมบูรณ์คือเล่ม นี้ เล่มที่ให้ชื่อว่าซอยเดียวกันนี้ ” ซอยเดียวกันได้รับความนิ ยมจากคนอ่าน ไม่ว่าจะเป็ น นั กเรียน นั กศึ กษา ครู อาจารย์ และนั กเขียน ในบางทรรศนะของนั กเขียน รุ่นใหม่ถึงกับยอมรับซอยเดียวกันว่าเปรียบเสมือนครู บาอาจารย์ของการ สร้างสรรค์ผลงานในสมัยนั้ น เนื่ องจากมีกลวิธีการเขียนที่แปลกใหม่ มี ความเหมาะสมกับเนื้ อเรื่อง และวรรณศิ ลป์ เช่น ในเรื่องสั้นเรื่อง \"ผาติกรรม\" ที่ผู้เขียนนั้ นใช้สัทพจน์ คือ การเลียนเสียงธรรมชาติ สร้างให้ เกิดภาพ ดังตัวอย่าง “เสียงกึกก้องโหยหวนก็ดังขึ้น ดังราวกับว่าศาลาใหญ่ แห่งนี้ จะยุบพังลงได้ในทันที เสาใหญ่สี่ ต้นบิดเอี๊ยดโอนเอน อย่างน่ ากลัวหน้ าบันและจั่วของศาลาทั้งด้านหน้ าและด้านหลัง สั่ นเสียงเปรี๊ยะบิดราวกับมีช้างสารหลายเชือก (ผาติกรรม : ๙๕) ผู้แต่ง  วาณิช จรุ งกิจอนั นต์  

7 ปูนปิ ดทอง (2528) \"พ่อ แม่ นั้ น สำคัญไฉน\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทนวนิ ยาย นวนิ ยายปูนปิ ดทองกล่าวถึงคนสองคน สองเมืองและบาลี ทั้งคู่เกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่หย่าร้าง เมื่อทั้งคู่โตเป็ นผู้ใหญ่ บาลีได้ ศึ กษาปั ญหาที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก และชักจูงให้สองเมืองลืมความขมขื่นใจที่ เคยเกิดขึ้น ทำให้สองเมืองเกิดความรักต่อบาลี และทั้งคู่ก็มั่นใจว่าชีวิต พวกเขาทั้งสองจะไม่เหมือนกับที่พ่อกับแม่ของตนเคยเป็ นทั้งคู่สามารถ เป็ นพ่อแม่ที่เป็ นตัวอย่างที่ดีได้ ไม่ใช่เป็ นเพียงรู ปหล่อปูนที่ปิ ดด้วยทอง ซึ่งไม่ได้มีค่าอะไร “ปูนปิ ดทอง” นวนิ ยายที่กฤษณา อโศกสิน กระเทาะ คราบทองของผู้เป็ นพ่อแม่ เกี่ยวกับปั ญหาของครอบครัวไทยในสังคมใหญ่ การเลี้ยงดูที่ขาดความอบอุ่น ขาดความรัก ส่งผลต่อเด็กที่เติบโตมา ดัง ข้อความที่ว่า “ที่เอี๊ยมตกต่ำทุกวันนี้ เพราะมีพ่อแม่ไม่ดี” “แม่แกคนเดียวแหละ เพราะแม่นี่ สำคัญ ถึงพ่อจะ เหลวไหลยังไง ถ้ามีแม่ที่ดีก็ไม่ถึงกับบ้านแตก สาแหรกขาดมาก “ฮื้อ...พ่อเอี๊ยมก็แย่ อาอย่าเข้า- ข้างพ่อเลย..พ่อเอี๊ยมน่ ะ เขาเคยรู้มั้ยว่า เขาจะต้อง ทำอะไรกับครอบครัวมั่ง... เรืองรามพูดด้วย น้ำเสียง กระด้างจนอาสะดุ้ง” (ปูนปิ ดทอง, 2544: 497) เป็ นนวนิ ยายที่สร้างสรรค์เนื้ อเรื่องให้เห็นคุณค่าของความเป็ น มนุษย์ ด้วยความงดงามของชีวิตโดยใช้ความเลวร้ายมาเปรียบเทียบ ทำให้เกิดความเข้าใจที่ดีร่วมกัน ผู้แต่ง  กฤษณา อโศกสิน  

8 ปณิธานกวี (2529) \"มนุษย์กับศี ลธรรม\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทกวีนิ พนธ์ ปณิธานกวี เป็ นหนั งสือรวมกวีนิ พนธ์ของ อังคาร กัลยาณ พงศ์ เป็ นบทกวีที่มีเอกลักษณ์สวยงาม มีลักษณะเฉพาะตัวเหมือนกับตัวผู้ เขียนที่มีนิ สัย รักธรรมชาติ รักอิสระเสรี ศรัทธาในพระธรรม บท ประพันธ์ทุกบท จะสะท้อนชีวิตวิญญาญ คติชีวิต ปรัชญาและสัจธรรม ด้วยกลวิธีศิ ลปะการร้อยกรองอันงดงามชาญฉลาดปณิธานกวีของอังคาร กัลยาณพงศ์ เป็ นกวีนิ พนธ์ที่มีลักษณะแต่งเป็ นโคลง กลอนและกาพย์ เป็ นงานที่เต็มไปด้วยคุณค่าทางวรรณศิ ลป์ เพราะมีความเด่นในการสรร ใช้คำ ทำให้เกิดจินตนาการลึกซึ้งและกว้างขวาง กลวิธีการประพันธ์มี ลักษณะเฉพาะตัวประสานขนบเก่ากับทัศนคติที่มีต่อสังคมในยุคสมัยนั้ น ได้อย่างแนบเนี ยน ดังข้อความ แย่งแผ่นดินอำมหิตคิดแต่ฆ่า เพราะกิเลสบ้าหฤโหดสิ งซากผี ลืมป่ าช้าคุณธรรมความดี เสี ยศรีสวัสดิ์ค่าแท้วิญญาณฯ — ปณิธานกวี ผู้แต่ง  อังคาร กัลยาณพงศ์  

9 ก่อกองทราย (2530) \"มนุษย์ คืออะไร?\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทรวมเรื่องสั้น เรื่องสั้นชุด ก่อกองทราย เป็ นหนั งสือประกอบด้วยเรื่อง สั้นรวม 12 เรื่อง เนื้ อเรื่องมีความหลากหลายแสดงปั ญหาและแง่มุมต่าง ๆ ของชีวิตหลายเรื่อง เช่น คนบนสะพาน บ้านใกล้เรือนเคียง และเพื่อน บุณย์ ได้สะท้อนธาตุแท้ของคน ส่วนเรื่อง คำพยากรณ์ และ นกเขาไฟ ได้เน้ นความคิด ความเชื่อของคนในชนบทที่แสดงถึงสัจธรรมของชีวิต โดยแท้จริง ตลอดจนถึงสำนวนที่ใช้สามารถให้ผู้อ่านได้สัมผัสอย่าง สมจริง เช่น หากก่อกองทรายให้เท่าเจดีย์ในวัดมันคงจะไม่พังง่าย ๆ ถึง พังก็ไม่หมดเพราะทรายไม่เคยหมด แสดงให้เห็นถึงชีวิตและธรรมชาติ ของมนุษย์ที่เป็ นสากล ดังเช่นมนุษย์ทั่วไปในโลกพึงจะเป็ น และในขณะ เดียวกันก็มีสีสันของท้องถิ่นและความเป็ นไทย ทั้งในด้านถ้อยคำและการ ใช้ฉากอันเป็ นท้องเรื่องอย่างความเชื่อท้องถิ่นของชาวบ้าน การเล่าเรื่องที่ แสดงให้ เห็ นถึงสั จธรรมชี วิตอย่างชั ดเจนผลงานของไพฑูรย์โดดเด่นด้าน การใช้ภาษา ภาษามีความงดงาม ไม่ว่าจะบรรยายอารมณ์ความรู้สึก ฉาก หลังหรือตัวละคร สามารถเรียบเรียงออกมาให้ผู้อ่านเห็นภาพจน์ เห็นถึง ความประณีตบรรจง ซึ่งไพฑูรย์ใช้พื้นฐานมาจากการเป็ นครู สอนภาษา ไทย และเคยผ่านงานบทกวีมาก่อน ผู้แต่ง  ไพฑูรย์ ธัญญา

10 ตลิ่งสูงซุงหนั ก (2531) \"ทุกชีวิตมีค่าเท่ากัน\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทนวนิ ยาย เรื่องราวของ “คำงาย” ที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางป่ าเขากับ “มะจัน” และ “แอ” ภรรยาและลูกชาย คำงายมีช้างที่รักและเป็ นเพื่อน เล่นกันมาตั้งแต่เล็กๆชื่อว่า “พลายสุด” แต่วันหนึ่ งพ่อของคำงายจำเป็ น ต้องขายพลายสุดให้แก่พ่อเลี้ยงเพื่อนำเงินมารักษาตนเอง แต่แม้จะได้ เงินมาแล้วพ่อของเขาก็ยังป่ วยจนเสียชีวิตอยู่ดี ตลิ่งสูง ซุงหนั ก เป็ นเรื่องของคนผู้แสวงหาความหมาย และคุณค่าของการมีชีวิต เราต้องหาเอง ในขบวนการแสวงหานั้ น คนเรา มัวแต่รักษาซากที่ไม่มีชีวิต ไม่เคยรักษาชีวิตที่อยู่ในซากเลย คนเราเกิด ครั้งเดียวตายครั้งเดียว ดังนั้ นความหมายที่แท้จริงของชีวิตอยู่ที่การดำรง อยู่ ความเข้าใจต่อธรรมชาติ มิใช่เงินตราหรือวัตถุ ที่คนในสมัยนี้ มัก สะสมไว้เต็มบ้านเต็มเมือง ข้อคิดหลักของเรื่องที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอปรากฎผ่าน บทสนทนาของตัวละคร เช่น “...ไม่มีแสงแดดใดที่ไม่มีเงามืดและเป็ นการจำเป็ น ที่เราจะต้องรู้จักเวลากลางคืนอันมืดมนบ้าง มนุษย์ในโลกที่ ไร้เหตุผลยอมรับความจริงข้อนี้ และดังนั้ นเขาจึงมีความพยายาม ไม่หยุดยั้ง ถ้ามนุษย์มีโชคชะตาเป็ นของตนเอง ก็ไม่มีโชคชะตา อย่างใดที่จะเหนื อกว่า...” ผู้แต่ง  นิ คม รายยวา

