หนังสือเรยี น รายวิชาพ้นื ฐาน ดนตรี-นาฏศิลป์ ป. 5 ช้นั ประถมศึกษาป ท ่ี 5 กลมุ สาระการเรยี นรศู ลิ ปะ ตามหลักสูตรแกนก ลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐานพุทธศกั ราช 2551 ผู้เรยี บเรียง ดร.วรี ะ พนั ธเุ์ สอื ศป.ม., Ph.D. ผ้ตู รวจ ผศ.ไตรรตั น์ พิพฒั โภคผล ศศ.บ., กศ.ม. ดร.สรุ รี ัตน์ จีนพงษ์ กศ.ม., ค.ด. พงศพิชญ์ แกว้ กุลธร กศ.บ. (เกยี รตนิ ิยม), ศป.ม. บรรณาธกิ าร สิรวิ รรณ เอย่ี มสำ�อางค์ ศป.บ. อมุ าพร มนั่ ไทรทอง ศศ.บ.
หนังสือเรยี น รายวิชาพ้นื ฐาน ดนตร-ี นาฏศิลป์ ป. 5 ชน้ั ประถมศึกษาปท ่ี 5 กลมุ สาระการเรยี นรูศลิ ปะ ตามหลกั สตู รแกนก ลางการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ผู้เรียบเรียง ดร.วรี ะ พันธุ์เสอื ผตู รวจ ผศ.ไตรรตั น์ พิพัฒโภคผล ดร.สรุ ีรตั น์ จนี พงษ์ พงศพชิ ญ์ แก้วกุลธร บรรณาธิการ สริ ิวรรณ เอีย่ มสำ�อางค์ อุมาพร มั่นไทรทอง ISBN 978-616-8047-31-6 บริษทั กรพฒั นายิ่ง จำ�กดั เลขท่ี 23/34–35 ช้นั 3 หอ้ ง 3B ถนนตรีมิตร แขวงตลาดน้อย เขตสมั พันธวงศ์ กรุงเทพฯ 10100
ค�ำ นำ� คำ�นำ� หนังสอื เรยี น รายวชิ าพื้นฐาน ดนตร–ี นาฏศลิ ป์ ชนั้ ป ระถมศึกษาป ท ี่ 5 เล่มน ี้จดั ทำ�ข้ึนตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 โดยมีเปาหมายใหน ักเรียนและ ครผู ้สู อนใชเปน สอื่ ในก ารจัดการเรียนรู เพือ่ พฒั นาน ักเรยี นใหม ีคุณภาพตามส าระ มาตรฐานก าร เรียนรู ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรูแ กนกลางที่หลักสูตรกำ�หนด รวมทั้งพัฒนานักเรียนใหม ี สมรรถนะส ำ�คญั ต ามที่ตองการทั้งด า นการสือ่ สาร การคิด การแกป ญหา การใชท ักษะชีวิต และ การใชเทคโนโลยี ตลอดจนพัฒนานกั เรยี นใหม คี ุณลักษณะอนั พ ึงประสงค ทำ�ประโยชนใหส งั คม เพ่อื ใหส ามารถด ำ�รงชีวติ อยูรว มกับผ ูอ่ืนในสงั คมไทยและสังคมโลกไดอยางมีความส ุข หนังสือเรียน รายวิชาพ้ืนฐาน ดนตรี–นาฏศิลป์ เล่มนี้ยึดแนวคิดการจัดการเรียนรูท ี่เนน ผูเ รยี นเปนสำ�คญั ใชห ลกั การสงเสริมใหน ักเรียนมีความรคู วามเขาใจธรรมชาติของนาฏศลิ ป์ และ สามารถนำ�ความรูไปประยุกตใชในชีวิตประจำ�วันไดอ ยางมีประสิทธิภาพและย่ังยืน โดยพัฒนา นักเรียนแบบองครวมอยูบ นพ้ืนฐานของการบูรณาการค วามคิดรวบยอด ที่เนนใหน ักเรียนเรียนรู ดว ยกระบวนการที่เนน การปฏิบตั ิ (Active Learning) และเรยี นรูโดยใชส มองเปนฐาน (Brain- Based Learning) ซง่ึ เนน ก ารเรยี นรใู หต รงกบั รปู แบบก ารเรยี นรู (Learning Styles) เนน ทกั ษะท่ี สรา งเสรมิ ความเขาใจท ค่ี งทนของน ักเรยี น ซึง่ เปน ผลลัพธป ลายทางท ตี่ องการใหเกิดตามหลกั สูตร การจดั ท ำ�หนงั สอื เรยี น รายวชิ าพ นื้ ฐาน ดนตร–ี นาฏศลิ ป์ เลม่ นค้ี ณะผ จู ดั ทำ�ซง่ึ เปน ผ เู ชยี่ วชาญ ในสาขาวชิ าและการพฒั นาสอ่ื ก ารเรยี นรไู ดก ำ�หนดหนว ยการเรยี นรู้ และออกแบบกจิ กรรมการเรยี นรู แบบฝึกทักษะ กระบวนการทางดนตรี–นาฏศิลป์ กิจกรรมเสนอแนะ โครงงาน การประยกุ ตใชใ น ชีวิตป ระจำ�วัน และคำ�ถ ามท บทวน อยูในเลมเดียว หวงั เปนอยางยง่ิ วา หนงั สอื เรียน รายวชิ าพืน้ ฐาน ดนตร–ี นาฏศลิ ป์ เลม่ นจ้ี ะส นับสนนุ ให ผู้เรียนไดพ ัฒนาความรูด านดนตรี–น าฏศิลป์ และส นับสนุนก ารปฏิรูปการเรียนรูต ามเจตนารมณ ของพระราชบญั ญัตกิ ารศกึ ษาแหง ชาติ พทุ ธศกั ราช 2542 คณะผ จู ดั ทำ�
คำ�ช้ีแจง คำ�นำ� หนงั สือเรยี น รายวชิ าพืน้ ฐาน ดนตร–ี นาฏศลิ ป์ ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 5 เลม่ นี้ได้ออกแบบ หน่วยการเรียนรู้ใหแ้ ต่ละหน่วยการเรียนรู้ประกอบดว้ ย 1. มาตรฐานการเรียนรู้ เป็นเป้าหมายที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับนักเรียนเม่ือจบการศึกษาในหน่วย การเรยี นรู้นัน้ ๆ หรือเมอ่ื จบการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน 2. ตวั ชว้ี ดั ชน้ั ปี ระบตุ วั ชว้ี ดั ซง่ึ เปน็ เปา้ หมายในการพฒั นานกั เรยี นทส่ี อดคลอ้ งกบั เนอื้ หาในหนว่ ย การเรยี นรู้ 3. ประโยชนจ์ ากการเรยี น นำ�เสนอไวเ้ พอื่ กระตนุ้ ใหน้ กั เรยี นนำ�ความรแู้ ละทกั ษะจากการเรยี นไป ใชใ้ นชีวติ ประจำ�วนั 4. คำ�ถามนำ�เป็นคำ�ถามหรือสถานการณท์ กี่ ระตนุ้ ใหน้ กั เรียนเกิดความสนใจ ตอ้ งการท่ีจะค้นหา คำ�ตอบ 5. เนื้อหา ตรงตามมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัดชั้นปี และสาระการเรียนรู้แกนกลาง โดยแบ่ง เนอื้ หาเปน็ ชว่ ง ๆ แลว้ แทรกกจิ กรรมพฒั นาการเรยี นรูท้ ี่พอเหมาะกับการเรยี น รวมทั้งมกี ารนำ�เสนอด้วย ภาพ ตาราง แผนภมู ิ และแผนท่คี วามคดิ เพอื่ เปน็ ส่อื ใหน้ กั เรยี นสรา้ งความคดิ รวบยอดและเกิดความ เข้าใจทค่ี งทน 6. เกรด็ ควรรู้ เป็นความรู้เพื่อเพิม่ พนู ใหน้ กั เรยี นมคี วามรู้กว้างขวางขนึ้ 7. แหล่งคน้ ขอ้ มลู (WEB GUIDE) เปน็ แหลง่ เรียนรูจ้ ากเวบ็ ไซต์ เพ่ือให้ผเู้ รยี นศึกษาค้นควา้ เน้อื หาทีส่ อดคลอ้ งกบั เรื่องที่เรียน 8. กจิ กรรมพัฒนาการเรยี นรู้ (ฝกึ ฝนดนตรี ฝึกฝนนาฏศิลป์) เป็นกจิ กรรมทกี่ ำ�หนดไวเ้ มือ่ จบ เน้ือหาแตล่ ะช่วง แตล่ ะตอนเพอ่ื ใหน้ กั เรียนได้ปฏิบตั เิ พ่อื ให้เกิดการเรียนรู้ เป็นกจิ กรรมทีห่ ลากหลาย ใช้ แนวคิดทฤษฎีตา่ ง ๆ ให้สอดคล้องกบั เน้อื หา เหมาะสมกบั วยั สะดวกในการปฏิบตั ิ กระตนุ้ ให้นักเรียน ได้คิด และส่งเสริมใหศ้ ึกษาค้นควา้ เพม่ิ เตมิ 9. สรุป ได้จดั ทำ�สรุปเป็นผงั มโนทศั น์ (concept map) เพอื่ ใหน้ กั เรยี นได้ใชเ้ ปน็ บทสรปุ ทบทวน ความรู้ โดยวิธกี ารจินตภาพจากผงั มโนทัศนท์ ไ่ี ดส้ รปุ เนอื้ หาทไ่ี ด้จัดทำ�ไว้ 10. กิจกรรมเสนอแนะ เเป็นกิจกรรมเสนอแนะให้นักเรียนได้ปฏิบัติ เพื่อพัฒนาทักษะการคิด การวางแผน และการแกป้ ญั หาของนักเรียน 11. โครงงาน เป็นการให้นักเรียนปฏิบัติโครงงาน โดยเสนอแนะหัวข้อโครงงานและแนวทาง การปฏบิ ตั ิ 12. การประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำ�วัน เป็นกิจกรรมท่ีเสนอแนะให้นักเรียนได้นำ�ความรู้ ทักษะไป ประยกุ ต์ใชใ้ นชวี ติ ประจำ�วัน 13. คำ�ถามทบทวน เป็นคำ�ถามเพือ่ ทบทวนผลการเรยี นรขู้ องนกั เรียน 14. บรรณานกุ รม เป็นรายช่ือหนงั สือ เอกสาร เวบ็ ไซต์ท่ีใช้ประกอบการเขยี น 15. อภิธานศัพท์ เปน็ คำ�สำ�คัญท่แี ทรกอยู่ในเนอ้ื หาซ่ึงพมิ พ์ด้วยสีแดงและนำ�มาจดั เรียงตามลำ�ดบั ตัวอักษรและอธบิ าย
สารบญั หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 1 องคป์ ระกอบของดนตร.ี ....................................... 2 1. องคป์ ระกอบดนตร.ี ................................................................... 3 2. การสื่ออารมณ์เพลงด้วยองค์ประกอบดนตรี...................................... 4 3. ลักษณะของเสยี งขับรอ้ งและเสยี งของเคร่อื งดนตรที ่ีอยู่ในวงดนตรี ประเภทตา่ ง ๆ.......................................................................... 6 หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 2 ทักษะดนตรี.................................................... 15 1. เครื่องหมายและสญั ลักษณ์ทางดนตรี (signs and symbols of music).............................................. 16 2. การรอ้ งเพลง (singing)........................................................... 18 3. การสร้างสรรคป์ ระโยคเพลง (creativity phrase)........................... 23 4. การบรรเลงดนตรี (playing)...................................................... 24 5. ดนตรีกบั การแสดงออกตามจนิ ตนาการ (music and performance creative)........................................ 27 หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 3 ดนตรกี บั มรดกทางวัฒนธรรม.............................. 32 1. ดนตรีกับงานประเพณที อ้ งถนิ่ ..................................................... 33 2. คุณค่าของดนตรีจากแหลง่ วัฒนธรรมของไทย................................. 35 หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 4 นาฏศลิ ปใ์ นทอ้ งถิน่ ........................................... 40 1. การแสดงพ้นื บา้ น.................................................................... 41 2. เปรียบเทียบการแสดงพ้นื บ้าน.................................................... 43 3. การแสดงฟ้อนบายศร.ี.............................................................. 44 หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 5 การแสดงนาฏศิลป์และการละคร........................... 55 1. การแสดงทา่ ทางประกอบเพลงปลุกใจ........................................... 56 2. รำ�วงมาตรฐาน6����������������������������������������������������������������������� 63 3. ระบำ�ไก่6������������������������������������������������������������������������������� 66 4. การฟ้อนเล็บ.......................................................................... 74
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 6 การชมการแสดงนาฏศลิ ป์ไทย.............................. 81 1. หลกั การชมการแสดงนาฏศลิ ปไ์ ทย............................................... 82 2. การถา่ ยทอดอารมณ์และความรสู้ ึก............................................... 86 3. ประโยชนท์ ่ีได้จากการชมการแสดงนาฏศลิ ปไ์ ทย.............................. 86 บรรณานุกรม.............................................................................. 89 อภธิ านศัพท.์ .............................................................................. 90
ดนตรี
องคป์ ระกอบดนตรี 1หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี มาตรฐานการเรยี นรู้ ศ 2.1 เข้าใจและแสดงออกทางดนตรอี ยา่ งสร้างสรรค์ วเิ คราะห์ วิพากษว์ จิ ารณ์คุณคา่ ดนตรี ถา่ ยทอดความรสู้ กึ ความคดิ ต่อดนตรอี ย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ิตประจำ�วัน ตวั ช ้ีวดั ช ัน้ ป 1. ระบอุ งคป์ ระกอบดนตรใี นเพลงท่ใี ช้ในการส่ืออารมณข์ องบทเพลง (ศ. 2.1 ป. 5/1) 2. จำ�แนกลักษณะของเสยี งขับร้องและเคร่อื งดนตรที ี่อยใู่ นวงดนตรปี ระเภทตา่ ง ๆ (ศ. 2.1 ป. 5/2) สาระการเรียนรู้ • การส่ืออารมณข์ องบทเพลงดว้ ยองค์ประกอบดนตรี • ลักษณะของเสียงนกั รอ้ งกลุมตา่ ง ๆ • ลักษณะเสยี งของวงดนตรปี ระเภทตา่ ง ๆ ประโยชนจ์ ากการเรียน ค�ำ ถามน�ำ สามารถนำ�เพลงต่าง ๆ ไปใช้ส่ืออารมณ์ ทำ�นองคืออะไร และทำ�นองเพลง ท่ีตนเองต้องการให้คนอื่นเข้าใจได้ รวมท้ัง สามารถส่ืออารมณไ์ ด้หรือไม่ เพราะเหตุใด สามารถจำ�แนกลกั ษณะของเสยี งขบั รอ้ ง และ เครื่องดนตรีท่ีอยู่ในวงดนตรีประเภทต่าง ๆ ได้อย่างถกู ตอ้ ง
หนังสอื เรียน รายวชิ าพื้นฐาน ดนตร–ี นาฏศลิ ป์ ป. 5 3 1. องค์ประกอบดนตรี แต่ละบทเพลงจะประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำ�คัญมากมาย เช่น ระดับเสียง จงั หวะ ทำ�นองเพลง เสยี งประสาน คตี ลกั ษณห์ รอื รปู แบบของเพลง เปน็ ตน้ องคป์ ระกอบ ตา่ ง ๆ เหลา่ นจ้ี ะผสมผสานกนั เปน็ งานดนตรใี หเ้ ราไดส้ มั ผสั ในขณะฟงั เพลง องคป์ ระกอบ ดนตรจี ะเปน็ ตวั กำ�หนดใหง้ านดนตรมี คี วามหลากหลาย (แตใ่ นหนว่ ยการเรยี นรนู้ จี้ ะขอ กลา่ วเฉพาะจังหวะและทำ�นองเพลง) องค์ประกอบดนตรี ได้แก่ องค์ประกอบดนตรีไทย องค์ประกอบดนตรีสากล 1.1 องค์ประกอบดนตรไี ทย โครงสร้างของดนตรปี ระกอบดว้ ยองค์ประกอบพ้ืนฐานต่าง ๆ ของดนตรเี หมอื น กนั ทุกชาติ ไดแ้ ก่ จังหวะ ทำ�นอง สีสนั ของเสยี ง และคตี ลกั ษณ์ แตจ่ ะแตกตา่ งกนั ในรายละเอียดของแต่ละวัฒนธรรมเท่าน้ัน องค์ประกอบหลักของดนตรีไทยที่เราต้อง ฝึกฟังบอ่ ย ๆ เช่น 1) จงั หวะ หมายถงึ การร้อง บรรเลง เปน็ ระยะ ๆ สมำ่ �เสมอกัน จังหวะทีใ่ ช้ใน ดนตรไี ทยแบ่งออกเป็น 3 ชนดิ ได้แก่ (1) จังหวะสามญั หมายถงึ จงั หวะทั่วไป ไม่มเี ครอื่ งดนตรีใด ๆ เปน็ เครื่อง ให้สญั ญาณจังหวะ ใช้การกำ�หนดระยะถ่หี ่างในใจ และจะกำ�หนดอย่างไรก็ได้ แตต่ ้อง ดำ�เนนิ จงั หวะไปดว้ ยความสมำ่ �เสมอ (2) จังหวะฉ่ิง หมายถึง การกำ�หนดจังหวะด้วยเสียงของการตีฉ่ิงเพ่ือให้รู้ จงั หวะเบาและจงั หวะหนกั เสยี ง “ฉิ่ง” เปน็ จงั หวะเบา เสยี ง “ฉับ” เปน็ จงั หวะหนกั จังหวะฉ่ิงมี 3 อตั ราจงั หวะ ได้แก่ 3 ชั้น ---- --- ฉ่ิง ---- --- ฉับ ---- --- ฉง่ิ - --- --- ฉับ –+–+ 2 ช้ัน --- ฉ่ิง --- ฉับ --- ฉิง่ --- ฉบั --- ฉ่ิง --- ฉับ --- ฉง่ิ --- ฉบั –+–+–+–+ ช้ันเดียว ฉ่งิ ฉบั ฉงิ่ ฉับ ฉิ่ง ฉับ ฉง่ิ ฉับ ฉ่ิง ฉับ ฉ่งิ ฉับ ฉิง่ ฉบั ฉิง่ ฉบั –+ –+ –+ –+ –+ –+ –+ –+ แผนภาพแสดงจงั หวะฉงิ่ ในแตล่ ะอตั ราจงั หวะ
4 หนงั สอื เรียน รายวชิ าพน้ื ฐาน ดนตรี–นาฏศลิ ป์ ป. 5 (3) จังหวะหน้าทับ หมายถงึ การกำ�หนดจงั หวะด้วยเคร่อื งดนตรีที่ขงึ ดว้ ย หนัง เชน่ กลองตะโพน เปน็ ตน้ จงั หวะหน้าทบั แบ่งออกเปน็ 3 ชนิด ได้แก่ หนา้ ทับ ปรบไก่ หนา้ ทับสองไม้ และหนา้ ทับพเิ ศษ 2) ทำ�นอง หมายถงึ เสียงสูง ๆ ต่ำ� ๆ สลับกันไป ทำ�นองเพลงไทยเป็นการนำ� เอาเสียงต่าง ๆ ทเี่ กดิ จากการบรรเลงเครอื่ งดนตรีไทยมาเรียบเรียงเข้าดว้ ยกัน 1.2 องคป์ ระกอบดนตรีสากล องคป์ ระกอบดนตรสี ากลทเี่ ปน็ พนื้ ฐานทำ�ใหเ้ กดิ เปน็ ภาพรวมของดนตรขี น้ึ มา เชน่ จงั หวะ ทำ�นองเพลง เสียงประสาน รปู พรรณหรือพื้นผวิ คีตลักษณ์ เปน็ ต้น การเขา้ ใจ องค์ประกอบของดนตรีสากลย่อมทำ�ให้เราสามารถวิเคราะห์หรือแยกแยะและเข้าใจ ดนตรีได้อย่างแท้จริง เพราะดนตรีเป็นงานศิลปะที่เกิดจากการเรียบเรียงหรือจัด ระดับเสียงต่าง ๆ เข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ จึงทำ�ให้เกิดเป็นผลงานดนตรีมากมาย องคป์ ระกอบของดนตรีสากลหรอื บทเพลงทีเ่ ราตอ้ งฝกึ ฟังบอ่ ย ๆ เชน่ 1) จังหวะดนตรี หมายถงึ หน่วยท่ีใชว้ ดั ความสัน้ ยาวของเสยี งดนตรหี รอื เสียง ขับร้อง จังหวะดนตรีจะเป็นตัวก�ำหนดความเคลื่อนไหวของบทเพลง ประกอบไปด้วย การเน้นหรือจังหวะหนัก และความยาว ได้แก่ ความส้ันยาวของโน้ตแต่ละตัว ส่วน บทเพลงจะมจี ังหวะชา้ หรือเร็วน้ันขึ้นอย่กู บั ความเรว็ จงั หวะ (tempo) 2) ทำ�นองเพลง หมายถงึ การนำ�เอาระดบั เสียงต่าง ๆ ท่เี กิดจากการขบั รอ้ งหรอื เกิดจากการบรรเลงดนตรีมาเรยี บเรียงให้เปน็ ระบบตอ่ เนอื่ งกนั โดยมจี งั หวะดนตรเี ป็น ตัวควบคุมทำ�ให้ระดับเสียงต่าง ๆ เหล่าน้ีกลายเป็นทำ�นองเพลงหรือบทเพลงที่ไพเราะ มากมาย 2. การส่ืออารมณ์เพลงดว้ ยองค์ประกอบดนตรี การส่ืออารมณ์เพลง ด้วยองค์ประกอบดนตรี ไดแ้ ก่ จังหวะกับอารมณข์ องบทเพลง ท�ำนองกับอารมณข์ องบทเพลง 2.1 จังหวะกบั อารมณข์ องบทเพลง ดนตรมี ลี ลี าจงั หวะเปน็ องคป์ ระกอบทส่ี ำ�คญั เชน่ ความชา้ –เรว็ ของจงั หวะ ความ หนัก–เบาของจังหวะ ลีลาของการกระสวนจังหวะ เป็นต้น องค์ประกอบต่าง ๆ
หนังสือเรียน รายวชิ าพนื้ ฐาน ดนตรี–นาฏศิลป์ ป. 5 5 เหลา่ นท้ี ำ�ใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ หรอื อารมณต์ า่ ง ๆ รวมทง้ั ทำ�ใหด้ นตรมี คี วามไพเราะทแ่ี ตกตา่ ง กันได้ และมีส่วนทำ�ให้ทำ�นองเพลงมีความไพเราะและถ่ายทอดอารมณ์ได้เช่นเดียวกับ องคป์ ระกอบอนื่ ๆ เชน่ เพลงทม่ี จี งั หวะชา้ สามารถถา่ ยทอดอารมณเ์ ศรา้ ออ่ นหวาน หรอื ความทอ้ แทส้ น้ิ หวงั เพลงทม่ี จี งั หวะคอ่ นขา้ งเรว็ สามารถสอ่ื ถงึ อารมณส์ นกุ สนานครน้ื เครง หรอื ความคึกคะนอง เปน็ ตน้ การแสดงออกทางอารมณท์ ีไ่ ดร้ ับ การกระตุ้นจากเพลงหรอื ดนตรีทมี่ จี งั หวะเร็ว ๆ 2.2 ท�ำ นองกบั อารมณ์ของบทเพลง การฟงั ทำ�นองเพลงจะฟังได้ง่ายกว่าองคป์ ระกอบอ่นื ๆ ทำ�นองเพลงจะใหค้ วาม รู้สกึ หรืออารมณต์ ่าง ๆ แก่ผูฟ้ งั เชน่ ความสนุกสนาน ความอ่อนหวาน ความรา่ เริง แจม่ ใส ความโศกเศร้า เปน็ ต้น ทำ�นองเพลงหรือทำ�นองดนตรีจะใหค้ วามรูส้ กึ หรอื อารมณต์ า่ ง ๆ แกผ่ ูฟ้ ังไดเ้ ปน็ อยา่ งดี เช่น เพลงทมี่ กี ารเคลื่อนทข่ี องทำ�นองสงู ขึน้ ต่ำ�ลง หรือซำ้ �อยูท่ ีเ่ ดมิ จะทำ�ให้ เพลงมีอารมณ์ท่ีหลากหลาย และเมื่อประกอบกับเน้ือหาและความช้า–เร็วของจังหวะ กจ็ ะทำ�ให้บทเพลงสามารถถ่ายทอดอารมณอ์ อกมาได้ดียิ่งข้นึ ฝึกฝนดนตรี ฟงั เพลงไทยและเพลงสากลอย่างละ 1 เพลง แล้วเปรยี บเทียบความแตกต่างของจังหวะ และทำ�นองในเพลงท้ังสองวา่ มีความแตกตา่ งกนั อยา่ งไรบา้ ง
6 หนังสอื เรยี น รายวชิ าพน้ื ฐาน ดนตร–ี นาฏศลิ ป์ ป. 5 3. ลปกัระษเณภทะขตอ่างงเสๆียงขับรอ้ งและเสียงของดนตรีทอ่ี ยู่ในวงดนตรี ลักษณะของเสยี งขับรอ้ งและเสียงของเครื่องดนตรี ท่อี ยู่ในวงดนตรปี ระเภทตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ ลกั ษณะของเสียงขบั รอ้ ง ลกั ษณะเสียงของเครอ่ื งดนตรี หลักการฟังเสียงของ ของนกั รอ้ งกลุ่มตา่ ง ๆ ทเี่ กดิ จากการบรรเลง เครื่องดนตรีในวงดนตรี ในวงดนตรีประเภทตา่ ง ๆ 3.1 ลักษณะของเสยี งขับรอ้ งของนักร้องกลุ่มตา่ ง ๆ 1) โซปราโน (soprano) เป็นระดบั เสยี งสูงของนกั ร้องหญงิ บางครั้งสามารถ ใชร้ ะดบั เสียงนกี้ บั เสยี งขับรอ้ งของเดก็ ก็ได้ 2) อลั โต (alto) เปน็ ระดบั เสยี งตำ่ �ของนกั รอ งหญงิ 3) เทเนอร์ (tenor) เปน็ ระดบั เสยี งสูงของนักรอ้ งชาย 4) เบส (bass) เปน็ ระดบั เสยี งตำ่ �ของนกั รอ้ งชาย นักรอ้ งหญงิ นกั รอ้ งชาย ฝึกฝนดนตรี ฟงั เพลงทส่ี นใจ แลว้ เขยี นชอ่ื เพลงพรอ้ มกบั ระบลุ กั ษณะเสยี งของนกั รอ้ งวา่ อยใู่ นระดบั เสยี งใด 3.2 ลักษณะเสียงของเคร่ืองดนตรีท่ีเกิดจากการบรรเลงในวงดนตรี ประเภทตา่ ง ๆ เครื่องดนตรีท่ีใช้ผสมวงดนตรีประเภทต่าง ๆ แต่ละชนิดจะมีรูปร่าง ลักษณะ ส่วนประกอบ และหลักกลไกในการเกิดเสียงท่ีแตกต่างกันไป ทำ�ให้ เสียงที่เกิดจาก
หนงั สอื เรียน รายวิชาพ้นื ฐาน ดนตรี–นาฏศิลป์ ป. 5 7 เคร่ืองดนตรีเหล่าน้ีมีความแตกต่างกันไปด้วย เมื่อนำ�มาผสมเป็นวงดนตรีประเภท ตา่ ง ๆ เสยี งทเ่ี กดิ จากการบรรเลงของวงดนตรเี หลา่ นน้ั กจ็ ะแตกตา่ งกนั ไปดว้ ย 1) ลักษณะเสียงของเครื่องดนตรีที่เกิดจากการบรรเลงในวงดนตรีพ้ืนบ้าน ในแต่ละวงหรือแตล่ ะภาคจะมคี วามแตกตา่ งกันไปตามลักษณะของการผสมวง เสียงท่ี เกดิ ข้ึนจะเปน็ ไปตามลกั ษณะและคุณภาพของเสียงเครอื่ งดนตรีทีน่ ำ�มาผสมวง ไดแ้ ก่ (1) วงดนตรพี นื้ บา้ นภาคเหนอื ประกอบดว้ ยเครอ่ื งดนตรปี ระเภทเครอ่ื งสาย เช่น สะลอ้ ซอ ซงึ เปน็ ตน้ เครือ่ งดนตรีเหล่าน้ีจะ มีเสียงเบา มคี วามนมุ่ นวลออ่ นหวาน ไพเราะนา่ ฟงั เมอ่ื นำ�มาผสมวง เสยี งดนตรที เ่ี กดิ ขน้ึ จากการบรรเลง กจ็ ะมลี กั ษณะเบา นุ่มนวลอ่อนหวาน ไพเราะน่าฟงั เช่นกนั วงสะล้อซอซงึ (2) วงดนตรพี น้ื บา้ นภาคอสี าน ประกอบดว้ ยเครอ่ื งดนตรพี นื้ บา้ นภาคอสี าน เชน่ วงโปงลาง วงกลองหาง วงแคน เปน็ ตน้ จะเห็นวา่ เครอ่ื งดนตรขี องภาคอีสาน เช่น โปงลาง เปน็ เครอ่ื งตี ทมี่ เี สยี งดงั ฟงั แลว้ สนกุ สนาน ครึกคร้ืน ส่วนแคนเปน็ เครอ่ื งเปา่ ทม่ี คี วามไพเราะ ออ่ นหวาน เปน็ ตน้ แตถ่ า้ นำ�เครอ่ื งดนตรเี หลา่ นม้ี า ผสมวงกจ็ ะผสมผสานกนั ทำ�ใหเ้ กดิ เปน็ เสยี งดนตรที ี่ มคี วามไพเราะนา่ ฟงั สนุกสนานเรา้ ใจ วงโปงลาง (3) วงดนตรีพ้ืนบา้ นภาคใต้ ประกอบดว้ ยเคร่อื งตีเป็นจำ�นวนมาก ซง่ึ เป็น เครื่องดนตรีประเภททำ�จังหวะท่ีมีเสียงดังผสมผสานกับเสียงป่ี ซึ่งมีความอ่อนหวาน เศร้าสร้อย และสนุกสนานครึกคร้ืน เม่ือเครื่องดนตรีเหล่านี้ถูกจัดเป็นวงดนตรเี พอ่ื ใช้ บรรเลงในโอกาสต่าง ๆ เสียง ดนตรีที่เกิดขึ้นจะมีลักษณะที่ แปลกไป สามารถทำ�ให้เกิด อารมณ์หรอื ความรสู้ กึ แตกตา่ ง กนั ไป เชน่ ออ่ นหวานลกึ ซง้ึ กไ็ ด้ สนกุ สนาน คร้ืนเครงก็ได้ หรือ บางครงั้ ใหค้ วามรสู้ กึ เศรา้ สรอ้ ย กไ็ ด้ วงโต๊ะครมึ (ภาพ: ลกั ษณะไทย, เลม่ 3, หน้า 243)
8 หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ดนตร–ี นาฏศลิ ป์ ป. 5 (4) วงดนตรพี น้ื บา้ นภาคกลาง ประกอบดว้ ยเครอ่ื งดนตรพี น้ื บา้ นภาคกลาง เช่น วงกลองยาว เรียกอกี อย่างว่า “วงเถิดเทิง” หรอื “วงเทงิ บ้อง” มเี คร่ืองดนตรที ี่ใช้ บรรเลง ไดแ้ ก่ กลองยาว ฉิง่ ฉาบ กรบั และโหมง่ ลกั ษณะของเสยี งดนตรที ่เี กดิ จาก การบรรเลงจึงมีเสียงดังก้องกังวาน ให้ความรู้สึกหรืออารมณ์สนุกสนาน ครื้นเครง จึงเหมาะสำ�หรับใช้บรรเลง ประกอบในขบวนแห่ เช่น บวชนาค ทอดกฐนิ เป็นต้น วงกลองยาว ฝกึ ฝนดนตรี สำ�รวจวงดนตรีพื้นบ้านในท้องถิ่นของตนเองหรอื ท้องถนิ่ ใกล้เคียง แล้วเขียนบอกลักษณะ เสยี งของเครื่องดนตรชี นิดต่าง ๆ ในวงว่าเปน็ อย่างไร 2) ลกั ษณะเสยี งของเครอ่ื งดนตรที เ่ี กดิ จากการบรรเลงในวงดนตรไี ทย วงดนตรี ไทยท่ีใช้บรรเลงในโอกาสต่าง ๆ สามารถแบ่งได้ 3 ประเภท ได้แก่ วงป่ีพาทย์ วง เครอ่ื งสาย และวงมโหรี ซง่ึ แตล่ ะประเภทจะมลี กั ษณะของการผสมวงและเครอ่ื งดนตรี ทใ่ี ช้แตกต่างกันไป ทำ�ใหเ้ สยี งดนตรที ีเ่ กิดจากการบรรเลงของวงดนตรีไทยแตกต่างกนั ไปด้วย ดังนี้ (1) วงปพ่ี าทย์ ประกอบดว้ ยเครอ่ื งตแี ละเครอ่ื งเปา่ เปน็ หลกั ลกั ษณะของเสยี ง ดนตรีที่เกิดจากการบรรเลงจึงมีเสียงดังก้องกังวานไปไกล ให้ความรู้สึก หรืออารมณ์ อย่างหลากหลาย ทั้งสนุกสนานคร้ืนเครง ไพเราะอ่อนหวาน และเศร้าสร้อย จึงเป็น วงดนตรีไทยท่ีเหมาะจะใช้บรรเลงประกอบการแสดง และบรรเลงประกอบพิธีกรรม ตา่ ง ๆ วงปพ่ี าทยด์ กึ ดำ�บรรพ์ (ภาพ: สารานุกรมศพั ท์ดนตรไี ทย ภาคคตี ะ–ดุรยิ างค,์ เล่ม 1, หนา้ 220)
หนังสอื เรียน รายวชิ าพืน้ ฐาน ดนตรี–นาฏศลิ ป์ ป. 5 9 (2) วงเครอ่ื งสาย ใชเ้ ครอ่ื งดนตรปี ระเภทเครอ่ื งดดี และเครอ่ื งสเี ปน็ หลกั และ รวมกับเครื่องเป่าโดยเฉพาะขลุ่ยเพียงออ ลักษณะของเสียงท่ีเกิดจากการบรรเลงด้วย วงเครื่องสายจึงมเี สยี งเบา ออ่ นหวานนุ่มนวล ไพเราะนา่ ฟัง เหมาะทจ่ี ะใชบ้ รรเลงเพ่อื การฟงั วงเครื่องสายปช่ี วา (ภาพ: สารานกุ รมศพั ทด์ นตรไี ทย ภาคคตี ะ–ดุริยางค์, เลม่ 1, หน้า 215) (3) วงมโหรี เกดิ จากการนำ�เครอ่ื งดนตรปี ระเภทเครอ่ื งตี เครอ่ื งเปา่ เครอ่ื งดดี และเครอ่ื งสมี าประสมกนั โดยมซี อสามสายบรรเลงคลอไปดว้ ย เสียงท่ีเกิดจึงไม่ดังมาก เหมือนวงปี่พาทย์ แต่ก็ไม่เบาและนุ่มนวลเหมือนวงเคร่ืองสาย เสียงที่เกิดจะมีความ ไพเราะนา่ ฟงั ไปอกี แบบ ซง่ึ สามารถให้อารมณห์ รือความรู้สกึ ต่าง ๆ ได้เป็นอยา่ งดี ทง้ั อ่อนหวานนุ่มนวล สนกุ สนานเรา้ ใจ ย่ิงใหญ่ และโศกเศร้า นบั ว่าเป็นวงดนตรีทม่ี ีความ สมบูรณ์อย่างย่งิ วงมโหรเี ครอื่ งหก (ภาพ: สารานกุ รมศัพท์ดนตรีไทย ภาคคตี ะ–ดุริยางค,์ เล่ม 1, หน้า 223)
10 หนงั สือเรยี น รายวชิ าพ้นื ฐาน ดนตร–ี นาฏศิลป์ ป. 5 WEB GUIDE http://www.sarnthai.com ฝกึ ฝนดนตรี ฟังเพลงไทยท่ีบรรเลงด้วยวงดนตรีไทยประเภทต่าง ๆ แล้วเขียนบอกลักษณะเสียงของ เครื่องดนตรีแต่ละชนดิ ทใี่ ช้ในการผสมวงว่ามีลักษณะอย่างไร 3) ลักษณะเสียงของเคร่ืองดนตรีท่ีเกิดจากการบรรเลงในวงดนตรีสากล มี วงดนตรสี ากลหลายประเภททไี่ ด้รบั ความนยิ มสำ�หรับคนไทย เชน่ (1) วงซมิ โฟนอี อรเ์ คสตรา (symphony orchestra) หรือทีค่ นไทยเรยี กวา่ “วงดรุ ยิ างค์” เปน็ วงดนตรที ่มี ีขนาดใหญ่ ท่ีสุด ใช้เคร่อื งดนตรี และผู้บรรเลงจำ�นวน มาก เปน็ วงดนตรีที่ใช้เครื่องดนตรคี รบทุก ประเภท ลักษณะของเสียงดนตรีที่เกิดจาก การบรรเลงของวงซิมโฟนีออร์เคสตราจึงมี เสียงดังมาก แต่สามารถบรรเลงตามความต้องการหรือตามอารมณ์ความรู้สึกของ บทเพลงได้ (2) วงคอมโบ (combo band) เป็นวงดนตรีขนาดเล็กคล้ายกับการนำ� วงบกิ แบนดม์ าลดจำ�นวนผเู้ ลน่ ใหน้ อ้ ยลง ไมม่ ขี อ้ จำ�กดั แนน่ อน ขน้ึ อยกู่ บั ความเหมาะสม สามารถนำ�กลองชุด เคร่ืองดนตรีไฟฟ้าชนิดต่าง ๆ เข้ามาบรรเลงร่วมวงเพ่ือให้ความ สำ�คญั กับจงั หวะ ซึง่ ทำ�ให้วงมีความแตกตา่ งช่วยเพิ่มสสี ันของเสียงข้ึนได้ การบรรเลงมี ทงั้ บทเพลงทมี่ กี ารขบั รอ้ งและไมม่ กี ารขบั รอ้ ง ใชบ้ รรเลงเพอื่ การฟงั ประกอบการเตน้ รำ� หรอื ประกอบการแสดงต่าง ๆ ลักษณะของเสียงนั้นจะ ดังมากแต่ก็สามารถบรรเลงให้เกิด อารมณ์หรือความรู้สึกต่าง ๆ ได เปน็ เสยี งทีม่ คี วามสนุกสนาน เรา้ ใจ แตก่ ส็ ามารถท�ำใหอ้ อ่ นหวานนมุ่ นวล มคี วามไพเราะน่าฟงั ได้
หนังสือเรยี น รายวชิ าพน้ื ฐาน ดนตร–ี นาฏศลิ ป์ ป. 5 11 (3) วงโยธวาทิต (military band) เปน็ วงดนตรีขนาดใหญ่ ประกอบด้วย เครอ่ื งดนตรปี ระเภทเครอ่ื งเปา่ ทง้ั เครอ่ื งลมไมแ้ ละเครอ่ื งลมทองเหลอื งเปน็ หลกั รวมทง้ั เคร่ืองทำ�จังหวะ วงโยธวาทิตสามารถจัดวงได้หลายขนาด มีท้ังขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญต่ ามความเหมาะสม ลักษณะของเสียงท่ีเกิด จากการบรรเลงจะเป็นเสียงท่ีดังมาก แตม่ คี วามสงา่ งาม ยง่ิ ใหญ่ เหมาะทจ่ี ะใช้ บรรเลงเพอ่ื ประกอบพธิ กี ารตา่ ง ๆ เชน่ การเดินแถว การแห่ร้ิวขบวนต่าง ๆ เป็นต้น และยังสามารถบรรเลงเพื่อ การฟงั อีกดว้ ย (4) วงแตรวงชาวบ้าน (brass band) เป็นวงดนตรีที่ชาวบา้ นตามทอ้ งถน่ิ ตา่ ง ๆ ไดจ้ ดั ขนึ้ เพอ่ื ใชบ้ รรเลงประกอบกจิ กรรมตา่ ง ๆ ในสงั คมชนบทของไทย ประกอบ ด้วยเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าเป็นหลัก และมีเครื่องทำ�จังหวะประกอบตามความ เหมาะสม ลักษณะเสียงของดนตรีที่เกิดจากการบรรเลงจะมีเสียงดังและเป็นไปตาม สภาพของการจดั วง ถา้ ใชเ้ ครอ่ื งดนตรมี ากชนิ้ เสยี งกด็ งั มาก แตถ่ า้ วงไหนมเี ครอื่ งดนตรี น้อยชิ้นเสียงก็จะไม่ดังมาก เสียงของ เคร่ืองดนตรีที่เกิดก็ไม่ค่อยกลมกลืน กันนักเพราะเน้นความสนุกสนานเป็น หลัก จึงเหมาะที่จะใชแ หในกิจกรรม ตา่ ง ๆ เชน่ แหน่ าค แหข่ บวนผา้ ปา่ กฐนิ เปน็ ตน้ ฝกึ ฝนดนตรี ฟงั เพลงทบ่ี รรเลงดว้ ยวงดนตรสี ากลประเภทตา่ ง ๆ แลว้ เขยี นบอกลกั ษณะเสยี งของเครอื่ ง ดนตรแี ต่ละชนิดท่ใี ชใ้ นการผสมวงวา่ มีลกั ษณะอยา่ งไร
12 หนังสือเรยี น รายวิชาพืน้ ฐาน ดนตรี–นาฏศิลป์ ป. 5 3.3 หลักการฟังเสียงของเครอื่ งดนตรีในวงดนตรี การฟังการบรรเลงจากวงดนตรีประเภทต่าง ๆ ถ้าเราสามารถฟังให้เกิดความ เข้าใจ ร้วู า่ เครื่องดนตรที บี่ รรเลงอย่ใู นวงขณะนน้ั มีอะไรบา้ ง เสยี งของเคร่อื งดนตรชี นดิ นั้นเปน็ อยา่ งไร จะทำ�ให้เราฟงั ดนตรีด้วยความสนุกสนานและมีความสุข ดงั นั้นการฝึก ฟงั วงดนตรีประเภทตา่ ง ๆ จึงควรปฏบิ ัตดิ ังนี้ 1) เรมิ่ จากการฝกึ ฟงั เสยี งของเครอ่ื งดนตรชี นดิ ตา่ ง ๆ ซง่ึ แตล่ ะชนดิ จะมลี กั ษณะ เฉพาะของตวั เอง 2) เปรียบเทยี บเสยี งของเครอื่ งดนตรีเหล่านนั้ วา่ มลี ักษณะทเ่ี หมือนกันอย่างไร และมีความแตกต่างกันอย่างไร ให้พยายามฝึกฟังจนสามารถแยกแยะเสียงของ เครื่องดนตรีชนดิ ตา่ ง ๆ ไดอ้ ย่างแม่นยำ� 3) ฝึกฟังเสียงของเคร่ืองดนตรีชนิดต่าง ๆ ที่บรรเลงในวงดนตรีแล้วสังเกตว่า เสียงดนตรีท่ีเกิดข้ึนจากการบรรเลงของเคร่ืองดนตรีทุกชิ้นพร้อม ๆ กันเป็นอย่างไร มีความไพเราะ มีความกลมกลืน ให้ความรู้สึกอย่างไร ต้องฝึกฟังในลักษณะรวม ๆ อย่างนบ้ี อ่ ย ๆ จะช่วยใหเ้ ราสามารถฟงั ดนตรีได้อยา่ งมีคณุ ภาพและมคี ุณค่า 4) การฝกึ ฟังในระยะเริ่มแรกควรเลือกเพลงงา่ ย ๆ และเปน็ ท่ีรู้จกั คนุ้ เคยก่อน แลว้ จึงเลอื กเพลงทมี่ คี วามยากหรอื ซับซอ้ นขน้ึ 5) ควรฝกึ ฟงั บ่อย ๆ จนเกิดความเข้าใจ จะทำ�ให้เราเป็นผทู้ ่ีมีความสามารถใน การฟังดนตรี ความสนกุ สนานเพลดิ เพลินกจ็ ะเกิดขึน้ ฝกึ ฝนดนตรี ฟงั เพลงทสี่ นใจ โดยฝกึ ฟงั เสยี งของเครอื่ งดนตรที บี่ รรเลงประกอบ แลว้ บอกวา่ เครอื่ งดนตรี ทใี่ ช้ในวงแตล่ ะชนดิ มีลกั ษณะของเสยี งเป็นอย่างไร ฝกึ ฝนหลาย ๆ ครง้ั จนเกิดความชำ�นาญ
หนงั สือเรยี น รายวชิ าพืน้ ฐาน ดนตร–ี นาฏศลิ ป์ ป. 5 13 สรุป องค์ประกอบดนตรี แบ่งเป็น 1. องค์ประกอบดนตรี ไดแ้ ก่ 1.1 องคป์ ระกอบดนตรไี ทย 1.2 องคป์ ระกอบดนตรสี ากล • จงั หวะดนตรี หมายถึง 3 ช้นั ---- --- ฉ่ิง ---- --- ฉบั ---- --- ฉิ่ง ---- --- ฉบั หน่วยที่ใชว้ ดั ความส้นั ยาว –+–+ ของเสียงดนตรีหรือเสยี ง ขบั ร้อง 2 ชั้น --- ฉง่ิ --- ฉับ --- ฉง่ิ --- ฉบั --- ฉงิ่ --- ฉบั --- ฉ่ิง --- ฉับ • ทำ�นองเพลง หมายถงึ –+–+–+–+ การนำ�เอาระดบั เสยี งขบั รอ้ ง หรอื เสยี งดนตรมี าเรยี บเรยี ง ชนั้ เดยี ว ฉิ่ง ฉบั ฉิง่ ฉับ ฉ่ิง ฉบั ฉิ่ง ฉับ ฉิ่ง ฉบั ฉิ่ง ฉับ ฉ่งิ ฉับ ฉง่ิ ฉบั ให้เป็นระบบ –+ –+ –+ –+ –+ –+ –+ –+ • ทำ�นอง หมายถึง เสียงสูง ๆ ตำ่ � ๆ สลับกนั ไป ทำ�นองเพลงไทยเปน็ การนำ�เอาเสยี งต่าง ๆ ที่เกดิ จากการบรรเลงดนตรไี ทยมาเรยี บเรยี งเขา้ ดว้ ยกนั 2. การสื่ออารมณ์เพลงดว้ ยองคป์ ระกอบดนตรี ไดแ้ ก่ 2.2 ทำ� นองกบั อารมณข์ องบทเพลง 2.1 จงั หวะกบั อารมณข์ องบทเพลง ท�ำนองเพลงหรอื ท�ำนองดนตรีจะให้ ความรสู้ ึกหรืออารมณต์ ่าง ๆ แกผ่ ฟู้ ังได้ เป็นอย่างดี ท�ำนองที่มีการเปล่ียนแปลง จะให้อารมณท์ ่ีหลากหลาย 3. ลกั ษณะของเสยี งขบั รอ้ งและเสียงของเครอ่ื งดนตรี ท่ีอยูใ่ นวงดนตรีประเภทตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ 3.1 ลกั ษณะของเสยี ง 3.2 ลกั ษณะเสียงของ 3.3 หลักการฟังเสยี ง ขับรอ้ งของนักร้อง เครือ่ งดนตรที เี่ กดิ ของเคร่ืองดนตรี กลมุ่ ตา่ ง ๆ จากการบรรเลงใน ในวงดนตรี วงดนตรปี ระเภท ต่าง ๆ เช่น เริ่มจากการฝึกฟงั เสียง ของเครอื่ งดนตรชี นดิ ตา่ ง ๆ ซง่ึ แต่ละชนิดจะมีลักษณะเฉพาะ ของตวั เอง
14 หนงั สือเรียน รายวิชาพืน้ ฐาน ดนตรี–นาฏศลิ ป์ ป. 5 กจิ กรรมเสนอแนะ 1. ฝกึ ฟงั เสยี งของเครอ่ื งดนตรชี นดิ ตา่ ง ๆ ทงั้ เครอื่ งดนตรพี นื้ บา้ น เครอ่ื งดนตรี ไทย และเคร่ืองดนตรีสากล พยายามจำ�ให้ได้จนสามารถแยกแยะได้ว่าเป็นเสียงของ เครอื่ งดนตรชี นิดใด 2. รวมกลุ่มกับเพอ่ื นประมาณ 4–5 คน แลว้ ฝึกฟงั เสยี งเครื่องดนตรที เี่ กิดจาก การบรรเลงดว้ ยวงดนตรพี ้ืนบา้ นภาคตา่ ง ๆ และวงดน ตรีไทยประเภทต าง ๆ แลว้ รว่ ม กนั แสดงความคดิ เหน็ วา่ เครอื่ งดนตรขี องแตล่ ะวงมลี กั ษณะของเสยี งแตกตา่ งกนั อยา่ งไร โครงงาน เลือกปฏิบัติโครงงานต่อไปน้ีตามความสนใจ หรือคิดโครงงานขึ้นเอง โดยขอ คำ�แนะนำ�จากครู แลว้ ปฏิบตั ิตามขนั้ ตอนการทำ�โครงงาน 1. โครงงานเปรียบเทียบเสียงเคร่ืองดนตรีจากวงดนตรีแต่ละชนิดว่าเสียงของ เครือ่ งดนตรที ่ีใช้บรรเลงในวงให้ความรูส้ ึกแตกตา่ งกันอย่างไร 2. โครงงานคน้ ควา้ องคป์ ระกอบดนตรวี า่ มอี ะไรบา้ ง และมคี วามสำ�คญั ตอ่ ดนตรี อยา่ งไร การประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำ�วัน • นำ�ความรจู้ ากหนว่ ยการเรยี นรนู้ ไ้ี ปประยกุ ตใ์ ชโ้ ดยสามารถเลือกฟังเพลงตาม จังหวะและทำ�นองได้ตามอารมณ์ของตนเอง และสามารถจำ�แนกเสียงขับร้องและเสียง ของเครอ่ื งดนตรที เี่ กดิ จากการบรรเลงในการผสมวงดนตรแี ตล่ ะประเภทไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง คำ�ถามทบทวน 1. รปู แบบจงั หวะต่าง ๆ มีอทิ ธิพลต่ออารมณ์ของผูฟ้ งั หรอื ไม่ อย่างไร 2. ทำ�นองเพลงสามารถใชส้ ่อื อารมณ์เพลงได้อยา่ งไร 3. ยกตัวอย่างเคร่ืองดนตรีท่ีมีเสียงสูงแหลมและเคร่ืองดนตรีที่มีเสียงทุ้มตำ่ � มาอย่างละ 5 ช่ือ 4. ลักษณะของเสียงท่ีเกิดจากการบรรเลงของวงดนตรีพื้นบ้านภาคเหนือเป็น อย่างไร 5. ลกั ษณะของเสยี งทเ่ี กดิ จากการบรรเลงของวงซมิ โฟนอี อรเ์ คสตราเปน็ อยา่ งไร
Search
Read the Text Version
- 1 - 20
Pages: