หนงั สือเร�ยน รายวช� าพืน้ ฐาน ดนตรี-นาฏศิลป ป. 2 ชน�ั ประถมศึกษาปท่ี 2 กลมุ สาระการเรย� นรศู ลิ ปะ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน� พื้นฐานพทุ ธศักราช 2551 ผเŒู รยี บเรยี ง ดร. วรี ะ พันธุเสอื ศป.ม., Ph.D. ผูตŒ รวจ ผศ. ไตรรตั น พพิ ฒั โภคผล ศศ.บ., กศ.ม. ดร. สรุ ีรัตน จีนพงษ กศ.ม., ค.ด. พงศพชิ ญ แกว กลุ ธร กศ.บ. (เกียรตินิยม), ศป.ม. บรรณาธกิ าร สริ วิ รรณ เอีย่ มสำอางค ศป.บ. อุมาพร มั่นไทรทอง ศศ.บ.
หนงั สือเร�ยน รายว�ชาพนื้ ฐาน ดนตร-ี นาฏศลิ ป ป. 2 ชนั� ประถมศกึ ษาปท่ี 2 กลมุ สาระการเรย� นรูศลิ ปะ ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน� พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 ผูŒเรียบเรียง ดร. วีระ พนั ธเุ สือ ผตŒู รวจ ผศ. ไตรรัตน พพิ ัฒโภคผล ดร. สรุ รี ัตน จนี พงษ พงศพชิ ญ แกวกุลธร บรรณาธิการ สริ ิวรรณ เอีย่ มสำอางค อุมาพร ม่นั ไทรทอง ISBN 978-616-8047-28-6 บรษิ ทั กรพฒั นายง่ิ จํากดั เลขที่ 23/34–35 ชั้น 3 หอ ง 3B ถนนตรีมิตร แขวงตลาดนอย เขตสมั พนั ธวงศ กรุงเทพฯ 10100
คํานํา หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ดนตรี–นาฏศิลปŠ ชั้นประถมศึกษาปท่ี 2 เลมนี้จัดทำขึ้น ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 โดยมเี ปา หมายใหน ักเรยี นและ ครูผูสอนใชเปนส่ือในการจัดการเรียนรู เพื่อพัฒนานักเรียนใหมีคุณภาพตามสาระ มาตรฐาน การเรยี นรู ตัวชีว้ ดั และสาระการเรียนรแู กนกลางท่ีหลกั สตู รกำหนด รวมท้งั พัฒนานกั เรียนใหม ี สมรรถนะสำคัญตามที่ตองการท้งั ดา นการส่ือสาร การคดิ การแกปญ หา การใชท กั ษะชวี ิต และ การใชเทคโนโลยี ตลอดจนพฒั นานกั เรียนใหม ีคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค ทำประโยชนใหสังคม เพื่อใหส ามารถดำรงชวี ิตอยรู ว มกับผูอนื่ ในสงั คมไทยและสังคมโลกไดอยางมีความสุข หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ดนตรี–นาฏศิลปŠ เลมนี้ยึดแนวคิดการจัดการเรียนรูท่ีเนน ผูเรยี นเปนสำคัญ ใชห ลกั การสง เสรมิ ใหนักเรยี นมคี วามรคู วามเขา ใจธรรมชาติของนาฏศลิ ป และ สามารถนำความรูไปประยุกตใชในชีวิตประจำวันไดอยางมีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยพัฒนา นักเรียนแบบองครวมอยูบนพ้ืนฐานของการบูรณาการความคิดรวบยอด ที่เนนใหนักเรียนเรียนรู ดวยกระบวนการที่เนนการปฏิบัติ (Active Learning) และเรียนรูโดยใชสมองเปนฐาน (Brain- based Learning) ซึ่งเนน การเรยี นรใู หตรงกับรปู แบบการเรยี นรู (Learning Styles) เนนทักษะท่ี สรางเสรมิ ความเขา ใจที่คงทนของนักเรียน ซึ่งเปนผลลัพธป