11 ใบไม้ที่หายไป (2532) \"อุดมการณ์ หรือการเอาชีวิตรอด\" เป็ นคุณจะเลือกทางไหน? หนั งสือซีไรต์ ประเภทกวีนิ พนธ์ ชื่อเรื่อง “ใบไม้ที่หายไป” เป็ นการนำเอาเรื่องของชีวิต ขบวนนั กศึ กษาที่ต้องวายชีวีเพื่อต้องการเรียกร้องความยุติธรรมกับมาสู่ สังคมไทย จึงได้นำ “ใบไม้” มาเปรียบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนคำว่า “ที่หายไป” ก็หมายถึงนั กศึ กษาที่วายชีวีในเหตุการณ์ครั้งนั้ น เป็ นเรื่อง ราวที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตตอนหนึ่ งของผู้ประพันธ์ \"จิระนั นท์ พิตรปรีชา\" เคยเป็ นอดีตแกนนำนั กศึ กษา ร่วมโครงการส่งเสริมประชาธิปไตยของ ศูนย์ส่งเสริมประชาธิปไตย (ศสป.) ในช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ 2516 และหลังจากเกิด 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ต้องหนี เข้าป่ าไปเข้าร่วมกับ พรรคคอมมิวนิ สต์แห่งประเทศไทย โดยมีชื่อที่ใช้เรียกในป่ าว่า \"สหาย ใบไม้\" หลังจากออกจากป่ ามา เธอได้เขียนบันทึกชีวิตของเธอตั้งแต่สมัย ที่เธอยังป็ นนั กศึ กษาเป็ นเชิงกวีนิ พนธ์รวมเล่ม ออกมาจนกลายเป็ นชื่อ \"ใบไม้ที่หายไป\" ตั้งแต่เป็ นนั กศึ กษาผู้อุดมการณ์สูงและตัดสินใจร่วม ขบวนสู้ของนั กศึ กษาประชาชนรุ่น 14 ตุลาคม 2516 กลวิธีการแต่งเป็ น กลอนสุภาพ ใช้คำเรียบกระชับแต่เต็มไปด้วยพลังความบริสุทธิ์ของหนุ่ ม สาว ภาษามีรู ปแบบกะทัดรัด และผู้เขียนไม่ได้วิจิตรบรรจงกับการสัมผัส มากเกินไปแต่ก็ไม่ได้ละทิ้งการสัมผัสในวรรค และการใช้คำซ้ำ กลอนจึง มีความไพเราะ ผู้แต่ง จิระนั นท์ พิตรปรีชา

12 อัญมณีแห่งชีวิต (2533) \"ชีวิตคืออะไร? ร่วมหาคำตอบกันใน อัญมณีแห่งชีวิต\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทรวมเรื่องสั้น ในหนั งสือรวมเรืองสั้นชุด อัญมณีแห่งชีวิต ของอัญชัน ประกอบไปด้วยเรื่องสั้นจำนวน 11 เรื่อง เป็ นเรื่องราวที่แสดง พฤติกรรมด้านมืดที่สะท้อนจากปั ญหาทางสังคม งานเขียนแต่ละเรื่อง อธิบายและให้รายละเอียดมากจนรู้สึกสัมผัสได้และรับรู้ถึงสภาวะนั้ น ๆ ไปพร้อมกับเรื่องราวที่อัญชันนำเสนอ เป็ นหนั งสือรวมเรื่องสั้นที่ผู้เขียน ได้มาจากประสบการณ์ของตนเอง จากคำบอกเล่า เพื่อให้ทราบถึงมนุษย์ ที่มีชีวิตจิตใจ กิเลส อารมณ์ ความรัก ความกลัวและความชิงชัง สิ่ งเหล่านี้ จะจมอยู่กับตัวละคร ในเรื่องที่ต้องเผชิญกับความทุกข์ทั้งที่มองเห็นและ มองไม่เห็น แต่ละเรื่องสะท้อนภาพสังคม ปั ญหาสังคม ครอบครัวและ ปั ญหาอันเป็ นเรื่องของแต่ละคน คนใดคนหนึ่ ง ซึ่งอาจล้มเหลว ผิดหวัง หรือสมหวังก็ได้อัญชัน เสนอแนวคิดเหล่านี้ โดยใช้กลประพันธ์ที่แยบยล สอดคล้องกับเนื้ อหา มีลีลาเฉพาะตัวที่ละเอียด ประณีต ลึกซึ้ง และ ละเมียดละไม ภาษาที่ใช้ให้จินตนาการชัดเจน สร้างบรรยากาศและ อารมณ์หลากหลาย ทั้งอ่อนหวาน เศร้า กร้าวแกร่ง โหดร้าย แม้กระทั่ง สยอง และให้เห็นถึงวัฏจักรแห่งชีวิตอันเป็ นสัจธรรม ผู้แต่ง อัญชัน

13 เจ้าจันท์ผมหอม นิ ราศพระธาตุอินทร์แขวน (2534) \"ภาระหน้ าที่ของเจ้านาง คือ ไม่มีสิทธิ์ใช้ชีวิตของตน\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทนวนิ ยาย นวนิ ยายเรื่องนี้ ผู้เขียนนำเอาความรู้สึกของเจ้าหญิงเจ้า นางในประวัติศาสตร์ทางล้านนา ที่เผชิญอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลง ทางการเมือง การล่าอาณานิ คม และการรวมดินแดนให้เป็ นหนึ่ งเดียวกับ สยามประเทศมาเล่าและผูกขึ้นเป็ นเรื่องการรวมอำนาจการปกครอง ทั้งหมดเข้าสู่ศูนย์กลางที่เมืองกอกแคว้นใต้ (กรุ งเทพฯ) ได้ค่อย ๆ กลืน สมบัติ อำนาจ จนส่งผลกระทบต่อชนชั้นเจ้าทางเหนื อ ที่นั บวันจะยิ่งกลาย เป็ นเจ้าปลายเชื้อแตงปลายแถว และเป็ นมูลเหตุสำคัญที่นำมาสู่การ แต่งงานตามหน้ าที่เพื่อค้ำยันให้เสาหลักและศั กดิ์ศรีล้านนามั่นคง อย่าง ในประวัติศาสตร์ \"เจ้าดารารัศมี\" ผู้มีบทบาทสำคัญต่อการรวมล้านนาเข้า กับสยาม โดยการถวายตัวเป็ นสนมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว เช่นเดียวกับ เจ้าจันท์ยอมแต่งงานกับพ่อเลี้ยงปะหล่องต่องสู่ ไม่ใช่เพียงเพราะสัจจะวาจาที่ให้ไว้ต่อหน้ าเจ้าพ่อเจ้าแม่ของตนเท่านั้ น แต่ เจ้าจันท์กำลังทำตามหน้ าที่เหมือน “เจ้าหญิงเจ้านางเมืองเราล้วนแต่มี ภาระหน้ าที่ บ่แม่นมีไว้กินสุขเสวยบานอย่างเดียวลูกเฮย (หน้ า ๘๙)” เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างดินแดน และผลประโยชน์ ทางการเมืองอัน แฝงมากับการแต่งงาน ตามที่ผู้เขียนต้องการเสนอ ผู้แต่ง มาลา คำจันทร์

14 มือนั้ นสีขาว (2535) \"สั งคมของเด็กกับสั งคมของผู้ใหญ่ แตกต่างกันอย่างไร?\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทกวีนิ พนธ์ ‘มือนั้ นสีขาว’ เป็ นรวมบทกวีนิ พนธ์ไทยสมัยใหม่ที่มี ลักษณะสร้างสรรค์ทั้งความคิด และวิธีการนำเสนอ มุ่งแสดงอุดมคติเชิดชู คุณค่าความบริสุทธิ์ และความมีน้ำใจของมนุษย์ กวีถ่ายทอดความคิดเป็ นรู ปธรรมที่เข้าใจได้ง่ายผ่านบุคคล และเหตุการณ์สมมุติซึ่งอาจเกิดได้ในชีวิตจริงและสังคมจริง แสดงความ แตกต่างระหว่างสภาวะอับริสุทธิ์ ไม่เสแสร้งของเด็ก กับสภาวะของผู้ใหญ่ ที่ถูกครอบงำด้วยกรอบของสังคม ในแต่ละบทกวีเสนอแง่ความคิดอย่าง ประณีตหลายนั ย ตีความได้กว้างขวางและลึกซึ้งด้วยกลการประพันธ์ที่ เฉี ยบคม ศั กดิ์สิริ มีสมสืบ สรรสร้างฉันทลักษณ์อิสระขึ้นมาใหม่ จากความรุ่มรวยของฉันทลักษณ์ไทยแต่เดิม มีรู ปแบบเป็ นธรรมชาติ สอดคล้องกับเนื้ อหา คำที่สรรใช้เป็ นคำง่าย เรียงร้อยอย่างมีลีลาจังหวะ สร้างลำนำอันทรงพลัง ให้จินตภาพเด่นชัด สื่ อความคิดของกวี กระทบ อารมณ์และเร้าความคิดผู้อ่าน ‘มือนั้ นสีขาว’ ให้ประสบการณ์การอ่านอันจรรโลงความ หวังให้ผู้อ่านเห็นว่า โลกอาจสงบงดงามได้ด้วยน้ำใจอันบริสุทธิ์ของ มนุษย์ด้วยกันเอง ผู้แต่ง ศั กดิ์สิริ มีสมสืบ

15 ครอบครัวกลางถนน (2536) \"ครอบครัวกลางถนน จะมีรู ปแบบไหนบ้าง มาติดตามไปพร้อมๆกัน!\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทรวมเรื่องสั้น \"ครอบครัวกลางถนน\" เป็ นหนั งสือที่รวมเรื่องสั้นจำนวน ทั้งหมด 13 เรื่อง โดยเจาะจงไปถึงชึวิตชนชั้นกลางในเมืองกรุ งเป็ นส่วน มาก ส่วนมากพูดถึงปั ญหาภายในบ้านครอบครัวคนเมือง เนื้ อเรื่องส่วน มากเป็ นเรื่องทั่วๆ ไปของคนชนชั้นกลางที่มีบ้านมีรถเงินผ่อน และยังต้อง ทำงานหาเช้ากินค่ำ สังคมคนเมืองในวัยทำงานที่ประสบสุขทุกข์คล้ายๆ กัน หลายเรื่องสร้างความอึดอัด ขัดใจ คิดค้าน มีบางตอนเป็ นเรื่องราว ของชนชั้นกรรมาชีพที่ต้องต่อสู้ชีวิตต่อสู้กับกิเลสในใจตน หลายเรื่องอ่าน ง่าย อ่านเพลิน ภาษาสวย ตัวหนั งสือให้ภาพและความรู้สึก เนื้ อเรื่อง เรียบง่าย แต่เปี่ ยมด้วยอารมณ์ในตอนจบเรื่องบางเรื่อง ผู้เขียนก็เล่าเรื่อง หลอกล่อไปให้เราเข้าใจอย่างหนึ่ งแล้วเฉลยหักจบเป็ นอีกอย่าง เพียงแต่ ตอนจบในแต่ละตอนมันไม่ได้สะเทือนความรู้สึกได้รุ นแรงพอจะหักมุม ให้ เกิดความประทับใจเจตนาของผู้เขียนตั้งใจเพียงแต่จะเสี ยดสี สั งคม มากกว่าจะสร้างความสะเทือนอารมณ์คนอ่าน แต่บางเรื่องก็เรื่อยๆ มา เรียงๆ ตั้งแต่ต้นจนจบรสชาติไม่จัดจ้านเท่าซีไรต์เล่มอื่นๆ ผู้แต่ง ศิ ลา โคมฉาย

16 เวลา (2537) \"ความเป็ นจริงที่ไม่น่ าสนใจ\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทนวนิ ยาย เป็ นเรื่องราวเกี่ยวกับมิติของเวลาซึ่งสื่ อออกมาในรู ปแบบ ของละครเวทีโดยที่ใช้ตัวละครหลักคือ ผู้กำกับภาพยนตร์ไปดูละครเวที เรื่อง \"เวลา\" ซึ่งว่ากันว่าเป็ นละครเวทีที่น่ าเบื่อที่สุดแห่งปี เป็ นเรื่องที่แสดง ให้เห็นถึงความเป็ นอยู่ของคนชราในสถานสงเคราะห์คนชราแห่งหนึ่ ง โดยใช้สรรพนามบุรุ ษที่หนึ่ ง คือ \"ผม\" เป็ นผู้เล่า โดยละครเวทีเรื่องนี้ แสดงให้เห็นถึงชีวิตประจำวันของคนชราที่อาศั ยอยู่ในสถานสงเคราะห์ สลับกับย้อนเล่าไปถึงภูมิหลังของแต่ละคนไปด้วย และมีเสียงชายแก่คน หนึ่ งที่ถูกญาติพี่น้ องโกงทรัพย์สมบัติไปหมดจนกลายเป็ นบ้าตะโกนออก มาเป็ นระยะๆว่า \"ไม่มีอะไร\" ซึ่งในเรื่องนี้ ผู้เขียนได้ใช้เทคนิ คหลาก หลายในการดำเนิ นเรื่อง ทั้งการเล่าไปตามธรรมดา ทั้งที่เป็ นความคิด ของผู้กำกับภาพยนตร์ที่ไปดูละครเวที และทั้งการเอาเรื่องละครเวทีเรื่องนี้ ไปทำเป็ นภาพยนตร์ โดยใช้มิติในการเล่าคือให้เราเข้าไปอยู่ในความคิด ของผู้กำกับละครเวทีนั้ นเอง จะเห็นได้ว่าผู้เขียนได้ใช้มิติหลายมิติใน การนำเสนอเรื่องราวที่ดูเผินๆ อาจจะดูเหมือนกับว่าเป็ นแค่เรื่องธรรมดา แต่ถ้ามองอย่างลึกๆ ลงแล้ว ผู้เขียนได้แฝงปรัชญา และหลักธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้าไว้ได้อย่างแนบเนี ยน นวนิ ยายเรื่องนี้ จึงเป็ นการสื่ อเรื่อง ราวที่แสนธรรมดาทั้งๆที่ความจริงไม่ธรรมดาออกมาได้อย่างน่ าสนใจและ สมบูรณ์แบบเป็ นอย่างยิ่ง ในเรื่องนี้ มีหลายตอนที่ทำให้ผู้กำกัภาพยนตร์ นึ กกลับเห็นถึงความผิดพลาดในอดีตของตนเอง อย่างเช่นในตอนที่ลูกเขา เสียไป แต่เขาติดถ่ายภาพยนตร์อยู่ ซึ่งเขาก็เห็นแก่คนส่วนมากจึงไม่ได้ ไปทำหน้ าที่พ่อที่ดีได้ ผู้แต่ง ชาติ กอบจิตติ

17 ม้าก้านกล้วย (2538) \"ชี วิตในเมืองใหญ่สุ ขสบายจริงหรือ\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทกวีนิ พนธ์ กวีนิ พนธ์ \"ม้าก้านกล้วย\" มีเนื้ อหาแบ่งออกเป็ นภาคนำคือ ม้าก้านกล้วย ๑-๔ เป็ นการเล่าเรื่องราวของเด็กชายคนหนึ่ ง ที่ต้องจาก บ้านในสังคมชนบทไปสู่สังคมใหม่ ซึ่งก็คือสังคมเมืองเพื่อไปตามหาความ ฝั น โดยมียานพาหนะพาไป คือ ม้าก้านกล้วย ที่พ่อทำไว้ให้ใช้ในการเดิน ทาง แต่เมื่อไปถึงก็เจอกับอุปสรรคปั ญหาต่างๆมากมาย จนต้องกลับมา เอากำลังใจ คำอวยพรจากพ่อแม่และคนทางบ้าน แล้วจึงกลับไปสู้ ไปตาม หาความฝั นในเมืองหลวงต่อ แล้วแบ่งออกเป็ นสามภาคสามแผ่นดิน คือ แผ่นดินถิ่น ภาคนี้ มีภาพสะท้อนให้เห็นเป็ นแนวคิดต่างๆที่กวีต้องการสื่ อ เช่น เรื่องของวิถีชีวิตของคนในชนบท จะเป็ นการอยู่แบบเรียบง่ายมีน้ำใจ ต่อกัน แต่ก็ให้ตามกำลังที่มี เพื่อถือเป็ นน้ำใจ ให้ด้วยใจทุ่ง แผ่นดินถิ่น เมือง ในภาคสองจะเป็ นการเล่าเรื่องราวที่สะท้อนวิถีชีวิตของคนในเมือง หลวง ไม่ว่าจะเป็ นอาชีพ ความเป็ นอยู่ การใช้ชีวิตต่างๆ รวมไปถึงการ สะท้อนภาพลักษณ์ของกรุ งเทพในแต่ละที่ แต่ละมุม แต่ละชุมชน ปั ญหา ความทุกข์ ความขัดแย้งต่างๆ และแผ่นดินถิ่นใด เปรียบเสมือนการสรุ ป ทั้งสองภาคที่ผ่านมา คือ ภาคหนึ่ ง แผ่นดินถิ่นทุ่งและภาคสองแผ่นดินถิ่น เมือง ที่มีทั้งดีและไม่ดี สุขและทุกข์ มีปั ญหาต่างๆมากมายที่ทำให้โศก เศร้า อาลัย ในภาคนี้ จะเป็ นการสะท้อนให้เห็นแนวคิดของการยอมรับ สภาพต่างๆ การเปลี่ยนแปลง เผชิญกับความเป็ นจริง แต่ในทางเดียวกัน กวีก็ยังสอดแทรกความขัดแย้งขึ้นมาว่าควรอยู่บนโลกด้วยความฝั นและ ความหวังต่างๆ เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพและเข้าใจในข้อแตกต่างของข้อขัด แย้งต่างๆ ผู้แต่ง ไพวรินทร์ ขาวงาม

18 แผ่นดินอื่น (2539) \"แผ่นดินอื่นในความหมาย ของพวกคุณคืออะไร?\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทนวนิ ยาย หนั งสือ \"แผ่นดินอื่น\" ประกอบด้วยเรื่องสั้นขนาดยาว 8 เรื่องที่สะท้อนปั ญหาของชีวิต และวัฒนธรรมท้องถิ่น ทั้งในระดับ ปั จเจกบุคคล ครอบครัว และสังคม สะท้อนการเผชิญหน้ ากันระหว่าง พัฒนาการของเมืองกับคุณค่าด้านมนุษยธรรมโดยมีฉากหลังเป็ นท้องถิ่น ภาคใต้ ซึ่งเรื่องสั้นแต่ละเรื่องในแผ่นดินอื่นจะฉายภาพสะท้อนสังคมทั้ง เป็ นบทบันทึกของยุคสมัยที่ว่ากันว่าใกล้ล่มสลายเต็มที ซึ่งเกิดจากการลง ไปใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับผู้คนพื้นถิ่นของผู้เขียน โดยใช้สายตาของนั ก สังเกตการณ์ทางสังคม ก่อนกลับมานั่ งทบทวนทำความเข้าใจปั ญหา ใน แผ่นดินอื่น ผู้เขียนได้ใช้เรื่องราวและฉากที่เกิดจริงจากดินแดนบ้านเกิด ของเขาในยุคถีบลงเขาเผาลงถังแดง การสังหารผู้ต้องสงสัยว่าเป็ น คอมมิวนิ สต์ที่พัทลุงราวปี 2510-2517 รวมทั้งฉากและเรื่องราวในหุบเขา ฝนโปรยไพร นครศรีธรรมราช ก่อนที่แผ่นดินอื่นจะได้รับการประทับ ตรารางวัลซีไรท์ในปี 2539 กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ดำเนิ นเรื่องด้วยกลวิธี การเขียนที่ดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน ให้ใคร่รู้ใคร่ติดตาม และนำไปสู่ จุดหมายที่เป็ นเอกภาพ โดยไม่ละเลยที่จะสอดแทรกปั ญหาและแง่มุมของ ชีวิต แผ่นดินอื่นเป็ นการบันทึกความขัดแย้งของสังคมในอดีต ทั้งในแง่ การเมือง เศรษฐกิจและวัฒธรรม รวมถึงปั ญหาของสังคมร่วมสมัย ผู้แต่ง กนกพงศ์ สงสมพันธุ์

19 ประชาธิปไตยบน เส้นขนาน (2540) \"เส้ นขนานที่ ไม่มีวันบรรจบ\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทกวีนิ พนธ์ “คุณเคยคิดไหมว่า ประชาธิปไตยเมืองไทยเราก็คล้าย ต้นไทรใหญ่ต้นนั้ น ส่วนอำนาจก็เป็ นเหมือนลมพายุ พอมันพัดกรรโชกที ต้นไทรก็ปั่ นป่ วนที แต่ถึงยังไงต้นประชาธิปไตยต้นนี้ ก็ยังอุตส่าห์ผ่าน ร้อนผ่านหนาว ยืดหยัดมาได้โดยตลอด” ชายชราเอ่ยคำถามที่ไม่ต้องการ คำตอบกับเพื่อนที่นั่ งข้าง ๆ ก่อนที่ทั้งสองจะเริ่มสนทนาระลึกความหลัง สมัยหนุ่ ม ๆ ที่พวกเขาได้ต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ของตน และค่อย ๆ เติบโต ไปพร้อม ๆ กับระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย นั่ นคือจุดเริ่มต้น ของนวนิ ยายรางวัลซีไรต์เรื่อง ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน ของคุณวินทร์ เลียววาริณ ที่เล่าถึงประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศไทยในรู ปแบบที่ อาจารย์ชั้นมัธยมศึ กษาไม่ได้สอน เนื่ องจากหนั งสือเล่มนี้ เป็ นเรื่องสั้นรวม มิตรจานใหญ่ที่ได้รวมหลากเหตุการณ์ และหลายช่วงเวลามาคลุกเคล้าเข้า ด้วยกัน พร้อมจัดเรียงสวยงามและเสิร์ฟให้ผู้อ่านได้ลิ้มรสชาติขมหวาน ของการเมืองกันอย่างจุใจ บทความฉบับนี้ จึงจะเลือกนำเสนอเพียงสาม ประเด็นสำคัญที่ผู้เขียนเห็นว่าผู้อ่านควรตระหนั กถึงหากได้ร่วมผ่าน ประสบการณ์ร้อนหนาวไปกับ “จ่าตุ้ย” และ “เสือย้อย” ผ่านตัวอักษร ของคุณวินทร์ ผู้แต่ง วินทร์ เลียววาริณ

20 ในเวลา (2541) \"คนเราเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ที่เปลี่ยนไป\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทกวีนิ พนธ์ \"ในเวลา\" เป็ นบทกวีนิ พนธ์ที่แสดงความคิดแหลมคมด้วย เนื้ อหาหลากหลาย โดยกวีสามารถจับจังหวะลีลาของ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ร่าย มาเรียงร้อยให้เห็นอัจฉริยลักษณ์ของกวีนิ พนธ์ไทยอย่าง ช่ำชอง สร้างจินตภาพ กระทบอารมณ์ และให้ความรู้สึกลึกซึ้ง กวีใช้เวลา เป็ นกรอบนำเสนอความคิดที่ว่า สรรพสิ่ งล้วนเวียนว่ายอยู่ในมิติของกาล เวลา มนุษย์ต้องต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงอันเป็ นสัจจะของโลกและชีวิต อยู่ตลอดเวลา มนุษย์กับเวลาเป็ นส่วนหนึ่ งของกันและกันอย่างกลมกลืน จนไม่อาจแยกจากกันได้ ...แรคำ ประโดยคำ ปลุกเร้าจิตสำนึ กให้ผู้อ่านเห็นว่า ท่ามกลางกระแสแห่งกาลเวลาและมายาคติในโลกปั จจุบันนั้ น การมีมโน สำนึ กอันประณีต จะทำให้มนุษย์สามารถสัมผัสความละเอียดอ่อนของ สรรพสิ่ งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตได้ หากปราศจากการตระหนั กในมโนสำนึ ก อันประณีตนี้ แล้ว มนุษย์ก็จักถูกกลืนกินด้วยกาลเวลา กวีให้ฉุกคิดและ หวนกลับมามองโลก มองชีวิตด้วยความมีสติ สุขุมรอบคอบ ด้วยจิตใจที่รู้ เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลก และกาลเวลา.. ผู้แต่ง แรคำ ประโดยคำ

21 สิ่ งมีชีวิตที่เรียกว่าคน (2542) \"มนุษย์ แท้จริงนั้ นเป็ นอย่างไร? มาร่วมหาคำตอบไปพร้อมๆกัน\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทรวมเรื่องสั้น ‘สิ่ งมีชีวิตที่เรียกว่าคน’ ต้องการสื่ อเรื่องราวของสังคม มนุษย์และการตีแพร่ความจริงเบื้องลึกในจิตใจของคน หรือ “มนุษย์” ที่ ถือว่าตนเป็ นสัตว์ผู้มีปั ญญาฉลาดล้ำกว่าผู้ใด ความขัดแย้งในระบบสังคมที่ บ่มเพาะและขัดแย้งในตัวของมันเอง และยังเชื่อมโยงไปถึงความขัดแย้ง ภายในจิตใจของตัวมนุษย์เองด้วย สิ่ งเร้าภายในและภายนอกทำให้ มนุษย์ต้องดิ้นหรือหลบหลีกจากความรู้สึก และบางครั้งมนุษย์ก็ตกอยู่ภาย ใต้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ที่มีศี ลธรรม จริยธรรม เป็ นตัวแปรสำคัญที่ก่อ ให้เกิดพฤติกรรมที่แสดงออกมา จนกลืนกลายตัวตนของตนไป นอกจากภาษาที่สละสลวย เรียบง่าย แต่ดู..จริง..ในความ รู้สึก วินทร์ เลียววาริณ ยังพยายามสอดแทรกความเป็ นวรรณกรรมสมัย ใหม่ให้กับผู้อ่าน โดยสังเกตจากเนื้ อหาบางส่วนที่เขาเปลี่ยนลักษณะการ เขียนให้แตกต่างออกไป เช่น การสร้างงานเขียนที่ใช้ ‘คำ’ แทนการเขียน ในรู ปประโยคธรรมดาๆ และใช้เครื่องหมาย ‘/’ ในการแบ่งแยกคำแต่ละ คำออกจากกัน หรือจะเป็ นการใช้การ ขีดฆ่า ตัวอักษรก็ตามที สิ่ งเหล่านี้ เป็ นรู ปแบบของงานเขียนสมัยใหม่ ในขณะเดียวกันก็ให้ความคิดและ ความรู้สึกอะไรบางอย่างกับผู้อ่าน นอกจากนี้ การนำบทความและเรื่องสั้น ตัดสลับกันในระหว่างเรื่องของทุกๆเรื่อง ก็ถือเป็ นความชาญฉลาดของผู้ เขียน ผู้แต่ง วินทร์ เลียววาริณ

22 อมตะ (2543) \"ใครเป็ นผู้ชนะ\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทนวนิ ยาย พรหมมินทร์อยากเป็ นอมตะโดยใช้วิธีโคลนนิ่ งเพื่อจะ เปลี่ยนถ่ายอวัยวะกับตัวโคลนที่เขาสร้างขึ้นมา ชีวันเป็ นหนึ่ งในคนโคลน ที่ได้รับการเลี้ยงดูจากพรหมมินทร์เมื่อเขารู้ความจริงเรื่องการเปลี่ยนถ่าย อวัยวะเขาจึงเสียใจมาก แต่ในอีกด้านหนึ่ งอรชุนคนโคลนอีกคนของ พรหมมินทร์ เขามีอาชีพเป็ นนั กจิตบำบัด เขาถูกจ้างมาเพื่อบำบัดศศิ ประภาภรรยาของพรหมมินทร์ และบำบัดจิตใจ ของชีวัน เขาเป็ นคนที่ยึด มั่นในหลักพุทธศาสนา เขารับหน้ าที่บำบัดศศิ ประภาและชีวันอย่าง เต็มใจ เพราะจริงๆแล้วเขาต้องการที่จะแก้แค้นพรหมมินทร์ที่ไม่รู้จัก คุณค่าของชีวิต เมื่อถึงวันที่ชีวันต้องเปลี่ยนถ่ายอวัยวะกับพรหมมินทร์ อวัยวะบางส่ วนของชี วันจะต้องถูกย้ายไปที่ ร่างกายของพรหมมินทร์ อรชุนทราบข่าวจึงขอแลกตัวกับชีวัน พรหมมินทร์ต้องการสมองของอรชุน การผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดี พรหมมินทร์สามารถเปลี่ยนถ่ายสมองได้ สำเร็จ โดยเขาอยู่ในร่างของอรชุน ผู้แต่งนำเสนอผู้อ่านให้เห็นถึงความ ขัดแย้งระหว่างตัวละครสองตัว ซึ่งคนหนึ่ งยึดมั่นใน อำนาจวิทยาศาสตร์ ส่วนอีกคนหนึ่ งยึดมั่นในหลักปรัชญาพุทธศาสนา ในตอนจบของเรื่องนี้ ยังทิ้งคำถามไว้ให้ผู้อ่านคิดตามว่าสุดท้ายแล้วใครเป็ นผู้ชนะระหว่างอรชุน หรือพรหมมินทร์ ผู้แต่ง วิมล ไทรนิ่ มนวล

23 บ้านเก่า (2544) \"ดิน น้ำ ลม ไฟ\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทกวีนิ พนธ์ กวีเปิ ดเรื่องด้วยบทกวีที่ชื่อว่า “ดิน น้ำ ลม ไฟ : ความเป็ น ไปในชีวิต” โดยผูกโยงเหตุการณ์ที่กล่าวไว้ในวรรณคดีโบราณเรื่อง “ลิลิตโองการแช่งน้ำ” เข้ากับสถานการณ์ปั จจุบันได้อย่างน่ าสนใจ โดย กวีได้กล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงวิปริตของธาตุทั้งสี่ ไล่ลำดับตั้งแต่ “ดิน” “น้ำ” “ลม” “ไฟ” และขมวดปิ ดด้วยเรื่อง “ไปเป็ นความเป็ นไป” ที่สรุ ป ว่าการเปลี่ยนแปลงของธาตุอันมีเหตุปั จจัยมาจากเความเจริญทางวัตถุดังที่ ว่ามานั้ น คล้ายเร่งให้วันสิ้นโลกมาถึงไวขึ้น อันธาตุหลักทั้งสี่ นั้ น เชื่อกันว่าประกอบอยู่ในทุกสิ่ ง เมื่อธาตุทั้งสี่ อันเป็ นพื้นฐานเปลี่ยนแปลงไป การเปลี่ยนแปลงนั้ นย่อมกระทบถึงทุก สรรพสิ่ งในโลกอย่างแน่ นอน เป็ นที่น่ าสังเกตว่าการที่กวีเลือกบทกวีเรื่อง นี้ ที่กล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงของธาตุทั้งสี่ มาเป็ นบทเปิ ดเรื่องนั้ น คล้าย กับชี้เป็ นนั ยๆว่า การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นต่อไปในบทกวีอีก 40 เรื่องที่ เหลือนั่ นเอง เรื่องของความเปลี่ยนแปลงที่กวีพยายามสื่ อสารนั้ น คือการ เปลี่ยนแปลงของสังคมที่พึ่งพาเกษตรกรรมเป็ นหลัก เปลี่ยนสู่สังคมสมัย ใหม่ที่สมาทานลัทธิบริโภคนิ ยมเต็มรู ปแบบ ผู้คนต้องการความสะดวก สบาย เงินคือสิ่ งที่ต้องมาก่อน เพราะเป็ นสิ่ งจำเป็ นในการสร้างตัวตนใน สังคมใหม่ เห็นได้ชัดจากเรื่อง “นครเมฆา” ที่เปรียบเทียบไว้ว่า ทรัพย์สินคือสิ่ งยึดเหนี่ ยวหลักในยุคสมัยนี้ ผู้แต่ง โชคชัย บัณฑิต

