ชอ่ื ผลงาน รายงานการประกวดนวัตกรรม/วิธปี ฏบิ ัติทีเ่ ป็นเลิศ (Best Practices) เพอ่ื สง่ เสรมิ การพฒั นาศกั ยภาพผู้เรยี นในโลกศตวรรษท่ี 21 (Chainat Innovation Awards) ปีการศึกษา 2564 ...................................... การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ประเภทของภูมิคุ้มกัน โดยใช้การ จัดการเรียนรู้แบบ ๕ ขั้น เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการแปลความหมายข้อมลู และประจักษ์พยานในเชิงวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนสรรพยาวทิ ยา The development of learning activities \"Types of immunity\" by applying 5 - step lesson plan to enhance interpreting data and evidence scientifically of Grade 10 students at Sappayawitthaya School ช่ือผูเ้ สนอผลงาน นายเรวัตร อยูเ่ กิด ตำแหน่ง ครู โรงเรยี น สรรพยาวิทยา หมายเลขโทรศัพท์ ๐๙๒-๙๗๙-๗๘๓๙ E-Mail [email protected] ประเภทผู้สมคั ร สถานศึกษา ผู้อำนวยการสถานศกึ ษา รองผ้อู ำนวยการสถานศกึ ษา ครผู สู้ อน ประเภทนวตั กรรม นวตั กรรมด้านการบริหารจัดการ (สถานศกึ ษา/ผอู้ ำนวยสถานศกึ ษา/รองฯ) นวัตกรรมด้านการจดั การเรียนร้แู บบท่ัวไป (ครผู ูส้ อน) นวตั กรรมดา้ นการจดั การเรียนรู้แบบออนไลน์ (ครผู สู้ อน)
ก คำนำ รายงานการประกวดนวตั กรรม/วิธีปฏิบัตทิ ีเ่ ป็นเลิศ (Best Practices) เพอื่ สง่ เสริมการพัฒนา ศักยภาพผู้เรียนในโลกศตวรรษที่ 21 (Chainat Innovation Awards) ปีการศึกษา 2564 ฉบับนี้ จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอข้อมูลการพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้/วิธีการปฏิบัติงานที่เป็นเลิศของ นายเรวตั ร อยู่เกดิ ครู กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในการพัฒนากิจกรรมการ เรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ ๕ ขั้น เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการแปลความหมายข้อมูลและ ประจักษ์พยานในเชิงวิทยาศาสตร์ โดยนำเสนอข้อมูลอยา่ งเป็นระบบผ่านการรายงานใน 7 ประเด็น ได้แก่ ความสำคัญของนวัตกรรม/วิธีการปฏิบัติที่เป็นเลิศ, วัตถุประสงค์และเป้าหมายของ การดำเนินงาน, ขน้ั ตอนการดำเนินงานพัฒนานวตั กรรม, ผลการดำเนนิ งาน/ประโยชน์ที่ได้รบั , ปัจจัย ความสำเร็จ, บทเรียนทไี่ ด้รับ และการเผยแพร/่ การได้รบั การยอมรบั ทั้งนี้ หวังเปน็ อย่างยงิ่ วา่ รายงานการประกวดนวตั กรรม/วิธปี ฏบิ ัติท่ีเปน็ เลิศฉบับน้ี จะอำนวย ความสะดวกให้แก่คณะกรรมการในการพิจารณาคัดเลือก และตัดสินผลงานนวัตกรรม/วิธีปฏิบัติท่ี เป็นเลิศในระดับเครือขา่ ยส่งเสรมิ ประสทิ ธิภาพการจดั การมัธยมศกึ ษาจังหวัดชยั นาท ขอขอบพระคุณ ท่านผู้อำนวยการสมชาย บุษบงค์ คณะผู้บริหาร คุณครูทุกท่าน ตลอดจนขอบใจนักเรียนทุกคนทีม่ ี สว่ นร่วมทำใหก้ ารดำเนนิ การเพอ่ื พฒั นานวตั กรรมการเรยี นรู้ครั้งน้ีสำเรจ็ ลุล่วงด้วยดี เรวัตร อยเู่ กดิ สงิ หาคม 2564
ข สารบญั หนา้ คำนำ................................................................................................................................................... ก สารบญั ................................................................................................................................................ ข สารบญั ภาพ......................................................................................................................................... ค สารบัญแผนภาพ .........................................................................................................................ง ๑. ความสำคัญของนวตั กรรม/วธิ กี ารปฏิบัตทิ เ่ี ป็นเลิศ................................................................๑ ๒. วัตถุประสงค์และเป้าหมายของการดำเนนิ งาน ......................................................................๒ ๒.๑ วตั ถุประสงคก์ ารดำเนนิ งาน ....................................................................................................๒ ๒.๒ เปา้ หมายการดำเนินงาน .........................................................................................................๓ ๓. ขนั้ ตอนการดำเนนิ งานพัฒนานวตั กรรม................................................................................๓ ๓.๑ การออกแบบผลงานนวัตกรรม/วธิ ปี ฏิบัตทิ ีเ่ ป็นเลิศ.................................................................๓ ๓.๒ การดำเนินการพัฒนานวตั กรรม..............................................................................................๔ ๓.๓ ประสิทธภิ าพของการดำเนินงาน.......................................................................................... ๑๐ ๓.๔ การใชท้ รัพยากร................................................................................................................... ๑๐ ๔. ผลการดำเนนิ งาน/ประโยชน์ทไ่ี ดร้ ับ................................................................................... ๑๑ ๕. ปจั จยั ความสำเร็จ.............................................................................................................. ๑๒ ๕.๑ ปจั จัยแห่งความสำเร็จด้านนกั เรยี น...................................................................................... ๑๒ ๕.๒ ปัจจัยแหง่ ความสำเร็จด้านครผู ู้สอน ..................................................................................... ๑๒ ๕.๓ ปจั จัยแหง่ ความสำเร็จด้านการบรหิ าร.................................................................................. ๑๓ ๕.๔ ปัจจยั แหง่ ความสำเร็จดา้ นสถานศึกษา ................................................................................ ๑๓ ๕.๕ ปจั จัยแหง่ ความสำเร็จดา้ นชมุ ชน ......................................................................................... ๑๓ ๖. บทเรียนทไ่ี ดร้ บั .................................................................................................................. ๑๔ ๗. การเผยแพร่/การไดร้ ับการยอมรับ ..................................................................................... ๑๕ ๗.๑ การเผยแพร่.......................................................................................................................... ๑๕ ๗.๒ การได้รบั การยอมรับ............................................................................................................ ๑๕ เอกสารอา้ งอิง .................................................................................................................................. ๑๗ ภาคผนวก ก..................................................................................................................................... ๑๘ ภาคผนวก ข..................................................................................................................................... ๓๙ ภาคผนวก ค..................................................................................................................................... ๔๑
ค สารบญั ภาพ หน้า ภาพท่ี ๑ ภาพบรรยากาศกิจกรรมการเรียนรู้ .....................................................................................๘ ภาพที่ ๒ การแลกเปล่ียนเรยี นรภู้ ายในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรยี นสรรพยาวทิ ยา ........................................................................................................................๙ ภาพท่ี ๓ การเขา้ รว่ มกิจกรรมการอบรมเชงิ ปฏบิ ัติการหลกั สูตรการจัดการเรยี นการสอนฐาน สมรรถนะสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ โดยความร่วมมือระหวา่ งมหาวิทยาลยั ราชภัฏนครสวรรคแ์ ละ สถาบันสง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี...........................................................................๙
ง สารบญั แผนภาพ หน้า แผนภาพที่ ๑ กระบวนการสร้างนวัตกรรมตามวิธรี ะบบ (System Approach)................................๔ แผนภาพท่ี 2 กระบวนการพัฒนานวตั กรรม......................................................................................๕
๑ ๑. ความสำคญั ของนวตั กรรม/วธิ กี ารปฏบิ ตั ทิ เ่ี ปน็ เลิศ ชีววิทยา เป็นวิชาที่มีความสำคัญต่อมนุษย์เป็นอย่างมากเนื่องจากเป็นศาสตร์ที่มีความ เกี่ยวข้องกับการศึกษาธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์อีกทั้งยังเป็นพื้นฐานของ เทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งเป็นประโยชน์ในการปรับปรุงผลผลิตทางการเกษตร อุตสาหกรรม การ สาธารณสุข และสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะทำให้คุณภาพชีวิตของมนุษย์ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ (สถาบันส่งเสริม การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, ๒๕๕๔: ๑) การเรียนการสอนวิชาชีววิทยามุง่ เน้นให้ผู้เรียนได้ ค้นพบความรู้ด้วยตนเองมากที่สุด เพื่อให้ได้ทัง้ กระบวนการและความรู้จากวิธีการสังเกต การสำรวจ ตรวจสอบ การทดลอง แล้วนำผลที่ได้มาจัดระบบเป็นหลักการ แนวคิด และองค์ความรู้ ซง่ึ วิธีการจดั การเรียนการสอนชีววิทยาท่ีดีท่ีสุดนั้นไม่ไดถ้ ูกกำหนดไว้อย่างตายตัว ครูผู้สอนจะต้องใช้ ดุลยพินิจในการพิจารณาเลือกวิธกี ารจัดการเรยี นรู้ให้เหมาะสมกับเนื้อหา ไม่จำเป็นวา่ จะใช้เพียงวิธี เดียวโดยตลอดแต่โดยส่วนใหญ่แล้วครูผู้สอนมักจะบรรยายมโนทัศน์และมีผู้เรียนเป็นผู้รับฟังและ คัดลอกข้อมูลลงในสมุดบันทึก (พัดตาวัน นาใจแก้ว, ๒๕๕๗: ๔) ซึ่งเป็นวิธีการที่มีข้อบกพร่อง มากมาย โดยเฉพาะในยคุ ปจั จุบนั ท่โี ลกมีข้อมลู ข่าวสารเป็นส่ือกลางของวัฒนธรรม เป็นทท่ี ราบกนั ดวี ่า การสอนแบบเน้นเน้อื หาอย่างเดียวนั้นไม่ประสบผลสำเรจ็ ในดา้ นของความรวู้ ทิ ยาศาสตร์ท่ีแทจ้ ริง จากรายงานการประเมินการรู้วิทยาศาสตร์ โครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ (Programme for International Student Assessment หรือ PISA) ซึ่งประเมินด้านสมรรถนะ ความฉลาดรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ ไดแ้ ก่ การระบุประเด็นทางวทิ ยาศาสตร์, การอธิบายปรากฎการณ์ทาง วทิ ยาศาสตร์ และการใชป้ ระจักษพ์ ยานทางวทิ ยาศาสตร์ ผลการประเมินพบว่า นกั เรียนไทยมีคะแนน เฉลี่ยตั้งแต่ PISA ๒๐๐๐, ๒๐๐๓, ๒๐๐๖, ๒๐๐๙ และ ๒๐๑๒ ประเทศไทยได้คะแนนเฉลี่ย ๔๒๑, ๔๓๒, ๔๒๙, ๔๒๕ และ ๔๔๔ ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่าคะแนนเฉลี่ยมาตรฐานขององค์กรเพื่อความ ร่วมมือและพัฒนาเศรษฐกิจ (Organization for Economic Cooperation and Development : OECD) ที่กำหนดคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ ๕๐๐ คะแนน จัดว่ามีค่าเฉลี่ยคะแนนการรู้วิทยาศาสตร์อยู่ใน กลุ่มต่ำ (สุนีย์ คล้ายนิล และปรีชาญ เดชศรี, ๒๕๔๙: ๖๑ - ๖๗; โครงการ PISA ประเทศไทย, ๒๕๕๖: ๒๓ - ๒๔ อ้างถึงใน วัชราพร ฟองจนั ทร์, ๒๕๕๘: ๓) หลักสูตรแกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตาม หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ ได้มีการกำหนดสารการเรียนรู้ออกเป็น ๔ สาระ ได้แก่ สาระที่ ๑ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ สาระที่ ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ สาระที่ ๓ วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ และสาระที่ ๔ เทคโนโลยี โดยมีจุดเน้นเพื่อรวางรากฐานการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ของผู้เรียนในแต่ละระดับชั้นให้มีความต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน รวมถึงการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาความคิดทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ มีทักษะที่สำคัญทั้งทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ ใน
๒ การค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ด้วยกระบวนการสบื เสาะหาความรู้ สามารถแกป้ ญั หาอยา่ งเปน็ ระบบ สามารถตัดสินใจ โดยใช้ข้อมูลหลากหลายและประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้ (สำนักงาน คณะ ก ร ร มก าร การศึก ษาขั้นพื้นฐานและ สถาบัน ส่ง เสร ิมก ารสอนว ิทยาศาสตร ์และ เทคโนโลยี , ๒๕๖๐: ๑) โรงเรียนสรรพยาวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุทัยธานี ชัยนาท รบั ผิดชอบดแู ลนักเรยี นในเขตพืน้ ท่ีอำเภอสรรพยา จังหวดั ชัยนาท มีวิสัยทัศน์ทีจ่ ะม่งุ ม่ันพฒั นาผู้เรียน ให้มคี วามรู้คูค่ ุณธรรม พัฒนาผเู้ รียนอย่างเตม็ ตามศักยภาพท้งั ดา้ นความร,ู้ การอา่ น คิดวเิ คราะห์ และ เขียน, คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ และสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน (โรงเรียนสรรพยาวทิ ยา, ๒๕๖๓) โดยในด้านสมรรถนะสำคัญของผู้เรียนโรงเรียนสรรพยาวิทยาได้มุ่งเน้นพัฒนาสมรรถนะสำคัญ ๕ ประการ ได้แก่ ความสามารถในการคิด, ความสามารถในการสื่อสาร, ความสามารถในการ แก้ปัญหา, ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี และความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต (กลุ่มสาระ การเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนสรรพยาวทิ ยา, ๒๕๖๔) ทัง้ นี้ ในการพัฒนาสมรรถนะ ดังกล่าวเป็นการพัฒนาสมรรถนะโดยทั่วไปของผู้เรียนผ่านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเท่านนั้ โรงเรียนสรรพยาวิทยายังไม่มีการพัฒนาสมรรถนะสำคัญที่ชัดเจนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนา สมรรถนะตามกรอบความฉลาดรู้ทางวิทยาศาสตร์ (Science Literacy) ของโครงการประเมินผล นักเรียนนานาชาติ ซึ่งได้กำหนดให้ผู้เรียนมีสมรรถนะการระบปุ ระเดน็ ทางวิทยาศาสตร์, การอธิบาย ปรากฎการณ์ทางวิทยาศาสตร์ และการใช้ประจกั ษ์พยานทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นกรอบสมรรถนะที่ มงุ่ เน้นการประยกุ ต์ใชค้ วามรู้จรงิ ในอนาคต จากสภาพปัญหาและบริบทข้างต้นข้าพเจ้าจึงเล็งเห็นความสำคัญในการพัฒนาสมรรถนะ ผู้เรียนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผ่านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพเพือ่ เสริมสร้างให้ผู้เรียนไดร้ ับการพฒั นาอย่างรอบด้านทง้ั ความรู้, ทักษะกระบวนการ, คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ และทสี่ ำคญั อยา่ งย่ิงสมรรถนะทางด้านวิทยาศาสตร์ เพอื่ เตรียมความพร้อมผู้เรียนให้สำเร็จ การศกึ ษาอยา่ งมีคุณภาพ เปน็ พลเมืองทม่ี ีศักยภาพอนั เป็นการวางรากฐานสำคัญของทรัพยากรมนุษย์ ของประเทศตอ่ ไป ๒. วตั ถปุ ระสงคแ์ ละเปา้ หมายของการดำเนนิ งาน ๒.๑ วัตถปุ ระสงคก์ ารดำเนนิ งาน ๑) เพอื่ สง่ เสริม และพฒั นาสมรรถนะการแปลความหมายขอ้ มลู และประจกั ษ์พยานใน เชงิ วิทยาศาสตร์ให้แก่ผูเ้ รียนโรงเรียนสรรพยาวทิ ยา ๒) เพื่อออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก เรื่อง ประเภทภูมิคุ้มกัน ที่ส่งเสริม สมรรถนะการแปลความหมายข้อมลู และประจกั ษ์พยานในเชงิ วิทยาศาสตร์ของผเู้ รยี น
๓ ๓) เพื่อส่งเสริมการดำเนินกิจกรรมชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ของกลุ่มสาระ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนสรรพยาวิทยา ในการพัฒนานวัตกรรมการจัด การเรียนรู้ ๔) เพื่อให้ครูผู้สอนมีนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาสมรรถนะการแปล ความหมายข้อมลู และประจกั ษ์พยานในเชงิ วทิ ยาศาสตร์ของผเู้ รยี นอยา่ งมีคณุ ภาพ ๒.๒ เปา้ หมายการดำเนินงาน เชงิ ปรมิ าณ ๑) ผู้เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนสรรพยาวิทยา ร้อยละ ๗๐ ได้รับการ พัฒนาสมรรถนะการแปลความหมายขอ้ มูลและประจกั ษ์พยานในเชงิ วิทยาศาสตร์ผ่านการจดั กิจกรรม การเรยี นรู้ เรอ่ื ง ประเภทภูมคิ ุม้ กัน ๒) ผเู้ รียนระดับช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๔ โรงเรยี นสรรพยาวิทยา รอ้ ยละ ๕๐ ผ่านเกณฑ์ การประเมินสมรรถนะการแปลความหมายข้อมูลและประจักษ์พยานในเชิงวิทยาศาสตร์ระดับ ปานกลางขน้ึ ไป ๓) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนสรรพยาวิทยา มีนวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนที่เกิดข้นึ จากชุนแหง่ การเรียนร้ทู างวชิ าชีพ เพ่มิ ขนึ้ รอ้ ยละ ๓ เชงิ คณุ ภาพ ๑) ครูสามารถในการพฒั นาจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนเชงิ รุกเพือ่ สง่ เสริมสมรรถนะ การแปลความหมายข้อมูลและ ประ จักษ์พยาน ใน เชิง วิทยาศา สตร์ ให้ เกิดแก่ ผู้เรียน ไ ด้อย่ า ง มี ประสทิ ธิภาพ ๒) สมาชิกชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีมีส่วนร่วมในการขบั เคลือ่ นกจิ กรรมชุมชนแหง่ การเรียนรู้ทางวชิ าชีพ ทำให้เกิดการพัฒนา นวัตกรรมการจดั การเรยี นการสอนอย่างมีคุณภาพ ๓. ขั้นตอนการดำเนนิ งานพัฒนานวตั กรรม ๓.๑ การออกแบบผลงานนวัตกรรม/วธิ ปี ฏิบตั ิทเ่ี ป็นเลิศ การพฒั นากิจกรรมการเรยี นรู้ เร่อื ง ประเภทของภมู คิ ุ้มกัน โดยใชก้ ารจดั การเรียนรู้แบบ ๕ ขั้นเพื่อส่งเสริมสมรรถนะการแปลความหมายข้อมูลและประจักษ์พยานในเชิงวิทยาศาสตร์ได้ ออกแบบกิจกรรมผ่านการดำเนินกิจกรรมชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนสรรพยาวิทยา ซึ่งได้มีการกำหนดประเด็นในการดำเนินการ ร่วมกันภายในกล่มุ สาระฯ คือ การออกแบบกจิ กรรมการจัดการเรียนรดู้ ้วยแนวคดิ การจดั กิจกรรมการ เรยี นรู้เชงิ รุก (Active Learning) เพอ่ื พัฒนาสกู่ ารสร้างนวัตกรรมการเรียนการสอน
๔ การออกแบบกจิ กรรมการเรียนรู้ดำเนินการโดยออกแบบตามทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วย ตนเอง (Constructivism) โดยใช้วิธีการสอบแบบสืบสอบ (Inquiry Teaching Method) ร่วมกับ วิธีการสอนแบบใชก้ รณีศึกษา (Case-Study Method) ผา่ นการจดั ทำแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ๕ ขั้นตอน ตามแนวคิดของ รองศาสตราจารย์ ดร.พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และรองศาสตราจารย์ พเยาว์ ยินดีสุข โดยได้ทำการสังเคราะห์เป็นนวัตกรรมด้วยวิธีระบบ (System Approach) อันประกอบด้วย ปัจจัยนำเข้า (Input), กระบวนการ (Process), ผลผลิต (Output) และ ข้อมูล ย้อนกลับ (Feedback) แสดงในแผนภาพ ดงั นี้ แผนภาพที่ ๑ กระบวนการสร้างนวัตกรรมตามวธิ ีระบบ (System Approach) ๓.๒ การดำเนนิ การพัฒนานวตั กรรม การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ เร่อื ง ประเภทของภมู คิ ุ้มกัน โดยใช้การจดั การเรยี นรูแ้ บบ ๕ ขั้นเพื่อส่งเสริมสมรรถนะการแปลความหมายข้อมูลและประจักษ์พยานในเชิงวิทยาศาสตร์ของ นักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสรรพยาวิทยา ข้าพเจ้าได้นำแนวคิดกระบวนการบริหารแบบ PDCA Model หรือวงจรเดมมิ่ง (Deming Cycle) ประกอบด้วย การวางแผนปฏิบัติงาน (Plan), การลงมือปฏิบัติงาน (Do), การตรวจสอบ (Check) และขั้นปรับปรุงและพัฒนา (Act) มาเป็นส่วน หนึ่งในการพัฒนานวัตกรรมร่วมกับกระบวนการดำเนินกิจกรรมชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community: PLC) ตามแนวคิดของศาสตราจารย์ ซาโต มานาบุ
๕ (Prof. Sato Manabu, Ph.D.) คุรุสภา รวมทั้งรองศาสตราจารย์ ดร.พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และ รองศาสตราจารย์ พเยาว์ ยินดีสุข เพื่อเป็นการส่งเสริมการมีสว่ นรว่ มของผูป้ ระกอบวชิ าชพี ครูภายใน กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรยี นสรรพยาวทิ ยา ในพฒั นาวชิ าชพี ครูผ่านการ แลกเปล่ียนเรยี นรูร้ ่วมกนั อย่างเปน็ กัลยาณมติ ร โดยนำความรู้ ความสามารถ ทกั ษะ มาร่วมกันศึกษา บทเรียนและพัฒนากิจกรรมการการเรยี นรูม้ ุ่งส่กู ารสร้างนวตั กรรมการจดั การเรยี นการสอนท่สี ่งผลต่อ การพัฒนาคุณภาพผเู้ รยี น กิจกรรมการเรียนรู้ เรอื่ ง ประเภทภูมิคมุ้ กัน ดำเนินการจัดทำแผนการจดั การเรียนรู้แบบ ๕ ขั้น อันประกอบด้วย ขั้นระบุปัญหา, ขั้นแสวงหาสารสนเทศ, ขั้นสร้างความรู้, ขั้นสื่อสาร และ ขั้นตอนแทนสังคม นอกจากนัน้ ยังออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้วธิ ีการสอนแบบสืบสอบ (Inquiry Teaching Method) ผสมผสานกับวิธีการสอนแบบใช้กรณีศึกษา (Case-Study Method) เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมร่วมกันในการสืบเสาะหาความรู้ และคำตอบให้แก่เรื่องราว กรณีศึกษาที่ครูผสู้ อนกำหนดให้ ผา่ นการวิเคราะห์ขอ้ มลู เอกสารประกอบกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีความ หลากหลายและแตกต่างกันตามแหล่งที่มา โดยสามารถสรุปภาพรวมขั้นตอนการการดำเนินการ พฒั นานวตั กรรมได้ดงั แผนภาพ ต่อไปนี้ แผนภาพที่ 2 กระบวนการพัฒนานวัตกรรม
๖ ขน้ั วางแผน (Plan) ๑) ศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตร มาตรฐานการเรียนรู้ และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) รวมท้ังศกึ ษาหลักสตู รสถานศึกษาของโรงเรียนสรรพยาวทิ ยา ๒) ศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา และความคาดหวังของผู้เรียนที่มีต่อการจดั การเรียน การสอนรายวชิ าวิทยาศาสตรช์ ีวภาพ โดยอาศัยข้อมลู จากผลการประเมินการจัดกจิ กรรมการเรียนการ สอนในปีการศึกษาก่อนหน้า และการกรอกข้อมูลของนักเรียนในคาบเรียนแรกเพื่อนำข้อมูลมาใช้ ประกอบการออกแบบกจิ กรรมการเรยี นการสอน ๓) ศึกษาขอ้ มูลสารสนเทศสถานศกึ ษาในด้านกาพัฒนาผู้เรียนทั้งผลสัมฤทธ์ิ การพันา ทักษะการอ่าน คิดวเิ คราะห์ และเขยี น รวมถึงผลการประเมินคุณภาพการจัดการศึกษาทัง้ ภายในและ ภายนอก ๔) ศึกษาสมรรถนะที่สำคัญตามกรอบความฉลาดรู้ทางวิทยาศาสตร์ (Science Literacy) ของโครงการประเมินผลนักเรียนรว่ มกับนานาชาติ (PISA) ๕) ศึกษาแนวทางการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ แบบ ๕ ขน้ั ตามแนวคดิ ของรองศาสตราจารย์ ดร.พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และรองศาสตราจารย์ พเยาว์ ยินดีสุข เพื่อพัฒนาสมรรถนะความรู้ ทักษะกระบวนการ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และสมรรถนะ ของผเู้ รยี น ๖) กำหนดเป้าหมายการพัฒนาผู้เรียนทั้งด้านความรู้ ทักษะกระบวนการ คุณลักษะ และสมรรถนะ ๗) ศึกษาแนวทางการดำเนินกิจกรรมชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ เพื่อพัฒนา นวัตกรรมการเรยี นการสอน พร้อมทงั้ รว่ มกนั กำหนดหวั ข้อหลกั ในการดำเนินกิจกรรมชุมชนแห่งการ เรียนรทู้ างวิชาชีพ ขั้นปฏิบัติ (Do) การพัฒนากจิ กรรมการเรียนรู้ เร่อื ง ประเภทของภูมิคุ้มกนั โดยใชก้ ารจัดการเรยี นรแู้ บบ ๕ ขั้นเพื่อส่งเสริมสมรรถนะการแปลความหมายข้อมูลและประจักษ์พยานในเชิงวิทยาศาสตร์ของ นกั เรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 โรงเรียนสรรพยาวิทยา ดำเนินการโดยอาศัยกระบวนการกจิ กรรมชมุ ชน การเรยี นรทู้ างวชิ าชพี ในการพฒั นานวัตกรรมการเรียนการสอนซึ่งประกอบด้วย ๔ ข้นั ตอนยอ่ ย ดงั น้ี ๑) วางแผนจดั การเรียนรู้ (Plan) ๑.๑) จัดตั้งชุมชนแห่งการเรยี นรูท้ างวชิ าชีภาพในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เพื่อเป็นพื้นที่ในการร่วมกันศึกษาบทเรียนและพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียน การสอนรว่ มกัน รวมท้งั เลือกสภาพปัญหาหรือส่งิ ทต่ี ้องการพัฒนาในการจัดการเรียนการสอน
๗ ๑.๒) ครูผู้สอนออกแบบกิจกรรมการเรยี นรแู้ ละจดั ทำแผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ครั้งที่ ๑ จากนั้นนำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เข้าร่วมการวิพากษ์ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับ สมาชิกภายในชมุ ชนการเรียนรทู้ างวชิ าชีพ พรอ้ มทัง้ ปรบั ปรงุ แผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ๒) ปฏบิ ตั กิ ารสอนและสังเกตการเรียนรู้ (Do and See) ๒.๑) นำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ดำเนินการปรับปรุงแล้วไปจัดกิจกรรม การเรียนการสอนโดยมีสมาชกิ ชมุ ชนการเรียนรู้ทางวชิ าชพี เขา้ ร่วมสงั เกตการสอน ๒.๒) ครูผู้สอนบันทึกผลการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ผ่านการบันทึกหลังสอนเพื่อเปน็ ขอ้ มลู ในการปรบั ปรงุ และพฒั นากจิ กรรมการเรยี นรู้ ๓) สะทอ้ นคดิ ผลการปฏิบตั ิงาน (Reflect) ๓.๑) สมาชิกชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพร่วมกันสะท้อนความคิดจากการนำ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ไปใช้จริง โดยครูผู้สอนสะท้อนความสำเร็จ จุดเด่น และจุดที่ต้อง ปรบั ปรุงพัฒนาในการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ และการออกแบบแผนการจดั การเรียนรู้ ๓.๒) สมาชกิ สมาชิกชมุ ชนการเรียนรทู้ างวชิ าชีพสะทอ้ นจุดเด่น จดุ ด้อย ปญั หา และ อุปสรรคในฐานะผู้สังเกตการณ์การปฏิบัติการสอน พร้อมทง้ั รว่ มกนั ออกแบบแนวนางในการปรับปรุง และพฒั นาจดั กจิ กรรมการเรียนรใู้ ห้มคี วามสมบูรณ์มากยิ่งขน้ึ ๔) ปรบั ปรุงใหม่ (Redesign) ครูผู้สอนดำเนินการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้อีกครั้งโดยจัดทำแผนการจัด กิจกรรมการเรยี นรูแ้ บบ ๕ ข้ัน ตามคำแนะนำและขอ้ สงั เกตท่ีได้จากชุมชนแหง่ การเรียนรู้ทางวิชาชีพ ดังน้ี ๔.๑) ขั้นระบุปญั หา ครูใหน้ กั เรียนสังเกตขอ้ มูลข่าวสารดา้ นวทิ ยาศาสตรส์ ุขภาพที่มี ความเกี่ยวข้องกับการป้องกันและรักษาโรค อาทิ โรคไข้หวัดใหญ่, โรคโปลิโอ พร้อมทั้งตั้งประเด็น คำถามทีส่ ัมพันธก์ ับการเจบ็ ปว่ ยของนกั เรยี น และการป้องกนั รกั ษา เมอ่ื นักเรียนมอี าการเจบ็ ปว่ ย ๔.๒) ขนั้ แสวงหาสารสนเทศ ครแู บ่งกลุ่มนกั เรยี นทำกิจกรรม โดยให้ร่วมกันศึกษา กรณีศึกษา ซึ่งเป็นข้อมมูลเร่ืองเล่าเกี่ยวกับความผิดปกติของร่างกายที่ครูเตรียมให้ จากนั้นกำหนด ประเด็นให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับกรณีศึกษาดังกล่าวจากเอกสารประกอบกรณีศึกษา ได้แก่ ความผิดปกติทเ่ี กิดข้ึนคืออะไร, อาการท่ีเกดิ ข้นึ เปน็ อย่างไรบ้าง และวิธกี ารปอ้ งกันหรือการรักษาท่ีใช้ กบั ความผิดปกตดิ ังกลา่ ว พรอ้ มทงั้ ตอบคำถามลงแบบบันทึกกจิ กรรมทีค่ รูเตรยี มให้ ใหน้ ักเรยี นสบื คน้ ขอ้ มูลเกี่ยวกับประเภทของระบบภูมิคุ้มกนั จากบทความ ใบ ความรู้ และอนิ เทอร์เน็ตโดยกำหนดประเด็นในการสืบค้นขอ้ มูล ดังน้ี ภูมิคมุ้ กันมีก่ปี ระเภท, ภมู คิ ุม้ กัน แตล่ ะประเภทมคี วามแตกตา่ งกันอย่างไร และภมู คิ มุ้ กนั แต่ละประเภทมีขอ้ ดีหรอื ขอ้ เสยี อย่างไรบ้าง
๘ ๔.๓) ขั้นสร้างความรู้ นักเรียนรว่ มกันสรุปข้อความรู้ที่ได้จากการศึกษากรณีศกึ ษา และการสืบค้นข้อมูลประเภทของภูมิคุ้มกัน พร้อมทั้งสร้างผังกราฟฟิกสรุปความรู้และแสดงความ แตกตา่ งของภมู ิคุ้มกันแตล่ ะประเภทลงในแบบบนั ทกึ กิจกรรมของตนเอง รวมถงึ ให้นกั เรยี นแขง่ ขนั กนั ทำกิจกรรมปริศนาอักษรไขว้เกี่ยวกับคำศัพท์และความหมาย ในแบบบันทึกกิจกรรมที่ครูเตรียมให้ กลมุ่ ใดทีท่ ำปรศิ นาอักษรไขว้ ถกู ต้องและเสร็จไวทสี่ ุดจะไดร้ ับรางวลั ๔.๔) ขั้นสื่อสาร ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอผังกราฟฟิกสรุปความผิดปกติ ของกรณีศึกษา และผังกราฟฟิกประเภทของภูมิคุ้มกันด้วยการแลกเปลี่ยนกระดาษฟลิปชาร์ท ระหว่างกลมุ่ พรอ้ มกับใหแ้ ต่ละกลมุ่ ทำสญั ลักษณเ์ พอื่ แสดงความสอดคลอ้ งของข้อมูล ๔.๕) ขั้นตอบแทนสังคม นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันสร้างโปสเตอร์สรุปข้อมูล เกี่ยวกบั ประเภทของภูมคิ ุม้ กนั เพอ่ื ใช้ข้อมูลดังกล่าวในการทบทวนความรู้ของตนเองกอ่ นสอบ ภาพท่ี ๑ ภาพบรรยากาศกจิ กรรมการเรยี นรู้ ข้นั ตรวจสอบ (Check) ๑) จัดทำเอกสารสรปุ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และเอกสารการดำเนนิ กิจกรรม ชมุ ชนการเรียนรู้ทางวชิ าชีพในการพฒั นานวตั กรรมการเรียนการสอนเพอื่ สำเสนอต่อผ้บู ริหาร และผู้มี สว่ นเกยี่ วขอ้ งตอ่ ไป
๙ ๒) นำเสนอแนวทางในการพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนและผลที่เกิดขึ้นจากการ พัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนร่วมกับสมาชิกครูในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรแู้ ละนำข้อสังเกตประยุกต์ใชใ้ นการดำเนนิ การคร้งั ตอ่ ไป ๓) นำผลงานของผู้เรียนที่เกิดขึ้นจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เข้าร่วมจัดแสดงใน โอกาสตา่ ง ๆ ภาพที่ ๒ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภายในกลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี โรงเรียนสรรพยาวทิ ยา ข้ันปรับปรงุ และพัฒนา (Act) ครูผู้สอนผลการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ประเภทของภูมิคุ้มกัน โดยใช้การ จัดการเรียนรู้แบบ ๕ ขั้นเพื่อส่งเสริมสมรรถนะการแปลความหมายข้อมูลและประจักษ์พยานในเชงิ วทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ ๔ โรงเรยี นสรรพยาวทิ ยา เขา้ รว่ มแลกเปลยี่ นเรียนรู้ผ่าน เครือข่ายทางวิชาการ อาทิ ครูผู้สอนต่างกลุ่มสาระการเรยี นรู้ หรือครูผู้สอนในกลุ่มสาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ต่างโรงเรียน รวมถึงการแลกเปลี่ยนเรยี นรู้กับนักวิชาการตามโอกาสอัน เหมาะสม เพือ่ นำขอ้ มูลที่ไดม้ าใช้ในการวางแผนปรับปรงุ พฒั นาคุณภาพการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ใน สาระวิทยาศาสตรช์ วี ภาพ และสาระชวี วทิ ยาในปีการศึกษาตอ่ ไป ภาพท่ี ๓ การเขา้ ร่วมกจิ กรรมการอบรมเชงิ ปฏิบตั กิ ารหลกั สตู รการจดั การเรียนการสอนฐานสมรรถนะสาระการ เรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ โดยความร่วมมอื ระหวา่ งมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์และสถาบนั ส่งเสรมิ การสอน วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
๑๐ ๓.๓ ประสทิ ธิภาพของการดำเนนิ งาน ดำเนินการตรวจสอบประสิทธิภาพการดำเนินงานของนวัตกรรมโดยการตรวจสอบ ความเหมาะสมและความเปน็ ไปได้ของกิจกรรมการเรียนรู้ เรอ่ื ง ประเภทภมู ิคุ้มกัน, การเข้ารว่ มสงั เกต การดำเนนิ กจิ กรรมการเรยี นการสอนของสมาชิกในชมุ ชนการเรยี นรู้ทางวิชาชพี , การตรวจสอบความ ตรงเชิงเนอ้ื หา และดัชนีความสอดคลอ้ งระหว่างผู้ประเมนิ ดังนี้ ๑) ความเหมาะสมและความเปน็ ไปได้ของกจิ กรรมการเรยี นรู้ เร่อื ง ประเภทภมู ิคุ้มกนั ๒) ผลการประเมนิ การจดั กิจกรรมการเรยี นการสอน ๓) ประสทิ ธิภาพของเคร่ืองมอื ในการวัดและประเมินผลมีค่าดัชนีความสอดคล้องของ ประเด็นการประเมนิ และวัตถปุ ระสงค์ (Index of Objective Congruence: IOC) มคี ่าเท่ากับ ๑.๐๐ ทกุ ประเดน็ สามารถนำไปใชใ้ นการวดั และประเมินผลได้ ๔) ดัชนีความสอดคล้องระหว่างผู้ประเมิน (Inter-rater Reliability) มีค่าเท่ากับ ๐.๙๔ ทกุ ประเด็นสามารถนำไปใชใ้ นการวดั และประเมนิ ผลได้ ๓.๔ การใช้ทรพั ยากร ๑) ทรัพยากรบุคคล (Man) ประกอบด้วย ครูผู้สอน, นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๓ โรงเรียนสรรพยาวทิ ยา, ครูกล่มุ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี, และ คณะผบู้ รหิ ารโรงเรียนสรรพยาวทิ ยา, ๒) ทรัพยากรดา้ นสื่อการเรียนรู้ (Material) ดำเนนิ การจัดทำส่ือสิง่ พมิ พ์ ส่อื เทคโนโลยี และเอกสารประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ดงั นี้ เร่ืองเล่ากรณีศึกษาเก่ียวกับประเภทของ ภูมิคุ้มกัน, แบบบันทึกกิจกรรม เรื่อง ประเภทภูมิคุ้มกัน, เอกสารประกอบกิจกรรมการเรียนรู้, ใบความรู้ เรื่อง ประเภทของภูมิคุ้มกัน, บทความ เรื่อง อิมมูน-ภูมิคุ้มกัน (อีกครั้ง) และสื่อพาวเวอร์ พ้อย เร่อื ง ประเภทภมู ิค้มุ กัน ๓) ทรัพยากรดา้ นงบประมาณ (Money) ได้รบั การสนบั สนนุ งบประมาณจากโรงเรียน สรรพยาวิทยาผ่านการเบิกจ่ายกระดาษสำหรับการจัดทำสื่อสิ่งพิมพ์ และเอกสารประกอบการจัด กจิ กรรมการเรยี นการสอน ๔) ทรัพยากรด้านการบริหารจัดการ (Management) ได้รับการสนับสนุนจากคณะ ผู้บริหารโรงเรียนสรรพยาวิทยา และหัวหน้ากลุม่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ในการ จัดตั้งกลุ่มเพื่อการขับเคลื่อนกิจกรรมชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ส่งผลให้เกิดการพัฒนานวัตกรรม การจัดการเรียนการสอนในครั้งนี้ รวมถึงการสนับสนุนการบริหารจัดการทางด้านกายภาพทำให้มี หอ้ งเรียนทพ่ี ร้อมต่อการดำเนนิ กิจกรรมและมีสภาพแวดลอ้ มเอื้อต่อการเรียนรู้
๑๑ ๔. ผลการดำเนินงาน/ประโยชนท์ ีไ่ ดร้ บั ๔.๑ ผู้เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนสรรพยาวิทยา ร้อยละ ๘๐ ได้รับ การสง่ เสรมิ พฒั นาสมรรถนะการแปลความหมายขอ้ มูลและประจักษพ์ ยานในเชงิ วทิ ยาศาสตรผ์ า่ นการ จดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ เรือ่ ง ประเภทภูมิคมุ้ กนั ๔.๒ ผูเ้ รยี นระดบั ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๔ โรงเรยี นสรรพยาวทิ ยา ร้อยละ ๗๐ มผี ลการประเมิน สมรรถนะการแปลความหมายขอ้ มูลและประจกั ษพ์ ยานในเชงิ วทิ ยาศาสตรร์ ะดับปานกลางข้นึ ไป ๔.๓ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนสรรพยาวิทยา มีนวัตกรรม การจัดการเรยี นการสอนทเ่ี กดิ ขึ้นจากชนุ แหง่ การเรยี นรู้ทางวิชาชพี เพม่ิ ข้นึ อยา่ งน้อย ๑ กิจกรรม ๔.๔ ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนสรรพยาวิทยาสามารถ จัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาสมรรถนะการแปลความหมายข้อมูลและประจักษ์พยานใน เชงิ วทิ ยาศาสตร์ใหเ้ กิดข้นึ แก่ผเู้ รียนได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ ๔.๕ ชมุ ชนแหง่ การเรยี นรู้ทางวิชาชพี กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ได้รับ การขบั เคลอ่ื นส่งผลใหเ้ กิดพัฒนานวตั กรรมการจัดการเรยี นการสอนทม่ี ีคณุ ภาพ นอกจากนั้นนวัตกรรมการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ประเภทของภูมิคุ้มกัน โดยใช้ การจัดการเรียนรู้แบบ ๕ ขั้นเพือ่ ส่งเสริมสมรรถนะการแปลความหมายข้อมูลและประจักษพ์ ยานใน เชงิ วทิ ยาศาสตร์ ยงั สง่ ผลใหไ้ ดร้ ับประโยชนใ์ นแต่ละมิติ ดังนี้ ๑) ผู้เรียน ได้รับการฝึกฝนพัฒนาสมรรถนะการแปลความหมายข้อมูลและประจักษ์ พยานในเชิงวทิ ยาศาสตร์ตามแนวทางการประเมนิ ของโครงการประเมนิ ผลนกั เรยี นรว่ มกบั นานาชาติ (Programme for International Student Assessment: PISA) ผ่านการจัดกิจกรรมการเรียนการ สอนแบบบูรณาการรหว่างวิธีการสอนแบบสืบสอบ และวิธีการสอนแบบกรณีศึกษา โดยอาศัย หลกั การจดั กิจกรรมการเรียนรแู้ บบ ๕ ขน้ั ในการขับเคล่ือน ส่งผลใหผ้ ้เู รียนได้รบั การพัฒนาสมรรถนะ สำคัญเพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพภายใต้สภาวการณ์เปลี่ยนแปลงอย่าง รวดเร็วของสื่อ และข้อมูลข่าวสารในศตวรรษที่ ๒๑ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงก่อนการเข้าสู่การจัด การเรยี นร้โู ดยใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ ๒) ครผู ู้สอน มคี วามสามารถในการออกแบบ พัฒนา นวัตกรรมการเรยี นการสอน และ จัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาสมรรถนะการแปลความหมายข้อมูลและประจักษ์พยานใน เชิงวิทยาศาสตร์ให้แกผ่ ู้เรียนได้อย่างมีคุณภาพ ส่งผลให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาอย่างครอบคลุม และ รอบด้านในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนทั้งด้านความรู้, ทักษะกระบวนการ, คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ และสมรรถนะ ๓) สถานศึกษา มีนวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนอย่างมี ประสทิ ธิภาพ มีผลงานเป็นทีป่ ระจักษ์
๑๒ ๕. ปัจจัยความสำเร็จ ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ประเภทของภูมิคุ้มกัน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ ๕ ขั้นเพื่อส่งเสริมสมรรถนะการแปลความหมายข้อมูลและประจักษ์ พยานในเชิงวิทยาศาสตร์ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนสรรพยาวิทยา จำแนก ออกเปน็ ๕ ด้าน ดังน้ี ๕.๑ ปจั จยั แห่งความสำเร็จด้านนักเรยี น ๑) ผู้เรียนให้ความสนใจและให้ความร่วมมือในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดย การร่วมกันศึกษาข้อมลู วเิ คราะห์ อภิปราย และลงขอ้ สรุปในการเลอื กใชข้ อ้ มูลเพอ่ื ตอบคำถามภายใน แบบบันทกึ กจิ กรรม ซึ่งเป็นการลงมอื ปฏบิ ัตแิ ละสร้างความรูด้ ้วยตนเอง ๒) ผู้เรียนแต่ละกลุ่มถูกจัดให้คละระหว่างกลุ่มเก่ง กลาง อ่อน ทำให้เกิดความ หลากหลายทางด้านเจตคติและความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ส่งผลต่อความท้าทายในการ แลกเปลยี่ นเรียนรู้ และการสืบเสาะหาความรูผ้ ่านการทำกจิ กรรม ๕.๒ ปจั จัยแหง่ ความสำเรจ็ ดา้ นครูผู้สอน ๑) ครูผสู้ อนเขา้ ใจสภาพปัจจุบนั ปญั หา และแนวโนม้ จดุ เน้นทางการศกึ ษาในอนาคตที่ มีความสำคัญต่อผู้เรียน รวมถึงข้อมูลพื้นฐาน ธรรมชาติของผู้เรียน และพื้นฐานเดิมของผู้เรียนเพื่อ นำมาเปน็ ขอ้ มูลในการออกแบบกิจกรรมการเรยี นรู้ ๒) ครูผู้สอนมีความมุ่งหวังที่จะพัฒนาผู้เรียนผ่านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อยา่ งรอบ ด้านทั้งความรู้ ทักษะกระบวนการ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และสมรรถนะ ในทุกครั้งที่มี การออกแบบ หรือดำเนนิ กิจกรรมการเรียนการสอน ๓) ครูผู้สอนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสมรรถนะการแปลความหมายข้อมูลและ ประจกั ษพ์ ยานในเชิงวิทยาศาสตร์ ภายใตป้ ระเดน็ ความฉลาดทางวทิ ยาศาสตรข์ องกรอบการประเมิน ของโครงการประเมนิ ผลนักเรยี นรว่ มกับนานาชาติ ๔) ครูผู้สอนมีความสามารถในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ตามทฤษฎีการสร้าง ความรู้ด้วยตนเอง และการบูรณาการเทคนิควิธีการสอนที่หลากหลายทั้งสืบสอบ และกรณีศึกษา เพอ่ื ให้ผเู้ รยี นเกดิ การเรียนรู้อย่างมีคณุ ภาพผา่ นกระบวนการจัดการเรยี นรู้แบบ ๕ ขน้ั ๕) ครูผู้สอนวิเคราะห์ แยกแยะความแตกต่าง และพิจารณาความสอดคล้อง รวมถึง ความน่าเชอื่ ถือของสือ่ เพ่อื นำมาใชใ้ นการจัดทำเอกสารประกอบการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน ๖) ครูเข้าใจ และสามารถดำเนินการตามกระบวนการศึกษาบทเรียน (Lesson Study) ร่วมกนั ผ่านการดำเนนิ การชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ทำให้เกดิ การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียน การสอนและนวัตกรรมการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพ
๑๓ ๕.๓ ปัจจยั แห่งความสำเร็จด้านการบรหิ าร ๑) ผู้บริหารสถานศึกษาเล็งเห็นถึงความสำคัญและส่งเสริมให้ครูผู้สอนทุกรายวิชามี การพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนของตนเอง ๒) ผบู้ รหิ ารสถานศึกษาสนบั สนนุ และสง่ เสริมการพฒั นาศักยภาพครูตามความสนใจ ๓) ผู้บริหารสถานศึกษามีนโยบายในการสนับสนุนวัสดุ อุปกรณ์ ในการจัดการเรียน การสอนและการปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้แก่ครู ผ่านการดำเนินงานด้านของงานแผนงาน และพมั ดุสถานศึกษา ๓) ผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษากระตุน้ ใหห้ ัวหนา้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ขับเคล่ือนการดำเนินการ กิจกรรมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ เพื่อเป็นพื้นที่ในการพัฒนาวิชาชีพเปิดโอกาสให้เกิด การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างครูภายในโรงเรียน และพัฒนานวัตกรรมการจัดกิจกรรมการเรียน การสอนเพื่อการพัฒนาผ้เู รยี นอย่างมคี ุณภาพ ๔) ผู้บริหารสถานศึกษามีการดำเนินการนเิ ทศ ติดตาม และให้กำลังใจการปฏิบัติหน้าท่ี ของครูผู้สอนอยู่ โดยในด้านวิชาการได้มีการกำหนดปฏิทินในการนิเทศชั้นเรียนและเยี่ยมชั้นเรียน ๑ ครั้ง/๑ ภาคการศึกษา ทำให้ครูผู้สอนได้รับข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) เพื่อนำไปใช้ใน การปรบั ปรงุ และพฒั นาการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนของตนเองอย่างตอ่ เนอื่ ง ๕.๔ ปัจจยั แห่งความสำเร็จด้านสถานศึกษา ๑) โรงเรียนสรรพยาวิทยามีความพร้อมทั้งด้านสื่อ เทคโนโลยีในการจัดกิจกรรมการ เรียนการสอนภายในหอ้ งเรยี น อาทิ เครื่องฉาย, โทรทัศน์, เคร่ืองขยายเสียง ทำใหก้ ารจัดกิจกรรมการ เรยี นการสอนสามารถดำเนนิ ไปไดอ้ ยา่ งราบรืน่ ๒) โรงเรียนสรรพยาวิทยามีการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา และหลักสูตรกลุ่มสาระ การเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีท่ีมีความสอดคลอ้ งกับหลักสูตร หลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ในการส่งเสริมผู้เรียนทั้งด้านความรู้ ทกั ษะกระบวนการ คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ และสมรรถนะ ๓) โรงเรียนสรรพยาวิทยามีจุดม่งุ เน้นในการจัดการศกึ ษาเพ่ือการสร้างผ้เู รียนที่มีความรู้ คู่คุณธรรม มุ่งเน้นการพัฒนาความรู้ความสามารถโดยเน้นผูเ้ รียนเปน็ สำคัญด้วยการสรา้ งบรรยากาศ ทางวชิ าการที่เอ้อื ต่อการเรียนรู้ ควบคูไ่ ปกับการปลูกฝงั คุณธรรมให้แก่ผู้เรียนผ่านการดำเนินกิจกรรม ร่วมกัน อาทิ กจิ กรรมหนา้ เสาธง, กจิ กรรมเปิดโลกวิชาการเปดิ บา้ นคุณธรรม ๕.๕ ปจั จยั แห่งความสำเรจ็ ดา้ นชุมชน ๑) คณะกรรมการสถานศกึ ษาข้นั พน้ื ฐานให้การสนบั สนนุ การดำเนินการของสถานศึกษา ในการพัฒนาศักยภาพครูผู้สอนและการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้เป็นอย่างดี อีกทั้งมีความ พึงพอใจตอ่ ภาพรวมในการจดั การศึกษาของสถานศกึ ษา
๑๔ ๒) ชมุ ชนให้ความเช่ือม่ันในศักยภาพของสถานศกึ ษาที่มีการดำเนนิ การจัดการเรียนการ สอนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อการพัฒนาผู้เรียนให้สำเร็จการศึกษาอย่างมีคุณภาพ รวมทั้งให้การ สนบั สนุนการดำเนนิ กิจกรรมของสถานศกึ ษาอย่างสม่ำเสมอ ๓) หน่วยงานราชการในพ้ืนที่ให้ความอนุเคราะห์ในการมีสว่ นร่วมเพอ่ื ให้เกิดการพัฒนา ผู้เรียนอย่างรอบด้านทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา และสังคม อาทิ โรงพยาบาลสรรพยา, สถานพินิจ และคมุ้ ครองเดก็ และเยาวชนจังหวัดชัยนาท ๖. บทเรียนท่ไี ด้รบั การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ประเภทของภูมิคุ้มกัน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ ๕ ขั้นเพื่อส่งเสริมสมรรถนะการแปลความหมายข้อมูลและประจักษ์พยานในเชิงวิทยาศาสตร์ของ นกั เรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 4 โรงเรียนสรรพยาวิทยา ส่งผลให้ผเู้ รียนได้คดิ วเิ คราะห์ ลงมือปฏิบัติจริง เพือ่ สร้างองค์ความรผู้ ่านกจิ กรรมการเรียนร้แู บบ ๕ ขนั้ เกดิ การพฒั นาผูเ้ รียนอยา่ งรอบด้านท้ังความรู้ , ทักษะกระบวนการ, คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และสมรรถนะ เพิ่มขีดความสามารถของผู้เรียนใน การพัฒนาตนเอง และต่อยอดความคดิ เพอ่ื การพฒั นาต่อไปในอนาคต ครูผู้สอนและสมาชกิ ชมุ ชนการ เรยี นรทู้ างวชิ าชพี ได้มีโอกาสเรยี นรแู้ นวทางการดำเนินกจิ กรรมชมุ ชนการเรียนรทู้ างวชิ าชีพเพือ่ พฒั นา นวัตกรรมการจัดการเรียนการสอน มีโอกาสในการเข้าร่วมสังเกตการณส์ อน แลกเปลี่ยนเรยี นรู้ และ ตง้ั ขอ้ สงั เกตเพอ่ื การพัฒนากิจกรรมการเรยี นทีม่ คี ุณภาพ จากการใช้นวัตกรรม พบว่า การดำเนินกจิ กรรมโดยใช้การจดั การเรียนรู้แบบ ๕ ขั้น ผู้เรียน ให้ความรว่ มมือในการปฏิบัตกิ ิจกรรมทัง้ การสืบเสาะแสวงหาความรูจ้ ากขอ้ มูลหรอื เอกสารประกอบท่ี ครูเตรียมให้ รวมถึงการสร้างผังกราฟฟิกเพื่อสรุปองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ ซึ่งจากการทำ กิจกรรมดังกล่าวเป็นการเสริมสร้างผู้เรียนให้เกิดสมรรถนะการแปลความหมายข้อมูลและประจักษ์ พยานในเชงิ วิทยาศาสตร์บรรลุตามวัตถุประสงค์ทัง้ วตั ถุประสงค์การเรียนรใู้ นกิจกรรมการเรียนรู้ และ วตั ถุประสงค์ในการพฒั นานวัตกรรม ข้อเสนอแนะเพื่อการสร้างนวัตกรรมครั้งต่อไปควรมีการเพิ่มเอกสารประกอบกิจกรรมการ เรยี นรใู้ ห้มคี วามแตกต่างหลากหลายมากขนึ้ ทง้ั ในด้านแหลง่ ทมี่ าของข้อมูล และความน่าเช่ือถือ เพื่อ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้วิเคราะห์ข้อมูลหลักฐานที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้นนำไปสู่การพัฒนาการ ให้เหตุผลสนับสนุนการโต้แย้ง รวมถึงควรมีการพัฒนาเครื่องมือในการวัดและประเมินผลในการ ดำเนินการวัดและประเมินผลสมรรถนะการแปลความหมายข้อมูลและประจักษ์พยานในเชิง วิทยาศาสตร์ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับเครื่องมือในการประเมินของ โครงการประเมินผลนักเร ียน นานาชาติ
๑๕ ๗. การเผยแพร/่ การได้รับการยอมรบั การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ประเภทของภูมิคุ้มกัน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ ๕ ขั้นเพื่อส่งเสริมสมรรถนะการแปลความหมายข้อมูลและประจักษ์พยานในเชิงวิทยาศาสตร์ของ นักเรียนระดับชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนสรรพยาวิทยา ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนประสบ ความสำเร็จได้ผลผลิตเป็นแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมินผล และสื่อใน การจัดกิจกรรมการเรยี นรูท้ ีม่ คี ณุ ภาพ โดยข้าพเจ้าไดด้ ำเนินการเผยแพร่ผลงาน ดงั น้ี ๗.๑ การเผยแพร่ ด้านการเผยแพร่ข้าพเจ้านำเสนอผลการดำเนินงานการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ประเภทของภูมิคุ้มกนั โดยใช้กระบวนการชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะ การแปลความหมายข้อมูลและประจกั ษพ์ ยานในเชงิ วทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียนระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนสรรพยาวิทยา โดยได้มีการอัปโหลดภาพ และแนวคิดในการจัดกิจกรมการเรียนรู้ผ่าน เฟซบุค๊ สว่ นบคุ คล ชอ่ื Rawat Yukerd พรอ้ มทง้ั นำเสนอผลการดำเนนิ งานใหแ้ ก่ชมุ ชนการเรยี นรู้ทาง วชิ าชีพ และสมาชกิ ในกลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทราบและพิจารณา เพื่อสร้าง แรงบนั ดาลใจในการพัฒนานวัตกรรมการจดั การเรยี นการสอนท่มี คี ุณภาพต่อไป ๗.๒ การไดร้ บั การยอมรบั ข้าพเจา้ เข้ารว่ มกิจกรรมการอบรมเชิงปฏิบตั ิการหลักสูตรการจดั การเรียนการสอนฐาน สมรรถนะสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ โดยความรว่ มมอื ระหว่างมหาวทิ ยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ และ สถานบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้มีโอกาสได้นำเสนอผลการดำเนินงาน การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ เร่อื ง ประเภทของภูมิคุ้มกนั โดยใช้กระบวนการชุมชนการเรียนรู้ทาง วิชาชีพ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการแปลความหมายข้อมลู และประจักษ์พยานในเชิงวิทยาศาสตร์ของ นกั เรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี ๔ โรงเรยี นสรรพยาวิทยา ให้แก่วทิ ยากรและผู้เขา้ รว่ มการอบรมเพื่อ เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และนำข้อสังเกต และข้อเสนอแนะจากวิทยากรและผู้เข้าร่วมการอบรม มาปรบั ปรงุ และพฒั นาการจัดกิจกรรมการเรียนรใู้ หม้ คี ุณภาพมากยิ่งขนึ้
๑๖ ขอรับรองว่ารายงานนวัตกรรม/วิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practices) เรื่อง การพัฒนา กิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ประเภทของภูมิคุ้มกัน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ ๕ ขั้น เพื่อส่งเสริม สมรรถนะการแปลความหมายข้อมูลและประจักษ์พยานในเชิงวิทยาศาสตร์ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนสรรพยาวิทยา ของนายเรวัตร อยู่เกิด สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษาอุทยั ธานี ชัยนาท ฉบับนี้ เป็นผลงานทีเ่ กดิ จากการปฏิบัติงานในหน้าท่ี ไม่เป็น สว่ นหน่ึงของการศึกษาเพื่อรับปริญญาใด ๆ หรอื เป็นผลงานทางวิชาการเพือ่ ขอมีหรือเล่ือนวิทยฐานะ และเป็นผลงานที่ดำเนินการมาแล้วในปีการศึกษา 2562 ถึง 2564 และไม่เคยได้รับรางวัลใน ระดบั ประเทศหรอื เทียบเท่ามากอ่ น (นายเรวัตร อย่เู กิด) ผสู้ มัคร ตำแหน่ง ครู วนั ท่ี ๒๔ เดอื น สงิ หาคม ปีพ.ศ. ๒๕๖๔
๑๗ เอกสารอ้างองิ ทศิ นา แขมณ.ี (๒๕๖๑). ศาสตร์การสอน องค์ความรเู้ พอ่ื การจัดกระบวนการเรยี นรู้ทม่ี ปี ระสิทธิภาพ (พิมพ์คร้งั ท่ี ๒๒). กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั พัดตาวนั นาใจแกว้ . (๒๕๕๗). แบบจำลองทางเลือกสำหรบั การจัดกิจกรรมการเรยี นรูเ้ พอื่ แสดงเวลา ขึ้นและตกโดยประมาณของดวงจันทร์และหน่วยเวลา โมงเช้า โมงเย็น ทุ่ม ตี. อุดรธานี: มหาวทิ ยาลัยราชภฎั อดุ รธานี. พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข. (๒๕๕๗). สอนเขียนแผนบรู ณาการบนฐานเด็กเป็นสำคัญ (พมิ พ์ครง้ั ที่ ๔). กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ______________________________. (๒๕๕๘). รู้เนื้อหาก่อนสอนเก่ง การเปลี่ยนวัฒนธรรม คุณภาพในศตวรรษที่ ๒๑ (พิมพ์ครั้งที่ ๒). กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั . ______________________________. (๒๕๖๑). การเรียนรู้เชิงรุกแบบรวมพลังกับPLCเพื่อการ พัฒนา (พมิ พค์ รัง้ ท่ี ๒). กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . โรงเรียนสรรพยาวิทยา. (๒๕๖๓). รายงานประจำปีของสถานศึกษา ปีการศึกษา ๒๕๖๒. ชัยนาท: โรงเรียน. วัชราภรณ์ ฟองจันทร์. (๒๕๕๗). ผลการจัดการเรยี นรู้แบบวฏั จกั รสืบเสาะหาความรู้ ๗ ขั้น ร่วมกับ เทคนคิ ผังกราฟฟกิ วชิ าชีววทิ ยา เร่อื ง ระบบตอ่ มไร้ทอ่ สำหรับนักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๕ [บทคัดยอ่ ]. Veridian E-Journal, ๘, ๓๐๑ - ๓๑๔. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (๒๕๕๔). คู่มือครู รายวิชาพื้นฐาน ชีววิทยา. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์ สกสค. ลาดพรา้ ว. สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน และสถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละ เทคโนโลยี. (๒๕๖๐). ตัวชวี้ ดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลางกลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ชุมนมุ สหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำกดั . Deming, W.E. (1952). Elementary Principles of the Statistical Control of Quality: a series of lectures. Nippon Kagaku Gijutsu Remmei.
๑๘ ภาคผนวก ก แผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ เอกสาร ส่ือประกอบการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ และการวดั ประเมนิ ผล
โรงเรยี นสรรพย กลุ่มสาระการเรยี นรู้ว แผนการจัดการเรียนรู้ เรอื่ ง ภาคการศกึ ษาต้น ปีการศกึ ษา 2563 ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 4/พ, 4/1 และ4/2 สาระท่ี 1 วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว1.2 เขา้ ใจสมบตั ขิ องสงิ่ มชี ีวติ หน่วยพืน้ ฐานของสิ่งมีชวี ติ การลำเลียงสาร ต่าง ๆ ของพชื ที่ทำงานสัมพันธ์กนั รวมทั้งนำความร้ไู ปใช้ประโยชน์ ตัวช้วี ัด ม.4/2 อธิบายการควบคุมดุลยภาพของนำ้ และสารในเลอื ดโดยการท
๑๙ ยาวทิ ยา วิทยาศาสตร์ ง ประเภทภมู ิคุ้มกนั รายวชิ า วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ ว30107 ผสู้ อน นายเรวัตร อยูเ่ กดิ รเขา้ และออกจากเซลล์ ความสมั พันธข์ องโครงสรา้ ง และหน้าท่ขี องอวัยวะ ทำงานของไต
วัตถุประสงค์ สาระการเรยี นรู้ กจิ การเรยี นรู้ นักเรยี น ด้านความรู้(K) ขน้ั ระบปุ ัญหา สามารถ ภูมิคุม้ กนั ก่อเอง 1. ครูแสดงภาพข 1. อธบิ าย ความหมาย (Active Immunization) กรงุ เทพมหานคร (ส ของภูมคิ ุม้ กนั เป็นวิธีกระตุ้นภูมิใหร้ ่างกายสร้างแอนตบิ อดี แบบกอ่ เอง เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันต้านทานสิ่งแปลกปลอมที่ และภูมิคมุ้ กนั แบบรับมาได้ เขา้ มา โดยอาจเปน็ การนำเช้อื โรคที่อ่อนฤทธ์ิ (K) หรือตายแล้ว ไม่ก่อให้เกิดโรค มากระตุ้นให้ 2. เปรยี บเทียบ ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน เรียกว่า วัคซีน ความแตกต่าง (Vaccine) เช่น วัคซีนป้องกันโรคไอกรน ระหว่าง ภูมิค้มุ กนั แบบ วัคซีนป้องกนั โรคหดั วคั ซีนป้องกนั โรคโปลิโอ กอ่ เองและ นอกจากนั้นวัคซีนอาจเป็นสารพิษที่ถูกทำให้ ภูมคิ ุม้ กนั แบบ หมดสภาพ เรียกว่า ทอกซอยด์ (Toxoid) รับมากได้ (P) 3. สร้างผงั เช่น วคั ซนี คมุ้ กันโรคบาดทะยกั กราฟฟิก ภูมคิ มุ้ กนั รบั มา (Passive mmunization) ภาพที่ 1 ภาพแสด เป็นการให้แอนติบอดีโดยตรงเพื่อให้มี ก ภูมิคุ้มกันทันที โดยแอนติบอดีได้มาจากการ ฉีดเชื้อที่อ่อนกำลังแล้วเข้าไปในสัตว์ แล้วนำ เลือดของสัตว์มาสกัดส่วนที่เป็นแอนติบอดี
๒๐ จกรรมการเรียนรู้ สื่อและอปุ กรณ์ ประเมนิ ผลการ การเรียนรู้ เรยี นรู้ 1. กรณีศึกษา 1. ประเมนิ การ ข่าวการระบาดของไขห้ วัดใหญใ่ น เก่ยี วกับระบบ อธิบายความหมาย ส่งิ เรา้ ) ภูมคิ ุ้มกัน จำนวน และเปรียบเทยี บ 3 กรณี ความแตกตา่ ง 2. เอกสาร ระหวา่ งภูมิคมุ้ กัน ประกอบ แบบกอ่ เอง กรณศี ึกษา ภมู คิ มุ้ กันแบบ 3. แบบบนั ทึก รับมาจากการตอบ กิจกรรม คำถามลงในแบบ 4. กระดาษ A3 บันทึกกจิ กรรม 5. ปากกาสี 2. ประเมินการ 6. ใ บ ค ว า ม รู้ สร้างผังกราฟฟกิ เรอ่ื ง ประเภทของ เกี่ยวกับขอ้ มูลของ ภูมิคุ้มกนั ภมู ิคุ้มกันแบบก่อ ดงขา่ วการระบาดของไขห้ วดั ใหญใ่ น 7. บทความ เองและภมู คิ ุ้มกัน กรงุ เทพมหานคร เรือ่ ง อิมมนู - แบบรบั มาโดยใช้ ภูมิคมุ้ กัน (อีก แบบประเมนิ ทกั ษะ ครัง้ ) การสร้างผัง กราฟฟกิ
วัตถุประสงค์ สาระการเรียนรู้ กจิ การเรยี นรู้ เกีย่ วกับขอ้ มูล ฉีดเข้าใหก้ บั ผูป้ ่วยเพือ่ รักษาโรค เชน่ ซีรัมแก้ จากนน้ั ใชค้ ำถาม ของภูมิค้มุ กัน พษิ งู ซรี ัมแก้พิษสนุ ัขบ้า 1.1 จากภาพเป แบบก่อเอง การระบาดของไขห้ ว และภูมคิ ุ้มกนั ดา้ นทักษะกระบวนการ (P) 1.2 นักเรียนค แบบรับมาได้ 1. ความสามารถในการในการสอื่ สาร วธิ กี ารปอ้ งกนั หรอื ร (P) (การพดู การเขียน) (คำตอบตามประสบ 4. เปน็ ผูม้ ี 2. ความสามารถในการคิด 1.3 นักเรียนเค ความมงุ่ มั่น (การวิเคราะห์) หรือไม่ (คำตอบต ต้งั ใจในการ 3. ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวติ (สงสยั ) ทำงาน (A) (กระบวนการกลุ่ม) 1.4 เมื่อนักเร 5. กล่าวอ้าง 4. ความสามารถในการแกป้ ญั หา เจ็บป่วยเหล่านั้นห และใหเ้ หตุผล (-) ประสบการณข์ องนัก สนับสนุน 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 2. ครูกล่าวว่า “น หลักฐานทาง (สืบค้นขอ้ มลู ผ่านจากอินเทอรเ์ น็ต) เจ็บป่วยต่าง ๆ มีคว วิทยาศาสตร์ได้ ในร่างกายมนษุ ย์หร ดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A) ครูเปิดโอกาสให ความมงุ่ มั่นในการทำงาน ความสัมพันธ์ของก และภูมคิ ุ้มกันในมน ในสมุดประจำรายวชิ
๒๑ จกรรมการเรียนรู้ ส่ือและอปุ กรณ์ ประเมนิ ผลการ การเรยี นรู้ เรียนรู้ ม ดังน้ี (สงั เกต) 8. ส่อื พาวเวอร์ 3. ประเมินความ ป็นภาพแสดงสิ่งใด (ข่าวเกี่ยวกับ พอ้ ย เรอ่ื ง ม่งุ มน่ั ในการทำงาน โดยใช้แบบประเมนิ วดั ใหญ)่ ภูมิคุ้มกันแบบก่อ ความมุ่งมน่ั ในการ ิดว่าในการแพทย์ในปัจจุบันมี เองและภมู ิคมุ้ กัน ทำงาน 4. ประเมิน รกั ษาโรคดังกลา่ วไดอ้ ย่างไร แบบรับมา สมรรถนะตามแนว บการณข์ องนักเรยี น) PISA โดยใช้แบบ สงั เกตพฤติกรรม คยมีอาการเจ็บป่วยหรือไม่สบาย ตามประสบการณ์ของนักเรียน) รียนมีอาการเจ็บป่วย อาการ หายไปได้อย่างไร (คำตอบตาม กเรียน) (ตงั้ สมมตฐิ าน) นักเรียนคิดว่าวิธีการรักษาอาการ วามเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน รอื ไม่ อย่างไร” ห ้ น ั ก เ ร ี ย น ต้ั ง ค ำ ถ า ม เ ก ี ่ ย ว กั บ การรักษาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ นุษย์ พร้อมทัง้ คาดคะเนคำตอบลง ชา
วัตถปุ ระสงค์ สาระการเรียนรู้ กจิ การเรียนรู้ ด้านสมรรถนะตามแนว PISA คำถามสำคัญ ภูม สมรรถนะหลัก - การแปลความหมายข้อมูล อะไรบา้ ง และประจักษพ์ ยานในเชิงวทิ ยาศาสตร์ สมรรถนะย่อย - C5 ประเมนิ ข้อโต้แยง้ ทาง ขัน้ แสวงหาสารส วิทยาศาสตร์และประจักษ์พยานจากแหล่งที่ 1. ครูแบ่งนักเร หลากหลาย (ระดับที่ 1 สามารถประเมินขอ้ นักเรียนกลุ่มละ โต้แย้งและประจักษ์พยานโดยใช้ความรู้เดิม อุปกรณใ์ นการทำกจิ 1.1 แบบบันท อย่างง่ายจากขอ้ มูลทก่ี ำหนดให)้ ภูมคิ มุ้ กนั 1.2 เอกสารประ 1.3 กระดาษ A3 1.4 ปากกาสี 2. จากน้นั ครใู หน้ ศกึ ษากรณศี ึกษา ซงึ่ ผดิ ปกตขิ องรา่ งกาย
๒๒ จกรรมการเรยี นรู้ สื่อและอปุ กรณ์ ประเมินผลการ การเรียนรู้ เรียนรู้ มิคุ้มกันแบ่งออกเป็นกี่ประเภท สนเทศ รียนออกเป็น 3 กลุ่ม จำนวน 3-4 คน จากนั้นครูให้มารับ จกรรมประกอบไปด้วย ึกกิจกรรม เรื่อง ประเภทของ ะกอบกรณีศกึ ษา 3 กั เรียนทำกิจกรรม โดยให้ร่วมกัน งเปน็ ขอ้ มมูลสมมติเกี่ยวกับความ ยทค่ี รูเตรียมให้
วัตถปุ ระสงค์ สาระการเรียนรู้ กจิ การเรยี นรู้ จากนั้นกำหนดป เกี่ยวกับกรณีศึกษ กรณศี กึ ษา ดังน้ี (ว 2.1 ความผดิ ปก 2.2 อาการที่เกิด 2.3 วิธีการป้อง ผดิ ปกติดงั กล่าว พร้อมทั้งตอบคำถ เตรยี มให้ 3. ครูให้นักเรียน ผิดปกติ ในกรณีศึก กระดาษ A3 ที่คร บริเวณหนา้ ชั้นเรียน 4. จากนน้ั ครใู ชค้ ำ 4.1 ความผิด เหมอื นกันหรอื ไม่ อ 4.2 วธิ ีการในกา แต่ละกรณีศกึ ษาเหม
๒๓ จกรรมการเรียนรู้ สื่อและอปุ กรณ์ ประเมินผลการ การเรยี นรู้ เรียนรู้ ประเด็นให้นักเรียนสืบค้นข้อมูล าดังกล่าวจากเอกสารประกอบ วางแผน) กตทิ เ่ี กดิ ขน้ึ คอื อะไร ดขึ้นเป็นอยา่ งไรบา้ ง งกันหรือการรักษาที่ใช้กับความ ถามลงแบบบันทึกกิจกรรมที่ครู นสร้างผังกราฟฟิกเกี่ยวกับความ กษาที่ตนเองได้รับมอบหมายลงใน รูเตรียมให้ พร้อมทั้งนำมาติดท่ี น ำถาม ดงั นี้ ปกติของแต่ละกรณีศึกษา อย่างไร ารรักษาความผิดปกติที่เกิดข้ึนใน มือนกนั หรอื ไม่ อยา่ งไร
วัตถปุ ระสงค์ สาระการเรยี นรู้ กิจ การเรียนรู้ 5. จากนั้นครูกล่า แต่ละกรณีศึกษามีค วัคซีน ทอกซอยด์ แ ดังกล่าวมีความเก่ยี ว 6. ครูให้นักเรีย กจิ กรรม ดังนี้ 6.1 ใบความรู้ เ 6.2 บทความ เร 6.3 กระดาษ A3 7. ครใู หน้ กั เรยี นส ระบบภมู คิ ุม้ กันจาก เน็ท โดยกำหนดปร (วางแผน) 7.1 ภมู คิ ุ้มกนั มกี 7.2 ภูมิคุ้มกันแ อย่างไร 7.3 ภูมิคุ้มกันแ อย่างไรบา้ ง
๒๔ จกรรมการเรยี นรู้ ส่อื และอปุ กรณ์ ประเมนิ ผลการ การเรยี นรู้ เรยี นรู้ าวว่า “การรักษาความผิดปกติใน ความแตกต่างกันไป มีทั้งการฉีด และซีรมั นักเรียนคิดว่าการรักษา วขอ้ งกับระบบภมู ิคุม้ กนั อยา่ งไร” นออกมารับอุปกรณ์ในการทำ เร่ือง ประเภทของภมู คิ ้มุ กนั ร่อื ง อิมมนู -ภมู ิคมุ้ กนั (อกี คร้ัง) 3 สืบค้นข้อมูลเก่ยี วกับประเภทของ กบทความ ใบความรู้ และอินเทอร์ ระเด็นในการสืบค้นข้อมูล ดังนี้ ก่ีประเภท แต่ละประเภทมีความแตกต่างกัน แต่ละประเภทมีข้อดีหรือข้อเสีย
วัตถปุ ระสงค์ สาระการเรียนรู้ กจิ การเรยี นรู้ พร้อมทั้งให้นักเ ผิดปกติที่เกิดขึ้นใน ข้างตน้ นน้ั เปน็ ภูมคิ มุ้ 8. ครูให้นักเรียนส แสดงความแตกต่าง ในสมดุ บันทกึ ประจำ ข้ันสร้างความรู้ 1. ครูให้นักเรียนแ ปริศนาอักษรไขว้ เ ในแบบบันทึกกิจก ปริศนาอักษรไขว้ ถ รางวลั (สือ่ ความหม 2. ครูนำสรุปควา แต่ละประเภท โดย แบบกอ่ เองและภูมิค เป็นผังกราฟฟกิ ในก
๒๕ จกรรมการเรยี นรู้ สอื่ และอปุ กรณ์ ประเมนิ ผลการ การเรียนรู้ เรียนรู้ รียนระบุว่าวิธีการรักษาความ นแต่ละกรณีศึกษาที่ได้ศึกษาไป มกันแบบใด (วิเคราะห)์ สร้างผังกราฟฟิกสรุปความรู้และ งของภูมิคุ้มกันแต่ละประเภทลง ำรายวิชาของตนเอง แต่ละกลุ่มแข่งขันกันทำกิจกรรม เกี่ยวกับคำศัพท์และความหมาย กรรมที่ครูเตรียมให้ กลุ่มใดที่ทำ ถูกต้องและเสร็จไวที่สุดจะได้รับ มาย) ามรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน ยใช้สื่อพาวเวอร์พ้อย ภูมิคุ้มกัน คุม้ กันแบบรับมา (สรปุ ) โดยแสดง การสรปุ บทเรยี น
วตั ถุประสงค์ สาระการเรียนรู้ กิจ การเรียนรู้ ขั้นสือ่ สาร 1. ครูให้นักเรียน สรุปความผิดปกติข ประเภทของภมู ิคุม้ ก ลิปชาร์ทระหว่างก สัญลักษณ์เพอื่ แสดง ขน้ั ตอบแทนสงั ค 1. ครูให้นักเรียนแ สรุปข้อมูลเกี่ยวกับ ข้อมูลดังกล่าวในกา สอบ
๒๖ จกรรมการเรยี นรู้ สื่อและอปุ กรณ์ ประเมนิ ผลการ การเรยี นรู้ เรียนรู้ นแต่ละกลุ่มนำเสนอผังกราฟฟิก ของกรณีศึกษา และผังกราฟฟิก กันด้วยการแลกเปล่ียนกระดาษฟ กลุ่ม พร้อมกับให้แต่ละกลุ่มทำ งความสอดคล้องของข้อมลู คม แต่ละกลุ่มร่วมกันสร้างโปสเตอร์ บประเภทของภูมิคุ้มกัน เพื่อใช้ ารทบทวนความรู้ของตนเองก่อน
๒๗ วันที่………… เดอื น……………………….. พ.ศ. …………… แบบบันทึกกจิ กรรม เร่อื ง ประเภทของภูมคิ มุ้ กัน ชอื่ ……………………………………………………………………………………………………… ชน้ั …………. เลขท่ี……… วัตถปุ ระสงค์ นกั เรียนสามารถ 1. อธบิ ายความหมายของภมู ิคุม้ กนั แบบกอ่ เองและภูมิคมุ้ กันแบบรบั มาได้ 2. เปรยี บเทยี บความแตกต่างระหวา่ งภมู คิ ้มุ กนั แบบกอ่ เองและภูมคิ ุ้มกันแบบรับมากได้ ตอนที่ 1 กรณศี กึ ษา คำชแี้ จง ให้นกั เรยี นศึกษากรณีศึกษา แล้วตอบคำถามใหถ้ ูกต้อง ครอบครัวตัว….ซวย สวัสดีครับผู้อา่ นทุกทา่ น....ถ้าทกุ ท่านได้อ่านข้อความนี้นั่นหมายความว่าผมได้ อะจึ๊ย !! น่ี ไม่ใช่ข้อความพินัยกรรมมอบมรดก มอบสมบัติ มอบตราสารหนี้ใด ๆ ทั้งสิ้นนะครับ แฮ่ ๆ เอาล่ะ แนะนำตัวอยา่ งเป็นทางการกันเลยดกี ว่า ผมมั่นฟา้ นักเรียนช้ันป.4 วยั 10 ขวบ สดใส วันนี้ผมจะพา พวกคณุ ไปรู้จักกบั ครอบครัวของผมกนั มาดูกันซวิ ่าครอบครัวของผมนน้ั จะเปน็ ครอบคัวตัวซวยอย่าง แท้จริงหรือเปลา่ ตามมาเลยครบั ครอบครัวของผมมีสมาชิก 3 คน คือ พ่อของผม นายทรัพย์ แม่ของผม ซ้องปีป และผม มั่นฟ้า พวกเราเปน็ ครอบครัวเล็ก ๆ ฐานะไม่ไดร้ ่ำรวยอะไรมากมายแค่มีบ้านเช่าไม่กี่หลังอยู่ตรงขา้ ม กบั อบต.เทา่ นั้นเอง แตน่ ั่นไมใ่ ชป่ ระเด็นหลักหรอกครับ เรือ่ งราวทัง้ หมดมันเรม่ิ ต้นหลังจากพ่อของผม ได้ชนะการเลอื กต้ังไดเ้ ป็นนากยกอบต. ทำใหพ้ วกเราตัดสินใจท่จี ะไปพักร้อนเลีย้ งฉลองความสำเร็จน้ี ด้วยการไปเท่ียวที่ภูกระดงึ หลังจากขน้ึ ไปชมววิ ทิวทัศน์อนั สวยงามแลว้ ในขณะทพี่ วกเราเดนิ ทางกลับ ลงมาจากภกู ระดงึ นน้ั พ่อของผมผู้มีจิตใจรักการสำรวจไดพ้ าพวกเราเดนิ มาในเส้นทางท่ีไม่ใช่เส้นทาง หลกั ขณะน้ันเองพอ่ กไ็ ดย้ ิงเสยี งขูฝ่ อ่ ๆ ในพงหญา้ และดว้ ยความหวังวา่ จะได้ค้นพบสิ่งมีชวี ิตชนดิ ใหม่ และตัง้ ชื่อเป็นของตัวเอง พอ่ จงึ ไดเ้ ดนิ เขา้ ไปในพงหญา้ นนั้ แตเ่ คราะหร์ า้ ยถูกส่ิงมชี ีวิตชนิดหน่ึงกัดเข้า ใหแ้ ผลทีโ่ ดนกดั มลี กั ษณะเปน็ รูคลา้ ยถกู เขม็ ตำ 2 รอย พอ่ มีอาการปวดทแ่ี ผลมากแต่สามารถเดินทาง ต่อได้เพราะคิดว่าไมม่ ีปญั หาอะไร จนกระทงั่ เวลาผา่ นไปพอ่ เริ่มมอี าการอ่อนแรง มองภาพเบลอ และ หนักหนังตา จนไม่สามารถทำให้เราเดินทางต่อไปได้ แต่ยังมีความโชคดีพวกเราได้พบกับคุณหมอ กาสะลอง ที่เดินทางเข้าสำรวจธรรมชาติที่นี่โดยเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัว คุณหมออาสาพา พวกเราไปส่งท่ีโรงพยาบาล ทำให้พอ่ ของผมรอดมาไดอ้ ย่าหวดุ หวดิ ในระหว่างที่พ่อพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนั้น แม่ของผมก็มีอาการไข้ขึ้นสูง หนาวสั่น เจ็บคอ ทำให้แพทย์ตอ้ งส่ังให้แอดมิทในโรงพยาบาลอย่างเร่งดว่ น หลงั จากหมอวินิจฉัยแล้วพบว่าแม่ ของผมมีอาการคออักเสบอยา่ งรุนแรง ติดเชื้อจากแบคทีเรียชนิดหนึ่งในลำคอ จึงได้มีการซักประวตั ิ เพิ่มเติมจากผม เน่อื งจากเกรงวา่ แม่จะได้รับเช้ือแบคทีเรียมาจากบุคคลอ่นื ผมเองก็จำอะไรไม่ได้มาก
๒๘ นักจำไดแ้ ค่เพยี งว่าในขณะที่ไปเท่ียวที่ภูกระดึงแม่ไดร้ ู้จกั กับเพ่ือนสาวชาวเอธิโอเปียคนหนึง่ และแม่ มกั จะแบง่ นำ้ จากขวดพกพาให้เธอดม่ื ดว้ ยเสมอ เปน็ ยงั ไงละครับความซวยของครอบครัวของเรา แต่ถ้าหากทา่ นคิดว่านี่ซวยข้นั สุดแล้วละก็ ขอบอกวา่ ยังครบั ยงั ความซวยขั้นกว่าก็คือตอนนี้ผมท่ีต้องทำหนา้ ที่ทง้ั เฝ้าทั้งพ่อและแมใ่ นโรงพยาบาล กำลงั นง่ั อุจจาระอยู่ รอบน้เี ป็นรอบที่ 10 แลว้ ครับ ไมผ่ ิดหรอกครบั รอบที่ 10 แล้ว แถมอุจจาระยังมี สีขาวและมีกลิ่นคาวอีกต่างหาก ผมว่าผมก็ไม่ได้กินอะไรผิดปกติมานะ ยกเว้นแต่ว่าช่วงที่อยู่บนภู กระดึงผมกนิ อาหารพวกก่งึ สุกก่งึ ดิบบ่อย และไม่คอ่ ยลา้ งมอื ก่อนกินอาหารเท่าน้นั เอง หรือว่าผมเป็น พยาธิ ผมกำลังจะผอมใช่ไหม แม่ผมป่วยเป็นอะไร เกิดอะไรขึน้ กับพอ่ ของผม ใครก็ได้ช่วยบอกผมที !!!!!!! จงตอบคำถามต่อไปนี้ 1. ความผดิ ปกติที่เกดิ ข้ึนกับ นายกอบต.ทรพั ย์ คอื อะไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. อาการท่เี กดิ ข้ึนเป็นอย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. นกั เรยี นคดิ ว่ามวี ิธีการใดบ้างที่สามารถรักษาความผดิ ปกตทิ ่ีเกิดข้ึนกบั นายกอบต.ทรัพย์ ได้ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. ความผิดปกตทิ เ่ี กิดขึ้นกบั นางซอ้ งปปี คืออะไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. อาการทเี่ กดิ ขึน้ กบั นางซ้องปปี เปน็ อย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 6. นกั เรียนคดิ วา่ มวี ิธกี ารใดบา้ งทส่ี ามารถรักษาความผดิ ปกติท่เี กดิ ขึ้นกับ นางซ้องปีป ได้ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 7. ความผดิ ปกติท่เี กิดขน้ึ กบั เด็กชายม่ันฟ้า คืออะไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๒๙ 8. อาการทีเ่ กดิ ขึ้นกบั เดก็ ชายมั่นฟ้า เปน็ อย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 9. นกั เรียนคดิ ว่ามีวิธกี ารใดบา้ งที่สามารถรักษาความผดิ ปกติท่ีเกิดขน้ึ กบั เด็กชายม่นั ฟา้ ถ้ำได้ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ตอนท่ี 2 ประเภทของภมู คิ มุ้ กนั 1. ภมู คิ ุม้ กนั แบบก่อเอง (Active immunization) หมายถึงอะไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ภมู คิ ุ้มกันแบบรับมา (Passive immunization) หมายถงึ อะไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. จงสร้างผังกราฟฟิกสรุปความรู้เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างภูมิคุ้มกันแบบก่อเองและ ภมู คิ ุ้มกันแบบรับมา
๓๐ ตอนท่ี 2 กจิ กรรมปริศนาอกั ษรไขว้ คำช้ีแจง จงเติมอกั ษรลงในช่องวา่ งให้เปน็ คำทีถ่ กู ต้อง แถวแนวต้งั 1. ภมู คิ มุ้ กนั ท่ีรา่ งกายไม่ไดส้ ร้างเอง เป็นภมู คิ ุ้มกันระยะสัน้ แต่สามารถออกฤทธไ์ิ ดอ้ ยา่ งรวดเร็ว 2. สารพษิ ทถ่ี ูกทำใหค้ วามเป็นพษิ ลดลงกอ่ นที่จะนำมาฉีดกระต้นุ ให้รา่ งกายสร้างภูมิคุ้มกนั 3. สารทใี่ ช้ฉดี เพอ่ื กระตนุ้ ให้ร่างกายสรา้ งภมู คิ ุ้มกันขึน้ มาต่อต้าน อาจเป็นเช้อื โรคทอี่ อ่ นกำลงั หรือตาย แลว้ แถวแนวนอน 4. ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้น เป็นภูมิคุ้มกันระยะยยาวเกิดขึ้นจากการนำสิ่งแปลกปลอมที่ไม่ ก่อใหเ้ กดิ อนั ตรายใด เขา้ สรู่ ่างกาย 5. สารภูมิคมุ้ กนั ทีเ่ กดิ จากสิง่ มีชวี ติ ชนดิ อ่ืน เชน่ มา้ กระต่าย สกัดมาเพือ่ ใช้ในการรกั ษาได้
๓๑ เอกสารประกอบการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ SCAN ME สือ่ การจัดการเรียนรู้ SCAN ME
๓๒ การวัดและประเมินผล ส่ิงที่วดั ผล วธิ กี ารวัดผล เครอ่ื งมือทใี่ ช้ เกณฑใ์ นการประเมิน ด้านความรู้ (K) ผลการประเมินอยู่ใน ระดับปานกลางขึ้นไป 1) การอธบิ าย ตรวจการตอบคำถาม แบบประเมินประเมนิ (3 – 6 คะแนน) ความหมายและ ในแบบบันทกึ กิจกรรม การตรวจใบงาน/แบบ ผลการประเมนิ อยู่ใน ระดบั ปานกลางขน้ึ ไป เปรียบเทียบความ บันทกึ กจิ กรรม (5 – 12 คะแนน) แตกต่างระหว่าง ผลการประเมนิ อยใู่ น ระดบั ปานกลางขึ้นไป ภูมิคุ้มกันแบบกอ่ เอง (4 – 9 คะแนน) ภมู คิ มุ้ กันแบบรับมา ผลการประเมินอยู่ใน ระดบั ปานกลางข้นึ ไป ด้านทกั ษะกระบวนการ (P) (5 – 12 คะแนน) 1) การสร้างผงั ตรวจการสร้างผัง แบบประเมนิ การสร้าง กราฟฟกิ เกย่ี วกบั กราฟฟกิ ผังกราฟฟกิ ข้อมูลของภมู คิ มุ้ กนั แบบกอ่ เองและ ภูมิคมุ้ กนั แบบรบั มา ดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A) 1) ความมุ่งมัน่ ในการ สังเกตพฤติกรรม แบบประเมนิ ความ ทำงาน มงุ่ ม่นั ในการทำงาน ดา้ นสมรรถนะตามกรอบแนวตดิ PISA (C) แบบประเมนิ C5 ประเมินขอ้ โต้แยง้ สงั เกตพฤติกรรม สมรรถนะหลกั การ ทางวทิ ยาศาสตร์และ แปลความหมายขอ้ มูล ประจกั ษ์พยานจาก แหลง่ ที่หลากหลาย และประจกั ษพ์ ยานใน (ระดับที่ 1) เชงิ วทิ ยาศาสตร์ (C5 ระดบั ที่ 1)
๓๓ เกณฑก์ ารประเมินการตรวจใบงาน/แบบบนั ทกึ กิจกรรม โดยใชเ้ กณฑ์การประเมนิ แบบรูบรคิ ส์ ประเด็นในการ ระดบั คะแนน ประเมิน 3 2 1 1. ความถูกตอ้ งของ ตอบคำถามถกู ตอ้ งตรง ตอบคำถามถูกตอ้ งตรง ตอบคำถามถูกต้องตรง คำตอบ ประเดน็ ของข้อคำถาม ประเด็นของข้อคำถาม ประเด็นของขอ้ คำถาม ท่รี ะบใุ นใบงาน/แบบ ทร่ี ะบุในใบงาน/แบบ ทร่ี ะบใุ นใบงาน/แบบ บันทกึ กิจกรรมทกุ ข้อ บันทึกกิจกรรม รอ้ ยละ บนั ทึกกจิ กรรม น้อย 60 ขน้ึ ไป กวา่ ร้อยละ 60 2. ความตรงตอ่ เวลา นำส่งใบงาน/แบบ นำส่งใบงาน/แบบ นำสง่ ใบงาน/แบบ บันทึกกิจกรรม ตรง บนั ทกึ กจิ กรรม เลย บันทกึ กจิ กรรม เลย ตามเวลาท่กี ำหนด ระยะเวลาทก่ี ำหนด 1 ระยะเวลาท่ีกำหนด – 3 วนั มากกวา่ 3 วัน เกณฑ์การประเมนิ คะแนนเต็ม 6 คะแนน คะแนน 5 -6 คะแนน หมายถงึ ดี คะแนน 3 - 4 คะแนน หมายถึง ปานกลาง คะแนน 1 – 2 คะแนน หมายถึง ปรบั ปรุง
๓๔ เกณฑป์ ระเมนิ ทกั ษะการสร้างผังกราฟิก โดยใช้เกณฑ์การประเมนิ แบบรูบริคส์ รายการประเมิน 3 คะแนน พฤตกิ รรมบ่งช้ี 1 คะแนน 2 คะแนน 1. การจดั เรียงมโน แสดงมโนทศั นห์ ลักได้ แสดงมโนทัศนห์ ลักได้ แสดงมโนทศั นห์ ลักได้ ทัศน์ ชัดเจน แยกมโนทัศน์ย่อย ชัดเจน แยกมโนทัศน์ย่อย ชดั เจน แตไ่ ม่แยกมโนทัศน์ ออกมาจากมโนทศั นห์ ลัก ออกมาจากมโนทัศน์หลกั ย่อยออกมาจากมโนทัศน์ จัดวางมโนทัศน์ที่อยู่ใน แต่ไม่ได้จัดวางมโนทัศน์ที่ หลัก และไม่ได้จัดวางมโน ระดับเดียวกันให้อยู่ใน อยู่ในระดับเดียวกันให้อยู่ ทัศนท์ อี่ ยู่ในระดบั เดียวกัน ระนาบเดียวกัน และข้อมูล ในระนาบเดียวกัน หรือ ให้อยู่ในระนาบเดียวกัน ที่อยู่ในมโนทัศน์รองเป็น ขอ้ มลู ที่อยใู่ นมโนทัศน์รอง รวมถึงข้อมูลที่อยู่ในมโน ประเด็นย่อยท่ีแยกออกมา ไม่ได้เป็นประเด็นย่อยที่ ทัศน์รองไม่ไดเ้ ปน็ ประเด็น จากมโนทัศน์หลัก แยกออกมาจากมโนทัศน์ ย่อยทแ่ี ยกออกมาจากมโน หลัก ทัศน์หลกั 2. การเช่ือมโยง มีการลากเสน้ เชือ่ มแสดง มกี ารลากเส้นเชอ่ื มแสดง มีการลากเสน้ เช่ือมแสดง ระหว่างขอ้ มลู ความสมั พนั ธไ์ ด้อย่าง ความสัมพันธ์ได้อย่าง ความสัมพันธ์แต่ไม่ระบุ ถูกต้องท้ังหมด มีการใช้ ถูกต้อง มีการใช้คำเชื่อม ค ำเช ื่อมเพื่ออธิ บ า ย คำเชื่อมเพอ่ื อธิบาย เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์ของแต่ละ ความสมั พนั ธ์ของระหวา่ ง ร ะห ว่าง มโ นทัศ น์แ ต่ มโนทัศน์ มโนทศั นไ์ ดถ้ กู ตอ้ ง เลอื กใช้คำเชอ่ื มผดิ 3. เนื้อหา แส ดง ข้อมูล ส ำคัญได้ แส ดง ข้อมูล สำคัญได้ แสดงข้อมูลส ำค ั ญไ ด้ ครบถ้วน ข้อมูลมีความ ครบถ้วน ข้อมูลมีความ ครบถ้วน แต่ข้อมูลและ ถูกต้อง และเขียนสะกดคำ ถูกต้อง แต่เขียนสะกดคำ เขยี นสะกดคำไม่ถกู ต้อง ได้ถูกต้องทั้งหมด ไม่ถูกต้อง 4. การออกแบบ ผังกราฟิกเป็นระเบียบง่าย ผังกราฟกิ เปน็ ระเบียบงา่ ย ผังกราฟิกไม่เป็นระเบียบ ต ่ อ ก า ร อ ่ า นม ี ค วาม ต่อการอ่าน มีความ ไม่น่าสนใจ แต่ไม่มีการ น่าสนใจ มีการแบ่งพื้นที่ น่าสนใจ แต่ไม่มีการแบ่ง แบ่งพื้นที่หน้ากระดาษให้ หน้ากระดาษให้แต่ละมโม พื้นที่หน้ากระดาษให้แต่ แต่ละมโมทัศน์เท่า ๆ กัน ทัศน์เท่า ๆ กัน และมีการ ละมโมทัศน์เท่า ๆ กัน และไม่มีการใช้สีสันท่ี ใช้สีสันที่แตกต่างกันเพ่ือ หรือไม่มีการใช้สีสันที่ แตกต่างกันเพื่อเน้นย้ำ เน้นย้ำความสำคัญของ แตกต่างกันเพื่อเน้นย้ำ ความสำคัญของเนื้อหา เนื้อหาหรือแสดงลำดับ ความสำคัญของเนื้อหา หรือแสดงลำดับของมโน ข อ ง ม โ น ท ั ศ น ์ ห ลั ก หรือแสดงลำดับของมโน ทัศนห์ ลกั มโนทศั นร์ อง มโนทศั น์รอง ทศั น์หลกั มโนทศั นร์ อง เกณฑก์ ารประเมนิ คะแนนเต็ม 12 คะแนน คะแนน 9 - 12 หมายถึง ดี คะแนน 5 - 8 หมายถงึ ปานกลาง คะแนน 1 - 4 หมายถึง ปรับปรงุ
๓๕ เกณฑ์การประเมนิ คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ด้านความมุ่งมน่ั ในการทำงาน โดยใชเ้ กณฑ์การประเมินแบบรูบริคส์ รายการประเมิน 3 คะแนน พฤติกรรมบง่ ชี้ 1 คะแนน 2 คะแนน 1. ความตัง้ ใจและเอา ขณะทำงานทไ่ี ด้รับ ขณะทำงานท่ีได้รบั ขณะทำงานทีไ่ ด้รับ ใจใส่ต่อภาระงานท่ี มอบหมาย นักเรียนไม่ มอบหมาย นกั เรยี น มอบหมาย นักเรยี น ได้รับมอบหมาย โดย แสดงพฤตกิ รรมบง่ ชี้ แสดงพฤติกรรมบ่งช้ี 2 แสดงพฤติกรรมบง่ ชี้ มพี ฤตกิ รรมบ่งชี้ ดงั นี้ ทั้ง 3 พฤตกิ รรม หรือ ใน 3 พฤตกิ รรม ทั้ง 3 พฤตกิ รรม - เล่น แสดงพฤติกรรมบ่งชี้ 1 โทรศพั ท์มอื ถือ ใน 3 พฤตกิ รรม ระหว่างทำงาน - นำงานในรายวชิ า อนื่ ขนึ้ มาทำ - ฟุบหลบั 2. รู้จักแกป้ ญั หาใน แกป้ ญั หาไดด้ ว้ ยตัวเอง แกป้ ัญหาด้วยตวั เอง แก้ปญั หาดว้ ยตวั เอง การทำงานเม่อื มี ท้งั หมด มากกว่ารอ้ ยละ 80 น้อยกว่าร้อยละ 80 อปุ สรรค ของงานทั้งหมด ของงานทง้ั หมด 3. การปรบั ปรุงและ มีความพยายามท่ีจะ มีความพยายามท่ีจะ มคี วามพยายามท่ีจะ แกไ้ ขการทำงานของ ปรับปรุงแก้ไขการ ปรับปรุงแก้ไขการ ปรบั ปรงุ แกไ้ ขการ ตนให้ดียิง่ ขึ้น ทำงานของตนใหม้ ี ทำงานของตนให้มี ทำงานของตนให้มี ผลงานทด่ี ีและคุณภาพ ผลงานท่ีดแี ละคณุ ภาพ ผลงานท่ีดีและ อยู่เสมอ คณุ ภาพเปน็ บางครัง้ เกณฑ์การประเมิน คะแนนเต็ม 9 คะแนน คะแนน 7 - 9 คะแนน ดี คะแนน 4 - 6 คะแนน ปานกลาง คะแนน 1 - 3 คะแนน ปรบั ปรงุ
๓๖ เกณฑก์ ารประเมนิ สมรรถนะหลกั การแปลความหมายขอ้ มลู และประจกั ษ์พยานในเชิง วิทยาศาสตร์ (C5 ระดบั ที่ 1) รายการ พฤตกิ รรมบ่งชี้ ประเมิน 1. ข้อกล่าวอา้ ง 4 คะแนน 3 คะแนน 2 คะแนน 1 คะแนน ขอ้ กลา่ วอา้ ง 2. หลกั ฐาน ถกู ต้องตรงตาม ขอ้ กลา่ วอ้าง ขอ้ กล่าวอ้าง ข้อกล่าวอ้างไม่ หลกั การทาง ถูกตอ้ งตาม 3. การให้ วิทยาศาสตร์ ถกู ต้องตรงตาม ถกู ตอ้ งตรงตาม หลักการทาง เหตผุ ล ท้ังหมด และตอบ วทิ ยาศาสตร์ สนับสนุนการ คำถามได้สมบูรณ์ หลกั การทาง หลกั การทาง และไม่สามารถ โต้แยง้ ตอบประเด็น ระบหุ ลกั ฐานที่ วทิ ยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ คำถามได้ สอดคล้องกับ ข้อมลู ทาง ทง้ั หมด และตอบ บางสว่ น และ ระบุหลกั ฐานท่ี วทิ ยาศาสตร์ มี สอดคลอ้ งกบั ความละเอียดถี่ คำถามได้บางสว่ น ตอบคำถามได้ ข้อมลู ทาง ถ้วน และ วทิ ยาศาสตร์ น่าเชอ่ื ถอื บางสว่ น แตข่ าดความ สอดคล้องกบั ขอ้ ละเอียดถี่ถ้วน คำถามและขอ้ มูล ระบุหลกั ฐานที่ ระบหุ ลักฐานท่ี ไมน่ า่ เชือ่ ถือ ท่กี ำหนดให้ และไม่ สอดคล้องกบั สอดคล้องกบั สอดคลอ้ งกบั ขอ้ มีเหตผุ ลในการโต้ คำถาม และ กลับทถ่ี ูกต้อง ขอ้ มูลทาง ข้อมลู ทาง ขอ้ มลู ท่ี สอดคล้องกบั กำหนดให้ หลักการทาง วิทยาศาสตร์ มี วทิ ยาศาสตร์ มี วทิ ยาศาสตร์ เหตุผลในการโต้ ความละเอยี ดถี่ ความละเอียดถ่ี กลับเป็น ความเหน็ สว่ น ถว้ น และ ถว้ น แตไ่ ม่ บุคคล ไม่ สอดคล้องกบั นา่ เชอ่ื ถือ แตไ่ ม่ น่าเชื่อถือ และไม่ หลกั การทาง วทิ ยาศาสตร์ สอดคลอ้ งกับขอ้ สอดคล้องกบั ข้อ คำถาม และ คำถาม และ ข้อมูลท่ีกำหนดให้ ขอ้ มูลทกี่ ำหนดให้ เหตผุ ลในการโต้ เหตผุ ลในการโต้ กลับเป็น กลบั ทีถ่ ูกต้อง ความเห็นส่วน สอดคลอ้ งกับ บุคคล สอดคลอ้ ง หลักการทาง กับหลักการทาง วิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ บางส่วน บางสว่ น
Search