ลายทางทตี่ องการใหเ กดิ ตามหลักสูตร การจดั ทำหนงั สอื เรยี น รายวชิ าพน้ื ฐาน ดนตร–ี นาฏศลิ ปŠ เลม นคี้ ณะผจู ดั ทำซงึ่ เปน ผเู ชยี่ วชาญ ในสาขาวิชาและการพัฒนาสื่อการเรียนรูไดกำหนดหนวยการเรียนรู และออกแบบกิจกรรมการเรียนรู แบบฝกทกั ษะ กระบวนการทางดนตร–ี นาฏศลิ ป กจิ กรรมเสนอแนะ โครงงาน การประยกุ ตใชใ น ชีวติ ประจำวัน และคำถามทบทวน อยใู นเลมเดียว หวังเปน อยา งยงิ่ วา หนังสอื เรยี น รายวิชาพ้ืนฐาน ดนตร–ี นาฏศลิ ปŠ เลม นจี้ ะสนับสนนุ ให ผูเรียนไดพัฒนาความรูดานดนตรี–นาฏศิลป และสนับสนุนการปฏิรูปการเรียนรูตามเจตนารมณ ของพระราชบญั ญัตกิ ารศกึ ษาแหงชาติ พุทธศกั ราช 2542 คณะผจŒู ดั ทำ
คาํ ชแ้ี จง หนังสอื เรยี น รายวิชาพ้นื ฐาน ดนตร–ี นาฏศิลป ชน้ั ประถมศึกษาปที่ 2 เลมน้ีไดออกแบบหนวย การเรียนรใู หแ ตล ะหนวยการเรียนรูประกอบดวย 1. มาตรฐานการเรยี นรูŒ เปน เปา หมายที่ตองการใหเกดิ ข้นึ กบั นกั เรียนเมอื่ จบการศึกษาในหนวย การเรยี นรูน ้ัน ๆ หรือเมอ่ื จบการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน 2. ตวั ชวี้ ดั ชนั้ ป ระบตุ วั ชว้ี ดั ซงึ่ เปน เปา หมายในการพฒั นานกั เรยี นทสี่ อดคลอ งกบั เนอื้ หาในหนว ย การเรียนรู 3. ประโยชนจากการเรียน นำเสนอไวเพื่อกระตุนใหนักเรียนนำความรูและทักษะจากการเรียน ไปใชใ นชวี ิตประจำวนั 4. คำถามนำ เปน คำถามหรอื สถานการณท กี่ ระตนุ ใหน กั เรยี นเกดิ ความสนใจ ตอ งการทจี่ ะคน หา คำตอบ 5. เนือ้ หา ตรงตามมาตรฐานการเรยี นรู ตัวชีว้ ดั ชนั้ ป และสาระการเรยี นรแู กนกลาง โดยแบง เนื้อหาเปนชวง ๆ แลวแทรกกิจกรรมพัฒนาการเรียนรูท่ีพอเหมาะกับการเรียน รวมทั้งมีการนำเสนอ ดวยภาพ ตาราง แผนภูมิ และแผนท่ีความคิด เพ่ือเปนส่ือใหนักเรียนสรางความคิดรวบยอดและเกิด ความเขาใจที่คงทน 6. เกรด็ ควรรŒู เปนความรูเพอื่ เพม่ิ พนู ใหน กั เรียนมคี วามรกู วา งขวางข้ึน 7. แหล‹งคนŒ ขอŒ มูล (WEB GUIDE) เปน แหลงเรยี นรจู ากเว็บไซต เพือ่ ใหผเู รยี นศกึ ษาคนควา เน้อื หาทส่ี อดคลองกับเร่ืองท่ีเรียน 8. กจิ กรรมพฒั นาการเรียนรูŒ (ฝƒกฝนดนตรี ฝƒกฝนนาฏศลิ ป)Š เปน กจิ กรรมท่ีกำหนดไวเมือ่ จบ เนื้อหาแตละชวง แตละตอนเพื่อใหนักเรียนไดปฏิบัติเพื่อใหเกิดการเรียนรู เปนกิจกรรมท่ีหลากหลาย ใชแ นวคดิ ทฤษฎตี า ง ๆ ใหส อดคลอ งกบั เนอื้ หา เหมาะสมกบั วยั สะดวกในการปฏบิ ตั ิ กระตนุ ใหน กั เรยี น ไดค ิด และสง เสรมิ ใหศ ึกษาคน ควาเพ่มิ เตมิ 9. สรปุ ไดจ ดั ทำสรุปเปนผังมโนทศั น (concept map) เพ่อื ใหน กั เรียนไดใ ชเ ปนบทสรุปทบทวน ความรู โดยวธิ กี ารจนิ ตภาพจากผงั มโนทัศนท ี่ไดสรุปเน้อื หาท่ไี ดจ ดั ทำไว 10. กิจกรรมเสนอแนะ เปนกิจกรรมเสนอแนะใหนักเรียนไดปฏิบัติ เพื่อพัฒนาทักษะการคิด การวางแผน และการแกป ญ หาของนกั เรยี น 11. โครงงาน เปนการใหนักเรียนปฏิบัติโครงงาน โดยเสนอแนะหัวขอโครงงานและแนวทาง การปฏบิ ตั ิ 12. การประยุกตใชŒในชีวิตประจำวัน เปนกิจกรรมที่เสนอแนะใหนักเรียนไดนำความรู ทักษะ ไปประยกุ ตใ ชในชวี ิตประจำวัน 13. คำถามทบทวน เปนคำถามเพ่ือทบทวนผลการเรยี นรขู องนกั เรยี น 14. บรรณานกุ รม เปน รายชือ่ หนังสอื เอกสาร เวบ็ ไซตท่ใี ชป ระกอบการเขยี น 15. อภธิ านศพั ท เปน คำสำคญั ทแี่ ทรกอยใู นเนอ้ื หาซง่ึ พมิ พด ว ยสแี ดงและนำมาจดั เรยี งตามลำดบั ตวั อกั ษรและอธบิ าย
สารบัญ หน‹วยการเรยี นรŒูท่ี 1 สสี ันของเสยี ง ............................................ 2 1. ลกั ษณะการเกดิ เสียง....................................................... 3 2. สสี ันของเสียง ................................................................ 9 3. การฟ˜งเสยี งลกั ษณะต‹าง ๆ.............................................. 11 หน‹วยการเรยี นรูŒท่ี 2 ดนตรีพาเพลนิ ......................................... 18 1. การเลน‹ เครือ่ งดนตรี...................................................... 19 2. การเคลือ่ นไหวร‹างกายประกอบดนตรี................................. 26 3. การขบั รอŒ ง.................................................................. 28 หน‹วยการเรยี นรทŒู ี่ 3 ดนตรีในทŒองถิ่น........................................ 39 1. บทเพลงในทŒองถ่ินหรอื เพลงพ้นื บาŒ น ................................. 40 2. ดนตรกี ับกิจกรรมในวนั สำคญั .......................................... 43 หน‹วยการเรียนรทŒู ี่ 4 การละเลน‹ พื้นบาŒ น..................................... 50 1. ที่มาของการละเล‹นพ้ืนบาŒ น ............................................. 51 2. การละเล‹นพ้ืนบŒานในแตล‹ ะภาค........................................ 54 หน‹วยการเรียนรูŒที่ 5 การแสดงนาฏศลิ ปเŠ บอื้ งตนŒ .......................... 62 1. การเคลือ่ นไหวรา‹ งกายอยา‹ งมรี ปู แบบ ................................. 63 2. นาฏยศัพท ................................................................. 67 3. ภาษาทา‹ ..................................................................... 69 4. การแสดงท‹าทางประกอบเพลงมŒาย‹อง................................. 76