24 ความน่ าจะเป็ น (2545) \"ฉั นจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทรวมเรื่องสั้ น \"ความน่ าจะเป็ น\" เรื่องสั้นทั้ง 13 เรื่อง ที่ปราบดา นำมา รวมเล่มเป็ นหนั งสือรวมเรื่องสั้นชุดความน่ าจะเป็ น เป็ นเรื่องของชายหนุ่ ม กำพร้าที่วิถีชีวิตถูกเลี้ยงดูอยู่กับตาและยาย ชายหนุ่ มคนนี้ มีความคิดที่ แตกต่างจากบุคคลทั่วไป เขามักจะมีคำถามต่างๆอยู่ในใจเสมอ แต่ละ คำถามมักจะเป็ นคำถามที่บุคคลทั่วไปไม่เคยคิด ไม่เคยจะค้นหาคำตอบ การที่เขาได้อยู่ในสภาพสังคมที่ตากับยายเลี้ยงดูนั้ น ทำให้เขาได้ซึมซับ บางอย่างไว้ในใจ เมื่อเขาโตขึ้นได้ทำงานตามสิ่ งที่เรียนมา คืองานที่ เกี่ยวข้องกับศิ ลปะและงานโฆษณา เขาก็ได้นำความทรงจำเดิมๆขณะที่ อยู่กับตาและยาย มาสร้างเป็ นผลงานโฆษณาจน กลายเป็ นที่ยอมรับ และรู้จักของคนทั่วไป เรื่องนี้ ได้สะท้อนให้เห็นว่า สังคมของเรากำลัง อ่อนแอลงอย่างมากโดยเฉพาะความอ่อนแอทางด้านความคิด ความเป็ น อัตลักษณ์ของแต่ละคนกำลังถูกทำลายลง เพราะจุดที่แต่ละคนยืนอยู่นั้ น มาพร้อมกับคำว่าอิทธิพล ซึ่งมาคู่กับคำว่าอำนาจ ชนิ ดที่แยกจากกันไม่ได้ คิดแต่เพียงว่าหากขัดขืนก็ตาย เชื่อตามก็รอด ทั้งๆที่บางครั้ง เชื่ออาจตาย ขัดขืนอาจรอดก็เป็ นได้ และใครจะให้คำตอบได้ดีไปกว่าตัวของตัวเอง เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้น กับปั ญหาที่กำลังจะขยายแผ่กว้างออกไป ความ คิดที่อ่อนแอลง กับทางออกที่ควรจะเป็ นก็คือ ตัวมนุษย์เอง เพราะ “มนุษย์ควรมีความเป็ นตัวของตัวเอง มากกว่าจะถูกครอบงำจากความคิด ของบุคคลอื่น” ผู้แต่ง ปราบดา หยุ่น

25 ช่างสำราญ (2546) \"เด็กชายกำพล\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทนวนิ ยาย ความสำราญที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ คือ เรื่องราวของเด็กคน หนึ่ งที่ชื่อว่า'กำพล' อายุเพียง 5 ขวบ ถูกพ่อแม่ทิ้งให้ใช้ชีวิตตามลำพัง ชั่วคราวกับผู้คนที่ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่คนสนิ ท แต่เป็ นเพื่อนบ้านที่เคยร่วม อยู่ด้วย แต่เมื่อพ่อและแม่ของเด็กกำพลแยกทางกัน จึงย้ายที่อยู่ไปอยู่ที่ อื่น การผจญโลกที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่นั ก แต่มันท้าทายกว่าที่เคยเปฺ็ นอยู่ มัน ไม่ปกติธรรมดาเช่นเดิม เพราะเด็กกำพลต้องอยู่ตามลำพัง เผชิญปั ญหาที่ ถาโถมเข้ามาในชีวิต เด็กคนนี้ ต้องกลายเป็ นคนสู้ชีวิต ไม่ยอมแพ้ต่อ อุปสรรคที่พบเจอ ยังพอมีหวังอยู่เสมอต่อวันข้างหน้ าที่ครอบครัวจะกลับ มาอยู่พร้อมหน้ าพร้อมตากัน ถึงแม้เขาจะต้องหิวกระหายโหยมากขึ้น เพราะกินได้น้ อยลง เขาจะต้องกลายเป็ นภาระของเพื่อนบ้านละแวกนั้ น แต่ด้วยความเป็ นเด็กที่ยังไม่โตมาก การช่วยเหลือของชาวบ้านจึงดำเนิ น ไปอย่างเรื่อย ๆ ใครอยากช่วยเหลือให้สิ่ งใดก็หยิบยื่นให้ เฉกเช่น ใคร อยากให้นอนด้วยก็เรียกให้นอน เด็กกำพลไม่ต่างกับคนจรจัด แต่ยังไม่ ถึงกับเต็มตัวเพราะเนื้ อตัวยังไม่ได้มอมแมม เขาไม่เคยไปคุ้ยหาอาหาร ในถังขยะ ยังคงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ทุกวัน เพียงแต่เขาไม่มีที่อยู่ปั ก หลักชัดเจน ในแต่ละวันแต่ละคืน ย่อมเปลี่ยนแปลงได้เสมอ\" ผู้แต่ง เดือนวาด พิมวนา

26 แม่น้ำรำลึก (2547) \"เรามีขุนเขาวัยเด็กกันทุกคน ซึ่งเราถูกหล่อหลอมที่นั่ นให้เราเป็ นเราอยู่ตอนนี้ \" หนั งสือซีไรต์ ประเภทกวีนิ พนธ์ กวีนิ พนธ์เรื่องแม่น้ำรำลึกของเรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ เป็ นกวี นิ พนธ์ที่แสดงให้เห็นถึงความมีเอกภาพและสมบูรณ์ในตัวเองรวมถึงมี การบรรยายธรรมชาติเป็ นแก่นสำคัญของบทกวี บทกวีดังกล่าวนี้ สะท้อน ให้เห็นความมีจิตวิญญาณ และสะท้อนนิ เวศวิถีในกวีนิ พนธ์ จิตวิญญาณ ของบทกวีคือสิ่ งที่แสดงแก่นแท้ซึ่งก็คือความเป็ นตัวตนที่แท้จริงของชาย ชราที่ผูกติดอยู่กับช่วงชีวิตวัยเยาว์ ในขณะที่นิ เวศวิถีคือแนวทางแห่งการ ดำเนิ นชีวิตแห่งวัยเยาว์ที่อาศั ยอยู่ในถิ่นชนบทและมีความผูกพันกับ ธรรมชาติ หัวใจสำคัญเหล่านี้ ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านการบรรยาย ธรรมชาติโดยบทกวีที่อ่อนหวาน แม้แต่การกล่าวถึงภัยธรรมชาติ ก็ยัง เป็ นการกล่าวถึงด้วยความโหยหาอาวรณ์และมีความสุขจนอยากจะย้อน กลับไปในช่วงเวลานั้ นอีก ภาษากวีที่เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ บรรยายในผล งานกวีนิ พนธ์ได้สร้างวาทกรรมเกี่ยวกับธรรมชาติให้เป็ นสถานที่แห่งวัย เยาว์อันน่ าถวิลหา เป็ นการให้ภาพการฟื้ นความหลังได้อย่างงดงามซึ่งจะ เป็ นพลังหล่อเลี้ยงชีวิตของคนในปั จจุบัน ผู้แต่ง เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์

27 เจ้าหงิญ (2548) \"โลกจินตนาการ\" กับ \"โลกความเป็ นจริง\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทรวมเรื่องสั้น ผู้แต่งมีลักษณะเฉพาะในงานเขียนที่โดดเด่นและเป็ น เอกลักษณ์เฉพาะตัว คือ การสื่ อสารถ่ายทอดความเป็ นจริงที่เกิดขึ้นใน สังคม ไม่ว่าจะเป็ นเหตุการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะพฤติกรรมของมนุษย์ใน รู ปแบบที่แตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ ลักษณะการสื่ อสารของผู้แต่ง มุ่งเน้ น ให้ผู้อ่านรับรู้พฤติกรรมเหล่านี้ ผ่านตัวละครที่ใช้ในการดำเนิ นเรื่อง ซึ่ง เรื่องสั้นแต่ละเรื่องนั้ นปรากฏลักษณะของการนำโลกของความจริงมา ถ่ายทอดด้วยการใช้ภาษาที่เรียบง่ายเป็ นลักษณะการเล่าเรื่องแบบนิ ทาน ที่สอดแทรกจินตนาการของผู้แต่งเอาไว้ตัวละครทุกตัวล้วนสมมติขึ้นมีให้ บทบาทหน้ าที่ และการกระทำที่แตกต่างกันไป แต่ทั้งนี้ ลักษณะที่ตัว ละครเป็ น คือ การนำเอาลักษณะหรือพฤติกรรมของมนุษย์ที่แท้จริงมา ถ่ายทอดนั่ นเอง โลกจินตนาการ ที่ปรากฏในเรื่อง เจ้าหงิญ คือ โลกของ ตัวละครที่ผู้แต่งได้บรรยายไว้โดยให้รายละเอียดเล็กๆ น้ อยๆ อย่าง ละเมียดละไม การใช้ภาษาบรรยายเหตุการณ์หรือบรรยายฉากที่เกิดขึ้น โลกของความจริงที่ปรากฏในเรื่อง เจ้าหงิญ คือ โลกของตัวละครที่เกิดขึ้น จริง ปราศจากการแต่งแต้มสีสันหรือพรรณนาให้เห็นถึงความงดงามหรือ จินตนาการที่ไม่สามารถจับต้องได้ โลกของความจริงเป็ นอะไรที่มีหลัก- ฐานและยอมรับกันได้โดยทั่วไปของคนในสังคม อาจเป็ นพฤติกรรม การกระทำของมนุษย์ที่ปฏิบัติชอบหรือขัดแย้งต่อศี ลธรรม บางครั้งอาจ ขัดแย้งกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และทำให้เกิดปั ญหาสังคมต่างๆ ตามมา ผู้แต่ง บินหลา สันกาลาคีรี

28 ความสุขของกะทิ (2549) \"ชีวิตของเด็กหญิงกะทิ\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทนวนิ ยาย ความสุขของกะทิ เล่าเรื่องราวของน้ องกะทิ เด็กหญิงวัย 9 ขวบที่กำลังจะต้องสูญเสียแม่ ซึ่งป่ วยเป็ นโรคกล้ามเนื้ ออ่อนแรง แม่รู้ตัวดี ว่าไม่สามารถเลี้ยงดูกะทิได้ จึงฝากกะทิให้ตากับยายเลี้ยง กะทิเติบโตมา ด้วยความรักของตาและยาย มีชีวิตอย่างสุขสบายในบ้านหลังน้ อยริม คลองอันอบอุ่น แม่ของกะทิเป็ นโรคร้ายที่แน่ นอนว่าจะต้องตาย แม่ของ กะทิมีระบบคิดและวิธีการของตัวเองที่จะเตรียมตัวตายแบบที่อ่านแล้ว ต้องน้ำตาคลอ ผู้หญิงคนไหนมีลูกและคิดว่าตัวเองรักลูกอย่างที่สุด ต้อง อ่านนิ ยายเรื่องนี้ อ่านวิธีเตรียมตัวตายของแม่กะทิ ชั่งจับจิตกินใจเสีย เหลือเกิน และเรื่องของพ่อกะทิ ซึ่งไม่ปรากฏตัวและแทบจะไม่มีการเอ่ย ถึงในเรื่อง แต่เป็ นตัวละครสำคัญในเรื่อง ที่ว่าเป็ นตัวละครสำคัญเพราะมี ส่วนอย่างยิ่งที่ทำให้เด็กหญิงกะทิบรรลุธรรม ผู้เขียน เล่าเรื่องราวของ กะทิอย่างเรียบง่าย เนรมิตบ้านริมคลองให้เป็ นบ้านในฝั น ที่อบอวลด้วย บรรยากาศอันรื่นรมย์ของอดีต ฉายรายละเอียดสิ่ งละอันพันละน้ อย ของ วิถีชี วิตที่ สุ ขสงบของครอบครัวชนชั้ นกลางระดั บสู งให้ ผู้อ่านประทับใจ ผู้แต่ง งามพรรณ เวชชาชีวะ

29 โลกในดวงตาข้าพเจ้า (2550) \"แท้จริงแล้วข้าพเจ้ามีสายตาปกติ แต่โลกนี้ ต่างหากที่เบี้ยวบุบผิดรู ปทรงไป\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทกวีนิ พนธ์ กวีนิ พนธ์ \"โลกในดวงตาของข้าพเจ้า\" เหมือนกับการเริ่ม ต้นจากเด็กวัยเริ่มหัดเดิน ทำให้เราย้อนกลับไปพบกับจิตนาการที่สุด แสนประทับใจ จากคนขายอาหารธรรมดาคนหนึ่ ง จะประยุกต์ ประสบการณ์แห่งรสชาติ เป็ นรสนิ ยมแห่งชีวิตได้อย่างชวนติดตาม อย่างไม่สะดุด ทั้งๆ ที่เป็ นเรื่องหนั กของชีวิต นั้ นคือสภาพของพระเจ้าที่ เรามองเห็น แต่แท้จริงความหวังตลอดทั้งชีวิตของคนหนึ่ งคน สะท้อนถึง ความอยุติธรรมของพระผู้เป็ นเจ้า ที่เราเคารพนั บถือ ผ่านกวีนิ พนธ์ ที่ มากประสบการณ์ และหลากสีแห่งจินตนาการ เมื่อเราผ่านวัยเด็ก เรา ต้องผ่านความฝั นที่แสนหวาน ที่สังคมยัดเยียดให้ ก่อนที่จะมอบชะตา กรรมที่แสนโหดร้ายในวัยทำงาน จากวัยทำงานก็ทำให้เราพบความจริง ว่า \"สังคมไทย\" เป็ นเพียงสังคมหน้ าไหว้หลังหลอกเท่านั้ นเอง ซึ่ง สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกได้ออกมาไม่ต่างกัน คือความรันทด สิ่ งที่เกิด จากความอยุติธรรมทางสังคม ดิฉันเองก็เชื่อว่าคนอ่านกวีนิ พนธ์ของ มนตรี ศรียงค์ \"โลกในดวงตาของข้าพเจ้า\" ต้องรู้สึกว่า \"ชีวิตเราต้องสู้ แบบมีปั ญญา มีสติ เพราะสังคมไทย คือสังคมแห่งความเห็นแก่ตัวที่สุด ในโลก และยังเป็ นสังคมแห่งการหน้ าไหว้หลังหลอกกันอีกด้วย\" ผู้แต่ง มนตรี ศรียงค์

30 เราหลงลืมอะไรบางอย่าง (2551) \"สิ่ งที่เราหลงลืมไป มีอะไรบ้างนะ\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทรวมเรื่องสั้น เป็ นรวมเรื่องสั้น 12 เรื่องที่กล่าวถึงความเปลี่ยนแปลง ของสังคมและความเป็ นไปของเหตุการณ์บ้านเมืองร่วมยุคสมัย นั กเขียน เน้ นความเปลี่ยนแปลงทางความรู้สึกของผู้คนทั้งในสังคมชนบทและ สังคมเมือง ที่มีผลมาจากความเจริญทางวัตถุ จากความละเมียดละไมไปสู่ ความหยาบกระด้าง และในที่สุดความรู้สึกแบบสังคมเมืองก็ครอบคลุม สภาพจิตใจของชนบทไว้ได้อย่างสิ้นเชิง เพราะมนุษย์เปลี่ยนไปตามโลก โดยไม่รู้ตัว จากคนที่มีน้ำใจไมตรีไปสู่คนเพิกเฉยเย็นชา จากสังคม เรียบง่ายไปสู่สังคมที่ซับซ้อนขึ้น ในสภาพดังกล่าวมนุษย์จึงตกอยู่ใน วังวนแห่งความสับสน แปลกแยก และหวาดระแวง ผู้เขียนยังเลือกที่จะท้าทายอำนาจรัฐด้วยการตั้งคำถาม บางประการผ่านตัวละครวิกลจริต นำเสนอภาพเมืองที่สกปรก เต็มไป ด้วยสารพันปั ญหา รวมทั้งมลพิษและอาหารขยะด้วยเรื่องเล่าของคนเก็บ ขยะ นั ยยะที่สื่ อออกมาประการหนึ่ งคือทุกคนเป็ นส่วนหนึ่ งของปั ญหา ไม่ใช่ประชาชนเป็ นผู้ถูกกระทำตลอดเวลาหรือเป็ นความผิดของรัฐเพียง ฝ่ ายเดียว ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงสามารถนำปั ญหามายั่วล้ออย่างรื่นรมย์ ผู้ เขียนใช้กลวิธีการเล่าเรื่องที่มีพลัง ผ่านการใช้ภาพเปรียบเทียบการสร้าง เรื่องที่มีเสน่ ห์ ชวนให้ผู้อ่านติดตาม ครุ่นคำนึ ง และสุดท้ายให้ตีความได้ หลายนั ย ผู้แต่ง วัชระ สัจจะสารสิน

31 ลับแล,แก่งคอย (2552) \"ฉั นคือใคร\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทนวนิ ยาย \"ลับแล, แก่งคอย\" เล่าเรื่องชีวิตเด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่ งที่ใน ชีวิตจริงเขาถูกอำนาจแห่ง \"ความถูกต้อง\" ควบคุมเอาไว้โดยไม่รู้ตัว ความ คิด และการดำเนิ นชีวิตที่ถูกกำหนดไว้นั้ นมีพลังอำนาจเกินกว่าจะขัดขืน ทางออกของเขาที่ดูเหมือนว่ามีอยู่เพียงทางเดียวนั้ นก็คือ การสร้างตัวตน ลวงอีกคนหนึ่ งขึ้นมา จนเกือบจะนำไปสู่การแตกสลายของตัวตน ซึ่งที่มา ที่ไปของเรื่องนี้ อุทิศ เล่าว่า \"เรื่องนี้ เริ่มต้นมาจากคำถามของตัวละครที่ว่า \"ฉันคือใคร\" ถูกประกอบขึ้นมาจากอะไรบ้างตั้งแต่กำเนิ ดเกิดมา การถาม หากลับไปสู่รากของบรรพบุรุ ษ การสืบสำรวจ หรือการตรวจที่มาผ่าน เรื่องเล่า ซึ่งเล่าต่อกันมาเป็ นทอดๆ มันก็มีทั้งข้อเท็จจริง และตำนาน ปะปนกันอยู่ ผมคิดว่าเรื่องลักษณะเหล่านี้ เป็ นเสน่ ห์อย่างหนึ่ งที่ส่งทอด มาสู่เรา และจากการสืบสำรวจกลับไปมันก็ต้องปะทะกับเรื่องที่มันเป็ น ข้อเท็จจริงกับเรื่องโกหก พอเกิดทางแยกสองสายแบบนี้ ผมคิดว่ามันก็ สะท้อนให้เห็นว่าในสังคมเราในยุคปั จจุบันที่สื่ อสารมวลชนมีบทบาท มากขึ้นประเด็นเรื่องอะไรจริงอะไรไม่จริง ความจริงหรือความลวงเป็ น อะไรที่เป็ นอุดมคติสำคัญที่เรากำลังถกเถียงกันอยู่ และสื่ อสารมวลชนก็ มักจะอ้างตัวเองเสมอว่าอยู่ฝ่ ายความจริง ผูกเกี่ยวกับความถูกต้อง เพราะ ฉะนั้ นความจริงกับความลวงก็เลยเหมือนกับข้อปะทะถกเถียงกันว่า ใคร จะเป็ นคนถือครองที่สุดของความจริง ผู้แต่ง อุทิศ เหมะมูล

32 ไม่มีหญิงสาวในบทกวี (2553) \"กำแพงร้องไห้ คืออะไร? ทำไมต้องร้องไห้? ติดตามค้นหาไปพร้อมๆกัน\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทกวีนิ พนธ์ \"ไม่มีหญิงสาวในบทกวี\" เป็ นกวีนิ พนธ์แบบไร้ฉันทลักษณ์ ที่แม้ว่าจะไม่มีรู ปแบบที่ตายตัวก็ยังคงมีความโดดเด่นในแบบฉบับของ ตนเอง โดยเนื้ อหาส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับสันติภาพและความสงบของ ชายแดนใต้ ข้อดีของหนั งสือเล่มนี้ คือ เลือกใช้คำได้ไพเราะ และสื่ อ ความหมายได้ในรู ปแบบที่กวีทั่วไปอาจจะไม่มีเอกลักษณ์ตรงจุดนี้ เช่น ฉันควรใช้สีอะไรบันทึกถ้อยคำแห่งความเศร้า มันเป็ นแค่คำธรรมดาที่ ถูกนำมาเป็ นชื่อตอน และความธรรมดานั้ นกลับกระแทกใจได้อย่างจัง หลายครั้งที่บทกวีสามารถทำได้มากกว่าเป็ นตัวหนั งสือ นอกจากจะทำให้สิ่ งของบางอย่างในบทกวีนั้ นมีชีวิต ก็ได้ทำให้บทกวีทั้ง เล่มเหมือนมีชีวิตขึ้นมาด้วยเช่นกัน เช่น ข้าพเจ้าเห็นกำแพงร้องไห้ ซึ่งใน ความเป็ นจริงแล้ว ใครก็คงรู้ว่ากำแพงคงไม่ได้ร้องไห้ได้จริง ๆ แต่ หนั งสือเล่มนี้ ทำได้ ด้วยอำนาจแห่งตัวอักษร เสมือนว่า เราได้ร่วมเห็น กำแพงกำลังร้องไห้อยู่ด้วยคน แต่ทว่าก็มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่ ง คือบาง อย่างที่คนอ่านไม่เข้าใจ เช่น สถานที่ คำเรียกต่าง ๆ ที่น่ าจะเป็ นภาษาที่ ใช้กันในพื้นที่ โดยรวมแล้วหนั งสือเล่มนี้ เป็ นอีกเล่มหนึ่ งที่ดี มีความ ดึงดูดตั้งแต่ชื่อเรื่อง ไปจนถึงการเลือกถ้อยคำมาประกอบบทกวีภายใน เรื่อง แม้ว่าจะเป็ นบทกวี แต่ไม่ได้ใช้คำที่ยาก สละสลวยเกินความเข้าใจ ผู้แต่ง ซะการีย์ยา อมตยา

33 แดดเช้าร้อนเกินกว่า จะนั่ งจิบกาแฟ (2554) “อารมณ์” กับ “คน” หนั งสือซีไรต์ ประเภทรวมเรื่องสั้น เป็ นรวมเรื่องสั้น 12 เรื่อง ที่ทำให้เรามองสิ่ งต่าง ๆ รอบ ตัวด้วยดวงตาที่เปลี่ยนไป เรื่องสั้นเหล่านี้ แม้จะดูหนั กหน่ วงมีมิติที่ทับ ซ้อน มีมุมมองที่แปลกต่างหากแต่มีความหมายอันน่ าพินิ จ นั กเขียนเน้ นการเล่าเรื่องอย่างมีชั้นเชิง อย่างซ่อนเงื่อน ซ่อนปม กำกับบทบาทความคิดอย่างมีศิ ลปะในการเรียงร้อยและจัดวาง จังหวะถ้อยคำและข้อความ เรื่องราวที่มีลีลาเชิงอุปลักษณ์ ประชดประชัน ยั่วล้อ การละเล่นกับความแปลกประหลาด ความชำรุ ดของสังคมและ ปรัชญาที่แฝงอยู่ ลงไปถึงรายละเอียดของอารมณ์มนุษย์ ภายหลังเผชิญ ความโศกเศร้าและหายนะ เผชิญชะตากรรมที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ ภาพ ย่อยในเนื้ อหาแต่ละเรื่อง เรียกอารมณ์ และวิธีการมองโลก กระตุ้นให้ คิดตามและคิดต่อ กล่าวได้ว่า รวมเรื่องสั้นชุดนี้ โดดเด่นด้วยกลวิธีการเล่า เรื่องในแบบเฉพาะตน ฝี มือในเชิงการประพันธ์ มีสีสันในแง่ของการนำ เสนอโลกทัศน์ ต่อชีวิต สังคมและโลกที่ลุ่มลึก พร้อมทั้งกลวิธีทาง วรรณศิ ลป์ ที่เปี่ ยมด้วยชีวิตชีวา เข้มข้นด้วยอารมณ์อย่างน่ าสนใจ เป็ น เรื่องสั้นชุดหนึ่ งที่ท้าทายจิตสำนึ กของคนในสังคมได้เป็ นอย่างดี ผู้แต่ง จเด็จ กำจรเดช

34 คนแคระ (2555) \"เหตุผลของการทำความชั่ ว จะมีความชอบธรรมจริงหรือไม่?\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทนวนิ ยาย คนแคระของวิภาส ศรีทองเป็ นนวนิ ยายที่เสนอปั ญหา สัมพันธภาพระหว่างมนุษย์ เปิ ดเผยให้เห็นความโดดเดี่ยว อ้างว้างของ กลุ่มคนซึ่งเป็ นตัวแทนของสังคมร่วมสมัย โดยสะท้อนให้เห็นการขาด ความตระหนั กถึงคุณค่าของความเป็ นมนุษย์ การหมกมุ่นอยู่กับปั ญหา ของตนเอง และการโหยหาสัมพันธภาพระหว่างมนุษย์แต่จำกัดขอบเขต ของความสัมพันธ์นั้ นไว้ ทั้งหมดนี้ ผู้เขียนนำเสนอผ่านตัวละครที่แสดง ความเย็นชาต่อชะตากรรมของมนุษย์ และหาทางสร้างความชอบธรรมให้ แก่การกระทำของตนเอง ผู้เขียนมีกลวิธีการเล่าเรื่องเนิ บช้าทว่ามีพลัง มีการสร้าง จินตภาพที่ชวนให้เกิดการตีความหลากหลาย มีการนำเสนอตัวละครที่ ซับซ้อน แปลกแยกและท้าทายกฎเกณฑ์ของสังคม คุณค่าของนวนิ ยาย เรื่องนี้ จึงอยู่ที่การกระตุ้นให้เกิดการสำรวจภาวะความเป็ นมนุษย์ในโลก ร่วมสมัย ในขณะเดียวกันก็ตั้งคำถามกับมโนสำนึ ก ความรับผิดชอบชั่วดี และสารัตถะของชีวิต\" ผู้แต่ง วิภาส ศรีทอง

35 หัวใจห้องที่ห้า (2556) \"อดีตถึงปั จจุบัน\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทกวีนิ พนธ์ บทกวีในเล่มนี้ มีเสน่ ห์ครบทุกรสน่ าค้นหาและชวนให้น่ า ติดตามในทุกตัวอักษร ซึ่งบทกวีนิ พนธ์ เล่มนี้ ผู้เขียนแบ่งออกเป็ นสอง ภาค ภาคแรก หัวใจห้องที่ห้า กล่าวถึงเรื่องราวต้นกำเนิ ดความมหัศจรรย์ ของมนุษย์ตั้งแต่ก่อนยุคประวัติศาสตร์ การเดินทางของมิตรภาพแห่ง สันติสุข ความสงบสุขและสันติภาพ การเดินทางต่อสู้เพื่อ ค้นหาพิสูจน์ ความจริง เหตุการณ์จริงชีวิตความเป็ นอยู่ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม หลายสิ่ งหลายอย่าง บางเรื่องราวยังคงต้องการคำตอบ และทุกเรื่องราว ถ่ายทอดผ่านบทกวีได้อย่างลึกซึ้งตั้งแต่อดีตจนถึงปั จจุบัน ภาคหลัง นิ ทานเดินทาง เรื่องเล่าในตำนานชีวิตของคนอีสาน นิ ทานปรัมปราถูก เล่าขาน ปากต่อปากจากรุ่นสู่รุ่นเป็ นข้อมูลชั้นดีในการเขียนบทกวี สะท้อนวิถีชีวิตและความเชื่อได้เป็ นอย่างดี ทำให้เราได้เห็นเรื่องราวชีวิต ในหลายแง่มุมผ่านโคลงกลอนและมุมมองในวิถีชีวิตการเดินทางของผู้คน ความหลากหลายของชาติพันธุ์วัฒนธรรมวิถีชีวิต โดยเฉพาะคนอีสานที่ ต้องต่อสู้ชีวิตในหลายรู ปแบบเพื่อความ อยู่รอด ผู้แต่ง อังคาร จันทาทิพย์

36 อสรพิษและเรื่องอื่นๆ (2557) \"ใครกันแน่ ที่เป็ นอสรพิษ\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทรวมเรื่องสั้น อสรพิษและเรื่องอื่นๆ เป็ นหนั งสือรวมเรื่องสั้น 12 เรื่อง ซึ่ งแสดงถึงการไหลเวียนของเรื่องเล่าที่ ไร้กาลเวลาโดยผู้เขียนนำเรื่อง จากเทพปกรณัม ชาดก ตำนานเรื่องย้อนอดีต ฯลฯ มาเล่าใหม่อย่างมี สัมพันธบท ด้วยลีลาภาษาอันวิจิตร สร้างพลังอันเข้มข้นเร้าใจ รวมเรื่อง สั้นชุดนี้ เสนอการต่อสู้ในสองระดับ ทั้งการต่อสู้ภายในจิตใจมนุษย์กับ กิเลสต่างๆ และการต่อสู้กับกระแสความคิดความเชื่อที่ครอบงำสังคม ผ่านมุมมอง น้ำเสียง สำเนี ยงภาษาที่แตกต่าง และรู ปแบบการเล่าเรื่อง อันหลากหลาย เช่น วรรณกรรมแนวพาฝั น วรรณกรรมสยองขวัญ เป็ นต้น ทำให้ผู้อ่านครุ่นคิดถึงอำนาจของชะตากรรมและความยิ่งใหญ่ แห่งพลังศรัทธา ผู้แต่ง แดนอรัญ แสงทอง

37 ไส้ เดื อนตาบอด ในเขาวงกต (2558) \"ความรักคือความสุ ขจริงไหม?\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทนวนิ ยาย นวนิ ยายเล่มนี้ มิได้สะท้อนภาพความรักที่ล้มเหลวของ หนุ่ มสาวร่วมสมัยอย่างรักสามเส้าของชารียา ชลิกา และปราณแต่เพียง อย่างเดียวเท่านั้ น หากแต่ยังสะท้อนภาพขาวดำของสังคมไทยในปั จจุบัน ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง การแก่งแย่งชิงดีกันอย่างไม่มีวันจบสิ้น ชักจูง เรา ขีดเส้นแบ่งที่มองไม่เห็นลงบนพื้น ชี้นิ้ วเชื้อเชิญให้เราบอดใบ้ไป ตามเสียงลำโพงและโทรโข่ง... สิ่ งเหล่านี้ แย่งชิงเอาความผาสุกของเราไป สุดท้ายเราอาจไม่หลงเหลือสิ่ งล้ำค่าใดให้เก็บจำเหมือนดังบทสรุ ปของ ชลิกาตอนท้ายเรื่องที่เลือกความตายเป็ นทางออก หรือปราณที่เอาแต่หนี ปั ญหาจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต วิ่งวน จมปรัก คงเหลือก็แต่ตัวละคร นวลพี่เลี้ยงของชลิกาและชารียา ตัวละครซึ่งไม่สลักสำคัญอะไร แต่ เป็ นต้นแบบชีวิตที่ไม่ยึดติด ไขว่คว้า ลุ่มหลงในสิ่ งใด ปล่อยวาง พยายามทำความเข้าใจและเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน นี่ คือสัจธรรมที่นวลค้น พบ...และอีกครั้ง ผู้แต่ง วีรพร นิ ติประภา

38 นครคนนอก (2559) \"ชะตากรรมผู้อพยพในโลกยุคใหม่\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทกวีนิ พนธ์ “นครคนนอก” เป็ นกวีนิ พนธ์ที่สะท้อนให้เห็นภาพผู้คนที่ อยู่ในสังคมที่มีความแตกต่าง และหลากหลายตัวละครแต่ละตัวเป็ น เหมือนตัวแทนของกลุ่มต่างๆ ที่ล้วนแต่ประสบชะตากรรมไปตามวิถีของ โลกยุคใหม่ผู้คนในสังคมต่างประสบกับความทุกข์ปั ญหาและต้องต่อสู้ ดิ้นรนในการดําเนิ นชีวิต วิถีชีวิตและทัศนะบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปจาก สังคมไทยยุคก่อน แต่แม้ว่าสังคมยุคใหม่จะเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาไป จากเดิมมากเพียงไร แต่สิ่ งที่ยังคงอยู่ในตัวตนของมนุษย์คือ กิเลส ตัณหา ความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ซึ่งนํ าไปสู่ความขัดแย้ง และความรุ นแรงที่เกิดขึ้นในสังคมดังบทกวีหลายบทที่สะท้อนให้เห็น ภาพชะตากรรมของตัวละครอันหลากหลาย เช่นเดียวกับกลวิธีในการนํ า เสนอเนื้ อหาในบทกวีเล่มนี้ ก็มีรู ปแบบที่หลากหลาย ทั้งที่เป็ นการนํ า เสนอตามแนวขนบนิ ยม การคิดสร้างสรรค์ที่เป็ นไปตามสมัยนิ ยมรวมถึง การนํ าเสนอผ่านวรรณรู ปที่มีความหมายจากคําและจากภาพที่ปรากฏ จึง นั บว่าบทกวีเล่มนี้ มีความโดดเด่นและมีความหลากหลายทั้งเนื้ อหาและ รู ปแบบในการนํ าเสนอดังคําประกาศที่คณะกรรมการตัดสินรางวัลซีไรต์ ได้กล่าวไว้อย่างแท้จริง ผู้แต่ง พลัง เพียงพิรุ ฬห์

39 สิงโตนอกคอก (2560) \"ความเหลื่อมล้ำ\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทรวมเรื่องสั้น เรื่องสั้นที่ถูกรวบรวมไว้ในสิงโตนอกคอก ล้วนมีลักษณะ แบบดิสโธเปี ยน (dystopian) กล่าวคือเป็ นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหลาก หลายโลกสมมติที่ผู้เขียนสร้างขึ้น โดยโลกสมมติต่างๆ จะถูกออกแบบ ให้มีลักษณะที่สะท้อนปั ญหาบางประการในโลกแห่งความเป็ นจริง เช่น เมืองที่มีฤดูหนาวอันโหดร้ายยาวนาน และมีทางรอดเพียงทางเดียวคือ การยอมเผาหนั งสืออันล้ำค่า สังคมที่ผู้คนถูกตัดสินความชั่วและประหาร ชีวิตด้วยไพ่ประจำตัว ความรักและการพลัดพรากที่เกิดขึ้นระหว่าง คอมพิวเตอร์แสนอัจฉริยะด้วยกัน เรื่องสั้นที่อาจกล่าวได้ว่าโดดเด่นที่สุด ในผลงานของจิดานั นท์เล่มนี้ ก็คือเรื่อง ‘สิงโตนอกคอก’ นั่ นเอง เล่าถึง โลกที่ประกอบไปด้วยมนุษย์สองเผ่าพันธุ์ กลุ่มแรกมีนั ยน์ ตาสีดำ และ อีกกลุ่มมีนั ยน์ ตาเป็ นสีขาว “มนุษย์ที่มีดวงตาตรงกลางเป็ นสีขาวแทนสี ดำ เกิดขึ้นครั้งแรกบนโลกเมื่อสามร้อยปี ก่อนเนื่ องจากการกลายพันธุ์ ตั้งแต่นั้ นเป็ นต้นมา มนุษย์เผ่าตาขาวมีสถานะด้อยกว่าเผ่าตาดำที่มีอยู่ ก่อนมาตลอด พวกเขาอยู่ร่วมกันในสังคม แต่ว่าคนตาขาวมักจะถูกกีดกัน หรือไม่ก็รังแก นอกจากนี้ ยังได้รับสิทธิต่างๆ ในสังคมน้ อยกว่าคนตาดำ ด้วย” ผู้แต่ง จิดานั นท์ เหลืองเพียรสมุท

40 พุทธศั กราชอัสดงกับทรงจำ ของทรงจำของแมวกุหลาบดำ (2561) \"ครอบครัวไม่ใช่ Save zone สำหรับทุกคน\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทนวนิ ยาย เรื่องราวในพุทธศั กราชอัสดงฯ ก็ขยับไปสู่ความผูกพัน และความปวดร้าวของความสัมพันธ์ในครอบครัว เล่าถึงเส้นทางของ ครอบครัวคนจีนโพ้นทะเลบนแผ่นดินสยาม บนเส้นทางของการสร้าง ครอบครัวและขยับขยายฐานะ พวกเขาต้องผ่านพบความแปรผันหลาย ประการทั้งบนแผ่นดินไทยและแผ่นดินบ้านเกิด ดังสายน้ำแห่ง โชคชะตาที่ คอยซั ดพรากแต่ละคนให้ สาบสู ญไปคนละทิศละทาง นั บจากวันที่หัวหน้ าครอบครัวแซ่ตั้ง ‘ตาทวดตง’ และ ภรรยา ‘ยายทวดเสงี่ยม’ รับเอาเด็กชายจากครอบครัวที่ยากจนเข้ามา เป็ นลูกบุญธรรม จากไม่มีลูกมาหลายปี พวกเขาก็กลับได้ลูกอิจฉาตามมา คนแล้วคนเล่า จากนั้ นครอบครัวแซ่ตั้งก็ผ่านเข้าสู่ห้วงเวลาที่เต็มไปด้วย เหตุการณ์ตารปั ตรพลิกผัน เงื่อนปมแห่งความสัมพันธ์ที่ปวดร้าวถูก ถ่ายทอดไปพร้อมกับเหตุการณ์เหล่านี้ ความร้าวรานที่ซ่อนในใจของ ‘จงสว่าง’ ลูกเลี้ยงที่กลายมาเป็ นกำลังหลักของครอบครัว แต่ยังหนี ไม่พ้น ความน้ อยเนื้ อต่ำใจในฐานะที่แท้จริงของตน ความสัมพันธ์ระหว่างเขา กับจงไสว น้ องที่เป็ นสายเลือดแท้จริงของครอบครัว ที่แม้จะเคยรักกัน ปานจะกลืนแต่แล้วชะตาก็นำพาให้เขาทั้งสองต้องแยกจากและขัดแย้งกัน ผู้แต่ง วีรพร นิ ติประภา

41 ระหว่างทางกลับบ้าน (2562) \"บ้าน\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทกวีนิ พนธ์ เรื่องราวต่าง ๆ ในกวีนิ พนธ์ “ระหว่างทางกลับบ้าน” เมื่อ มองในภาพรวม จะเห็นว่ากวีได้นำเรื่องใกล้ตัวคือ “บ้าน” มาเชื่อมโยง กับสิ่ งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ระดับครอบครัว ชุมชน จนถึงระดับประเทศ และระดับโลก เมื่อสำรวจเนื้ อหาตั้งแต่หน้ าสารบัญ ผู้วิจารณ์พบว่าบทกวี ในเล่มนี้ ไม่ได้แบ่งเนื้ อหาออกเป็ นภาคเหมือนเล่มอื่นๆ ทำให้ความรู้สึก เรื่องราว และประเด็นเชื่อมโยงกันทั้งเล่ม บทกวีสื่ อสารทางความคิดกับ ผู้อ่านด้วยภาษาและการสื่ อความที่ชัดเจน มีท่วงทำนองคงเส้นคงวา สร้าง ประเด็นที่น่ าสนใจให้ติดตามตั้งแต่ ความทรงจำ การโหยหาอดีต การ ประกอบสร้างความหมายของบ้าน บ้านของผู้คนหลากหลายอาชีพ หลาก หลายชนชั้ นในสั งคมไทยตลอดจนสั งคมโลก “บ้าน” ใน “ระหว่างทางกลับบ้าน” จึงมีความหมาย มากกว่าจะตีค่าว่าเป็ นเพียงที่อยู่อาศั ย หากแต่เป็ นต้นทางความคิดที่จัด เรียงอย่างมีระบบ จากการสั่ งสมประสบการณ์รอบตัว ผ่านระบบความ คิด การตรวจสอบ การเลือกข้อมูล มุมมอง ลำดับภาพให้เห็นโครงสร้าง ทางสั งคมที่ มีการขยายตัวอย่างสู งและมีผลกระทบต่อชี วิตของ ปั จเจกบุคคล การเคลื่อนตัวของสังคม การเปลี่ยนผ่านของยุคสมัย ผู้แต่ง อังคาร จันทาทิพย์

42 คืนปี เสือ และเรื่องเล่า ของสัตว์อื่นๆ (2563) \"สัตว์ ในความหมายของคุณคืออะไร?\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทรวมเรื่องสั้น \"กระบวนทัศน์ แห่งนั ยสำนึ กที่ก่อเกิดเป็ นเรื่องราวในรวม เรื่องสั้นชุดนี้ ถือเป็ นปรากฏการณ์ด้านลึกที่กลั่นออกมาจากความรู้สึก ภายในสู่ปฏิกิริยาแห่งการรับรู้ภายนอกที่เปิ ดกว้างสู่จักรวาลของการ ตีความ ด้วยข้อสังเกตแห่งความจริงแท้และความจริงลวงนานั ปการ แก่น สารแห่งสาระเนื้ อหาของเรื่องสั้นแต่ละเรื่องล้วนต่างสื่ อแสดงถึงสถานะ และบทบาทในภาพวาดทางมโนทัศน์ ที่เร้นลึก ซึ่งเกี่ยวเนื่ องกับอาณาจักร แห่งบทสะท้อนของศิ ลปะการประพันธ์ ผ่านความคิด จิตใจ และอารมณ์ รวมทั้งผ่านมายาคติของชีวิตที่ต้องทำสงครามแห่งจิตวิญญาณต่อกันและ กันอย่างทายท้า บ้างเป็ นฉากแสดงของความโศกสลด บ้างเป็ นแก่นแท้ ในวิถีแห่งสัจจะ และบ้างกลับเป็ นการคาดคะเนที่หลงทิศหลงทางอยู่ใน รอยอำพรางที่มืดมน เหล่านี้ คือนิ ยามความหมายในเชิงประจักษ์ต่อ สัมผัสรู้ผ่านการสร้างสรรค์ผลงานอันแยบยลของผู้เขียน กระทั่งก่อเกิด เป็ นความตระหนั กคิดต่อการจุดประกายชีวิตของวรรณกรรมให้เจิด กระจ่างและยิ่งใหญ่ขึ้นมา ผู้แต่ง จเด็จ กำจรเดช

43 เดฟั่ น (2564) \"เดชั่ นคืออะไร? ร่วมหาคำตอบไปพร้อมๆกัน!\" หนั งสือซีไรต์ ประเภทนวนิ ยาย ‘เดฟั่ น’ เป็ นการเล่าเรื่องการก่อตั้งชุมชนท้องถิ่นในอดีต เชื่อมโยงกับการตั้งถิ่นฐานของคนภาคใต้ในบริเวณเทือกเขาบรรทัดและ ลุ่มทะเลสาบ แสดงให้เห็นความหลากหลายทางวัฒนธรรมของผู้คน ส่ง สารสำคัญว่าด้วยความทรงจำบาดแผลที่ถูกลบเลือน เป็ นเสมือน ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่เขียนตอบโต้ประวัติศาสกระแสหลัก เดฟั่ นใช้ตำนานวีรบุรุ ษที่เล่ากันในท้องถิ่นภาคใต้เป็ นตัว เดินเรื่องให้สอดร้อยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในสังคม เล่าเรื่องในลีลา วรรณกรรมแนวสัจนิ ยมมหัศจรรย์อย่างมีวรรณศิ ลป์ ผ่านตัวละครเอกคือ “เดฟั่ น” ซึ่งสูญเสียความทรงจำและหลงอยู่ในมิติของห้วงคำนึ งที่แหว่งวิ่น นวนิ ยายเรื่องนี้ เดินเรื่องโดยใช้วิธีตัดต่ออย่างกระชับฉับไว เอื้อให้ผู้อ่าน ต่อเติมจินตนาการและทาบเทียบประสบการณ์ของตนเข้ากับการล่ม สลายของชุมชนท้องถิ่นที่เกิดจากโครงสร้างอำนาจที่ไม่เป็ นธรรม ก่อให้ เกิดอารมณ์สะเทือนใจต่อชะตากรรมของมนุษยชาติ เดฟั่ นแสดงให้เห็น พลังของวรรณกรรมในการถ่ายทอดประวัติศาสตร์ที่เล่าไม่ได้และไม่ได้ เล่า ผู้แต่ง ศิ ริวร แก้วกาญจน์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook