เทคนคิ การเลยี้ งดูและพัฒนาทกั ษะสาคญั หลกั ปฏิบัติเมอื่ เด็กไมป่ ฏิบตั ติ ามกฎระเบียบ 1. เปิดโอกาสให้เด็กบอกปัญหาที่เกิดข้ึน เช่นเด็กอาละวาด เพราะ “หนูอยากไปเล่นที่สวน สาธารณะแตพ่ ่อแมไ่ มย่ อมให้ถบี จกั รยานไปเพราะกลัวเป็นอนั ตราย” 2. ชวนเดก็ หาแนวทางแก้ปัญหาทเี่ หมาะสมและเป็นไปไดห้ ลายๆ แนวทาง เชน่ เดนิ ไป ขอให้ ใครไปส่ง ว่งิ เล่นหนา้ บา้ น 3. ชวนเดก็ วเิ คราะหข์ อ้ ดขี อ้ เสยี ของแตล่ ะวธิ ี แลว้ ใหเ้ ดก็ ตดั สนิ ใจเลอื ก วยั นอี้ าจตอ้ งอาศยั พอ่ แม่ ช้ีแนะไปเลย ยังอาจสอนเหตุผลไดไ้ ม่เต็มที่นัก 4. ทดลองปฏบิ ตั ิ 5. ตรวจสอบผลการทดลองปฏบิ ตั ิร่วมกบั พอ่ แม่ ถ้าไมไ่ ด้ผลใหช้ ่วยกันคิดหาวิธีอนื่ ๆ อยา่ ลมื ให้ ค�ำชมเม่ือเด็กพยายามแก้ปัญหาไมว่ ่าผลนนั้ จะส�ำเรจ็ หรือไม่ก็ตาม การเลอื กวธิ ีลงโทษท่เี หมาะสม การกำ� หนดบทลงโทษเด็ก 3-6 ปี มหี ลายวธิ ี ในทนี่ ้จี ะยกตัวอย่าง 2 วิธี ไดแ้ ก่ 1. ขอเวลานอก (time out) 2. การใหเ้ หตุผล หรอื การใหเ้ หตุผลหรือการสอนกอ่ นเกดิ เหตกุ ารณ์ การขอเวลานอก (time out) เปน็ วธิ ลี งโทษทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพสำ� หรบั เดก็ วยั เตาะแตะจนถงึ วยั เรยี น เนอื่ งจากชว่ ยกนั เดก็ ออกจาก สถานการณท์ อ่ี าจทำ� ใหเ้ ดก็ ไดร้ บั ความสนใจทางลบทอ่ี าจทำ� ใหไ้ มส่ ามารถปรบั พฤตกิ รรมเดก็ ได้ ระหวา่ ง ทใ่ี ชว้ ิธนี ้ี พอ่ แมไ่ มค่ วรใช้อารมณ์ และควรฝึกหลกั การใชใ้ ห้ถกู ตอ้ งดังต่อไปนี้ • ใชส้ ถานท่ีสงบ เปน็ สว่ นตัว และไม่มีส่ิงของลอ่ ตาลอ่ ใจเด็ก ไมเ่ ปิดทวี ี • ระยะเวลา 1 นาทตี อ่ อายุ 1ปี แต่ไมเ่ กินคร้งั ละ 5 นาที • เตรียมเด็กสัน้ ๆ บอกให้ทราบว่าพฤติกรรมใดที่ต้องมาทำ� โทษวิธนี ี้ เช่น “ไม่ตีคนอนื่ ” • ไม่สอนหรืออบรมเดก็ ระหวา่ งการท�ำโทษ • พอ่ แมเ่ ปน็ คนควบคมุ เวลาในการท�ำโทษ ไม่ไปท�ำกจิ กรรมอ่ืน • หลังครบเวลา ใหช้ ักชวนเด็กทำ� กจิ กรรมถัดไปเลย ไม่ต้องมาอบรมเดก็ อีก การใหเ้ หตุผลหรือการสอนกอ่ นเกดิ เหตุการณ์ ถือเป็นการป้องกันท่ีดี ไม่ควรสอนตอนที่เด็กก�ำลังโกรธ เพราะเด็กจะไม่รับฟัง วิธีน้ีไม่ควรใช้ใน เด็กต�่ำกว่า 3-4 ขวบ 51
สุขภาวะเด็กวยั อนบุ าลยคุ ปัจจบุ ัน ขอ้ แนะนำ� ส�ำหรับพ่อแม่ และคณุ ครู 1. ควรมคี วามรแู้ ละพฒั นาทกั ษะในการปอ้ งกนั โรคอจุ จาระรว่ ง โรคปอดอกั เสบ และการปอ้ งกนั การตดิ เช้อื วณั โรค 2. ควรเลยี้ งดแู ละพฒั นาเดก็ ใหเ้ หมาะสมตามวยั ไมต่ ามใจหรอื ทำ� งานแทนเดก็ มากเกนิ ไป ใหส้ ง่ เสรมิ พัฒนาการ พูดคุยบ่อยๆ เลน่ เล่านิทาน และฝึกให้เด็กทำ� งานบ้านร่วมกนั กับพอ่ แม่ หลีกเล่ียงการ ให้เดก็ ดโู ทรทัศน์หรือใชส้ อ่ื อิเลก็ ทรอนิกส์ ก่อนอายุ 2 ปี 3. เพม่ิ คณุ ภาพการออกกำ� ลงั กายอยา่ งจรงิ จงั และดแู ลใหเ้ ดก็ ไดอ้ าหาร ผกั ผลไม้ พอเพยี ง หลกี เลี่ยงอาหารหวาน ทั้งขนม นมหวาน น�้ำอดั ลม 4. ให้เลิกดดู ขวดนมตัง้ แต่ 1 ปี เพราะเปน็ เหตุส�ำคญั ทท่ี ำ� ใหฟ้ ันผใุ นเด็กวยั อนบุ าล ฝกึ เร่อื งการ แปรงฟนั ทง้ั ทบี่ ้านและโรงเรียน หลงั กนิ อาหารทกุ คร้ัง รวมถึงหลีกเลีย่ งอาหารและขนมหวาน 5. ควรติดต่อสอบถามเรื่องพฤติกรรมและพัฒนาการของเด็ก จากคุณครูหรือพ่ีเล้ียง อย่าง สม่�ำเสมอและแลกเปล่ียนแนวคิดหรือทักษะในการเลี้ยงดูเด็กหรือปรับพฤติกรรมซ่ึงกันและกัน เพราะ การติดตามมสี ่วนสำ� คัญมากตอ่ ทงั้ สุขภาพและพฒั นาการของเด็กเล็ก 6. ควรตดิ ตามและประเมนิ การเจรญิ เตบิ โต พฒั นาการและปญั หาสขุ ภาพเปน็ ระยะ รวมทงั้ ตรวจ คดั กรองตามเกณฑท์ ี่ก�ำหนด เช่น การคัดกรองการมองเหน็ ในเดก็ อายุ 3-5 ปี เดก็ ควรได้รับการตรวจ คัดกรองอย่างน้อย 1 คร้ัง และคัดกรองเพื่อค้นหาเด็กกลุ่มเสี่ยงต่อปัญหาพัฒนาการหรือปัญหาการ เรยี น เป็นตน้ หากสงสัยควรปรึกษาหรือสง่ ตอ่ จะไดใ้ หก้ ารชว่ ยเหลอื ไดต้ ง้ั แตร่ ะยะแรก ผปู้ กครองหรือผู้ ที่สนใจสามารถศกึ ษาขอ้ มูลเพมิ่ เตมิ ไดท้ ่ี กำ� หนดการดแู ลสุขภาพเดก็ ไทย โดยราชวทิ ยาลยั กุมารแพทย์ แหง่ ประเทศไทย ปี พ.ศ. 2560 (เอกสารในภาคผนวก) 52
ปญั หาที่พบบอ่ ย บทที่ 5 ปญั หาทีพ่ บบ่อย และแนวทางแกไ้ ข หลกั การแกไ้ ขปญั หาในเด็กเบื้องตน้ 1. ก�ำหนดปัญหาใหช้ ัดเจน 2. วเิ คราะห์หาสาเหตุ และก�ำจัดหรอื ลดสาเหตกุ ารเกิดปญั หาให้เหลอื นอ้ ยทีส่ ดุ 3. ใช้น้�ำดี ไล่น�้ำเสีย คือสร้างพฤติกรรมดีทดแทนพฤติกรรมไม่ดี และฝึกฝนสม่�ำเสมอ ภายใต้ บรรยากาศทมี่ คี วามสขุ 4. ใช้เทคนิคด้านบวกกบั พฤตกิ รรมทด่ี ี คือ ให้ความสนใจกบั พฤตกิ รรมที่ดี ชื่นชม แบ่งงานและ คอ่ ยๆเพม่ิ งานใหย้ ากข้นึ ตามล�ำดับ และเป็นต้นแบบท่ีดี 5. ใช้เทคนคิ นิง่ ไมใ่ ส่ใจ ควบคุมพฤติกรรมท่รี ุนแรง งดการให้สิ่งทเ่ี ดก็ เรียกรอ้ ง ในกรณที เี่ ด็กทำ� พฤตกิ รรมทไ่ี มเ่ หมาะสม สาเหตุของปัญหาในเดก็ วัยอนุบาล 3- 6 ปี สาเหตุของปญั หาท่พี บบ่อย มกั มาจาก 1. ปจั จยั จากตวั เดก็ เดก็ ในวยั นเ้ี ปน็ วยั ทเี่ รยี นรผู้ า่ นการสงั เกต การลงมอื ทำ� มจี นิ ตนาการสงู เดก็ จะอยากลองท�ำสิ่งตา่ งๆ ดว้ ยตนเอง ในขณะเดียวกันทกั ษะดา้ นตา่ งๆ ยงั อยู่ในชว่ งท่ีก�ำลงั พฒั นา จงึ เป็น ชว่ งทเี่ ดก็ จะเกดิ ความหงดุ หงดิ ขดั ใจในตวั เองไดบ้ อ่ ย เมอื่ ไมไ่ ดใ้ นสง่ิ ทต่ี อ้ งการ และยงั เปน็ วยั ทยี่ งั ควบคมุ อารมณข์ องตนเองไดไ้ มด่ ีนัก 2. ปัจจัยจากผู้เลี้ยงดู ผู้เล้ียงดูบางส่วนขาดความรู้ความเข้าใจเก่ียว กับการดูแลเดก็ ในวยั น้ที ้งั ในดา้ น โภชนาการ การสง่ เสรมิ พัฒนาการการเรียน รู้ และการจดั การเรอื่ งอารมณ์ ท�ำใหเ้ กิดการตอบสนองอย่างไม่เหมาะสมของ ผเู้ ลยี้ งดู เชน่ รกั และตามใจมากเกนิ ไปจนเดก็ เอาแตใ่ จ ควบคมุ อารมณไ์ ดน้ อ้ ย ปกปอ้ งหรอื วติ กกงั วลมากเกนิ ไปจนเดก็ ขาดโอกาสฝกึ ฝน จะทำ� ใหป้ ญั หาตา่ งๆ จดั การไดย้ ากข้ึน 53
ปญั หาที่พบบอ่ ย ปญั หาทพ่ี บบ่อย รับประทานอาหารไมเ่ หมาะสม • อาหารทเ่ี หมาะสมสำ� หรับเด็กวยั อนบุ าล ควรกนิ อาหารม้อื หลัก 3 มอ้ื ไดร้ บั ข้าว หรืออาหารประเภทแป้ง วันละ 4 – 5 ทัพพี กบั ขา้ วแตล่ ะ มื้อควรมเี นอื้ สัตว์ ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ไขว่ ันละ 1 ฟอง ผักประมาณ 2 ทพั พี นำ้� มนั พชื เชน่ น�ำ้ มนั ถั่ว เหลอื ง ปรมิ าณเล็กนอ้ ย ใหผ้ ลไม้เปน็ อาหารวา่ ง 1 มือ้ และใหน้ มววั ครบส่วนเป็นประจ�ำทุกวนั วันละ ประมาณ 2 - 3 แก้ว แกว้ ละประมาณ 7 – 8 ออนซ์ โดยอาหารม้ือหลักทง้ั 3 มื้อน้ี มือ้ เชา้ จดั เปน็ มื้อที่ ส�ำคัญทีส่ ดุ สมองตอ้ งการพลงั งานจากอาหารจึงจะทำ� งานได้ตามปกติ ถา้ อดอาหารจะไม่มสี มาธิ ความ ตงั้ ใจลดลง สบั สน หงุดหงดิ เพลีย ง่วงนอน จะกระทบต่อผลการเรยี นในระยะยาว อาหารวา่ งส�ำหรบั เดก็ วัยนก้ี ็เปน็ สง่ิ ส�ำคัญ เพราะเด็กก�ำลังเจรญิ เติบโตแต่ความจกุ ระเพาะยงั น้อย ดงั นัน้ จึงตอ้ งกนิ เพิ่มเติม ระหว่างม้ือ เพอื่ ให้ไดร้ ับพลงั งาน และสารอาหารให้เพยี งพอ ถึงแมเ้ ด็กจะได้รบั เนอ้ื สัตว์ และ ไข่ ซงึ่ เปน็ แหลง่ อาหารโปรตนี ทดี่ แี ตก่ ย็ งั จำ� เปน็ ตอ้ งใหน้ มววั ครบสว่ นแกเ่ ดก็ เปน็ ประจำ� ทกุ วนั เพราะนมเปน็ แหลง่ อาหารทดี่ ที ส่ี ดุ ของแคลเซยี ม ซง่ึ เปน็ แรธ่ าตทุ มี่ คี วามสำ� คญั และจำ� เปน็ ตอ่ การเจรญิ เตบิ โต และเสรมิ สรา้ ง ความแขง็ แกรง่ ของกระดกู และฟนั นอกจากนแ้ี คลเซยี มยงั มคี วามสำ� คญั ตอ่ การทำ� งานของระบบประสาท อกี ดว้ ย • อาหารทไี่ ม่เหมาะสมกับเด็กวยั 3-6 ปี นมเปรย้ี วพร้อมด่ืม ใชแ้ ทนนมสดไมไ่ ด้ เด็กไม่ควรดืม่ มากกวา่ 1 กลอ่ ง หรอื 1 ขวดเลก็ ต่อวัน เพราะผลติ จากนมพร่องมัน เนย นมธรรมดา หรอื นมสดทม่ี คี ุณค่าน้อย แต่มนี �้ำตาลสูง ซึ่งไมเ่ หมาะกับเดก็ วัยน้ี นมถัว่ เหลือง แมจ้ ะมปี รมิ าณโปรตนี สงู ใกลเ้ คยี งนมววั แตม่ วี ติ ามนิ และแรธ่ าตตุ ำ�่ มาก โดยเฉพาะแคลเซยี ม ถา้ ตอ้ งการ ดมื่ นมถว่ั เหลอื งเพอ่ื ตอ้ งการแคลเซยี มจะตอ้ งดม่ื นมถวั่ เหลอื งถงึ 3 –5 กลอ่ ง จงึ จะเทา่ การดมื่ นมววั เพยี ง กล่องเดยี ว ลูกกวาด ขนมหวาน น�ำ้ หวาน น�้ำอดั ลม ช็อกโกแลต อาหารจานดว่ น ไมค่ วรใหเ้ ดก็ กนิ เปน็ ประจำ� เพราะจะทำ� ใหก้ นิ อาหารมอ้ื หลกั นอ้ ย ซบู ผอมและขาดสารอาหาร หรอื กลายเป็นโรคอว้ นเน่ืองจากผลติ ภณั ฑ์เหล่านปี้ ระกอบด้วยแปง้ และน้�ำตาลสูง แตข่ าดสารอาหารและแร่ ธาตุอน่ื ๆ ซง่ึ จำ� เปน็ ต่อการเจริญเติบโตของเดก็ นำ�้ ตาลในขนม จะทำ� ให้เดก็ ไมห่ วิ เม่อื ถึงเวลาอาหาร และ 54
ปัญหาทพี่ บบอ่ ย ท�ำให้ฟันผุ ขนมขบเคยี้ ว (ขนมถงุ ) ประกอบด้วยแปง้ ไขมนั เกลือ บางชนิดจะมผี งชูรสด้วย จึงไมเ่ หมาะ กบั เดก็ สว่ นบะหมส่ี ำ� เรจ็ รปู นน้ั หา้ มเดก็ กนิ แหง้ ๆ เปน็ ของวา่ ง เพราะจะเขา้ ไปพองอดื ในกระเพาะอาหาร และดดู น้�ำทำ� ให้ร่างกายเสยี นำ้� ซปุ ไกส่ กดั เป็นผลติ ภัณฑท์ ี่ไมม่ ีความจำ� เปน็ ตอ่ รา่ งกาย เปรยี บเทียบงา่ ยๆ การด่มื ซุปไกส่ กดั 5 ขวด จะได้ โปรตนี เท่ากบั ไก่ย่าง 1 น่อง หรอื ถา้ ดื่ม 290,000 ขวด จะไดแ้ คลเซียมเทา่ กบั นม 1แกว้ หรอื ดมื่ 3 ขวด จะไดโ้ ปรตนี เท่ากบั ไข่ไก่ 1 ฟอง น�้ำมันปลาทะเล ไมม่ หี ลกั ฐานใดทแ่ี สดงวา่ การบรโิ ภคนำ�้ มนั ปลาทะเล ทำ� ใหเ้ ดก็ ฉลาดมากขนึ้ และทำ� ใหผ้ สู้ งู อายมุ ี ความจำ� ดขี นึ้ นำ้� มนั ปลาทะเลไมส่ ามารถรกั ษาความผดิ ปกตขิ องสมองใดๆ ทงั้ สน้ิ ทงั้ ในเดก็ ผใู้ หญ่ และผู้ สงู อายุ ไมค่ วรชอ้ื นำ้� มนั ปลาทะเลรบั ประทานเอง โดยเฉพาะนำ้� มนั ตบั ปลาทะเล มอี นั ตรายมาก เนอ่ื งจาก มวี ติ ามนิ เอ และดี ถา้ บรโิ ภคมากๆ อาจเกดิ เปน็ พษิ จากวติ ามนิ เอ หรอื วติ ามนิ ดี เกนิ ได้ เพอ่ื ความปลอดภยั ควรบริโภคปลาทะเลแทนน�้ำมนั ปลาทะเล • การประเมนิ ภาวะการเจรญิ เตบิ โต สมดุ ฉดี วคั ซนี ประจำ� ตวั เดก็ แตล่ ะคน ซง่ึ จะมตี ารางแสดง คา่ ปกตขิ องนำ้� หนกั และสว่ นสงู ตามเกณฑอ์ ายโุ ดยใชเ้ กณฑอ์ า้ งองิ นำ้� หนกั สว่ นสงู เดก็ ไทยของกรมอนามยั กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ 2558 (ภาคผนวก) • การเพม่ิ พลงั งาน ในกรณที ี่เห็นวา่ เด็กตัวเลก็ เตีย้ นำ้� หนกั น้อย ควรเน้นการได้รับอาหารที่ ให้พลงั งานเพิม่ ขนึ้ เพิ่มการออกกำ� ลงั กายอย่างชดั เจน เน้นอาหารทใี่ ห้แคลเซียมสูง เพ่มิ คณุ ภาพโปรตนี โดยใหโ้ ปรตีนจากสตั ว์เพิ่มข้นึ และติดตามการเจริญเติบโตอย่างใกลช้ ิด ในกรณที อ่ี ว้ น ให้ปรบั ลกั ษณะ อาหาร 5 หมใู่ ห้สมดลุ 55
ปัญหาทพี่ บบอ่ ย พดู ช้าและปัญหาการสอื่ สาร ปัญหาเด็กพูดช้าเป็นปัญหาพัฒนาการที่พบบ่อย ซ่ึงพ่อแม่ควรติดตามและควรประเมิน ถ้าหาก ลกู มพี ฒั นาการทางดา้ นภาษาลา่ ชา้ ไมเ่ ปน็ ไปตามวยั ควรรบี ปรกึ ษาแพทยผ์ ดู้ แู ล เดก็ ในวยั อนบุ าลทถ่ี อื วา่ มพี ฒั นาการทางภาษาลา่ ชา้ คอื อายุ 3 ปี ยงั ไมส่ ามารถพดู ส่ือสารได้เปน็ ประโยค หรอื อายุ 4 ปียังไม่ สามารถพดู เลา่ เรื่องราวต่างๆ ต่อเน่อื งกนั ได้ สาเหตุของพฒั นาการทางภาษาลา่ ช้า 1. การได้ยินผดิ ปกติ เดก็ มกั ไม่ตอบสนองต่อเสียงดงั หรอื ชอบใชท้ า่ ทาง บอกความต้องการ 2. สติปัญญาบกพร่อง เด็กวัยอนุบาลท่ีมีสติปัญญาบกพร่องจะมีปัญหาการพูดล่าช้า ร่วมกับ พัฒนาการในดา้ นอืน่ ๆ เช่น กลา้ มเนอ้ื มดั เล็กลา่ ชา้ 3. กลมุ่ อาการออทซิ มึ (Autism Spectrum disorder) เดก็ จะพดู สอ่ื สารไดน้ อ้ ยกวา่ วยั เชน่ เรยี ง ประโยคไม่ถกู ต้อง ไมค่ อ่ ยตอบค�ำถาม มภี าษาตวั เอง หรือมีถ้อยค�ำตดิ ปากซำ�้ ๆ นอกจากนี้จะมีปญั หาใน ดา้ นปฏสิ ัมพันธ์ เช่น ไม่คอ่ ยมองหน้าสบตา ไมส่ ามารถเลน่ โต้ตอบไดต้ อ่ เนอ่ื ง เลน่ สมมตไิ มเ่ ป็น และอาจ มีพฤตกิ รรมบางอยา่ งผิดปกติ เช่น พฤตกิ รรมซ้�ำๆ มีความสนใจท่ีจ�ำกดั 4. พฒั นาการทางดา้ นภาษาผดิ ปกติ (Developmental Language Disorder, DLD) เด็กจะมี พัฒนาการด้านอ่นื ๆ ปกติ มีความล่าช้าเฉพาะด้านภาษา 5. การเลยี้ งดูท่ีไมเ่ หมาะสม เชน่ เดก็ ถูกละทิ้ง เดก็ ทใี่ ช้สื่อผ่านจอมากเกินไป เช่น ดูทีวหี รอื เล่น เกมในสอ่ื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ตลอดวัน เด็กท่ีพูดช้าและมีปัญหาการส่ือสารควรได้รับการประเมินเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุ ซึ่งในระหว่างท่ี รอรบั การประเมินผ้ปู กครองสามารถใหค้ วามชว่ ยเหลือเบอ้ื งตน้ แกเ่ ด็กได้โดย • พดู คุยและเลน่ กับเด็กบอ่ ยๆ ในชวี ติ ประจำ� วัน • อา่ นหนังสอื นทิ านใหล้ ูกฟังอย่างสม่�ำเสมอ • ลดการใชส้ อื่ ผา่ นจอ จำ� กดั เวลาไมเ่ กนิ 1-2 ชวั่ โมงตอ่ วนั และเลอื กรายการทเี่ หมาะสมกบั เดก็ 56
ปัญหาท่พี บบ่อย พฤติกรรมกา้ วร้าว ความกา้ วรา้ วในเด็กเกิดมาจากภาวะหรือเหตุการณ์ท่เี ด็กรู้สึกตึงเครียด ส่วนหน่งึ มสี าเหตมุ าจาก สงิ่ แวดลอ้ มรอบตวั เดก็ เชน่ ทศั นคตใิ นการเลยี้ งดู ปญั หาความตงึ เครยี ดในครอบครวั ปญั หาความสมั พนั ธ์ กับพ่อแม่ พน่ี ้อง เพ่อื นหรอื คุณครู ปญั หาในการเรียน อกี สว่ นคอื มาจากตวั เดก็ เอง เชน่ ความเจบ็ ปว่ ย พนื้ อารมณข์ องเดก็ ทแี่ ตกตา่ งกนั หรอื ตวั เดก็ อาจ มโี รคประจ�ำตัวที่มผี ลตอ่ อารมณ์ ไดแ้ ก่ โรคลมชัก ไขส้ มองอกั เสบ สมาธสิ ้นั พัฒนาการล่าชา้ ความกา้ วรา้ วในเดก็ มที ง้ั ความกา้ วรา้ วปกตติ ามพฒั นาการในแตล่ ะชว่ งวยั และความกา้ วรา้ วทผี่ ดิ ปกตจิ �ำเป็นตอ้ งแก้ไข ความกา้ วร้าวปกติ ท่เี กิดข้ึนในระหว่างพัฒนาการ มักเกดิ ในชว่ งวยั 1-2 ปีหรอื วัยอนุบาล จะ พบไดเ้ มอ่ื • เมื่อความเปน็ ตวั ของตวั เองถูกขดั ขวาง • เมื่อตอ้ งทำ� ตามทีพ่ ่อแม่หรือสังคมตอ้ งการ • ถูกบงั คับให้ท�ำตามกิจวตั รประจำ� วัน กลไกของการเกิดความก้าวร้าว เมื่อมีตัวกระตุ้นท�ำให้โกรธหรือขุ่นมัวแล้วไม่สามารถจัดการผลกระทบท่ีเกิดจากความโกรธได้ ความโกรธนั้นจะสะสม กลายมาเป็นความเคยตัวและเคยใจ เมื่อถูกกระตุ้นอีกจะท�ำให้เกิดพฤติกรรม กา้ วร้าว รุนแรง เมื่อพบเหน็ ว่าเด็กมีพฤตกิ รรมกา้ วรา้ วจึงควรฝึกเด็กให้จัดการความโกรธไดอ้ ยา่ งเหมาะ สม การจดั การกับความโกรธในเดก็ 1. ฝึกให้อดทนตอ่ ความเครียดและความคบั ข้องใจเลก็ ๆ นอ้ ยๆ หดั ใหร้ ู้จักการรอคอย ไม่ตอบสนองความต้องการไปเสยี ทกุ อยา่ ง โดยอาจเลือกใชว้ ธิ ตี อ่ ไปน้ี • ให้เหตุผล • เบ่ียงเบนความสนใจ • เพิกเฉยเสียบ้าง • ใหร้ างวลั หรือลงโทษ • ฝกึ ใหแ้ สดงความเหน็ ความรูส้ กึ อย่างเหมาะสม • ฝึกใหเ้ ดก็ รับรวู้ า่ ตนเองมีความโกรธ • ฝกึ ให้รผู้ ลของความโกรธต่อตนเอง ตอ่ ผ้อู นื่ 57
ปญั หาทพี่ บบอ่ ย 2. พอ่ แมค่ วรเปน็ แบบอยา่ งทดี่ ใี นการจดั การความโกรธอยา่ งเหมาะสม ฝกึ ฝนเดก็ อยา่ งสมำ�่ เสมอ เพอ่ื ให้เด็กสะสมเปน็ ประสบการณ์ ความทรงจำ� และมที กั ษะการจดั การความโกรธ จนในทส่ี ุดวิธีการท่ี ตนเองทำ� ได้นน้ั จะกลายมาเปน็ ความภมู ใิ จ และเห็นคุณคา่ แหง่ ตน 3. ควรจดั ใหม้ กี จิ กรรมอน่ื ทเี่ ปน็ ประโยชนต์ อ่ การพฒั นาเดก็ ใหเ้ ดก็ รทู้ กั ษะในการอยรู่ ว่ มกบั ผอู้ น่ื และรูห้ นทางผอ่ นคลายวิธตี ่างๆ เช่น การเล่นกบั กลุ่มเพือ่ น กฬี า งานอดิเรก กจิ กรรมในครอบครัวหรือ การอ่านหนังสือ ขณะทเ่ี ดก็ กำ� ลังโกรธ 1. ใหล้ ดแรงกดดนั จากภายนอกลง และแรงกดดนั ภายในตนจะลดลงตามมา 2. ถ้าไม่มีพฤติกรรมท�ำร้ายหรือท�ำลาย ให้ใช้วิธีสงบน่ิง หรือเบี่ยงเบนความสนใจและอยู่เป็น เพ่ือนอารมณ์ เมื่อเด็กสงบเขาจะผ่อนคลายและมีสมาธิในการรับฟังค�ำอธิบาย เข้าใจ และสะสมเป็น ประสบการณต์ ่อไป 3. ถ้ามพี ฤติกรรมทำ� รา้ ย ทำ� ลาย ควรควบคมุ ดว้ ยทา่ ทที ่เี ป็นกลาง ไม่คุกคาม เปน็ มติ ร เด็กจะ ค่อยๆสงบลง จนมสี มาธใิ นการรับฟงั ค�ำอธบิ าย 58
ปญั หาทพ่ี บบ่อย ปรับตวั ยาก เขา้ กับเพอ่ื นยาก วัย 3-6 ปี เปน็ วยั เริ่มต้นทเี่ ด็กจะพฒั นาก้าวจากครอบครัวไปสสู่ ังคมโรงเรยี น การปรับตวั จึงเปน็ ทกั ษะทม่ี คี วามสำ� คญั มากตอ่ พฒั นาการของเดก็ วยั นี้ เปน็ พนื้ ฐานของการสรา้ งสมั พนั ธภาพของบคุ คลใน อนาคต เดก็ ทเี่ ขา้ กบั เพอื่ นไมไ่ ดแ้ ละไมไ่ ดร้ บั การยอมรบั จะทำ� ใหเ้ กดิ ปญั หาตามมา เชน่ ปญั หาทางอารมณ์ ปญั หาบุคลิกภาพ เป็นตน้ แบ่งเดก็ เปน็ กลุ่มตามลกั ษณะความสัมพนั ธก์ บั เพ่อื น ดังน้ี 1. เป็นทีช่ ืน่ ชอบ (popular) จะมีลกั ษณะเปน็ มิตร ชอบสังคม ร่วมมอื แสดงความเมตตากรณุ า ต่อเพอ่ื น เล่นกฬี าเก่ง แทบไมก่ า้ วร้าวเลย เพ่อื นชอบเกือบทุกคน พบประมาณ 12% 2. เพอื่ นไม่ชอบ (rejected) จะมลี ักษณะกา้ วร้าว และกอ่ กวน พูดมาก ไมค่ อ่ ยเข้ากลมุ่ เพื่อนไม่ ชอบเกอื บทุกคน หาคนชอบยาก พบประมาณ 12% 3. เพอื่ นไมส่ นใจ (neglected) มลี กั ษณะขอี้ าย แยกตวั เงยี บ โดยเฉพาะเมอื่ เจอเพอ่ื นใหม่ เพอื่ น ไม่บอกว่าชอบหรือไมช่ อบ พบประมาณ 8% 4. ไมแ่ นน่ อน (controversial) มลี ักษณะทั้งเป็นมติ ร ชอบสงั คม สลบั กับก้าวร้าว เพ่ือนบอกทง้ั ชอบและไม่ชอบ พบประมาณ 6% 5. ปานกลาง (average) คือ กลุม่ ทไ่ี มต่ กในขอ้ ใดขอ้ หนงึ่ ข้างบนและมที ัง้ คนชอบและไมช่ อบใน คะแนนกลาง ๆ เดก็ ที่เพือ่ นๆชอบมักเปน็ เด็กที่มองโลกในแงด่ ี รา่ เรงิ สบายๆ อย่ใู นกติกา ไม่เรื่องมาก แกป้ ญั หา และปรับตัวได้ดี เวลามเี ร่อื งรา้ ยๆก็มักมองปัญหาในแง่ดกี วา่ เดก็ ทเ่ี พอื่ นไมช่ อบ 59
ปัญหาท่พี บบอ่ ย สาเหตทุ ่ที ำ� ให้เดก็ ปรบั ตัวยาก 1. พ้นื ฐานการเลีย้ งดทู ส่ี ง่ ผลท�ำให้ปรับตัวไม่เก่ง กา้ วร้าว เอาแต่ใจตวั เองหรอื คดิ มาก ไม่รา่ เรงิ เชน่ การเลย้ี งดทู รี่ กั และตามใจมากเกนิ ไป การเลย้ี งดูทกี่ ดดนั บบี บงั คบั ดวุ ่าเด็กรนุ แรงหรือไม่เมตตา ไม่ ใหค้ วามรกั หรอื ไมฝ่ กึ ฝนใหเ้ ดก็ ชว่ ยเหลอื ตวั เองหรอื ชว่ ยเหลอื ผอู้ นื่ หรอื การเลย้ี งดทู ส่ี ง่ เสรมิ ความกา้ วรา้ ว เปน็ ตน้ 2. ขาดทักษะท่ีส�ำคัญ เช่น ทักษะในการเล่น การส่ือความหมายและภาษาพูด ทักษะในการ ควบคมุ อารมณ์ ทกั ษะในการคาดการณแ์ ละแกป้ ญั หา ทกั ษะในการเรียนหนังสือ เปน็ ต้น 3. สภาพแวดลอ้ มไมเ่ ออื้ อำ� นวย เชน่ ฐานะยากจน สภาพแวดลอ้ มมคี วามรนุ แรงกา้ วรา้ ว เปน็ ตน้ 4. มีความบกพร่องในพื้นฐานทางชีวภาพ พบว่าเด็กท่ีมีการท�ำงานของระบบประสาทบกพร่อง เชน่ พัฒนาการล่าช้า โรคลมชัก โรคทางสมองอื่นๆ หรอื โรคทางจิตเวช มกั จะมคี วามยบั ยั้งตนเองไดน้ อ้ ย ซุ่มซ่าม ทำ� งานไม่เรยี บร้อย ซง่ึ ถ้าไมไ่ ดร้ ับการฝึกฝนแตก่ ลบั ถกู ต�ำหนซิ �ำ้ จะสง่ ผลท�ำให้กลายเป็นความ ก้าวร้าวได้ การให้ความชว่ ยเหลือ 1. หาสาเหตุและแกไ้ ขทีส่ าเหตุ เชน่ ลดการตามใจ ฝกึ ฝนให้อดทนอดกล้ัน ฝืนใจท�ำในสิ่งท่คี วร ท�ำ มากกวา่ ทำ� ในสิ่งที่อยากท�ำแต่ไม่เหมาะสม เปน็ ตน้ 2. เพม่ิ ทกั ษะทมี่ คี วามจำ� เปน็ พนื้ ฐานในการเขา้ กบั เพอื่ น เชน่ การรอคอย การอยใู่ นกตกิ า ความ สามารถในการเลน่ เปน็ ตน้ โดยการฝึกสอนและใหโ้ อกาสซกั ซ้อม เพิม่ พนู ทกั ษะเฉพาะตัว 3. ฝกึ ใหท้ ำ� กจิ กรรมรว่ มกบั เดก็ อนื่ จากงานทงี่ า่ ยๆไปสงู่ านทย่ี งุ่ ยาก ซบั ซอ้ นขนึ้ โดยใหเ้ ดก็ มสี ว่ นรว่ ม ในการเล่น ให้เดก็ รจู้ กั ร่วมมอื กัน ฝกึ การสื่อสารโดยการฟังและพดู ให้ก�ำลงั ใจโดยการมองย้ิมและใหค้ ำ� ชม 60
ปญั หาที่พบบอ่ ย เด็กที่ถกู เร่งรดั ความสามารถของเดก็ เปน็ หนา้ เป็นตาให้พอ่ แม่ การสง่ เสรมิ เร่งรดั เดก็ จนเดก็ มีความสามารถมาก ขน้ึ ถอื เปน็ ความภาคภมู ใิ จ ทพี่ อ่ แมค่ อยไดค้ ยุ กบั ผอู้ น่ื อยา่ งสงา่ ผา่ เผยวา่ ลกู ของฉนั ทำ� ได้ หรอื เพยี งแคส่ ง่ เขา้ โรงเรยี นทมี่ ชี อื่ เสยี ง คา่ เลา่ เรยี นแพง หรอื เขา้ โรงเรยี นนานาชาติ หรอื สองภาษาทห่ี รู แคน่ พ้ี อ่ แมก่ ร็ สู้ กึ ดีว่าใครจะมาดูถกู ฉนั ไมไ่ ดอ้ ีกแล้ว พ่อแม่หลายคู่เล้ียงลูกเพ่ือชดเชยความล้มเหลวของตนเอง เช่น แม่เรียนไม่เก่งมักจะเร่งรัดด้าน การเรียนของลูก หรอื พ่อไม่มีโอกาสเรียนดนตรตี อนเดก็ เน่อื งจากยากจน จงึ บบี บังคบั ให้ลกู เรียนดนตรี ตามความใฝ่ฝนั ของตนเอง เปน็ ตน้ อาการแสดงของเด็กที่ถกู เรง่ รดั อาการจะแสดงออกแตกต่างไปตามวัย 1. สภาพรา่ งกาย ตวั เล็ก ไมไ่ ดอ้ อกกำ� ลงั กายมากเพยี งพอ บน่ เหน่อื ย หมดแรง บน่ ปวดหัว ปวด ท้องโดยไมม่ สี าเหตุซง่ึ อาการเหลา่ นีเ้ กิดจากความเครียด 2. พฤติกรรมทั่วไป เฉ่ือย เคร่งครัดกับตัวเองและคนอื่น แสดงพฤติกรรมเกินวัยท้ังค�ำพูดและ ท่าที มีปญั หาการนอน ในวยั รุน่ จะพบพฤตกิ รรมต่อตา้ น ไมย่ อมเรยี น ก้าวร้าว ตอ่ ต้านสงั คม 3. อารมณ์ ไมแ่ จม่ ใสหรอื สนกุ สนานตอ่ การเรยี นรู้ แตเ่ นน้ ทเี่ นอื้ หาและความถกู ตอ้ งแมแ้ ตก่ ารเรยี น ในวิชาพละ ดนตรี ก็ตาม มักวิตกกังวลกลัววา่ จะทำ� ไมไ่ ดต้ ามท่ีพ่อแมค่ าดหวงั อารมณ์ซมึ เศรา้ รอ้ งไหง้ ่าย 4. การเรยี น อยใู่ นเกณฑ์ต้งั แต่เรยี นดไี ปจนถงึ เรยี นไมร่ เู้ ร่ือง เนอื่ งจากการเร่งรัดเนื้อหาวชิ าการ ไมม่ ีสมาธิ ขาดความสนใจในเน้ือหาการเรียน ความจำ� ไมด่ ี อาจถกู วนิ ิจฉยั วา่ เปน็ โรคสมาธิสน้ั หรือภาวะ บกพรอ่ งทางการเรียนรู้ (learning disabilities) เดก็ กม็ คี วามเหนอ่ื ยจากกจิ กรรมตา่ งๆ เหมอื นความเหนอ่ื ยจากการทำ� งานในผใู้ หญ่ การจดั ตาราง เวลาสำ� หรบั การเรยี นรทู้ มี่ ากเกนิ ไปประกอบกบั การเดนิ ทางทเ่ี พม่ิ ขนึ้ กวา่ เดก็ อน่ื จะทำ� ใหเ้ ดก็ มปี ญั หาได้ เด็กทุกคนต้องการเวลาส�ำหรับพักผ่อน เวลาท่ีเป็นอิสระจากค�ำสั่ง เพื่อให้สมองได้พักและย่อย ข้อมูล หลายครั้งท่ีพบว่า การฝึกฝนเด็กให้เป็นไปตามท่ีพ่อแม่ต้องการอาจเกิดปัญหามากกว่าการส่ง เสรมิ ใหเ้ ด็กได้พัฒนาไปตามศกั ยภาพและความถนัด ควรจะคงสภาพให้เดก็ ได้แสดงความเป็นเด็ก และ สงิ่ สำ� คญั ทส่ี ดุ คอื สมั พนั ธภาพทดี่ รี ะหวา่ งเดก็ กบั พอ่ แมท่ ต่ี อ้ งรกั ษาไวใ้ หไ้ ด้ ถงึ แมว้ า่ เดก็ ยงั ไมส่ ามารถหรอื ท�ำผลสอบในระดับท่พี ่อแมต่ อ้ งการ 61
ปัญหาท่พี บบ่อย เดก็ กลุ่มเสีย่ งตอ่ ปญั หาการเรียน ประเทศไทยก�ำลังประสบกับปัญหาในการพัฒนาเด็กของชาติ พบปัญหาการเรียนในเด็กสูงมาก โดยดจู ากผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น ขณะทดี่ า้ นการแพทยม์ รี ายงานในเดก็ วยั เรยี นทพี่ บโรคทางกายและโรค ทางพฒั นาการทเ่ี ปน็ สาเหตทุ ำ� ใหก้ ารเรยี นบกพรอ่ งอยเู่ ปน็ จำ� นวนมาก เชน่ คอพอกจากขาดสารไอโอดนี รอ้ ยละ 7 โลหิตจาง ร้อยละ 20.5 สายตาผิดปกติ รอ้ ยละ 6-8 ภาวะสตปิ ญั ญาบกพร่อง ร้อยละ 4.1 โดย ในบางพื้นทพ่ี บภาวะสตปิ ัญญาบกพรอ่ งสูงถึงรอ้ ยละ 43.3 โรคสมาธิสั้น รอ้ ยละ 2.4-8 ภาวะบกพร่อง ในทกั ษะการเรยี นรู้ (Specific learning disordesr: SLD) รอ้ ยละ 6-10 ซ่ึงส่งผลใหม้ ปี ัญหาการเรยี น โดยตรง ลกั ษณะครอบครวั ของเด็กท่ีมคี วามเสย่ี งตอ่ ปัญหาการเรยี น มีปัญหาการเรยี นในครอบครัวหรือญาติ มีปญั หาการเรียนในวัยเด็ก เช่น สอบไมผ่ ่าน ตอ้ งซำ้� ชนั้ เรยี นไม่จบ เปน็ โรคทางพฒั นาการหรือจติ เวช เช่นสมาธสิ ้นั ครอบครวั ทผี่ ปู้ กครองไมม่ เี วลาหรอื ไมม่ ที กั ษะในการฝกึ ฝนทกั ษะสำ� คญั สำ� หรบั การเรยี นของเดก็ เชน่ ฝึกการทำ� งานของตา–ห-ู มือ ผ่านการเลน่ ขาดการพดู คุย อา่ นหนงั สือ หรอื ทำ� กจิ กรรมร่วมกับเดก็ ขาดการฝึกวินัย ขาดการสรา้ งแรงจงู ใจ ขาดทักษะการรับฟงั ความคดิ เห็นของเด็ก 62
ปัญหาท่ีพบบอ่ ย ลกั ษณะเด็กที่มีความเสีย่ งตอ่ ปญั หาการเรียน ปญั หาการเรียน อาจสงั เกตเห็นไดใ้ นระดับอนุบาล โดยดูจากรายละเอยี ดตอ่ ไปนี้ 1. พูดช้า ทำ� ตามค�ำสงั่ ไดไ้ มด่ ี ความเข้าใจภาษาต่ำ� รบั ร้ยู าก พูดน้อย 2. อยู่ไม่นงิ่ ความสนใจสน้ั สมาธิไมด่ ี 3. ใชม้ อื ไม่คลอ่ ง งุ่มง่าม 4. เล่นไมเ่ ก่ง หรือมีปัญหาในการอยู่ร่วมกับผู้อน่ื 5. จดจ�ำพยัญชนะหรอื ตวั เลขได้ล�ำบาก ไม่เขา้ ใจในจ�ำนวนและทิศทาง 6. ระบบประสาทท�ำงานไม่สัมพันธ์( มอื - ตา– ห–ู แขนขา) จับข้อมลู จากการฟังและเหน็ ภาพไม่ ได้หรอื ทำ� ได้ไมด่ ี แนวทางชว่ ยเหลอื 1. คัดกรองเดก็ กลุม่ เสยี่ ง และประเมนิ สาเหตุ 2. วางแผนให้ความชว่ ยเหลือในด้านต่างๆ ที่มปี ัญหา โดยทมี สหวชิ าชีพร่วมกับพอ่ แม่ 3. การใหค้ วามช่วยเหลือโดยสหวชิ าชพี ทีม(นกั ฝกึ พูด นกั กิจกรรมบำ� บัด ครูพละ ครูดนตรี ครู ศิลปะ) ซึง่ ควรทำ� เบ็ดเสรจ็ ภายในโรงเรยี น 4. ดำ� เนินการและติดตามประเมนิ ผลเปน็ ระยะ 63
ปญั หาที่พบบอ่ ย เดก็ วยั อนบุ าลกับสอื่ จอภาพ ปัจจบุ นั มสี ่อื จอภาพมากมายหลากหลายรูปแบบทใ่ี ชก้ นั อย่างแพรห่ ลาย เชน่ โทรทัศน์ วีดที ศั น์ คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน (smart phone) หรือแท็บเลต็ (tablet) เข้าถงึ สื่อเหล่าน้ีได้ง่าย โดยเฉพาะ สมาร์ทโฟนซึ่งมีขนาดเล็ก พกพาไปได้ทุกที่ ใช้งานง่ายได้ทุกเวลา เพียงแค่ใช้น้ิวสัมผัส เด็กจึงสามารถ ทดลองท�ำเอง หรอื อาจเลียนแบบพ่อแม่เพียง 1-2 ครั้ง ก็ใชง้ านเองได้ มีโปรแกรมประยุกต์จ�ำนวนน้อยมากที่จัดเป็นโปรแกรมการศึกษาส�ำหรับเด็กอย่างแท้จริง ท้ังน้ี เนื่องจากเกมส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กไม่ชัดเจน งานวิจัยพบว่าส่ือเหล่านี้ ไมช่ ่วยส่งเสรมิ พัฒนาการของเด็กอายนุ ้อยกว่า 2 ปี แต่ก็เอ้ือประโยชน์ตอ่ การเรียนรู้ของเด็ก เช่น รูจ้ กั เสยี งของตวั อกั ษร คำ� คลอ้ งจอง และรจู้ กั คำ� ศพั ทเ์ พม่ิ ขน้ึ ใน หากเลน่ เกมผา่ นโปรแกรมชนดิ เกมการศกึ ษา (educational game application) เชน่ เกมทเ่ี นน้ เรอื่ งความเขา้ ใจคำ� ศพั ท์ ตวั อกั ษรหรอื ตวั เลข จำ� นวน และการเปรียบเทียบ หรือหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) ที่มีระดับความยากง่ายเหมาะสมกับวัย ร่วมกบั มีพ่อแมร่ ่วมดูเนื้อหาในสือ่ ที่เด็กดู หรือรว่ มเลน่ เกมกับเดก็ เพ่อื อธบิ ายส่งิ ที่เด็กได้เหน็ และไดย้ นิ ใหเ้ ด็กเขา้ ใจถกู ต้อง หากเด็กได้ดูรายการที่เหมาะสม กล่าวคือ เป็นรายการทผี่ ลติ ส�ำหรับเดก็ วัยอนุบาล โดยเฉพาะ เพ่อื ให้ความรแู้ ก่เดก็ ด้วยเนือ้ หาทีเ่ หมาะสมกับวัย ไมม่ ีเนื้อหาทีม่ คี วามรุนแรงท้ังค�ำพดู และ การกระทำ� แตพ่ บขอ้ เสยี ของสอ่ื จอภาพทเ่ี หน็ ชดั เจน คอื หากพอ่ แมป่ ลอ่ ยปละละเลยไมค่ ดั กรองเนอื้ หา ของรายการทเ่ี ดก็ ดู และเด็กได้ดูเนื้อหาทีไ่ มเ่ หมาะสม จะเปน็ แบบอย่างทีไ่ ม่ดอี ยา่ งมากแก่เด็ก พบว่าการดูส่ือจอภาพของเด็กวัยอนุบาล เก่ียวข้องกับภาวะน�้ำหนักเกินเมื่อเด็กโตขึ้น (จากอทิ ธพิ ลโฆษณาเกย่ี วกบั อาหารทมี่ แี คลอรส่ี งู หรอื จากการดสู อื่ จอภาพขณะกนิ อาหารไปดว้ ย ทำ� ใหเ้ ดก็ กินอาหารมากเกินความจ�ำเปน็ เพราะไม่สนใจว่าตนเองอ่ิมแลว้ ) พักผ่อนไมเ่ พยี งพอระยะเวลานอนน้อย และมีความเสี่ยงที่จะเข้าถึงเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมกับวัยทางอินเทอร์เน็ตอีกด้วย พบว่าเด็กไทยใช้ คอมพิวเตอร์ในการเล่นเกมมากกว่าใช้ค้นคว้าข้อมูลอย่างชัดเจน ตรงกับการส�ำรวจในต่างประเทศ พบว่าเด็กมักใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตในการเล่นเกมเพื่อความบันเทิงมากกว่าชนิดเกม เพื่อการศึกษา แม้ว่าจะยังไม่เคยมีการส�ำรวจในเด็กไทย แต่คาดว่าผลการส�ำรวจน่าจะใกล้เคียงกัน หลังจากประเทศไทยมีมาตรการก�ำหนดสัญลักษณ์แสดงระดับความเหมาะสมของรายการโทรทัศน์ใน ปี 2550 โดยกำ� หนดใหใ้ ชส้ ัญลักษณ์ ป ๓+ ส�ำหรบั รายการที่มีเนอื้ หาเหมาะสมกบั เดก็ อายุ 3-5 ปี และ ใช้สัญลักษณ์ ด ๖+ ส�ำหรับรายการท่ีมีเน้ือหาเหมาะส�ำหรับเด็กอายุ 6-12 ปี ส่วนสัญลักษณ์ ท จะ ใช้ส�ำหรับรายการทั่วไปที่คนทุกวัยดูได้ แต่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ท่ีจะผลิตขึ้นเฉพาะส�ำหรับเด็ก ได้มีการ สำ� รวจรายการโทรทศั นช์ ่องฟรที วี ี หรือช่อง 3, 5, 7, 9 ในประเทศไทยในปี 2551 ว่ามคี วามเหมาะสม กบั เด็กเพยี งใด พบว่า มีรายการสำ� หรบั เด็กคดิ เป็นร้อยละ 4 ของช่วงเวลาทัง้ หมด จากทุกสถานีรวมกัน 64
ปัญหาท่ีพบบ่อย โดยเป็นรายการ ป ๓+ ร้อยละ 0.18 และรายการ ด ๖+ รอ้ ยละ 3.82 นอกจากน้ี สดั สว่ นของรายการ โทรทศั นส์ ำ� หรบั เดก็ ในชว่ งเวลาทเ่ี ดก็ มกั จะดู (prime time) มเี พยี งรอ้ ยละ 8.05 ของชว่ งเวลาทงั้ หมดจาก ทุกสถานีรวมกนั โดยเป็นรายการ ป ๓+ รอ้ ยละ 1.19 และรายการ ด ๖+ รอ้ ยละ 6.86 ซ่งึ สัดส่วน ดังกล่าวต่�ำกว่ามาตรฐานท่ีกรมประชาสัมพันธ์ก�ำหนดให้แต่ละสถานีโทรทัศน์มีรายการส�ำหรับเด็ก ในข่วงเวลาทเ่ี ดก็ มักจะดโู ทรทัศน์ ท่รี ้อยละ 25 ของช่วงเวลานั้น ๆ อย่างไรก็ตาม ด้วยความนิยมในส่ือจอภาพที่เพ่ิมขึ้นเรื่อย ๆ ในยุคปัจจุบัน เด็กวัยอนุบาลจึงมี โอกาสเข้าถึงส่อื เหล่าน้อี ยา่ งหลกี เลยี่ งได้ยาก ดงั นนั้ พอ่ แมจ่ งึ มีบทบาทอย่างมากในการส่งเสรมิ ใหเ้ ดก็ ได้ รบั ประโยชน์จากสื่อดงั กล่าวอย่างเตม็ ท่ี และหลีกเล่ยี งผลเสยี ท่ีอาจเกิดขน้ึ ดังน้ี 1. กำ� กบั ดแู ลและควบคมุ เนอ้ื หาของสอื่ ทเี่ ดก็ ดู โดยเนน้ เนอ้ื หาทใ่ี หค้ วามรู้ และมรี ะดบั ความยาก งา่ ยของเนือ้ หาเหมาะสมกับพฒั นาการตามวัยของเดก็ หรือเลอื กดรู ายการทมี่ ีสญั ลักษณ์ ป ๓+ ส�ำหรับ เด็กวัยอนุบาล 2. พอ่ แมค่ วรดสู อ่ื ไปพรอ้ มกบั เดก็ และพดู คยุ กบั เดก็ เกย่ี วกบั เนอื้ หาทเ่ี ดก็ ดู เพอ่ื ชว่ ยใหเ้ ดก็ เรยี น รไู้ ดด้ ขี น้ึ เชน่ ตงั้ คำ� ถามเกย่ี วกบั สง่ิ ทเ่ี ดก็ ดู อธบิ ายความหมายของคำ� ศพั ทใ์ หเ้ ดก็ ฟงั พรอ้ มทงั้ เชอ่ื มโยงกบั ประสบการณห์ รอื ความรู้เดิมของเด็ก เพอ่ื ใหเ้ ด็กสามารถตอ่ ยอดความรู้ใหมไ่ ด้งา่ ยขึน้ 3. กำ� หนดระยะเวลาการดสู อื่ จอภาพของเดก็ โดยสมาคมกมุ ารแพทยแ์ หง่ ประเทศสหรฐั อเมรกิ า ใหค้ �ำแนะนำ� ในการดสู ื่อจอภาพทงั้ โทรทศั น์ วดี ที ศั น์ คอมพิวเตอร์ สมารท์ โฟน และแท็บเล็ต สำ� หรับเด็ก อายุ 2-5 ปี ว่าควรจำ� กดั เวลาไม่เกนิ 1 ช่ัวโมงตอ่ วนั เพ่อื ใหเ้ ด็กมีโอกาสได้ทำ� กจิ กรรมอืน่ เพื่อสง่ เสริมสขุ ภาพและพัฒนาการใหค้ รบทกุ ด้าน 4. ควรมชี ว่ งเวลาปลอดสอื่ จอภาพ เชน่ ขณะกนิ อาหาร และกอ่ นนอน 1 ช่ัวโมง รวมทงั้ ไมค่ วร มีสือ่ จอภาพในห้องนอนของเด็ก หลีกเลี่ยงการใชส้ อ่ื จอภาพเพอื่ ฆา่ เวลาขณะเดก็ เบื่อ เช่น ขณะรอตรวจ กับแพทย์ ขณะรอรถไฟทช่ี านชาลา แตค่ วรฝึกนสิ ยั ให้เดก็ ทำ� กิจกรรมอนื่ แทน เช่น เล่นเกมเป่ายิงฉุบกนั พดู คุยกบั พอ่ แม่ หรือเดินเลน่ 5. พอ่ แมค่ วรควบคมุ นสิ ยั การบรโิ ภคสอื่ จอภาพของตนเอง เพราะมงี านวจิ ยั พบวา่ พอ่ แมท่ ใี่ ชส้ อ่ื จอภาพมาก เดก็ กจ็ ะใชส้ อ่ื เหลา่ นมี้ ากดว้ ยเชน่ กนั จงึ เปน็ การลดโอกาสทพ่ี อ่ แม่ และเด็กจะไดเ้ ล่น พูดคุย หรือทำ� กิจกรรมในครอบครัวรว่ มกนั ซง่ึ จะสง่ ผลเสยี ตอ่ ความสัมพันธ์ในครอบครัว 65
เอกสารอ้างอิง เอกสารอา้ งองิ 1. วนั ดี นิงสานนท์ วินดั ดา ปยิ ะศลิ ป์ สุมติ ร สตุ รา. สุขภาวะของเดก็ และวัยร่นุ ไทย พ.ศ.2552. ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แหง่ ประเทศไทย. กทม : บรษิ ทั บยี อนด์ เอน็ เทอรไ์ พรซ์ จำ� กดั , 2553 : 115-160. 2. นิตยา คชภักดี. พฒั นาการตามวยั ของเดก็ และการประเมนิ . ใน : วันดี วราวิทย,์ ประพุทธ ศริ ิปณุ ย,์ สรุ างค์ เจยี มจรรยา บรรณาธกิ าร. ต�ำรากมุ ารเวชศาสตร์ 3. กรงุ เทพมหานคร : โฮลสิ ตกิ พับลชิ ชิ่ง, 2541 : 24-34. 3. นิชรา เรืองดารกานนท.์ ความผดิ ปกติของพฒั นาการทางดา้ นภาษา. ใน : วันดี วราวิทย์, ประพุทธ ศริ ิปณุ ย์, สรุ างค์ เจียม จรรยา (บรรณาธิการ). ตำ� รากมุ ารเวชศาสตร์ (ฉบบั เรยี บเรยี งใหม่ เล่ม 3). กรุงเทพฯ: โฮลสิ ตกิ พับลิชชิ่ง, 2541: 63-9. 4. วณั เพญ็ บญุ ประกอบ. พฒั นาบคุ ลกิ ภาพของเดก็ และวยั รนุ่ . ใน : วนิ ดั ดา ปยิ ะศลิ ป,์ พนม เกตมุ าน. บรรณาธกิ าร. ตำ� ราจติ เวช เด็กและวยั รุ่น. กรงุ เทพฯ: บียอนด์ เอนเทอร์ ไพรซ,์ 2545: 1-31. 5. ปราณี เมืองนอ้ ย. คมู่ อื การเลย้ี งลกู ตอน 3-6 ปี. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พค์ ุรสุ ภาลาดพรา้ ว 2549. 6. อมุ าพร ตรงั คสมบัติ. สรา้ งวนิ ยั ให้ลกู คุณ. กรงุ เทพมหานคร : ซนั ตา้ การพมิ พ์, 2542. 7. Barker P. Developmental Considerations. In : Basic child psychiatry. 6th ed. London : Blackwell Science, 1995 : 1-11. 8. Graham P, Turlk J, Verhulst F. Emotional development and disorders of mood. In : Child psychiatry : a developmental approach. 3th ed. New York : Oxford University Press, 1999 : 207-35. 9. Kaplan HI, Sadock BJ. Human development throughout the life cycle. In : Synopsis of psychiatry : behavioral sciences / clinical psychiatry. 8th ed. Baltimore : Williams & Wilkims, 1998 : 16-75. 10. วนิ ดั ดา ปยิ ะศลิ ป์. เดก็ ที่ถกู เร่งรดั . วารสารกมุ ารเวชศาสตร์ 2553;49(2):80-3. 11. กมลพรรณ ชวี พนั ธศุ รี โสภา เกริกไกรกุล. สมองกับการเรยี นร.ู้ กรุงเทพฯ : บริษทั ดวงกมลสมัย จำ� กดั , 2549. 12. จันท์ฑิตา พฤกษานานนท์. การประเมินการเจริญเติบโต. ใน: ทิพวรรณ หรรษคุณาชัย, รวิวรรณ รุ่งไพรวัลย์, สุรีย์ลักษณ์ สุจริตพงศ,์ วรี ะศกั ด์ิ ชลไชยะ. บรรณาธิการ. ต�ำราพัฒนาการและพฤตกิ รรมเด็ก เล่ม 3 การดูแลเด็กสขุ ภาพด.ี พมิ พ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพ: บยี อนด์ เอน็ เทอรไ์ พรซ,์ 2556: 114-124. 13. จริยา จฑุ าภสิ ทิ ธิ์, สรุ ยี ์ลักษณ์ สุจรติ พงศ์. พฒั นาการปกติ. ใน: ทพิ วรรณ หรรษคุณาชัย, รววิ รรณ รุง่ ไพรวัลย,์ สรุ ียล์ กั ษณ์ สจุ ริตพงศ์, วีระศักดิ์ ชลไชยะ. บรรณาธิการ. ต�ำราพัฒนาการและพฤติกรรมเดก็ เลม่ 3 การดแู ลเดก็ สุขภาพด.ี พิมพค์ รงั้ ท่ี 1. กรุงเทพ: บยี อนด์ เอ็นเทอร์ไพรซ์, 2556: 39-52. 14. สถาบันพัฒนาการเดก็ ราชนครินทร์, กรมสขุ ภาพจิต, กระทรวงสาธารณสขุ . ค่มู ือเฝ้าระวังและสง่ เสรมิ พัฒนาการเด็กปฐมวยั (DSPM). 2558; Available from: http://www.thaichilddevelopment.com. [Accessed 26 กุมภาพันธ์ 2560]. 15. นิตยา คชภักด.ี พัฒนาการเดก็ . ใน: ทิพวรรณ หรรษคุณาชยั , รววิ รรณ ร่งุ ไพรวลั ย,์ ชาคริยา ธีรเนตร, อดิศร์สดุ า เฟ่อื งฟ,ู สรุ ยี ์ ลกั ษณ์ สจุ รติ พงศ,์ พงษศ์ กั ดิ์ นอ้ ยพยคั ฆ.์ บรรณาธกิ าร. ตำ� ราพฒั นาการและพฤตกิ รรมเดก็ สำ� หรบั เวชปฏบิ ตั ทิ ว่ั ไป. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 1. กรงุ เทพ: บียอนด์ เอ็นเทอร์ไพรซ์, 2554: 1-25. 16. จุฑามาส วรโชติก�ำจร. พัฒนาการด้านอารมณ์และสังคม. ใน: ทิพวรรณ หรรษคุณาชัย, รวิวรรณ รุ่งไพรวัลย์, สุรีย์ลักษณ์ สจุ ริตพงศ,์ วีระศกั ด์ิ ชลไชยะ. บรรณาธกิ าร. ต�ำราพัฒนาการและพฤติกรรมเด็ก เล่ม 3 การดแู ลเด็กสุขภาพด.ี พมิ พ์ครั้งที่ 1. กรงุ เทพ: บียอนด์ เอ็นเทอรไ์ พรซ์, 2556: 53-65. 66
เอกสารอา้ งองิ 17. พงษศ์ ักดิ์ นอ้ ยพยคั ฆ.์ พฒั นาการดา้ นคณุ ธรรม. ใน: ทิพวรรณ หรรษคณุ าชัย, รววิ รรณ รงุ่ ไพรวลั ย,์ สรุ ยี ล์ ักษณ์ สจุ รติ พงศ,์ วีระศักด์ิ ชลไชยะ. บรรณาธิการ. ต�ำราพฒั นาการและพฤตกิ รรมเดก็ เลม่ 3 การดแู ลเดก็ สขุ ภาพดี. พมิ พ์คร้ังท่ี 1. กรงุ เทพ: บียอนด์ เอ็นเทอรไ์ พรซ,์ 2556: 66-75. 18. อรพร ด�ำรงวงศ์ศริ ิ, นลนิ ี จงวริ ิยะพนั ธ์ุ. แนวทางส่งเสริมโภชนาการท่ีเหมาะสม. ใน: พงษศ์ กั ด์ิ น้อยพยัคฆ์, วินัดดา ปิยะศลิ ป์, วนั ดี นงิ สานนท,์ ประสบศรี อ้ึงถาวร, บรรณาธิการ. Guideline in child health supervision. พมิ พ์ครั้งท่ี 1. กรงุ เทพ: สรรพสาร, 2557: 62-76. 19. Baker SS, Cochran WJ, Flores CA, Georgieff MK, Jacobson MS, Jaksic T, et al. American Academy of Pediatrics. Committee on Nutrition. Calcium requirements of infants, children and adolescents. Pediatrics 1999; 104 (5 Pt 1): 1152-7. 20. สมพล สงวนรงั ศริ กิ ลุ . แนวทางสง่ เสรมิ การออกกำ� ลงั กาย. ใน: พงษศ์ กั ดิ์ นอ้ ยพยคั ฆ,์ วนิ ดั ดา ปยิ ะศลิ ป,์ วนั ดี นงิ สานนท,์ ประสบ ศรี อง้ึ ถาวร, บรรณาธกิ าร. Guideline in child health supervision. พมิ พ์ครงั้ ที่ 1. กรุงเทพ: สรรพสาร, 2557: 55-61. 21. วสนั ต์ ประเสรฐิ สม. แนวทางส่งเสริมสขุ ภาพชอ่ งปากและฟัน. ใน: พงษ์ศักด์ิ น้อยพยคั ฆ,์ วนิ ัดดา ปิยะศลิ ป,์ วันดี นิงสานนท์, ประสบศรี อง้ึ ถาวร, บรรณาธกิ าร. Guideline in child health supervision. พมิ พค์ รง้ั ที่ 1. กรงุ เทพ: สรรพสาร, 2557: 85-92. 22. สมาคมโรคตดิ เชอื้ ในเดก็ แห่งประเทศไทย. ตารางการให้วคั ซนี ในเดก็ ไทยปกติ. 2560. Available from http://www.pidst. net/ [Accessed 26 กุมภาพนั ธ์ 2560] 23. อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์. แนวทางสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บ. ใน: พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์, วินัดดา ปิยะศิลป,์ วนั ดี นงิ สานนท,์ ประสบศรี อ้งึ ถาวร, บรรณาธกิ าร. Guideline in child health supervision. พมิ พ์คร้งั ที่ 1. กรุงเทพ: สรรพสาร, 2557: 101-26. 24. ลดั ดา เหมาะสวุ รรณ, วชิ ยั เอกพลากร, นชิ รา เรอื งดารกานนท,์ ปราณี ชาญณรงค,์ ภาสรุ ี แสงศภุ วนชิ , วราภรณ์ เสถยี รนพเกา้ , และคณะ. รายงานการส�ำรวจสขุ ภาพประชาชนไทยโดยการตรวจรา่ งกาย ครง้ั ท่ี 4 พ.ศ. 2551-2 สุขภาพเด็ก. Available from: URL: http://www.hiso.or.th/hiso/picture/reportHealth/report/report6.pdf. [Accessed 26 มกราคม 2560]. 25. Brand inside ธุรกิจคิดใหม่. กันยายน 2016. Available from: URL:https://brandinside.asia/idc-research-pc- smartphone-tablet-market-outlook-2016/. [Accessed 26 มกราคม 2560]. 26. Council on communications and media. American Academy of Pediatrics. Media and young minds. Pediatrics 2016; 138(5): 1-6. 27. พัฏ โรจน์มหามงคล. แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ (tablet) และสมาร์ทโฟน (smartphone) กับเด็กปฐมวัย. ใน: ประสงค์ ตัน มหาสมทุ ร, ดาราวรรณ วนะชวิ นาวนิ , พรพรหม เมอื งแมน, เพทาย เยน็ จิตโสมนัส, วาณี วิสทุ ธ์เิ สรวี งศ์, วไิ ล คปุ ตน์ ิรตั ิศัยกลุ , ศริ ิรัตน์ คุปตวิ ุฒิ, ปิยะภทั ร เดชพระธรรม, ศันสนยี ์ เสนะวงษ,์ นพพล เผา่ สวสั ด,์ิ อุไรวรรณ พานชิ , กุลภา ศรีสวัสด,ิ์ พจมาน พศิ าลประภา. บรรณาธกิ าร. เวชศาสตรท์ นั ยคุ 2557. พมิ พค์ รง้ั ที่ 1. กรงุ เทพฯ: บรษิ ทั พ.ี เอส.ลฟี วง่ิ จำ� กดั . 2557. หนา้ 159-66. 28. ผู้จัดการออนไลน.์ ผลวจิ ยั ม.อ. ช้ี เด็กเลก็ ดูทีวนี ้อยกว่าวนั ละ 2 ชม. ลดเสีย่ งตอ่ พฒั นาการ. 12 พฤษภาคม 2554. Available from: URL: http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9540000058432. [Accessed 26 มกราคม 2560]. 29. ชาครยิ า ธรี เนตร. ผลกระทบของสื่อต่อสขุ ภาพเดก็ และวัยรุ่น. ใน: ทพิ วรรณ หรรษคุณาชัย, รวิวรรณ รุ่งไพรวัลย์, ชาคริยา ธรี เนตร, อดิศร์สุดา เฟอื่ งฟู, สรุ ยี ล์ ักษณ์ สจุ ริตพงศ์, พงษ์ศกั ด์ิ นอ้ ยพยคั ฆ์. บรรณาธิการ. ต�ำราพัฒนาการและพฤตกิ รรมเดก็ ส�ำหรับเวชปฏบิ ตั ทิ ัว่ ไป. พิมพ์ครัง้ ท่ี 1. กรงุ เทพฯ: บริษทั บยี อนด์ เอน็ เทอรไ์ พรซ์ จำ� กดั . 2554. หน้า 268-84. 30. อทิ ธพิ ล ปรตี ปิ ระสงค.์ สถานการณด์ า้ นรายการโทรทศั นส์ ำ� หรบั เดก็ 3-12 ปี ในประเทศไทย.สถาบนั แหง่ ชาตเิ พอื่ การพฒั นาเดก็ และครอบครวั มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล. พฤศจกิ ายน 2551. Availble from: URL: http://www.cf.mahidol.ac.th/autopage/ 67
เอกสารอา้ งอิง file/TueNovember2008-11-40-9-KidsTVProgramSituation51.doc. [Accessed 26 มกราคม 2560]. 31. Dickinson DK, Griffith JA, Golinkoff RM, Hirsh-Pasek K.How reading books fosters language development around the world. Child Development Research 2012 doi:10.1155/2012/602807, 15 pages 32. ชมรมโภชนาการเดก็ แหง่ ประเทศไทย. กราฟการเจรญิ เตบิ โตชดุ ใหมส่ ำ� หรบั เดก็ ไทยอายแุ รกเกดิ -5 ป.ี Available from: URL: http://www.pednutrition.org/article/growth-charts. [Accessed 26 มกราคม 2560]. 33. วินัดดา ปิยะศิลป์ วันดี นิงสานนท์ (บรรณาธิการ). Best practice in Communication .ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่ง ประเทศไทย สมาคมกุมารแพทยแ์ หง่ ประเทศไทย. กรุงเทพฯ : บรษิ ทั สรรพสาร จ�ำกดั , 2557 34. พงษ์ศักด์ิ นอ้ ยพยัคฆ์ วนิ ัดดา ปิยะศิลป์ วนั ดี นิงสานนท์ ประสบศรี อ้ึงถาวร(บรรณาธกิ าร). Guideline in Child Health Supervision. .ราชวิทยาลยั กุมารแพทยแ์ หง่ ประเทศไทย สมาคมกมุ ารแพทย์แห่งประเทศไทย. กรงุ เทพฯ : บรษิ ัท สรรพสาร จำ� กดั , 2557 35. ศนู ยส์ ขุ ภาพจติ ท่ี 11 สรุ าษฎรธ์ านี กรมสขุ ภาพจติ . แบบประเมนิ ความฉลาดทางอารมณเ์ ดก็ อายุ 3-5 ปี (ฉบบั ยอ่ ) สำ� หรบั คร/ู ผู้ ดแู ลเดก็ . Available from: URL: http://www.mhc11.dmh.go.th/index.php/th/download/file/3-eq3-5forteacher. [Accessed 26 มกราคม 2560]. 36. ศนู ย์สุขภาพจิตที่ 11 สรุ าษฎร์ธานี กรมสุขภาพจิต. แบบประเมนิ ความฉลาดทางอารมณ์เดก็ อายุ 3-5 ปี (ฉบบั ย่อ) สำ� หรบั พ่อแม่/ผู้ปกครอง. Available from: URL: http://www.mhc11.dmh.go.th/index.php/th/download/file/3-eq3- 5forteacher. [Accessed 26 มกราคม 2560]. 37. Howard BJ. Discipline in early childhood. Pediatr Clin North Am 1991;38:1351-69. 38. Blum NJ, Williams GE, Friman PC. Disciplining young children: The role of verbal instructions and reasoning. Pediatrics1995;96:336–41. 68
Search