หนว‹ ยการเรียนรŒทู ่ี 6 มารยาทในการชมการแสดง.......................... 82 1. การปฏิบัตติ นอย‹างมีมารยาทในการชมการแสดง ................... 83 2. ขŒอดีของการมีมารยาทในการชมการแสดง ........................... 85 บรรณานุกรม....................................................................... 89 อภิธานศพั ท ........................................................................ 90
ดนตรี
สสี นั ของเสียง 1หน�วยการเร�ยนรทู ี่ มาตรฐานการเรยี นรู ศ 2.1 เขา ใจและแสดงออกทางดนตรอี ยา งสรา งสรรค วเิ คราะห วพิ ากษว จิ ารณค ณุ คา ดนตร ี ถายทอดความรูสึก ความคดิ ตอ ดนตรีอยา งอิสระ ช่นื ชม และประยกุ ตใ ชในชีวิตประจำ วัน ตัวชวี้ ดั ชน้ั ป 1. จำ แนกแหลง กำ เนดิ ของเสยี งทไ่ี ดย นิ (ศ 2.1 ป. 2/1) 2. จำ แนกคณุ ลกั ษณะของเสยี ง สงู –ตำ่ ดงั –เบา ยาว–สน้ั ของดนตร ี (ศ 2.1 ป. 2/2) สาระการเรยี นรู • สีสนั ของเสียงเครื่องดนตรี • สีสันของเสยี งมนษุ ย • การฝก โสตประสาท การจำ แนกเสียงสูง–ตำ่ ดัง–เบา ยาว–ส้นั ประโยชนจ ากการเรยี น คาํ ถามนํา รูแหลงกำ เนิดเสียงของมนุษยและ นกั เรยี นเคยเหน็ เครอ่ื งดนตรชี นดิ น้ี แหลง กำ เนิดเสียงของเครอื่ งดนตร ี รวมทัง้ หรือไม และเคร่ืองดนตรีชนิดน้ีเรียกวา สามารถเปรียบเทียบระดับเสยี งตาง ๆ ของ อะไร เสยี งท่ไี ดย ินได
หนงั สือเรยี น รายวชิ าพ้ืนฐาน ดนตรี–นาฏศลิ ป ป. 2 3 1. ลกั ษณะการเกดิ เสียง 1.1 ลกั ษณะการเกดิ เสียงของมนษุ ย เสียงที่เกดิ จากมนษุ ยห รือเสียงของคน เชน เสยี งพดู เสยี งหวั เราะ เสยี งรอ งเพลง เสยี งกระซบิ เสยี งตะโกน เสยี งรอ งไห เปน ตน เสยี งเหลา น้เี รียกวา “เสียงมนษุ ย” ลกั ษณะการเกิดเสยี ง ไดแก ลกั ษณะการเกดิ เสียง ลักษณะการเกดิ เสียง ของมนษุ ย ของเครือ่ งดนตรี 1) การเกิดเสียงของมนุษย เกิดจากการส่ันสะเทือนของเสนเสียง ซึ่งอยูในลำ คอของคนเราทุกคน เสนเสียงจะเกิดการส่ันสะเทือนได เมื่อถูกลมจากปอดดันผานออกมากระทบกับเสนเสียง ทำ ใหเกิดเสียง ตาง ๆ ขนึ้ 2) ลักษณะของเสียงมนุษย เสียงที่เกิดจากคนเราจะมีลักษณะท่ี แตกตางกันไป เชน เสยี งสงู เสยี งแหลม เสยี งเล็ก เสียงทุม เสียงตำ่า เสยี งแหบ เปน ตน สงิ่ ทที่ าำ ใหล กั ษณะเสยี งของคนเรามคี วามแตกตา งกนั เชน น ้ี เกดิ จากความแตกตา งของอวยั วะทที่ าำ ใหเ กดิ เสยี งของแตล ะบคุ คล ฝกึ ฝนดนตรี จับคูกับเพ่ือนแลวผลัดกันหลับตาฟงเสียงพูด เสียงหัวเราะ เสียง รอ งเพลง เสยี งกระซิบ เสียงตะโกน เสยี งรองไห หรอื เสยี งอ่ืน ๆ ท่ีเพื่อน ทำ ขึ้น และจำ แนกใหถ กู ตอ ง
4 หนังสือเรียน รายวชิ าพ้นื ฐาน ดนตร–ี นาฏศิลป ป. 2 1.2 ลกั ษณะการเกิดเสียงของเครอื่ งดนตรี ลักษณะการเกิดเสียงของเคร่ืองดนตรี สามารถแบงตามประเภท ของเครือ่ งดนตรี ดังน้ี 1) เครือ่ งดนตรีประเภทเครอื่ งตี (1) เครอื่ งดนตรีไทย เชน ฉ่ิง ฉาบ กรบั โหมง ระนาด ฆอ ง เปน ตน (2) เครื่องดนตรีสากล เชน กลองใหญ กลองสแนร และ เครือ่ งทำ จงั หวะตา ง ๆ เปน ตน เสยี งของเครอ่ื งดนตรเี หลา นเ้ี กดิ จากการสนั่ ไหวของไม โลหะ หนังสตั วทขี่ งึ ตงึ หรอื วัตถุอนื่ ๆ ทำ ใหเ กิดเสียงไดโ ดยการตีดว ยไม ใชมือตี หรอื ใชเ ครื่องดนตรตี ีกระทบกัน เคร่ืองดนตรไี ทย ฉ่ิง กรบั ¦ÍŒ §Ç§ãËÞ‹ โกรง ตะโพน โหมง ระนาดเอก ฉาบ
หนังสอื เรยี น รายวิชาพ้ืนฐาน ดนตร–ี นาฏศลิ ป ป. 2 5 เครอ่ื งดนตรสี ากล ไวบราโฟน กลองใหญ ทูบูลารเบล กลองสแนร 2) เครอ่ื งดนตรปี ระเภทเครอ่ื งเปา เคร่ืองดนตรีประเภทเครอ่ื งเปา สามารถแบง ตามลักษณะของการเกดิ เสยี งได ดังนี้ (1) เครือ่ งเปา ชนดิ ไม่มลี ้นิ • เครอ่ื งดนตรไี ทย เชน ขลยุ เพียงออ ขลุยอ ู เปนตน • เครื่องดนตรสี ากล เชน ฟลตู ปกโกโล เปน ตน เคร่อื งดนตรีเหลาน้ ี สามารถทำ ใหเกิดเสียงไดโดยการเปาลม ผา นชองลม เคร่ืองดนตรไี ทย เครื่องดนตรสี ากล ขลุยอู ฟลตู ปก โกโล ขลยุ เพยี งออ (2) เคร่อื งเปาชนดิ มีลิ้น • เครือ่ งดนตรไี ทย เชน ปน อก ปใน เปนตน • เคร่ืองดนตรีสากล เชน โอโบ คลาริเน็ต อิงลิชฮอรน บาสซนู แซก็ โซโฟน เปน ตน
6 หนงั สือเรียน รายวชิ าพ้นื ฐาน ดนตรี–นาฏศิลป์ ป. 2 เสียงของเคร่ืองดนตรีเหลาน้ีเกิดจากการสั่นไหวของวัตถุ ซงึ่ ทำ�ดวยช้ินไม ตนออ ไมไผ หรือแผน โลหะบาง ๆ เรียกวา “ล้นิ ” ทำ�ใหเกิดเสียงไดดวยการเปาลมเขาไปในลำ�ตัวเครื่องดนตรี โดยให ผานลิน้ ของเครอ่ื งดนตรี เครื่องดนตรไี ทย เคร่อื งดนตรีสากล ปนอก ปใ น คลาริเนต็ แซก็ โซโฟน บาสซนู โอโบ อิงลิชฮอรน (3) เครอื่ งเปา จำ�พวกแตร หรอื เครอื่ งดนตรปี ระเภทเครอื่ งลม- ทองเหลือง เสียงของเครื่องดนตรีเหลานี้เกิดขึ้นโดยการเปาลมเขาไป ในเคร่ืองดนตรี ในขณะท่ีเปาลมจะตองทำ�ใหริมฝปากเกิดการส่ันไหว ดว ย ซงึ่ การสน่ั ไหวของกลา มเนอ้ื รมิ ฝป ากจะทำ�หนา ทแี่ ทนลน้ิ ของเครอื่ ง ดนตรีและเกิดเปน เสียงขึ้น ทรมั เปต ทรอมโบน คอรเนต็ ทูบา เฟรนชฮ อรน
หนังสอื เรียน รายวิชาพน้ื ฐาน ดนตร–ี นาฏศิลป ป. 2 7 ฝกึ ฝนดนตรี เปดแผนภาพเครื่องดนตรีแตละชนิดหรือแตละประเภทแลวบอก ลักษณะของเสยี งทเ่ี กดิ จากเครอื่ งดนตรใี หถ ูกตอง 3) เครอ่ื งดนตรปี ระเภทเครอ่ื งดดี • เครอ่ื งดนตรไี ทย เชน ซงึ กระจบั ป จะเข เปนตน • เคร่ืองดนตรสี ากล เชน ฮารป กตี าร เปนตน เสียงของเครื่องดนตรีเหลาน้ีเกิดจากการส่ันไหวของสายที่ ขึงตึงดวยลวด เสนไหม เอ็นสัตว ทำ ใหเกิดเสียงไดดวยการดีด ดวยนิ้วมือหรอื ไมด ดี เครอื่ งดนตรไี ทย จะเข ซงึ กระจบั ป เครื่องดนตรสี ากล อูคูเลเล เบนโจ ฮารป
8 หนงั สือเรียน รายวชิ าพื้นฐาน ดนตร–ี นาฏศิลป์ ป. 2 4) เคร่ืองดนตรปี ระเภทเครื่องสี • เคร่ืองดนตรีไทย เชน ซอสามสาย ซออู ซอดวง สะลอ เปน็ ต้น • เคร่ืองดนตรีสากล เช่น ไวโอลิน วิโอลา วิโอลอนเชลโล ดับเบลิ เบส เปนตน เสียงของเคร่ืองดนตรีเหลานี้เกิดจากการเสียดสีกันของสายท่ี ขึงตึง ซงึ่ ทำ�ดวยลวด เอ็น เสน ไหม สีดว้ ยคนั ชักที่ทำ�จากหางม้า เคร่ืองดนตรไี ทย ซอสามสาย ซออู ซอดวง สะลอ เครื่องดนตรีสากล ไวโอลิน วโิ อลา วโิ อลอนเชลโล ดับเบิลเบส
หนงั สือเรยี น รายวชิ าพ้นื ฐาน ดนตร–ี นาฏศิลป ป. 2 9 2. สสี นั ของเสยี ง สสี นั ของเสยี ง หมายถงึ คุณสมบัตขิ องเสียงท่เี กิดจากเครื่องดนตรี หรือเสียงขบั รองของมนุษย ซง่ึ มลี ักษณะเฉพาะและแตกตา งกันออกไป สีสนั ของเสียง ไดแ ก สีสนั ของเสียงมนุษย สสี นั ของเสียงเครอ่ื งดนตรี 2.1 สสี ันของเสยี งมนุษย เกิดจากลักษณะของเสียงมนุษยที่มีความแตกตางกันออกไป เชน เสียงผูหญิงจะมีเสียงสูงแหลม เสียงผูชายจะมีเสียงทุมต่ำ สวนเด็ก จะมเี สียงเลก็ แหลม เปนตน เมื่อลกั ษณะของเสียงมีความแตกตางกนั กจ็ ะทำ ใหส สี นั ของเสยี งตา งกนั ตามไปดว ย และในทางดนตรสี ามารถแบง เสยี งของมนุษยออกเปน 4 ประเภท คอื 1) เสียงสูงของผูห ญงิ เรียกวา “โซปราโน” 2) เสียงตำ่ ของผหู ญิง เรยี กวา “อลั โต” 3) เสยี งสงู ของผูชาย เรียกวา “เทเนอร” 4) เสยี งต่ำ ของผูชาย เรยี กวา “เบส” เสยี งสงู แหลม เสยี งทมุ ตำ่ เสียงเลก็ แหลม
10 หนงั สอื เรยี น รายวชิ าพื้นฐาน ดนตร–ี นาฏศิลป์ ป. 2 2.2 สีสนั ของเสยี งเครอ่ื งดนตรี เกดิ จากลกั ษณะเฉพาะทไ่ี ดจ ากเสยี งทบี่ รรเลงโดยเครอ่ื งดนตรชี นดิ ตา ง ๆ ซงึ่ แตกตา งกันออกไป แมใ นระดบั เสยี งเดยี วกัน เมอื่ ใชเครอื่ ง ดนตรตี า งชนิดกนั บรรเลง กจ็ ะใหอารมณต า งกัน อยางไรก็ตาม เคร่ืองดนตรี เช่น ขลุ่ยเพียงออกับฟลูตท่ีอยูใน ประเภทเดียวกันก็มีความคลายคลึงกันของของ เสียงมากกวาเครื่องดนตรีตางประเภท เช่น ระนาดทุ้มกบั เปียโน เปน็ ต้น ระนาดทุม้ เปยี โน เกร็ดควรรู้ นอกจากสสี ันของเสยี งมนุษยและสีสันของเสียงเครอ่ื งดนตรแี ลว ยังมี สีสันของเสียงโดยรวมจากการผสมวง ซึ่งเกิดจากการผสมวงระหวาง เครอ่ื งดนตรที ม่ี ลี กั ษณะเสยี งตา งกนั มาบรรเลงรว มกนั ผขู บั รอ งทม่ี ลี กั ษณะ ของเสยี งที่ตางกันหลาย ๆ เสียงมาขบั รอ งรวมกนั หรอื การขบั รอ งรว มกบั การบรรเลงดนตรี สามารถทำ�ใหด นตรมี สี สี นั มากขนึ้ และเกดิ ความไพเราะ ท่ีหลากหลาย ฝกึ ฝนดนตรี ฝกฟงเพลงท่ีมีการขับรอง เพลงบรรเลง จำ�แนกเสียงมนุษยและ เสยี งเคร่ืองดนตรใี หถ กู ตอง
หนังสือเรยี น รายวชิ าพื้นฐาน ดนตรี–นาฏศิลป ป. 2 11 3. การฟง เสยี งลักษณะตา ง ๆ ในทางดนตรี เสียงขับรองและเสียงดนตรีมีลักษณะเสียงตาง ๆ ดังน้ี การฟังเสยี ง ลักษณะตา่ ง ๆ ไดแก เสยี งสงู และเสียงต่ำ เสยี งดังและเสียงเบา เสียงยาวและเสยี งสั้น 3.1 เสยี งสูงและเสยี งตาํ� เสยี งสงู และเสยี งตาำ่ เกดิ จากจาำ นวนรอบหรอื ความเรว็ ในการสน่ั สะเทอื น ของแหลงกำาเนิดเสียง จำานวนรอบในการส่ันสะเทือนมากจะทำาใหเกิด เสยี งสูง และจาำ นวนรอบในการสั่นสะเทือนนอยจะทำาใหเ กิดเสยี งตำ่า เสียงสงู แปรน แปรน จำ นวนรอบในการสน่ั สะเทอื นมาก จะทำ ใหเ สียงสงู เสียงชางรอ ง เสยี งต่ำ อบ อบ เสยี งกบรอง จำ นวนรอบในการสน่ั สะเทอื นนอ ย จะทำ ใหเ สียงต่ำ
12 หนังสอื เรยี น รายวชิ าพ้ืนฐาน ดนตรี–นาฏศลิ ป ป. 2 ฝึกฝนดนตรี รวบรวมเสียงสูงและเสียงต่ำ ท่ีไดยินในชีวิตประจำ วันโดยเขียนลง ในสมุด 3.2 เสียงดังและเสียงเบา เสยี งดงั และเสยี งเบาเกดิ ขน้ึ จากความแตกตา งของปรมิ าณของเสยี ง มาก–นอยของชวงความกวางหรือความแคบของคลื่นเสียง ชวงความ กวา งของชว งเสยี งมากจะทำ ใหเ กดิ เสยี งดงั ชว งความกวา งของชว งเสยี ง นอยจะทำ ใหเกิดเสียงเบา เสยี งดงั เสยี งฟ้าผา ชวงความกวา งมากเสียงดงั เสียงเบา เสียงดีดนิว้ มือ ชว งความกวา งนอ ยเสยี งเบา เสียงดังและเสียงเบาของเสียงดนตรี เปนสิ่งสำ คัญที่จะชวย ใหเ พลงสามารถถา ยทอดความรสู กึ ทต่ี อ งการออกมาได บทเพลงทมี่ ี ความดังและเบาของเสียงยอมทำ ใหผูฟงรูสึกคลอยตามมากกวา บทเพลงท่ีมีระดบั เสียงเดียวกนั ทงั้ เพลง
หนังสอื เรียน รายวชิ าพน้ื ฐาน ดนตรี–นาฏศิลป์ ป. 2 13 ฝึกฝนดนตรี รวบรวมเสียงดังและเสียงเบาท่ีไดยินในชีวิตประจำ�วันโดยเขียนลง ในสมุด 3.3 เสยี งยาวและเสียงสน้ั เสียงยาวและเสียงส้ันเกิดจากการสั่นสะเทือนในระดับที่ไม่เท่ากัน ทำ�ให้เกิดความยาว–สั้นของเสียงและจังหวะดนตรี โดยจะใชตัวโนต และตวั หยดุ เปน สญั ลกั ษณบ อกความยาว–สน้ั ของเสยี ง เชน โนต ตวั กลม โนต ตวั ขาว เปน ตน เสยี งยาว โนตตวั กลม เสยี งระฆัง w 1 2 3 4 หง่าง เสยี งส้นั โนตตวั ขาว เสยี งหวดู รถไฟ hh 1 2 1 2 ปนู๊ ปนู๊
14 หนงั สอื เรียน รายวิชาพ้ืนฐาน ดนตรี–นาฏศลิ ป ป. 2 เกร็ดควรรู้ ตวั โนต หมายถงึ เครอื่ งหมายห รอื ส ญั ลกั ษณท ใ ่ี ชบ นั ทกึ แ ทนหนว ยเ สยี ง และจ งั หวะข อง ดนตรี คอื w h q e x r Æ ตวั ห ยดุ หมายถงึ เคร อื่ งหมายห รอื ส ญั ลกั ษณท ใ ี่ ชบ นั ทกึ แ ทนค วามเ งยี บ คือ î ∙ Î WEB GUIDE http://www.sahavicha com ฝึกฝนดนตรี 1. รวบรวมเสยี งยาวและเสยี งสน้ั ทไี่ ดย นิ ในชวี ติ ประจำ วนั โดยเขยี น ลงในสมุด 2. ฝกเลียนแบบเสียงสูง–ตำ่ เสียงดัง–เบา และเสียงยาว–ส้ัน เพ่ือฝกการจำ แนกเสียงลกั ษณะตา ง ๆ
หนงั สอื เรียน รายวิชาพนื้ ฐาน ดนตรี–นาฏศลิ ป์ ป. 2 15 สรปุ สสี ันของเสียง แบง่ เป็น การสั่นสะเทือนของเส้นเสียง มีลักษณะแตกต่างกัน เช่น 1. ลกั ษณะการเกิดเสียง เสียงสูง เสยี งแหลม ไดแ้ ก่ 1.1 ลักษณะการเกดิ เสียงของมนุษย เกดิ จาก 1.2 ลักษณะการเกดิ เสียงของเครอื่ งดนตรี เชน่ เคร่อื งตี เครื่องเป่า เครอื่ งดีด (เครือ่ งดนตรไี ทย) (เครือ่ งดนตรสี ากล) (เครื่องดนตรีไทย) เครอื่ งสี (เครอ่ื งดนตรสี ากล) 2. สีสันของเสียง ไดแ้ ก่ 2.1 สีสนั ของเสียงมนษุ ย์ เช่น เสียงสูงแหลม เสียงทมุ ต่ำ� เสยี งเล็กแหลม 2.2 สีสนั ของเสียงเครือ่ งดนตรี เกดิ จาก เสยี งทบี่ รรเลงโดยเครอ่ื งดนตรชี นดิ ตา่ ง ๆ 3. การฟงั เสยี งลักษณะต่าง ๆ ไดแ้ ก่ 3.1 เสียงสงู และเสียงตำ่ � เชน่ เสยี งช้างร้อง เสียงกบร้อง 3.2 เสยี งดังและเสยี งเบา เช่น เสยี งฟ้าผ่า เสยี งดีดนิว้ มอื 3.3 เสยี งยาวและเสยี งสนั้ เช่น เสยี งระฆัง เสียงหวูดรถไฟ
16 หนงั สือเรยี น รายวชิ าพ้นื ฐาน ดนตรี–นาฏศลิ ป ป. 2 ¡Ô¨¡ÃÃÁàʹÍá¹Ð 1. แบง กลมุ กลมุ ละ 4–5 คน ฟง เสยี งทอ่ี ยใู นสง่ิ แวดลอ มรอบ ๆ ตวั แลว ฝก จำ แนกเสยี งทไ่ี ดย นิ วา เสยี งใดเปน เสยี งทเ่ี กดิ จากการสน่ั สะเทอื น ของเสน เสยี งมนุษย หรือเสียงใดเปนเสียงทีเ่ กดิ จากเสยี งอื่น ๆ 2. ฟงเพลงทส่ี นใจ แลว ฝก จำ แนกวามีเครอ่ื งดนตรอี ะไรบา ง และ มลี ักษณะการเกิดของเสียงเปนอยา งไร âคร§§าน เลือกปฏิบัติโครงงานตอไปน้ีตามความสนใจ หรือคิดโครงงาน ข้ึนเองโดยขอคำาแนะนำาจากครู แลวปฏิบัติตามข้ันตอนการทำา โครงงาน 1. โครงงานสำ รวจลกั ษณะของเสยี งทเ่ี กดิ จากสง่ิ แวดลอ มในชมุ ชน ของตนเอง 2. โครงงานสำ รวจลักษณะของเสียงท่ีเกิดจากเคร่ืองดนตรีแตละ ประเภท 3. โครงงานศึกษาลกั ษณะการใชเ ครอ่ื งดนตรีในเพลงทส่ี นใจ
หนังสอื เรยี น รายวิชาพน้ื ฐาน ดนตรี–นาฏศิลป์ ป. 2 17 การประยกุ ต์ใช้ในชีวิตประจำ�วนั • นำ�ความรไู ปใชใ นการจำ�แนกแหลง กำ�เนดิ เสยี งตา ง ๆ ทนี่ กั เรยี น ไดยนิ ในชวี ิตประจำ�วัน • นำ�ความรจู ากหนว ยการเรยี นรนู ไ้ี ปใชใ นการจำ�แนกลกั ษณะของ เสียงสูง–ต่ำ� เสยี งดัง–เบา และเสียงยาว–ส้นั รวมท้งั จำ�แนกสสี นั ของ เสียงจากแหลงกำ�เนิดเสียงตาง ๆ เพื่อเปนพ้ืนฐานในการฟงดนตรี ไดอยา งไพเราะ คำ�ถามทบทวน 1. เสียงของมนษุ ยเ กิดข้ึนจากอะไร 2. เสยี งของมนษุ ยแบง ออกเปนกป่ี ระเภท อะไรบาง 3. เคร่ืองดนตรีแตล ะประเภทเกิดเสียงไดอยางไร 4. อธบิ ายลกั ษณะของเสยี งสงู –ต่ำ� เสยี งดงั –เบา และเสยี งยาว–สนั้ มาพอเขา ใจ 5. ยกตัวอยางเสียงสูง–ตำ่� เสียงดัง–เบา และเสียงยาว–ส้ัน ท่นี กั เรียนไดยนิ ในชีวติ ประจำ�วนั มาอยางละ 5 เสยี ง
Search
Read the Text Version
- 1 - 23
Pages: