หนงั สือเรยี น รายวิชาพน้ื ฐาน ดนตร-ี นาฏศลิ ป์ ป. 6 ช้ันประถมศึกษาป ท่ี 6 กลมุ สาระการเรยี นรศู ลิ ปะ ตามหลกั สูตรแกนก ลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐานพุทธศกั ราช 2551 ผเู้ รียบเรียง ดร.วีระ พนั ธ์ุเสือ ศป.ม., Ph.D. ผู้ตรวจ ผศ.ไตรรตั น์ พพิ ฒั โภคผล ศศ.บ., กศ.ม. ดร.สุรรี ตั น์ จนี พงษ์ กศ.ม., ค.ด. พงศพิชญ์ แกว้ กลุ ธร กศ.บ. (เกียรตนิ ยิ ม), ศป.ม. บรรณาธิการ สริ ิวรรณ เอ่ยี มสำ�อางค์ ศป.บ. อุมาพร มั่นไทรทอง ศศ.บ.
หนังสือเรยี น รายวิชาพ้นื ฐาน ดนตร-ี นาฏศิลป์ ป. 6 ชน้ั ประถมศึกษาปท ่ี 6 กลมุ สาระการเรยี นรูศลิ ปะ ตามหลกั สตู รแกนก ลางการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ผู้เรียบเรียง ดร.วรี ะ พันธุ์เสอื ผตู รวจ ผศ.ไตรรตั น์ พิพัฒโภคผล ดร.สรุ ีรตั น์ จนี พงษ์ พงศพชิ ญ์ แก้วกุลธร บรรณาธิการ สริ ิวรรณ เอีย่ มสำ�อางค์ อุมาพร มั่นไทรทอง ISBN 978-616-8047-32-3 บริษทั กรพฒั นายิ่ง จำ�กดั เลขท่ี 23/34–35 ช้นั 3 หอ้ ง 3B ถนนตรีมิตร แขวงตลาดน้อย เขตสมั พันธวงศ์ กรุงเทพฯ 10100
ค�ำ น�ำ คำ�นำ� หนังสือเรียน รายวชิ าพ ื้นฐาน ดนตร–ี นาฏศิลป์ ช้ันป ระถมศึกษาปท ี่ 6 เลม่ นี้จดั ทำ�ขึน้ ต าม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 โดยมีเปาหมายใหน ักเรียนและ ครผู ู้สอนใชเปน ส ่ือในการจัดการเรยี นรู เพื่อพ ัฒนานักเรียนใหม คี ุณภาพต ามสาระ มาตรฐานก าร เรียนรู ตัวช้ีวัด และสาระการเรียนรูแ กนกลางท่ีหลักสูตรกำ�หนด รวมทั้งพัฒนานักเรียนใหม ี สมรรถนะส ำ�คัญต ามทตี่ องการท งั้ ด า นการส ือ่ สาร การคดิ การแกป ญหา การใชท กั ษะชีวิต และ การใชเทคโนโลยี ตลอดจนพฒั นานกั เรียนใหม คี ุณลักษณะอันพงึ ประสงค ทำ�ประโยชนใหส งั คม เพื่อใหส ามารถด ำ�รงชวี ิตอยูรว มกับผ อู ่นื ในสงั คมไทยและส ังคมโลกไดอยางม คี วามส ุข หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ดนตรี–นาฏศิลป์ เล่มนี้ยึดแนวคิดการจัดการเรียนรูท ี่เนน ผเู รยี นเปนสำ�คญั ใชห ลักการสงเสรมิ ใหน กั เรียนม คี วามรูค วามเขา ใจธรรมชาติของนาฏศลิ ป์ และ สามารถนำ�ความรูไปประยุกตใชในชีวิตประจำ�วันไดอ ยางมีประสิทธิภาพและย่ังยืน โดยพัฒนา นักเรียนแบบองครวมอยูบ นพื้นฐานของการบูรณาการค วามคิดรวบยอด ที่เนนใหน ักเรียนเรียนรู ดวยกระบวนการที่เนนการปฏิบตั ิ (Active Learning) และเรยี นรูโดยใชส มองเปนฐาน (Brain- based Learning) ซง่ึ เนน การเรยี นรใู หต รงกบั รปู แบบการเรยี นรู (Learning Styles) เนน ทกั ษะท่ี สรา งเสรมิ ความเขาใจทค่ี งทนของน ักเรยี น ซึ่งเปน ผลลัพธป ลายทางท ตี่ องการใหเกิดตามหลกั สูตร การจดั ท ำ�หนงั สอื เรยี น รายวชิ าพ นื้ ฐาน ดนตร–ี นาฏศลิ ป์ เลม่ นคี้ ณะผ จู ดั ทำ�ซง่ึ เปน ผ เู ชยี่ วชาญ ในสาขาวชิ าและการพฒั นาสอ่ื ก ารเรยี นรไู ดก ำ�หนดห นว ยการเรยี นรู้ และออกแบบกจิ กรรมการเรยี นรู แบบฝึกทักษะ กระบวนการทางดนตร–ี นาฏศิลป์ กิจกรรมเสนอแนะ โครงงาน การประยกุ ตใชใ น ชวี ิตประจำ�วนั และคำ�ถ ามท บทวน อยใูนเลมเดียว หวังเปน อยางยง่ิ วา หนงั สอื เรยี น รายวิชาพน้ื ฐาน ดนตร–ี นาฏศิลป์ เลม่ นี้จะส นับสนนุ ให ผู้เรียนไดพ ัฒนาความรูด านด นตรี–นาฏศิลป์ และส นับสนุนก ารปฏิรูปการเรียนรูต ามเจตนารมณ ของพระราชบัญญตั ิก ารศึกษาแหงชาติ พทุ ธศกั ราช 2542 คณะผ จู ัดทำ�
คำ�ชีแ้ จง หนงั สือเรียน รายวิชาพน้ื ฐาน ดนตรี–นาฏศิลป์ ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 เล่มนีไ้ ด้ออกแบบ หน่วยการเรยี นรูใ้ หแ้ ต่ละหน่วยการเรียนรปู้ ระกอบดว้ ย 1. มาตรฐานการเรียนรู้ เป็นเป้าหมายที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับนักเรียนเมื่อจบการศึกษาในหน่วย การเรยี นรนู้ นั้ ๆ หรือเมื่อจบการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน 2. ตวั ชวี้ ดั ชว่ งชน้ั ระบตุ วั ชว้ี ดั ซงึ่ เปน็ เปา้ หมายในการพฒั นานกั เรยี นทสี่ อดคลอ้ งกบั เนอ้ื หาในหนว่ ย การเรียนรู้ 3. ประโยชนจ์ ากการเรยี น นำ�เสนอไวเ้ พอ่ื กระตนุ้ ใหน้ กั เรยี นนำ�ความรแู้ ละทกั ษะจากการเรยี นไป ใชใ้ นชวี ิตประจำ�วนั 4. คำ�ถามนำ�เป็นคำ�ถามหรอื สถานการณ์ท่ีกระตุ้นใหน้ ักเรียนเกดิ ความสนใจ ต้องการท่จี ะค้นหา คำ�ตอบ 5. เน้ือหา ตรงตามมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัดช้ันปี และสาระการเรียนรู้แกนกลาง โดยแบ่ง เนอื้ หาเปน็ ชว่ ง ๆ แล้วแทรกกิจกรรมพัฒนาการเรียนรู้ท่พี อเหมาะกบั การเรียน รวมทั้งมกี ารนำ�เสนอด้วย ภาพ ตาราง แผนภูมิ และแผนท่คี วามคิด เพื่อเป็นสื่อใหน้ กั เรยี นสร้างความคิดรวบยอดและเกดิ ความ เขา้ ใจที่คงทน 6. เกรด็ ควรรู้ เปน็ ความรู้เพ่ือเพิม่ พูนใหน้ ักเรียนมีความร้กู ว้างขวางขน้ึ 7. แหลง่ คน้ ข้อมลู (WEB GUIDE) เปน็ แหลง่ เรียนรจู้ ากเวบ็ ไซต์ เพอ่ื ให้ผู้เรียนศกึ ษาคน้ คว้า เนอื้ หาท่สี อดคล้องกบั เรอ่ื งที่เรยี น 8. กจิ กรรมพัฒนาการเรยี นรู้ (ฝกึ ฝนดนตรี ฝกึ ฝนนาฏศลิ ป์) เป็นกิจกรรมท่กี ำ�หนดไวเ้ มื่อจบ เนือ้ หาแต่ละช่วง แต่ละตอนเพอ่ื ใหน้ ักเรยี นได้ปฏิบตั เิ พื่อใหเ้ กิดการเรยี นรู้ เปน็ กิจกรรมทห่ี ลากหลาย ใช้ แนวคดิ ทฤษฎตี ่าง ๆ ให้สอดคลอ้ งกับเนอ้ื หา เหมาะสมกับวยั สะดวกในการปฏบิ ตั ิ กระตุ้นให้นกั เรยี น ไดค้ ิด และสง่ เสริมใหศ้ กึ ษาค้นควา้ เพมิ่ เตมิ 9. สรุป ไดจ้ ัดทำ�สรปุ เปน็ ผังมโนทัศน์ (concept map) เพอื่ ใหน้ กั เรียนไดใ้ ช้เป็นบทสรปุ ทบทวน ความรู้ โดยวิธกี ารจนิ ตภาพจากผังมโนทัศนท์ ่ไี ด้สรปุ เนือ้ หาทไ่ี ด้จัดทำ�ไว้ 10. กิจกรรมเสนอแนะ เเป็นกิจกรรมเสนอแนะให้นักเรียนได้ปฏิบัติ เพื่อพัฒนาทักษะการคิด การวางแผน และการแกป้ ัญหาของนกั เรียน 11. โครงงาน เป็นการให้นักเรียนปฏิบัติโครงงาน โดยเสนอแนะหัวข้อโครงงานและแนวทาง การปฏบิ ตั ิ 12. การประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำ�วัน เป็นกิจกรรมที่เสนอแนะให้นักเรียนได้นำ�ความรู้ ทักษะไป ประยุกตใ์ ช้ในชีวติ ประจำ�วัน 13. คำ�ถามทบทวน เปน็ คำ�ถามเพอ่ื ทบทวนผลการเรียนรขู้ องนักเรยี น 14. บรรณานกุ รม เปน็ รายชื่อหนงั สอื เอกสาร เว็บไซตท์ ีใ่ ชป้ ระกอบการเขียน 15. อภธิ านศพั ท์ เปน็ คำ�สำ�คัญทแี่ ทรกอยู่ในเน้อื หาซึง่ พิมพ์ด้วยสแี ดงและนำ�มาจัดเรียงตามลำ�ดับ ตวั อกั ษรและอธิบาย
สารบญั หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 1 องคป์ ระกอบของดนตรี........................................2 1. องค์ประกอบดนตรไี ทย...............................................................3 2. องค์ประกอบดนตรีสากล.............................................................6 3. ศัพท์สงั คตี ............................................................................10 4. การบรรยายความร้สู กึ และแสดงความคดิ เหน็ ท่มี ีต่อบทเพลง...............12 หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 2 สร้างสรรคง์ านดนตรี.........................................16 1. เครือ่ งหมายและสญั ลกั ษณท์ างดนตรี............................................17 2. เพลงไทยในอตั ราจังหวะ 2 ช้ัน...................................................23 3. บนั ไดเสียงเมเจอร์ (major scales).............................................24 4. การสร้างสรรคผ์ ลงานทางดนตรี...................................................26 หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 3 ดนตรกี ับมรดกทางวฒั นธรรม..............................30 1. เคร่อื งดนตรพี น้ื บ้านและบทบาทหนา้ ที่ในการบรรเลง........................31 2. เครอื่ งดนตรสี ากล....................................................................33 3. ดนตรใี นประวัตศิ าสตร์.............................................................35 หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 4 นาฏศิลป์และการละคร.......................................46 1. นาฏศลิ ปแ์ ละการละครของไทย...................................................47 2. การแสดงนาฏศลิ ปแ์ ละละครในวันสำ�คัญ5��������������������������������������50 หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 5 การแสดงนาฏศลิ ป์และการละคร...........................55 1. รำ�วงมาตรฐาน5�����������������������������������������������������������������������56 2. ฟอ้ นเงย้ี ว..............................................................................61 3. ระบำ�ตารีกีปสั 5������������������������������������������������������������������������58 4. ละครสรา้ งสรรค์......................................................................67 5. เพลงปลกุ ใจขอไทยอยู่เปน็ ไทย...................................................68
หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 6 การสรา้ งสรรคท์ า่ รำ�ทางนาฏศลิ ปไ์ ทย7��������������������72 1. สงิ่ สำ�คัญในการสร้างสรรคท์ ่ารำ�ทางนาฏศลิ ปไ์ ทย3�����������������������������73 2. หลกั ในการสรางสรรคท์ า่ รำ�ทางนาฏศลิ ป์ไทย7����������������������������������74 3. ตัวอย่างการสรา้ งสรรคท์ ่ารำ�ประกอบเพลงพน้ื เมือง7��������������������������75 4. หลกั การชมการแสดง................................................................83 5. การวิเคราะหแ์ ละช่ืนชมการแสดงนาฏศลิ ปแ์ ละการละคร....................84 6. บทบาทหน้าที่ในงานนาฏศิลปแ์ ละการละคร....................................86 บรรณานกุ รม..............................................................................89 อภธิ านศัพท์...............................................................................90
ดนตรี
องค์ประกอบดนตรี 1หน่วยการเรยี นรู้ที่ มาตรฐานการเรียนรู้ ศ 2.1 เขา้ ใจและแสดงออกทางดนตรีอยา่ งสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วพิ ากษ์วจิ ารณ์คณุ คา่ ดนตรี ถ่ายทอดความรู้สึก ความคดิ ต่อดนตรีอยา่ งอิสระ ชน่ื ชม และประยุกตใ์ ช้ในชวี ติ ประจำ�วนั ตวั ช ้วี ัดช นั้ ป 1. บรรยายเพลงทฟ่ี งั โดยอาศยั องคป์ ระกอบดนตรีและศัพทส์ งั คีต (ศ. 2.1 ป. 6/1) 2. บรรยายความรสู้ กึ ท่มี ีตอ่ ดนตรี (ศ 2.1 ป. 6/5) 3. แสดงความคิดเห็นเก่ยี วกับทำ�นอง จงั หวะ การประสานเสยี ง และคณุ ภาพเสยี งของเพลง ท่ฟี งั (ศ 2.1 ป. 6/6) สาระการเรียนรู้ • องคป์ ระกอบดนตรแี ละศพั ทส์ ังคตี • การบรรยายความรู้สกึ และแสดงความคิดเห็นที่มีต่อบทเพลง ประโยชน์จากการเรียน คำ�ถามนำ� เขา้ ใจองคป์ ระกอบของดนตรไี ทยและดนตรี สากล ความหมายของศัพท์ทางดนตรีไทยและ ดนตรีสากลแต่ละคำ� ท่ีพบในบทเพลง รวมท้ัง สัญลักษณน์ ี้มีความหมายวา่ อยา่ งไร สามารถปฏิบัติตามไดอ้ ยา่ งถูกต้อง และมคี วาม รสู้ กึ ทดี่ ตี อ่ ดนตรแี ละสามารถเลา่ แสดงความคดิ เห็นตอ่ เพลงหรือดนตรที ฟ่ี ังได้
หนังสอื เรยี น รายวชิ าพื้นฐาน ดนตร–ี นาฏศลิ ป์ ป. 6 3 1. องค์ประกอบดนตรีไทย องค์ประกอบดนตรไี ทย ได้แก่ เสยี ง ท�ำนอง เสยี งประสาน รูปแบบหรือคีตลกั ษณ์ จังหวะ พ้นื ผวิ ของดนตรี สีสนั ของเสยี ง 1.1 เสียง เสยี งในทางดนตรีไทย หมายถงึ เสยี งทีเ่ กดิ จากการดีด การสี การตี การเปา การขบั รอง หรือวธิ กี ารอ่นื ๆ ลกั ษณะความแตกตา งของเสียงจะขนึ้ อยกู ับองคป ระกอบ ของเสยี ง 4 ประการ ไดแก 1) ระดบั เสียง หมายถึง เสยี งสูง–เสยี งตำ่ � ระดับเสียงเกดิ จากความถขี่ องการ สนั่ สะเทอื นของวตั ถุ ยงิ่ มคี วามสนั่ สะเทอื นเรว็ จะทำ�ใหร้ ะดบั เสยี งสงู ความสน่ั สะเทอื นชา้ ระดับเสียงจะต่ำ� เราสามารถเปรียบเทียบเสียง 2 เสียงว่าเสียงใดมีระดับสูง เสียงใด มรี ะดบั ตำ่ �ได้จากการฟงั เครอ่ื งดนตรีทมี่ ีระดบั เสยี งสงู เชน่ ขิม ซอด้วง เคร่อื งดนตรี ทีม่ รี ะดับเสยี งตำ่ � เช่น ระนาดทุม้ ฆอ้ ง 2) ความสน้ั –ยาว หมายถงึ ระยะเวลาของเสยี งแตล่ ะเสยี งในการรอ้ งหรอื บรรเลง ความส้ัน–ยาวเป็นที่มาของการเกิดจังหวะ ซึ่งเป็นส่วนสำ�คัญในดนตรี เราสามารถ สงั เกตความส้นั –ยาวของเสียงไดจ้ ากการบรรเลงดนตรีแต่ละครั้ง เชน่ การกรอระนาด การสซี อทม่ี ลี ักษณะการลากคันชกั ยาว ๆ หรอื การร้องเออ้ื นเสียง 3) ความเขม ของเสยี ง หมายถงึ น้ำ�หนกั หรอื ความดงั –เบาของเสยี งดนตรที รี่ อ ง และบรรเลงออกมา 4) คุณภาพของเสียง หมายถึง เสยี งทเ่ี กดิ จากแหลงกำ�เนิดเสียงที่แตกตางกัน ไมว า จะเปน วธิ กี ารบรรเลง วสั ดทุ ใ่ี ชท ำ�เครอ่ื งดนตรี หรอื ขนาดและรปู ทรงของเครอ่ื งดนตรที ่ี ตา งกนั เปน ตน ซงึ่ ปจ จยั ตา ง ๆ เหลา นส้ี ามารถกอ ใหเ กดิ ลกั ษณะของคณุ ภาพของเสยี งได 1.2 จังหวะ จังหวะ หมายถึง การแบงสวนของทำ�นองเพลงท่ีดำ�เนินไปอยางสม่ำ�เสมอออก เปน สว น ๆ เทา ๆ กนั จงั หวะในดนตรไี ทยสามารถแบง ออกเปน 3 ประเภทใหญ ๆ ไดแ ก 1) จงั หวะสามญั หมายถงึ จงั หวะทใ่ี ชก้ ารนบั จงั หวะในใจ ไมม่ เี ครอ่ื งดนตรใี ด ๆ เป็นตวั กำ�หนดจงั หวะ 2) จังหวะฉงิ่ หมายถึง การกำ�หนดจงั หวะด้วยเสียงของการตฉี ิ่ง จังหวะฉ่ิงมี อตั ราจังหวะ 3 อัตรา ไดแ้ ก่
4 หนงั สอื เรียน รายวิชาพนื้ ฐาน ดนตร–ี นาฏศิลป์ ป. 6 (1) จงั หวะ 3 ชนั้ หมายถึง เพลงทีม่ ีจังหวะช้า (2) จงั หวะ 2 ชนั้ หมายถงึ เพลงทีม่ จี งั หวะปานกลาง (3) จังหวะชนั้ เดยี ว หมายถงึ เพลงทีม่ ีจังหวะเร็ว 3) จังหวะหน้าทับ หมายถึง การกำ�หนดจังหวะด้วยเคร่ืองดนตรีท่ีขึงด้วย หนัง เชน่ กลอง ตะโพน จังหวะหนา้ ทับแบ่งออกเปน็ 3 ชนิด ไดแ้ ก่ หนา้ ทบั ปรบไก่ หนา้ ทบั สองไม้ และหน้าทบั พเิ ศษ 1.3 ทำ�นอง ทำ�นอง หมายถงึ เสยี งสงู ๆ ต่ำ� ๆเรยี งสลับกนั ไป ทำ�นองเพลงไทยเกดิ จากการ นำ�เสียงตา ง ๆ ทีเ่ กดิ จากการบรรเลงเคร่อื งดนตรีไทยมาเรยี บเรียงเขาดว ยกัน ซึง่ ประ กอบไปดวยสวนทส่ี ำ�คญั 2 สว น ไดแ ก 1) ทำ�นองหลกั หรือลกู ฆอง หมายถงึ ทำ�นองที่เปน เน้ือแทจรงิ ๆ ของเพลงไทย ทเ่ี รยี กวา ลูกฆอง เพราะยดึ ลีลาของทำ�นองฆอ งวงใหญเปน หลัก 2) ทำ�นองตกแตง หรอื แปรทำ�นอง หมายถงึ ทำ�นองทเ่ี กดิ จากการประดษิ ฐท ำ�นอง อ่ืน ๆ จากเครื่องดนตรีชนิดอ่ืน ๆ หรือแมแตการขับรอง เพ่ือใหเกิดความไพเราะ มากข้นึ 1.4 พ้ืนผวิ ของดนตรี พน้ื ผวิ ของดนตรี หมายถงึ เสยี งทเี่ กดิ จากแนวทำ�นองหลายแนวมาผสมกนั มที งั้ ทำ�นองในแนวตง้ั และแนวนอน ซงึ่ แบงเปน 2 แบบใหญ ๆ ไดแ ก 1) พน้ื ผิวแบบทำ�นองเดยี ว เปน ลักษณะของดนตรีท่มี ที ำ�นองเดยี ว ไมมีเสยี ง ประสาน เชน การขบั รองเพลงไทย การเดีย่ วป การเดย่ี วซอ เปนตน 2) พื้นผวิ แบบฮเี ตอรโรโฟนี เปนลักษณะของดนตรที ีม่ หี ลายทำ�นอง เปน การ ประสานเสยี งในแนวนอน มผี บู รรเลงตง้ั แต 2 คนขน้ึ ไป และผูบรรเลงแตล ะคน แตล ะ เครื่องดนตรีสามารถตกแตง ทำ�นองหรอื ประดษิ ฐท างตา ง ๆ ไดโ ดยยดึ แนวทำ�นองหลกั เดียวกนั 1.5 เสียงประสาน เสียงประสาน หมายถงึ ระดับเสียงตงั้ แต 2 เสยี งขน้ึ ไปท่รี องหรอื เลน ในขณะ เดียวกัน ลักษณะของการประสานเสียงมีอยูดวยกันหลายลักษณะ ในดนตรีไทยมี ลกั ษณะการประสานเสียงในแนวนอนเรียกวา “ฮเี ตอรโ รโฟน”ี ซง่ึ เกดิ จากการแปรทาง จากทำ�นองหลกั ลักษณะวิธกี ารประสานเสียงของดนตรไี ทยมดี งั นี้
หนังสอื เรยี น รายวชิ าพื้นฐาน ดนตร–ี นาฏศิลป์ ป. 6 5 1) การประสานเสียงระหวางเครื่องดนตรีตางชนิดกัน การบรรเลงดนตรี ดวยเครื่องดนตรีตางชนิดกัน เสียงท่ีออกมายอมไมเหมือนกัน เชน การบรรเลงของ เคร่ืองดนตรใี นวงดนตรีไทยแตล ะชนดิ เปน ตน 2) การประสานเสียงในเคร่ืองดนตรีชนิดเดียว เคร่ืองดนตรีบางชนิดสามารถ บรรเลง 2 เสยี งพรอ มกันได เชน การตีลงไป 2 เสยี งพรอมกันบนระนาดหรอื ฆองวง จะเกิดเปนเสียงประสานคตู า ง ๆ 3) การประสานเสยี งโดยการทำ�ทาง ในการบรรเลงดนตรไี ทย ซงึ่ อาจจะบรรเลง โดยระนาดเอก ระนาดทมุ จะเข ขลยุ ฯลฯ ตางมีอิสระในการสรางทางการบรรเลงของ ตนเอง แตจ ะตอ งอยใู นกรอบของทำ�นองหลกั (ลกู ฆอ ง) รว มกนั เมอ่ื บรรเลงพรอ ม ๆ กนั เสียงก็จะประสานสอดแทรกกันดวยความกลมกลืน ทำ�ใหฟงไพเราะ ถือเปนตัวอยาง การประสานเสียงแบบไทย และเปน เอกลกั ษณของการบรรเลงดนตรีไทยมาแตดัง้ เดมิ 1.6 สสี ันของเสียง สีสันของเสยี ง หมายถงึ คณุ ลกั ษณะของเสียงทีเ่ กิดจากแหลงกำ�เนิดเสยี งทต่ี า ง กนั ซงึ่ เกดิ จากปจจัยหลายประการ ดงั น้ี 1) วธิ กี ารบรรเลง หมายถงึ วธิ กี ารทำ�ใหเ ครอื่ งดนตรแี ตล ะชนดิ เกดิ เสยี งขน้ึ เชน การดดี การสี การตี การเปา หรือวธิ กี ารอ่ืน ๆ 2) วสั ดทุ ใี่ ชท ำ�เครอ่ื งดนตรี หมายถงึ สงิ่ ทนี่ ำ�มาทำ�เครอื่ งดนตรชี นดิ ตา ง ๆ ไดแ ก วัสดทุ ีม่ าจากธรรมชาติและวัสดุที่มนุษยส ังเคราะหข้ึน 3) ขนาดและรปู ทรง หมายถงึ ความส้ัน–ยาว เลก็ –ใหญ บาง–หนา เบา–หนกั ตงึ –หยอ น แขง็ –นม่ิ เปน ตน ซง่ึ ขนาดและรปู ทรงเหลา นสี้ ามารถสง ผลตอ การเกดิ ลกั ษณะ ของเสยี งได 1.7 รปู แบบหรือคีตลักษณ์ รปู แบบหรอื คตี ลกั ษณ หมายถงึ ลกั ษณะรปู แบบหรอื ลกั ษณะโครงสรา งของเพลง ไทย ซึง่ มีรปู แบบใหญ ๆ ดังน้ี 1) เที่ยวร้องหรือทางร้อง คือ การนำ�บทกลอนหรือบทวรรณคดีมาขับร้องให้ ไพเราะและใชจ้ ังหวะคอยควบคมุ 2) เที่ยวเก็บหรือทางเครื่อง คือ การใช้เคร่ืองดนตรีมาบรรเลงรับจากการร้อง โดยมีทำ�นองที่สอดคล้องกับทางรอ้ งเปน็ อยา่ งดี
6 หนงั สอื เรยี น รายวชิ าพน้ื ฐาน ดนตร–ี นาฏศิลป์ ป. 6 3) ลลี าของเพลง หมายถงึ การสรา งสรรคเ พลงออกมาใหม รี ปู แบบของลลี าเพลง ทต่ี างกนั ออกไป เชน เพลงลูกลอ ลูกขดั เพลงเกบ็ เพลงกรอ การเด่ยี วเพลง เปนตน ฝกึ ฝนดนตรี เลอื กเพลงไทยมา 1 เพลง ฟง แลว วเิ คราะหว า เพลงมลี กั ษณะการใชอ งคป ระกอบทางดนตรี ไทยอะไรบา ง เขียนสรุปแลว นำ�เสนอขอ มลู หนา ชัน้ เรยี น และรอ งใหครูและเพือ่ น ๆ ฟง 2. องคป์ ระกอบดนตรีสากล องคป์ ระกอบดนตรสี ากล ไดแ้ ก่ เสยี ง ท�ำนองเพลง พ้ืนผิวของดนตรี รูปแบบของเพลง หรือคีตลกั ษณ์ จังหวะดนตรี เสียงประสาน สสี ันของเสยี ง 2.1 เสยี ง (tone) เสยี งในทางดนตรสี ากล หมายถงึ การสน่ั สะเทอื นของอากาศในอตั ราทคี่ งทเี่ สมอ และมอี งคประกอบอีก 4 ประการ ไดแ ก 1) ระดบั เสยี ง (pitch) หมายถงึ เสยี งสงู –ตำ่ �ของโนต สากล และขนึ้ อยกู บั ความถ่ี ของการส่นั สะเทือน เชน เสียงสูงเกดิ ข้นึ จากความถีส่ ูง และถาความถส่ี งู ขนึ้ 1 เทา ตัว ระดบั เสยี งกจ็ ะสงู ขึ้น 1 ชวงคู 8 (octave) เปน ตน 2) ความส้ัน–ยาวของเสียง (duration) หมายถึง ระยะเวลาเปลง เสียงขบั รอ ง หรือบรรเลงเพลงออกมา 3) ความเขม ของเสยี ง (intensity) หมายถงึ ระดบั ความดงั –เบาของเสยี งนกั รอ ง และเสยี งเครื่องดนตรี 4) คณุ ภาพของเสยี ง (quality) หมายถงึ ระดบั ความแตกตา งของเสยี งทเ่ี กดิ ขน้ึ จากแหลง กำ�เนดิ เสยี งทต่ี า งกนั รูปรา ง รปู ทรงของแหลง กำ�เนิดเสียง ความหนาแนน หรอื มวลของแหลงกำ�เนดิ เสียง วิธีการและเทคนิคของการทำ�ให้เกิดเสียง เทคโนโลยที ่เี กีย่ ว กับเสียง เปนตน
หนงั สอื เรยี น รายวชิ าพน้ื ฐาน ดนตร–ี นาฏศลิ ป์ ป. 6 7 2.2 จังหวะดนตรี (rhythm) จงั หวะดนตรี หมายถึง การจดั เรียงของเสยี งหรอื ความเงียบ ซงึ่ มคี วามสน้ั –ยาว ตา ง ๆ ประกอบดวย 1) จงั หวะตบ (beat) หมายถึง จงั หวะพื้นฐานทสี่ มำ่ �เสมอเทา กนั ตลอด 2) จงั หวะเนน หรอื จังหวะหนกั (accented beat) จังหวะทางดนตรีโดยปกติ จะประกอบไปดวยจังหวะเนนหรือจังหวะหนัก สวนจังหวะท่ีไมมีการเนนก็จะเรียกวา จงั หวะเบา จังหวะเน้น คือ หมายเลข 1 < > 1234 1234 3) ความยาวของจงั หวะ (duration) จงั หวะทางดนตรมี ที ง้ั จงั หวะสนั้ และจงั หวะ ยาว ซึง่ สามารถสังเกตไดจ ากตัวโนต และตวั หยดุ ตาง ๆ ตวั กลม ตัวหยุดตวั ดำ� ยาว 4 จังหวะ ยาว 1 จังหวะ 4) จงั หวะขัด (syncopation) หมายถึง จังหวะที่ไมเ ปน ไปตามกลุมจังหวะที่ ควรจะเปน 5) รปู แบบของจังหวะ (rhythm pattern) หมายถึง ลักษณะของกลุมจงั หวะ ทม่ี ลี กั ษณะตา ง ๆ กัน ซง่ึ อาจเปนลกั ษณะทมี่ คี วามสม่ำ�เสมอหรอื ไมสมำ่ �เสมอกไ็ ด 6) จงั หวะของทำ�นอง (rhythm of the melody) ทำ�นองเพลงอาจประกอบขึ้น ดว ยจังหวะที่มคี วามยาวเทากบั สัน้ กวา หรือยาวกวาจงั หวะตบ จังหวะของทำ�นองอาจมี รูปแบบของจงั หวะทีส่ ม่ำ�เสมอหรอื ไมส มำ่ �เสมอก็ได
8 หนงั สือเรยี น รายวชิ าพน้ื ฐาน ดนตร–ี นาฏศิลป์ ป. 6 2.3 ท�ำ นองเพลง (melody) ทำ�นองเพลง หมายถงึ การนำ�เอาตวั โนต้ ตา่ ง ๆ มาเรยี บเรยี งใหเ้ ปน็ ระบบตอ่ เนอื่ ง กัน มที ัง้ เสยี งสูง เสยี งต่ำ� เสียงยาว เสียงสนั้ โดยมีจงั หวะดนตรเี ปน็ ตวั ควบคุม 2.4 เสยี งประสาน (harmony) เสียงประสาน หมายถึง ระดับเสียงต้ังแต 2 เสียงข้ึนไปท่ีรองหรือบรรเลงไป พรอ ม ๆ กัน โดยการจดั แนวการบรรเลงใหแกระดบั เสียงตาง ๆ พรอ มกบั แนวทำ�นอง หลัก เพ่ือชวยปรุงแตงใหทำ�นองเพลงมีความไพเราะนาฟง การประสานเสียงแบงเปน 2 วิธี ไดแก การใชข น้ั คเู สียง (interval) และการใชก ลมุ คอรด (chord) 2.5 พนื้ ผวิ ของดนตรี (texture) พนื้ ผวิ ของดนตรี หมายถงึ ความสมั พนั ธร ะหวา งเสยี งประสานซงึ่ เปน ความสมั พนั ธ แนวต้ัง และทำ�นองซึ่งเปนความสัมพันธแนวนอน กอใหเกิดพื้นผิวของดนตรีข้ึน ดงั น้ี 1) โมโนโฟนกิ (monophonic) แนวทำ�นองทม่ี ที ำ�นองเดยี วไมม่ กี ารประสานเสยี ง ใด ๆ เปน็ รปู แบบของดนตรใี นยุคแรก ๆ ของดนตรีในทุกวัฒนธรรม 2) โพลโี ฟนกิ (polyphonic) แนวทำ�นองทมี่ ตี ง้ั แตส่ องทำ�นองขนึ้ ไป โดยแตล่ ะ แนวมีความเด่นและเปน็ อิสระจากกนั
หนงั สือเรยี น รายวิชาพื้นฐาน ดนตรี–นาฏศิลป์ ป. 6 9 Violoncello 3 Violin 3) โฮโมโฟนกิ (homophonic) แนวทำ�นองทมี่ กี ารใชค้ อรด์ เพม่ิ เขา้ มาใหท้ ำ�นอง มคี วามไพเราะมากขน้ึ F C7 sus4 C7 F mƒ 4) ฮเี ตอรโ์ รโฟนกิ (heterophonic) แนวเสยี งทมี่ ที ำ�นองหลายทำ�นองมาบรรเลง รวมกนั แตล่ ะแนวทำ�นองมีความสำ�คัญเท่ากนั ทุกแนว 2.6 สสี นั ของเสยี ง (tone color) สีสนั ของเสียง หมายถงึ คุณสมบตั ขิ องเสยี งท่ีเกดิ จากเครอื่ งดนตรหี รือเสยี งรอง ซึ่งมีความแตกตางกันออกไป เม่ือนำ�มารองหรือบรรเลงรวมกันจะทำ�ใหสีสันของเสียง ในภาพรวมมคี วามแตกตางกนั ออกไป 1) เสียงของมนษุ ย ไดแก เสยี งผหู ญงิ เสียงผูชาย และเสยี งเด็ก 2) เสยี งของเครอ่ื งดนตรี หมายถงึ เสียงของเคร่ืองดนตรีแตละชนิด ซึง่ จะมี ลักษณะเฉพาะและระดับเสยี งท่ีตา งกนั ออกไป 3) เสียงโดยรวมจากการผสมวง สามารถทำ�ใหดนตรีมีสีสันมากขึ้น และเกิด ความไพเราะทห่ี ลากหลาย
10 หนังสอื เรียน รายวิชาพ้ืนฐาน ดนตรี–นาฏศิลป์ ป. 6 2.7 รูปแบบของเพลงหรอื ตตี ลักษณ์ (form) รปู แบบของเพลงหรือคตี ลักษณ หมายถงึ ลกั ษณะการจดั โครงสรางของดนตรี หรอื เพลงท่มี ีการแบงเปนกลุม เสยี ง วลี ประโยค และทอ นเพลง ซึ่งรปู แบบของเพลง หรือคตี ลกั ษณมหี ลายรปู แบบ เชน ไบนารี เทอรน ารี รอนโด โซนาตาฟอรม์ เปน ตน ฝึกฝนดนตรี เลือกเพลงไทยสากลหรือเพลงสากลมา 1 เพลง ฟงแลววิเคราะหวาเพลงมีลักษณะการ ใชอ งคป ระกอบทางดนตรสี ากลอะไรบา ง เขยี นสรปุ แลว นำ�เสนอขอ มลู หนา ชน้ั เรยี น และรอ งใหค รู และเพือ่ น ๆ ฟง 3. ศพั ทส์ ังคีต ศพั ทส งั คีต หมายถงึ ศัพทท ่ีบัญญตั ไิ วใชเ ฉพาะในวงการดนตรแี ละขับรอ งศัพท สังคตี ท่คี วรทราบมีดงั ตอ ไปนี้ ศพั ทส์ ังคตี ไดแ้ ก่ ศัพท์ทางดนตรีไทย ศพั ทท์ างดนตรสี ากล 3.1 ศัพทท์ างดนตรไี ทย ศัพทด์ นตรีไทยมีมากมาย ตวั อยา่ งเชน่ 1) กรอ หมายถงึ วธิ กี ารบรรเลงดนตรปี ระเภทเครอื่ งตี ดำ�เนนิ ทำ�นองทท่ี ำ�ใหเ กดิ เสยี งตอ เนอ่ื งกนั เปน เสยี งยาวสม่ำ�เสมอ โดยใชส องมอื ตสี ลบั กนั ถ่ี ๆ เหมอื นรวั เสยี งเดยี ว ซง่ึ มกั จะตีเปน คู 2 คู 3 คู 4 คู 5 คู 6 และ คู 8 เปนตน 2) เกบ็ หมายถึง การบรรเลงดนตรีใหม พี ยางคถข่ี ้ึนกวา เน้ือเพลงธรรมดา 3) สะบดั หมายถงึ การบรรเลงดนตรโี ดยแทรกเสยี งเขา มาในเวลาบรรเลงทำ�นอง “เก็บ” อีก 1 พยางค 4) ขย้ี หมายถึง การบรรเลงดนตรใี หม พี ยางคถ ีข่ ึ้นไปอกี 1 เทา ตวั การบรรเลง ดวยวิธีนี้สามารถบรรเลงตอเนื่องไปท้ังประโยคเพลง หรือบรรเลงสั้น–ยาวเพียงใด ก็ไดแลว แตผูบรรเลงจะเหน็ สมควร 5) คลอ หมายถึง การบรรเลงดนตรีไปพรอม ๆ กับการรองเพลงในทำ�นอง เดยี วกัน
หนังสอื เรียน รายวิชาพ้ืนฐาน ดนตร–ี นาฏศลิ ป์ ป. 6 11 ฝึกฝนดนตรี เลือกเพลงไทยมา 1 เพลง ฟงแลววิเคราะหวาเพลงมีการใชเทคนิคในการบรรเลงที่ ตรงกับศัพททางดนตรีไทยคำ�ใดบาง และเกิดจากการบรรเลงเครื่องดนตรีชนิดใด เขียนสรุป เปน แผนภาพ 3.2 ศพั ท์ทางดนตรีสากล ศพั ทท างดนตรีสากลนนั้ มอี ยมู ากมาย สามารถแบง ออกไดหลายลกั ษณะ เชน 1) ศัพทท ่ีใชแสดงความดัง–เบาของเสียง คำ�ศพั ท คำ�อา น ความหมาย สัญลกั ษณ piano เปยโน เสยี งเบาหรอื นุมนวล pianissimo เปย นิสซีโม เสียงเบามากหรอื นุมนวลมาก forte ฟอรเต fortissimo ฟอรตสิ ซโี ม เสยี งดงั mezzo piano เมซโซ เปยโน เสียงดังมาก mezzo forte เมซโซ ฟอรเต เสยี งคอ นขา งเบาหรือเบาพอสมควร crescendo เกรเชนโด เสยี งดงั พอสมควร decrescendo เดเกรเชนโด ดังขึน้ เปน ลำ�ดบั เบาลงเปนลำ�ดับ 2) ศัพทท ีใ่ ชแสดงความเรว็ –ชาของจงั หวะ คำ�ศพั ท คำ�อา น ความหมาย adagio อาดาโจ ชา ritardando รตี ารดนั โด ชา ลงทีละนอย lento เลนโต ชามาก accelerando อัชเชเลรนั โด เพม่ิ ใหเร็วขน้ึ กวาเดิม moderato โมเดราโต ปานกลาง allegretto อัลเลเกรตโต เรว็ allegro อัลเลโกร เรว็ มาก
12 หนังสอื เรียน รายวิชาพนื้ ฐาน ดนตรี–นาฏศิลป์ ป. 6 ฝกึ ฝนดนตรี เลอื กเพลงไทยสากลหรอื เพลงสากลมา 1 เพลง ฟง แลว วเิ คราะหว า เพลงมกี ารใชเ ทคนคิ ใน การบรรเลงทต่ี รงกบั ศพั ทท างดนตรสี ากลคำ�ใดบา ง และเกดิ จากการบรรเลงเครอื่ งดนตรชี นดิ ใด เขยี นสรปุ เปนแผนภาพแลว นำ�เสนอขอมูลหนาชั้นเรยี น 4. การบรรยายความร้สู กึ และแสดงความคดิ เห็นที่มตี ่อบทเพลง เพลงแตละเพลงจะมีความไพเราะท่ีแตกตางกันไปตามลักษณะการสรางสรรค และจินตนาการของผูประพันธ และการถายทอดสูผูฟงดวยวงดนตรีประเภทตาง ๆ ความไพเราะเปน สงิ่ ทป่ี รากฏขน้ึ ในความรสู กึ ของคนเราหลงั จากไดร บั ฟง เสยี งดนตรแี ลว ซ่งึ จะใหความรสู ึกทแ่ี ตกตางกันตามความคิดและอารมณข องผฟู ง เอง การบรรยายความรสู้ ึกและแสดงความคิดเหน็ ที่มตี อ่ บทเพลง ได้แก่ คำ� รอ้ งในบทเพลง องคป์ ระกอบในบทเพลง คณุ ภาพเสยี งในบทเพลง 4.1 ค�ำ รอ้ งในบทเพลง เพลงเปนจำ�นวนมากที่มีความเปนอมตะ และมีผูที่นิยมนำ�มารองอยูเร่ือย ๆ แมเ วลาจะผา นไป สว นหนง่ึ เปน เพราะทว งทำ�นองทป่ี ระทบั ใจ แตก จ็ ะมคี ำ�รอ งทเ่ี ปน สว น ชว ยขยายใหท ำ�นองมคี วามนา สนใจหรอื โดดเดน ขน้ึ ได คำ�รอ งทดี่ ยี อ มทำ�ใหเ พลงมคี วาม ประทับใจตอผฟู งตามไปดว ย 4.2 องคป์ ระกอบในบทเพลง 1) ทำ�นองเพลง ทำ�นองเพลงเปนสวนที่ผูฟงสามารถรับรูไดงายที่สุด และ สามารถถายทอดอารมณตาง ๆ สูผูฟงไดเปนอยางดี ดังน้ันควรฝกสังเกตลักษณะ ของเพลงที่กำ�ลังฟง วา มีการถา ยทอดอารมณอยา งไร เชน
หนังสอื เรยี น รายวิชาพื้นฐาน ดนตรี–นาฏศิลป์ ป. 6 13 (1) ความสนกุ สนาน (4) ความออนหวาน (2) ความรา เริงแจมใส (5) ความคึกคะนอง (3) ความโศกเศรา (6) ความทอ แทส้นิ หวัง 2) ลีลาจังหวะของดนตรี ลีลาจังหวะของดนตรีเปนองคประกอบที่สำ�คัญ เชนเดียวกับองคประกอบอ่ืน ๆ ดังนั้นจึงควรฝกสังเกตลักษณะตาง ๆ ของดนตรี ทีฟ่ งดังตอ ไปนี้ (1) ความหนกั –เบาของจังหวะดนตรี (2) การกระสวนจังหวะ (3) ความชา–เร็วของจังหวะดนตรี 3) การประสานเสยี ง ไมว า เสยี งประสานจะเกิดจากเสียงเคร่อื งดนตรีหรอื เสยี ง ขับรองกต็ าม สามารถฟง และสงั เกตลกั ษณะตา ง ๆ วา มีความไพเราะหรอื ไม ดังนี้ (1) ฟงั วา่ เสยี งทบ่ี รรเลงมคี วามกลมกลืนกนั หรือไม่ (2) ฟง ในลกั ษณะภาพรวมของเสียงดนตรีหรือฟง พรอ มกนั หลาย ๆ เสยี ง (3) ฟง แลวมคี วามรูสึกวา เสยี งที่เกดิ ขนึ้ มคี วามกระดาง บาดหหู รือไม 4.3 คณุ ภาพเสียงในบทเพลง คุณภาพเสียง หมายถึง ระดับมาตรฐานของเสียงท่ีเกิดจากแหลงกำ�เนิดเสียงที่ แตกตางกัน เชน เสียงรอ ง วิธกี ารบรรเลง วัสดุทใี่ ชท ำ�เครอ่ื งดนตรี ขนาดและรปู ทรง ของเครื่องดนตรที ต่ี า งกนั เปน ตน ซ่งึ ปจจยั ตาง ๆ เหลานี้สามารถกอใหเ กิดคณุ ภาพ เสยี งในบทเพลงได WEB GUIDE http://sites.google.com/site/tommusicfreeman ฝกึ ฝนดนตรี เลือกฟงเพลงที่ช่ืนชอบหรือสนใจ 1 เพลง แลวแสดงความคิดเห็นและเขียนแสดงความ รูสกึ ท่มี ตี อบทเพลงตามลกั ษณะขององคประกอบดนตรที ี่อยูในบทเพลง
14 หนงั สือเรยี น รายวิชาพ้ืนฐาน ดนตรี–นาฏศลิ ป์ ป. 6 สรปุ องค์ประกอบดนตรี แบ่งเปน็ 1. องค์ประกอบดนตรีไทย ประกอบ 1.1 เสยี ง ไดแ้ ก่ ระดบั เสยี ง ความสน้ั ยาว ความเข้มของเสียงและคณุ ภาพของเสยี ง ดว้ ย 1.2 จงั หวะ ได้แก่ จงั หวะสามญั จงั หวะฉิ่ง และจงั หวะหนา้ ทบั 1.3 ทำ� นอง ได้แก่ ทำ�นองหลกั หรอื ลูกฆ้อง และทำ�นองตกแตง่ หรือแปรทำ�นอง 1.4 พนื้ ผิวดนตรี ได้แก่ พ้นื ผิวแบบทำ�นองเดยี ว และพนื้ ผิวแบบฮเี ตอรโ์ รโฟนี 1.5 เสียงประสาน ได้แก่ การประสานเสยี งระหว่างเครอ่ื งดนตรตี ่างชนดิ กัน การประสานเสยี งในเครือ่ งดนตรี 1.6 สสี ันของเสียง ไดแ้ ก่ ชนิดเดยี ว และการประสานเสยี งโดยทำ�ทาง วธิ ีการบรรเลง วสั ดทุ ่ใี ช้ทำ�เครอื่ งดนตรี ขนาดและรปู ทรง 1.7 รูปแบบหรอื คีตลักษณ์ ไดแ้ ก่ เที่ยวรอ้ งหรอื ทางร้อง เทย่ี วเก็บหรือทางเคร่ือง และลีลาของเพลง 2. องคป์ ระกอบดนตรสี ากล ประกอบ 2.1 เสียง ไดแ้ ก่ ระดับเสียง ความส้ัน–ยาวของเสียง ความเข้มของเสยี งและคุณภาพของเสยี ง ดว้ ย 2.2 จงั หวะดนตรี ไดแ้ ก่ จงั หวะตบ จงั หวะเนน้ หรอื จงั หวะหนกั ความยาวของจงั หวะ จงั หวะขดั รปู แบบของจงั หวะ และจงั หวะของทำ�นอง 2.3 ทำ� นองเพลง หมายถงึ การนำ�เอาตวั โน้ตตา่ ง ๆ มาเรยี บเรียงให้เปน็ ระบบต่อเนอ่ื งกนั มีทงั้ เสียงสงู เสียงต่ำ� เสยี งยาว เสียงสนั้ โดยมจี งั หวะดนตรีเปน็ ตัวควบคุม 2.4 เสยี งประสาน แบ่งเป็น การใชข้ ้ันคเู่ สยี ง และการใชก้ ลุม่ คอร์ด 2.5 พน้ื ผวิ ดนตรี ได้แก่ โมโนโฟนกิ โพลีโฟนิก โฮโมโฟนกิ และฮีเตอร์โรโฟนิก 2.6 สสี ันของเสยี ง ได้แก่ เสียงของมนุษย์ เสยี งของเคร่อื งดนตรี และเสยี งโดยรวมจากการผสมวง 2.7 รูปแบบของเพลงหรอื ตตี ลักษณ์ หมายถงึ ลักษณะการจดั โครงสรา้ งของดนตรีหรือเพลงท่ีมีการแบง่ เปน็ กลมุ่ เสยี ง วลี ประโยค และท่อนเพลง 3. ศพั ทส์ ังคตี ไดแ้ ก่ 3.1 ศัพทส์ งั คีตทางดนตรีไทย เชน่ กรอ เกบ็ สะบัด ขย้ี คลอ 3.2 ศพั ท์สังคตี ทางดนตรสี ากล ได้แก่ ศัพท์ที่ใชแ้ สดงความดัง–เบาของเสียง ศัพทท์ ใ่ี ช้แสดงความเรว็ ชา้ ของจ้งหวะ 4. การบรรยายความรสู้ กึ และแสดงความคิดเหน็ ทม่ี ตี ่อบทเพลง ไดแ้ ก่ 4.1 ค�ำรอ้ งในบทเพลง เพราะ เป็นสว่ นช่วยขยายให้ทำ�นองมีความนา่ สนใจและโดดเด่นขึน้ 4.2 องคป์ ระกอบในบทเพลง ได้แก่ ทำ�นองเพลง ลีลาจงั หวะของดนตรี การประสานเสียง 4.3 คุณภาพเสียงในบทเพลง หมายถึง ระดับมาตรฐานของเสียงทเี่ กดิ จากแหล่งกำ�เนดิ เสยี งท่แี ตกต่างกนั เช่น เสยี งร้อง วธิ ีการบรรเลง
หนงั สือเรยี น รายวชิ าพนื้ ฐาน ดนตรี–นาฏศลิ ป์ ป. 6 15 กิจกรรมเสนอแนะ 1. ศกึ ษาองคป ระกอบและศพั ทท างดนตรไี ทยและสากลเพม่ิ เตมิ แลว ฝก ขบั รอ ง หรือบรรเลงดนตรใี หต รงตามศพั ทท์ างดนตรีใหชำ�นาญและถกู ตอง 2. หาโอกาสนำ�เสนอเพลงทต่ี นชนื่ ชอบ โดยการบรรยายหรอื เลา ใหค นในครอบ- ครวั ฟง 3. ฟงเพลงหลาย ๆ ประเภท แลว ฝก เขียนบรรยายความรูสกึ ท่มี ตี อ เพลงที่ฟง ทง้ั ในดา นท่ีดีและดา นท่ตี อ งแกไ ขปรบั ปรงุ โครงงาน เลือกปฏิบัติโครงงานตอไปน้ีตามความสนใจ หรือคิดโครงงานข้ึนเอง โดยขอ คำ�แนะนำ�จากครู แลวปฏิบัตติ ามข้นั ตอนการทำ�โครงงาน 1. โครงงานศึกษาความหมายและรวบรวมศพั ทท างดนตรไี ทย 2. โครงงานศกึ ษาความหมายและรวบรวมศพั ททางดนตรสี ากล การประยุกต์ใช้ในชีวติ ประจำ�วัน • วเิ คราะหอ งคประกอบดนตรีทถ่ี กู ใชในบทเพลงที่ตนเองสนใจ • อา นศพั ทท างดนตรี เพอื่ ชว ยใหก ารขบั รอ งหรอื บรรเลงดนตรใี นวงเปน ไปดว ย ความเขาใจตรงกนั คำ�ถามทบทวน 1. ถาสมมุติวาในสังคมเราไมมีดนตรีหรือบทเพลง นักเรียนคิดวาคนในสังคม จะเปน อยางไร 2. องคประกอบดนตรมี คี วามสำ�คัญตอการสรา งสรรคผ ลงานดนตรอี ยางไร 3. คณุ ภาพของเสียงดนตรีขน้ึ อยูก บั สิง่ ใด 4. ศัพทท างดนตรมี ีประโยชนต อ นักรอ งและนกั ดนตรีอยา งไร 5. ถา ตอ งการทราบวา เพลงทเ่ี ราฟง อยมู กี ารประสานเสยี งในลกั ษณะใด เราควร สงั เกตจากส่งิ ใด
Search
Read the Text Version
- 1 - 21
Pages: